ความรู้ทวั่ ไปเกี่ยวกบั กฎหมาย ภาษีอากร ครูเสาวนยี ์ เพชรนาควิชาสมั มนาประเด็นภาษีอากร 0
สมรรถนะรายวิชา 1. นักศึกษาแสดงความรู้เก่ยี วกฎหมายภาษอี ากร 2. นักศึกษาแสดงความรู้เกยี่ วกบั ศาลภาษีอากร 3. นักศกึ ษามีความรบั ชอบ ตรงตอ่ เวลาเนื้อหาสาระ1. ภาษีอากรตามประมวลรษั ฎากร 1.1 ความหมายของคาวา่ “ประมวลรษั ฎากร” “ประมวลรษั ฎากร” เปน็ คาสมาสระหวา่ งคาว่า “ประมวล” กับ “รษั ฎากร” “ประมวล” แปลวา่ รวบรวม ในทีน่ ี้หมายถงึ ประมวลกฎหมายซึง่ รวบรวมกฎหมายลักษณะเดยี วกนั ไว้ในกฎหมายฉบบั เดยี วกัน “รัษฎากร” เปน็ คาสนธริ ะหว่างคาว่า “ราษฎร” เปน็ คาสนธริ ะหว่างคาว่า “ราษฎร” กับ “อากร” โดยแผลงสระอา เป็นสระอะ แล้วลดรูปเป็นไม้หันอากาศ ตัดอักษร ร และ อ ออกไป รวมเป็น “รัษฎากร” ซ่ึงแปลวา่ “ภาษีอากรทง้ั หลายที่จัดเก็บจากราษฎรหรือประชาชน” ดงั นน้ั ประมวลรัษฎากร จึงหมายความว่า ประมวลกฎหมายภาษอี ากรทั้งหลายบรรดาทีเ่ กบ็ จากราษฎรหรือประชาชน หรือ “ประมวลกฎหมายวา่ ด้วยรษั ฎากร” 1.2 ประวตั ิความเปน็ มาของ “ประมวลรัษฎากร” ประมวลรัษฎากร มีรปู แบบเปน็ พระราชบัญญตั ิ ซง่ึ บัญญัติขน้ึ เป็นครงั้ แรกในปี พ.ศ.2481 โดยกระทรวงการคลังได้มกี ารออกพระราชบัญญตั ิให้ใชบ้ ทบัญญตั ิแหง่ ประมวลรัษฎากร พ.ศ.2482 เป็นตน้ ไป ภาษีตามประมวลรษั ฎากร ไดแ้ ก่ 1) ภาษเี งินได้ 2) ภาษกี ารธนาคารและการประกันภยั 3) ภาษโี รงค้า 4) อากรแสตมป์ 5) อากรมหรสพ 6) เงนิ ช่วยบารุงท้องที่ 7) เงนิ ช่วยประถมศึกษา คร้ันเมื่อวนั ที่ 8 ธนั วาคม พ.ศ. 2485 ได้เกดิ สงครามมหาเอเชยี บูรพาขนึ้ และในระหวา่ งนน้ั รัฐบาลจาเป็นจะต้องใชเ้ งิน จึงได้มกี ารออกกฎหมายเพอ่ื ให้มีการจดั เกบ็ ภาษีนามาช่วยชาติในยามคับขนั หลายประเภทคือวิชาสมั มนาประเด็นภาษีอากร 1
- พระราชบัญญตั เิ งนิ ช่วยชาติการประถมศึกษา - พระราชบัญญัตเิ งนิ ช่วยชาตภิ าษีเงินไดบ้ คุ คลธรรมดา - พระราชบญั ญตั เิ งนิ ชว่ ยชาติภาษีโรงคา้ - พระราชบญั ญตั ิเงนิ ชว่ ยชาติจากการซ้ือข้าว - พระราชบัญญัตเิ งินช่วยชาติอากรแสตมป์ - พระราชบญั ญัตเิ งินช่วยอากรมหรสพ - พระราชบัญญัตเิ งินช่วยชาติโรงแรม ภัตตาคาร เมือ่ สงครามโลกสงบลงในปี พ.ศ. 2489 รัฐบาลได้ประกาศยกเลิกพระราชบญั ญตั เิ งินชว่ ยชาตทิ ง้ั หมดโดยได้เปล่ียนแปลงเป็นภาษกี ารซื้อข้าว ภาษกี ารซื้อนา้ ตาล ภาษโี รงแรมและภัตตาคารรวมอยูใ่ นส่วนหนงึ่ ของประมวลรษั ฎากร กฎหมายประมวลรษั ฎากร ไดถ้ ูกแกไ้ ขปรบั ปรงุ ใหส้ อดคล้องกบั การพฒั นาเศรษฐกจิ ของประเทศอย่างตอ่ เนอ่ื ง โดยครงั้ หลังสดุ ในปี พ.ศ. 2535 รฐั บาลได้เร่มิ นาระบบภาษมี ูลค่าเพม่ิ และภาษธี ุรกจิ เฉพาะมาใช้ในการจัดเกบ็ แทนภาษกี ารคา้ ท่มี ีปัญหาการจัดเกบ็ ท่ีซา้ ซอ้ นไม่เป็นธรรม และไม่สนบั สนนุ ตอ่ ภาคการส่งออกของประเทศ ในขณะเดียวกันไดม้ ีการแกไ้ ขเพมิ่ เติมการใหห้ ักค่าใช้จ่าย คา่ ลดหย่อนภาษเี งนิ ไดบ้ คุ คลธรรมดา การปรบั ปรุงอตั ราการจัดเก็บภาษีเงนิ ได้นติ ิบุคคลให้สอดคลอ้ งกบั การพัฒนาเศรษฐกจิ ภายในประเทศมาอย่างตอ่ เนอื่ ง เป็นตน้ โดยการปรับปรุงแก้ไขประมวลรษั ฎากรนน้ั มที ง้ั การยกเลกิ ภาษที ีไ่ มเ่ หมาะสม การเพิม่ ภาษีประเภทใหมข่ ึน้ และการแก้ไขเพมิ่ เติมขอ้ ความเดิมให้ทันสมัยและรัดกมุ ยง่ิ ขึ้น จนในปัจจุบันมีกฎหมายภาษีอากรและภาษอี ากรท่ีอย่ใู นความรบั ผดิ ชอบของกรมสรรพากร ดงั นี้ - พระราชบัญญตั ิใหใ้ ชบ้ ทบญั ญัติแห่งประมวลรัษฎากร พ.ศ. 2481 มภี าษีอากรประเภทตา่ งๆตามประมวลรษั ฎากร ดงั น้ี 1. ภาษเี งนิ ได้บคุ คลธรรมดา 2. ภาษีเงนิ ไดน้ ิตบิ คุ คล 3. ภาษมี ูลคา่ เพม่ิ 4. ภาษธี รุ กจิ เฉพาะ 5. อากรแสตมป์ - ภาษีอากรตามกฎหมายอ่นื ไดแ้ ก่ 1. พระราชบญั ญตั อิ ากรรังนกอแี อน่ พ.ศ. 2482 กาหนดให้จัดเกบ็ อากรรงั นกอีแอน่ 2. พระราชบญั ญตั ิภาษเี งินได้ปิโตรเลยี ม พ.ศ. 2514 กาหนดใหจ้ ัดเกบ็ ภาษเี งินได้ปโิ ตรเลยี ม 1.3 ลักษณะของประมวลรษั ฎากร ปจั จบุ ันประมวลรัษฎากรมี 2 ลกั ษณะ รวมท้ังสนิ้ 113 มาตรา ดังนี้ ลักษณะ 1 ข้อความเบ้อื งต้น (มาตรา 1 – มาตรา 4 ทศ รวม 26 มาตรา) ลักษณะ 2 ภาษีอากรฝ่ายสรรพากร แบ่งเปน็ 7 หมวด (รวม 285 มาตรา) ดังนี้วชิ าสัมมนาประเด็นภาษีอากร 2
หมวด 1 บทเบ็ดเสรจ็ ทั่วไป (มาตรา 5 – มาตรา 13 รวม 14 มาตรา) หมวด 1 ทวิคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากร (มาตรา 13 ทวิ – มาตรา 13 อฏั ฐรวม 7 มาตรา) หมวด 2 วิธกี ารเก่ียวแกภ่ าษีอากรประเมิน (มาตรา 14 – มาตรา 37 ทวิรวม 31 มาตรา) มาตรา 14 ความหมาย “ภาษีอากรประเมนิ ” มาตรา 15 หลกั กฎหมายพเิ ศษใช้บงั คับก่อนหรือยกเวน้ กฎหมายทั่วไป มาตรา 16 เจ้าพนักงานประเมิน สว่ นที่ 1 การยื่นรายการและการเสียภาษี(มาตรา 17 – มาตรา 27 จตั วารวม 16 มาตรา) สว่ น 2 การอุทธรณ์ (มาตรา 28 – มาตรา 34 รวม 7 มาตรา) สว่ น 3 บทกาหนดโทษ (มาตรา 35 - มาตรา 37 ทวิรวม 5 มาตรา) หมวด 3 ภาษเี งนิ ได้และบัญชีอตั ราภาษีเงินได้ (มาตรา 38 – มาตรา 76 ทวิรวม 63 มาตรา) สว่ น 1 ขอ้ ความท่วั ไป (มาตรา 38 – มาตรา 39 รวม 2 มาตรา) สว่ น 2 การเกบ็ ภาษีจากบุคคลธรรมดา (มาตรา 40 – มาตรา 64 รวม 40 มาตรา) ส่วน 3 การเกบ็ ภาษจี ากบรษิ ัทและห้างหุ้นส่วนนติ บิ คุ คล (มาตรา 65 -มาตรา 76 ทวิรวม 5 มาตรา) บัญชอี ตั ราภาษเี งนิ ได้ หมวด 4 ภาษีมูลคา่ เพ่ิม (มาตรา 77 – มาตรา 90/5 รวม 115 มาตรา) ส่วน 1 ข้อความทั่วไป (มาตรา 77 – มาตรา 77/5 รวม 6 มาตรา) ส่วน 2 ความรบั ผิดในการเสยี ภาษี (มาตรา 78 – มาตรา 78/3 รวม 4 มาตรา) ส่วน 3 ฐานภาษี (มาตรา 79 - มาตรา 79/7 รวม 8 มาตรา) สว่ น 4 อตั ราภาษี (มาตรา 80 – มาตรา 80/2 รวม 3 มาตรา) ส่วน 5 การยกเวนภาษีมูลค่าเพม่ิ (มาตรา 81 – มาตรา 81/3 รวม 4 มาตรา) ส่วน 6 ผู้มีหน้าท่ี เสยี ภาษีและการคานวณภาษี (มาตรา 82 – มาตรา 82/18รวม 19 มาตรา) ส่วน 7 การยืน่ แบบและการชาระภาษี (มาตรา 83 – มาตรา 83/10รวม 11 มาตรา) ส่วน 8 เครดิตภาษีและการขอคนื ภาษีมูลค่าเพิม่ (มาตรา 84 – มาตรา 84/4รวม 5 มาตรา) สว่ น 9 การจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (มาตรา 85 – มาตรา 85/19 รวม 20 มาตรา) สว่ น 10 ใบกากับภาษี ใบเพิ่มหน้ี ใบลดหน (ี้ มาตรา 86 – มาตรา 86/14 รวม 15วชิ าสัมมนาประเด็นภาษีอากร 3
มาตรา) ส่วน 11 การจัดทารายงานและการเก็บรักษารายงานและหลกั ฐานเอกสาร(มาตรา 82 – มาตรา 82/18 รวม 19 มาตรา) สว่ น 12 อานาจเจ้าพนักงานประเมิน (มาตรา 88 – มาตรา 88/6 รวม 7 มาตรา) ส่วน 13 เบ้ยี ปรบั – เงินเพมิ่ (มาตรา 89 – มาตรา 89/2 รวม 3 มาตรา) ส่วน 14 บทกาหนดโทษ (มาตรา 90 – มาตรา 91/5 รวม 6 มาตรา) หมวด 5 ภาษธี รุ กิจเฉพาะ (มาตรา 91 – มาตรา 91/21 รวม 22 มาตรา) หมวด 6 อากรแสตมป์และบญั ชอี ัตราอากรแสตมป์ (มาตรา 103 – มาตรา 129 รวม33 มาตรา) มาตรา 103 บทนิยามศัพท์เกี่ยวกบั อากรแสตมป์ ส่วน 1 การเสยี อากร (มาตรา 104 – มาตรา 112 รวม 12 มาตรา) ส่วน 2 เบด็ เตล็ด (มาตรา 113 – มาตรา 123 ตรีรวม 13 มาตรา) สว่ น 3 บทลงโทษ (มาตรา 124 – มาตรา 129 รวม 7 มาตรา) บัญชอี ัตราอากรแสตมป์ อน่ึงสาหรบั ลกั ษณะ 3 ภาษบี ารงุ ทอ้ งที่ยกเลิกโดยพระราชบญั ญตั ิภาษบี ารงุ ทอ้ งที่พ.ศ. 25082. ภาษีศลุ กากร กรมศุลกากรเป็นหนว่ ยงานหนึง่ ในสังกัดกระทรวงการคลังท่จี ัดต้งั ขนึ้ ตง้ั แต่รชั สมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี 5 มภี ารกจิ ที่สาคัญในขณะน้นั คือ การเกบ็ เงนิ ภาษีขาเขา้ และขาออก แต่เดิมประเทศไทยตกอยู่ในภาวะจายอมตอ้ งทาสนธิสัญญาทางไมตรแี ละพาณิชย์กบั ประเทศมหาอานาจต่างๆเช่น ประเทศในทวปี ยุโรป หรือสหรัฐอเมริกา โดยสนธสิ ัญญาดงั กลา่ วมีข้อกาหนดในเร่อื งการจัดเกบ็ ภาษีอากรวา่ คนในบงั คับของประเทศจะเสยี ภาษีศลุ กากรสาหรับสนิ ค้าขาเข้าร้อยละ 3 และเสียภาษีศุลกากรสาหรบัสนิ ค้าขาออกตามอัตราที่กาหนดตายตวั ตามภาคผนวกท้ายสญั ญา ทาใหป้ ระเทศไทยเสียเปรยี บประเทศมหาอานาจดังกลา่ วมาโดยตลอด ซึ่งประเทศไทยไดม้ ีความพยายามทจ่ี ะแกไ้ ขสนธสิ ญั ญาทางไมตรีและพาณชิ ย์กบั ประเทศดังกล่าวมาโดยตลอด โดยรัฐบาลไทยไดย้ กร่างข้อบงั คบั การค้าและศลุ กากรข้นึ โดยนาหลกั กฎหมายของประเทศอังกฤษมาเป็นแบบอยา่ ง แตไ่ ด้ยืดเย้ือมาจนถงึ รัชสมยั ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกลา้ เจ้าอย่หู วัรชั กาลที่ ๖ ทปี่ ระเทศไทยได้เข้าร่วมกับฝ่ายพนั ธมิตรในสงครามโลกครั้งที่ 1 ผลทส่ี ุดเป็นฝา่ ยท่ีชนะสงคราม มีผลทาให้สามารถผลกั ดันรา่ งขอ้ บงั คับการค้าและศุลกากรดงั กลา่ วใหเ้ ปน็ ทย่ี อมรบั และเห็นชอบจากนานาประเทศ จงึ ได้มกี ารตราพระราชบัญญัติศลุ กากร พทุ ธศกั ราช 2469 ข้ึนใชบ้ งั คับ พระราชบัญญัติศุลกากร พุทธศักราช 2469 ถือเป็นรากฐานของกฎหมายศุลกากรที่เก่าแก่ฉบับหนงึ่ ทยี่ ังมีผลใช้บงั คับจนถงึ ปจั จบุ ัน แตไ่ ด้มีการแกไ้ ขเพ่ิมเติมขึ้นตามความจาเป็นและความเหมาะสมกับสภาพความเปลย่ี นแปลงของยุคสมยั ตลอดมา การแก้ไขเพิม่ เตมิ กฎหมายศุลกากรดังกล่าวสามารถช้ีให้เห็นถึงบทบาทวิชาสัมมนาประเดน็ ภาษีอากร 4
หรือภารกิจของกรมศุลกากรที่เปล่ียนแปลงจากเดิมที่มุ่งในการจัดเก็บภาษีอากรขาเข้าและขาออกเป็นสาคัญ ซ่ึงเป็นการสนับสนุนส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ และการควบคุมกากับดูแลการนาเข้าสินค้าที่เปน็ อนั ตรายต่อประชาชน รวมทัง้ การให้สิทธิประโยชน์ในด้านต่างๆ แก่ผู้ประกอบการ เพื่อให้สามารถแข่งขันในเวทีการค้าระหวา่ งประเทศและทัดเทยี มนานาอารยประเทศ พระราชบัญญตั ิศลุ กากร พุทธศกั ราช 2469 เปน็ บทบัญญตั ิวา่ ดว้ ยกระบวนการและการดาเนนิพธิ ีการศุลกากรในสว่ นทเ่ี ปน็ ระเบียบพธิ ีการศลุ กากรหรอื วธิ ีปฏิบตั ขิ องผู้ทเี่ กย่ี วข้อง เช่น บทบัญญัติว่าด้วยการนาของเข้า การส่งของออก วิธีการจัดการและการกาหนดท่า การเก็บของในคลังสินคา้ ราคาศุลกากร การเสียค่าภาษี การตรวจของ กระบวนการพจิ ารณาอุทธรณ์ การป้องกนั และปราบปรามการลักลอบหนีศุลกากร และสทิ ธิประโยชนท์ างภาษอี ากร อาทิ คลังสินค้าทัณฑบ์ น และเขตปลอดอากร รวมท้ังระเบียบการจัดการสนิ ค้าบางอย่าง อาทิ การดาเนินการกับของตกค้าง นอกจากนี้ ยงั มีบทบัญญัติว่าด้วยความผดิ ทางศุลกากร การกระทาทเี่ ปน็ ความผิดทางอาญา และกระบวนการดาเนนิ คดใี นช้ันศุลกากรท่ถี ือเปน็ ลักษณะพิเศษของกฎหมายศุลกากรประการหน่ึงที่ใหอ้ านาจการเปรยี บเทยี บงดการฟ้องรอ้ ง ทาใหค้ ดีเปน็ อนั สิน้ สุดลงในชั้นศุลกากร โดยไมต่ ้องดาเนนิ คดีอาญาในช้ันศาลแตอ่ ยา่ งใด ทงั้ นี้ พระราชบญั ญตั ศิ ุลกากร พทุ ธศกั ราช 2469 ไดม้ กี ารแกไ้ ขเพ่ิมเตมิ ตามพระราชบัญญตั ศิ ุลกากรและประกาศคณะปฏวิ ัติฉบบั ต่างๆ จานวน 18 ฉบบั ดังน้ี 1.1 พระราชบญั ญัติศุลกากรแก้ไขเพ่มิ เติม (ฉบบั ท่ี 1) พุทธศกั ราช 2471 1.2 พระราชบัญญตั ิศลุ กากรแก้ไขเพม่ิ เตมิ (ฉบับที่ 2) พทุ ธศักราช 2472 1.3 พระราชบญั ญัตศิ ลุ กากรแก้ไขเพ่ิมเติม (ฉบบั ที่ 3) พทุ ธศกั ราช 2474 1.4 พระราชบญั ญตั ิศลุ กากรแก้ไขเพิ่มเตมิ (ฉบบั ที่ 4) พุทธศกั ราช 2475 1.5 พระราชบญั ญัตศิ ุลกากร (ฉบบั ท่ี 6) พุทธศักราช 2479 1.6 พระราชบัญญัตศิ ลุ กากร (ฉบับท่ี 10) พทุ ธศกั ราช 2483 1.7 พระราชบัญญตั ิศุลกากร (ฉบับที่ 11) พ.ศ. 2490 1.8 พระราชบญั ญัตศิ ุลกากร (ฉบับท่ี 13) พ.ศ. 2499 1.9 ประกาศคณะปฏวิ ัติ ฉบบั ที่ 31 1.10 ประกาศคณะปฏวิ ตั ิ ฉบับท่ี 329 1.11 พระราชกาหนดแก้ไขเพม่ิ เตมิ พระราชบัญญัติศุลกากร พระพทุ ธศกั ราช 2469 พ.ศ. 2528 1.12 พระราชบญั ญตั ศิ ลุ กากร (ฉบบั ท่ี 14) พ.ศ. 2534 1.13 พระราชบญั ญัติศุลกากร (ฉบับท่ี 15) พ.ศ. 2540 1.14 พระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบบั ท่ี 16) พ.ศ. 2542 1.15 พระราชบญั ญัตศิ ลุ กากร (ฉบบั ที่ 17) พ.ศ. 2543 1.16 พระราชบญั ญัตศิ ลุ กากร (ฉบับท่ี 18) พ.ศ. 2543 1.17 พระราชบัญญัตศิ ลุ กากร (ฉบับท่ี 19) พ.ศ. 2548วิชาสมั มนาประเดน็ ภาษีอากร 5
1.18 พระราชบญั ญตั ิศุลกากร (ฉบบั ท่ี 20) พ.ศ. 2548 พระราชบญั ญัตศิ ลุ กากร (ฉบบั ที่ 7) พทุ ธศกั ราช 2480 เป็นบทบัญญตั ิว่าดว้ ยการนาของเข้า และการสง่ ของออกผ่านเขตแดนทางบก ซงึ่ เป็นบทบัญญัติท่ีตราขึน้ ใหมเ่ พมิ่ เติมสาหรับกรณีดังกลา่ วโดยเฉพาะ เชน่ความหมาย อาทิ ทางอนุมตั ิ ด่านพรมแดน การนาของเข้าหรอื การส่งของออกทางบก เขตแดนทางบก และผู้ควบคมุ ยานหรอื ผ้ขู นส่ง เปน็ ตน้ การกาหนดเวลาสาหรบั ขนของผา่ นเขตแดนทางบก ระเบยี บพิธีการศุลกากรสาหรับการขนสง่ ของทม่ี ใิ ช่หีบห่อของส่วนตัวผูโ้ ดยสารที่ผ่านเขตแดนทางบกเขา้ มาในราชอาณาจกั ร หรอื ออกนอกราชอาณาจกั ร และความผิดทางศุลกากรในการขนสง่ ของผา่ นเขตแดนทางบก พระราชบญั ญัตศิ ุลกากร (ฉบับที่ 8) พทุ ธศกั ราช 2480 เป็นบทบญั ญตั วิ ่าด้วยการนาของเขา้ และการส่งของออกทางอากาศยาน ซึ่งเป็นบทบัญญตั ทิ ต่ี ราข้นึ ใหม่เพ่มิ เตมิ สาหรับกรณีดังกลา่ วโดยเฉพาะ เช่นความหมายเกี่ยวกับอากาศยาน สนามบิน ผู้ควบคุม และผปู้ ระจาหนา้ ท่ี เป็นตน้ การนาอากาศยานลงในหรอืขึ้นจากสนามบนิ ศลุ กากร ค่าธรรมเนียมปลอ่ ยอากาศยาน และการรายงานของผคู้ วบคมุ อากาศยาน อาทิ สมุดปมู และของที่บรรทกุ เป็นต้น พระราชบัญญตั ศิ ุลกากร (ฉบับที่ 9) พุทธศักราช 2482 เปน็ พระราชบญั ญัติทีม่ กี ารแก้ไขบทบญั ญตั ิศุลกากร พทุ ธศกั ราช 2469 ให้ทันสมัย ดังนี้ 4.1 กาหนดความหมายของราคาอนั แทจ้ รงิ ในท้องตลาด ซึ่งตอ่ มาได้มกี ารยกเลกิ ความหมายดงั กล่าวตามพระราชบญั ญตั ิศุลกากร (ฉบบั ท่ี 17) พ.ศ. 2543 โดยให้ใช้คาวา่ “ราคาศุลกากร” แทน 4.2 การยดึ ของกลางในการกระทาผิดกฎหมายศลุ กากรในกรณไี มม่ ีตวั ผ้ตู อ้ งหา ให้ตกเป็นของแผน่ ดนิภายในหกเดือน นับแตว่ นั ท่ียดึ ซ่ึงต่อมาได้มกี ารลดระยะเวลาการยึดของกลางลงอกี ตามพระราชบญั ญัติศุลกากร (ฉบบั ที่ 19) พ.ศ. 2548 4.3 กาหนดให้ของทยี่ ดึ ไวซ้ ่งึ เป็นของสดเสยี งา่ ย หรือของทหี่ นว่ งช้าไว้จะเกดิ ความเสยี หาย หรอื ของทีม่ ีค่าใช้จา่ ยเกนิ ค่าแหง่ ของ ให้อธบิ ดีสง่ั ขายทอดตลาดกอ่ นริบกไ็ ด้ และเงินคา่ ขายของนน้ั เมอ่ื ไดห้ กั ค่าใชจ้ ่ายและค่าภาระติดพันออกแล้ว ให้ถือไวแ้ ทนของ ซง่ึ ตอ่ มาไดม้ กี ารแก้ไขความดงั กลา่ วตามประกาศของคณะปฏวิ ัติฉบับที่ 329 4.4 แกไ้ ขอัตราโทษ โดยให้ปรบั เปน็ เงินสามเท่าราคาของซง่ึ ได้รวมค่าอากรแล้ว แต่ไม่ให้ต่ากว่าหนึง่รอ้ ยบาท และไมใ่ หส้ ูงกวา่ แปดพันบาท หรอื จาคกุ ไมเ่ กินหกเดือน หรอื ทงั้ จาทง้ั ปรับ ซ่ึงต่อมาไดม้ ีการแกไ้ ขอตั ราโทษดงั กล่าวตามพระราชบญั ญตั ศิ ุลกากร (ฉบับท่ี 11) พ.ศ. 2490 4.5 เพ่มิ เติมกรณีทอ่ี ธบิ ดีเหน็ สมควรฟอ้ งบคุ คลใด ใหบ้ นั ทกึ ความเห็นวา่ เป็นเพราะเหตุใด จงึ ควรฟ้องผกู้ ระทาความผิด 4.6 กาหนดใหผ้ ้นู าของเขา้ หรอื ผู้ส่งของออกแสดงรายการในใบขนสนิ ค้า เช่น ชนิดของ คณุ ภาพปริมาณ น้าหนกั ราคาอนั แท้จรงิ ในทอ้ งตลาด และรายการอย่างอ่นื ตามแตอ่ ธบิ ดีตอ้ งการ ซึ่งตอ่ มาได้มีการวชิ าสัมมนาประเดน็ ภาษีอากร 6
แก้ไขคาวา่ “ราคาอนั แท้จรงิ ในท้องตลาด” เปน็ “ราคาศุลกากร” ตามพระราชบัญญตั ศิ ุลกากร (ฉบับท่ี 17)พ.ศ. 2543 4.7 กาหนดให้ความผิดตามมาตรา 27 และมาตรา 99 พระราชบญั ญัติศลุ กากร พุทธศักราช 2469เปน็ ความผิดโดยไมต่ อ้ งคานึงว่าผู้กระทาความผิดมเี จตนาหรอื กระทาความผิดโดยประมาทเลินเลอ่ หรอื ไม่ และของใดท่ีมคี วามผิดตามมาตรา 27 ใหร้ ิบโดยไม่ต้องคานึงวา่ บุคคลใดตอ้ งรับโทษหรือไม่ 4.8 บญั ญตั ริ ะเบียบพธิ กี ารข้นึ ใหม่โดยเฉพาะ เชน่ การยน่ื ใบขอเปิดตรวจของก่อนจัดทาใบขนสินคา้และการใหผ้ ู้นาของเขา้ ปิดแสตมป์หรอื ตอกตราของศลุ กากรสาหรบั ของที่นาเข้ามาในราชอาณาจกั ร เป็นต้น 4.9 เพ่ิมเตมิ บทบญั ญตั วิ า่ ด้วยการคนื อากรแกข่ องทน่ี าเข้าและสง่ กลบั ออกไปนอกราชอาณาจกั ร ทง้ั ในกรณีท่ไี ม่ไดใ้ ช้ประโยชน์ หรอื เปลี่ยนแปลงรูปลักษณะใดๆ หรอื กรณีทนี่ าเขา้ มาเพอื่ ทาการผลิต ผสม ประกอบหรือบรรจุแล้วสง่ ออก เพอ่ื เปน็ การส่งเสริมอตุ สาหกรรมภายในประเทศ ซ่งึ ต่อมาได้มีการแกไ้ ขตามประกาศของคณะปฏวิ ัติ ฉบับท่ี 329 และพระราชบัญญตั ิศุลกากร (ฉบบั ที่ 18) พ.ศ. 2543 พระราชบัญญตั ศิ ลุ กากร (ฉบบั ที่ 12) พ.ศ. 2497 เปน็ พระราชบัญญตั ทิ ี่ตราข้นึ เพ่อื แกไ้ ขเพ่มิ เติมพระราชบัญญัตศิ ลุ กากร พทุ ธศักราช 2469 ดงั น้ี 5.1 แกไ้ ขอตั ราโทษสาหรบั ความผิดอาญาของกฎหมายศลุ กากรตามพระราชบัญญัติศลุ กากรฉบบั ตา่ งๆใหส้ ูงข้ึนสิบเทา่ ของอตั ราโทษเดิม เพื่อใหเ้ หมาะสมกบั สถานการณ์ทางการเงินในขณะนั้น และใหผ้ ูก้ ระทาผดิเกรงกลวั และเข็ดหลาบ 5.2 ลดระยะเวลาการยดึ ของกลางในการกระทาผดิ กฎหมายศุลกากรในกรณไี มม่ ีตวั ผ้ตู ้องหา ให้ตกเปน็ของแผน่ ดนิ จากเดมิ ทก่ี าหนดไวถ้ ึงหกเดอื น เปน็ หกสิบวันสาหรับยานพาหนะท่ใี ช้ในการกระทาความผดิ และสามสบิ วนั สาหรับส่ิงอนื่ นบั แต่วนั ท่ียึด เพ่อื ไม่ให้ของกลางเส่อื มคณุ ภาพ 5.3 กาหนดหลกั เกณฑ์การเปรยี บเทยี บงดฟ้องร้องในชั้นศลุ กากรจากเดมิ ที่เป็นอานาจของอธบิ ดี ให้เป็นอานาจของพนักงานสอบสวนทาการเปรยี บเทียบกรณีความผิดเก่ียวกับภาษีเล็กๆ นอ้ ยๆ เช่นเดียวกับอธิบดีกรมศุลกากร ส่วนคดีทีร่ าคาของกลางรวมคา่ อากรเกนิ กว่า 40,000 บาท ให้เปน็ อานาจของคณะกรรมการประกอบด้วย ผ้แู ทนกรมศุลกากร ผู้แทนกระทรวงการคลัง และผแู้ ทนกรมตารวจทาการเปรยี บเทยี บและงดฟอ้ งร้อง เพ่อื เปน็ การรัดกมุ รอบคอบและเปน็ ประโยชนแ์ กร่ าชการยิ่งขน้ึ ซ่ึงตอ่ มาไดม้ ีการแก้ไขเพ่ิมเติมราคาของกลางรวมคา่ อากรเกินกวา่ 400,000 บาท ใหเ้ ปน็ อานาจของคณะกรรมการเปรยี บเทยี บตามพระราชบัญญัตศิ ุลกากร (ฉบบั ที่ 19) พ.ศ. 2548 5.4 กาหนดให้มกี ารจา่ ยเงินสนิ บนรางวัลแกผ่ ู้แจง้ ความนาจับและเจ้าหน้าที่ผจู้ ับกมุ กรณีฐานลักลอบหนศี ุลกากร ฐานสาแดงเท็จ และตรวจพบเงนิ อากรขาด เพ่อื เปน็ ขวัญกาลงั ใจในการปราบปรามผกู้ ระทาความผิดตามกฎหมายศุลกากรวิชาสัมมนาประเดน็ ภาษีอากร 7
5.5 การฟอ้ งผตู้ ้องหาในความผิดฐานลักลอบหนีศลุ กากร ผ้กู ล่าวหามหี น้าท่ีนาสบื ซ่งึ มักจะหาพยานหลักฐานได้ไม่เพยี งพอท่ีจะลงโทษผตู้ อ้ งหาได้ หากให้อานาจแกอ่ ธบิ ดกี รมศุลกากร พนกั งานศลุ กากรผู้ไดร้ ับแตง่ ต้งั เป็นพิเศษจากอธิบดี และพนักงานฝ่ายปกครองหรอื ตารวจ บันทกึ ข้อเท็จจรงิ ที่ตนเองไดพ้ บเหน็การกระทาผดิ ตอ่ กฎหมายว่าดว้ ยศุลกากรแลว้ เสนอต่อศาล โดยให้สันนิษฐานไว้กอ่ นวา่ เปน็ ความจรงิ ตามขอ้ เท็จจรงิ ทีจ่ ดแจ้งไวใ้ นบันทกึ น้นั กย็ ่อมจะเปน็ ผลดีในทางคดี 5.6 กาหนดเขตควบคุมศุลกากร เพือ่ ให้เจ้าหน้าที่ศุลกากรมอี านาจตรวจคน้ และปอ้ งกันการลักลอบหนีศลุ กากรโดยเข้มงวด และมีประสทิ ธิภาพ เนื่องจากตามกฎหมายศุลกากรมบี ทบัญญัติให้อานาจแก่เจา้ หน้าท่ีในเรื่องการตรวจค้นและป้องกันการลักลอบหนศี ลุ กากรไมเ่ พียงพอ ประกอบกบั บางท้องทรี่ ิมพรมแดนเปน็ ที่กักตุนสนิ คา้ ทลี่ กั ลอบหนศี ุลกากร และไม่มีบทกฎหมายทจ่ี ะปราบปรามได้3. ภาษีสรรพสามติ ภาษีสรรพสามติ คือ ภาษีการขายเฉพาะที่เรียกเก็บจากสินค้าและบรกิ ารบางประเภท ซึ่งมีเหตุผลสมควรทีจ่ ะต้องรบั ภาระภาษีสงู กว่าปกติ เชน่ สินคา้ ท่ีบริโภคแลว้ อาจกอ่ ให้เกิดผลเสยี ต่อสุขภาพและศีลธรรมอนั ดี สินค้าและบริการทีม่ ลี กั ษณะเปน็ การฟ่มุ เฟอื ย หรือสินคา้ ท่ไี ด้รับผลประโยชน์เปน็ พเิ ศษจากรัฐหรือสนิ ค้าทก่ี อ่ ให้เกดิ ภาระตอ่ รฐั บาลในการทจี่ ะต้องสร้างสิง่ อานวยความ สะดวกตา่ ง ๆ เพ่ือใหบ้ ริการผบู้ ริโภคหรอื เป็นสินคา้ ที่ก่อให้เกิดมลภาวะตอ่ ส่ิงแวดล้อม กรมสรรพสามิต มหี น้าที่หลกั ในการจัดเก็บภาษจี ากสินค้าและบรกิ ารเฉพาะอย่างจากผผู้ ลติ สินค้าหลายประเภท เรยี กว่า ภาษสี รรพสามิต เพ่ือเปน็ รายได้ให้รฐั บาลนาไปบรหิ ารประเทศ และทะนบุ ารุงทอ้ งถิน่ตา่ ง ๆ โดยอาศัยอานาจตามกฎหมาย พ.ร.บ.สรุ า พ.ศ.2493 พ.ร.บ.ยาสบู พ.ศ.2509 พ.ร.บ.ไพ่ พทุ ธศักราช 2486 พ.ร.บ.ภาษสี รรพสามติ พ.ศ.2527 พ.ร.บ.พิกดั อัตราภาษีสรรพสามิต พ.ศ.2527 จัดเก็บภาษีท้องถ่นิ เพ่มิ จากภาษสี รรพาสามิต โดยอาศัยอานาจตามกฎหมาย พ.ร.บ.องคก์ ารบรหิ ารสว่ นจงั หวดั พ.ศ.2540 พ.ร.บ. ภาษีสรรพสามติ พ.ศ.2560 กรมสรรพสามติ จดั เก็บภาษีจากสนิ ค้าและบรกิ ารดังตอ่ ไปนี้ 1. นา้ มนั และผลติ ภัณฑน์ า้ มัน 2. เคร่อื งดื่ม 3. เครื่องไฟฟา้ (เฉพาะเครือ่ งปรับอากาศและโคมระยา้ ท่ที าจากแกว้ เลดคริสตัลและแกว้วชิ าสมั มนาประเด็นภาษีอากร 8
คริสตัลอนี่ ๆ ) 4. แกว้ เลดคริสตลั และแกว้ คริสตัลอนื่ ๆ 5. รถยนต์ (รถยนตน์ ัง่ รถยนต์กระบะ รถยนตโ์ ดยสารทมี่ ีท่นี ง่ั ไมเ่ กิน 10 คน) 6. เรอื ยอชตแ์ ละยานพาหนะทางน้าที่ใช้เพ่ือความสาราญ 7. นา้ หอม หัวน้าหอมและน้ามันหอม 8. พรมและส่งิ ทอปพู ้นื อื่น (เฉพาะท่ีทาดว้ ยขนสัตว์) 9. สถานบริการ (สนามแข่งม้า สนามกอลฟ์ ) 10. หินออ่ นและหนิ แกรนิต (ปัจจบุ นั ยกเวน้ ภาษ)ี 11. รถจกั รยานยนต์ 12. แบตเตอร่ี 13. สรุ า 14. ยาสบู 15. ไพ่ วตั ถุประสงคข์ องการจดั เกบ็ ภาษสี รรพสามิตภาษสี รรพสามิตเปน็ ภาษีทางอ้อมประเภทหนึ่ง ซงึ่ การจดั เก็บภาษี จะจัดเก็บจากสินค้าและบริการเฉพาะอย่างเพียงบางประเภททีร่ ัฐเหน็ วา่ ควรจดั เก็บภาษใี นอตั ราที่สงู กว่าสินคา้ และบริการทั่วไป โดยมเี หตุผลที่สาคัญในการพิจารณาจัดเก็บ คอื 1. เป็นสินคา้ และบริการทบ่ี ริโภคแล้วอาจจะก่อให้เกิดผลเสยี ต่อสขุ ภาพและศีลธรรมอันดี เช่น สุรายาสบู ไพ่ สนามม้าแข่ง ซ่ึงรัฐจาเปน็ ต้องเขา้ ไปควบคุมดแู ล เพราะเปน็ สนิ ค้าที่กอ่ ให้เกิดต้นทนุ ทางสังคมสูง 2. เป็นสินค้าและบริการท่มี ลี กั ษณะฟ่มุ เฟอื ย เช่น รถยนตน์ งั่ ราคาแพง เรือยอชต์ เคร่ืองดม่ื บางประเภท น้าหอม แกว้ คริสตลั โคมระย้า 3. เปน็ สินค้าและบรกิ ารทไ่ี ดร้ ับประโยชนเ์ ป็นพเิ ศษจากกจิ การของรัฐ เชน่ นา้ มัน ผลิตภัณฑน์ า้ มนัเปน็ ต้น การยกเวน้ และการคืนภาษี 1. สนิ คา้ ท่ีส่งออกนอกราชอาณาจักรหรือนาเข้าไปในเขตปลอดอากร 2. สินค้าท่ีจาหน่ายให้แกผ่ ู้ไดร้ บั สิทธิตามขอ้ ผกู พัน หรือตามกฎหมายระหวา่ งประเทศ 3. ผูเ้ สียภาษโี ดยไม่มีหนา้ ท่ีตอ้ งเสยี ภาษหี รือเสยี เกนิ กวา่ ทค่ี วรเสีย มีสิทธขิ อคืนภาษไี ด้ตาม ม.107 4. น้ามันและผลติ ภัณฑน์ า้ มนั ที่เติมในอากาศยาน หรอื เรือทมี่ ขี นาดเกนิ กว่า 500 ตันกรอสส์และเดนิออกไปยังตา่ งประเทศวิชาสมั มนาประเดน็ ภาษีอากร 9
5. น้ามนั และผลติ ภัณฑ์น้ามนั ทน่ี ามาใช้เป็นวตั ถดุ ิบในโรงอุตสาหกรรมหรือนาไปใชใ้ นขบวนการผลิตภายในโรงอตุ สาหกรรมน้ามนั และผลติ ภณั ฑน์ ้ามัน 6. สินค้าที่บริจาคเป็นสาธารณประโยชนแ์ กส่ ว่ นราชการ หรอื บริจาคเป็นสาธารณกุศลแกป่ ระชาชนโดยผา่ นสว่ นราชการ 7. สินค้าที่เสยี หายหรือเสือ่ มคณุ ภาพจนไม่สามารถใช้การไมไ่ ด้ มสี ิทธิได้รับคนื ภาษีทไ่ี ด้เสยี ไวแ้ ลว้หนา้ ทผี่ ูน้ าเข้า ความรับผดิ ในอันจะตอ้ งเสียภาษี เกิดขน้ึ ในเวลาเดียวกับความรบั ผิดในอันจะต้องเสยี ภาษีศลุ กากร ( เวน้ แต่ กรณีสนิ ค้าเกบ็ อยู่ในคลังสินค้าทณั ฑ์บน ตามกฎหมายวา่ ด้วยศุลกากร ให้ถือว่าความรับผิดเกดิ ขึ้นในเวลานาสนิ ค้าออกจากคลงั สินคา้ ทัณฑบ์ น ) กาหนดเวลายนื่ แบบชาระภาษี ผู้นาเขา้ ตอ้ งยืน่ แบบรายการภาษี พร้อมกับชาระภาษีในเวลาท่อี อกใบขนค้าให้ตามกฎหมายว่าด้วยศลุ กากร สถานท่ยี ืน่ แบบรายการและชาระภาษี ผู้นาเข้ายน่ื แบบและชาระภาษที ่กี รมศุลกากร หรือด่านศุลกากร การคานวณภาษี / ฐานภาษี ผูน้ าเข้ามีหนา้ ที่เสยี ภาษีตามมูลคา่ ในอัตราภาษีตามบญั ชีแนบท้ายโดยใหถ้ ือมลู คา่ คือ ราคา C.I.F.ของสนิ คา้ บวกด้วยอากรขาเขา้ คา่ ธรรมเนยี มพิเศษตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสรมิ การลงทนุ และค่าธรรมเนียมอื่นตามที่จะไดก้ าหนดโดยพระราชกฤษฎกี า แตไ่ ม่รวมถึงภาษีมลู คา่ เพม่ิ ดังน้ี ภาษีสรรพสามติ = ( C.I.F. + อากรขาเขา้ + ภาษีค่าธรรมเนยี มอน่ื ไม่รวมถงึ ภาษีมูลค่าเพมิ่ ) x อตั ราภาษี 1 - ( 1.1 xอัตราภาษี ) ตัวอย่างการคานวณภาษี (2.) กรณีสินค้านาเขา้ น้ามนั ดีเซลหมุนเร็ว จานวน 3,000,000 ลติ ร ราคา15,000,000.- บาท คา่ ประกัน 2,000.- บาท ค่าขนสง่ 800,000.- บาท อากรขาเขา้ ลิตรละ .01 บาท อัตราภาษสี รรพสามติ ตามมลู ค่า รอ้ ยละ 34 และอัตราภาษีสรรพสามิตตามปริมาณลิตรละ 2.305 บาท วธิ กี ารคานวณ 1.1 ภาษสี รรพสามิตตามปริมาณ ภาษสี รรพสามติ ตามปริมาณ = ปรมิ าณ x อตั ราภาษีสรรพสามติ=3,000,000 x 2.305 = 6,915,000 บาท 1.2 ภาษสี รรพสามิตตามมลู คา่ ราคา C.I.F. = 15,000,000+2,000+800,000 บาท= 15,802,000 บาท อากรขาเขา้ = 3,000.000 X 0.1 บาท = 300,000 บาท สูตร ภาษีสรรพสามติ = (C.I.F + อากรขาเข้า + ภาษีอื่นไมร่ วม VAT ) X อัตราภาษี 1- (1.1 X อัตราภาษี)แทนคา่ ในสูตร ภาษีสรรพสามติ = (15,802,000 + 300,000) x 34/100 1- (1.1 x 34/100) =5,474,680 0.626 = 8,745,495.20 บาทจะเห็นไดว้ า่ ภาษีสรรพสามิตตามปริมาณทคี่ านวณได้ สงู กว่า ภาษตี ามมูลค่าท่คี านวณได้ จะต้องชาระภาษีสรรพสามติ = 6,915,000 บาท พร้อมด้วยภาษเี ก็บเพม่ิ เพ่ือมหาดไทย 10 % ของภาษี = 691,500 บาทรวมตอ้ งชาระภาษี = 7,606,500 บาท หมายเหตุ : ปัจจบุ ันกรมสรรพสามติ จัดเก็บภาษนี ้ามนั ดีเซลในอตั ราตามปริมาณอย่างเดียวเพราะฉะนัน้ จะตอ้ งชาระภาษสี รรพสามิต = 6,915,000.00 บาท พรอ้ มดว้ ยภาษเี พอ่ื มหาดไทย 10% ของค่าภาษี =691,500.00 บาท รวมต้องชาระภาษี = 7,606,500.00 บาทวิชาสมั มนาประเดน็ ภาษีอากร 10
4. ศาลภาษีอากรกลาง ศาลภาษอี ากร เปน็ ศาลท่ีตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัตจิ ดั ตง้ั ศาลภาษอี ากรและวธิ ีพจิ ารณาคดภี าษอี ากร พ.ศ.2528 มีอานาจพจิ ารณาพพิ ากษาสวยมากภาษีอากรซ่ึงมีลักษณะพิเศษแตกต่างจากคดีแพง่ ท่ัวไป เพราะเปน็ ข้อพิพาทระหวา่ งเอกชนกบั รฐั อันเนื่องมาจากการเกบ็ ภาษีอากร การอุทธรณ์ในคาพิพากษาหรอื คาสั่งของศาลภาษีอากรให้อทุ ธรณ์ไปยังศาลฎีกา ไม่ต้องผา่ นศาลอุทธรณเ์ พือ่ ความสะดวกรวดเรว็ ในการดาเนนิ คดี ปัจจบุ ันมีศาลภาษอี ากร จานวน 1 แห่ง คอื ศาลภาษอี ากรกลาง เปดิ ทาการในวันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2529 อานาจพจิ ารณาคดี ศาลภาษีอากร มอี านาจพจิ ารณาพิพากษาคดีแพ่งในเร่อื งตอ่ ไปน้ี - คดอี ทุ ธรณ์คาวินจิ ฉยั ของเจา้ พนักงานหรอื คณะกรรมการตามกฎหมายเกย่ี วกบั ภาษีอากร - คดีพิพาทเกี่ยวกบั สิทธเิ รยี กร้องของรัฐในหนค้ี ่าภาษีอากร - คดีพพิ าทเก่ยี วกบั การขอคนื คา่ ภาษีอากร - คดีพพิ าทเกย่ี วกบั สิทธิหรือหนา้ ทต่ี ามข้อผูกพนั ซ่ึงไดท้ าขน้ึ เพอ่ื ประโยชนแ์ กก่ ารจัดเก็บภาษอี ากร - คดีที่มีกฎหมายบัญญตั ใิ หอ้ ยใู่ นอานาจศาลภาษีอากรวชิ าสัมมนาประเด็นภาษีอากร 11
Search
Read the Text Version
- 1 - 12
Pages: