Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ร่างกายมนุษย์ BY ToTo

ร่างกายมนุษย์ BY ToTo

Published by toto2543.com43, 2022-06-21 05:22:06

Description: ร่างกายมนุษย์ BY ToTo

Search

Read the Text Version

หนว่ ยท่ี

ระบบหมุนเวยี นเลอื ด ระบบหายใจ ระบบขับถา่ ย ระบบประสาท ระบบสบื พนั ธุ์

ภาพการวิง่ ออกกาลัง มนุษย์สามารถดารงชีวิตอยู่ได้อย่างปกติ สุข ด้วยการทางานของระบบอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายที่ทางานประสานกันเช่นกัน เช่น สมองจะสั่งงานให้กล้ามเน้ือบริเวณ ต่าง ๆ ทางาน หัวใจจะเต้นแรงและเร็ว หายใจลึก และถ่ีข้ึน อุณหภูมิของร่างกายสูงขึ้นและมี เหงือ่ ออก ดงั นัน้ การวงิ่ จงึ เก่ยี วกับการทางานร่วมกนั ของระบบประสาท ระบบโครงสร้างกระดูก ระบบกล้ามเนื้อ ระบบหมุนเวียนเลอื ด ระบบหายใจ ระบบขับถ่าย และระบบอน่ื ๆ การดูแล สขุ ภาพและการออกกาลังกายเป็นประจาจะส่งผลดีต่ออวยั วะในระบบตา่ ง ๆ ของรา่ งกาย

บรรยายโครงสร้างและหน้าท่ีของ ระบอุ วัยวะและบรรยายหน้าท่ขี อง ตะหนักถงึ การเปลีย่ นแปลงของ หัวใจ หลอดเลือดและเลือด อวัยวะในระบบขบั ถา่ ย รา่ งกายเมอ่ื เข้าสู่วยั หนุม่ สาว โดย อธิบายการทางานของระบบ หมุนเวียนเลอื ดโดยใชแ้ บบจาลอง ระบุอวยั วะและบรรยายหนา้ ทข่ี องอวยั วะ การดแู ลร่างกายและจิตใจของ ในระบบประสาทส่วนกลางในการควบคมุ ตนเองในช่วงทมี่ กี ารเปลยี่ นแปลง ออกแบบการทดลองและทดลองใน การเปรยี บเทยี บอัตราการเตน้ ของ การทางานตา่ งๆของรา่ งกาย อธบิ ายการตกไข่ การมปี ระจาเดอื น หัวใจขณะปกติและหลังทากจิ กรรม ตระหนกั ถงึ ความสาคญั ของระบบ การปฏสิ นธิ และการพฒั นาของไซ ระบุอวยั วะและบรรยายหน้าท่ีของ อวยั วะท่ีเกีย่ วขอ้ งในระบบหายใจ หมุนเวยี นเลอื ด ระบบหายใจ ระบบขบั ถ่าย โกตจนคลอดเป็ นทารก อธบิ ายกลไกการายใจเขา้ ออกโดยใช้ ระบบประสาท โดยการบอกแนวทางและ เลือกวธิ ีการคุมกาเนิดท่เี หมาะสม แบบจาลอง รวมทั้งอธบิ าย ปฏบิ ตั ติ นในการดูแลรกั ษา กับสถานการณท์ ่กี าหนด กระบวนการแลกเปลย่ี นแกส๊ ระบุอวยั วะและบรรยายหนา้ ทข่ี อง ตระหนกั ถงึ ผลกระทบของการตงั้ ครรภ ์ อวยั วะในระบบสบื พนั ธขุ ์ องเพศชาย และเพศหญงิ โดยใชแ้ บบจาลอง กอ่ นวยั อนั ควร โดยการประพฤตติ นให้ อธบิ ายผลของฮอรโ์ มนเพศชายและเพศ เหมาะสม หญงิ ทค่ี วบคุมการเปลยี่ นแปลงของ รา่ งกายเมอ่ื เขา้ สู่วยั หนุ่มสาว



คาสาคัญ ระบบหมุนเวียนเลอื ด หัวใจ หลอดเลอื ด อัตราการเต้นของหวั ใจ ความดันเลอื ด

ระบบหมุนเวยี น ทางดว่ นทีม่ ีถนนเชอ่ื มโยงหลายสาย หลอดเลือดในรา่ งกายมนษุ ย์ ระบบขนส่งในเมืองใหญ่มถี นนเชื่อมโยงไขวก้ ันมากมายหลายสาย บนถนนมีรถวิ่งขวักไขว่ ไปมาเป็นจานวนมาก รถบางคันขนส่งสินค้าและอาหารไปยังร้านค้า บ้านเรือน ชุมชนต่าง ๆ เพื่อใช้ในการดารงชีพ จึงมีขยะและส่ิงปฏิกูลเกิดข้ึนในบ้านเรือนและชุมชน ซ่ึงจาเป็นต้อง ขนส่งเพ่ือนาไปกาจัดทิ้ง เช่นเดียวกับระบบหมุนเวียนเลือดในร่างกายของมนุษย์ ซึ่งทาหน้า คล้ายกับระบบขนส่งท่ีมีการลาเลียงสารอาหารและแก๊สออกซิเจนไปยังเซลล์ต่าง ๆ และนา ของเสีย เช่น แกส๊ คารบ์ อนไดออกไซด์ ยเู รียไปกาจัดออกนอกร่างกาย

นักเรียนได้เรียนรู้เกี่ยวกับการย่อยอาหารมาแล้วว่าอาหาร จะถกู ยอ่ ยจนมนี าดเลก็ และถูกดดู ซมึ เขา้ สกู่ ระแสเลือดท่ีบริเวณ ผนังลาไส้เล็ก จากนั้นระบบหมุนเวียนเลือดจะทาหน้าท่ีในการ ลาเลียงสารอาหารเหล่านไี้ ปยงั ส่วนตา่ ง ๆ ของร่างกาย ระบบหมุนเวียนเลือดของมนุษย์ประกอบด้วยหัวใจ หลอด เลือด และเลือดอยู่ภายในหลอดเลือด ดังภาพ 3.2โดยเลือดจะ ทาหน้าท่ีลาเลียงสารอาหาร แก๊ส ของเสีย และสารอาหาร อนื่ ๆ ไปยงั อวัยวะตา่ ง ๆ ของร่างกาย ภาพ 3.2 ระบบหมุนเวียนเลือดของมนษุ ย์

ร่างกายของมนุษย์ที่โตเต็มวัยมเี ลอื ดอยปู่ ระมาณ 5-6 ลติ ร คิดเปน็ รอ้ ยละ 7-8 ของนา้ หนักตวั เลือด (blood) เป็นของเหลวสีแดง เมื่อสังเกตด้วยตาจะดู เหมือนว่าเป็นเน้ือเดียวกัน แต่ถ้านาเลือดมาป่ันแยก ให้ตกตะกอน จะพบว่าแยกเป็นช้ัน ๆ ดังภาพ 3.3 โดยช้ันบนเป็นของเหลวใส ได้แก่ พลาสมา (plasma)มีอยู่ประมาณร้อยละ 55 ของเลือด ส่วน ชั้นล่างประกอบด้วย เซลล์เม็ดเลือดแดง (red blood cell)เซลล์เม็ด เลือดขาว (white blood cell)และเกล็ดเลือด(platelet)อยู่รวมกัน ประมาณรอ้ ยละ 45 ของเลอื ด พลาสมาประกอบดว้ ยนา้ และสารหลายชนิด เช่น โปรตนี ที่เก่ียวข้องกบั การแขง็ ตวั ของ เลือดแอนติบอดี สารอาหาร ฮอรโ์ มน ยูเรีย แก๊สคาร์บอนไดออกไซดท์ ี่อยู่ในรปู ไฮโดรเจน คาร์บอเน็ตไอออน (HCO- 3)

เซลล์เม็ดเลอื ดแดงและเซลล์เมด็ เลอื ดขาวเปน็ เซลล์ท่พี บอยใู่ นเลือด โดยจะพบเซลล์เม็ดเลือด แดงเปน็ สว่ น เซลลเ์ ม็ดเลือดแดงมรี ปู ร่างกลม แบน ขนาดเล็ก ตรงกลางเว้า เขา้ หากนั ทั้งสองด้าน และไม่มีนิวเคลียส ส่วนเซลลเ์ ม็ดเลือดขาวเป็นเซลล์ท่มี ขี นาดใหญแ่ ละมีนวิ เคลยี สทม่ี รี ปู ร่างต่าง ๆ ดังภาพ ภาพลกั ษณะของเซลล์เม็ดเลอื ดแดงและเซลล์เม็ดเลอื ดขาว

เลือดในรา่ งกายจะมีเซลล์เม็ดเลือดแดงอยู่เป็นจานวน มาก ประมาณ 5-6 ล้านเซลล์ต่อเลือด 1 ลูกบาศก์มิลลิเมตร เซลล์เม็ดเลือดแดงจะสร้างจากไขกระดูก โดยเซลล์ท่ีเกิดข้ึน ใหม่จะมีนิวเคลียสแต่เม่ือเจริญเต็มท่ีนิวเคลียสจะสลายไปก่อน ปล่อยเข้าสู่กระแสเลือด ในเซลล์เม็ดเลือดแดงมีเฮโมโกบินซึ่ง เป็นโปรีตีนท่ีมีธาตุเหล็กเป็นองค์ประกอบ โดยเฮโมโกบิน สามารถจับกับแก๊สออกซิเจน ทาให้เซลล์เม็ดเลือดแดงลาเลียง แก๊สออกซิเจนไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้ เซลล์เม็ดเลือด แดงมีอายุประมาณ 100-120 วัน และจะถูกทาลายท่ีตับและ ม้าม โดยไขกระดูกจะสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดงขึ้นมาใหม่ เป็น การทดแทนไปเรอื่ ย ๆ

เซลลเ์ ม็ดเลอื ดขาว ทาหนา้ ทเ่ี ปน็ หนว่ ยป้องกันทีส่ าคัญของร่างกาย สรา้ งจากไข กระดูกเช่นเดียวกับเซลล์เม็ดเลือดเป็นเซลล์ มีมีนิวเคลียสอยู่ ตลอดชีวิตของเซลล์ มีหลายชนิดและมีลักษณะแตกต่างกัน บาง ชนิดทาหน้าที่จับและทาลายเช้ือโรคและสิ่งแปลกปลอมท่ีเข้าสู่ ร่างกาย บางชนิดทาหน้าที่สร้างแอนติบอดีซึ่งเป็นสารประเภท โปรตีน ทาให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันต่อโรคและส่ิงแปลกปลอมท่ีเข้าสู่ ร่างกาย เซลล์เม็ดเลือดขาวมีจานวนน้อยกว่าเซลล์เม็ดเลือดแดง มากโดยปกติร่างกายจะมีจานวนเซลล์เม็ดเลือดขาวอยู่ประมาณ 5,000-11,000 เซลล์ในเลือด 1 ลูกบาศก์มิลลิเมตร แต่เมื่อมีสิ่ง แปลกปลอมท่ีทาให้เกิดโรคในร่างกาย เซลล์เม็ดเลือดขาวจะเพิ่ม จานวนข้ึน เซลล์เม็ดเลือดขาวส่วนใหญ่จะมีอายุสั้นกว่าเซลล์เม็ด เลอื ดแดงโดยบางชนิดมีอายุเพยี งไม่กี่วันแลว้ จะตายไป

เพราะเหตใุ ดผูท้ ส่ี ูญเสยี เลือดไปกบั การให้เลือดหรอื การ บรจิ าคเลอื ดจึงไม่เป็นอนั ตรายตอ่ ร่างกาย

To DเoพLรisาtะรา่ งกายจะสูญเสียเลอื ดไปปรมิ าณ 350-450 cc และ ไขกระดกู จะสรา้ งเซลลเ์ ม็ดเลอื ดแดงและเกลด็ เลอื ดขน้ึ มาใหม่ มาทดแทน

หลงั จากบรจิ าคเลือด เพราะเหตใุ ดแพทย์จึง แนะนาให้รับประทานอาหารทม่ี ีธาตเุ หลก็ เปน็ สว่ นประกอบหรอื ใหย้ าเสรมิ ธาตุเหล็ก

ToเพDoรLาisะtธาตเุ หลก็ เป็นส่วนประกอบของเฮโมโกบนิ ของเซลลเ์ มด็ เลือดแดงและจาเปน็ ตอ่ การสร้างเซลล์ เมด็ เลือดแดง

ในการตรวจเลอื ด บางครง้ั แพทย์จะตรวจนบั จานวนเซลล์เม็ดเลอื ด การตรวจนบั จานวนเซลล์ เมด็ เลือดมีความสาคัญตอ่ การวนิ จิ ฉัยโรคอย่างไร

To DoกาLรisตt รวจนับจานวนเซลล์เม็ดเลือดเป็นการวินิจฉัยโรคอย่างกว้าง ๆ เกี่ยวกับสุขภาพของร่างกาย โดยสังเกตจากจานวนเซลล์ที่นับได้มีมากหรือ น้อย เช่นถ้าจานวนเซลล์เม็ดเลือดแดงน้อย จะทาให้ร่างกายซีดหรือเป็น โรคโลหิตจาง ส่วนการตรวจนับจานวนเซลล์เม็ดเลือดขาวบางชนิดที่มี มากกว่าปกติแสดงว่าอาจกาลังป่วยหรือเป็นไข้หรือมีการอักเสบในบริเวณ ใดบรเิ วณหนึ่ง เพราะรา่ งกายกาลงั สรา้ งเซลล์เม็ดเลอื ดขาวตอ่ สูก้ บั เชื้อโรค

นอกจากเซลล์เม็ดเลือดแล้วยังมี ซ่ึงเป็นชิ้นส่วนของเซลล์ชนิดหนึ่งท่ีสร้างขึ้นในไขกระดูก เกลด็ เลือดไม่มีนิวเคลียสและมีรูปร่างไม่แน่นอน ดังภาพ มีหน้าท่ีช่วยในการแข็งตัวของเลือด ทาให้เลือดหยุดไหล เม่ือมีบาดแผลในเลือด 1 ลูกบาศก์มิลลิเมตรจะมีเกล็ด เลือดประมาณ 200,000-500,000 เกล็ด เกล็ดเลือดมี อายุประมาณ 10 วัน จากนั้นจะถูกทาลายท่ีตับและม้าม

บุคคลท่มี จี านวนเกล็ดเลือดตา่ กว่าปกตมิ าก ๆ จะ สง่ ผลตอ่ ร่างกายอย่างไร

To Do List บุคคลท่ีมีจานวนเกล็ดเลือดต่ากว่าปกติมาก ๆ จะทา ใหเ้ ลอื ดแขง็ ตวั ช้ากวา่ ปกติ

หมู่เลือด ABO แบ่งออกเป็นหม่ไู ด้ 4 หมู่ดว้ ยกนั ไดแ้ ก่ เลือดหมู่ A,B,AB และ O โดยบคุ คล จะมีเลือดหมู่ใดนั้นขึ้นอยู่กับแอนติเจน ซ่ึงเป็นโปรตีนชนิดหน่ึงอยู่บนผิวของเซลล์เม็ดเลือดแดง เช่น ผู้ที่มีเลือดหมู่ A จะมีแอนติเจน A และมีแอนติบอดี B ผู้ที่มีเลือดหมู่ B จะมีแอนติเจน B และแอนติบอดี A ดงั ตาราง เลือดหมู่ ชนดิ ของแอนตเิ จนบนผวิ เซลลเ์ มด็ เลือดแดง ชนิดของแอนตบิ อดีในพลาสมา A แอนติเจน A แอนตบิ อดี B B แอนตเิ จน B แอนตบิ อดี A AB แอนตเิ จน Aและแอนติเจน B ไม่มี O ไมม่ ี แอนตบิ อดี A แอนติบอดี B หลักการให้เลือด การให้เลือดและปลอดภัยเม่ือผู้รับและผู้ให้มีหมู่เลือดท่ีเข้ากันได้ โดยผู้รับ ตอ้ งมีแอนติบอดี ไมต่ รงกับแอนติเจนของผใู้ ห้ เพราะถา้ แอนติเจนกับแอนตบิ อดตี รงกัน จะเกิดปฏิกิริยา ระหวา่ งแอนติเจนและแอนตบิ อดี ทาใหเ้ ลอื ดจับกลับกนั ตกตะกอน และอาจเกดิ อนั ตรายถึงชวี ติ ได้

โดยปกติการให้เลือดจะให้กบั ผ้ทู ม่ี ีเลอื ดหมู่เดียวกันแต่ถ้าไม่สามารถหาเลือดหมู่เดียวกนั ได้ กส็ ามารถให้เลือดหมู่ท่ีตา่ งกนั ได้ A ผใู้ หท้ ี่มีเลอื ดหมู่ O A B AB B AB = เขา้ กันได้ O = เข้ากันไมไ่ ด้ ผทู้ ่ีมีเลือดหมู่ O สามารถให้เลอื ดกบั ผทู้ ี่มเี ลอื ดหมู่ A,B,AB และ O ผทู้ ่ีมเี ลอื ดหมู่ AB สามารถรับเลอื ดกับผูท้ ม่ี ีเลอื ดหมู่ A,B,AB และ O

เลอื ดไหลเวยี นอยู่ภายในหลอดเลอื ด (blood vessel)ซง่ึ ถ้าสังเกตผวิ หนงั บริเวณ ต่าง ๆ ของร่างกาย จะเห็นหลอดเลอื ดกระจายอยทู่ ่ัวไปในบรเิ วณตา่ ง ๆ เชน่ แขน ขา ลาตัว ดงั ภาพ

หลอดเลอื ดแบ่งออกเป็น 3 ชนดิ ได้แก่ หลอดเลอื ดอารท์ อรี (arterial blood vessel) หลอดเลือดเวน (venous blood vessel) และหลอดเลือดฝอย (capillary) หลอดเลอื ด แตล่ ะชนิดจะมีหน้าท่แี ตกต่างกัน ดงั ภาพ

หลอดเลือดอาร์เทอรี เป็นหลอดเลือดทท่ี าหน้าทน่ี าเลือดออกจากหวั ใจ โดยการบีบ ตัวของหัวใจเพ่ือนาเลือดไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ทาหน้าที่นาเลือดจาก ส่วนต่าง ๆ ของร่างกายกลับเข้าสู่หัวใจ ส่วน เป็นหลอดเลือดท่ีแตกแขนงเป็น ร่างแหแทรกไปตามเนอ้ื เยือ่ ของรา่ งกาย และเชื่อมต่อระหว่างอาร์เทอรีขนาดเล็กกับเวนขนาดเล็ก หลอดเลอื ดฝอยเปน็ บรเิ วณที่มีการแลกเปลยี่ นแกส๊ และสารกบั เซลลข์ องร่างกาย

หลอดเลือดอาร์เทอรีเป็นหลอดเลือดท่ีมีผนังหนา เพราะประกอบด้วยเนื้อเย่ือหลายช้ัน จึงยืดหยุ่นได้ดี สามารถขยายตัวเพื่อรับแรงจากเลือดที่เกิดจากการบีบตัวของหัวใจได้ดี ส่วน หลอดเลอื ดเวนจะมผี นงั บางกว่าและมีความยืดหยุ่นน้อยกว่าในการไหลเวียนของเลือด ภายในหลอด เลือดเวนเพื่อกลับเข้าสู่หัวใจน้ัน อาศัยการหดและคลายตัวของกล้ามเน้ือของร่างกายบริเวณรอบ ๆ หลอดเลือดและลิ้นกน้ั ทอี่ ย่ภู ายในหลอดเลอื ดซง่ึ จะทาหนา้ ทีค่ วบคุมการไหลของเลือดไปในทศิ ทางเดียว ดังน้ัน ความดันของเลือดในหลอดเลือดเวนจึงน้อยกว่าในหลอดเลือดอาร์เทอรีมาก หลอดเลือดที่อยู่ ใกล้ผิวหนังและมองเห็นได้อย่างชัดเจนเป็นหลอดเลือดเวน ส่วนหลอดเลือดอาร์เทอรีมักพบอยู่ใต้ ผวิ หนังทล่ี กึ ลงไป ส่วนหลอดเลือดฝอยนั้นจะมีขนาดเล็กมากและมีผนังบาง ประกอบด้วยเซลล์เพียง ช้ันเดียว ซ่ึงผนังหลอดเลือดฝอยเป็นบริเวณที่มีการแลกเปล่ียนแก๊สและสารต่าง ๆ ระหว่างเลือดกับ เซลล์ หลอดเลอื ดอารเ์ ทอรี หลอดเลอื ดเวน หลอดเลือดฝอย

ในการบรจิ าคเลอื ด แพทย์จะเจาะเลือดจาก หลอดเลือดชนิดใด เพราะเหตใุ ด

To Do Lisกt ารเจาะจากเสน้ เลอื ดดาเพราะจะเหน็ เสน้ เลอื ด จะชดั กวา่ เส้นอนื่ เจาะง่ายกว่า

หลอดเลือดอาร์เทอรีจะลาเลยี งเลอื ดไปยงั สว่ นตา่ ง ๆ ของร่างกายโดยการทางานของ หวั ใจ (heart) ซึง่ มกี ารบีบและคลายตวั เป็นจงั หวะตลอดเวลา เพือ่ ทาหน้าทีส่ ูบฉีดเลอื ดไปตาม หลอดเลือด หัวใจจงึ เป็นอวยั วะทที่ างานหนกั มาก ภาพโครงสรา้ งของหวั ใจผา่ ตามยาว

หัวใจมนษุ ยม์ ี 4 หอ้ ง ได้แก่ หวั ใจห้องบน 2 หอ้ ง และหัวใจห้องลา่ ง 2 ห้อง หอ้ งบนมีหนา้ ท่ีรบั เลอื ด หอ้ งลา่ งมหี น้าที่ส่งเลือด ระหว่างหวั ใจหอ้ งบนและหัวใจห้องล่างมีล้ินหัวใจกั้นเพ่อื ป้องกันเลอื ดไหลยอ้ นกลบั ภาพโครงสรา้ งของหวั ใจผา่ ตามยาว

หัวใจห้องล่างซ้ายจะสูบฉีดเลือดที่มีแก๊สออกซิเจนสูงออกจากหัวใจทางหลอดเลือดอาร์เทอรี ขนาดใหญห่ รอื ตอ่ จากน้นั เลอื ดจะไหลไปตามหลอดเลือดอาร์เทอรีและหลอดเลือด ฝอย เพ่ือลาเลียงแก๊สออกซิเจนและสารต่างไปยังเซลล์ท่ัวร่างกายขณะเดียวกันของเสียต่าง ๆ จาก เซลล์ เช่น แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ ยูเรีย จะแพร่เข้ามายังหลอดเลือดฝอย จากน้ันเลือดในหลอด เลอื ดฝอยจะเข้าสูห่ ลอดเลือดเวนและไหลกลบั เข้าสหู่ วั ใจหอ้ งบนขวา

เลือดจากหัวใจห้องบนขวา จะไหลเขา้ ส่หู ัวใจหอ้ งลา่ งขวา ซึง่ จะบีบตวั เพ่ือส่งเลือดท่ี มีแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์สูงไปแลกเปล่ียนแก๊สท่ีปอด เลือดที่มีแก๊สออกซิเจนสูงจากปอดจะ กลับเขา้ สหู่ ัวใจห้องบนซา้ ยทางหลอดเลอื ดเวนทีม่ าจากปอด และไหลลงส่หู วั ใจห้องลา่ งซา้ ย แสดงทศิ ทางการไหลของเลอื ด ภาพหมนุ เวียนเลอื ดจากหัวใจไปยังปอดและส่วนตา่ ง ๆ ของร่างกายและกลับสู่หัวใจ















To Do List





ในขณะที่บีบตวั เพื่อสูบฉีดเลอื ดไปยังส่วนต่าง ๆ ของรา่ งกาย และหัวหัวใจคลายตวั เพ่ือรบั เลอื ด จะทาให้เกิดแรงท่ีเลอื ดกระทาตอ่ ผนงั หลอดเลอื ด เรียกวา่ ความดนั เลอื ด (blood pressure) ซึง่ ประกอบดว้ ยเลข 2 ค่า ค่าแรกเปน็ ความดนั สงู สุดขณะหัวใจบบี ตัวหรือเรยี กว่า ความดันซสี โทลิก หรอื ตวั บน ส่วนคา่ หลงั เป็นความดันขณะทหี่ วั ใจคลายตวั หรือความดนั ไดแอสลิก หรือตวั ลา่ ง เช่น วดั ความดนั เลอื ดได้ 120/80 มิลลิเมตรปรอท หมายความวา่ ความ ดนั ซสี โทลิก คอื 120 มิลลเิ มตรปรอท สว่ นความดนั ไดแอสโทลิกคือ 80 มิลลิเมตรปรอท โดยท่ัวไปผ้ใู หญจ่ ะมคี วามดันเลอื ดปกตปิ ระมาณ 100-140 มิลลเิ มตรปรอทในช่วงหวั ใจบบี ตัว และ 60-90 มลิ ลิเมตรปรอทในช่วงหัวใจคลายตัว ผทู้ ่มี คี วามดนั เลอื ดสูง คือ มีความดันเลอื ด มากกว่าหรอื เทา่ กบั 140/90 มิลลเิ มตรปรอท ความดนั ซีสโทลิก ความดนั ไดแอสโทลิก

หวั ใจเปน็ อวยั วะที่ทางานหนกั และทางานอยตู่ ลอดเวลา ในการนาเลือดไปเลยี้ งเน้ือเยื่อทั่วร่างกาย ซึ่งโรคหัวใจที่พบบ่อย ได้แก่ โรคหัวใจขาดเลือด มีสาเหตุมาจากการตีบตันของหลอด เลอื ดอารเ์ ทอรีท่มี าเลยี้ งหวั ใจทาใหป้ รมิ าณของเลอื ดผา่ นไปเลี้ยง หัวใจได้น้อยถ้าเลือดไปเลี้ยงหัวใจไม่เพียงพอต่อความต้องการ ของหัวใจก็จะทาให้มีอาการเจ็บหน้าอกตามมา และถ้าหลอด เลือดอาร์เทอรตี ีบแคบมากจนอุดตันจะทาให้กล้ามเนื้อหัวใจขาด เลือดไปเล้ียง ส่งผลให้เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายจนเสียชีวิต แบบเฉียบพลันได้ โรคหัวใจยังมีสาเหตุอื่น ๆ อีกได้แก่ ความ ผิดปกติของลิ้นหัวใจ หวั ใจพกิ าร หัวใจเต้นผิดจังหวะ การติดเช้ือ บรเิ วณหวั ใจ เป็นตน้

การควบคุมน้าหนักไม่ให้อ้วนโดยการออกกาลังกายอย่างสม่าเสมอ หลีกเลี้ยง อาหารที่มีไขมันสูงโดยการเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การนอนหลับพักผ่อน อย่างเพียงพอ ไม่สูบบุหร่ี และการรักษาภาวะอารมณ์ให้เป็นปกติ ไม่เครียด จะทาให้ระบบ หมุนเวยี นเลือดทาหน้าที่ปกติ ลดความเส่ยี งของการเป็นโรคหัวใจ

THANK YOU


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook