Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore Ver02ความหมายและความสำคัญความคิดสร้างสรรค์

Ver02ความหมายและความสำคัญความคิดสร้างสรรค์

Published by saratoolpechkomkam, 2020-08-22 00:25:17

Description: Ver02ความหมายและความสำคัญความคิดสร้างสรรค์

Search

Read the Text Version

ความหมายและความสาคัญ ของความคิดเชิงสร้างสรรค์ อ. สารทูล เพ็ชรคมขา ภาควชิ าเทคโนโลยไี ฟฟ้ า วทิ ยาลยั เทคนิคปัตตานี

บารอน และเมย์ (Baronand May,1960) ได้ให้คาจากัดความว่า ความคิด สร้างสรรค์เป็ นความสามารถของมนุษย์ท่ีจานาไปสู่สิ่งใหม่ๆ เกิดผลผลิตใหม่ๆทาง เทคโนโลยี รวมทั้งความสามารถในการประดษิ ฐค์ ิดค้นสิ่งส่ิงแปลกใหม่ ดังเช่น โทมัส เอดิ สัน ค้นพบหลอดไฟฟ้า นาไปสู่เคร่ืองใช่ไฟฟ้านานาชนิด ซ่งึ งานประดษิ ฐค์ ิดค้นของเขาเป็ น ตัวอย่างที่ดีของงานท่ีมีลักษณะความคิดสร้างสรรค์ นั้นคือ แปลกใหม่ แตกต่างจากที่เคย ปรากฏ และยังเป็ นประโยชนอ์ ยา่ งมหาศาลตอ่ ชาวโลกอกี ดว้ ย

อีริค ฟรอมม์ (Eric From,1963) อธบิ ายว่า ความคิดสร้างสรรค์หมายถงึ ความสามารถ ของบุคคลท่ีจะสังเกตเห็น รับรู้ เข้าใจ และมีปฏิกิริยาตอบสนอง (Creativity is the ability to see or to aware and to respond) ตัวอย่าง เช่น เม่ือมองเห็นส่ิงท่ี สวยงาม คนเราก็จะเกิดความรู้สึกซาบซ้ึงในความงาม มีปฏิกิริยาโต้ตอบ เช่น การกล่าว วาจาเป็นคม การเขียนเป็นภาพ การเขียนเป็นคาประพันธ์ เช่นเดียวกับนักประดิษฐ์ เจมส์วัต สังเกตเห็นไอน้าเดือดทาให้ฝากาต้มน้าเผยอทาให้เขาคิดค้นเครื่องจักรไอน้าได้ สาเร็จ นิวตัน มองเห็นผลแอ็ปเปิ้นหล่นลงสู่พ้ืน ทาให้สามารถคิดค้นทฤษฎีแรงดึงดูดเข้า สู่ศูนย์กลางของโลกได้ เปน็ ต้น

ทอร์รานซ์ (Torrance,1965) กล่าวว่า ความคิดสร้างสรรค์เป็นกระบวนการท่ีมนุษย์ รู้สึกว่ามีช่องว่างหรือบางส่วนท่ีขาดหายไป แล้วรวบรวมความคิดต้ังเป็นสมมุติฐาน เก่ียวกับส่ิงเหล่านั้นแล้วทาการทดสอบสมมุติฐานหาความสัมพันธ์ของผลท่ีจะเกิดขึ้น รวมถึงปรับปรุงและทดสอบสมมติฐานใหมอ่ ีกครงั้ จนได้ผลเปน็ ที่พึงพอใจ



ลกั ษณะของความคิดแบบอเนกนัย ซึ่งเปน็ ลกั ษณะการคดิ อยา่ งสร้างสรรค์ ประกอบดว้ ย 1. ความคิดริเริ่ม (Originality) เป็นลักษณะความคิดที่แปลกใหม่ แตกต่างไปจากความคนุ้ เคย โดยอาจ แสดงออกในลักษณะทางกระบวนการคิด หรือลกั ษณะทางผลผลติ ซึง่ ในบางครัง้ ความคิดรเิ รม่ิ อาจไม่ใช่สิง่ หใหมซ่ ึ่งไม่ เคยปรากฎมากอ่ น แต่เป็นการประยุกตด์ ดั แปลงให้ดีขนึ้ ให้มปี ระสิทธิภาพมากขนึ้ ซึ่งสางประดิษฐ์ส่วนใหญล่ ้วนอาศยั แนวทางการพฒั นาอยา่ งต่อเนอ่ื ง 2. ความคดิ คลอ่ งแคลว่ (Fluency) หมายถงึ ความสามารถในการผลิตความคิดที่แตกตา่ งและ หลายหลากภายใตก้ รอบจากดั ของเวลา อันนาไปสูก่ ารคดิ อยา่ งมคี ุณภาพเพอื่ การแกป้ ัญหาอยา่ งมีประสทิ ธภิ าพ เช่น สามารถบอกถงึ ประโยชนข์ องกระดาษไดม้ ากท่สี ดุ ภายในเวลา 3 นาที เปน็ ความคล่องในการคิด นอกจากน้ียงั ช่วยใหม้ ี ทางเลือกที่หลากหลายในการแกป่ ัญหาตา่ งๆ 3. ความคิดยืดหย่นุ (Flexibility) เปน็ ความสามารถในการคิดนอกกรอบของความคิดทีไ่ ม่อยูภ่ ายใต้ กฎเกณฑ์หรือความคนุ้ เคยเดิม ความยืดหยนุ่ ทาให้สามารถมองเห็นสง่ิ ตา่ งๆ ในแงม่ ุมใหมๆ่ เปน็ ความคดิ พ้นื ฐานท่ีจะ นาไปสคู่ วามคิดสรา้ งสรรค์ กลา่ วคือ สามารถหาคาตอบไดห้ ลายหมวดหมู่ หลายประเภท รวมถงึ มีทางเลือกได้หลาย ทางเลอื ก ดังนัน้ ความคิดยืดหย่นุ จึงเป็นส่วนชว่ ยเสริมคณุ ภาพความคดิ ใหด้ ียง่ิ ขน้ึ

ลักษณะของความคิดแบบอเนกนยั ซึ่งเป็นลกั ษณะการคิดอยา่ งสร้างสรรค์ ประกอบดว้ ย 4. ความคดิ ละเอยี ดลออ (Elaboration) เปน็ การคิดตกแตง่ ในรายละเอยี ดเพ่ือขยายความคดิ หลกั ให้ครบถว้ น สมบูรณ์ ซ่ึง ความคดิ ละเอียดลออนี้จะสัมพันธ์กบั ความสามารถในการสังเกต ไม่ละเลยในรายละเอียดเล็กๆนอ้ ยๆ ดงั นัน้ ความคดิ อเนกนัย หรือความคดิ แบบกระจาย (Divergent Thinking) จงึ ตรงขา้ มกับความคิดเอกนยั หรือความคิดใน ทิศทางเดียว (Convergent Thinking) ซง่ึ เป็นลกั ษณะความคดิ ท่มี ุ่งเนน้ เพียงความคดิ เดยี วเทา่ นน้ั ในขณะทีค่ วามคิดอเนกนยั มุง่ สง่ เสริม ให้เกดิ ความคิดมากหลากหลาย ทงั้ ปรมิ าณและคณุ ภาพ เพื่อเปน็ แนวทางใหค้ น้ พบความคิดทดี่ ี ทม่ี ีคุณภาพ เอด็ วารด์ เดอ โบโน (Edward De Bono,1972) กล่าวถึงความคดิ สร้างสรรค์ คอื ความสามารถในการมองหาทางเลอื กหลาย ทศิ ทาง โดยการคิดอยา่ งรอบด้าน คลอบคลุมทง้ั ในแนวกว้างและแนวลกึ ตลอดจนสามารถสร้างแนวคดิ ใหม่ ซึง่ อาจตา่ งไปจาก แนวความคิดเดมิ บา้ งเลก็ นอ้ ย หรอื แปลกไปจนไมค่ งแนวความคดิ เดิมไวเ้ ลย ดังนน้ั ความคดิ สรา้ งสรรค์จงึ เปน็ ความสามารถท่ีอยใู่ นตวั มนษุ ยท์ ุกคน เปน็ การคดิ ค้นเพ่ือค้นพบความสมั พนั ธข์ องสง่ิ ต่างๆ ทม่ี ี ประโยชน์มคี ณุ คา่ รวมท้งั เป็นลักษณะความคิดที่แปลกใหม่ ไมล่ อกเลยี นแบบ ซ่งึ อาจเกิดจากการคดิ ปรับปรุงเปล่ียนแปลงจากความคิดเดมิ ให้เป็นความคิดแปลกใหม่ แตกตา่ งไปจากเดมิ โดยบางครง้ั อาจคงเคาโครงเดิมไว้ หรืออาจแปลกไปจนไมค่ งแนวคิดเดมิ ไว้เลย

ความคดิ สรา้ งสรรค ์ มลี กั ษณะสาคญั 3 ประการ คอื 1. เปน็ ความคดิ ประดษิ ฐ์ หรอื การทาทแ่ี ปลกใหม่ เปน็ ผลงานทีร่ ิเร่ิมเอง ไม่มี ตวั อยา่ งไว้ให้ มปี ระโยชน์ มีคุณคา่ 2. เป็นความคิดหรือการกระทาทแ่ี กป้ ัญหาได้ โดยสามารถมองหาทางเลือกหลาย ทศิ หลายทางในการแก้ปญั หา 3. เป็นความคดิ ริเรมิ่ ทีแ่ สดงออกอย่างมหี ลกั เกณฑ์ มีความคงทน และสามารถ ดัดแปลงพัฒนาไปจนถงึ จุดท่ีสมบรู ณ์ได้

ลาดบั ขนั้ ของความคดิ สรา้ งสรรค ์ การคิดริเริ่มสร้างสรรค์ในเรื่องใดเร่ืองหนึ่งจะต้องอาศัยจิตนาการ เป็นอันมาก การคิดโดยอาศัยลาดับขั้นตอนอาจทาให้สามารถสร้างสรรค์ ผลงานออกมาได้ นักจิตวิทยาท่ีทาการศึกษาเกี่ยวกับความคิดสร้างสรรค์ วอลลาซ(Wallach,1962) ได้กล่าวว่า กระบวนการของความคิด สร้างสรรค์เกิดจากความคิดส่ิงใหม่ๆโดยการลองผิดลองถูก (Trial and Error) และได้แบ่งขั้นตอนในการคิดริเริ่มสร้างสรรค์ไว้เป็น 4 ข้ันตอน ตามลาดับดงั นี้

1. ขน้ั เตรยี มงาน (Preparation) เป็นขั้นของการเตรยี มตวั การศึกษาปญั หา จัดเตรียมข้อมลู ต่างๆ เชน่ ข้อมูล เกีย่ วกบั ข้นั ตอนการดาเนนิ งาน ข้อมูลระบุปัญหา ข้อมลู ทเ่ี ป็นข้อเทจ็ จริงตลอดจนความรู้ ความเขา้ ใจในสว่ นทเ่ี กีย่ วขอ้ ง เพื่อ เตรียมไว้สาหรับการแกป้ ัญหา ยกตัวอย่าง เช่น นักประดษิ ฐ์คิดค้นคนสาคัญของโลก ไมเคิล ฟาราเดย์ (Michael Faraday) มีความสนในเก่ียวกบั แม่เหล็กกระแสไฟฟา้ จงึ ทาการเกบ็ รวบรวมความรเู้ กีย่ วกับแม่เหลก็ และกระแสไฟฟา้ เกดิ เป็นทฤษฎี แม่เหล็กไฟฟ้าและมอเตอรไ์ ฟฟา้ ขนึ้ ◦ การเก็บรวบรวมขอ้ มูลของแต่ละบุคคลนั้นสามารถกระทาไดใ้ นหลายๆวิธีแตกต่างกัน เช่น บางคนชอบฟงั ผู้อนื่ พูด บรรยาย แตไ่ มช่ อบการอา่ น บางคนชอบทั้งฟังและอา่ น บางคนชอบสังเกตการกระทาของผ้อู นื่ (On the Job Training) ในขณะทบ่ี างคนชอบลองทาเองแบบลองผิดลองถกู (Trial Error) 2. ขน้ั ฟกั ตวั (Inaction) เป็นขั้นของการเกบ็ สะสม ครุ่นคิด ทบทวนปญั หา ศึกษาความสัมพันธร์ ะหวา่ งขอ้ มลู ความรู้ และปญั หาที่กาลังเผชิญอยู่ บางครั้งขัน้ ตอนนีอ้ าจเปน็ ขน้ั ตอนของความสบั สนวุ่นวายกบั ข้อมูลทง้ั เกา่ และใหม่ ทาให้ ไม่สามารถขมวดความคิดได้ จงึ ต้องปลอ่ ยความคดิ ไว้เงยี บๆ เพ่อื ใหเ้ กิดการขบคดิ จนกระท่งั ไดค้ าตอบทต่ี ้องการ ซึ่งระยะของ การฟกั ตัวนี้จะยาวนานเพยี งใดจะขน้ึ อยกู่ บั ความมุ่งมน่ั ที่จะหาคาตอบ สมาธิ ตลอดจนข้อมลู ทีม่ อี ยู่

3. ข้ันจรรโลงใจหรือขั้นความคิดกระจ่าง (Inspiration or Illumination) เป็นข้ันที่ความสับสนไดผ้ ่าน การเรียบเรียง จัดลาดับและเช่ือมโยงความสัมพันธ์ต่างๆ เข้าด้วยกันแล้ว ทาให้เกิดแนวทาง มองเห็นทางในการ แก้ปัญหา พบความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูล ความรู้และแนวทางในการแก้ปัญหา สามารถกาหนดสมมติฐานของ ปัญหาตา่ งๆ ไดอ้ ย่างถูกต้องเช่น อาร์คิมิดิส ค้นพบสูตรกลศาสตร์เร่ือง การลอยตัว (Buoyancy) เมื่อลงอาบน้าใน อา่ งท่มี ีนา้ เต็มอยู่ เป็นตน้ 4. ขั้นการปรับปรุงหรือขั้นพิสูจน์ (Revision or Verification) เป็นขั้นของการปรับปรุง ปรุงแต่งส่ิงที่ ค้นพบให้สมบูรณ์และดีย่ิงข้ึน ทาการทดสอบหรือพิสูจน์ในสิ่งประดิษฐ์ใหม่ ทบทวนจุดมุ่งหมายที่ต้ังไว้ พิจารณา ผลงานอยา่ งรอบคอบ เปรยี บเทียบผลดี-ผลเสีย ทดสอบความสัมพนั ธ์กับคาตอบท่ีพบถึงความเหมาะสม มีสิ่งที่ต้อง ปรับปรุงหรือดัดแปลงหรือไม่ การพิสูจน์ความจริงทดสอบจนเป็นที่แน่ใจ แล้วจึงต้ังเป็นกฎเกณฑ์ แนวความคิด หรอื วธิ ีแกป้ ญั หาแบบใหม่

ทอแรนซ์ (Terrance,1965) กระบวนการคดิ อย่างสรา้ งสรรค ์ กระบวนการคิดอย่างสร้างสรรค์ หมายถึง วิธีการคิดหรือกระบวนการทางานของสมองอย่าง ข้ันตอน และสามารถคิดแก้ปัญหาได้สาเร็จ ทอแรนซ์ (Terrance,1965) ได้ให้คาอธิบายในเรื่อง กระบวนการคิดอยา่ งริเร่ิมสรา้ งสรรค์ วา่ เป็นกระบวนการของความรู้สกึ ไวตอ่ ปญั หาหรือส่ิงท่ีบกพร่อง ขาดหายไป แล้วจึงทาการรวบรวมข้อมูลต่างๆ เพื่อตั้งเป็นสมมติฐานข้ึน จากน้ันจึงทาการทดสอบ สมมติฐาน และรายงานผลท่ีได้รับจากการทดสอบสมมติฐาน เพ่ือเป็นแนวคิดและทางใหม่ต่อไป ดังนั้น กระบวนการคิดอย่างริเริ่มสร้างสรรค์จึงเป็นกระบวนการแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์น่ันเอง ซ่ึง ทอแรนซ์ เรยี กว่า กระบวนการนี้ว่า >>>>

ทอแรนซ์ (Terrance,1965)“soกlรvะinบgวน) กซางึ่ รแแบก่งปอ้ อัญกหไดาอเ้ ปย็ น่าขงสน้ั รตา้ องสนรดรงั คน”์ี้ (The creative problem ◦ข้ันที่ 1 การพบความจริง (Fact Finding) เป็นขั้นตอนท่ีเริ่มจาการเกิดความรู้สึกกังวล สับสนวุ่นวายในใจ แต่ไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นอะไร ดั้งน้ันในขั้นน้ีต้องพยายามตั้งสติ หา ข้อมลู พิจารณาดูว่าสิ่งใดที่ทาให้เกดิ ความกังวลใจ ความสบั สนวุ่นวาย หรือความยงุ่ ยาก ◦ขั้นท่ี 2 การค้นพบปัญหา (problem Finding) เป็นข้ันตอนท่ตี ่อจากข้ันที่ 1 หลังจากที่ได้ พิจารณาโดยรอบคอบแล้วเกิดความเข้าใจและสรุปได้ว่าความกังวลใจ ความสับสนวุ่นวาย หรือความยุง่ ยากเหล่านน้ั กค็ ือการเกดิ ปญั หา น้ันเอง ◦ข้ันท่ี 3 การต้ังสมมติฐาน (Idea Finding) เป็นข้ันที่เม่ือรู้ว่ามีปัญหาเกิดขึ้นแล้วจึง พยายามคดิ ทจ่ี ะหาตอบของปัญหานั้นโดยการต้ังสมมติฐาน ซึ่งอาจมเี พียงแค่สมมติฐานขั้น ถดั ไป

ทอแรนซ์ (Terrance,1965) “prกoรbะบleวmนกsาoรlแvกinป้ gัญ)หซางึ่ อแยบ่า่งงอสอรกา้ไงดสเ้รปร็ นคข”์ น้ั (Tตhอeนดcงrั eนaี้ tive ◦ขน้ั ท่ี 4 การคน้ พบคาตอบ (Solution Finding) เป็นการนาสมมติฐานที่ได้ใน ข้นั ที่ 3 มาทาการทดสอบเพื่อหาคาตอบทช่ี ว่ ยทาให้ปญั หาน้นั หมดไป ◦ขน้ั ที่ 5 ยอมรับผลจากการค้นพบ (Acceptance Finding) เป็นขั้นของการ ยอมรับคาตอบท่ีได้จากการทดสอบหรือการพิสูจน์เรียบร้อย ว่าสามารถนาไปใช้ ในการแก้ปัญหาได้ ซึ่งในข้ันนี้อาจสามารถนาไปสู่การทาให้เกิดแนวคิด วิธีการ กระบวนการใหม่ๆ (New Challenges) ต่อไป

การฝึ กหรอื การพฒั นาความคดิ สรา้ งสรรค ์ ออสบอ ์รน (Osborn,1957) ความคดิ สร้างสรรคม์ ีแหลง่ กาเนิดมาจาก 2 ส่วนด้วยกนั คือ พนั ธกุ รรมท่ไี ด้รบั การถา่ ยทอดมา สว่ นท่ีสองคอื สภาพแวดล้อมและการพฒั นา เช่น การอบรม การฝกึ ฝน เปน็ ต้น ซงึ่ การฝกึ หรอื การพฒั นาความคดิ สร้างสรรคอ์ าจกระทาได้ ดังนี้ ออสบอร์น (Osborn,1957) ไดเ้ สนอวธิ กี ารในการฝกึ พัฒนาความคดิ สรา้ งสรรค์ทเ่ี รยี กวา่ “การระดมสมอง(Brain Storming)” เปน็ กระบวนการทใี่ ช้กับกลมุ่ ไมเ่ กนิ 10 คน มีหลกั ปฏิบัตดิ ังนี้ ◦ 1. ประวิงการตดั สินใจ รบั ฟังความคิดเห็นของบุคคลอืน่ ๆ นั้นคอื เม่ือบคุ คลใดในกล่มุ เสนอความคิดเหน็ ข้ึนมา จะไมม่ ีการ วิพากษ์ วิจารณ์ หรอื ตดั สนิ ความคิดใด ๆ ไม่ว่าจะเปน็ ความคดิ ดี มีคุณภาพหรือมีประโยชนน์ อ้ ยกต็ าม ◦ 2. ใหอ้ ิสระทางความคิด ยอมรับความคดิ ทแ่ี ตล่ ะบุคคลในกลุ่มเสนอขึ้นมา สนบั สนนุ ความคิดทแ่ี ปลกใหม่ ไมซ่ า้ กับความคดิ เดิม มสี าระ มปี ระโยชน์ ◦ 3. สง่ เสริมปริมาณความคิด ย่ิงมีปรมิ าณความคดิ มากกย็ ่งิ ทาใหฐ้ านข้อมลู ด้านความคิดมากขน้ึ ตามไปดว้ ย ◦ 4. ประมวลความคดิ และปรงุ แต่งความคดิ โดยการพิจารณาตดั สินร่วมกันภายในกลุ่มรวบรวมความคดิ ท่ไี ด้การเสนอไว้แล้ว นามาจดั เรยี งลาดับความคดิ ตามคณุ คา่ ของความคิดเห็นภายใต้ขอ้ จากัดของความคิดน้ัน เพอ่ื ใหไ้ ดข้ ้อสรุปออกมา

การฝึ กหรอื การพฒั นาความคดิ สรา้ งสรรค ์ กอ ์รดอน (Gordon,1961) กอร์ดอน (Gordon,1961) ได้พัฒนาวิธีการซิเน็ตติกซ์ ขึ้นมาเพื่อสนับสนุน การใช้วิธีอุปมาในการกระตุ้น ให้เกิดความคดิ สรา้ งสรรค์ ดงั น้ี ◦ 1. อุปมาตนเอง (Personal analogy) เป็นการคิดที่ใส่ตัวเองลงไปโดยตรงกับสถานการณ์ท่ีต้องการแก้ไข น้ันคือ เม่ือเกิดปัญหาก็ให้ใส่ตัวเองลงไปในปัญหานั้น ยกตัวอย่าง เช่น ถ้าต้องการให้เครื่องจักรทางานอย่างเต็ม ประสิทธิภาพ ก็ให้นึกเสียว่าตัวเราเป็นเครื่องจักรนั้น ก็จะทาให้ทราบทันทีว่า ต้องการได้รับการปฏิบัติเช่นไร เช่น การดแู ลเอาใจใส่ การตรวจเชค็ สภาพ แหลง่ พลังงานหลอ่ เล้ยี ง อุณหภมู ิที่เหมาะสม เป็นตน้ ◦ 2. อุปมาโดยตรง (Direct analogy) การกระตุ้นให้ตัวเราเองคน้ หาส่ิงอน่ื ท่ีแก้ปัญหาที่กาลังประสบอยู่ การได้เห็น วิธีแกป้ ัญหาของคนอืน่ อาจชว่ ยให้เราคิด วธิ ีแกป้ ัญหาของตนเองได้ ◦ 3. อุปมาสัญลักษณ์ (Symbolic analogy) การใช้จิตนาการท่ีดูเป็นสิ่งท่ีไม่มีตัวตน เช่น การ์ตูน เพื่อกระตุ่นให้เกิด ความคิดสรา้ งสรรค์ ◦ 4. อปุ มาคิดฝนั (Fantasy analogy) การทาใหจ้ ติ นาการใหก้ ว้างไกลหลุดจากโลกของความเปน็ จรงิ อาจกระต้นุ ให้ พบวธิ แี ก้ปัญหาได้

องคป์ ระกอบทสี่ ง่ ผลตอ่ การพฒั นาความคดิ สรา้ งสรรค ์ การท่ีคนเราจะมีความคิดสร้างสรรค์ได้นั้น ขึ้นอยู่กับศักยภาพการทางานและการพัฒนาของสมอง คนแต่ละคนจะคิดสร้างสรรค์ได้มากน้อยเพียงใดนั้นขึ้นอยู่กับองค์ประกอบสาคัญหลายประการ และเป็น คุณลักษณะที่ผู้มีความคิดสร้างสรรค์ท่ีดีจาเป็นต้องมีทุกคน เพ่ือเป็นพื้นฐานของงการพัฒนาความคิดแก่ ตนเอง องค์ประกอบของบคุ คลท่ีส่งผลต่อการพฒั นาความคิดสรา้ งสรรค์มดี งั ต่อไปน้ี 1. องค์ประกอบด้านทศั นคตแิ ละบุคลิกลักษณะ 2. องค์ประกอบด้านความสามารถทางสติปัญญา 3. องค์ประกอบดา้ นความรู้ 4. องคป์ ระกอบความรู้รูปแบบการคิด 5. องคป์ ระกอบด้านแรงจูงใจ 6. องค์ประกอบด้านสภาพแวดล้อม

องคป์ ระกอบทสี่ ง่ ผลตอ่ การพฒั นาความคดิ สรา้ งสรรค ์ องคป์ ระกอบดา้ นทัศนคติและบุคลิกลักษณะ เป็นองค์ประกอบหน่ึงท่ีมีความสาคัญ ผู้ท่ีรู้เพียงเทคนิคทฤษฎีความคิดสร้างสรรค์อาจจะ สามารถคิดเชิงสร้างสรรค์ได้ในระดับหน่ึง แต่ถ้าบุคคลนั้นมีทัศนคติและบุคลิกในเชิงสร้างสรรค์เป็น องค์ประกอบร่วมด้วยบุคคลนั้นจะสามารถคิดริเริ่มสร้างสรรค์ได้อย่างดีมาก ลักษณะของบุคคลท่ีมี ความคดิ สร้างสรรคจ์ ะต้องประกอบด้วย ❆ ต้องมีทักษะของการคิด ได้แก่ ทักษะการสังเกต ทักษะการเก็บรวบรวมข้อมูลทักษะการ ตรวจสอบข้อมูล และทักษะการสรุปขอ้ เทจ็ จริงของข้อมูล ❆ แรงจูงใจในการสร้างสรรค์ มคี วามตั้งใจจริง มีจติ ใจจดจ่อและผูกพันกบั งาน มีความอดทน สูง ไม่ยอมล้มเลิกส่ิงท่ีต้ังใจทา มีความมานะพยายาม ไม่หวั่นไหวต่อความล้มเหลวหรือคา วพิ ากษว์ จิ ารณ์

องคป์ ระกอบทสี่ ง่ ผลตอ่ การพฒั นาความคดิ สรา้ งสรรค ์ องค์ประกอบด้านทศั นคติและบุคลิกลกั ษณะ ❆ มีความสามารถในการหย่ังเห็น คิดพลิกแพลง สามารถที่จะคิดเหตุผลและวิธีการที่จะ แกไ้ ขปญั หาตา่ ง ๆ ได้เป็นอยา่ งดี ❆ เป็นผู้มีความคิดอิสระด้านการคิดและการกระทา ไม่ชอบทาตามอย่างผู้อื่นโดยไม่มีเหตุผล คิดหรอื ทาส่ิงท่ซี บั ซ้อน แปลกใหม่และมอี ารมณข์ ัน ❆ มีความมั่นใจในตนเอง มีทัศนคติเชิงบวก รวมท้ังมีลักษณะของความเป็นผู้นา แต่ไมย่ ึดมั่น ในสิง่ ใดสง่ หน่งึ จนเกินไป พร้อมเปิดใจรับแนวคิดของผู้อ่นื รวมถึงประสบการณ์ใหม่ๆ ที่ผา่ นเขา้ มา

องคป์ ระกอบทสี่ ง่ ผลตอ่ การพฒั นาความคดิ สรา้ งสรรค ์ องค์ประกอบดา้ นความสามารถทางสติปัญญา ความคิดสร้างสรรค์จัดอยู่ในทักษะข้ันสูงของความสามารถทางสติปัญญา ซ่ึงความสามารถ เหลา่ นีไ้ ด้แก่ ❆ ความสามารถในการกาหนดขอบเขตของปัญหา ผู้ท่ีมีความคิดสร้างสรรค์จะมองปัญหาที่ ปรากฎอยุ่เบ้ืองหน้าด้วยมุมมองแบบใหม่เพ่ือทาให้เห็นหนทางในการแก้ปัญหาใหม่ๆท่ีเหมาะสมกว่า วิธีการเดิมๆ โดยเริ่มต้นจากการให้คานิยาม การกาหนดขอบเขตของปัญหาท่ีต้องการแก้ไขให้ชัดเจน รวมทั้งการตัง้ เป้าหมายเพอื่ หาวธิ ีการในการแก้ปญั หาเหลา่ นั้น ❆ ความสามารถในการใช้จิตนาการ การใช้จินตนาการมีส่วนช่วยให้การแก้ปัญหาอย่าง สร้างสรรค์เป็นไปได้งายขึ้น เช่น อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (Albert Einstein) สามารถพัฒนาทฤษฎี สมั พันธภาพได้จาการวาดภาพวา่ ตนเองกาลังท่องเที่ยวไปบนลาแสงท่ยี าวไกลลาแสงหน่ึง

องคป์ ระกอบทสี่ ง่ ผลตอ่ การพฒั นาความคดิ สรา้ งสรรค ์ ❆ ความสามารถในการคัดเลือกอย่างมียุทธศาสตร์ ในกรณีท่ีวิธีการในการแก้ปัญหาหนึ่งๆ น้ันมีหลายวิธีการจึงจาเป็นต้องมีการตัดทางเลือกท่ีไม่เก่ียวข้องออกเพ่ือคัดเลือกวิธีการท่ีดีที่สุดมุ่งสู่ หนทางการแก้ปญั หาทม่ี ศี ักยภาพ ❆ ความสามารถในการประเมินอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นความสามารถในการแยกแยะและ คัดเลือกความคิดท่ีดี มีความสอดคล้อง เหมาะสมมารวมประกอบกันสร้างเป็นความคิดใหม่ข้ึนมา พร้อมท้ังนาแนวความคิดใหม่ท่ีได้มาน้ันมาพิจารณาประเมินคุณค่า เพื่อให้ได้คาตอบท่ีมีคุณภาพสูง เป็นสงิ่ ใหมท่ ่ีดกี ว่า และมคี วามเหมาะสมยิ่งกวา่

องคป์ ระกอบทสี่ ง่ ผลตอ่ การพฒั นาความคดิ สรา้ งสรรค ์ องค์ประกอบดา้ นความรู้ ความรู้อาจมีผลกระทบต่อความคิดสร้างสรรค์ได้ทัง้ ในทางบวกและทางลบ ความรู้ ทไี่ ด้รับการสะสมมีผลต่อความคิดสร้างสรรค์ เช่น มีความเข้าใจในธรรมชาติของปัญหาได้ ลึกซ้ึง ช่วยกระตุ้นให้มีการต่อยอดความรู้อันเป็นต้นกาเนิดของความคิดอื่นๆ ตามมา แต่ ในทางตรงกันข้าม หากยึดติดในความรู้มากจนเกินไปอาจทาให้ขาดความยืดหยุ่นในการ คิดนอกกรอบ หรือขาดมุมมองใหม่ๆ ที่กว้างขวางข้ึน อันเป็นตัวขัดขวางความคิด สร้างสรรค์

องคป์ ระกอบทสี่ ง่ ผลตอ่ การพฒั นาความคดิ สรา้ งสรรค ์ องคป์ ระกอบความรู้รปู แบบการคดิ รูปแบบการคิดแต่ละบุคคลมีผลต่อการรับรู้และบุคลิกลักษณะของ บุคคลน้ันๆ รูปแบบการคิดช่วยส่งเสริมให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ ความสามารถทางสตปิ ัญญา รวมถงึ การประยกุ ตใ์ นการแกป้ ัญหาของบคุ คล

องคป์ ระกอบทสี่ ง่ ผลตอ่ การพฒั นาความคดิ สรา้ งสรรค ์ องค์ประกอบด้านแรงจงู ใจ แรงจูงใจเป็นองค์ประกอบหน่ึงที่กระตุ้นให้บุคคลต้องการคิดสร้างสรรค์ แรงจูงใจภายใน เช่น ความต้องการประสบความสาเร็จ ความต้องการส่ิงใหม่ๆ ตอบสนองความอยากรู้อยากเหน็ เป็นต้น แรงจูงใจภายนอก หรือเรียกอีกอยา่ งหน่ึง ว่า สภาพแวดล้อมภายนอก เช่น การได้รับผลตอบแทนการเป็นท่ียอมรับ การได้รับ การยกยอ่ ง การมชี ือ่ เสยี ง เปน็ ต้น อย่างไรก็ตาม จากการศึกษาพบว่า ผู้ท่ถี ูกกระตุ้น ด้วยรางวัลน้ันจะมีความคิดสร้างสรรค์ต่ากว่าผู้ท่ีมีแรงกระตุ้นจากความต้องการที่ อย่ภู ายใน

องคป์ ระกอบทสี่ ง่ ผลตอ่ การพฒั นาความคดิ สรา้ งสรรค ์ องค์ประกอบด้านสภาพแวดล้อม การท่ีบุคคลจะสามารถคิดสร้างสรรค์ได้มากน้อยเพียงใดนั้นข้ึนอยู่กับ สภาพแวดล้อมร่วมด้วยเป็นสาคัญ ผู้มีลักษณะการคิดสร้างสรรค์มักเป็นผู้ท่ี ได้รับการกระตุ้น หรือการสนับสนุนส่งเสริม เช่น อยู่ในบรรยากาศที่ไม่มีการ สร้างกรอบมาตรฐานมาบีบรัด สังคมที่ส่งเสริมสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก ของประชาชน สงั คมทสี่ ง่ เสริมหลากหลายทางวัฒนธรรม เป็นต้น

ปัจจยั ทสี่ ง่ ผลตอ่ ความคดิ สรา้ งสรรค ์ ปัจจัยที่ส่งผลต่อความคิดสร้างสรรค์ หรืออาจกล่าวอีกนัยหนึ่งว่าเป็นปัจจัยท่ีมีอิทธิพลต่อความคิด สรา้ งสรรคข์ องมนุษย์ จะประกอบด้วยปจั จยั ทีส่ ง่ ผลกระทบใน 2 ดา้ น คือ ทางดา้ นบวกและทางลบ +1. ปจั จยั ทางด้านบวก = ปจั จยั ท่ีช่วยเกื้อกูล สง่ เสริมความคดิ สรา้ งสรรค์ -2. ปจั จยั ทางดา้ นลบ =ปัจจัยท่ีทาให้เกดิ อุปสรรคทางความคดิ สรา้ งสรรค์ ของมนษุ ยบ์ กพรอ่ ง

ปัจจยั ทสี่ ง่ ผลตอ่ ความคดิ สรา้ งสรรค ์ +1. ปัจจัยทางดา้ นบวก 1. บุคคล บา้ น และสถานศกึ ษามอี ทิ ธพิ ลต่อการวางรากฐานของชวี ติ มนษุ ยใ์ นทกุ ด้านๆ ด้าน ดังนน้ั พ่อแม่ ครู อาจารย์จึงเป็นบุคคลผ้ชู ่วยเกอ้ื กลู การเติบโตของความคดิ สรา้ งสรรค์ โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ ในช่วง 6 ปแี รกของชีวิต เป็น ระยะเดก็ มจี ินตนาการสูง ศักยภาพด้านความคดิ สร้างสรรค์กาลังพฒั นา ถ้าในชว่ งน้ีเดก็ ไดร้ ับประสบการณ์ทเี่ หมาะสม ย่อมเปน็ การเริ่มตน้ วางรากฐานท่ีมนั่ คงสาหรบั การพัฒนาความคดิ สรา้ งสรรค์ในวัยตอ่ มา 2. สภาพแวดลอ้ มแดละสังคม นอกจากบรรยากาศในครอบครัวและโรงเรยี นแลว้ บรรยากาศโดยท่วั ไปในสังคม มสี ว่ นเก้อื กลู และลดทอนความคิดสรา้ งสรรค์ได้เชน่ กนั จากการศึกษาเกย่ี วกบั สภาพแวดล้อมที่ส่งผลต่อความคดิ สร้างสรรค์ พบวา่ สภาพแวดล้อมทส่ี ง่ เสริมความคิดสร้างสรรคไ์ ด้แก่ สภาพแวดลอ้ มท่บี ุคคลที่บคุ คลรู้สึกปลดอภัยและมี อิสระทางความคดิ มีความรู้สึกวา่ ตนเองมคี ณุ ค่าและได้รับการยอมรบั รวมทัง้ มีเสรภี าพในการคิดและการแสดงออก

ปัจจยั ทสี่ ง่ ผลตอ่ ความคดิ สรา้ งสรรค ์ 3. ลักษณะนสิ ยั ทพี่ งึ ปรารถนาของบคุ คลผูท้ คี่ วามคิดสรา้ งสรรค์ คือ - จิตนาการ (Imagination) อลั เบริ ต์ อัลสไตน์ กลา่ ววา่ จติ นาการนั้นมคี ่ายิ่งกว่าความรู้ เพราะ ความรู้มนุษยม์ ขี อบเขตจากดั แต่ทว่าจนิ ตนาการกวา้ งไกลไร้ขอบเขต ดังนน้ั ความคดิ สรา้ งสรรค์ จาเปน็ ต้องใชจ้ ติ นาการในสว่ นของการรเิ รมิ่ เป็นอยา่ งมาก รวมถงึ ความสามารถในการเชื่อมโยง ความสัมพนั ธ์ ความชา่ งสังเกต ความสนใจ และความตง้ั ใจจริง - แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธ์ิ แรงบนั ดาลใจ ความพยายามอยา่ งจริงจัง มุ่งม่ันจนประสบความสาเรจ็ รวมถึง ทศั นคติอันประกอบด้วยความคิดเห็นและอารมณ์ การมองโลกในแง่ดี ซงึ่ จะมีผลต่อการแสดง พฤตกิ รรมการตดั สินใจตา่ ง ๆ

ปัจจยั ทสี่ ง่ ผลตอ่ ความคดิ สรา้ งสรรค ์ -2. ปัจจยั ทางด้านลบ 1. อปุ สรรคเชงิ รบั รู้ตามหลักการทางจติ วิทยา เมอ่ื มีขอ้ มูลหรอื ประสบการณใ์ หมผ่ ่านเข้ามาสกู่ ระบวนการรบั รู้ มนษุ ย์ จะเลือกรบั รู้เฉพาะส่วนที่ตนสนใจ ชอบ พอใจ รวมทั้งสอดคล้องกบั ประสบการณแ์ ละความร้เู ดมิ ซงึ่ ความละเอยี ด และความเคยชิน เป็นอปุ สรรคสาคัญประการหนง่ึ ของการรับรู้ เป็นกับดกั ทางความคดิ ทาให้มนุษยต์ ิดกบั วิธีเดมิ ๆ ขาดความคดิ สร้างสรรค์ 2. อุปสรรคเชิงอารมณ์ อารมณม์ ีส่วนสมั พันธ์กบั บุคลิกภาพลกั ษณะนิสัย อารมณก์ ลัวเป็นอุปสรรคครอบคลมุ การ แสดหลายอยา่ ง เช่น กลวั ความผิด กลัวลม้ เหลว กลัวถูกตาหนิติเตียน กลัวถกู กล่าวหา กลัวถูกหวั เราะเยาะ เป็นต้น อารมณก์ ลัวทาใหม้ นุษยไ์ มก่ ล้าที่จะคิดรเิ รม่ิ หากแต่ความคดิ สร้างสรรค์ต้องอาศยั การรเิ ร่ิม ถ้ากลัวที่จะเร่มิ ไมก่ ล้าที่ จะลองผดิ ลองถูก ก็จะทาให้ประสบความสาเรจ็ ไดย้ าก นอกจากนน้ั ความอายไม่กล้าแสดงออก การมองโลกในแง่รา้ ย ท้อแท้ไม่มน่ั ใจก็สง่ ปลกระทบให้เกดิ ข้อบกพรอ่ งในความคิดสร้างสรรค์

ปัจจยั ทสี่ ง่ ผลตอ่ ความคดิ สรา้ งสรรค ์ - 2. ปจั จยั ทางด้านลบ 3. อปุ สรรคเชิงสภาพแวดล้อม สภาพแวดล้อมเป็นสิ่งท่เี ปลีย่ นแปลงได้ยาก ไดแ้ ก่ ขนบธรรมเนยี ม ประเพณี สงั คม วัฒนธรรม รวมถงึ ส่ิงแวดลอ้ มตา่ งๆ ตวั อยา่ งของอุปสรรคเร่ืองสภาพแวดลอ้ มท่มี ผี ลด้านลบตอ่ ความคิดสรา้ งสรรค์ ไดแ้ ก่ ธรรมเนียมการไมช่ อบใหเ้ ด็กซักถามโดยมักอา้ งวา่ เปน็ เร่อื งของผู้ใหญ่ ธรรมเนียม ของการลอกเลียนแบบ ชอบคดิ ตามกันทาสง่ิ ที่เหมอื นๆกนั วฒั นธรรมของสังคมทจ่ี ะใหค้ า่ นิยมกบั ความสาเรจ็ และประนามความล้มเหลวรวมถึงบรรยากาศที่เครง่ ครัด เอาจรงิ เอาจังมากเกินไป เป็นตน้

เทเลอ ์ร (Tayler.1964) ผลผลติ ของความคดิ สรา้ งสรรค ์ ลักษณะของผลผลิตของความคิดสร้างสรรค์นั้นเป็นโครงสร้างหรือรูปแบบของความคิดท่ี ได้แสดงกลุ่มความหมายใหม่ออกมามาและเป็นอิสระต่อความหมายของความคิดหนึ่งท่ีเกิดขึ้นมา ก่อนหนา้ น้ัน โดยอาจเปน็ ความคิดหรอื ส่ิงของทผ่ี ลติ ข้ึนท่เี ปน็ ได้ทง้ั รปู ธรรมและนามธรรม สาหรับคุณภาพของผลผลิตความคิดสร้างสรรค์ เทเลอร์ (Tayler.1964)ได้ให้ข้อคิด เกี่ยวกับความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ว่าไม่จาเป็นต้องเป็นข้ันสุดยอดหรือการค้นคว้าประดิษฐ์สิ่ง ใหมๆ่ ขน้ึ มาเสมอไป แตผ่ ลของความคดิ สรา้ งสรรคอ์ าจอยู่ในขน้ั ใดข้ันหน่งึ ใน 6 ขน้ั ตอน ต่อไปน้ี 1. ข้ันการแสดงออกอย่างอสิ ระ ทอ่ี าจไม่จาเป็นต้องอาศัยความคิดสร้างสรรค์หรือทักษะขั้นสูงแต่ อย่างใด เพียงแค่กล้าที่จะแสดงออกอย่างอิสระ เช่น การแสดงความคิดเห็น ความรู้สึกของ ตนเองออกมาโดยไม่มีใครมากาหนด เด็กสามารถวาดภาพได้อย่างใจชอบได้โดยไม่มีใครเป็นผู้ กาหนดใหเ้ ปน็ ตน้

เทเลอ ์ร (Tayler.1964) ผลผลติ ของความคดิ สรา้ งสรรค ์ 2. ขนั้ ผลติ งานออกมา โดยทง่ี านนน้ั อาศยั เพยี งทักษะบางประการเท่าน้ัน แตไ่ มจ่ าเป็นต้องเป็น สง่ิ ใหม่ 3. ขั้นสร้างสรรค์ เปน็ ขนั้ ท่ีแสดงความคดิ ใหม่ของบุคคล โดยไม่ได้ลอกเลยี นแบบความคดิ จาก ใคร ถงึ แมง้ านนนั้ จะมคี นอื่นไว้แลว้ ก็ตาม 4. ขั้นประดิษฐ์อยา่ งสรรค์สรรค์ เปน็ ขน้ั ทส่ี ามารถประดิษฐ์สง่ิ ใหมข่ ึ้นโดยไมซ่ ้าของใคร 5. ขน้ั พัฒนาผลงานจากขนั้ ที่ 4 น้นั คือ การนาสิ่งประดษิ ฐ์มาพฒั นาใหม้ ปี ระสทิ ธภิ าพมาก ย่ิงขนึ้ 6. ขั้นความคิดสร้างสรรค์สดุ ยอด สามารถคดิ ในส่ิงทีเ่ ปน็ นามธรรมขั้นสูงได้ เชน่ อลั เบิร์ต ไอนส์ ไตน์ คิดค้นทฤษฎีสัมพันธภาพ ชาร์ล ดารว์ นิ คิดค้นทฤษฎกี ารวิวฒั นาการ เปน็ ตน้

ประโยชนข์ องความคดิ สรา้ งสรรค ์ ถ้าหากมนุษย์ไม่มีความคิดสร้างสรรค์ต้องดาเนินชีวิตอย่างซ้าซากจาเจ และมีความ แตกต่างจากสงิ่ มชี ีวิตอืน่ ประโยชน์ของความคิดสรา้ งสรรค์มีมากมายไม่สามารถบรรยาย แต่จะขอ ยกมากลา่ วโดยย่อดงั ต่อไปน้ี 1. ประโยชน์ของความคิดสร้างสรรค์ต่อมวลมนุษยชาติ การประดิษฐ์ภาษาแสดงถึงความมี อัจฉรยิ ภาพในการคิดริเริ่มสร้างสรรค์ท่ีน่ายกย่องประการหนึ่งของมนุษย์ นอกจากนี้การคิดค้น ทางวิทยาศาสตร์ก็ช่วยให้มนุษย์มีชีวิตท่ีสะดวกสลาย ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ เช่น การคิดค้น และผลิตยาปฏิชีวนะ การผลิตวัคซีนป้องกันโรคต่างๆ การไขปริศนาพันธุกรรมของส่ิงมีชีวิต การตดั แต่งยีนสข์ องสงิ่ มชี ีวติ เพื่อพฒั นาพันธกุ รรมตา่ งๆ เหลา่ นเ้ี ปน็ ต้น

ประโยชนข์ องความคดิ สรา้ งสรรค ์ 2. ประโยชนต์ ่อปจั เจกบคุ คล เน่ืองจากบคุ คลเป็นแหล่งกาเนดิ ของความคิดสร้างสรรคใ์ น ขณะเดยี วกันความคดิ สร้างสรรค์กส็ ง่ ผลตอ่ ความสขุ ความสาเรจ็ ของบุคคล เช่นกนั เชน่ 2.1 ก่อให้เกดิ ความสนุก การพยายามใชค้ วามคดิ สรา้ งสรรคค์ ดิ เรอ่ื งตา่ งๆ ย่งิ คิดกจ็ ะยิ่ง เพ่มิ ความสนุกสนานในการแสวงหาชองทางหรอื คาตอบท่แี ปลกใหม่ ให้แกต่ นเอง 2.2 สรา้ งความเชอื่ ม่นั ความนบั ถอื และความพอใจในตัวเอง ทาลายความวอตกกังวล ของจิตใจ เนอื่ งจากความคดิ สร้างสรรค์ทาให้เรากล้าเผชิญกบั ปัญหาตา่ งๆ ท่เี กดิ ขนึ้ ทงั้ ใน ชีวติ ประจาวันและสังคมได้อย่างกล้าหาญ 2.3 ทาให้ผคู้ ดิ มีใจทีเ่ ปิดกวา้ งในการยอมรบั ความคดิ ของตวั เองและผ้อู ่ืน



งานทมี่ อบหมาย ภาควิชาเทคโนโลยีไฟ ้ฟา วิทยาลัยเทค ินค ัปตตา ีน ◦ ใหน้ ักศกึ ษาสรา้ งตารางเปรยี บเทยี บ กระบวนการคดิ สรา้ งสรรค ์ ระหวา่ งแนวคดิ ของ วอลลาซ (Wallach,1962) และ ทอแรนซ ์(Terrance,1965) พร้อมการบรรยายวจิ ารณ์ ◦ใหน้ กั ศกึ ษาสร้างตารางเปรียบเทียบ ปจั จัยทส่ี ง่ ผลต่อความคิดสรา้ งสรรค์ระหวา่ งทางด้านบวกและทาง ลบพรอ้ มการบรรยายวจิ ารณ์ ◦ให้นกั ศึกษาสรา้ งแผนผงั คณุ ภาพของผลผลติ ความคดิ สรา้ งสรรค์ ตามแนวคดิ เทเลอร์ (Tayler.1964)


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook