18 แผนการจัดการเรียนรู้ รายวชิ าวิทยาศาสตร์ รหสั พว21001 จานวน 4 หน่วยกติ แบบ พบกลมุ่ จานวน 40 นาที เรอ่ื ง บทที่ 2 ส่ิงมีชีวิตและส่ิงแวดลอ้ ม เรื่องระบบนิเวศ ตัวชี้วัด ผู้เรียนมีความรู้ ความเข้าใจ ทักษะ และเห็นคุณค่าของส่ิงมีชีวิต ระบบนิเวศ ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ทรัพยากรธรรมชาติ และส่งิ แวดลอ้ ม ขอบข่ายเนอ้ื หา 1. ความสัมพันธร์ ะหว่างสิ่งมชี ีวติ ต่างๆในระบบนเิ วศ 1.1 ความหมายของระบบนเิ วศ 1.2.๑ องคป์ ระกอบทไ่ี ม่มชี วี ิต 1.2.๒ องคป์ ระกอบทมี่ ีชีวิต 1.2.๓ ความหลากหลายของระบบนิเวศ 1.2.๔ ความสมั พนั ธส์ ิง่ มชี วี ิตในระบบนิเวศ ๑) ผู้ผลติ ๒) ผู้บริโภค ๑.๒.๕ สายใยอาหาร (food web) ข้นั ตอนการจัดกระบวนการเรยี นรู้ ข้นั ท่ี 1 การกาหนดสภาพ ปญั หา ความตอ้ งการในการเรยี นรู้ (O : Orientation) 1. ครูกระตุ้นผู้เรยี นนกึ ถึงส่งิ มีชีวติ และสง่ิ แวดล้อมท่ีมีอยูใ่ นระบบนิเวศที่ผู้เรียนพบเจอหรอื มปี ระสบการณ์ ขน้ั ที่ 2 การแสวงหาข้อมูล และจัดการเรยี นรู้ (N : New ways of learning) 1. ครูกบั ผเู้ รียนรว่ มกนั วางแผนการเรียนรูใ้ นเรอื่ ง ความหมายระบบนิเวศ ความสัมพันธ์ของ สิ่งมีชีวติ ตา่ งๆในระบบนิเวศ 2. ครสู นทนากับผู้เรียนเก่ียวกับความสาคญั ระบบนิเวศ องค์ประกอบของระบบนเิ วศ ความสมั พันธส์ งิ่ มชี ีวติ ในระบบนเิ วศ ขน้ั ที่ 3 การปฏบิ ตั ิและนาไปประยกุ ตใ์ ช้ (I : Implementation) 1. แบ่งกลุม่ นกั ศกึ ษาทากจิ กรรมรว่ มกันแลกเปลย่ี นเรยี นรู้ศึกษาใบงาน เรอื่ ง ระบบนเิ วศ 2. ผเู้ รยี นแตล่ ะกลุ่มร่วมกนั สรุปกิจกรรมจากใบความรู้ นาเสนอผลงาน ผู้เรียนรว่ มกนั สรุป ความรทู้ ไี่ ด้รบั ข้ันท่ี 4 การประเมินผล (E : Evaluation) 1. ครแู ละผเู้ รยี นรว่ มกนั สรุปเรอ่ื งระบบนิเวศ ความหมายของระบบนเิ วศ องค์ประกอบระบบ นิเวศ ความหลากหลายของระบบนิเวศ ความสัมพันธ์ของส่ิงมชี วี ติ ในระบบนเิ วศ 2. สังเกตผเู้ รียนจากการตอบคาถามในชน้ั เรียน ใหผ้ เู้ รียนทากจิ กรรมกลุ่มและแบบทดสอบ ย่อย
19 สอ่ื การเรียนรู้ 1. ใบความรู้ 2. ใบงาน ๓. แผนภาพ การวดั และประเมินผล 1. แบบทดสอบก่อนเรียน – หลงั เรยี น 2. ใบงาน และการนาเสนอผลงาน
20 ใบความรทู้ ่ี 1 เรอ่ื ง ชวี ติ กบั สงิ่ แวดลอ้ ม สง่ิ มีชีวติ และสงิ่ ไม่มชี ีวิตในโลก เร่มิ ตน้ มาจากสารทเ่ี ลก็ ท่ีสดุ คือ อะตอม(atom) หลาย ๆ อะตอมทาปฏิกิริยาเคมีกัน หรือมีแรง ยึด ระหว่างอะตอม กลายเป็นโมเลกุล (molecule) โมเลกุลของสาร ต่างๆ รวมกันเป็นสารชีวโมเลกุลเซลล์ หรือออร์แกเนลล์ (organelle) ออร์แกเนลล์ต่าง ๆ ร่วมกันทางานและประกอบกันเป็นเซลล์(cell)ในสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กอาจ มี เพยี งเซลล์เดียว สว่ นสิ่งมชี ีวิตทม่ี ี มากกวา่ เซลล์เดยี วนั้น เซลล์ชนิดเดียวกนั หลาย ๆ เซลล์ ทาหน้าท่ี ร่วมกนั เรียกว่า เนอื้ เย่ือ(tissue) เชน่ เนอ้ื เย่อื กระดูก เนอื้ เยอ่ื หลายชนิดร่วมกนั ทาหนา้ ที่ กลายเปน็ อวยั วะ(organ) เชน่ กระดกู อวยั วะชนดิ เดยี วกนั หลายๆ อัน รว่ มกนั ทาหนา้ ที่ี เร่ียกวา่ ระบบอวัยวะ เชน่ ระบบโครงกระดูก หลายๆระบบรว่ มกนั ทางาน กลายเป็น สง่ิ มีชีวิต(organism) เช่น แมว สุนัข ววั ควาย ไก่ เกง้ ปู ส่งิ มชี ีวิตชนิดเดียวกันอย่รู ่วมกนั กลายเปน็ ครอบครวั (family) หลาย ๆ ครอบครวั อย่รู วมกันในบริเวณ หนึ่ง กลายเปน็ ประชากร(population) การดารงชีวิของสิ่งมีชีวิตการดารงชีวิตชนิดีเดียวกัน จะต้อง มีความสัมพันธ์กับส่ิงมีชีวิตชนิดอื่น เช่น ต้องมีอาหาร มีที่อยู่อาศัย เป็นต้น จึงต้องเกิดกลุ่มสิ่งมีชีวิต(community) ข้ึนเม่ือรวมกลุ่มสิ่งมีชีวิต กับสงิ่ แวดล้อมท่ไี มม่ ชี วี ติ ในบริเวณนน้ั เข้าดว้ ยกนั หลายเปน็ ระบบนิเวศ (ecosystem) 1.ความหมาย ระบบนเิ วศ (Ecosystems) หมายถึง ความสัมพันธ์ของส่ิงมชี ีวติ กับสงิ่ แวดล้อมทเ่ี ป็นแหลง่ ทอ่ี ยู่ อาศยั ณ ท่ีใดทห่ี นึง่ ระบบนเิ วศมีความแตกต่างกันขึน้ อยู่กับลักษณะของส่ิงมีชีวติ และแหลง่ ท่อี ยู่ อาศัยของสิ่งมชี วี ติ ซึง่ จดั เป็นระบบนเิ วศขนาดใหญ่ เรยี กวา่ โลกของสิ่งมีชีวติ ความสมั พันธม์ ี 2 ลักษณะ คือ 1.ความสัมพันธ์ระหว่างส่ิงมชี ีวิตกับสง่ิ ไม่มีชีวิต 2.ความสัมพนั ธ์ระหว่างสิ่งมชี ีวติ กับสิ่งมีชวี ิตด้วยกันเอง โดยมกี ารถา่ ยทอดพลังงานและสารอาหารใน บริเวณนัน้ ๆ สู่สง่ิ แวดลอ้ ม สง่ิ แวดลอ้ มแบง่ ได้ออกเปน็ 2 ประเภท 1. สิง่ แวดล้อมที่ไม่มีชีวิต (Abiotic Environment) หรอื ปัจจัยทางกายภาพ (Physical Factor) ได้แก่ แสงสว่าง อุณหภูมิ น้าและความช้นื กระแส ลม อากาศ ความเคม็ ความเปน็ กรด-เบส แรธ่ าตุ ไฟ แกส๊ 2. สิง่ แวดลอ้ มท่ีมีชีวติ (Biotic Environment) หรอื ปจั จยั ทางชีวภาพ (Biotic Factor)
๒1 2.ประเภทของระบบนิเวศ ระบบนเิ วศมีอยทู่ ุกหนทุกแห่งท่วั โลก มีมากมายหลายระบบ แตล่ ะระบบมีขนาดเล็ก ใหญ่สลบั ซบั ซ้อนแตกต่างกัน โลกของเราจดั เปน็ ระบบนเิ วศท่ใี หญ่ท่ีสุด เรยี กวา่ โลกของสง่ิ มชี วี ิต (biosphere) ซง่ึ เป็นทีร่ วมระบบนิเวศหลากหลายระบบ ส่วนทจ่ี ดั เปน็ ระบบนิเวศเลก็ ๆ เชน่ ทุ่งหญา้ หนองน้า สระน้า ริมร้วั ใตข้ อนไม้ผุ ระบบนเิ วศแบ่งได้เปน็ 2 ระบบใหญ่ ๆ คือ 1. ระบบนเิ วศตามธรรมชาติ ได้แก่ ระบบนิเวศบนบก เช่น ป่าไม้ ทุ่งหญ้า ทะเลทราย ระบบนิเวศแหลง่ นา้ แบง่ เปน็ ระบบนิเวศนา้ จืด เชน่ แม่น้า ลาคลอง หนอง บึง ระบบนิเวศนา้ เคม็ เชน่ ทะเล มหาสมทุ ร ระบบนิเวศน้ากร่อย เชน่ บริเวณปากแม่นา้ 2. ระบบนิเวศท่ีมนษุ ยส์ รา้ งขน้ึ เชน่ ระบบนเิ วศชมุ ชนเมือง แหลง่ เกษตรกรรม นิคมอตุ สาหกรรม หรอื แม้กระทัง่ ตูป้ ลา อา่ งเล้ียงปลา ก็จัดเปน็ ระบบนิเวศทีม่ นุษยส์ ร้างขึน้ 3. โครงสร้างระบบนิเวศ ประกอบด้วย 1.กลมุ่ สิ่งมีชีวติ ( community )หมายถงึ สง่ิ มีชวี ติ ต่างๆที่ยู่รวมกนั ในแหล่งท่ีอยู่ มหี ลากหลายชนิดท้ังพชื สตั ว์ และส่ิงมีชวี ติ ขนาดเล็ก ซึ่งมคี วามแตกตา่ งกันตามชนิดและจานวน 2.แหล่งท่อี ยู่ ( habitat ) หมายถึงบริเวณทอ่ี ยู่อาศยั ของสิ่งมีชีวิต จาแนกได้เปน็ แหล่งท่ีอยใู่ นนา้ ได้แก่ แหล่งนา้ จืด ทะเล มหาสมุทร แหล่งท่ีอยู่บนบก ได้แก่ ท่ีราบลุ่ม ทร่ี าบสงู ทุง่ หญ้า ปา่ ทะเลทราย ดนิ แดนหิมะ 3.สง่ิ แวดล้อม ( Environment)คอื ส่งิ ตา่ งๆท่ีอย่รู อบตัวเราอาจจะเปน็ สง่ิ มีชวี ติ หรอื ไมม่ กี ็ได้ สามารถมองเห็น ไดแ้ ละมองไม่เห็น แบง่ ออกเป็น 3 กลุม่
1.1 ส่งิ แวดล้อมท่มี ชี ีวิต เชน่ พืช สตั ว์ มนุษย์ ๒2 1.2 สง่ิ แวดล้อมที่ไม่มีชีวิต อากาศ ดิน น้า แสงสวา่ ง แร่ธาตุ 1.3 ส่ิงแวดล้อมจากฝมี ือมนุษย์ เช่น อาคารบา้ นเรือน เจดีย์ ตึกหลายชั้น จรวด 4.โครงสร้างของสิ่งมชี ีวติ ภายในระบบนิเวศ สิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศมบี ทบาทและความสาคัญแตกตา่ งกัน ได้แก่ 1.ผู้ผลิต ( producer ) เป็นสงิ่ มชี ีวติ ที่สามารถสรา้ งอาหารไดเ้ องจากการสงั เคราะหด์ ้วยแสง ได้แก่ พชื สีเขียวชนิดต่าง ๆ 2.ผู้บริโภค ( consumer ) เปน็ สิ่งมีชวี ิตท่ีสร้างอาหารเองไม่ได้ ดารงชวี ิตโดยการกินสง่ิ มีชวี ติ อ่นื เป็นอาหาร ได้แก่ - ผู้บรโิ ภคพชื (Herbivore) เช่น กวาง กระต่าย ช้าง ม้า วัว ควาย - ผู้บรโิ ภคสัตว์ (carnivore) เช่น เสอื สงิ โต แมว สุนขั - ผูบ้ ริโภคท้ังพชื และสตั ว์ (omnivore) เชน่ คน นกเป็ดน้า ปลานลิ - ผูบ้ รโิ ภคซากสงิ่ มชี ีวติ ที่ตายแล้ว (scavenger) เช่น นกแรง้ ไสเ้ ดือนดิน 3. ผู้ย่อยสลาย (decomposer) เป็นสิ่งมีชีวิตที่ทาหน้าท่ีเปลี่ยนสารอินทรียืให้กลายเป็นสารอนินทรีย์ ทาหน้าท่ีสลายซากส่ิงมีชีวิตและพวกเศษอินทรีย์ต่างๆ ให้มีขนาดโมเลกุลเล็กลง โดยการส่งเอนไซม์ ออกมา ยอ่ ยแล้วดูดซมึ สารท่ีย่อยไดไ้ ปใช้ประโยชน์ ไดแ้ ก่ พวกเห็ด ราและแบคทีเรียตา่ งๆ 5.ประชากร (population) ประชากร (population) หมายถงึ กลุม่ ของสิ่งมีชวี ติ ทเี่ ป็นชนดิ เดยี วกนั อาศยั อย่ใู นบรเิ วณ เดยี วกนั ในชว่ งเวลาหนง่ึ ซึ่งในแต่ละบรเิ วณจะมจี านวนประชากรท่ีแตกตา่ งกัน ขนาดของประชากร เชน่ ประชากรมนุษย์ ในแหลง่ ท่อี ยู่แตล่ ะแห่งจะมจี านวนกลุม่ สงิ่ มีชีวิต หรอื จานวนประชากรแตกตา่ งกนั ไป การศึกษาขนาด หรอื ลกั ษณะ ความหนาแน่นของประชากรในแหลง่ ทอ่ี ยหู่ นึ่งๆ มีปัจจัยดังภาพ
๒3 การเกิด การตาย 6.ความสัมพันธ์ระหว่างส่ิงมีชวี ิตกบั ปัจจยั ทางชีวภาพ ความสัมพนั ธ์ระหว่างสงิ่ มชี ีวิตด้วยกนั กาหนดด้วยเคร่ืองหมาย ดงั นี้ + คือ การได้ ผลประโยชน์ - คอื การเสยี ผลประโยชน์ 0 คือ การไมไ่ ด้ ไมเ่ สยี ผลประโยชน์ 1.ความสัมพันธร์ ะหว่างสิ่งมีชวี ิตในระบบนิเวศ มี 2 แบบ คือ 1. ความสัมพนั ธร์ ะหว่างสิง่ มชี วี ติ ชนดิ เดยี วกัน ซ่ึงกอ่ ให้เกิดทง้ั ผลดีและผลเสีย ผลดี คอื สรา้ งความเข้มแข็งและความปลอดภยั ในกลมุ่ ผลเสีย คือ แก่งแย่งอาหาร แยง่ ชิงการเปน็ จา่ ฝงู 2. ความสัมพนั ธ์ระหว่างสง่ิ มชี ีวติ ตา่ งชนิดกัน การอยู่รว่ มกันของสงิ่ มชี ีวิตตั้งแต่ 2 ชนดิ ข้นึ ไป ในแหล่งท่อี ยู่เดียวกัน มคี วามสมั พันธห์ ลายรูปแบบ ได้แก่ 1.ภาวะได้ประโยชนร์ ่วมกัน ( protoco-operation +, + ) หมายถงึ สิ่งมชี ีวติ ทั้ง 2 ฝา่ ยตา่ งได้ ประโยชน์ด้วยกันทงั้ คู่ เชน่ ผึง้ กบั ดอกไม้ = ผง้ึ ไดอ้ าหารจากดอกไม้ ส่วนดอกไม้ไดร้ บั การผสมเกสรจากผึ้งทเ่ี ปน็ พาหะให้เพล้ียกับมดดา นกเอีย้ งกบั ควาย ถ้าแยกจากกนั ก็สามารถดารงชีวิตได้ตามปกติ 2.ภาวะพึ่งพากนั ( mutualism ) สงิ่ มชี วี ิตทงั้ 2 ฝ่ายได้ประโยชน์ร่วมกัน แตต่ อ้ งอยู่ร่วมกัน ตลอดเวลา หากแยกกันอยจู่ ะทาใหอ้ ีกฝา่ ย ไมส่ ามารถดารงชวี ติ อยู่ได้ เช่น ไลเคน โพรโทซัวลาไส้ปลวก แบคทเี รยี ในปมรากพืชตระกูลถัว่ 3.ภาวะอิงอาศยั ( commensalism ) สงิ่ มชี วี ิตฝ่ายหน่งึ ไดป้ ระโยชน์อีกฝ่ายหน่ึงไม่ได้ และไม่เสียประโยชน์ แยกกันอยู่ได้ เชน่ เถาวลั ย์เกาะบนต้นไม้ใหญ่ กล้วยไมก้ บั ตน้ สกั นกทารังบนตน้ ไม้ เหาฉลามกบั ปลาฉลาม เพรยี งท่ีเกาะบนตัวของสตั ว์
ห่วงโซ่อาหาร (food chain) ๒4 พชื และสตั ว์จาเปน็ ต้องไดร้ ับพลังงานเพื่อใชใ้ นการดารงชีวิต โดยพืชจะไดร้ ับพลงั งานจากแสง ของดวงอาทิตย์ โดยใชร้ งควตั ถุสเี ขยี วที่เรียกวา่ คลอโรฟิลล์ (chlorophyll) เปน็ ตัวดดู กลนื พลงั งาน แสงเพ่ือนามาใช้ ในการสร้างอาหาร เช่น กลูโคส แป้ง ไขมนั โปรตีน เปน็ ตน้ พืชจงึ เปน็ ผผู้ ลิต (producer) และเปน็ สิ่งมีชวี ิตอันดับแรกในการถา่ ยทอดพลังงาน แบบห่วงโซอ่ าหาร สาหรับสัตวเ์ ปน็ ส่งิ มชี ีวติ ท่ีไมส่ ามารถสร้าง อาหารเองได้ จาเปน็ ต้องได้รับพลังงาน จากการบริโภค สิง่ มีชีวิตอื่นเปน็ อาหาร สัตว์จึงถอื วา่ เปน็ ผูบ้ ริโภค (consumer) ซึง่ แบ่งออกไดเ้ ป็นตน้ ผู้บรโิ ภคลาดับทีห่ นงึ่ (primary consumer) หมายถงึ สตั วท์ ่กี ินผ้ผู ลิต ผูบ้ ริโภคลาดับท่ีสอง (secondary consumer ) หมายถงึ สัตวท์ ีก่ นิ ผบู้ รโิ ภคลาดับทหี่ นึง่ ผบู้ รโิ ภคลาดับสงู สุด (top consumer) หมายถงึ สัตวท์ ่อี ยู่ปรายสุดของห่วงโซ่อาหาร ซ่ึงไม่มีส่งิ มชี ีวติ ใด มากนิ ต่อ อาจเรียกว่า ผู้บรโิ ภคลาดับสุดท้าย
๒5 สายใยอาหาร ( food web) ในกล่มุ ีสง่ิ มชี ีวิตหน่ึงๆ ห่วงโซอ่ าหารไม่ได้ดาเนนิ ไปอยา่ งอิสระ แตล่ ะหว่ งโซอ่ าหารอาจ มคี วามสัมพันธ์ กับหว่ งโซอ่ นื่ อีก โดยเปน็ ความสมั พันธ์ทีส่ ลับซบั ซ้อน เชน่ สง่ิ มชี ีวติ หนง่ึ ในห่วงโซ่อาหาร อาจเป็นอาหาร ของสิ่งมีชีวิตอีกชนดิ หน่งึ ในหว่ งโซ่อาหารอื่นกไ็ ด้ เราเรียกลกั ษณะห่วงโซ่อาหารหลายๆ ห่วงโซท่ ี่มคี วามสัมพนั ธเ์ กี่ยวข้องกันอย่างสลบั ซบั ซ้อนว่า สายใยอาหาร (food web) สายใยอาหารของกลุ่มสงิ่ มีชีวิตใดที่มคี วามซบั ซ้อนมาก แสดงวา่ ผู้บริโภคลาดับที่ 2 และลาดบั ท่ี 3 มี ทางเลือกในการกนิ อาหารได้หลายทางมผี ลทาให้กลุ่มส่ิงมีชีวติ นน้ั มคี วามมั่นคงในการดารงชีวติ มากตามไปดว้ ย
๒๖ กลมุ่ สิ่งมีชีวิต (community ) กลุ่มสงิ่ มชี วี ิตนอกจากมีความสมั พันธ์ กับส่ิงไร้ชีวติ ในบริเวณน้ันด้วย ตัวอย่างพชื เจริญได้ดีในดินท่ีมีความชืน้ แสงสว่าง อุณหภูมิ ความเป็น กรด เบส และแร่ธาตใุ นปรมิ าณทห่ี มาะสม เม่อื พชื เจริญเตบิ โตดจี ะเป็นอาหารของสัตวพ์ วก หนอน ผีเสือ้ ต๊ักแตน แตแ่ มลงบางชนิด เชน่ ผีเสอื้ ชว่ ยผสมเกสรดอกไม้ซึ่งให้ประโยชนแ์ ก่พืช ในขณะที่ พืชอยู่รวมกนั มากๆต่างแกง่ แย่งแสงสว่างกันโดยแขง่ กันเพิ่มความสงู จากลาต้น แหล่งท่ีอยู่อาศัย (habitat ) หมายถงึ แหล่งที่อยู่อาศยั ทไ่ี ด้สารวจ คอื สระน้า ขอนไมผ้ ุ สวนหยอ่ ม สนามหญ้า พุ่มไม้ จัดเป็นระบบนิเวศ แต่ ระบบนิเวศบางระบบนเิ วศอาจเรยี กชื่อตามสง่ิ มีชีวิตท่ีมีปริมาณมากทีส่ ุดในระบบนเิ วศนั้น เชน่ ระบบนเิ วศป่า สัก ระบบนิเวศป่าแสมโกงกาง ระบบนเิ วศแนวปะการัง ระบบนเิ วศนาข้าว ฯลฯ
บทบาทและหน้าทข่ี องสิ่งมีชีวติ ในระบบนิเวศ ๒๗ การพ่งึ พาอาศยั กับระหว่างปลาการ์ตูนและดอกไมท้ ะเล ซึ่งปลาการ์ตนู อาศัยอยู่ท่ามกลางหนวดของ ดอกไมท้ ะเล ปลาการต์ ูนชว่ ยปกปอ้ งดอกไม้ทะเลจากปลาชนดิ อื่นทกี่ นิ ดอกไม้ทะเลเปน็ อาหาร และหนวดที่มี พิษของดอกไม้ทะเลจะช่วยปกปอ้ งปลาการต์ ูนจากนกั ล่า สง่ิ มีชีวิตและระบบนเิ วศมคี วามสัมพนั ธท์ ่เี ห็นไดช้ ดั คือ การกนิ กันเป็นทอดๆ เช่น สงิ่ มีชวี ิตในระบบนิเวศนา ข้าว ไดแ้ ก่ ต้นข้าว หนู ต๊กั แตน กบ งู นกเคา้ แมว คน อาจแยกความสมั พันธ์ไดด้ ังน้ี จากผงั ท่ี 1 ต้นข้าวถกู ตั๊กแตนกิน ตั๊กแตนถูกกบกนิ กบถูกงูกนิ งถู กู คนกิน และผังที่ 2 ตน้ ข้าวถูกหนกู ิน หนถู กู งูกิน งูถูกนกเคา้ แมวกิน จากแผนผงั แสดงวา่ ตน้ ขา้ วเป็นผผู้ ลิต ตกั๊ แตนเป็นผบู้ ริโภคพชื หรอื ผบู้ รโิ ภคอนั ดับแรก กบเป็นผบู้ ริโภคสตั ว์ อันดับแรกหรือผู้บรโิ ภคอันดับสอง งูเปน็ ผบู้ รโิ ภคสตั ว์อนั ดบั สองหรือผบู้ ริโภคอันดบั สาม คนเปน็ ผู้บรโิ ภคสตั ว์ อันดบั สามหรือผูบ้ รโิ ภคอนั ดบั สี่หรอื ผู้บริโภคอันดบั สุดท้าย ในขณะท่มี ีการกนิ กันเปน็ ทอดๆ มีการถ่ายทอดพลงั งานท่แี ตกตา่ งกันออกไป เชน่ ตกั๊ แตนกนิ ตน้ ขา้ วมีการถ่ายทอดพลงั งานจากผูผ้ ลติ โดยตรง เมื่อกบกนิ ต๊ักแตน กบได้รบั การถ่ายทอดพลงั งานจากผู้บริโภคอันดับแรก เม่ืองูกินกบ งูไดร้ ับการถ่ายทอดพลงั งานจากผบู้ รโิ ภคอันดับทส่ี อง เม่อื คนกนิ งู คนได้รบั การถ่ายทอดพลงั งานจากผูบ้ ริโภคอันดบั สามหรือผบู้ รโิ ภคอันดบั สดุ ทา้ ย จากรูป (ข) แสดงว่าต้นข้าวถูกหนูกิน งูกินหนู และนกเค้าแมวกินงู การกินกันเป็นทอดๆนี้เรียกว่า ห่วงโซ่ อาหาร ( Food chain) วิธีการเขียนโซ่อาหาร เริมจากสิงมีชีวิตที่ถูกกิน มีหัวลูกศรช้ีไปยังตัวกิน (หัวศร ลกั ษณะคลา้ ยช้อนเขา้ ปากผบู้ ริโภค) เขียนต่อไปเป็นทอดๆจนหมดโซอ่ าหาร โซ่อาหาร ประกอบด้วยส่ิงมีชีวิตท่ีทาหน้าที่ต่างกันโดยเริ่มจากพืชที่มีหน้าที่สร้างอาหารด้วยกระบวนการ สังเคราะห์ด้วยแสง โดยใช้น้าและแก๊สคาร์บอนมอนออกไซด์โดยมีพลังงานจากแสง ทาให้เกิดการสะสม น้าตาลและแฝงอยู่ในส่วนต่างๆของพืช พืชจึงถูกจัดเป็นผู้ผลิต พืชจะถูกกินโดยผู้บริโภคพืชหรือสัตวฺกิน พืช เช่น ต๊ักแตน หนู กระต่าย กวาง ฯลฯ กินเป็นอาหาร ผู้บริโภคพืชจึงได้รับพลังงานในสารอาหารมา จากพืช ผู้บริโภคถูก กบ งู สิงโต จระเข้ กินเป็นอาหาร สัตว์เหล่าน้ีคือ ผู้บริโภคสัตว์ ซ่ึงได้รับพลังงาน ถา่ ยทอดมาจากผ้บู ริโภคพชื สตั วบ์ างชนิดสามารถบรโิ ภคไดท้ ้งั พืชและสัตว์ สตั ว์ชนดิ นี้จงึ เรียกวา่ ผูบ้ รโิ ภคพืช
๒๘ และสัตว์ เช่น คน แมว สัตว์ที่จับสัตว์อื่นกินเป็นอาหารโดยการล่า เรียกว่าผู้ล่า สัตว์ที่ถูกจับกินเป็นอาหาร เรียกว่า เหย่ือ และยังจัดผู้บริโภคแยกออกเป็นผู้บริโภคอันดับแรก คือ ผู้บริโภคพืช ส่วนสัตว์กินเน้ือซึ่งเป็น ผู้บริโภคอันดับสดุ ทา้ ย คือ ผบู้ ริโภคท่ีกินสตั ว์ ในแต่ระบบนิเวศมหี ลายโซอ่ าหารอยรู่ วมกันโดยส่ิงมีชีวติ ชนิดหน่งึ อาจเปน็ สว่ นประกอบของโซ่อาหารได้หลาย โซ่อาหาร ความสัมพันธ์ของโซ่อาหารหลายๆโซ่เรยี กว่าสายใยอาหาร(Food Web)ดงั ตวั อยา่ ง ในแต่ระบบนเิ วศมหี ลายโซ่อาหารอยู่รวมกันโดยสิ่งมชี ีวิตชนดิ หน่งึ อาจเป็นสว่ นประกอบของโซอ่ าหารไดห้ ลาย โซ่อาหาร ความสมั พนั ธ์ของโซ่อาหารหลายๆโซ่เรียกว่าสายใยอาหาร(Food Web)ดงั ตัวอย่าง สิง่ มีชีวิตในห่วงโซอ่ าหารมีความสัมพนั ธ์ในการเป็นอาหารของสตั วอ์ นื่ และขณะเดียวกนั กก็ ินสตั ว์อืน่ เป็นอาหาร ดว้ ย ข้าว ข้าวโพด กหุ ลาบ จดั เปน็ ผผู้ ลิต หนูนา ตกั แตน ผเี ส้อื แมลงวัน เป็นผู้บริโภคอันดบั แรกหรือผู้บริโภคพืช สนุ ัขจิงจอก เหย่ียว กบ แมลงปอ นก เป็นผ้บู ริโภคอันดบั สองหรอื ผู้บริโภคสัตว์ กบ เปน็ ผูบ้ ริโภคอนั ดบั 3 เม่ือกบั กินแมลงปอ งู เปน็ ผู้บรโิ ภคอนั ดับ 3 เม่ืองูกนิ กบ กบกินตกั แตน ซึ่งกินพืช เหย่ยี วเป็นผู้บรโิ ภคอนั ดับ 4 เมื่อเหยย่ี วกนิ งู ซึ่งงกู ินกบ กบกินตกั แตน ในธรรมชาตยิ งั มีสิ่งมีชวี ิตอีกชนิดหนงึ่ คอื ผยู้ อ่ ยสลายสารอินทรีย์ทาหนา้ ทยี่ ่อยสลายซากส่งิ มชี วี ติ ที่ตายหรือของ เสยี ของส่งิ มีชวี ิตท่ีอยใู่ นระบบนเิ วศ ผู้ย่อยสลายไดแ้ ก่ แบคทีเรีย เหด็ รา
29 ผูย้ ่อยสลายอินทรียสารมีแผรก่ ระจายอยู่ท่วั ไปในดนิ ในนา้ ในอากาศเม่ือผู้ยอ่ ยสารย่อยซากสง่ิ มีชวี ิตตา่ งๆแลว้ ได้ สารอนินทรีย์ พืชสามารถนาสารอนนิ ทรยี เ์ หลา่ น้นั มาใช้ได้อีกเปน็ การถา่ ยทอดสารเป็นวฏั จกั รอยใู่ นระบบนเิ วศ แบคทีเรีย เห็ด รา ซ่ึงเป็นผู้ย่อยสลายอินทรียสารมนุษย์ได้นาผู้ย่อยสารอินทรียสารหลายชนิดไปใช้ใน ชวี ิตประจาวนั เชน่ นาแบคทเี รียบางชนดิ ไปผลติ นมเปรยี้ ว นา้ สม้ สายชู ราบางชนิดนาไปผลติ ทเ่ี ปน็ ยา เชน่ เห็ด หลินจือ หรอื ยา เพนิซิลลนิ ทสี่ รา้ งโดยราเพนซิ นิ เลยี ม เห็ดหลายชนิดนาไปใชเ้ ป็นอาหารเช่นเหด็ เผาะเหด็ โคลน เห็ดหอมแต่ราหลายชนิดทาให้เกิดโรคได้ทั้งในพืชและสัตว์รวมทั้งเห็ดอีกหลายชนิดเป็นพิษหากนาไปใช้เป็น อาหารอาจทาใหถ้ งึ ตายได้โดยเฉพาะเหด็ ท่ีมสี ีสวยและเหด็ รูปรา่ งแปลกๆ ในระบบนิเวศที่ค่อนข้างสมดุล หมายความว่า ไม่ต้องรับสารจากนอกระบบยกเว้นพลังงานจากดวงอาทิตย์ ดังน้ันในระบบนิเวศน้ันๆต้องมีส่ิงมีชีวิตท้ัง 3 กลุ่ม คือ ผู้ผลิต ผู้บริโภค และผู้ย่อยสลาย ซึ่งต้องมีจานวนมาก พอประมาณอกี ทั้งยังต้องมีสายใยอาหารท่ซี ับซ้อน คอื ผูบ้ ริโภคแตล่ ะชนิดสามารถกินอาหารไดห้ ลายชนิดดังนั้น เมื่อเหย่ือชนิดใดชนิดหน่ึงหายไปจากระบบนิเวศผู้บริโภคก็ยังมีเหยื่อชนิดอื่นเป็นอาหารได้อีกอย่างไรก็ตามการ เปลี่ยนแปลงในระบบนิเวศยังคงเกิดขึ้นได้เช่นผู้บริโภคเพ่ิมจานวนมากข้ึนจานวนเหยื่อก็ต้องลดลงแต่การ เปลี่ยนแปลงในระบบนิเวศที่สมดุจต้องใช้เวลาค่อนข้างนานยกเว้นสภาพแวดล้อมท่ีเปลี่ยนแปลงอย่าง กระทนั หนั เชน่ ไฟไหม้ นา้ ท่วม แผน่ ดนิ ถล่ม พายหุ มุน เปน็ ต้น ในระบบนเิ วศที่มสี ่งิ มีชีวติ ค่อนข้างนอ้ ยชนิดโซ่อาหารมีน้อยไม่ซับซ้อนทาใหส้ ายใยอาหารไม่ซับซ้อนด้วยผู้ลา่ แต่ละชนิดอาจกินเหยอื่ เพียงชนดิ เดยี วดงั นนั้ เม่อื อาหารหรือเหยือ่ หมดไปผู้ล่าก็ต้องตายหรือออกไปหาอาหาร นอกระบบนเิ วศน้ันๆเป็นเหตุใหบ้ ้างพื้นที่ ทที่ าการเกษตรกรรมขนาดใหญ่ เชน่ การปลูกป่าสัก หรอื การทาสวน ยาง เม่ือมีศตั รูพืชระบาด ต้นสักหรอื ต้นยาง พชื ทีเ่ ป็นผูผ้ ลิตทั้งหมด อาจถูกทาลายลงจนเกิดการขาดแขลน อาหารทาใหส้ ง่ิ มชี ีวติ ชนิดอ่ืนที่เปน็ ผบู้ รโิ ภคในระดับตา่ งๆในระบบนิเวศเดียวกนั อาจตายไปพร้อมกันหมดได้ เช่นกนั เมอ่ื เข้าใจในระบบนิเวศว่ามีความสมั พนั ธ์ระหวา่ งสงิ่ มีชวี ติ ด้วยกนั และสงิ่ ไร้ชวี ิตแล้วดังนัน้ เมอื่ จะทากจิ กรรมใด ท่เี ก่ยี วข้องกับระบบนิเวศจงึ ต้องระมัดระวังหรือหาทางปอ้ งกนั ผลติ กระทบท่เี กิดข้นึ กบั ระบบนิเวศนน้ั ดว้ ย
ใบงาน เรอ่ื ง โครงสรา้ งของระบบนิเวศ คาสง่ั ให้ผเู้ รียนแบ่งกลุ่มละ ๕ คน และตอบคาถามด้านลา่ ง พร้อมท้ังนาเสนอระบบนิเวศทีห่ ลากหลาย บนโลกทนี่ กั เรียนอยากให้มหี รือเป็นตามความคิดของกลุ่มโดยทาเป็นแผนภาพ(mind map)พร้อมนาเสนอ ชว่ั โมงถดั ไป 1. โครงสรา้ งของระบบนิเวศประกอบดว้ ยกส่ี ว่ น อะไรบา้ ง …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2. ผผู้ ลิต หมายถึง …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… 3. ผู้บริโภค หมายถงึ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 4. ผูย้ อ่ ยสลาย หมายถงึ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… 5. ใหน้ ักเรยี นบอกถงึ ประโยชน์ของระบบนเิ วศทางธรรมชาติ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………
Search
Read the Text Version
- 1 - 13
Pages: