การวจิ ยั การศกึ ษา ความหมายของการวิจัย คาวา่ \"การวิจยั \" ตรงกบั คาในภาษาองั กฤษวา่ \"Research\" Re มคี วามหมายว่า \"อกี \" Search แปลว่า \"การคน้ หา\" ดังน้ันคาว่า \"การวจิ ยั : Research\" จึงแปลวา่ การค้นหาแลว้ ค้นหาอีก และ ความหมายของคาว่า \"การวิจัย\" มผี ู้ใหค้ วามหมายไว้หลายอย่างเช่น พจนานกุ รมฉบับนกั เรยี น (2536 :470) ได้ให้ความหมายของการวจิ ยั วา่ การสะสมการรวบรวม การ คน้ ควา้ เพื่อหาขอ้ มูลอย่างถถ่ี ้วนตามหลกั วชิ า อนนั ต์ ศรโี สภา (2521 : 16) ได้ใหค้ วามหมายของการวจิ ัยว่าเป็นกระบวนการเสาะแสวงหาความรู้ จากปญั หาท่ชี ดั เจนอย่างมีระบบ โดยมกี ารทดสอบสมมุตฐิ านที่แสดงความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งเหตุและผล ซึ่งสอดคล้องกบั จุดมุ่งหมายในเรอื่ งน้นั ๆ เพอื่ นาไปใชพ้ ยากรณห์ รอื สังเกตการเปลย่ี นแปลงเม่ือควบคมุ สิ่งหนงึ่ ใหค้ งท่ี รววี รรณ ชนิ ะตระกูล (2535: 1 - 2) ได้ใหค้ วามหมายของการวจิ ยั RESEARCH จาแนกตาม ตัวอกั ษรภาษาอังกฤษไวด้ ังนี้ R = Recruitment & Relationshipหมายถึง การฝกึ ตนใหม้ คี วามรู้ รวบรวมรายช่อื ผทู้ ม่ี ีความรู้เพือ่ ปฏบิ ัติงานร่วมกันติดต่อสัมพนั ธแ์ ละประสานงานกัน E = Education & Efficiency หมายถึง ผวู้ ิจัยจะต้องมกี ารศกึ ษา มคี วามรู้ และประสทิ ธภิ าพสงู ใน การวิจัย S = Sciences & Stimulation หมายถึง เป็นศาสตรท์ ี่ต้องมีการพสิ ูจนค์ น้ ควา้ เพ่อื หาความจรงิ และ ผู้วจิ ัยจะตอ้ งมีพลังกระต้นุ ในความคดิ รเิ ร่มิ มีความกระตือรอื ลน้ ท่ีจะทาวิจยั E = Evaluation & Environment หมายถงึ รู้จักประเมินผลดูวา่ มปี ระโยชน์และเหมาะสมท่จี ะทาการ วจิ ัยตอ่ ไปหรอื ไม่และต้องรู้จักใช้เคร่อื งมืออปุ กรณ์ต่าง ๆ ในการวิจยั A = Aim & Attitude หมายถงึ มจี ดุ มุ่งหมายท่ีชัดเจน และมีเจตคตทิ ดี่ ีตอ่ การติดตามผลการ R = Result หมายถงึ ผลการวิจัยทไี่ ด้มาจะเป็นผลในทางไหนก็ตามจะต้องยอมรบั ผลการวจิ ัยนนั้ ๆ เนอื่ งจากเป็นผลทไ่ี ดจ้ ากการคน้ ควา้ ศึกษาหาความรู้อยา่ งเปน็ ระบบ C = Curiosity หมายถงึ ผู้วิจัยจะต้องมีความอยากรู้อยากเห็นมคี วามสนใจและขวนขวายในงานวจิ ัย อยตู่ ลอดเวลา แมว้ า่ ความอยากรู้น้ันจะมเี พยี งเลก็ น้อยกต็ าม H = Horizon หมายถึง เพ่อื ผลการวิจัยปรากฏออกมาแล้วยอ่ มทาให้ทราบและเขา้ ใจในปัญหา เหลา่ นนั้ ไดเ้ หมอื นกับการเกิดแสงสว่างขึ้น ถา้ ยงั ไม่เกดิ แสงสว่างขนึ้ ผู้วจิ ยั จะต้องดาเนินต่อไปจนกวา่ จะพบแสงสว่าง
ไพโรจน์ ตรี ณธนากลุ (2534 : 1)ไดใ้ ห้ความหมายของการวิจัยไว้ว่าการศึกษาคน้ คว้า รวบรวม ข้อมูลตา่ ง ๆ อยา่ งมีระเบยี บ และมีจุดมุ่งหมายอย่างแน่นอนแล้วนาขอ้ มลู ตา่ ง ๆ มาทาการวิเคราะห์ เปรยี บเทียบความหมายตลอดจนหาเหตผุ ล และความเปน็ มาของขอ้ มูลทาการสรุปอย่างมรี ะบบ โดยใช้ วธิ ีการทางวิทยาศาสตรแ์ ละทางสถิติ ทัง้ นี้เพ่ือให้ได้มาซ่ึงความจริงและหลักการบางอยา่ ง จากท่ีกลา่ วมาขา้ งต้น พอสรปุ ได้ว่าการวิจัย หมายถึง กระบวนการแสวงหาความรู้ความจริง ทีม่ ี ระบบและวธิ ีการทนี่ า่ เชอื่ ถอื เพือ่ นาความรคู้ วามจริงท่ีได้น้นั ไปใชใ้ นการตัดสนิ ใจแกไ้ ขปัญหา หรือ กอ่ ให้เกิดความรูใ้ หม่ๆ วิธีการแสวงหาความรู้ของมนษุ ย์ ธรรมชาติของมนุษย์ส่วนใหญ่ต้องการที่จะพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของตนให้ดีขึ้นซึ่งเหตุนจี้ ึง เป็นแรงกระตุ้นใหม้ นษุ ยม์ ีความอยากรู้ อยากเห็น อยากเข้าใจในปรากฏการณ์ตา่ ง ๆ ในธรรมชาติและ สงิ่ ท่อี ย่รู อบตัวเองวธิ ีการแสวงหาความรคู้ วามจริงของมนษุ ย์โดยทัว่ ไปมีดังนี้ 1. การแสวงหาความรู้ความจรงิ โดยไมอ่ าศยั เหตุผลเป็นการแสวงหาความรู้ ความจรงิ อยา่ งง่าย ๆ โดยมากมกั จะเป็นความจรงิ สว่ นบคุ คล(Personal Facts) เชน่ - ความรจู้ ากประสบการณ์ส่วนบุคคล ความรทู้ ีไ่ ดจ้ ากประสบการณข์ องแตล่ ะบุคคลอาจจะเป็น ความร้ทู ีไ่ ดจ้ ากการสะสมข้ึนมาเองหรือแสวงหาความรูแ้ บบบังเอญิ เช่นเดก็ เล็ก ๆ เอานิว้ มือไปใกล้ไฟ มากๆ กจ็ ะเกดิ การเรียนรวู้ า่ ไฟรอ้ น หรือไดค้ วามรมู้ าโดยการลองผดิ ลองถูกเชน่ มบี าดแผลเลือดไหล ลองขยีใ้ บไม้ชนดิ ตา่ ง ๆ มาปิดแผลถ้าใบไม้ชนดิ ใดหา้ มเลอื ดได้ ก็จะเกิดความรู้ใหม่ ซงึ่ ได้จากการลอง ผิดลองถูก - ความรู้จากบคุ คลอ่นื เชน่ โดยประเพณแี ละวฒั นธรรม โดยมผี ู้รบู้ อก ให้หรือโดยผู้ทม่ี คี วาม เชย่ี วชาญเปน็ ผู้บอก การแสวงหาความรู้ของมนุษยโ์ ดยไมอ่ าศยั เหตุผลอาจจะเป็นไปได้ทั้งความรทู้ ถ่ี กู และความรู้ ที่ผิด ไปจากความเป็นจริงท่ีได้ และในขณะเดยี วกันความรู้นนั้ ถา้ เปน็ การถา่ ยทอดกนั มากไ็ มก่ ่อใหเ้ กดิ ความร้ใู หม่เพิม่ เติม 2. การแสวงหาความรคู้ วามจรงิ โดยอาศัยเหตผุ ลเปน็ การแสวงหาความรูค้ วามจรงิ ซง่ึ มกั จะเนน้ ความจริงท่วั ไป (Public Facts)เช่น 2.1 วธิ ีอนุมาน(Deductionmethod) เป็นการหาความสมั พนั ธ์เชงิ เหตุผล ระหว่างข้อเทจ็ จรงิ ใหญ่ และขอ้ เทจ็ จรงิ ย่อย แลว้ จงึ ลงสรุปจากความสัมพันธ์ระหว่างขอ้ เทจ็ จรงิ ใหญ่และย่อย ตัวอยา่ งเชน่ ข้อเท็จจริงใหญ่ : คนทาวิจัยได้ทุกคนมคี วามสามารถดา้ นการวิเคราะห์ และดา้ นการ สงั เคราะห์
ข้อเท็จจรงิ ยอ่ ย : นายอนันต์ ทาวจิ ยั ได้ สรปุ : นายอนันต์ มคี วามสามารถด้านการวเิ คราะห์ และการสังเคราะห์ การใชว้ ิธอี นมุ านถกู โจมตีวา่ ไมไ่ ดส้ รา้ งความรใู้ หม่ อีกท้ังข้อสรุปจะเปน็ จรงิ ก็ต่อเม่อื ข้อเทจ็ จรงิ ใหญ่ และขอ้ เท็จจรงิ ยอ่ ยเป็นจรงิ ดังน้นั ผ้ทู จ่ี ะนาเอาวิธีอนมุ านไปใชถ้ ้าขาดความรเู้ กย่ี วกับส่งิ ที่นามาอา้ งก็จะ ทาใหส้ รุปผดิ ไดแ้ ตว่ ธิ ีอนุมานยงั มีประโยชน์ตอ่ การวิจยั บ้าง ในเร่ืองการตั้งสมมติฐาน วางแผนเกบ็ ขอ้ มูลเปน็ ตน้ 2.2 วิธีอุปมาน(Induction method) เปน็ วิธียอ้ นกลบั กับวธิ ีอนมุ าน น่นั คือเปน็ วิธีการค้นหา ความรคู้ วามจรงิ จากขอ้ เทจ็ จรงิ ย่อยๆ โดยพจิ ารณาสิง่ ทเ่ี หมือน กัน ต่างกัน สมั พันธก์ นั แลว้ จึงสรุป เป็นข้อเท็จจรงิ ใหญต่ ัวอยา่ งเช่น ข้อเทจ็ จริงยอ่ ย : คนทเี่ ป็นโรคเอดสแ์ ตล่ ะคนรกั ษาไมห่ ายในที่สดุ จะตายทกุ คน ดงั นนั้ : กลุ่มคนท่เี ป็นโรคเอดสต์ ้องตายทุกคน ขอ้ บกพรอ่ งของวธิ อี ปุ มาน คอื หากเก็บรวบรวมขอ้ มลู หรอื ข้อเทจ็ จรงิ คลาดเคล่ือนก็จะทาให้ การลงสรุปความรูใ้ หม่ผิดพลาดไป 2.3 วธิ ีการทางวทิ ยาศาสตร์ (Scientific Method) ถือว่าเปน็ วธิ ีสืบแสวงหาความรขู้ องมนุษย์ สมัยใหม่และเป็นทน่ี ิยมใช้กนั มากในปจั จุบนั ซ่ึงประ-กอบดว้ ย 5 ขน้ั ตอนดังนี้ 1) ข้ันปัญหา (Problem) เป็นการกาหนดลงไปวา่ ปัญหาที่ แท้จรงิ คืออะไร 2) ขั้นต้งั สมมตุ ฐิ าน (Hypothesis) เป็นการคาดคะเนคาตอบทคี่ ิดวา่ น่าจะเปน็ อยา่ งมี เหตผุ ล 3) ขน้ั เกบ็ รวบรวมข้อมลู (Collection of data) เปน็ ขนั้ รวบรวมข้อมูลหรือหลักฐาน 4) ขั้นวเิ คราะห์ขอ้ มลู (Analysis of data) เพ่ือทดสอบสมมุติฐานท่ีต้ังข้นึ มา 5) ขั้นสรุป (Conclusion) เป็นการสรปุ วา่ ขอ้ เทจ็ จริงของปญั หาคอื อะไร วิธีการทางวิทยาศาสตร์เป็นวิธีที่น่าเชื่อถือมากที่สุด นกั วิจัยจึงยดึ ถือและปฏิบตั ิตามลาดับขั้น ของวิธีการทางวิทยาศาสตรเ์ ป็นหลกั จุดมงุ่ หมายของการวจิ ัย จุดม่งุ หมายของการวิจยั เม่ือพิจารณาตามเปา้ หมายในการวิจยั แบง่ ได้ 2 ประการคือ 1. เพอื่ เพิ่มพูนความรู้ใหม่ๆ ทางวชิ าการ เปน็ การแสวงหาความรู้ หรือความจริงเพ่อื สรา้ งเปน็ กฎ สูตรทฤษฎี ในแตล่ ะสาขาวชิ า ไม่คานงึ ถงึ เร่อื งการนาผลการวจิ ัยไปใช้ เพราะการวจิ ยั แบบน้ีมี จุดมงุ่ หมายเพียงต้องการรเู้ รื่องราวต่าง ๆ เทา่ น้ัน เชน่ การวจิ ัยเกย่ี วกบั ปรากฏการณ์ธรรมชาตกิ ารโคจร ของดาวหางเป็นต้น
2. เพ่ือนาไปประยุกตห์ รือใชป้ ระโยชน์ในงานต่างๆ มีจดุ มงุ่ หมายในการนาผลการวจิ ยั ไปใชใ้ น เชิงปฏิบตั ิโดยตรง เชน่ การวจิ ัยแกป้ ญั หาการจราจรการวจิ ยั ปัญหาการเรยี นการสอน การวิจยั เพื่อศกึ ษา ขวญั และกาลงั ใจในการทางานเปน็ ตน้ ประโยชน์ของการวจิ ัยทางการศึกษา การวิจยั นัน้ ถ้าดตู ามเป้าหมายจะมี2 ลักษณะ คอื การวิจัยพ้ืนฐาน (Pure Research or Basic Research) และการวจิ ัยประยกุ ต์(Applied Research) ซึ่งการวจิ ัยพืน้ ฐานมเี ปา้ หมายทีจ่ ะแสวงหาความรูค้ วามจรงิ เพื่อสร้างกฎ สตู ร ทฤษฎใี นแต่ละสาขาวิชา เพอื่ เป็นพนื้ ฐานในการศึกษาเรือ่ งอ่ืนๆ ต่อไป ส่วนการวจิ ยั ประยุกต์ มงุ่ นาผลจากการวจิ ยั ไปใช้ในการแกป้ ญั หาต่างๆ การวิจยั ทางการศกึ ษา มีท้งั การวจิ ัยพ้ืนฐานและวจิ ัยประยกุ ต์จึงกอ่ ใหเ้ กิดประโยชน์ต่าง ๆ 1.ได้ขอ้ ความรคู้ วามเข้าใจในปรากฏการณต์ ่างๆ ทีเ่ กยี่ วขอ้ งกับการจัดการศึกษา เชน่ ผลการวิจยั ทาใหเ้ ราทราบว่ามนษุ ย์แต่ละคนมีความถนัดในการเรียนวชิ าการสาขาตา่ งๆ แตกตา่ ง กันออกไป การศกึ ษาเกี่ยวกับเทคนคิ การสอน ทาใหท้ ราบวา่ เทคนคิ การสอนที่ต่างกนั นนั้ ทาให้ ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี นของผูเ้ รยี น แตกต่างกันไปอยา่ งไร 2. ช่วยใหก้ ารจดั การศึกษามปี ระสทิ ธภิ าพสูงสุดจากการไดค้ วามรแู้ ละ ความเขา้ ใจตา่ ง ๆ ในส่วน ทเ่ี กีย่ วข้องกับการศกึ ษา ทาใหน้ ักการศึกษาสามารถที่จะจัดการศกึ ษาใหม้ ีประสิทธิภาพสูงสดุ ได้ 3. ก่อใหเ้ กดิ ประดษิ ฐก์ รรมและนวัตกรรมใหมๆ่ ในการศกึ ษา ผลของการวิจยั ในทางการศกึ ษา สว่ นหนึง่ ก่อให้เกดิ แนวคดิ วธิ กี ารเครือ่ งมือ ตลอดจนวิธกี ารใหม่ ๆ ในการจัดการศกึ ษาใหด้ ขี ้ึน ขน้ั ตอนการวิจัย การดาเนินการวจิ ัย ยึดถอื และปฏบิ ตั ติ ามวธิ ีการทางวิทยาศาสตรเ์ ป็นหลักมลี าดบั ขัน้ ของการทาวิจัย 5 ข้ันตอน ดงั น้ี ขน้ั ที่ 1 การกาหนดปญั หา(Problem Identification) เม่ือตอ้ งการศกึ ษาเรือ่ งใด ตอ้ งตั้งปัญหาที่จะ ศกึ ษาให้ชดั เจนซ่งึ ในขนั้ น้ผี วู้ ิจัยจะตอ้ งต้ังช่อื เรือ่ ง และนยิ ามปญั หาทีจ่ ะวจิ ัย ว่าในการศกึ ษาค้นคว้าครง้ั นม้ี ีจุดมงุ่ หมายอย่างไรการทีจ่ ะนิยามปัญหาไดช้ ดั เจน ต้องมีการศกึ ษาเอกสารที่เก่ยี วกบั เรื่องนน้ั ๆ ข้ันท่ี 2 การต้งั สมมุติฐาน (Formulation Hypothesis) การตัง้ สมมุติฐานเป็นการทานาย ผลการวจิ ัย เป็นการเดาว่าเรอ่ื งตา่ ง ๆ ที่ศึกษาน้ันเกิดขึ้นเพราะอะไร ขั้นท่ี 3 การรวบรวมขอ้ มูล(Collection of Data) ผ้วู จิ ยั จะตอ้ งวางแผนวา่ จะใชว้ ธิ กี ารใดเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู และหาวิธีการเกบ็ รวบรวมข้อมลู เพือ่ ทีจ่ ะนาขอ้ มลู มาใชใ้ นการตอบสมมุตฐิ านท่ีต้ังไว้ ขัน้ ที่ 4 การวิเคราะหข์ ้อมูล(Data Analysis) ผวู้ จิ ยั จะต้องใช้ วธิ กี ารทางสถติ ิ เพอ่ื วิเคราะห์ ผลการวจิ ัยและแปลความหมายของข้อมลู
ขน้ั ที่ 5 การสรุปผล (Conclusion) เปน็ การสรปุ ผลวา่ การวิจยั ครงั้ นี้ได้ผลอย่างไรบ้าง พร้อมทงั้ อภปิ รายผล และใหข้ อ้ เสนอแนะ แล้ว ทาเป็นรายงานการวจิ ยั เพอ่ื เป็นเอกสารแสดงผลการศึกษา ค้นควา้ ในการดาเนนิ การวจิ ยั ผู้วิจยั จะตอ้ งทาการวางแผนไว้ล่วงหนา้ เพอ่ื ใหง้ านวจิ ัยเป็นไปอย่างมีแบบ แผน ซง่ึ อาจแยกแยะขัน้ ตอนท้งั การวางแผนและลงมือปฏบิ ตั ิจริงไดด้ งั น้ี 1. เลือกหวั ขอ้ ปัญหาการวจิ ยั เป็นการกาหนดของงานวจิ ยั วา่ จะทาการศึกษาในเรอ่ื งใดสาขาวชิ า ใด มขี อบเขตกวา้ งขวางแคไ่ หน ปัญหาที่ทาการวิจยั นน้ั ตอ้ งมคี ุณค่าและเหมาะสมกบั ความสามารถ เวลา และเงนิ ทุนสาหรบั การวจิ ัย 2. ศึกษาเอกสารและงานวิจยั ทีเ่ กยี่ วขอ้ ง ผ้วู ิจยั ต้องศกึ ษาทฤษฎี หลกั การ ความรพู้ น้ื ฐาน ผลงานวจิ ยั ในเรื่องทีเ่ กีย่ วขอ้ ง เพอื่ จะไดเ้ หน็ แนวทางในการวิจยั 3. เขียนเค้าโครงการวิจยั เพ่อื ใหก้ ารวิจัยดาเนินไปตามขน้ั ตอนอย่างเปน็ ระบบ ผู้วจิ ยั จะต้องเขียน รายละเอยี ดของกระบวนการวิจัยไว้ล่วงหน้าวา่ จะต้อง ทาอะไรบ้าง ตามลาดบั แตต่ น้ จนจบ โดยมีปฏิทิน การปฏบิ ตั ิงาน พร้อมท้งั กาหนดคา่ ใชจ้ ่ายเครื่องมอื ในการวิจัยไวด้ ้วย 4. การดาเนนิ การเกบ็ รวบรวมข้อมลู เปน็ ขน้ั ตอนทที่ าหลังจากเขยี นเคา้ โครงการวิจัย เรียบร้อย แล้ว กม็ ีการนาเคร่อื งมือไปเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลจากกล่มุ ตัวอยา่ งทก่ี าหนดไว้ในเคา้ โครงการวิจยั 5. การวเิ คราะห์ขอ้ มลู โดยวเิ คราะหข์ อ้ มลู ตามวธิ ที ก่ี าหนดไว้ในเคา้ โครงการวิจยั 6. สรุป อภปิ รายผลและข้อเสนอแนะ ขนั้ นี้เป็นการสรปุ ผลที่ได้จาก การวเิ คราะหข์ ้อมลู รวมทั้ง ให้ข้อเสนอแนะสาหรับผทู้ ่จี ะทาการวจิ ยั ในลักษณะคลา้ ย คลงึ กนั หรอื นาผลการวิจัยไปใช้ 7. เขยี นรายงานการวิจยั งานวิจัยจะเสร็จสมบรู ณ์ต้องมกี ารรายงานวจิ ัยออกมาเปน็ ลายลักษณ์ อักษร โดยขัน้ นี้จะรายงานขอ้ เทจ็ จริงท่คี น้ พบตามแนวการเขียนรายการวิจัย เพื่อสะดวกแก่ผ้ทู ่มี าศกึ ษา ค้นควา้ ต่อไป ประเภทของการวิจัย งานวจิ ยั แบ่งออกได้หลายประเภท ข้ึนอย่กู บั วา่ จะใช้เกณฑอ์ ะไรในการจัดประเภทในที่นีข้ อ กลา่ วถงึ ประเภทของงานวจิ ยั เม่อื ใช้เกณฑ์ 4 ประเภท ดงั นี้ 1. แบง่ ตามประโยชน์ทีไ่ ดร้ บั จากการวจิ ัยแบ่งได้ 2 ประเภท คือ 1.1 การวิจยั พน้ื ฐานหรือการวจิ ยั บริสทุ ธ์ิ(Pure Research) เปน็ การวจิ ัยท่ีไม่ได้ม่งุ ทีจ่ ะนาผลของ การวิจัยไปใช้ใหเ้ ป็นประโยชน์ทนั ทีในชีวิตจรงิ แตม่ คี วามตอ้ งการท่จี ะให้ได้มาซึ่งความรใู้ หม่ ข้อเทจ็ จริงพน้ื ฐานทางทฤษฎีหรือกฎท่ีเกยี่ วข้องกับการเกิดขนึ้ ของปรากฏการณ์ทศี่ กึ ษาเป็นการแสวงหา ความรใู้ หม่ ๆเพ่อื สนองความอยากรู้อยากเห็นของมนุษย์เปน็ เปา้ หมายหลกั
1.2 การวจิ ยั ประยุกต์(Applied Research) เปน็ การวจิ ัยทม่ี ุ่งนาผลการวิจัยไปใช้ให้เปน็ ประโยชน์ ในทางปฏบิ ัตเิ ชน่ เพื่อนาไปแก้ปัญหา เพอื่ นาไปประกอบการตัดสนิ ใจเพ่อื นาไปพฒั นาโครงการเปน็ ต้น 2. แบ่งตามลักษณะวธิ ีการวเิ คราะห์ขอ้ มูลแบ่งได้ 2 ประเภทคือ 2.1 การวจิ ยั เชิงปริมาณ(Quantitative Research) เป็นการวิจยั ทม่ี งุ่ หาข้อเท็จจรงิ และขอ้ สรปุ เชงิ ปรมิ าณ เน้นการใชข้ อ้ มลู ท่ีเป็นตวั เลขเป็นหลกั ฐานยืนยนั ความถูกตอ้ งของขอ้ คน้ พบ และสรปุ ตา่ งๆ มี การใชเ้ คร่อื งมือท่มี ีความเป็นปรนัยในการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู เชน่ แบบสอบถามแบบทดสอบ การ สังเกต การสัมภาษณ์ การทดลอง เปน็ ต้น 2.2 การวิจัยเชงิ คณุ ภาพ(Qualitative Research) เป็นการวจิ ัยที่นักวิจยั จะต้องลงไปศกึ ษาสังเกต และกล่มุ บคุ คลท่ตี ้องการศกึ ษาโดยละเอยี ดทุกด้านในลักษณะเจาะลึก ใช้วิธีการสงั เกตแบบมีสว่ นรว่ ม และการสมั ภาษณ์แบบไมเ่ ปน็ ทางการเป็นหลักในการเก็บรวบรวมขอ้ มูลการวเิ คราะหข์ ้อมูลจะใช้การ วเิ คราะหเ์ ชิงเหตผุ ลไมไ่ ดม้ ุง่ เก็บเป็นตวั เลขมาทาการวิเคราะห์ 3. แบง่ ตามประเภทของศาสตร์ แบง่ ได้2 ประเภท คอื 3.1 การวจิ ยั ทางวิทยาศาสตร์(SciencesResearch) เปน็ การวจิ ัยท่ีเนน้ ในเร่อื งของการทาความเขา้ ใจ กบั ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติและวัตถุต่างๆ รวมทัง้ มงุ่ นาเอาความร้ทู ี่ไดม้ าใช้ใหเ้ กดิ ประโยชน์ เช่น งานวิจยั ทางด้านการแพทยอ์ ตุ สาหกรรม เคมี ชวี วทิ ยา เป็นต้น 3.2 การวิจยั ทางสังคมศาสตร์(Social Research) เป็นการวิจัยทีเ่ นน้ ในเร่อื งการศึกษาพฤตกิ รรม ของมนษุ ยร์ วมทั้งสงั คมและวัฒนธรรมของมนุษย์ เช่น การวิจยั ทางการศกึ ษา เศรษฐศาสตร์ รฐั ศาสตร์ ศลิ ปวฒั นธรรม การเมอื งการปกครอง เปน็ ตน้ 4. แบง่ ตามระเบยี บวิธวี ิจยั ระเบยี บวธิ วี จิ ยั หมายถึง แบบแผนในการวิจัยซ่งึ ประกอบด้วยการเก็บรวบรวมข้อมูล และ การ วเิ คราะหข์ อ้ มลู เพอ่ื ตอบปัญหาที่ทาการวิจัย การแบง่ ประเภทของการวจิ ยั ตามระเบียบวธิ วี ิจัยนเี้ ป็นทีน่ ิยมใชก้ ันมากซึง่ แบ่งได้ 3 ประเภทคือ 4.1 การวิจยั เชงิ ประวตั ศิ าสตร์(Historical Research) เปน็ การวิจัยทม่ี ่งุ แสวงหาคาตอบใหก้ บั เร่ืองราวท่ีเกิดข้ึนในอดีตโดยศกึ ษาจากหลกั ฐานตา่ ง ๆ ทีย่ ังหลงเหลือมาจนถึงปัจจุบัน ผวู้ จิ ัยจะตอ้ ง นาเอาข้อมูลที่เก่ยี วกบั เหตกุ ารณ์แนวคดิ ต่าง ๆ ทค่ี ้นพบ มาประมวล แปลความ วเิ คราะห์และ สงั เคราะห์ ตวั อย่างเช่น - ความสัมพันธร์ ะหวา่ งประเทศไทยกับประเทศอนิ เดีย พ.ศ.2493-2529
-พฒั นาการของหอ้ งสมุดประชาชนในประเทศไทย ระหวา่ งปี พ.ศ.2459-2532 4.2 การวิจัยเชิงทดลอง (Experimental Research) เปน็ การวิจยั ทค่ี ้นหาความจริงโดยอาศยั การ ทดลองเพอ่ื ให้ไดค้ าตอบในเชงิ เหตผุ ลวา่ มี สง่ิ ใดเปน็ เหตุ ส่ิงใดเปน็ ผลท่เี กดิ ตามมา การวจิ ัยประเภทน้ี จะมกี ารควบคมุ ตวั แปรท่ไี มเ่ ก่ียวข้องกับการทดลอง ตวั อย่างเชน่ - การเปรียบเทยี บผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นวชิ าฟสิ ิกส์ ของนกั เรียนชั้นมธั ยมศกึ ษาปีท่ี4 ระหว่างกลมุ่ ทีเ่ รียนโดยอา่ นบทเรยี นกอ่ นและหลงั การเรียน (ธนัฐ กรอบทอง.) - การเปรียบเทยี บผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี น ของนักศกึ ษาระดบั ประกาศนียบตั รวิชาชีพเรื่อง กฎ และวงจรไฟฟา้ กระแสตรง ทเี่ รียนจากหนว่ ยการ เรยี นกบั การสอนปกติ 4.3 การวจิ ยั เชิงบรรยาย(Descriptive Research) เปน็ การวจิ ัยทีม่ ่งุ ค้นหาคาตอบ คาอธิบาย ของ สภาพการณห์ รอื เรอื่ งราวใด ๆ ทอ่ี ยใู่ นชว่ งปจั จุบนั ท่กี าลงั มกี ารวจิ ัยโดยชี้ให้เห็นว่าปรากฏการณน์ น้ั เปน็ อยา่ งไร เชน่ เกิดขึ้นบ่อยครัง้ เพยี งใดมีลกั ษณะที่สาคัญ ๆ อะไรบา้ ง สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทยอ่ ย คอื 4.3.1 การวจิ ยั เชงิ สารวจ (Survey Studies) เปน็ การศกึ ษาเพ่ือทีจ่ ะรวบรวมข้อเท็จจรงิ ต่างๆ ของสง่ิ ใดส่ิงหน่ึงในช่วงปจั จบุ ันที่มกี ารเกบ็ ขอ้ มลู โดยนาข้อมลู ทีไ่ ด้มาเปน็ ข้อมูลพืน้ ฐานของหน่วยงาน ในการวางแผนหรือปรับปรงุ สภาพที่เป็นอย่ใู ห้ดีขึน้ ตัวอยา่ งเช่น - ความคดิ เหน็ ของครู-อาจารยท์ ม่ี ตี อ่ การจัดโครงการ อาหารกลางวัน - การสารวจประชามติ (public opinion survey) เชน่ สารวจความนยิ มของประชาชนทม่ี ีต่อ การบริหารงานของรฐั บาล - การวเิ คราะห์งาน (job analysis) เปน็ การศกึ ษารายละเอยี ดของงาน - การวิเคราะห์เอกสาร (documentary analysis) เป็นการศึกษารายละเอียดของเอกสารใน ปัจจบุ ันเช่น หนงั สือแบบเรยี น หลักสตู ร 4.3.2 การวจิ ยั เชงิ ความสัมพนั ธ์ (Correlational Studies) เปน็ การวจิ ัยท่ีศกึ ษาความสัมพันธ์ ระหว่างตัวแปรของปรากฏการณห์ รือพฤตกิ รรมตา่ งๆ แบง่ เปน็ 3 แบบ คอื ก. การศกึ ษาเฉพาะกรณี (Case studies) เป็นการศกึ ษาอยา่ งละเอียดลึกซ้ึงเกย่ี วกับเรือ่ งใด เรอ่ื งหนึ่งโดยเฉพาะ เพ่อื ให้ทราบรายละเอียดทุกแงท่ ุกมมุ เก่ียวกับเร่ืองนนั้ ๆ ข. การศกึ ษาเปรียบเทียบ (Causal comparative studies) การศึกษาแบบนย้ี ังไม่เปน็ การ ทดลองเป็นเพียงการศึกษาผลทีป่ รากฏวา่ มสี าเหตุมาจากอะไรบ้าง ไม่มกี ารควบคมุ ตัวแปร ค. การศกึ ษาเชิงสหสัมพนั ธ์(Correlation studies) เปน็ การศึกษาความสัมพนั ธ์ระหวา่ งตวั แปร2 ตัวขึ้นไปวา่ มคี วามสมั พนั ธ์กันหรือไม่
4.3.3 การศึกษาพัฒนาการ (Developmental Studies) เปน็ การวจิ ัยในลกั ษณะเฝา้ ตดิ ตามดูความ เจรญิ เตบิ โตหรือการเปล่ยี นแปลงของส่ิงใด ๆ ที่ฝนั แปรไปตามเวลา แบง่ เปน็ 2 แบบ คือ ก. การศกึ ษาภาวะการเจรญิ เตบิ โต (Growth studies) เช่นการศึกษาพัฒนาการทางร่างกาย ของเดก็ กอ่ นวยั เรียนเปน็ ตน้ ข. การศกึ ษาแนวโนม้ (Trend Studies) เช่น การศกึ ษาถึงแนวโนม้ ของอาชพี ที่จะเกิดข้ึนใน จงั หวัดสกลนครอกี 15 ปีข้างหน้า การจัดการศึกษาระดับมัธยมศกึ ษาในทศวรรษหน้า เป็นตน้ ลักษณะของนักวจิ ยั ทีด่ ี การวิจัยเป็นงานท่ีมีระบบระเบยี บเพอ่ื สรา้ งสรรคค์ วามรใู้ หม่ๆ ให้เกดิ ขนึ้ ดงั น้นั ผทู้ ี่จะเป็นนักวิจยั ไดด้ ีจะตอ้ งไดร้ ับการฝึกหัดที่ถูกต้อง และมคี วามรับผิดชอบสูงดัง ไดส้ รุปลักษณะของนกั วิจยั ท่ีดไี ว้ 6 ประการ ดังน้ี 1. กรณีทีน่ ักวิจยั ตอ้ งการนาขอ้ ความรคู้ วามคิดเห็นหรอื ขอ้ คน้ พบของบุคคล อนื่ มาใช้ประโยชน์ จะตอ้ งอา้ งอิงแหล่งทม่ี าของข้อความรู้หรือบุคคลทเี่ ป็นผคู้ น้ พบข้อความรู้น้ันๆ 2. นักวจิ ัยจะต้องวิเคราะห์ข้อมูลและรายงานผลการวิเคราะหข์ ้อมลู อย่างตรงไปตรงมาจะตอ้ งไม่มี การบดิ เบือนปิดบัง ตกแตง่ หรอื กาหนดตวั เลขคา่ สถิติ ขึน้ เองโดยไม่มีการเกบ็ ข้อมูลตา่ งๆ มาจริง 3 นกั วิจยั จะตอ้ งรายงานผลการวิจัยอย่างตรงไปตรงมาใช้ภาษาทผี่ ้อู ่านเข้าใจความหมายไดถ้ ูกต้อง ชดั เจน ไมป่ ดิ บังซ่อนเร้นหรือเขียนรายงานการวจิ ัยให้เกิดประโยชนแ์ ก่บคุ คลกลุ่มใดๆ โดยไมม่ ี ผลการวิจยั ท่ีสามารถยนื ยนั ไดอ้ ยา่ งชดั เจน 4. ก่อนทนี่ กั วจิ ยั จะเก็บขอ้ มลู จากบุคคล หน่วยงาน หรือสถาบนั ใด ๆ จะ ตอ้ งมกี ารติดต่อขอ อนญุ าตล่วงหน้า และลงมอื เกบ็ รวบรวมข้อมูลหลงั จากที่ไดร้ บั อนุญาตแล้ว 5. นักวิจยั จะตอ้ งไม่กระทาการใดๆ ในลกั ษณะของการบังคบั จิตใจหรือ ฝนื ความร้สู ึกของผใู้ ห้ ขอ้ มลู และทาการวิจัยในลักษณะทดลองจะตอ้ งได้รบั การยินยอมจากผู้เขา้ รบั การทดลอง 6. ในการรายงานผลการวจิ ยั นักวจิ ัยจะรายงานผลการวิเคราะห์ในลักษณะของผลรวมท้งั หมด ไม่ นาเอาข้อมลู เฉพาะบุคคลมาเปิดเผยหรอื กลา่ วอ้างชื่อของบุคคลท่ใี หข้ อ้ มูล ตวั แปรในการวจิ ัย ตวั แปร : Variable มาจากคาวา่ vary = ผนั แปร เปลยี่ นแปลง able = สามารถ Variable = สิง่ ทสี่ ามารถแปรค่าได้ ตัวแปร คอื คุณลักษณะหรือสภาวะการณ์ตา่ งๆ ซึ่งแบง่ ออกเป็นพวกหรือเปน็ ระดับหรือมคี า่ ได้ หลายคา่ ตัวแปร คอื ส่ิงที่โดยสภาพทั่วไปแล้วสามารถแปรค่าไดค้ า่ ท่แี ปรออกมาของตัวแปรย่อมมี คุณสมบตั ิแตกตา่ งกันออกไป
ตวั แปร คอื สิ่งทผี่ วู้ จิ ัยสนใจท่ีจะวดั เพอื่ ใหไ้ ด้ข้อมูลออกมาในรูปใดรปู หนงึ่ โดยสรปุ แล้ว ตวั แปร หมายถงึ คณุ ลกั ษณะของส่ิงต่างๆ ทีส่ ามารถแปรเปลี่ยนค่าได้ เช่น เพศ แปรคา่ ไดเ้ ป็น เพศชาย และเพศหญิง ระดบั การศึกษาอาจแบง่ เปน็ ระดบั ตา่ กวา่ ปรญิ ญาตรี และระดับปริญญาตรขี ึ้นไป เป็นต้น ส่งิ ท่ีแปรเปลย่ี นค่าไมไ่ ด้ไมถ่ ือวา่ เป็นตัวแปรเชน่ คน แมว แตถ่ ้าเป็น เช้ือชาตขิ องคน สขี องแมว จะ กลายเปน็ สงิ่ ท่แี ปรเปลี่ยนค่าได้จึงจะถอื วา่ เป็นตวั แปร ประเภทของตัวแปร เกณฑใ์ นการจาแนกประเภทของตวั แปรมี 4 ลกั ษณะคอื 1. พจิ ารณาคุณสมบัติของค่าท่แี ปรออกมาแบ่งเป็น 2 ชนิด คอื 1.1 ตัวแปรเชงิ ปรมิ าณ(Quantitative Variables) เป็นตวั แปรทแี่ ตกตา่ งกันในระหว่างพวก เดียวกนั หรือคา่ ทแี่ ปรออกมาแตกตา่ งกันออกไปตามความถีจ่ านวนปรมิ าณมากนอ้ ยหรือลาดับท่ี เชน่ คา่ ใชจ้ า่ ยของนักศึกษาตอ่ คน ตอ่ วนั (10,15,20,...(บาท)) บตุ รคนที่ (1, 2, 3,...) คะแนนของนักเรียน (17, 18, 19,....) จานวนบุตรในครอบครวั (0, 1, 2,....) 1.2 ตัวแปรเชงิ คุณภาพ(Qualitative Variables) เป็นตัวแปร ทีม่ คี ุณสมบัตแิ ตกตา่ งกันในแงข่ อง ชนดิ หรือประเภทโดยใช้ช่อื เปน็ ภาษาทีแ่ สดงถึงคุณลกั ษณะของสิ่งต่าง ๆ ในพวกนัน้ เชน่ อาชพี (ข้าราชการ คา้ ขาย เกษตรกร รับจ้าง) เพศ (ชาย หญงิ ) ภูมิลาเนา (ในเมือง ชนบท) 2. พิจารณาความตอ่ เนื่องตามธรรมชาติของตัวแปรแบง่ เป็น 2 ชนดิ คอื 2.1 ตัวแปรคา่ ต่อเนอ่ื ง (Continuous Variables) เปน็ ตัวแปรทีม่ คี ่าต่อเนอื่ งกันตลอด เช่น สว่ นสงู น้าหนกั คะแนนสอบ เปน็ ต้น ค่าของตวั แปรเหลา่ น้ไี ม่จาเปน็ ตอ้ งเป็นเลขเตม็ หน่วยพอดีอาจเป็น ทศนิยมหรือเปน็ เศษสว่ นได้ 2.2 ตัวแปรค่าไมต่ ่อเน่อื ง(Discrete Variables) ตวั แปรประเภทนี้มคี ่าเฉพาะตัวของมัน แยกออก จากกนั เดด็ ขาดวัดคา่ เปน็ จานวนเตม็ เช่น จานวนหนังสอื เพศ (ชายแทนดว้ ย 0, หญงิ แทนดว้ ย 1)เป็น ต้น 3. พิจารณาความเป็นไปได้ของผ้วู ิจัยท่ีจะจัดกระทากบั ตัวแปรแบง่ เป็น 2 ชนิดคือ 3.1 ตวั แปรที่กาหนดได้(Active Variables) เปน็ ตัวแปรทผี่ วู้ จิ ัยสามารถกาหนดใหก้ บั ผูร้ ับการ ทดลองไดเ้ ชน่ วิธีสอน การจดั สอนซอ่ มเสริม การจดั สภาพหอ้ งเรียนและอนื่ ๆ เปน็ ต้น
3.2 ตัวแปรที่จดั กระทาขึ้นไมไ่ ด้(Attribute of Organismic Variables) เปน็ ตัวแปรท่ียากจะ กาหนดใหผ้ ู้รับการทดลองไดต้ วั แปรเหลา่ น้ีเปน็ ลกั ษณะของผูร้ บั การทดลอง เช่น เพศ สภาพเศรษฐกิจ ความถนัดเป็นตน้ 4. พิจารณาถงึ ความสมั พันธร์ ะหวา่ งตวั แปรในเชงิ เหตุผลเป็นการแบ่งตามลกั ษณะการใชเ้ ปน็ วธิ ี แบ่งตัวแปรทน่ี ยิ มกันมากที่สดุ แบง่ เป็น 4.1 ตัวแปรอิสระหรอื ตัวแปรตน้ (Independent Variables) เป็นตวั แปรท่จี ะทาใหเ้ กิดส่ิงอ่ืน ตามมา เปน็ ตัวแปรทเ่ี ป็นเหตุตวั แปรทม่ี ากอ่ น 4.2 ตัวแปรตาม(Dependent Variables) เปน็ ตัวแปรที่เป็นผลเปน็ ตวั แปรทเ่ี ป็นผลมาจากตัวแปร ตน้ 4.3 ตวั แปรแทรกซอ้ น(Extraneous Variables) เปน็ ตวั แปรอื่น ๆ ทีอ่ าจมีผลตอ่ ตัวแปรตาม โดย ผวู้ จิ ัยไมต่ อ้ งการให้เกดิ เหตุการณ์นน้ั ขึน้ โดยผู้วิจัยต้องพยายามควบคมุ ตวั แปรแทรกซ้อน เชน่ ควบคมุ ดว้ ยการเลอื กกล่มุ ตัวอย่างควบคมุ โดยวธิ ีการทางสถิตหิ รอื ผูว้ จิ ัยอาจนาตัวแปรแทรกซอ้ นมาศึกษาเป็น ตัวแปรอิสระอกี ตัวแปรหนง่ึ ไปเลย ตวั อยา่ ง 1) สถานการณ์: ครูคนหน่ึงมคี วามสนใจจะเปรียบเทียบผลสัมฤทธิท์ างการเรยี นวชิ าภาษาไทย ของนักเรียนชั้นม.1 ท่ีเรยี นโดยใช้บทเรยี นสาเร็จรปู และแบบธรรมดามีผลแตกตา่ งกนั หรอื ไม่ ตัวแปรตน้ คือ วธิ สี อน ตวั แปรตาม คือ ผลสัมฤทธิท์ างการเรียนวิชาภาษาไทย ตัวแปรแทรกซ้อน ทน่ี ่าจะต้องควบคุม คอื การเรยี นพเิ ศษการศกึ ษาเพิม่ เตมิ พื้นฐานของนกั เรยี น 2) จดุ ม่งุ หมายการวจิ ัย: เพื่อเปรยี บเทียบความถนดั ดา้ นเครือ่ งจักรกลระหวา่ งนักเรียนชาย และนกั เรียนหญิง ตวั แปรต้น คือ เพศของนกั เรียน ตวั แปรตาม คือ ความถนดั ด้านเครือ่ งจักรกล ตวั แปรแทรกซ้อน ความตงั้ ใจเรยี น พนื้ ฐานนกั เรยี น 3) สมมตุ ฐิ านการวจิ ยั : นกั เรียนทม่ี ผี ู้ปกครองรบั ราชการ และนกั เรยี นที่มีผปู้ กครอง ประกอบ อาชีพเกษตรกรรมมีพฤตกิ รรมความเปน็ ผ้นู าแตกตา่ งกนั ตัวแปรต้น คือ อาชพี ของผปู้ กครอง ตัวแปรตาม คือ พฤตกิ รรมความเปน็ ผ้นู า ความหมายและความสาคญั ของการวจิ ัย
การวจิ ยั หมายถึง กระบวนการแสวงหาความรู้ความจรงิ ที่มรี ะบบและวธิ กี ารทีน่ ่าเชือ่ ถือเพ่ือ นาความรู้ความจรงิ ที่ไดน้ ั้นไปใช้ในการตัดสินใจแกไ้ ขปญั หาหรือก่อให้เกิดความรูใ้ หมๆ่ ความสาคัญของการวิจยั เพอื่ เพ่ิมพูนความรูใ้ หมๆ่ ทางวชิ าการเป็นการแสวงหาความรู้ หรือ ความจริงเพือ่ สร้างเป็นกฎ สูตรทฤษฎี ในแตล่ ะสาขาวชิ า และเพื่อนาไปประยกุ ตห์ รือใชป้ ระโยชน์ใน งานตา่ งๆ มจี ุดมงุ่ หมายในการนาผลการวิจยั ไปใชใ้ นเชงิ ปฏบิ ัติโดยตรง ประเภทของการวิจัย งานวจิ ยั แบ่งออกได้หลายประเภท ข้ึนอยกู่ บั ว่าจะใชเ้ กณฑอ์ ะไรในการ จดั ประเภท งานวิจยั โดยทว่ั ไปแบ่งได้เป็น 4 ประเภท ดังน้ี 1) แบ่งตามประโยชนท์ ีไ่ ด้รบั จากการวจิ ัยแบง่ ได้ 2 ประเภท คอื 1.1 การวิจยั พน้ื ฐานหรือการวจิ ัยบริสุทธ์ิ(Pure Research) 1.2 การวจิ ัยประยกุ ต์(Applied Research) 2) แบง่ ตามลกั ษณะวิธกี ารวเิ คราะหข์ ้อมูลแบง่ ได้ 2 ประเภทคอื 2.1 การวจิ ัยเชิงปรมิ าณ(Quantitative Research) 2.2 การวจิ ัยเชงิ คณุ ภาพ(Qualitative Research) 3) แบง่ ตามประเภทของศาสตร์ แบง่ ได้2 ประเภท คือ 3.1 การวจิ ยั ทางวิทยาศาสตร์(SciencesResearch) 3.2 การวจิ ยั ทางสงั คมศาสตร์(Social Research) 4) แบ่งตามระเบยี บวธิ วี ิจัย แบง่ ได้3 ประเภท คอื 4.1 การวจิ ยั เชงิ ประวัติศาสตร์(Historical Research) 4.2 การวจิ ัยเชิงทดลอง (Experimental Research) 4.3 การวจิ ัยเชิงบรรยาย(Descriptive Research) ข้ันตอนการวิจัย การดาเนินการวจิ ยั ยึดถือและปฏิบัตติ ามวิธกี ารทางวทิ ยาศาสตร์เปน็ หลกั มี ลาดบั ข้ันของการทาวิจัย 5 ขนั้ ตอน ดงั น้ี ขั้นที่ 1 การกาหนดปัญหา(Problem Identification) ข้ันที่ 2 การตง้ั สมมุตฐิ าน (Formulation Hypothesis) ขั้นที่ 3 การรวบรวมข้อมลู (Collection of Data ขน้ั ที่ 4 การวเิ คราะห์ขอ้ มูล(Data Analysis) ขนั้ ท่ี 5 การสรปุ ผล(Conclusion)
การวจิ ัยและพัฒนาการศึกษา (R & D) 4.1 ความสาคญั เป็นการพัฒนาการศึกษาโดยพืน้ ฐานการวจิ ัย (Research Based Education Development) เป็นกลยุทธ์หรือวธิ ีการสาคญั หน่งึ ที่นยิ มใช้ในการปรับปรงุ เปล่ยี นแปลงหรอื พฒั นา การศึกษา โดยเน้นหลกั เหตผุ ลและตรรกวิทยา เปา้ หมายหลัก คอื ใชเ้ ป็นกระบวนการในการพฒั นาและ ตรวจสอบคณุ ภาพของผลิตภณั ฑ์ทางการศึกษา (Education Product) การวิจยั และพฒั นาทางการศกึ ษา (R & D) มคี วามแตกตา่ งจากการวิจยั การศกึ ษาประเภทอนื่ ๆ อยู่ 2 ประเภท คือ เปา้ ประสงค์ / จุดม่งุ หมาย (Goal) และการนาไปใช้ (Utility) 4.2 ข้นั ตอนการวจิ ัยและพฒั นา การวจิ ัยและพัฒนาประกอบดว้ ยขัน้ ตอนสาคัญ 11 ขัน้ ตอน ดงั น้ี ขั้นท่ี 1 การกาหนดผลผลิตทางการศกึ ษาท่ีจะทาการพัฒนา ขนั้ ท่ี 2 รวบรวมขอ้ มลู และงานวจิ ัยที่เกีย่ วข้อง ขัน้ ท่ี 3 การวางแผนการวจิ ยั และพฒั นา ขั้นที่ 4 พฒั นารูปแบบข้นั ตอนของผลผลติ ขน้ั ที่ 5 ทดลองหรือทดสอบผลผลิตครั้งท่ี 1 ขน้ั ที่ 6 ปรับปรุงผลผลิตคร้ังท่ี 1 ขน้ั ท่ี 7 ทดลองหรือทดสอบผลผลิตคร้ังที่ 2 ขั้นท่ี 8 ปรับปรุงผลผลิตครง้ั ที่ 2 ขนั้ ท่ี 9 ทดลองหรือทดสอบผลผลติ ครั้งท่ี 3 ขัน้ ที่ 10 ปรับปรุงผลผลิตคร้ังที่ 3 ขั้นที่ 11 เผยแพร่ การวจิ ัยในช้ันเรยี น (Classroom Action Research :CAR) ความหมายความสาคัญ การวิจัยในชั้นเรียน (Classroom Action Research :CAR) Kemmis, S.กล่าววา่ Kurt Lewin เปน็ คนแรกทใี่ ช้คาวา่ \"action reseach\" โดยมขี อบเขตอยู่ท่กี าร แกป้ ัญหา และพัฒนาผู้เรียนเป็นสาคัญ หลักสูตรการศกึ ษาข้ันพ้ืนฐานพทุ ธศักราช ๒๕๔๔ไดก้ าหนด แนวทางการพัฒนาศักยภาพครใู ห้มคี วามเป็นผู้นาทางวิชาการปฏิบัตหิ นา้ ที่ โดยใชก้ ระบวนการวิจัยเพ่อื พฒั นาการเรยี นรูใ้ ห้ครูสามารถใช้การวจิ ยั เพ่ือพฒั นาการเรยี นรู้ใหค้ รสู ามารถใช้การวจิ ัยเป็นส่วนหน่งึ ของกระบวนการเรยี นรู้ และให้สามารถศกึ ษา ค้นควา้ วจิ ัย เพ่อื พัฒนาสือ่ การเรียนรู้ให้สอดคล้อง กับ กระบวนการเรยี นรขู้ องผ้เู รยี นซ่งึ สอดคลอ้ ง กับพระราชบญั ญตั ิการศกึ ษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๒๔ (๕) ใหส้ ถานศึกษาสง่ เสรมิ ใหค้ รูผสู้ อนสามารถใช้การวจิ ยั เปน็ ส่วนหนงึ่ ของ
กระบวนการเรยี นรู้ มาตรา ๓๐ ให้สถานศกึ ษาสง่ เสรมิ ให้ผ้สู อนสามารถวจิ ัยเพ่อื พัฒนาการ เรยี นรู้ มาตรา ๖๗ รฐั จอ้ งสง่ เสริมให้มีการวจิ ัยและพัฒนา การผลติ และการพฒั นาเทคโนโลยเี พ่ือ การศึกษา โดยมีครูเป็นผู้ปฏิบตั ิการวิจยั เรียกวา่ ครูนกั วิจัย (teacher as Research)ซงึ่ จะต้องมพี นั ธกิจ (Mission) ท่จี ะตอ้ งค้นหาคาตอบเพอื่ แกป้ ญั หาต่อไป ในการจัดทาวจิ ัยในชั้นเรียน ถ้าหากครตู ้องเขียนรายงานการวจิ ยั ทั้ง ๕ บท จะตอ้ งใช้เวลา ยาวนานหลายคนจึงไม่สามารถเขยี นรายงานการวจิ ยั แบบยาวๆ ได้ จงึ นาเสนอวิธีการเขียนรายงานการ วจิ ัยแบบงา่ ยๆ สัน้ ๆ ซงึ่ สามารถทาวจิ ัย ได้ทัง้ ครู และนักเรยี น ตามแนวของกรมวชิ าการ และสานกั งาน คณะกรรมการการศกึ ษาแหง่ ชาติ จดุ ประสงค์ทั่วไปของการทาวิจัยในช้ันเรยี น ๑. เพื่อแก้ปัญหานกั เรยี นในชั้นทต่ี นเองสอน - สอนไปแล้วมีปัญหา หรอื นาปญั หาจากผลการสอนปีทผี่ ่านมาหรอื คดิ หาวิธกี ารสอน ใหม่ๆ มาชว่ ยให้การสอน สนุกสนานย่ิงข้นึ แล้วทาการวจิ ัยโดยไม่จาเปน็ ต้องเขียนเค้าโครงการวจิ ัยก็ได้ และไมจ่ าเปน็ ต้องบันทึกขออนญุ าตผบู้ ริหาร หรอื เสนอหวั หน้าฝา่ ยต่างๆใหค้ วามเห็นชอบ - เขยี นรายงานการวจิ ัยสัน้ ๆ หนา้ เดียวหรอื ๒ - ๑๐ หนา้ - บันทึกรายงานเสนอผบู้ รหิ ารสถานศกึ ษาทราบ - ถา่ ยเอกสารเผยแพรใ่ ห้ครูในโรงเรยี น หรือโรงเรียนอนื่ ๆ เพ่ือสะสมเปน็ ผลงานของเรา ๒. เพือ่ ประกอบการเสนอเล่อื นตาแหน่งทางวชิ าการ อาจารย์ ๓ - แกป้ ัญหานกั เรียนในชัน้ ท่ตี นเองสอน - เมือ่ แกป้ ญั หาแล้ว เขยี นรายงาน สรปุ เสนอประกอบการเลอ่ื นตาแหน่ง - รายงานการวิจยั ควรมีองค์ประกอบทส่ี มบรู ณ์ โดยท่วั ไปจะมี ๕ บท รูปแบบของการวิจยั ท่ีเหมาะในการนาไปวจิ ยั ในชน้ั เรียน ๑. การวจิ ยั เชิงสารวจ เชน่ สารวจวา่ นักเรยี นแตง่ กายไมเ่ รียนรอ้ ยนน้ั มีกคี่ น ใครบา้ งสารวจ ความคดิ เห็นของนักเรียนที่มตี ่อการเรยี นภาษาองั กฤษ สารวจนกั เรียนว่าใครเคยสูบบุหร่บี ้าง ๒.การวิจัยหาความสมั พันธ์ เชน่ นกั เรียนกลุ่มท่เี รียนเกง่ กบั กลุม่ เรยี นออ่ นมีความสมั พันธ์ กบั อาชพี ผู้ปกครองหรือไม่ ผลสัมฤทธท์ิ างการเรียนคณิตศาสตร์ มคี วามสัมพนั ธก์ บั ภาษาไทย หรอื ไม่ ๓.การวจิ ยั เปรยี บเทียบ เช่น การเปรียบเทยี บผลสัมฤทธวิ์ ชิ าสงั คมศึกษาเรอ่ื งการ เลือกตงั้ ระหว่างการสอนแบบ แสดงบทบาท สมมติกบั การสอนแบบบรรยาย ๔.การวจิ ยั ทดลองเชิงเหตุผล จะแบง่ กลุ่มทดลองเปน็ กลมุ่ ๆ แลว้ เปรียบเทียบว่าใคร ดีกว่ากนั เชน่ ทดลองวธิ สี อนสองวิธี โดยใชน้ กั เรียนห้อง ก. และห้อง ข. มีจดุ ออ่ นคือนกั เรียน อาจแอบดูกนั หรอื
สอบถามกันนอกห้องมีนักเรยี นกลมุ่ หนึง่ ได้ผลดี แตอ่ ีกลมุ่ ยงั อ่อนเหมอื นเดมิ ๕.การวิจยั เชิงทดลองและพฒั นา วิธีนี้ใชน้ ักเรียนกลุ่มเดยี วไม่ตอ้ งเปรยี บเทยี บวิธสี อนแบบด้ังเดมิ กับวธิ ิสอนใหม่ แตน่ าวิธีสอนแบบใหม่มาใช้ได้เลย หรอื พฒั นาสอื่ อุปกรณ์มาใชส้ อนหรือจัดทา แผนการสอนให้ดแี ลว้ นาไปสอนนักเรยี นจะสอน ๑ ห้อง ๕ ห้อง หรอื ๑๐ หอ้ งก็ได้ สถิตทิ ใ่ี ชไ้ ม่จาเปน็ ต้องใช้ T -Test หรือ F - test เราใชเ้ พยี งค่าเฉลี่ย คา่ รอ้ ยละ และค่าเบี่ยงเบน มาตรฐานกพ็ อแลว้ โดยอาจจะมีการทดสอบกอ่ นเรียน - หลังเรยี น ซึ่งกรมวิชาการ สรปุ ว่า การวจิ ัย ในช้ันเรยี นท่ีนา่ ทามากทสี่ ดุ คอื รูปแบบท่ี ๕ เป็นการวจิ ยั เชงิ พฒั นา ใชก้ ับนกั เรียนกลมุ่ เดยี ว เหมาะกบั การเรียนการสอนมากทสี่ ดุ วัตถุประสงค์ของการวิจยั ๑.จะมขี อ้ เดียวหรอื หลายข้อก็ได้ แตต่ ้องอยใู่ นขอบขา่ ยของประเดน็ ปัญหา การวิจยั ทก่ี าหนดไว้ เทา่ นน้ั ๒.ควรกาหนดเปน็ ข้อๆ เช่น สารวจเปรยี บเทยี บ หาความสมั พนั ธ์ หาผลกระทบหาความ สอดคล้อง เชน่ ๑) เพอ่ื ศึกษา เจตคติเกย่ี วกับวิทยาศาสตรแ์ ละการสนบั สนุนของผ้ปู กครองของนักเรียนทร่ี ว่ ม ทาและไมร่ ว่ มทาโครงงานวิทยาศาสตร์ ๒) เพอ่ื เปรียบเทยี บความคิดเหน็ ของผบู้ ริหารและครู เกี่ยวกับการนิเทศภายในจาแนกตาม เพศวุฒกิ ารศกึ ษาและประสบการณ์สอน ๓) เพอ่ื ศกึ ษาความสัมพนั ธร์ ะหว่างอาชพี ของผปู้ กครอง กับความสามารถทางคณิตศาสตร์ ๔) เพ่ือศกึ ษาอิทธพิ ลของ ๑๐ องค์ประกอบ ท่มี ีผลต่อความพงึ พอใจของหวั หน้าคณะและ หวั หน้าแผนกวิชา ชา่ งอุตสาหกรรม ตวั อยา่ งการวิจัย การวิจยั เร่อื ง การเปรยี บเทยี บผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาภาษาไทยชัน้ ประถมศกึ ษาปีท่ี ๖ เร่ือง คาราชาศพั ท์ โดยการแสดงลเิ กกบั การสอนแบบปกติ วตั ถปุ ระสงค์ : ๑. เพือ่ เปรียบเทียบผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี นภาษาไทยของนกั เรยี นชั้นประถมศกึ ษาปีที่ ๖ ระหว่างกลมุ่ ทเ่ี รยี นโดยการแสดงลเิ กกับกลุ่มท่ีเรยี นแบบปกติ ๒. เพื่อเปรียบเทยี บความคงทนในการเรียนรู้ ระหวา่ งการเรยี นภาษาไทยโดยการแสดงลเิ ก กบั กลุ่มท่เี รยี นแบบปกติ
การวิจัยนวตั กรรม นวตั กรรม (Innovation) หมายถึง สง่ิ ประดษิ ฐ์หรอื วธิ กี ารใหมๆ่ หรอื ปรับปรงุ ของเก่าให้ เหมาะสม โดยการให้เหมาะสม โดยการทดลองหรือพฒั นาจนเปน็ ที่นา่ เชื่อถอื ได้วา่ จะมีผลดี ในทาง ปฏิบตั ิสามารถนาไปใชไ้ ดอ้ ยา่ งมปี ระสิทธิภาพ ประเภทนวตั กรรม ๑.สื่อสง่ิ ประดิษฐ์ เช่น กลอ้ งโทรทัศน์ หนงั สอื คมู่ อื ครู แบบเรียนโปรแกรม วิดทิ ัศน์ แผนการสอน ชุดการสอน ศูนยก์ ารเรียน สือ่ ประสม คอมพิวเตอรช์ ว่ ย สอน เกม เพลง แบบฝึกตา่ งๆ เอกสารประกอบการสอน ใบความรู้ ใบงาน สไลด์ แผ่นโปรง่ ใส ขา่ ว หนังสือพิมพ์ ๒.วธิ กี ารหรอื เทคนคิ เช่น วิธที ดลอง วธิ ไี ตรสกิ ขา วธิ อี รยิ สัจ ๔ วธิ สี อนแบบโครงงานวิธี สอนแบบสหกจิ วิธสี อนแบบโยนโิ สมนสกิ าร วธิ สี อนแบบStoryline วิธีสอนแบบสากัจฉา วธิ สี อน แบบดาว ๕ แฉก CIPPA Model, Mind Mapping วิธีสอนแบบมุ่งประสบการณ์ วธิ ีสอนแบบ อภิปราย วิธีสอนแบบสบื เสาะหาความรู้ การแสดงละคร บทบาทสมมติ สถานการณจ์ าลอง ทัศน ศึกษา สอนซอ่ มเสรมิ การสอนเป็นทีม การสอนตามสถาพจริง การเรียนรู้จากการ ปฏิบัติจรงิ การ เรียนรแู้ บบบูรณาการ การเรยี นรู้จากชมุ ชนและธรรมชาติ วธิ ีสอนแบบซินดิเคท วิธสี อนแบบลีลา ศกึ ษา วธิ สี อนแบบลกั ศาสตร์ วธิ สี อนแบบเบญจขันธ์ วธิ สี อนแบบวรรณี วิธีสอนแบบเรยี นเพือ่ รอบ รู้ (Mastery Learning) วิธีสอนแบบอนุมาน วิธสี อนแบบวพิ ากษว์ จิ ารณ์ วธิ สี อนแบบวัฏจักรการ เรียนรู้(4 MAT System) เปน็ ต้น ขนั้ ตอนการวิจยั ในการทาวิจัยอย่างเป็นระบบผู้เขียนแบ่งขั้นตอนการวิจัยเป็น ๖ ขั้น คือ ขน้ั ท่ี ๑ บอกปญั หาของนักเรียน ขั้นที่ ๒ บอกวธิ ีแกป้ ญั หา ขัน้ ที่ ๓ จัดทาสื่อ/อปุ กรณ์/แบบฝกึ /นวัตกรรม ขน้ั ที่ ๔ ทดลองสอน/ลงมอื แก้ปัญหา ขัน้ ท่ี ๕ วัดผล วิเคราะห์ สรปุ ขน้ั ที่ ๖ เขียนรายงานส้ันๆ หน้าเดยี ว ขั้นที่ ๑ บอกปัญหาของนกั เรียน แบง่ ได้ ๓ พวก คือ ๑. ปัญหาด้านพฤติกรรม / ความประพฤติ เช่น การแตง่ กายไม่เรยี บร้อย ไว้ผมยาว พูดเสยี ง ดัง หยาบคาย กา้ วร้าว สบู บหุ ร่ี ไม่มรี ะเบยี บวนิ ยั พูดสอดแทรก ชอบรงั แกเพือ่ น ฯลฯ
๒.ปญั หาดา้ นวิชาการ เชน่ สอบได้คะแนนนอ้ ย อา่ นหนงั สอื ไม่คล่อง เขยี นหนงั สือไม่ สวย พดู ไม่ชดั ขาดทกั ษะการทางาน แตง่ ประโยคไมเ่ ปน็ สรปุ องค์ความรู้ไมไ่ ด้ ฯลฯ ๓.ปัญหาดา้ นจิตพสิ ยั เชน่ ขาดความรับผิดชอบ ความซ่ือสตั ย์ เซื่องซมึ หงอยเหงา ความเมตตากรุณา ความเสียสละ ความกตญั ญูกตเวที เจตคตติ ่อวชิ าทเ่ี รียน การกาหนดหัวข้อวิจัย ๑.อย่ากาหนดหวั ขอ้ ทยี่ าก หรือเปน็ หัวขอ้ ท่มี ีความเพอ้ ฝันมากเกนิ ไป มนั จะเกินขดี ความสามารถของ นกั วิจัย ๒.เป็นเรื่องท่ตี นเองสนใจ และควรอยูใ่ นสาขาของตนเอง หรอื วิชาท่ตี นเองสอน ๓.หวั ข้อวจิ ยั ควรทนั ต่อเหตกุ ารณ์ ทันสมยั มีคณุ คา่ เป็นท่สี นใจของหน่วยงานต่างๆ มี ประโยชนต์ อ่ บคุ คลและสถาบนั และเสรมิ ความรใู้ หมๆ่ ขั้นที่ ๒ บอกวิธีแกป้ ญั หา วธิ แี กป้ ัญหาคอื การใช้นวตั กรรมประเภทส่ือสง่ิ ประดษิ ฐ์ หรือวธิ ีการสอนแบบตา่ งๆ ที่ เหมาะสมตอ่ ปญั หาน้นั ๆ โดยครตู ดั สินใจเลือกสงิ่ ท่เี หมาะสมเอง หรือศกึ ษาจากงานวจิ ัยทเี่ กีย่ วขอ้ ง เช่น ๑.ปญั หาการสอนในปที ่ีผา่ นมา นักเรยี นมผี ลสัมฤทธท์ิ างการเรยี นตา่ อาจแก้โดยใช้ศูนย์ การเรยี น แบบเรยี นโปรแกรม การเรยี นแบบรว่ มมือ นทิ าน เพลง เกม การทดลอง แบบฝึกทักษะ ฯลฯ ๒.ปัญหาทเี่ กิดขน้ึ หลังจากการสอนในช่วั โมงท่ีผ่านมา นักเรยี นมผี ลสัมฤทธติ์ า่ แก้โดยใช้ วิธีการสอน ซอ่ มเสรมิ เชน่ การสอนซ่อมเสรมิ โดยครู เพือ่ นสอนเพื่อน พีส่ อนนอ้ ง ศกึ ษาดว้ ย ตนเองจากหนงั สอื อ่านเพ่ิมเตมิ แบบเรียนโปรแกรม วดี ทิ ศั น์ คอมพวิ เตอร์ช่วยสอน เป็นต้น ขัน้ ท่ี ๓ จดั ทาส่อื /อุปกรณ์/ แบบฝึก/นวัตกรรม ในการอบรมการวิจยั ทัว่ ๆไป มักจะใชค้ าว่า สร้างนวัตกรรม ซงึ่ บางทา่ นอาจจะคิดว่าเป็น สือ่ ทยี่ ่ิงใหญ่ ยากแก่การจัดทา ผู้เขียนจงึ ใช้คาว่า จัดทาสือ่ อปุ กรณ์ แบบฝกึ หรอื นวัตกรรมซึ่งทาให้ ทา่ นเขา้ ใจดขี ้ึนและรสู้ ึกว่าเป็น ส่งิ ทีง่ ่ายเพราะคุณครูได้จดั ทาขน้ึ มาแลว้ ในการสอนแต่ละวิชา ในการวจิ ยั ในช้นั เรียน สอ่ื ท่ที ่านจัดทาขึ้นไม่จาเปน็ ต้องไปหาคุณภาพของสือ่ เชน่ หา ประสทิ ธิภาพของศูนยก์ ารเรยี นตามเกณฑ์ ๘๐ /๘๐ หาคุณภาพของแบบสอบถาม ประเมนิ การใช้ หนังสอื อ่านเพิม่ เติม ประเมินคณุ ภาพของแผนการสอน หาค่า IOA,ค่า IOC, ค่า CV,หาคา่ ความยากงา่ ย ของแบบทดสอบ เปน็ ตน้ แต่ท่านสามารถนาแบบฝึกหรือข้อสอบที่จัดทา ขน้ึ ไปใช้ ไดเ้ ลย มิฉะนั้น ท่านจะกังวลใจและรู้สกึ วา่ การวิจยั เป็นเรอื่ งที่ยุ่งยาก ไมอ่ ยากทา
ข้นั ท่ี ๔ ทดลองสอน /ลงมือแก้ปัญหา การทดลองวิจยั จะทาตามวธิ ดี าเนนิ การซงึ่ จะใชเ้ วลาในการวจิ ยั ๒ ช่วั โมง หรือ ๑ สปั ดาห์ หรอื ๑ เดือนก็ได้ แต่ไมค่ วรนานเกนิ ๒ เดือน เพราะการวจิ ัยในชน้ั เรียนมกั จะเป็น เรือ่ งสัน้ ๆ ปญั หาเล็กๆ เชน่ การแก้ปัญหา ทกั ษะกระบวนการสงั เกตโดยใช้แบบฝึกการสังเกต ซง่ึ อาจมี ๒ - ๓ แบบฝึกหัด สามารถดาเนินการให้เสรจ็ ไดภ้ ายใน ๑ ชว่ั โมง หรือ ๒- ๓ ชั่วโมง ก็ได้ ขนั้ ที่ ๕ วดั ผล วเิ คราะห์ สรุป เคร่อื งมอื ทใ่ี ช้ในการเกบ็ ขอ้ มลู มีหลายอยา่ ง เช่น แบบสังเกต แบบสมั ภาษณ์ แบบ ประเมิน แบบซกั ถาม แบบวัดเจตคติ แบบทดสอบ แบบตรวจผลงาน \"ครูผ้สู อนไม่ตอ้ งกังวลเรอ่ื ง จานวนหน้า หรอื รปู แบบการเขียนรายงาน เพราะสง่ิ ทเ่ี รา กาลังพูดกันคือรูปแบบการเขียนทไ่ี มเ่ ปน็ ทางการ จึงคววรเขียนแบบส้นั ๆ หน้าเดยี ว หรือก่ีหนา้ ก็ได้\" การวเิ คราะหข์ อ้ มูลสถติ ทิ ใ่ี ชไ้ ด้แก่ คา่ เฉลยี่ ค่ารอ้ ยละ ค่าเบย่ี งเบนมาตรฐาน สถติ คิ า่ ที (t- test) แบบ dependent group ในกรณีท่ีใชก้ ลมุ่ ตวั อย่างเดยี ว การจดั อนั ดับคุณภาพเปน็ ต้น การสรปุ ผล ให้สรุปตามหัวขอ้ ของวตั ถปุ ระสงคใ์ นการวิจยั อาจมีขอ้ เสนอแนะเพม่ิ เตมิ ได้ ขนั้ ที่ ๖ เขียนรายงานสนั้ ๆ หน้าเดียว การเขยี นรายงานให้สมบรู ณท์ ัง้ ๕ บท อาจจะต้องใชเ้ วลานาน ครูผ้สู อนไม่ต้องกงั วล เรือ่ งจานวนหน้า หรอื รูปแบบการเขียนรายงาน เพราะส่งิ ที่เรากาลงั พูดกันคือรปู แบบการเขียน ที่ไม่เป็น ทางการจึงควรเขยี นแบบสัน้ ๆ หน้าเดยี ว หรือกหี่ นา้ ก็ได้ ขอให้เขียนอ่านแล้วรเู้ รอ่ื ง เขา้ ใจวา่ ครูกาลงั ทา อะไร ซึ่งจะชว่ ยใหท้ ่านสามารถทาการวจิ ัยปหี นงึ่ ไดห้ ลายเร่ือง ผลประโยชนจ์ ะเกิดขึ้นกับนกั เรียนและ ตัวครู เมอื่ ทาการวจิ ยั หลายเรื่องจนเกิดความชานาญแล้วก็ ความหมายความสาคญั การวจิ ยั และพัฒนาการศกึ ษา เป็นการพัฒนาการศึกษา โดยพ้นื ฐานการวจิ ัย (Research Based Education Development) เป็นกลยทุ ธ์หรอื วธิ ีการสาคัญหน่งึ ที่นยิ มใช้ในการปรบั ปรงุ เปลยี่ นแปลงหรอื พฒั นาการศึกษา โดยเน้น หลักเหตผุ ลและตรรกวทิ ยา เป้าหมายหลกั คอื ใชเ้ ปน็ กระบวนการในการพฒั นาและตรวจสอบคณุ ภาพ ของผลติ ภัณฑท์ างการศึกษา (Education Product) การวิจยั และพฒั นาทางการศกึ ษา (R & D) มีความแตกตา่ งจากการวิจัยการศึกษาประเภทอน่ื ๆ อยู่ 2 ประเภท คอื
1. เป้าประสงค์ / จดุ ม่งุ หมาย (Goal) การวจิ ยั ทางการศึกษามงุ่ คน้ คว้าหาความรู้ใหม่ โดยการ วจิ ยั พื้นฐานหรือมุ่งหาคาตอบเกี่ยวกับการปฏบิ ัตงิ าน โดยการวิจัยประยกุ ต์ แตก่ ารวิจยั และพฒั นาทาง การศกึ ษามงุ่ พฒั นาและตรวจสอบคุณภาพผลติ ภณั ฑ์ทางการศกึ ษา แม้ว่าการวิจัยประยุกต์ทางการศกึ ษา หลายโครงการก็มีการพัฒนาผลิตภณั ฑท์ างการศึกษา เชน่ การวิจัยประยกุ ตท์ างการศกึ ษาสาหรบั การ สอน แต่ละแบบแตล่ ะผลิตภณั ฑ์เหลา่ นไี้ ดใ้ ชส้ าหรับการทดสอบสมมุติฐานของการวจิ ยั แตล่ ะครั้งเทา่ นน้ั ไมไ่ ด้พัฒนาไปส่กู ารใชส้ าหรบั สถานศกึ ษาทวั่ ไป 2. การนาไปใช้ (Utility) การวจิ ัยทางการศกึ ษา มีช่องวา่ งระหวา่ งผลการวจิ ัยกับการนาไปใช้ จริงอยา่ งกว้างขวาง คือ ผลการวิจัยทางการศึกษาจานวนมากอย่ใู นตู้ไมไ่ ดร้ บั การพิจารณานาไปใช้ นกั การศกึ ษาและนกั วจิ ัยจงึ หาทางลดช่องวา่ งดังกล่าวโดยวิธีทีเ่ รยี กวา่ \"การวจิ ยั และพฒั นา\" อย่างไรก็ตาม การวิจยั และพฒั นาทางการศึกษา มใิ ช่สิ่งทีท่ ดแทนการวิจยั ทางการศกึ ษา แตเ่ ป็นเทคนคิ วิธที จ่ี ะเพ่มิ ศักยภาพของการวิจยั ทางการศกึ ษาให้มผี ลตอ่ การจดั การทางการศึกษา คือ เป็นตัวเชอ่ื มเพอื่ แปลงไปสู่ ผลิตภณั ฑท์ างการศกึ ษาท่ใี ช้ประโยชน์ได้จรงิ ในโรงเรียนท่ัวไป ดังนน้ั การใชก้ ลยทุ ธก์ ารวิจยั และ พัฒนาทางการศึกษาเพื่อปรบั ปรุง เปลยี่ นแปลงหรือพัฒนาการศกึ ษาจงึ เป็นการใชผ้ ลจากการวิจัยทาง การศกึ ษา (ไม่วา่ จะเป็นการวิจัยพ้นื ฐาน หรอื การวจิ ยั ประยกุ ต์) ใหเ้ ปน็ ประโยชนม์ ากยงิ่ ขน้ึ สามารถ สรุปความสัมพนั ธ์และความ แตกต่าง ดงั ภาพประกอบตอ่ ไปนี้ ขั้นตอนการวิจัยและพัฒนา การวจิ ัยและพัฒนาประกอบด้วยขั้นตอนสาคัญ 11 ขน้ั ตอน ดงั น้ี ข้ันที่ 1 การกาหนดผลผลิตทางการศึกษาที่จะทาการพัฒนา ขั้นตอนแรกที่จาเป็นที่สุด คือ ตอ้ งกาหนดให้ชัดว่าผลผลิตทางการศึกษาที่จะวิจยั และ พัฒนาคืออะไรโดยตอ้ งกาหนดลักษณะทวั่ ไป รายละเอยี ดของการใช้วตั ถปุ ระสงค์ของการใช้ เกณฑใ์ นการเลอื กกาหนดผลผลิตการศึกษาท่จี ะวจิ ยั และพัฒนา อาจมี 4 ข้อ คือ 1) ตรงกบั ความตอ้ งการอันจาเปน็ หรือไม่ 2) ความก้าวหน้าทางวิชาการมีพอเพียงในการท่ีจะพัฒนา ต่อการวิจัยและพฒั นานั้น หรือไม่ 3) บคุ ลากรท่มี อี ยู่ ทักษะความรแู้ ละประสบการณท์ จี่ าเป็นต่อการวจิ ัยและพัฒนานั้น หรือไม่ 4) ผลผลติ น้นั จะพัฒนาข้ึนในเวลาอนั สมควรไดห้ รือไม่
ขั้นที่ 2 รวบรวมข้อมูลและงานวิจัยทเ่ี ก่ยี วขอ้ ง คอื การศึกษาทฤษฎแี ละงานวจิ ยั การสงั เกตภาคสนามซ่งึ เหย่ี วขอ้ งกบั การใชผ้ ลผลติ การศกึ ษาทก่ี าหนด ถา้ มีความจาเป็นผู้ทาการวจิ ยั และพฒั นาอาจตอ้ งทาการศึกษาวจิ ยั ขนาดเล็กเพอ่ื หา คาตอบซึ่งงานวิจัยและทฤษฎีทม่ี ีอยู่ไมส่ ามารถตอบได้ก่อนที่จะเริม่ การพัฒนาต่อไป ขั้นที่ 3 การวางแผนการวจิ ัยและพฒั นา ประกอบด้วย 1) กาหนดวัตถปุ ระสงคข์ องการใชผ้ ลผลติ 2) ประมาณการค่าใช้จ่าย กาลังคน และระยะเวลาทต่ี ้องใช้เพอ่ื ศกึ ษาความเปน็ ไปได้ 3) พิจารณาผลสืบเนอื่ งจากผลผลิต ขั้นที่ 4 พฒั นารูปแบบขั้นตอนของผลผลิต ขนั้ นีเ้ ป็นข้ันการออกแบบและจัดทาผลผลติ การศึกษาตามทวี่ างไว้ เช่น เปน็ โครงการวจิ ัย และพัฒนา หลกั สตู รฝกึ อบรมระยะสนั้ ก็จะตอ้ งออกแบบหลกั สูตร เตรยี มวสั ดหุ ลกั สตู ร ค่มู อื ผู้ ฝกึ อบรม เอกสารในการฝกึ อบรม และเคร่ืองมอื การประเมนิ ผล ขั้นที่ 5 ทดลองหรือทดสอบผลผลติ คร้งั ที่ 1 โดยการนาผลผลติ ทอ่ี อกแบบและจดั เตรียมไวใ้ นขน้ั ท่ี 4 ไปทดลองใช้เพอ่ื ทดสอบ คุณภาพขนั้ ตน้ ของผลผลิตในโรงเรยี นจานวน 1-3 โรงเรียน ใชก้ ลมุ่ เลก็ 6-12 คน ประเมนิ ผลโดยการใช้ แบบสอบถาม การสงั เกตและการสัมภาษณ์ แล้วรวบรวมข้อมูลมาวเิ คราะห์ ขั้นที่ 6 ปรับปรงุ ผลผลิตคร้งั ท่ี 1 นาข้อมลู และผลการทดลองใช้จากขนั้ ตอนที่ 5 มาพิจารณาปรับปรงุ ขั้นที่ 7 ทดลองหรอื ทดสอบผลผลติ คร้ังท่ี 2 ข้นั นีน้ าผลผลิตทป่ี รับปรงุ ไปทดลอง เพื่อทดสอบคณุ ภาพผลผลิตตามวตั ถปุ ระสงค์ โรงเรียนจานวน5-15 โรงเรียน ใช้กลุ่มตัวอย่าง 30-100 คน ประเมนิ ผลเชิงปริมาณในลักษณะ Pre-test นาผลไปเปรยี บเทยี บกับวตั ถุประสงคข์ องการใชผ้ ลผลิตอาจมีกลมุ่ ควบคุม กลุม่ การทดลอง ถา้ จาเปน็ ขั้นที่ 8 ปรบั ปรุงผลผลติ คร้ังท่ี 2 นาข้อมลู และผลจากการทดลองใช้จากขนั้ ที่ 7 มาพจิ ารณา ปรบั ปรุง ขั้นที่ 9 ทดลองหรอื ทดสอบผลผลิตครัง้ ท่ี 3 ขนั้ นนี้ าผลผลติ ที่ปรับปรงุ ไปทดลอง เพือ่ ทดสอบคณุ ภาพการใช้งานของผลผลติ โดย ใช้ตามลาพงั ในโรงเรียน 10-13 โรงเรยี น ใช้กล่มุ ตวั อยา่ ง 40-200 คน ประเมินผลโดยการใช้ แบบสอบถาม การสังเกตและการสมั ภาษณ์แล้วรวบรวมขอ้ มลู มาวเิ คราะห์ ขั้นที่ 10 ปรับปรงุ ผลผลติ ครัง้ ท่ี 3 นาข้ันท่ี 9 มาพจิ ารณาปรับปรุงเพื่อผลิตและเผยแพร่ตอ่ ไป
ขั้นที่ 11 เผยแพร่ เปน็ การเสนอรายงานเกี่ยวกับผลการวิจัยและพฒั นาผลผลติ ในที่ ประชมุ สัมมนาทางวชิ าการหรือวชิ าชีพ สง่ ไปลงเผยแพร่ไปใช้ในโรงเรยี นต่างๆ หรือตดิ ตอ่ บรษิ ทั เพ่อื ผลิตจาหนา่ ยต่อไป ความหมายความสาคัญ การวจิ ัยในชั้นเรยี น (Classroom Action Research :CAR) Kemmis, S.กล่าวว่า Kurt Lewin เป็นคนแรกทใ่ี ชค้ าวา่ \"action reseach\" โดยมขี อบเขตอยทู่ กี่ าร แกป้ ัญหา และพฒั นาผเู้ รียนเปน็ สาคัญ หลกั สตู รการศึกษาข้นั พ้ืนฐานพทุ ธศกั ราช ๒๕๔๔ได้กาหนด แนวทางการพัฒนาศักยภาพครใู ห้มคี วามเปน็ ผ้นู าทางวิชาการปฏิบัตหิ นา้ ที่ โดยใช้กระบวนการวจิ ัยเพื่อ พัฒนาการเรยี นรใู้ หค้ รูสามารถใชก้ ารวิจัย เพอื่ พฒั นาการเรยี นรูใ้ หค้ รูสามารถใช้การวิจยั เปน็ ส่วนหนง่ึ ของกระบวนการเรยี นรู้ และใหส้ ามารถศกึ ษา คน้ ควา้ วิจยั เพือ่ พฒั นาสื่อการเรยี นรู้ให้สอดคล้อง กบั กระบวนการเรียนรู้ของผเู้ รียนซึ่งสอดคล้อง กบั พระราชบัญญัตกิ ารศกึ ษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๒๔ (๕) ใหส้ ถานศึกษาส่งเสริมใหค้ รูผสู้ อนสามารถใช้การวจิ ยั เป็นส่วนหน่งึ ของ กระบวนการเรยี นรู้ มาตรา ๓๐ ให้สถานศึกษาสง่ เสรมิ ให้ผูส้ อนสามารถวิจัยเพอ่ื พัฒนาการ เรยี นรู้ มาตรา ๖๗ รัฐจ้องส่งเสรมิ ให้มีการวิจยั และพฒั นา การผลิตและการพัฒนาเทคโนโลยีเพอ่ื การศกึ ษา โดยมคี รูเป็นผู้ปฏิบัตกิ ารวจิ ยั เรยี กว่า ครูนักวิจัย (teacher as Research)ซ่ึงจะต้องมพี นั ธกจิ (Mission) ที่จะต้องค้นหาคาตอบเพ่อื แกป้ ัญหาตอ่ ไป ในการจัดทาวจิ ัยในชั้นเรียน ถา้ หากครูตอ้ งเขยี นรายงานการวจิ ัยท้ัง ๕ บท จะตอ้ งใช้เวลา ยาวนานหลายคนจึงไมส่ ามารถเขียนรายงานการวจิ ยั แบบยาวๆ ได้ จงึ นาเสนอวธิ กี ารเขียนรายงานการ วจิ ัยแบบง่ายๆ สนั้ ๆ ซงึ่ สามารถทาวิจัย ได้ทัง้ ครู และนกั เรยี น ตามแนวของกรมวชิ าการ และสานักงาน คณะกรรมการการศกึ ษาแหง่ ชาติ จุดประสงค์ทวั่ ไปของการทาวิจัย ๑. เพ่อื แก้ปญั หานักเรียนในช้นั ทต่ี นเองสอน - สอนไปแลว้ มปี ัญหา หรอื นาปัญหาจากผลการสอนปที ีผ่ า่ นมาหรอื คิดหาวธิ ีการสอน ใหม่ๆ มาช่วยให้การสอน สนุกสนานย่งิ ขน้ึ แล้วทาการวิจยั โดยไมจ่ าเป็นต้องเขียนเคา้ โครงการวิจยั กไ็ ด้ และไมจ่ าเป็นตอ้ งบนั ทึกขออนญุ าตผบู้ รหิ าร หรือเสนอหวั หนา้ ฝา่ ยต่างๆใหค้ วามเห็นชอบ - เขียนรายงานการวิจัยสั้นๆ หน้าเดยี วหรอื ๒ - ๑๐ หนา้ - บันทกึ รายงานเสนอผู้บรหิ ารสถานศึกษาทราบ - ถา่ ยเอกสารเผยแพร่ใหค้ รใู นโรงเรียน หรอื โรงเรยี นอน่ื ๆ เพ่อื สะสมเป็นผลงานของเรา ๒. เพอ่ื ประกอบการเสนอเลอ่ื นตาแหนง่ ทางวิชาการ อาจารย์ ๓
- แกป้ ัญหานักเรยี นในชน้ั ทีต่ นเองสอน - เมอ่ื แก้ปัญหาแลว้ เขียนรายงาน สรุป เสนอประกอบการเลอ่ื นตาแหน่ง - รายงานการวิจัยควรมอี งคป์ ระกอบทส่ี มบรู ณ์ โดยท่ัวไปจะมี ๕ บท รูปแบบของการวิจัยท่เี หมาะในการนาไปวจิ ยั ในชนั้ เรียน ๑. การวจิ ัยเชิงสารวจ เชน่ สารวจวา่ นักเรียนแตง่ กายไม่เรียนร้อยนัน้ มีกค่ี น ใครบา้ งสารวจ ความคดิ เหน็ ของนกั เรียนที่มตี ่อการเรยี นภาษาองั กฤษ สารวจนกั เรียนว่าใครเคยสูบบหุ รีบ่ า้ ง ๒.การวิจยั หาความสัมพนั ธ์ เช่นนักเรียนกลมุ่ ทเี่ รียนเก่งกบั กลุ่มเรียนออ่ นมคี วามสมั พันธ์ กับ อาชีพผปู้ กครองหรอื ไม่ ผลสัมฤทธทิ์ างการเรียนคณติ ศาสตร์ มีความสัมพนั ธก์ ับภาษาไทย หรอื ไม่ ๓ .การวิจยั เปรียบเทยี บ เช่น การเปรยี บเทียบผลสมั ฤทธวิ์ ชิ าสังคมศกึ ษาเร่อื งการ เลอื กต้ัง ระหว่างการสอนแบบ แสดงบทบาท สมมติกบั การสอนแบบบรรยาย ๔.การวิจัยทดลองเชงิ เหตุผล จะแบ่งกลุ่มทดลองเป็นกล่มุ ๆ แล้วเปรียบเทยี บว่าใคร ดกี ว่ากนั เช่น ทดลองวิธีสอนสองวิธี โดยใชน้ ักเรยี นหอ้ ง ก. และห้อง ข. มจี ุดออ่ นคือนักเรียน อาจแอบดูกนั หรือ สอบถามกันนอกห้องมนี กั เรยี นกลุ่มหน่ึงได้ผลดี แตอ่ ีกลมุ่ ยงั อ่อนเหมอื นเดมิ ๕.การวจิ ัยเชงิ ทดลองและพัฒนา วิธนี ี้ใช้นกั เรียนกลมุ่ เดยี วไมต่ อ้ งเปรยี บเทยี บวธิ สี อนแบบ ดงั้ เดมิ กับวธิ ิสอนใหม่ แตน่ าวิธีสอนแบบใหม่มาใชไ้ ด้เลย หรือพัฒนาสอื่ อปุ กรณ์มาใชส้ อนหรือจดั ทา แผนการสอนใหด้ แี ลว้ นาไปสอนนกั เรยี นจะสอน ๑ ห้อง ๕ หอ้ ง หรือ ๑๐ หอ้ งก็ได้ สถติ ทิ ใ่ี ชไ้ ม่จาเป็นตอ้ งใช้ T -Test หรอื F - test เราใชเ้ พยี งค่าเฉลยี่ ค่ารอ้ ยละ และค่าเบย่ี งเบน มาตรฐานกพ็ อแล้ว โดยอาจจะมกี ารทดสอบกอ่ นเรียน - หลงั เรยี น ซึ่งกรมวชิ าการ สรุปว่า การวิจยั ในชัน้ เรยี นที่น่าทามากทีส่ ดุ คือ รปู แบบที่ ๕ เป็นการวิจัยเชิงพัฒนา ใชก้ ับนักเรยี นกล่มุ เดียว เหมาะกับ การเรยี นการสอนมากทสี่ ดุ วัตถปุ ระสงคข์ องการวิจยั ๑.จะมขี อ้ เดยี วหรือหลายขอ้ กไ็ ด้ แตต่ ้องอยู่ในขอบขา่ ยของประเด็นปัญหา การวิจยั ที่กาหนดไว้ เทา่ นั้น ๒.ควรกาหนดเปน็ ข้อๆ เชน่ สารวจเปรยี บเทียบ หาความสมั พันธ์ หาผลกระทบหาความ สอดคล้อง เช่น ๑) เพ่อื ศกึ ษา เจตคติเก่ยี วกบั วทิ ยาศาสตร์และการสนับสนนุ ของผปู้ กครองของนกั เรยี นทรี่ ่วม ทาและไม่ร่วมทาโครงงานวิทยาศาสตร์ ๒) เพอ่ื เปรยี บเทียบความคดิ เหน็ ของผ้บู รหิ ารและครู เกี่ยวกบั การนิเทศภายในจาแนกตาม เพศวฒุ ิการศกึ ษาและประสบการณส์ อน
๓) เพื่อศกึ ษาความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งอาชพี ของผ้ปู กครอง กบั ความสามารถทางคณิตศาสตร์ ๔) เพ่ือศึกษาอทิ ธพิ ลของ ๑๐ องคป์ ระกอบ ทมี่ ีผลตอ่ ความพงึ พอใจของหัวหน้าคณะและ หัวหน้าแผนกวชิ า ช่างอตุ สาหกรรม ตวั อยา่ งการวิจยั การวิจยั เรอื่ ง การเปรยี บเทยี บผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี นวชิ าภาษาไทยชน้ั ประถมศึกษาปที ี่ ๖ เรอ่ื ง คาราชาศัพท์ โดยการแสดงลเิ กกบั การสอนแบบปกติ วตั ถปุ ระสงค์ : ๑. เพื่อเปรียบเทียบผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียนภาษาไทยของนักเรียนชัน้ ประถมศึกษาปที ่ี ๖ ระหวา่ งกล่มุ ทเ่ี รียนโดยการแสดงลเิ กกบั กลุ่มทเี่ รียนแบบปกติ ๒. เพื่อเปรียบเทยี บความคงทนในการเรียนรู้ ระหว่างการเรียนภาษาไทยโดยการแสดงลิเก กบั กลุ่มท่เี รยี นแบบปกติ การวิจัยนวัตกรรม นวัตกรรม (Innovation) หมายถงึ สงิ่ ประดษิ ฐ์หรอื วิธีการใหม่ๆ หรือปรบั ปรงุ ของเกา่ ให้ เหมาะสม โดยการใหเ้ หมาะสม โดยการทดลองหรอื พัฒนาจนเปน็ ทีน่ ่าเชื่อถอื ไดว้ ่าจะมผี ลดี ในทาง ปฏิบัติสามารถนาไปใชไ้ ดอ้ ยา่ งมีประสิทธภิ าพ ประเภทนวัตกรรม ๑.สื่อส่งิ ประดษิ ฐ์ เชน่ กลอ้ งโทรทัศน์ หนังสอื คู่มอื ครู แบบเรียนโปรแกรม วดิ ิ ทัศน์ แผนการสอน ชดุ การสอน ศนู ยก์ ารเรียน สอ่ื ประสม คอมพวิ เตอรช์ ว่ ย สอน เกม เพลง แบบฝึกต่างๆ เอกสารประกอบการสอน ใบความรู้ ใบงาน สไลด์ แผ่นโปรง่ ใส ข่าว หนงั สือพิมพ์ ๒.วธิ ีการหรอื เทคนิค เชน่ วธิ ที ดลอง วิธไี ตรสิกขา วิธอี รยิ สจั ๔ วิธสี อนแบบโครงงานวิธี สอนแบบสหกิจ วิธสี อนแบบโยนิโสมนสกิ าร วิธสี อนแบบStoryline วิธีสอนแบบสากจั ฉา วธิ สี อน แบบดาว ๕ แฉก CIPPA Model, Mind Mapping วธิ ีสอนแบบมุ่งประสบการณ์ วิธีสอนแบบ อภปิ ราย วธิ ีสอนแบบสบื เสาะหาความรู้ การแสดงละคร บทบาทสมมติ สถานการณ์จาลอง ทศั น ศกึ ษา สอนซ่อมเสรมิ การสอนเป็นทมี การสอนตามสถาพจริง การเรยี นรู้จากการ ปฏบิ ัตจิ รงิ การ เรยี นรแู้ บบบรู ณาการ การเรียนรจู้ ากชมุ ชนและธรรมชาติ วธิ ีสอนแบบซนิ ดิเคท วธิ สี อนแบบลีลา ศึกษา วิธีสอนแบบลักศาสตร์ วธิ ีสอนแบบเบญจขันธ์ วิธีสอนแบบวรรณี วธิ ีสอนแบบเรียนเพ่อื รอบ รู้ (Mastery Learning) วิธีสอนแบบอนมุ าน วิธีสอนแบบวิพากษว์ จิ ารณ์ วธิ สี อนแบบวฏั จกั รการ
เรียนรู้(4 MAT System) เปน็ ต้น ขั้นตอนการวิจยั ในการทาวิจัยอย่างเป็นระบบผู้เขียนแบ่งขั้นตอนการวิจัยเป็น ๖ ขั้น คือ ขน้ั ที่ ๑ บอกปัญหาของนักเรยี น ขั้นที่ ๒ บอกวธิ แี ก้ปญั หา ขน้ั ท่ี ๓ จัดทาสือ่ /อุปกรณ์/แบบฝึก/นวัตกรรม ข้นั ที่ ๔ ทดลองสอน /ลงมือแก้ปญั หา ขัน้ ที่ ๕ วดั ผล วเิ คราะห์ สรปุ ขั้นท่ี ๖ เขยี นรายงานส้ันๆ หน้าเดยี ว ข้ันที่ ๑ บอกปญั หาของนักเรียน แบง่ ได้ ๓ พวก คือ ๑. ปัญหาดา้ นพฤติกรรม / ความประพฤติ เช่น การแต่งกายไม่เรยี บรอ้ ย ไวผ้ มยาว พูดเสียง ดัง หยาบคาย ก้าวร้าว สบู บหุ รี่ ไมม่ ีระเบยี บวนิ ยั พูดสอดแทรก ชอบรังแกเพ่ือน ฯลฯ ๒.ปัญหาดา้ นวชิ าการ เช่น สอบได้คะแนนนอ้ ย อา่ นหนังสือไม่คล่อง เขียนหนังสอื ไม่ สวย พดู ไมช่ ดั ขาดทักษะการทางาน แต่งประโยคไมเ่ ปน็ สรุปองค์ความรไู้ มไ่ ด้ ฯลฯ ๓.ปญั หาดา้ นจิตพสิ ยั เช่น ขาดความรบั ผิดชอบ ความซือ่ สตั ย์ เซอื่ งซมึ หงอยเหงา ความเมตตากรุณา ความเสยี สละ ความกตญั ญูกตเวที เจตคติต่อวิชาทเ่ี รยี น การกาหนดหัวข้อวิจยั ๑.อย่ากาหนดหวั ข้อทีย่ าก หรอื เป็นหวั ข้อท่ีมคี วามเพอ้ ฝันมากเกนิ ไป มนั จะเกินขดี ความสามารถของ นกั วจิ ยั ๒.เป็นเรื่องที่ตนเองสนใจ และควรอยใู่ นสาขาของตนเอง หรอื วิชาทตี่ นเองสอน ๓.หัวขอ้ วจิ ัยควรทันต่อเหตกุ ารณ์ ทนั สมยั มคี ณุ ค่า เปน็ ทีส่ นใจของหนว่ ยงานต่างๆ มี ประโยชนต์ อ่ บุคคลและสถาบัน และเสริมความรู้ใหม่ๆ ข้ันท่ี ๒ บอกวธิ ีแกป้ ญั หา วิธีแกป้ ญั หาคอื การใชน้ วัตกรรมประเภทส่อื ส่ิงประดิษฐ์ หรอื วธิ ีการสอนแบบต่างๆ ที่ เหมาะสมต่อ ปญั หานั้นๆ โดยครตู ดั สินใจเลือกสง่ิ ที่เหมาะสมเอง หรือศึกษาจากงานวจิ ยั ที่เกยี่ วข้อง เช่น ๑.ปัญหาการสอนในปที ผี่ ่านมา นกั เรยี นมผี ลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนตา่ อาจแกโ้ ดยใช้ศนู ย์ การเรียน แบบเรยี นโปรแกรม การเรยี นแบบร่วมมือ นทิ าน เพลง เกม การทดลอง แบบฝึกทกั ษะ ฯลฯ ๒.ปัญหาท่ีเกดิ ขน้ึ หลงั จากการสอนในชวั่ โมงทีผ่ า่ นมา นกั เรยี นมผี ลสมั ฤทธติ์ า่ แกโ้ ดยใช้
วธิ ีการสอน ซ่อมเสริม เชน่ การสอนซ่อมเสรมิ โดยครู เพ่อื นสอนเพอื่ น พีส่ อนนอ้ ง ศึกษาด้วย ตนเองจากหนงั สืออา่ นเพิม่ เติม แบบเรียนโปรแกรม วีดิทศั น์ คอมพิวเตอรช์ ว่ ยสอน เป็นตน้ ขน้ั ที่ ๓ จัดทาสอ่ื /อปุ กรณ์/ แบบฝึก/นวตั กรรม ในการอบรมการวิจยั ทั่วๆไป มกั จะใชค้ าว่า สร้างนวัตกรรม ซ่ึงบางทา่ นอาจจะคิดว่าเป็น ส่อื ทีย่ ิง่ ใหญ่ ยากแก่การจดั ทา ผู้เขียนจึงใช้คาว่า จดั ทาสื่อ อุปกรณ์ แบบฝึก หรือนวัตกรรมซง่ึ ทาให้ ทา่ นเข้าใจดขี ึ้นและรู้สึกวา่ เป็น ส่ิงที่ง่ายเพราะคณุ ครูได้จดั ทาขน้ึ มาแล้วในการสอนแต่ละวชิ า ในการวิจยั ในช้นั เรยี น สอ่ื ท่ที ่านจัดทาข้นึ ไม่จาเป็นตอ้ งไปหาคุณภาพของสื่อ เช่น หา ประสิทธิภาพของศนู ยก์ ารเรยี นตามเกณฑ์ ๘๐ /๘๐ หาคณุ ภาพของแบบสอบถาม ประเมิน การใช้ หนังสอื อา่ นเพม่ิ เติม ประเมนิ คณุ ภาพของแผนการสอน หาคา่ IOA,ค่า IOC, ค่า CV,หาคา่ ความยากงา่ ย ของแบบทดสอบ เป็นต้น แตท่ า่ นสามารถนาแบบฝกึ หรอื ขอ้ สอบทีจ่ ดั ทา ขึน้ ไปใช้ ไดเ้ ลย มฉิ ะนัน้ ท่านจะกงั วลใจและรูส้ กึ ว่าการวจิ ัยเป็นเรอ่ื งทย่ี ่งุ ยาก ไมอ่ ยากทา ข้ันที่ ๔ ทดลองสอน /ลงมอื แก้ปญั หา การทดลองวจิ ัย จะทาตามวธิ ีดาเนนิ การซง่ึ จะใช้เวลาในการวจิ ยั ๒ ชัว่ โมง หรือ ๑ สัปดาห์ หรือ ๑ เดอื นกไ็ ด้ แตไ่ มค่ วรนานเกนิ ๒ เดอื น เพราะการวจิ ัยในช้นั เรยี นมกั จะเปน็ เรอื่ งสนั้ ๆ ปญั หาเลก็ ๆ เชน่ การแก้ปัญหา ทกั ษะกระบวนการสังเกตโดยใช้แบบฝกึ การสงั เกต ซึง่ อาจมี ๒ - ๓ แบบฝึกหดั สามารถดาเนินการใหเ้ สร็จได้ภายใน ๑ ชวั่ โมง หรอื ๒- ๓ ช่วั โมง กไ็ ด้ ขั้นที่ ๕ วดั ผล วเิ คราะห์ สรปุ เครอ่ื งมอื ที่ใช้ในการเก็บขอ้ มูลมหี ลายอย่าง เชน่ แบบสงั เกต แบบสัมภาษณ์ แบบ ประเมนิ แบบซกั ถาม แบบวัดเจตคติ แบบทดสอบ แบบตรวจผลงาน \"ครูผ้สู อนไม่ตอ้ งกงั วลเรือ่ ง จานวนหน้า หรอื รูปแบบการเขยี นรายงาน เพราะสิ่งทเ่ี รา กาลงั พูดกันคือรูปแบบการเขยี นทไ่ี ม่เป็น ทางการ จงึ คววรเขียนแบบสนั้ ๆ หน้าเดยี ว หรือก่ีหน้าก็ได้\" การวเิ คราะห์ข้อมูลสถิตทิ ี่ใชไ้ ด้แก่ ค่าเฉลีย่ ค่าร้อยละ ค่าเบ่ยี งเบนมาตรฐาน สถิติค่าที (t- test) แบบ dependent group ในกรณที ใี่ ชก้ ลุม่ ตวั อย่างเดียว การจัดอันดับคณุ ภาพเป็นต้น การสรุปผล ให้สรปุ ตามหวั ขอ้ ของวตั ถุประสงคใ์ นการวจิ ยั อาจมขี อ้ เสนอแนะเพิม่ เติม ได้ ขั้นท่ี ๖ เขยี นรายงานส้นั ๆ หน้าเดียว การเขยี นรายงานใหส้ มบรู ณ์ทั้ง ๕ บท อาจจะต้องใช้เวลานาน ครผู สู้ อนไมต่ ้องกงั วล เรอ่ื งจานวนหนา้ หรอื รปู แบบการเขียนรายงาน เพราะส่ิงทเ่ี รากาลงั พูดกนั คอื รูปแบบการเขียน ทไี่ มเ่ ปน็ ทางการจงึ ควรเขียนแบบส้นั ๆ หนา้ เดียว หรอื กหี่ น้ากไ็ ด้ ขอใหเ้ ขียนอ่านแล้วรูเ้ รือ่ ง เข้าใจวา่ ครูกาลังทา
อะไร ซ่งึ จะชว่ ยใหท้ ่านสามารถทาการวิจยั ปหี น่ึงได้หลายเรอื่ ง ผลประโยชน์จะเกดิ ขน้ึ กบั นกั เรียนและ ตวั ครู เมอ่ื ทาการวจิ ัยหลายเรอื่ งจนเกดิ ความชานาญ ที่มา http://www.sobkroo.com/r_2.htm
Search
Read the Text Version
- 1 - 25
Pages: