รู้ไว้ใช่ว่า…ตอน ตานานยกั ษ์ “เทพผู้พทิ ักษ์ศาสนา” ประตมิ ากรรมจตโุ ลกบาล เทพผ้ปู กครองสวรรค์ช้ันจาตุมหาราชิกา (ประกอบงานหน้าพระเมรุฯ ในหลวงรัชกาลท่ี ๙)
ตอน ๑ ตานานยักษ์ \"เทพผู้พทิ ักษ์ศาสนา” ตอน ๑ เคยสังเกตกนั บา้ งไหม เวลาเราเขา้ ไปในวดั เพื่อจะทาบุญ ทาทาน ไหวพ้ ระขอพร หรือประกอบพิธีกรรมทางศาสนา เรามกั จะพบรูปเคารพท่ีเป็นรูปป้ันต่างๆ นอกจากพระพุทธรูปอนั เป็ นรูปเคารพแทนพระพุทธองคแ์ ลว้ ท่ีพบเห็นกนั บ่อยๆ ก็คือ รูปป้ันยกั ษท์ ี่ยนื อยหู่ นา้ โบสถ์ หนา้ วิหารบา้ ง บางวดั ก็มีภาพแกะสลกั นูน ต่าบริเวณตรงประตู หรือแมแ้ ต่ภาพเขียนสีท่ีเป็ นรูปยกั ษใ์ หไ้ ดพ้ บเห็นกนั ทวั่ ไป ทาให้สงสัยว่า รูปป้ันหรือภาพเขียนยกั ษน์ ้ี มีความสาคญั และมีท่ีมาอยา่ งไร วดั ของชาวพุทธ โดยเฉพาะวดั ท่ีสาคญั ของประเทศ เช่น วดั พระศรีรัตนศาสดาราม (วดั พระแกว้ ) วดั อรุณราชวรารามราชวรวิหาร (วดั แจง้ ) วดั พระเชตุพนวิมลมงั คลารามราชวรมหาวิหาร (วดั โพธ์ิ) และอีกหลายวดั ในประเทศไทย มกั ปรากฏใหพ้ บเห็นกนั ทว่ั ไป
ยกั ษ์ทวารบาล หน้าซุ้มประตูมณฑปวัดโพธ์ิ ท้าวเวสสุวรรณ วดั จฬามณี สมุทรสงคราม โดยตามวดั วาอารามต่าง ๆ ที่พบมกั จะมีรูปป้ันยกั ษ์ ๑ ตน บา้ ง ๒ ตนบา้ ง ยนื ถือกระบองค้าพ้นื อยตู่ รงกลาง ส่วนมากจะมี ๒ ตน เฝ้าอยหู่ นา้ ประตูโบสถ์ หรือ วิหารท่ีเก็บของมีค่า ที่ประกอบดว้ ยพระพุทธรูป และโบราณสมบตั ิล้าค่าของทางวดั บรรจุอยู่ ดา้ นละ ๑ ตน หรือไมก่ ็ต้งั อยบู่ ริเวณลานวดั หรือที่ท่ีมีคนผา่ นไปมา เห็นไดโ้ ดยง่าย บา้ งก็สร้างเอาไวใ้ นวิหาร หรือ ศาลาโดยเฉพาะก็มีให้พบเห็น ซ่ึงยกั ษเ์ หล่าน้ัน ถา้ เป็ น ตนเดียว ก็จะหมายถึงรูปเคารพที่คนทวั่ ไปรู้จกั กนั ใน ชื่อ \"ท้าวเวสวณั ” หรือ \"ท้าวเวสสุวรรณ” แตถ่ า้ พบเป็น ๒ ตน กจ็ ะเป็นบริวารของทา้ วเวสสุวรรณ ท่ีคอยทาหนา้ ที่ปกปักรักษา ดูแลบริเวณวดั นน่ั เอง รูปป้ันยกั ษ์ทวารบาล วดั อรุณราชวรารามราชวรวิหาร (วดั แจ้ง) กรุงเทพฯ คนไทยสมัยโบราณ มีความเชื่อว่า คนที่มีลูกเพิ่งคลอดหรือมีเด็กเลก็ มกั นิยมนาผา้ ยนั ตท์ ี่มีรูปยกั ษย์ ืนย่อเข่า ถือกระบองอยตู่ รงกลาง มาแขวนหรือต้งั ไวต้ รง เหนือท่ีเด็กนอนหลบั เพราะมีความเช่ือว่าสามารถป้องกนั ภูติผีปี ศาจไม่ให้มารบกวนหรือทาอนั ตรายต่อเด็กเล็ก เพราะเชื่อว่ายกั ษต์ นน้ีเป็ นผูป้ กครองหรือผู้ ควบคุมภูตผี-ปิ ศาจนน่ั เอง สังเกตคนท่ีมีลกู ออ่ นและชอบร้องไหต้ อนกลางคืน ไม่หลบั ไม่นอนเหมือนมีอะไรมารบกวนเด็ก ท้งั ยงั เชื่อวา่ สามารถป้องกนั ภูตผี ไสย ศาสตร์มนตด์ าไดอ้ ีกดว้ ย ซ่ึงมีเรื่องราวของผมู้ ีอาชีพสปั เหร่อ และอาชีพประหารชีวิตนกั โทษ มกั พกพารูปทา้ วเวสสุวรรณ สาหรับคลอ้ งคอเพอ่ื เป็นเครื่องรางของ ขลงั ไวป้ ้องกนั ภยั จากวญิ ญาณร้ายท่ีอาจมารบกวนได้
พระไพศรพณ์ สัญลกั ษณ์แห่งความเท่ียงธรรม ตราประจาจงั หวดั อดุ รธานี ท้าวเวสสุวรรณ คือใคร \"ทา้ วเวสสุวรรณ” ท่ีคนทว่ั ไปรู้จกั น้ีคือหน่ึงในจตุโลกบาล หรือเทวดาผรู้ ักษาโลก เป็นอธิบดีหรือหวั หนา้ ผปู้ กครองสวรรคช์ ้นั แรก คือ จาตุมหาราชิกา เป็ นสวรรคช์ ้นั ล่างท่ีสุดในบรรดาสวรรคท์ ้งั หมด มีเทพส่ีองค์หรือทา้ วมหาราช ๔ องค์ ทาหนา้ ท่ีปกป้องคุม้ ครองโลกมนุษยท์ ้งั ส่ีทิศ โดยทา้ ว เวสสุวรรณ เป็นทา้ วมหาราชปกครองทิศอุดรหรือทิศเหนือ เป็ นใหญ่ในยกั ษเ์ ทวดาท้งั หลาย ทา้ วธตรฐ ปกครองทิศตะวนั ออก มีเหล่าคนธรรพเ์ ทวดาเป็นบริวาร ทา้ ววิรุฬหก ปกครองทิศใต้ มีเหลา่ กุมภณั ฑเ์ ทวดาเป็นบริวาร ทา้ ววริ ูปักษ์ ปกครองทิศตะวนั ตก มีนาคะเทวดาเป็นบริวาร ภาพลายเส้น ท้าวจตุโลกบาล ท้ัง ๔
ในสารานุกรมไทย ฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน เล่มท่ี ๓ หนา้ ๑๔๓๙ กล่าวถึง ทา้ วกุเวรหรือทา้ วเวสวณั ไวว้ ่า กุเวรทา้ ว พระยายกั ษผ์ ูเ้ ป็นเจา้ แห่งขมุ ทรัพยม์ ียกั ษ์ และคุยหกะ(ยกั ษผ์ ูเ้ ฝ้าขุมทรัพย)์ เป็ นบริวาร ทา้ วกุเวรน้นั บางทีก็เรียกว่า ทา้ วไวศรวนั (เวสสุวรรณ) ภาษาทมิฬเรียก \"กุเวร\" ว่า \"กุเปรัน\" ซ่ึงมีเรื่องราวอย่ใู น รามเกียรต์ิ ท่ีไดร้ ับอิทธิพลมาจากมหากาพยร์ ามายณะของอินเดีย ขอขยายความ \"ยกั ษ”์ เป็ นอมนุษยพ์ วกหน่ึง มีกล่าวถึงท้งั ในทางศาสนาและวรรณคดี ยกั ษม์ ีรูปร่างใหญ่โต มีเข้ียว มีฤทธ์ิ เป็ นบริวารของทา้ วกุเวรผูเ้ ป็ น โลกบาลประจาทิศเหนือ ตามความเช่ือทางพระพุทธศาสนา นามวา่ ทา้ วกุเวร ผปู้ กครองเหลา่ ยกั ษ์ ยดึ มน่ั รักษาศีล นบั ถือและปกป้องพระพุทธศาสนา คนไทยจึง นิยมสร้างประติมากรรมรูปยกั ษข์ นาดใหญ่ไวบ้ ริเวณซุ้มประตูทางเขา้ ศาสนสถานสาคญั ๆ หรือเขียนรูปยกั ษไ์ วท้ ี่บานประตู เพ่ือให้ทาหน้าท่ีเป็ นทวารบาล ปกป้องพทุ ธสถาน คติความเช่ือเกี่ยวกบั ยกั ษต์ นน้ี ในสถานะเป็นเทพผพู้ ิทกั ษร์ ักษาและคุม้ ครองไม่ใหเ้ กิดภยนั ตราย ไดแ้ พร่หลายในสังคมไทยอยา่ งมาก แมแ้ ตร่ าชสานกั ยงั พบเห็นการนาชื่อของ ทา้ วเวสสุวรรณและโลกบาลมาต้งั เป็ นชื่อของสถานที่ เช่น ท่ีพระนครคีรี(เขาวงั ) อนั เป็ นที่ต้งั ของพระราชวงั ท่ีประทับของ พระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ ัว มีการสร้างป้อมลอ้ มอยูท่ ้งั ๔ ทิศ ทรงนาชื่อของจตุโลกบาลแบบพุทธมาต้งั เป็ นชื่อของป้อมท้งั ๔ โดยป้อมทางทิศ ตะวนั ออกมีชื่อวา่ ธตรฐป้องปก ป้อมทางทิศใตช้ ่ือ วริ ุฬหกบริรักษ์ ป้อมทางทิศตะวนั ตกช่ือ วิรูปักษ์ป้องกนั ป้อมทางทิศเหนือช่ือ เวสสุวณั รักษา แมแ้ ต่พระตาหนกั จิตรลดารโหฐาน ไดม้ ีการนาช่ือทา้ วโลกบาลของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู มาต้งั เป็นชื่อประตูรอบพระตาหนักคลอ้ งจองกนั ไปตามทิศ คือ พระอินทร์อยู่ชม พระยมอยู่คุม้ พระพิรุณอยู่เจน พระกุเวรอยู่เฝ้า รวมไปถึงจงั หวดั อุดรธานีมีการสร้างรูปเคารพทา้ วเวสสุวรรณขนาดใหญ่อยู่คู่กบั ศาลหลกั เมืองถือเป็นสัญลกั ษณ์ของจงั หวดั และยงั นารูปทา้ วเวสสุวรรณยืนถือกระบองมาเป็นตราประจาจงั หวดั ต้งั แต่ พ.ศ. ๒๔๘๓ ซ่ึงตราน้ีออกแบบโดย กรมศิลปากรนี่เอง เร่ืองราวของยกั ษห์ รือเทพองค์น้ี จึงเป็ นส่ิงท่ีน่าสนใจและน่าคน้ หาอยา่ งมาก ในศาสนาพุทธเนน้ สอนให้มีความเชื่อโดยยึดหลกั ธรรมชาติ ดว้ ยเหตุดว้ ยผล ไม่ให้งมงายกบั ส่ิงท่ีมองไม่เห็นหรือจบั ตอ้ งไม่ได้ แต่คมั ภีร์ทางพุทธศาสนา ก็ไม่ไดป้ ฏิเสธเร่ืองราวท่ีเหนือธรรมชาติ เพียงแต่พระพุทธองคม์ ีขอ้ ห้ามไม่ให้ นักบวชหรือภิกษุ แสดงอิทธิปาฏิหารย์ หรือแสดงสิ่งที่เหนือธรรมชาติ จึงแสดงให้เห็นว่าเร่ืองเหนือธรรมชาติมีอยู่จริง ซ่ึงเรื่องราวของยกั ษต์ นน้ี ถือว่ามี
ความสาคญั มีเร่ืองราว มีท่ีมาท่ีไป และมีความน่าสนใจอยา่ งมากเพราะถูกบนั ทึกไวใ้ นพระไตรปิ ฎกหลายฉบบั ของศาสนาพุทธ ในคมั ภีร์ของพราหมณ์และฮินดู ซ่ึงเป็ นศาสนาที่เกิดข้ึนก่อนพุทธศาสนาเป็ นพนั ปี และเร่ืองราวของยกั ษต์ นน้ียงั เกี่ยวขอ้ งกบั คติความเชื่อของหลายประเทศที่นับถือศาสนาพุทธเช่นเดียวกบั ประเทศไทย ไดแ้ ก่ อินเดีย พม่า จีน เกาหลี ญ่ีป่ ุน เวียดนาม ธิเบต เป็นตน้ ตามคติในศาสนาพุทธและศาสนาพราหมณ์-ฮินดู มีความเชื่อเรื่องราวเกี่ยวกบั ยกั ษ์ ที่คนไทยรู้จกั กนั ในนาม \"ทา้ วเวสสุวรรณ” หรือในทางฮินดู คือ \"ทา้ วกุเวร” ซ่ึงเป็นหน่ึงในส่ีจตุมหาราช หรือจตุโลกบาล เทพผูป้ กครองสวรรคช์ ้นั จาตุมหาราชิกา หรือสวรรคช์ ้นั แรก ที่ใกลโ้ ลกมนุษยม์ ากท่ีสุด มีหนา้ ท่ีปกครองบรรดา ยกั ษ์ รากษส ครุฑ กินนร กินรี รวมถึงนาค ภูตผี อมนุษย์ ฯลฯ ทา้ วเวสสุวรรณ ถูกกล่าวขานว่าเป็นเทพแห่งความมง่ั คงั่ นบั ถือกนั ว่าพระองคเ์ ป็ นเทพประจาทิศ อุดร หรือทิศเหนือ และเป็ นเทพผคู้ ุม้ ครองโลก (โลกบาล) โดยเม่ือเทียบกบั ความเชื่อทางตะวนั ตกแลว้ เทียบไดก้ บั \"พลูตอส” Ploutos เทพปกรณมั กรีก ซ่ึงเป็น เทพเจา้ ผมู้ อบทรัพยใ์ ตด้ ินแก่ชาวโรมนั เช่น ทองคา และเงิน
ตอน ๒ ตามคติความเชื่อของศาสนาฮินดู พบเรื่องราวของทา้ วกุเวร ในคมั ภีร์ฤคเวท ตาราทางศาสนาที่เก่าแก่ท่ีสุดในโลก เกิดข้ึนเม่ือราว ๓,๐๐๐ ปี ก่อนคริสตศ์ กั ราช ระบุว่า ทา้ วกุเวร เป็ นยกั ษแ์ คระ ถือเป็ นเทพแห่งโจรและการลกั ทรัพย์ อาศยั อยตู่ ามป่ าเขา ถ้าลึก คอยเฝ้าอญั มณีและทรัพยส์ มบตั ิ พวกโจรจึงนิยมบูชาทา้ วกุเวร เพอื่ ใหช้ ่วยเหลือในการปลน้ คอยปกป้องคุม้ ภยั จากภูตผีปี ศาจ และคอยเฝ้าทรัพยส์ มบตั ิตามความเชื่อ และ ในคัมภีร์ปุราณะ ของฮินดู \"ทา้ วกุเวร” เป็ นบุตรของพระวิศรวะมุนี กบั นางอิลาวิฑา และเป็ นหลานของฤๅษีปุลสั ตยะ ในอดีตชาติ ทา้ วกุเวร เกิดเป็ น พราหมณ์ ช่ือ ยาคทตั ต์ มีนิสยั ชอบลกั ขโมย วนั หน่ึงถกู เหลา่ ทหารไล่ตามจบั จึงไดเ้ ขา้ ไปหลบในเทวาลยั ร้างของพระศิวะ และไดจ้ ุดไฟข้ึนบูชาพระศิวะ ทาใหพ้ ระ ศิวะทรงพอพระทยั หลงั จากน้ันก็ถูกทหารจบั ไดแ้ ละตอ้ งโทษประหาร หลงั จากที่ตายแลว้ ยมทูตไม่สามารถนาวิญญาณไปได้ ดว้ ยพระศิวะทรงส่งสาวกไปรับ วิญญาณของเขา และส่งเขาไปเกิดใหม่ ยาคทตั ตไ์ ดไ้ ปเกิดเป็ นบุตรของทา้ วอรินทมะ แห่งแควน้ กลิงคะ ชื่อวา่ ทมั พกุมาร และไดท้ าพิธีบูชาพระศิวะดว้ ยการจุด ประทีปอยทู่ กุ เวลา เม่ือเขาตายแลว้ จึงไดม้ ากาเนิดใหม่เป็ นบุตรของพระวิศรวะมนุ ี มีนามวา่ \"พระไวศรวณั ” ไดบ้ าเพญ็ ตบะจนพระศิวะพอพระทยั จึงไดร้ ับแต่งต้งั ให้เป็ นเทพแห่งทรัพยส์ มบตั ิ เป็ นเจา้ แห่งทรัพย์ เป็ นเจา้ ของทองและแกว้ แหวนเงินต่างๆ รวมถึงทรัพยแ์ ผ่นดินทวั่ ไป และทาหนา้ ท่ีเป็ นเทพโลกบาลประจาทิศ เหนือ พระธนบดี หรือท้าวเวสสุวรรณ ศิลปะศรีวชิ ัย อายปุ ระมาณ ๑,๕๐๐ ปี ปัจจุบนั อย่ใู นพพิ ธิ ภัณฑ์กเี ม่ต์ ฝร่ังเศส
ยงั มีลทั ธิความเช่ือของพราหมณ์ ไดก้ ลา่ วถึงประวตั ิของทา้ วกุเวร (เวสสุวรรณ) ในมหากาพยร์ ามายณะ อนั เป็นที่มาของรามเกียรต์ิของไทย บรรยายวา่ ทรงเป็น โอรสของ พระวิศรวิสุมนี กบั นางอิทาวิทา แต่ในมหาภารตะว่า เป็ นโอรสของพระปุลสั ต์ ซ่ึงเป็ นบิดาของ พระวิศรวัส กล่าวว่า ดว้ ยเหตุท่ีทา้ วกุเวร ใฝ่ ใจกบั ทา้ ว มหาพรหม เป็นเหตุทาใหบ้ ิดาโกรธ จึงแบ่งภาคเป็ น พระวิศวรัส หรือมีนามหน่ึงว่า เปาลสั ตยมั ซ่ึงรามเกียรต์ิไทยเรียกว่า ลสั เตียน ทา้ วลสั เตียน หรือ พระวิศวรัส ซ่ึงเป็นภาคหน่ึงของ พระวิศรวิสุมนี น้นั ไดน้ างนิกษา บุตรีทา้ วสุมาลีรักษา เป็ นชายา มีโอรสดว้ ยกนั คือ ทศกัณฐ์ กุมภกรรณ พิเภก และ นางสามะนักขา ดงั น้นั ทา้ วกุเวร จึงเป็นพ่ีชายต่างมารดา และร่วมบิดาเดียวกบั ทศกณั ฐ์ เหตุที่ทา้ วกุเวรผิดใจกบั ผเู้ ป็ นพ่อ เพราะไปฝักใฝ่ กบั ทา้ วมหาพรหม ซ่ึงเป็นเทวดา ทาใหผ้ เู้ ป็นพ่อ คือ พระวิศรวิสุมนีโกรธ เพราะถือทิฐิวา่ ตนเป็ นยกั ษ์ เป็ นเทวดาต่าศกั ด์ิกวา่ ไม่ควรไปยงุ่ กบั เทวดา ท่ีบนสวรรคช์ ้นั สูงกวา่ เห็นคนอื่นดีกวา่ พ่อของตน ก็เลยแบ่ง ภาคออกไปมีเมียใหม่ มีลูกใหม่ ที่ทา้ วกุเวร มีใจฝักใฝ่ กบั ท่านทา้ วมหาพรหมน้นั เป็ นเพราะทา้ วกุเวรน้นั ตอ้ งการบาเพญ็ ตบะบารมี หรือ สร้างสมความดี ดว้ ยการ เขา้ ฌาน และบาเพ็ญทุกรกิริยา นานนับพนั ปี จนทา้ วมหาพรหมโปรดปราน ประทานบุษบกให้ อนั บุษบกน้ี หากใครไดข้ ้ึนไปแลว้ สามารถล่องลอยไปไหนมา ไหนไดต้ ามตอ้ งการ เดิมทีน้ัน ทา้ วกุเวรครองกรุงลงกา ซ่ึงมีพระวิศวกรรม เป็ นผูส้ ร้างให้ แต่นางนิกษา ไดย้ ยุ งให้ทศกณั ฐ์ ชิงกรุงลงกา มาจากทา้ วกุเวร ท้งั ยงั ชิงเอาบุษบกท่ีพระ พรหมไดป้ ระทานแก่ทา้ วกุเวรมาดว้ ย ดงั ท่ีไดบ้ อกเอาไวแ้ ลว้ ว่า บุษบกน้ีสามารถลอยไปไหนมาไหนไดด้ งั ใจนึก แต่มีขอ้ หา้ มมิให้หญิงท่ีถูกสมพาส (แปลวา่ การ อยรู่ ่วม การร่วมประเวณี) จากชาย ๓ คน นง่ั ซ่ึงต่อมานางมณโฑ ไดน้ งั่ บุษบก จึงทาใหบ้ ุษบกไม่สามารถลอยไปไหนมาไหนไดอ้ ีก เพราะดว้ ยเหตุท่ี นางมณโฑ ตกเป็ นหญิงท่ีผ่านการสมพาสชายมาถึง ๓ คน คือ พาลี ทศกณั ฐ์ และ หนุมาน เมื่อทศกณั ฐ์ ให้นางมณโฑ ข้ึนนัง่ บุษบกน้ีทีหลงั บุษบกจึงเกิดการขดั ขอ้ งทาง เทคนิค ไม่ลอยไปไหนมาไหนไดต้ ามตอ้ งการอีก คร้ังเม่ือทา้ วกุเวรตอ้ งเสียกรุงลงกาไปแลว้ ทา้ วมหาพรหมไดส้ ร้างนครใหใ้ หม่ ช่ือ \"อลกา” หรือ \"ประภา” อนั ต้งั อยทู่ ่ีเขาหิมาลยั มีสวนชื่อ \"เจตรรถ” อยบู่ นเขามนั ทรคีรี อนั เป็นกิ่งแห่งเขาพระสุเมรุ บา้ งกว็ า่ ทา้ วกุเวร อยทู่ ่ีเขาไกรลาส ซ่ึงพระวษิ ณุกรรมเป็นผสู้ ร้างให.้ .. จากการบาเพญ็ ตบะบารมีและยดึ มนั่ ในคุณงามความดี ทา้ วกุเวร จึงไดร้ ับพรจากพระพรหมาใหเ้ ป็นอมฤต (ไมต่ าย) และเป็นเจา้ แห่งทรัพย์ ดว้ ยอานาจพรน้นั จึง ไดเ้ ป็นผูป้ กครองทิศอุดร และไดเ้ ป็ นเจา้ ของทองและเงินแกว้ ต่าง ๆ ทรัพยแ์ ผน่ ดินทว่ั ไป ทา้ วกุเวรน้ี มีนามที่เรียกขานกนั หลายช่ือ เช่น เรียกว่า ธนบดี (เป็นใหญ่
ในทรัพย)์ ธเนศวร (เจา้ แห่งทรัพย)์ อิจฉาวสุ (มงั่ มีไดต้ ามใจ) ยักษราช (ขุนแห่งยกั ษ)์ มยุราช (ขุนแห่งกินนร) รากษเสนทร์ (เป็ นใหญ่ในพวกรากษส) เปาลัสต ยะ (ลูกปลุ สั ตยะ) เป็นตน้ ตอน ๓ ความสาคญั ของยกั ษท์ ่ีมีสถานะเป็ นเทพท่ีชื่อ ทา้ วเวสสุวณั หรือ ทา้ วเวสสุวรรณ มีกล่าวอยใู่ นพระไตรปิ ฎกฉบบั มหามกุฏราชวิทยาลยั (๒๕๕๒) ตาม บทบรรยายที่แสดงให้เห็นบทบาทหนา้ ท่ีและความสาคญั ของเทพองคน์ ้ี ในการเป็ นอธิบดีหรือหัวหนา้ จตโุ ลกบาล และการเป็นผคู้ ุม้ ครองดูแลศาสนา ดงั ปรากฏ ในพระสุตตนั ตปิ ฎก/ทีฆนิกาย/ปาฏิกวรรค/อาฏานาฏิยสูตร ว่า คืนหน่ึงขณะท่ีพระพุทธเจา้ เขา้ ประทบั ณ เขาคิชฌกูฎ ใกลก้ รุงราชคฤห์ ทา้ วมหาราชท้งั ส่ี(จตุ มหาราช) หรือเทพผพู้ ิทกั ษโ์ ลกบาลท้งั ๔ ทิศ พร้อมดว้ ยเสนารักษ์ คนธรรพ์ (รุกขเทวดา) กมุ ภณั ฑแ์ ละนาค ไดเ้ ขา้ เฝ้า เมื่อทา้ วมหาราชท้งั สี่ถวายบงั คมแลว้ ทา้ ว เวสสุวณั อีกนามคือ ทา้ วกุเวร ไดก้ ราบทูลพระพุทธองคว์ ่า มียกั ษช์ ้นั ผูใ้ หญ่ ช้นั กลาง ช้นั ต่า ที่เล่ือมใสในพระผูม้ ีพระภาคก็มี ไม่เลื่อมใสก็มี แต่ท่ีไม่เล่ือมใสมี มากกว่า เพราะพระผมู้ ีพระภาคเจา้ ทรงแสดงธรรม เพื่อเวน้ จากฆ่าสัตว์ ลกั ทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดปด หา้ มด่ืมสุราเมรัย พวกยกั ษเ์ หล่าน้นั ไม่เวน้ จากส่ิง เหล่าน้ี โดยมากจึงไม่ชอบพระพุทธองค์ มีสาวกของพระผมู้ ีพระภาคปฏิบตั ิธรรมถือศีลในป่ า อาจไดร้ ับเหตุเภทภยั จากยกั ษช์ ้นั ผใู้ หญ่ท่ีไม่เล่ือมใสในพระธรรม วินยั ของพระองค์ ท้าวจตุโลกบาล ท้ัง ๔ เข้าเฝ้าพระพทุ ธเจ้า ถวาย \"อาฏานาฏิยสูตร” เพื่อใช้ป้องกนั ภยั ร้าย ดว้ ยเหตุน้ี เพ่ือให้ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ไดร้ ับการคุม้ ครองรักษา ทา้ วจตุมหาราชท้งั ๔ คือ ทา้ วธตรฐ ทา้ ววิรุฬหก ทา้ ววิรูปักษ์ และ ทา้ วเวสสุวรรณ อธิบดีแห่งจตุโลกบาล จึงกราบทูลพระพุทธเจา้ ใหท้ รงเรียนคาถาบทหน่ึง ช่ือ \"อาฏานาฏิยา” เพือ่ ทาใหบ้ รรดายกั ษเ์ กิดความเล่ือมใส พระผมู้ ีพระภาคทรงรับโดย
ดุษณีภาพ ทา้ วเวสสุวรรณจึงถ่ายทอดพระสูตร ช่ือ อาฏานาฏิยา ซ่ึงก็คือบทสวดสาหรับคุม้ ครองป้องกนั เภทภยั น่นั เอง พระสูตรดงั กล่าวมีขนาดยาวมาก ดว้ ย ความท่ีมีเน้ือหาที่เกี่ยวขอ้ งกบั ยกั ษแ์ ละอมนุษย์ ผูค้ นทว่ั ไปจึงนิยมเรียกกนั ว่า \"การสวดภาณยักษ์” แต่ในความเป็ นจริงแลว้ การสวดภาณยกั ษ์ เป็ นการเรียก โดยสะดวก เพราะในการสวดภาณยกั ษน์ ้นั มีท้งั ภาณยกั ษ์ และภาณพระ รวมกนั เป็นอาฏานาฏิยสูตร นนั่ เอง มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์พบวา่ มีการสวดอาฏานาฏิยสูตร หรืออาฏานาฏิยปริตร เพ่ือสะเดาะเคราะห์ในพระนคร สมยั กรุงรัตนโกสินทร์ เพ่ือใหร้ อดพน้ จากเหตุร้ายในช่วงเวลาเปลี่ยนศกั ราช นอกจากน้ี ยงั ปรากฏจารึกอาฏานาฏิยสูตร ในพระอารามหลวงสาคญั อยา่ งวดั ชุมพลนิกายาราม ดว้ ย ในปัจจุบนั จะเห็นได้ วา่ การสวดภาณยกั ษไ์ ดแ้ พร่หลายไปยงั วดั ตา่ งๆ ทวั่ ประเทศ ท้งั วดั หลวงและวดั ราษฎร์ ส่วนใหญม่ กั สวดดว้ ยสาเนียงท่ีดุดนั แหง้ แหบโหยหวนบา้ ง เป็นการสวด ทานองขตู่ วาดภตู ผปี ี ศาจ ซ่ึงเป็นลกั ษณะการสวดเช่นเดียวที่ปรากฏในพระราชพิธี ทวา่ ในระดบั พระราชพิธีน้นั ต่อมาไดท้ รงโปรดฯ ใหน้ ิมนตพ์ ระอีกสารับหน่ึง คือ สวดภาณพระ ดว้ ยทานองสรภญั ญะท่ีไพเราะช่ืนใจข้ึนเป็ นคูก่ นั ท้งั น้ี เพ่ือเป็นขวญั และกาลงั ใจแก่ประชาราษฎร์ วา่ ไดข้ บั ไล่ภยั อนั ตรายส่ิงร้ายและอวยพรชยั สิริมงคล ในกาลเวลาสาคญั แห่งการเปล่ียนปี พธิ ีสวดภาณยักษ์ เพื่อขจัดส่ิงอปั มงคล ในช่วงเวลาเปลยี่ นปี หรือเปลย่ี นศักราชใหม่ ในปฐมสมโพธิกถา ฉบบั กรมพระปรมานุชิตชิโนรส (๒๕๕๒) ไดแ้ สดงให้เห็นถึงบทบาทของทา้ วเวสสุวณั ในการเป็ นจตุโลกบาล และการช่วยเหลือ พระพุทธเจา้ เพ่ือบาเพญ็ เพียรสู่การหลุดพน้ คร้ังสมยั พทุ ธกาลวา่ ทา้ วเวสสุวณั ไดร้ ่วมกบั ทา้ วจตโุ ลกบาลนาบาตรศิลามรกตมาท้งั ๔ ทิศ แลว้ เขา้ กราบทูลถวายให้ ทรงรับซ่ึงขา้ วสัตตุดว้ ยบาตรทิพยท์ ้งั ๔ พระพุทธองคท์ รงดาริว่าใบเดียวก็เพยี งพอ จึงทรงอธิษฐานผสานบาตรท้งั ๔ เขา้ เป็ นบาตรเดียวกนั แลว้ ทรงรับขา้ วสัตตุ ดว้ ยบาตรน้นั ดงั ความวา่
ประตมิ ากรรมท้าวจตโุ ลกบาลถวายบาตร \"พาณิชสองพีน่ อ้ งนามวา่ ตปุสสะ และภลั ลิกะ นา \"ขา้ วสตั ตผุ ง สตั ตุกอ้ น” ถวายบิณฑบาตแก่พระพทุ ธองค์ และขณะน้นั พระพทุ ธองคท์ รงปริวติ กวา่ บาตร ของตถาคตก็มิไดม้ ี ณ กาลน้นั ทา้ วจตโุ ลกบาลท้งั ๔ ทราบในพุทธอธั ยาศยั จึงนาเอาบาตรศิลาท้งั ๔ บาตร มาท้งั ๔ ทิศ ทิศละองค์ นอ้ มเขา้ กราบทลู ถวายให้ ทรงรับซ่ึงขา้ วสัตตุดว้ ยบาตรทิพยท์ ้งั ๔ พระพุทธองคท์ รงรับท้งั ๔ บาตร เพ่ือจะรักษาปสาทศรัทธาแห่งทา้ วจตุมหาราช ใช่จะทรงรับดว้ ยมหิจฉภาพเจตนา (ความมกั มาก) จึงทรงอธิษฐานผสานบาตรท้งั ๔ เขา้ เป็นบาตรเดียว แลว้ ทรงรับขา้ วสัตตุดว้ ยบาตรน้นั ” (ปรมานุชิตชิโนรส, กรมพระ, ๒๕๕๒, หนา้ ๑๗๕-๑๗๖) ความหมายของขา้ วสตั ตุ สตั ตผุ ง ทางบาลีเรียกวา่ \"มนั ถะ” คือ ขา้ วตากท่ีตาละเอียด สัตตกุ อ้ น เรียกวา่ \"มธุบิณฑิกะ” คือ ขา้ วตากท่ีผสมน้าผ้ึงแลว้ ป้ันเป็นกอ้ น ท้าวเวสสุวรรณ ตรวจภพภูมเิ พ่ือสารวจการทาความดีของมนุษย์ ทกุ วันพระขึน้ ๑๕ ค่า ท้าวจตโุ ลกบาล ท้งั ๔ นาบาตรศิลามรกต ๔ ใบ มาถวายพระพทุ ธเจ้า เพ่ือใช้บณิ ฑบาต
ในไตรภูมิกถา ฉบบั กรมศิลปากร (๒๕๕๕) แสดงให้เห็นถึงบทบาทของทา้ วไพศรพณ์มหาราช หรือ ทา้ วเวสสุวรรณ ในการเป็ นหัวหน้าจตุโลกบาล กล่าวคือ ทา้ วจตุโลกบาลเสด็จตรวจตราผูท้ าความดีความชวั่ ในโลกน้ีทุกวนั บางวนั จะส่งเทพบุตรมาแทน เช่น วนั พระ ๘ ค่า ส่วนวนั พระ ๑๕ ค่า จะเสด็จดว้ ย พระองคเ์ อง โดยถือแผน่ ทองสุกและดินสอทาดว้ ยหินแดงตระเวนดูมนุษย์ ถา้ เห็นผใู้ ดทาบญุ ทากรรมกจ็ ะเขียนช่ือผนู้ ้นั ลงใน แผน่ ทองวา่ คนน้ีอยบู่ า้ นน้ีไดก้ ราบ ไหวบ้ ูชาและปฏิบตั ิต่อพระศรีรัตนตรัย เล้ียงดูบิดามารดา สดบั ฟังพระเทศนา มีศีลเมตตา ฯลฯ แลว้ ส่งใหป้ ัญจสิขรเทพบุตรเพื่อถวายแก่พระมาตุลี แลว้ จึงนาไป ถวายแก่พระอินทร์ เทวดาท้งั หลายจะมาอ่านดูในแผน่ ทอง ถา้ เห็นวา่ รายช่ือในแผน่ ทองมีมากก็จะแซ่ซอ้ งสาธุการยนิ ดี ดว้ ยเห็น ว่ามนุษยจ์ ะไดข้ ้ึนสวรรคม์ าเป็น เพื่อนตนอีกมากมาย และจตุราบายก็จะว่างเปล่าลง ถา้ เทวดาเห็นรายชื่อใน แผน่ ทองน้นั นอ้ ยก็จะเสียใจแลว้ กล่าววา่ อนิจจามนุษยโลกทาบุญกนั นอ้ ยนกั คงชวน กนั ทาบาปมาก คงจะ พากนั ไปเกิดในจตรุ าบายเป็นจานวนมาก ตอ่ ไปเมืองสวรรคข์ องเราคงวา่ งลงเป็นแน่ อีกท้งั ยงั แสดงให้เห็นถึงบทบาทของทา้ วเวสสุวรรณมหาราชในการส่ังสอนมนุษย์ และการเป็ น ผูช้ ่วยเหลือใหข้ องวิเศษ กล่าวไวใ้ นไตรภูมิกถาฉบบั น้ี ว่า โดยทา่ นไดใ้ หข้ องวเิ ศษและสั่งสอนเก่ียวกบั ผลของการกระทาบุญกรรม การหมน่ั สร้างบญุ บารมี ตามความตอนท่ีพระเจา้ ศรีธรรมาโศกราชรับสัง่ ใหพ้ ระนางเจา้ อสันธมิตตาถวายผา้ ไตรจีวร จานวนหกหม่ืนสารับ พระไพศรพณ์มหาราช (ทา้ วเวสสุวรรณ) ไดม้ อบผอบวิเศษที่สามารถชกั ผา้ ออกมาไดต้ ามท่ีตอ้ งกา รให้แก่ พระนาง ท้งั น้ีเพราะเมื่อชาติก่อนพระนางไดถ้ วายผา้ เชด็ หนา้ ผนื หน่ึงแด่พระปัจเจกพุทธเจา้ จากเหตกุ ารณ์ที่พระนางไดพ้ บพระไพศรพณ์ทาใหไ้ ดเ้ รียนรู้ พระนาง จึงถวายคติธรรมแก่พระเจา้ ศรีธรรมาโศกราชวา่ ใหห้ มนั่ สร้างความดี ละเวน้ ความชว่ั และต้งั ตนอยใู่ นความไม่ประมาท. ตอน ๔ ความเช่ือเรื่องเทพผูพ้ ิทกั ษ์ศาสนา ที่คนทว่ั ไปรู้จกั กนั ในนาม ท้าวเวสสุวรรณ ยงั พบในรายงานการวิจยั เร่ือง การศึกษาเชิงวิเคราะห์บทบาทและหน้าท่ีทา้ ว มหาราชในพุทธปรัชญาเถรวาทตามทรรศนะพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤๅษีลิงดา) โดย พระทศเทพ ทสธมฺโม และ พระมหาสากล สุภรเมธี มหาวิทยาลยั มหามกุฏราชวิทยาลยั ที่เผยแพร่ในวารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร ปี ท่ี ๕ ฉบบั พเิ ศษ รายงานวา่ พุทธปรัชญาฝ่ ายเถรวาท เชื่อเทวดามีอยจู่ ริง เพราะเทวดาเป็น ส่ิงมีชีวิต แต่มนุษยท์ ว่ั ไปมองไม่เห็น ดว้ ยเพราะอยคู่ นละภพละภูมิกนั หรืออยกู่ นั คนละมิติ เมื่อคร้ังที่พระพทุ ธองคย์ งั ทรงเป็ นพระโพธิสัตวท์ รงบาเพญ็ เพยี รอธิเทวญาณทสั สนะ เป็นญาณทัสสนะพเิ ศษของพระพุทธเจ้า ท่ีทาใหท้ รงรู้เห็นและสามารถ ติดต่อกบั บรรดาเทวดาในสวรรคช์ ้นั ต่างๆ ได้ รวมท้งั ทาใหพ้ ระองคท์ รงทราบรายละเอียดทุกอยา่ งเกี่ยวกบั ชีวิต และความเป็นอยขู่ องเทวดาเหลา่ น้นั เป็นญาณทสั
สนะท่ีพระองคท์ รงพฒั นาใหม้ ีข้ึน ดว้ ยการบาเพญ็ เพียรทางจิตต้งั แต่ยงั ไมต่ รัสรู้ จนกระทงั่ บรรลญุ าณทสั นะน้นั ครบถว้ นสมบูรณ์พร้อมกบั การตรัสรู้ จากเน้ือหา น้ีทาใหเ้ ราไดร้ ู้วา่ เทวดามีกาเนิดมาก่อนพุทธกาล ในรายงานการศึกษาดงั กล่าว ยงั ทาใหท้ ราบถึงท่ีต้งั และลกั ษณะของสวรรคซ์ ่ึงเป็นท่ีอยขู่ องทา้ วจตุโลกบาลท้งั ๔ หรือสวรรคช์ ้นั แรก อนั มี ทา้ วเวสสุวรรณ เป็ นหัวหนา้ หรือผปู้ กครอง ระบุว่า เขาพระสุเมรุเป็ นศูนยก์ ลางของโลกและจกั รวาลมีสัณฐานกลม ลอ้ มรอบไปดว้ ยทะเล มีชื่อเรียกว่า นทีสีทนั ดร ถดั จากนที สีทนั ดร จะเป็นภูเขาสัตตบริภณั ฑ์ (สตั ต แปลวา่ ๗ บริภณั ฑแ์ ปลวา่ วงลอ้ ม) ลอ้ มรอบเขาพระสุเมรุ เป็นท่ีอยขู่ องทา้ วจตมุ หาราช สวรรคช์ ้นั จาตมุ หาราชิกา กล่าว ไดว้ ่าอยู่ใกลช้ ิดกบั มนุษยม์ ากที่สุด เป็ นสวรรคช์ ้นั ต่าท่ีสุดในกามาวจรสวรรค์ ต้งั อย่บู นภูเขายุคนธรซ่ึงสูงคร่ึงหน่ึงของภูเขาสิเนรุ นับจากโลกมนุษยส์ ูงข้ึนไป ๔๒,๐๐๐ โยชน์ มีเทวนคร ๔ นคร ลอ้ มรอบไปดว้ ยกาแพงทองคาท่ีประดบั ดว้ ยแกว้ ๗ ประการ เป็นสถานท่ีประทบั ของ ทา้ วจตุโลกบาล มีหนา้ ที่ดูแลรักษาโลก ท้งั ๔ ทิศ ทา้ วกุเวร หรือทา้ วเวสสุวรรณ มีพวกยกั ษเ์ ป็นบริวาร ประจาทิศเหนือ โดยมีความสูง ๖,๐๐๐ วา เทวดาที่เป็นบริวารมีความสูง ๔,๐๐๐ วา เทวดาช้นั จาตุ มหาราชิกาน้ี จดั เป็นอปุ ปัตติเทพ หมายถึง เทวดาชนิดโอปปาติกะ เทวดาโดยกาเนิด ( ความหมายของ \"โอปปาติกะ” ในศาสนาพุทธ หมายถึง ผูท้ ่ีเกิดผุดข้ึนโดยไม่ตอ้ งอาศยั พ่อแม่ และโตเต็มตวั ในทนั ใด ตามแต่อดีตกรรม ไดแ้ ก่ เทวดา พระ พรหม สตั วน์ รก เปรต อสูร ) ภาพเขาพระสุเมรุ ลายรดน้าหน้าตู้พระธรรมแสดงภาพเขาพระสุเมรุใจกลางจักรวาล (จากsarakadee.com) \"เขาพระสุเมรุ” ตามคติในศาสนาพราหมณ์ ศาสนาพุทธ และศาสนาเชน คือภูเขาที่เป็ นศูนยก์ ลางของโลกหรือจกั รวาล เป็นที่อยขู่ องสิ่งมีวิญญาณในภพและ ภมู ิตา่ ง ๆ ของสตั วโ์ ลก
ในรายงานการวิจยั บทบาทและหน้าที่ทา้ วมหาราชฯ ในพุทธปรัชญาเถรวาท ฉบบั น้ี ยงั แสดงถึงบทบาทที่สาคญั ของทา้ วจตุมหาราช ตามทรรศนะพระราช พรหมยาน (หลวงพ่อฤาษลี ิงดา) ใน ๒ บทบาท คือ บทบาทต่อเทวโลก เป็ นทหารของพระอินทร์มีหนา้ ที่ป้องกนั สวรรคช์ ้ันดาวดึงส์ เพราะว่าเทวดากบั อสุรกายไม่ถูกกนั อสุรกายในสมยั ก่อนเคยอยู่สวรรค์ ดาวดึงส์ แลว้ ก็ถูกพวกเทวดาขบั ไล่ เพราะว่า อสุรกายเป็ นอนั ธพาล ตอ้ งมาอยู่ใตเ้ ขาพระสุเมรุ และบรรดากองทพั ๔ จตุมหาราช อนั ไดแ้ ก่ กองทพั คนธรรพ์ กองทพั กุมภณั ฑ์ กองทพั นาค กองทพั ยกั ษ์ มาประจาอยกู่ ่ึงกลางเขาพระสุเมรุ เพ่ือป้องกนั อสุรกายบุกข้ึนมา ส่วนทา้ วมหาราช(พระอินทร์) ประจาที่ด่านสุดทา้ ย คือ สวรรคช์ ้นั ดาวดึงส์ และบทบาทอันส่งผลต่อมนุษย์โลก คือ มีหน้าที่ควบคุมความประพฤติของมนุษย์ ถา้ สร้างความดีก็ จะส่งเทวดาไปอารักขา เช่น นักบวชและผูท้ ่ีปฏิบตั ิ กรรมฐาน แลว้ บนั ทึกความดีของมนุษยล์ งในบญั ชีบุญ แลว้ รายงานตอ่ พระอินทร์ที่เทวสถาน ถา้ สร้างความชว่ั ก็สุดวิสัยที่จะช่วย จึงจดบนั ทึกความชว่ั ท่ีทาลงใน บญั ชีบาป แลว้ ให้เทวดา ๔ องค์ ที่เรียกวา่ เทวทูต นาบญั ชีบาปไปส่งยงั สานกั พระยายม เพื่อพิจารณาตดั สินเม่ือหลงั จากตายแลว้ วา่ ควรจะไปชดใชก้ รรมในนรก ขมุ ไหน ภาพลายเส้นเทวดา นางฟ้า ในจิตรกรรมไทย
นอกจากน้ี ยงั ทาให้ทราบถึงการจะไปเกดิ เป็ นเทวดา ณ สวรรค์ช้ันจาตุมหาราช ตอ้ งถึงพร้อมดว้ ย บุญกิริยาวัตถุ ๓ ไดแ้ ก่ บุญกิริยาวตั ถุสาเร็จดว้ ยทาน (ทาน มยั ) บุญกิริยาวตั ถุสาเร็จดว้ ยศีล (ศีลมยั ) บญุ กิริยาวตั ถสุ าเร็จดว้ ยภาวนา(ภาวนามยั ) ดว้ ยทา้ วมหาราชมีฐานะเหนือเทพยดาท้งั ปวง ประกอบดว้ ย ๑๐ ประการคือ มี อายทุ ิพย์ วรรณทิพย์ สุขทิพย์ ยศทิพย์ อธิปไตยทิพย์ รูปทิพย์ เสียงทิพย์ กล่ินทิพย์ รสทิพย์ และ โผฏฐพั พทิพย*์ *โผฏฐพั พทิพย์ หมายถึง ส่ิงที่มาถกู ตอ้ งกาย, สิ่งที่กายสมั ผสั แตะตอ้ งได้ ไดแ้ ก่ อารมณ์หรือสัมผสั ที่มีลกั ษณะเยน็ ร้อน อ่อน แขง็ หยาบ ละเอียดเป็นตน้ ซ่ึงมา กระทบหรือสมั ผสั กบั กาย ทาใหก้ ายสามารถรู้สึกไดถ้ ึงลกั ษณะน้นั เม่ือบุญถึงพร้อมส่งผลใหไ้ ปเกิดเป็ นเทวดาบนสวรรคแ์ ลว้ หลายคนอาจเกิดขอ้ สงสัยวา่ ทาไมเทวดาจึงมหี น้าตาทแ่ี ตกต่างกนั ซ่ึงควรมีจะหนา้ ตาสวยงามปาน เทพบุตรและเทพธิดา เทวดาบางองค์หรือแมแ้ ต่ทา้ วมหาราช ผูป้ กครองเหล่าเทวดา ในที่น้ีคือ \"ท้าวเวสสุวรรณ” จึงมีหนา้ ตาที่ดุดนั เป็นยกั ษม์ ีเข้ียวดูหน้ากลวั เร่ืองน้ีในทางพุทธศาสนาตอบไดว้ า่ อยทู่ ่ีบญุ ทากรรมแต่งสะสมบญุ หรือทาบาปอะไรมาแต่ในอดีตชาติ จะแสดงผลต่อภพภูมิในปัจจุบนั หรือภพต่อไป การเกิดมา หนา้ ตาดีผวิ พรรณผดุ ผอ่ งสวยงามดว้ ยเป็นผูท้ ี่มีพฤติกรรมการแสดงออกที่สารวม จะทาส่ิงใดมกั ทาดว้ ยอารมณ์และความรู้สึกท่ีผอ่ งใส ไม่ขนุ่ มวั ควบคุมอารมณ์ ไดด้ ี มีนิสัยท่ีอ่อนโยนโกรธคนยาก แมจ้ ะถูกผอู้ ื่นกระทาไม่ดีแต่ก็ไม่โตต้ อบดว้ ยการกระทาไม่ดีกลบั คือมนุษยท์ ่ีคิดบวกมองโลกในดา้ นดี จึงส่งผลใหเ้ กิดมามี หนา้ ตาสวยงามราวเทพบตุ รเทพธิดา ประติมากรรมจตโุ ลกบาล เทพผู้ปกครองสวรรค์ช้ันจาตุมหาราชิกา (ประกอบงานหน้าพระเมรุฯ ในหลวงรัชกาลที่ ๙) ในทางตรงกันข้ามแม้คนผู้น้ันจะครองตนอยู่ในศีลในธรรม ชอบทาบุญทาทานช่วยเหลือผูต้ กทุกข์ไดย้ ากอย่างสม่าเสมอและรักในความถูกตอ้ งยุติธรรม ตลอดที่มีชีวิตอยกู่ ็ตาม แต่ถา้ เป็ นคนท่ีหงุดหงิดโมโหง่าย ทาอะไรมกั ทาดว้ ยโทสะ ชอบแสดงอานาจดุด่าว่ากล่าวคนอ่ืน หรือแมแ้ ต่ชอบลงั แกคนที่อ่อนแอกว่า ถา้ ในภพมนุษยไ์ ดส้ ะสมบุญกศุ ลมาเช่นน้ี แมจ้ ะเคยทาบุญใหญ่ดว้ ยการช่วยเหลือพระพุทธองค์ หรือค้าจุนนกั บวชและสาวกของพระพุทธเจา้ เม่ือครันสิ้นชีวติ ไป
จุติในภพเทวดาจึงมีหน้าตาเป็ นยกั ษ์แม้จะอยู่ในสถานะเทพก็ตาม เม่ือมีผูท้ าให้โกรธเคืองก็จะมีเข้ียวงอกออกมาให้ผูอ้ ่ืนเกรงกลวั เฉกเช่น \"ท้าวเวสสุว รรณ” มหาราชผูป้ กครองสวรรคช์ ้นั จาตุมหาราชิกา ท่ีมีจิตใจเมตตาคอยช่วยเหลือมนุษยท์ ี่อยใู่ นศีลในธรรม แต่ก็มีหนา้ ที่ปกครองและการาบพวกยกั ษ์ มาร อสูร และบรรดาอมนุษยท์ ้งั หลาย หรือแมแ้ ต่ควบคุมเทวดาที่แตกแถว ไม่ให้เบียดเบียนหรือทาร้ายกนั เทพองคน์ ้ีจึงมีท้งั หนา้ ตางดงามหรือปางเทพบุตร และมีหนา้ ยกั ษท์ ่ีดุดนั ตามคติความเชื่อของชาวพทุ ธนน่ั เอง ตอน ๕ ไดโ้ อกาสสืบสาวราวเร่ืองราวคติความเชื่อเก่ียวกบั #ท้าวเวสสุวรรณ ทาให้เขา้ ใจและไดร้ ู้ถึงวิธีปฏิบัติที่ถูกต้องต่อเทวดาหรือเทพ ที่จัดให้เป็ นเทวดาใน ด้านบวก ดว้ ยเทพองคน์ ้ีมีความเลื่อมใสศรัทธาในพระพทุ ธเจา้ และคอยอาสาช่วยเหลือสงเคราะห์งานท่ีเป็นบุญกุศลทางพระพุทธศาสนา ท้งั ยงั คุม้ ครองคน ที่ปฏิบตั ิธรรม จึงเทา่ กบั วา่ เทพองคน์ ้ีไดแ้ สดงบทบาทช่วยเหลือคนทาความดี ถือเป็นวิธีการบาเพญ็ บญุ กุศลไปในตวั ดว้ ยม่งุ หวงั พฒั นาตนใหพ้ น้ จากกิเลส ตณั หา เพื่อให้บรรลุมรรคผลนิพพาน อนั เป็ นเป้าหมายสูงสุดของพุทธศาสนา เช่ือว่าเหล่าทา้ วมหาราชและเทวดาบางองค์ บรรลุธรรมถึงข้นั โสดาบนั ซ่ึงมี สถานะเป็ นถึงพระอริยเจา้ การแสดงออกดว้ ยการบูชาเทวดาจึงเป็ นเรื่องสมควรทา เพราะไม่ขดั ต่อพระรัตนตรัย โดยพระพุทธองคท์ รงสอนให้สาวกมี ความเคารพเทวดาดว้ ย \"การเจริญเทวตานุสสติกรรมฐาน” จิตรกรรมเขาพระสุเมรุ แสดงภาพสวรรค์ช้ันต้น (กามาวจรสวรรค์) เรื่อง #การเจริญเทวตานุสสติกรรมฐาน หลวงป่ ูเทสก์ เทสรังสี วดั หินหมากเป้ง จงั หวดั หนองคาย ท่านได้ให้ความกระจ่างชัดว่า \"เทวตานุ สติ” หมายถึง \"การระลึกถึงธรรมอันทาบุคคลให้เป็ นเทวดา คนเราทุกคนย่อมอยากเป็ นคนดี อยากเป็ นเทวดา เป็ นอินทร์ เป็ นพรหม หรืออยาก
บริสุทธ์ิ พน้ จากทุกข์ มีความปรารถนาดว้ ยกนั ทุกคน แต่เม่ือมาไดเ้ พียงมนุษยสมบตั ิ ก็นบั วา่ ดีอกั โขแลว้ เพราะถือเป็ นพ้ืนฐานที่จะตกแต่งใหม้ นุษย์ ไปเป็นเทวดา อินทร์ พรหม ต่อไป มนุษยท์ ี่มีสมบตั ิ คือมีอวยั วะครบครันบริบูรณ์ ไม่บา้ ใบเ้ สียจริตผิดมนุษย์ นบั ว่าดีอยแู่ ลว้ ขอให้ต้งั หลกั ฐานการ เป็นมนุษยท์ ่ีสมบูรณ์น้ีใหม้ น่ั คงเถิด” หลวงป่ ูเทสก์ ท่านได้ให้แง่คิดไวใ้ นเบ้ืองต้นการจะเป็ นเทวดาได้ จะต้องเป็ นมนุษย์ที่สมบูรณ์ด้วยมนุษยธรรมเสียก่อน เหตุน้ันท่านจึง เรียกวา่ \"มนุสฺโส” เกิดข้ึนมาเป็น มนุสฺโส แลว้ จึงคอ่ ยพฒั นาไปเป็น \"มนุสฺสเทโว” ตอ่ ไป การที่จะเป็นมนุสฺสเทโวได้ ก็ตอ้ งมีธรรมะเป็นเคร่ืองมืออยู่ เปรียบเหมือนกบั พ่อคา้ แม่คา้ ถา้ ทาการคา้ ขาย ก็เรียกพ่อคา้ แม่คา้ ทาไร่ทานา ก็เรียกว่าชาวไร่ ชาวนา ถา้ ทาราชการ ก็เรียกวา่ ขา้ ราชการ ฉะน้นั การท่ี เป็นเทวดาได้ ก็เพราะมีธรรมอนั ทาให้เป็ นเทวดาธรรม น้นั คือ \"หิริ” ความละอายแก่ใจ และ \"โอตฺตปฺป” ความเกรงกลัวต่อบาป หิริ โอตฺตปฺป น้ีเป็ น ธรรมที่สาคญั เพราะเป็ นพ้ืนฐานของศีล เป็ นตน้ ตอของการรักษาศีลต่างๆได้ ธรรม ๒ ขอ้ น้ีจึงเป็นพ้ืนฐานท่ีพฒั นามนุษยใ์ ห้เป็นเทวดา ดงั น้นั มนุษย์ จึงควรท่ีจะสร้างคุณธรรมใหม้ ีข้ึนในตน เม่ือมีข้ึนแลว้ จึงเพ่ิมพนู ใหเ้ จริญงอกงามยง่ิ ข้ึนต่อๆไป ท้าวสหัมบดพี รหม พร้อมเหล่าเทวดาเข้าเฝ้าพระพทุ ธองค์ เพื่ออาราธนาให้ทรงแสดงธรรมโปรดเหล่าสรรพสัตว์ท้ังหลาย คาสอนของพระพทุ ธองค์ ทาใหเ้ ขา้ ใจและมองเห็นไดก้ ระจ่างชดั เกี่ยวกบั กรรมหรือการกระทาท่ีส่งผลใหไ้ ปเกิดเป็นเทวดาในภาพรวม ไม่แบง่ วา่ จะ ไปเกิดในสวรรคช์ ้นั ไหน นน่ั คือ การประพฤติสุจริตทางกาย ทางวาจา และทางใจ ดงั พระพุทธพจน์ ท่ีวา่ \"อานนท์ กายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต ท่ีเรากล่าวว่าควรทาโดยส่วนเดย๋ี วนี้ เมื่อผ้ใู ดกระทาก็พงึ หวงั อานิสงส์ต่อไปนี้ คือ ตนเองกก็ ล่าวโทษตนเอง ไม่ได้ วิญญชู นท้ังหลายใคร่ครวญแล้วย่อมสรรเสริญ กติ ตศิ ัพท์อนั ดีงามย่อยขจรไป ตายไปกไ็ ม่หลงฟั่นเฟื อน เม่ือกายแตกทาลาย ภายหลงั มรณะ ย่อม เข้าถึงสุขคตโิ ลกสวรรค์”
โดยทวั่ ไปกายสุจริต หมายถึง การไม่ฆ่าไมเ่ บียดเบียนชีวิตผอู้ ่ืน การไม่ลกั ขโมย หรือยึดสิ่งของของผอู้ ื่นมาเป็ นของตน และการไม่ประพฤติผิดทาง เพศ วจีสุจริต หมายถึง การไมพ่ ดู เทจ็ ไมพ่ ูดคาหยาบ ไมพ่ ดู จาไร้สาระ และไมพ่ ดู ส่อเสียด มโนสุจริต หมายถึง ไมล่ ะโมบ อยากไดข้ องผอู้ ่ืน ไม่คิดปอง ร้ายผอู้ ่ืน และมีความคิดเห็นท่ีถูกตอ้ งในครรลองครองธรรม และคาสอนของพระพทุ ธองค์ ยงั ระบุวา่ บคุ คลทาความดีเหมือนกนั (เช่น ประพฤติสุจริต หรือรักษาศีล ๘) แตต่ ายแลว้ เหตุใดจึงไปเกิดเป็นเทวดาใน สวรรคช์ ้นั ตา่ งกนั ที่เป็นเช่นน้ีเพราะ #ความต้งั ใจของแต่ละบุคคลต่างกนั กล่าวคือ บคุ คลบางคนอาจมีความช่ืนชมในสวรรคช์ ้นั ใด ช้นั หน่ึงเป็นพเิ ศษ ก็ สามารถต้งั ความปรารถนา ที่จะไปเกิดในสวรรคช์ ้นั น้นั ไดต้ ้งั แต่สมยั ยงั ชีวิตอยู่ โดยหมน่ั บาเพญ็ คุณความดีและต้งั จิตอธิษฐานขอให้ไดไ้ ปเกิดเป็ น เทวดาในสวรรคช์ ้นั ที่ตนปรารถนา พระพุทธเจา้ เทศนาธรรมโปรดเหลา่ พระสาวกท้งั หลาย ดงั พุทธดารัส ท่ีว่า \"ดูกรสารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้ มีความมุ่งหวัง (ในผลบุญ) จึงให้ทาน มีจิตผูกพนั (ในผลทาน) จึงให้ทาน มีจิตมุ่งสะสม บุญจงให้ ทาน เขาย่อมให้ทานด้วยคิดว่า เราละโลกนีไ้ ปแล้วจะเสวย (ผลแห่งทานน้ัน) เขาจึงให้ ข้าว น้า ผ้า ยานพาหนะ ดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบ ไล้ ที่นอน ท่ีอยู่ และประทีป เป็ นทานแก่สมณะ พราหมณ์... ดูกรสารีบุตร เขาคร้ันให้ทานน้ันแล้วตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็ นสหายของเหล่าเทวดา ช้ันจาตมุ หาราชิกา” ถึงแมว้ า่ การไปเกิดเป็นเทวดาดูเหมือนวา่ จะสูงส่งและดีกวา่ การเกิดเป็นมนุษย์ เพราะเทวดาอยใู่ นภาวะเป็นทิพย์ มีอิทธิฤทธ์ิปาฏิหาริย์ และไมต่ อ้ ง ต่อสู้ดิ้นรนทามาหากินเหมือนมนุษย์ แต่ตามหลกั ในพระคมั ภีร์ ถือวา่ การเกิดเป็ นมนุษยห์ รือเทวดาอยใู่ นฐานะเดียวกนั คือ เป็นการเกิดใน สุคติภูมิ
พระพุทธเจา้ ยงั ทรงตรัสถึง ข้อได้เปรียบของมนุษย์ที่เหนือกว่าเทวดาไว้ ๓ ประการ คือ (๑) เป็ นผู้ที่กล้าหาญกว่า (๒) เป็ นผู้มีสติดีกว่า และ (๓) มี โอกาสท่ีจะรักษาพรรมจรรย์ได้ดีกว่า ท่ีเป็ นเช่นน้ีเนื่องจากการเกิดเป็ นเทวดาแมจ้ ะมีขอ้ ดีหลายประการท่ีมนุษยไ์ ม่มี โดยเฉพาะความสุขความสบาย อยากไดส้ ิ่งใดก็เพียงนึกหรือเนรมิตเอา แตข่ อ้ ดีเหล่าน้ีอาจทาใหเ้ ทวดาหลงระเริงขาดสติไดง้ า่ ย และไม่มีโอกาสที่จะเห็นความทุกขย์ าก อนั เป็นความ ความจริงของสิ่งมีชีวิตประจาโลกมนุษย…์ ตอน ๖ (จบบริบูรณ์) าสไดพ้ บรูปเคารพยกั ษต์ วั สูงใหญ่ที่หนา้ ตาหนา้ ดุดนั เข้ียวยาวน่ากลวั แสดงท่าทางขึงขงั ในมือมีคฑาวธุ หรือกระบองอาวุธตามตานาน ซ่ึงถือเป็ นหน่ึงในสี่ของ อาวธุ ท่ีร้ายกาจท่ีสุดของเหล่าเทพ มีอานุภาพร้ายแรง สามารถประหารชีวิตยกั ษไ์ ดท้ นั ทีพร้อมกนั เป็นร้อยตน ดงั ปรากฏใน ฎีกามาลยั เทวสูตร พระสุตตนั ตปิ ฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ ว่า \"คฑาวุธของทา้ วเวสสุวณั น้ันเป็ นยอดแห่ง ศาสตราวุธท่ีมีอานุภาพสามารถทาลายลา้ งโลกมนุษยใ์ ห้เป็ นจุณในชวั่ พริบตา” และความเช่ือที่วา่ ท่านเป็นเทพผปู้ กครองควบคุมบรรดายกั ษ์ ภตู ผปี ี ศาจต่างๆ คติความเชื่อน้ีอาจมีผลทาใหค้ นเกิดความเกรงกลวั ไม่กลา้ ทาส่ิงไมด่ ีท้งั ต่อ หนา้ และลบั หลงั ก็เป็นได้ ท้าวเวสสุวัณ ภาคน่ังบลั ลงั และภาคเทพบุตรสูตเิ ทพ ณ วดั จุฬามณี จงั หวดั สมุทรสงคราม และบทบาทท่ีส่งผลต่อพฤติกรรมของชาวพุทธ ให้ใชช้ ีวิตดว้ ยความระมดั ระวงั และอยูใ่ นครรลองคลองธรรม ท่ีสาคญั คือ ทุกวนั พระ ๑๕ ค่า ทา้ วเวสสุวณั หรือเวสสุวรรณ จะลงมาสารวจโลกมนุษยพ์ ร้อมจดบนั ทึกคุณงามความดีของมนุษยล์ งแผน่ ทอง ผใู้ ดไดก้ ระทากรรมดีเจริญในธรรมอยา่ งสม่าเสมอ ทา่ นจะนาไป รายงานต่อสภาของเทพ เม่ือคนผนู้ ้นั หลุดพน้ จากภพมนุษยแ์ ลว้ จึงอาจส่งผลใหเ้ ป็ นเกิดเป็นเทวดาในช้นั ต่างๆ แตใ่ นทางกลบั กนั ถา้ พบมนุษยท์ าความชวั่ ช่ือของ
ผทู้ ี่กรรมชว่ั จะถูกจดบนั ทึกในบญั ชีดาและนาส่งไปใหพ้ ญายมบาล พิจารณาตดั สินวา่ ควรจะไปชดใชก้ รรมในนรกขมุ ไหน ในส่วนวนั อ่ืน วนั พระ ๘ ค่า จะมีเทพ บริวารลงมาสารวจความดีความชว่ั ของมนุษยแ์ ทน ความเช่ือน้ีจึงมีผลใหค้ นเกรงกลวั ท่ีจะทาบาป มนั่ ทาความดี เพื่อมงุ่ หวงั จะไปเกิดในภพภูมิสวรรค์ นนั่ เอง คติความเชื่อในทา้ วเวสสุวณั ส่งผลให้ผคู้ นแสดงออกถึงความศรัทธาในรูปแบบต่างๆ เช่น การสร้างรูปเคารพไวย้ งั สถานที่สาคญั ทางศาสนา เพ่ือให้คนได้ กราบไวบ้ ูชา และเตือนสติไม่ใหพ้ ล้งั เผลอไปทาความชว่ั และยงั พบการสร้างวตั ถุมงคลในหลากหลายรูปแบบ เช่น ผา้ ยนั ตป์ ้องกนั ภยั เสริมมงคล มีดหมอใชก้ นั ภตู ผสี ิ่งอปั มงคล รวมไปถึงวตั ถุมงคลรูปแบบต่างๆ ท่ีใชบ้ ูชาติดตวั ไมต่ ่างจากพระเครื่องท่ีคนไทยใหค้ วามนิยม นอกจากน้ีตามสถานที่ตา่ งๆ เช่น บริษทั หา้ งร้าน ยงั นิยมบชู ารูปเคารพทา้ วเวสสุวรรณ ดว้ ยมุ่งหวงั ใหท้ ่านไดป้ กป้องคุม้ ครอง และช่วยเหลือใหธ้ ุรกิจการคา้ เจริญรุ่งเรือง ร่ารวยทรัพยส์ ินเงินทอง เฉกเช่นช่ือต่างๆ ท่ีใชเ้ รียกขานนอกเหนือจากทา้ วเวสสุวณั คือ พระธนบดี (ผเู้ ป็นใหญใ่ นทรัพย)์ พระธเนศวร (เจา้ แห่งทรัพย)์ พระอจิ ฉาวสุ (มง่ั มีไดต้ ามใจ) เป็นตน้ การท่ีชาวพุทธมีเช่ือถือศรัทธาและแสดงออกดว้ ยการสักการบูชาท้าวเวสสุวัณ และเทพต่างๆน้ี จึงเป็นการแสดงออกที่มีเหตุมีผล เป็ นการให้เกียรติเทวดาที่มี คุณธรรม พุทธศาสนิกชนจึงควรปฏิบตั ิอย่างเหมาะสมต่อเทวดาโดยไม่ให้เสียหลกั ธรรมของพระพุทธศาสนา ซ่ึงสามารถทาได้ ๔ แนวทาง คือ (๑) เทวตา พลี ทาบุญอุทิศส่วนกุศลให้เทวดา เช่น บริจาคทรัพยเ์ พ่ือประโยชนส์ าธารณะและอทุ ิศคุณความดีใหเ้ ทวดา (๒) เทวตานุสติ ระลึกถึงคุณธรรมท่ีทาใหเ้ ป็นเทวดา โดยใหน้ าแบบอยา่ งท่ีดีมาถือปฏิบตั ิตาม ไดแ้ ก่ การถือศีล ทาสมาธิ และการเจริญ ปัญญา(๓) เจริญเมตตาจิตต่อเทวดา เช่น การสวดบทเมตตาสูตร เพอ่ื แผเ่ มตตา ให้สัตวท์ ้งั หลายรวมถึงเทวดาแสดงความปรารถนาดีต่อกนั ไม่เบียดเบียนกนั ให้มีความสุขกนั ถว้ นหน้า เทวดาไดย้ ินจึงเกิดความยินดีและให้การคุม้ ครอง (๔) อัญเชิญเทวดามาเป็ นสักขีพยานในการทาความดี ทาเมื่อเริ่มตน้ จดั งานสาคญั หรืองานบุญ ท่ีชาวพุทธถือปฏิบตั ิกนั ทว่ั ไป คือ การสวดชุมนุมเทวดาหรืออญั เชิญ เทวดามาประชุมร่วมกนั เพ่อื ทาความดี ร่วมอนุโมทนาบญุ ในการทาความดีของเรา นน่ั เอง ๔ แนวทาง ท่ีกล่าวมาน้ี จึงเป็นการแสดงออกท่ีเหมาะสม ไม่ขดั กบั หลกั การของพุทธศาสนา เป็นการกระทาท่ีใหเ้ กียรติซ่ึงกนั และกนั ในฐานะเพอื่ นร่วมโลก แมจ้ ะอยคู่ นละมิติ แต่ยงั ตอ้ งฝึ กฝนและพฒั นาตนเองใหพ้ น้ จากอานาจกิเลศตณั หาท้งั ปวง พบหนทางท่ีสะอาด สว่าง และสงบ เพ่ือจะไดบ้ รรลุมรรคผลนิพพาน อนั เป็นเป้าหมายสูงสุดของศาสนาพุทธ
การเชื่อถือศรัทธาอะไรก็ตาม เม่ือทาดว้ ยเหตดุ ว้ ยผล เขา้ ใจหลกั ของธรรมชาติวา่ \"ส่ิงใดๆในโลกนลี้ ้วนเกยี่ วข้องเช่ือมโยง เกื้อกลู ซ่ึงกนั และกนั \" การเคารพบูชา ส่ิงท่ีมองไม่เห็นและจบั ตอ้ งไดย้ ากน้ี จึงเป็ นส่ิงท่ีสามารถทาไดภ้ ายใตค้ วามพอดี ดว้ ยมุ่งหวงั ให้เป็ นที่พ่ึงทางจิตใจ ทาแลว้ เกิดความสบายใจไม่ทาให้ผูอ้ ื่นและ ตนเองตอ้ งเดือดร้อน ที่สาคญั ตอ้ งไม่หยอ่ นยานในหลกั ธรรมของพระพุทธองคท์ ี่วา่ ตนเป็นท่ีพ่งึ แห่งตน ไมม่ ีสิ่งศกั ด์ิสิทธ์ิใดๆในโลกจะสามารถบนั ดาลทุกอยา่ ง ใหไ้ ดต้ ามที่ปรารถนา กรรมหรือการกระทาเท่าน้นั ที่จะส่งผลตอ่ ตวั ผนู้ ้นั ใหย้ ดึ มนั่ ในการทาความดี #\"ทาดีได้ดี ทาช่ัวได้ชั่ว” คือ กฎแห่งกรรม ...เป็นเช่นน้ีแล ท่ีมา : พระไตรปิ ฎกฉบบั ประชาชน. สุชีพ ปุญญานุภาพ (๒๕๕๐) กรุงเทพฯ กรมการศาสนา กระทรวงวฒั นธรรม / พระไตรปิ ฎกฉบบั มหามกุฏราช วทิ ยาลยั ๒๕๕๒ / ทา้ วเวสสุวณั คือใครในคมั ภีร์ทางพทุ ธศาสนาและฮินดู บทความวจิ ยั วารสารมนุษยศาสตร์ ปี ท่ี ๑๔ ฉบบั ที่ ๓ ประจาเดือนกนั ยายน - ธนั วาคม ๒๕๖๐ มหาวิทยาลยั นเรศวร / ทา้ วเวสสุวณั ในสังคมและวฒั นธรรมไทย วารสารรามคาแหง ฉบบั มนุษยศ์ าสตร์ ปี ที่ ๓๖ ฉบบั ท่ี ๒ / การศึกษาเชิงวิเคราะห์ บทบาทและหนา้ ที่ทา้ วมหาราชใน พุทธปรัชญาเถรวาทตามทรรศนะพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤๅษีลิงดา) มหาวิทยาลยั มหามกุฏราชวิทยาลยั วารสารสันติ ศึกษาปริทรรศน์ มจร ปี ที่ ๕ ฉบบั พิเศษ
เรื่องของท้าวเวสสุวรรณที่ปรากฏในพระไตรปิ ฏก พระสุตตนั ตปิ ฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๒ - หนา้ ท่ี 151 บทว่า เพราะฉะน้นั มหาชนจึงเรียกทา้ วกุเวรมหาราชว่า ทา้ วเวสวณั ดงั น้ี มีเรื่องเล่าว่า เม่ือพระพุทธเจา้ ยงั ไม่อุบตั ิ ทา้ วมหาราชน้ีเป็นพราหมณ์ ชื่อ กุเวร ไดส้ ร้างโรงหีบออ้ ย ประกอบเครื่องยนต์ ๗ เครื่องกุเวรพราหมณ์ไดใ้ ห้ผลกาไรซ่ึงเกิดข้ึนท่ีโรงเครื่องยนต์แห่งหน่ึง แก่มหาชนที่มาแลว้ มาแลว้ ได้ กระทาบุญ. ผลกาไรที่มากกว่า ไดต้ ้งั ข้ึนในที่น้นั จากโรงที่เหลือ กุเวรพราหมณ์เลื่อมใสดว้ ยบุญน้นั จึงถือเอาผลกาไรท่ีเกิดข้ึน แมใ้ นโรงท่ีเหลือ ใหท้ ่านตลอด สองหม่ืนปี . เขาไดถ้ ึงแก่กรรมไปเถิดเป็น เทพบุตรชื่อกุเวร ในสวรรคช์ ้นั จาตุมมหาราชิกา. ต่อมาไดค้ รองราชสมบตั ิในราชธานีชื่อ วิสาณะ. ต้งั แต่น้นั จึง เรียกวา่ ทา้ วเวสวณั . ................ พระสุตตนั ตปิ ฎก องั คุตรนิกาย สตั ตก-อฏั ฐก-นวกนิบาต -หนา้ ที่ 154 ก็สมยั น้นั แล นนั ทมารดา อุบาสิกา ชาวเมืองเวฬุกณั ฏกะ ลุกข้ึนในเวลาใกลร้ ุ่ง สวดปารายนสูตรทานองสรภญั ญะ สมยั น้นั ทา้ วเวสวณั มหาราชมี กรณียกิจบางอย่าง เสด็จจากทิศอุดรไปยงั ทิศทกั ษิณไดท้ รงสดับนันทมารดาอุบาสิกาสวดปารายนสูตรทานองสรภญั ญะประทบั รอฟังจนจบ ขณะน้ัน นันทมารดาอุบาสิกา สวดปารายนสูตร ทานองสรภญั ญะจบแล้วนิ่งอยู่ ทา้ วเวสสวณั มหาราชทรงทราบว่ากถาของนันทมารดาอุบาสิกาจบแลว้ จึงทรง อนุโมทนาวา่ สาธุนอ้ งหญิง สาธุ นอ้ งหญิง นนั ทมารดาอุบาสิกาถามวา่ ก่อนท่านผมู้ ีพกั ตร์อนั เจริญ ทา่ นน้ีคือใครเลา่ . ................ เว. ดูก่อนนอ้ งหญิง เราคือทา้ วเวสสวณั มหาราช ภาดาของเธอ. บทว่า โก ปเนโส ภทฺรมุข ความว่า เพราะเสียงที่ดงั ถึงเพียงน้ี กอ้ งไปในท่ี ๆ มี อารักขาไวด้ งั น้ี นนั ทมารดาอริยสาวกิ า ผบู้ รรลผุ ล ๓ แลว้ ปราศจากความเกรงกลวั ปิ ดหนา้ ต่าง มีสีเหมือนแผน่ ทองคา กล่าววา่ พ่อปากดี พอ่ ปากงาม ท่าน น้ีเป็ นใคร เป็ นนาคหรือครุฑ เป็ นเทวดา เป็ นมาร หรือเป็ นพรหม ดงั น้ีแลว้ เม่ือจะกล่าวกบั ทา้ วเวสวณั จึงกล่าวอย่างน้ี. บทว่า อหนฺเต ภคนิ ภาตา ความวา่ ทา้ วเวสวณั ทรงสาคญั พระอริยสาวิกาผเู้ ป็นพระอนาคามีวา่ พเ่ี พราะพระองคเ์ องเป็นพระโสดาบนั จึงตรัสวา่ ภคินิพี่ทา่ น แลว้ จึงสาคญั พระอริยสาวิกา
ผูเ้ ป็ นพระอนาคามีน้ันน้ันว่าเป็ นนอ้ งของพระองค์อีก เพราะนางยงั อยู่ในปฐมวยั แต่พระองค์แก่กว่า เพราะทรงมีพระชนมายุ ๙ ลา้ นปี แลว้ จึงตรัสเรียก พระองคเ์ องวา่ ภาตาพี่ชาย. ................ พระสุตตนั ตปิ ฎก ขทุ ทกนิกาย สุตตนิบาต เลม่ ๑ ภาค ๖ - หนา้ ท่ี 365 ในบทวา่ ราชาปิ ต เวสฺสวโณ กเุ วโร น้ีมีอธิบายวา่ ยกั ษน์ ้นั ช่ือวา่ เป็นพระราชาเพราะอรรถวา่ เป็นท่ียนิ ดี ชื่อวา่ เวสวณั เพราะครองราชสมบตั ิในวิสาณราชธานี. พึงทราบวา่ ชื่อวา่ กเุ วรตาม ช่ือเดิม. ไดย้ ินมาว่ายกั ษช์ ื่อกุเวรน้นั เป็ นพราหมณ์มหาศาล ทาบุญมีทานเป็ นตน้ เกิดเป็ นใหญ่ในวิสาณราชธานี เพราะฉะน้นั จึงเรียกว่า กุเวร. ดงั ท่ีท่าน กลา่ วไวใ้ นอาฏานาฏิย-สูตรวา่ กเุ วรสฺส โข ปน มาริสา มหาราชสฺส วสิ าณา นาม ราชธานี ตสฺมา กเุ วโร มหาราชา เวสฺสวโณติ ปวจุ ฺจติ. ................ ความวา่ ขา้ แต่ทา่ นผนู้ ิรทกุ ขท์ ้งั หลาย ราชธานีชื่อวา่ วสิ าณะเป็นของทา้ วกเุ วรมหาราช เพราะฉะน้นั ทา้ วกุเวรมหาราชจึงมีช่ือวา่ เวสวณั . ในพระสูตรที่ช่ือวา่ “อาฏานาฏิยะ” กล่าววา่ ทา้ วกุเวร ต้งั เมืองอยใู่ นอากาศ ขา้ งทิศท่ีอุตรกุรุทวีป (เหนือ) และ เขาพระสุเมรุ ยอดสุทศั น์ (ที่เป็นผาทอง) ต้งั อยู่ มี ราชธานี 2 ชื่อ คือ อาลกมนั ทา และ วิสาณา มีนครอีก 8 นคร ................ ทา้ วกเุ วร หรือ ทา้ วเวสสุวรรณน้นั ยงั มีชื่ออีกหลายชื่อ เช่น ธนบดี หมายถึง ผเู้ ป็นใหญใ่ นทรัพย์ ธเนศวร หมายถึง ผเู้ ป็นเจา้ แห่งทรัพย์ อิจฉาวสุ หมายถึง มงั่ มีไดต้ ามใจ ยกั ษร์ าชหมายถึง เจา้ แห่งยกั ษ์ มยรุ าช หมายถึง เป็นเจา้ แห่ง กินนร รากษเสนทร์ หมายถึง ผเู้ ป็นใหญ่ในพวกรากษส ส่วนในเรื่องรามเกียรต์ิ เรียกทา้ วเวสสุวรรณวา่ ทา้ วกเุ รปัน ................
ตามหลกั ฐานในคมั ภีร์ทางพทุ ธศาสนา ยนื ยนั วา่ \"ทา้ วกุเวร\" หรือ \"ทา้ วเวสสุวรรณ\" เทวราชพระองคน์ ้ี ไดส้ าเร็จเป็น พระอริยบุคคลช้นั โสดาบนั เม่ือคร้ัง \"จุลสุภทั ทะ ปริพาชก\" เกิดความสงสัยในความเป็ นมาแห่ง องคส์ มเด็จ พระพุทธเจา้ ท่าน \"ทา้ วเวสสุวรรณ\" องคน์ ้ีแหละ ที่ไดเ้ สด็จไปร่วมตอ้ นรับดว้ ย และ ยงั เป็นประจกั ษพ์ ยาน เร่ืองพระมหาโมคคลั ลานะ ใชเ้ ทา้ จิกพ้ืนไพชยนตวมิ าน ของพระอินทร์จนเกิดการ สั่นสะเทือนไป ท้งั ดาวดึงส์ เทวโลก อนั เป็นการเตือนสติ สักกะเทวราชอีกดว้ ย และก็เชื่อกนั ตาม ฎีกามาลยั เทวสูตร พระสุตตนั ตปิ ฎก สังยตุ ตนิกาย สคาถวรรค เล่ม 1 ภาค 2 - หนา้ ท่ี 435 ว่า \"คทาวุธ\" ของ \"ทา้ วเวสสุว รรณ\" น้นั เป็นยอดศสั ตราวธุ มีอานุภาพสามารถทาลายโลกใบน้ีใหเ้ ป็น จุณวจิ ุณภายในพริบตา ................ จะเห็นไดว้ า่ ทา้ วกุเวร หรือ ทา้ วเวสสุวรรณน้นั ท่านเป็ นเทพที่สาคญั ยง่ิ ใหญ่พระองคห์ น่ึง ที่พิทกั ษร์ ักษา พระพุทธศาสนา ไม่ย่ิงหยอ่ นไปกวา่ ท่านทา้ ว สกั กะเทวราชหรือ พระอินทร์เลยทีเดียว ตามวดั วาอารามต่าง ๆจะมีรูปป้ันยกั ษ์ 1 ตน บา้ ง 2 ตนบา้ ง ยนื ถือกระบองค้าพ้นื ส่วนมากจะมี 2 ตน เฝ้าอยหู่ นา้ ประตู โบสถ์ หรือ วิหารท่ีเก็บของมีค่า มีพระพุทธรูป และโบราณสมบตั ิล้าค่าของทางวดั บรรจุอยู่ ดา้ นละ 1 ตน หรือไม่ก็บริเวณลานวดั หรือที่ท่ีมีคนผา่ นไปมาแลว้ เห็นโดยง่าย บา้ งก็สร้างเอาไวใ้ นวิหาร หรือ ศาลาโดยเฉพาะกม็ ี ซ่ึงยกั ษเ์ หล่าน้นั ถา้ เป็น ตนเดียว ก็จะหมายถึง รูปเคารพของทา้ วเวสสุวรรณ แตถ่ า้ เป็น 2 ตนกจ็ ะ เป็นบริวารของทา่ นทา้ วเวสสุวรรณ คอยทาหนา้ ท่ี ปกปักรักษา ดูแลบริเวณวดั ===============================
Search
Read the Text Version
- 1 - 24
Pages: