นิพพานมิใชอ่ ตั ตา มิใช่อนตั ตา โดย อาจารยพ์ ระมหาบัว ญาณสมปฺ นฺโน (หลวงตามหาบัว) ในช่วงท่ีมีการถกเถียงกัน ว่านิพพานเป็นอัตตา หรือว่านพิ พานเปน็ อนัตตา คณุ พลั วนั ได้นําเสนอพระธรรมเทศนาของ อาจารย์พระมหาบัว ญาณสมปฺ นโฺ น (หลวงตามหาบวั ) เม่ือวนั ที่ ๑๑ มนี าคม ๒๕๔๒ ใน ธรรมะ จากพระป่า ซึ่งทา่ นได้แสดงธรรมไว้ต้งั แตเ่ ม่อื วันท่ี ๓๐ สงิ หาคม ๒๕๒๓ ก่อนทจ่ี ะมกี ารถกเถียงกันอยา่ งหนกั ในอินเตอรเ์ นต็ถึงเรอ่ื งดงั กลา่ วในปี ๒๕๕๔๑ – ๒๕๔๒ ถึง ๑๘ – ๑๙ ปี มาแล้วนยั ยะสําคัญท่ีแฝงเร้นอยู่ในพระธรรมเทศนาของอาจารย์พระมหาบัวก็คอื การถกเถยี งถึงเรื่องดงั กลา่ ว ลว้ นแตไ่ ม่มีใครถูกกนั ทัง้ นน้ั เหตุเพราะผู้ทย่ี งั คงมาถกเถียงกันน้ัน กห็ าได้ถงึ ความบริสทุ ธ์จิ รงิ สกั คนไม่ สว่ นผู้ที่ถึงแลว้ ก็หาไดม้ านัง่ ถกเถียงกันอย่างนี้ พระคร้งั พุทธกาลท่านอยู่กนั เปน็ จํานวนมากก็มี ๒๐ – ๓๐ องคใ์ นท่บี างแห่ง ตามตําราท่านบอกไว้อย่างน้นัแต่เวลากลางวันน้ีเหมอื นไม่มีพระในวดั ประชาชนเขามาไม่เหน็ พระ เขาเข้าใจวา่ พระทะเลาะกนั เพราะหายเงยี บ
ประการหน่ึง ประการทีส่ องเห็นพระท่านเคร่งขรมึ ไมพ่ ูดไมค่ ุยไม่หยอกไม่เลน่ กัน เขาเข้าใจว่าพระทา่ นทะเลาะกันเพราะเขาไม่ทราบเรื่องการดาํ เนนิ ของพระ เวลาต้องการจะพบทา่ นกเ็ อาไม้ไปเคาะระฆัง ท่านได้ยินท่านก็มา การอยู่กันเป็นจํานวนมากภาระหนา้ ท่ีท่เี กี่ยวโยงถึงกนั ก็ต้องมาก ไม่ว่ากจิ ใดมันเกีย่ วโยงถึงกัน ขอ้ วตั รปฏบิ ตั ิเช่นปัดกวาดเช็ดถูทําความสะอาด ซกั ผ้าย้อมผา้ ขนนํา้ ขนึ้ กฏุ ิ ใส่ไห เหล่านเี้ ปน็ กิจสว่ นรวมเสยี มากกวา่ สว่ นบุคคล การทาํ ตอ้ งไดช้ ว่ ยกันทํา ต่างคนต่างถือว่าเป็นหนา้ ท่ีเปน็ ความจําเป็นของตนทจี่ ะต้องทาํ ดว้ ยกัน สมกับท่เี ราม่งุ มาเพอ่ื คุณงามความดี เพื่ออรรถเพอ่ื ธรรมทุกแง่ทกุ มุม สง่ิ ใดที่เป็นธรรมชอบธรรมแลว้ ต้องได้ทําสง่ิ นั้น ความขี้เกยี จเหล่าน้เี ปน็ เรอ่ื งของกิเลสทง้ั มวลการอยู่นีเ้ ราไม่ได้อยู่แบบแขกมาเยีย่ มบ้านเย่ียมเรือนเรา เราอยูแ่ บบพระ อยทู่ ี่ไหนทาํ ดีท่ีนั่น ไมไ่ ด้ถือว่านั้นเป็นวดัของทา่ น นี่เป็นวดั ของเรา นั้นเปน็ กจิ การงานของทา่ น นั่นเป็นวดั ของท่าน นีเ่ ป็นกิจของเรา เปน็ ขอ้ วัตรของเรา ไม่ใช่อยา่ งนนั้ ต้องได้ตา่ งคนต่างช่วยกนั ทาํ เพอื่ ความพร้อมเพรียงเป็นสําคญั กิจการกเ็ รียบร้อยไปโดยไม่ได้รบั ข้อหนกั ใจจากผหู้ นงึ่ ผู้ใด เพราะความข้เี กยี จข้คี รา้ น ความเห็นแก่ตัว ความเอารัดเอาเปรียบอนั เปน็ เรือ่ งของกิเลสเข้าทาํ ลายจติ ใจหมู่เพ่ือน อยา่ งน้ไี ม่ใหม้ ีหรือไม่มี ผูต้ ้ังใจปฏิบัติธรรมรีบกําจดัเราจะเห็นไดว้ า่ เร่ืองของกิเลสมคี วามละเอยี ดลออเพยี งไรนนั้ เหน็ ไดใ้ นส่ิงนี้ มันแทรกมนั แซงเข้าใจวา่ เปน็ สิ่งทถ่ี ูกตอ้ งดงี าม ทง้ั ๆ ที่เป็นเรือ่ งของกิเลสไม่ใช่เรื่องของธรรม มันแทรกแซงอยู่ในหัวใจของพระของเณรเรานี้ ผปู้ ฏิบตั ไิ ม่สังเกตส่ิงเหลา่ นี้ ไม่กาํ จัดส่ิงเหลา่ นี้ ซ่ึงเปน็ ของหยาบ ๆ กว่ากิเลสประเภทอ่ืนแล้ว เราจะแกก้ เิ ลสประเภทท่ีละเอยี ดยงิ่ กวา่ นี้ได้อยา่ งไร นี่เป็นส่งิ ที่ผ้ปู ฏิบัติจะตอ้ งคดิ ให้ตลอดทัว่ ถงึ เพราะเปน็ ส่งิ หยาบ ๆ ที่ผูป้ ฏบิ ัติธรรมจะพอทราบได้การประกอบความพากเพยี รถือเปน็ กฎเป็นเกณฑ์ เปน็ กิจจําเป็นสาํ คญั อย่างยงิ่ ภายในชวี ิตลมหายใจของเราที่ครองตัวอยดู่ ว้ ยเพศ แห่งความเปน็ นักบวช และมคี วามมุ่งมัน่ ต่อแดนแหง่ ความพน้ ทุกข์ จึงต้องถือธรรมเปน็ ศาสตราอาวุธอยู่เสมอไม่ปล่อยวาง ท่านเรยี กว่าธรรมาวธุ อาวธุ คือธรรมเครอื่ งประหัตประหารกิเลส ท่ีฝงั จมอย่ใู นเน้ือในกายในจติในใจ ในกริ ยิ าอาการทุกส่วนของตวั เรา มตี ง้ั แตเ่ รอื่ งของกิเลสทัง้ มวลหาอะไรแทรกลงไม่ได้ ถกู แต่ตัวกิเลส แต่เราไม่ทราบวา่ มันเป็นกเิ ลส เพราะมันฝงั จมอยา่ งลกึเพราะกิเลสไม่ใชเ่ ปน็ ของโง่ เปน็ ของฉลาดเกินกว่าสตปิ ญั ญาของเราจะหยง่ั ถึงมันไดง้ า่ ย ๆ ด้วยเหตนุ ้ีจึงต้องไดอ้ บรมส่งั สอนกันอย่างเปน็ เนื้อเปน็ หนังจรงิ ๆ ไม่อย่างนั้นก็ไม่ทนั กับการแก้การถอดถอนกิเลสประเภทตา่ ง ๆ นับแตส่ ว่ นหยาบ ๆ เข้าไปถงึ สว่ นละเอียดอย่ภู ายใน ผู้ปฏบิ ัตเิ ทา่ นัน้ ทีจ่ ะทราบเร่ืองเหล่านไ้ี ด้ดี คอื ระหว่างกิเลสกบั ธรรมซ่ึงมอี ยู่ในตัวของเราน้ี หากไมไ่ ดเ้ คยกําจดั ไม่เคยต่อสู้กนั ไมเ่ คยชําระสะสางมาก่อนแล้วจะไมท่ ราบว่า กิริยาใดอาการใดท่ีแสดงออกทางจติ ใจและกายวาจา ความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ว่าเป็นกิรยิ าอาการของกเิ ลส หรอื เป็นกริ ิยาอาการของธรรม ไมม่ ที างทราบไดเ้ ลย
เพราะมนั มีแต่ธรรมชาติอนั เดียวทัง้ นนั้ เป็นเจา้ ของของหัวใจ เป็นเจา้ ของของมารยาทของเน้อื ของหนังทกุ สัดทุกส่วน มันครอบครองอยู่หมด จงึ ไม่อาจสามารถทราบได้วา่ มันเปน็ กเิ ลส เพราะมันกบั เราเข้ากลมกลืนเปน็ อนั หน่งึ อนัเดียวกนั แล้ว วา่ จะทําอะไรกก็ ลวั กระเทือนเราซงึ่ เป็นเรื่องของกเิ ลสแท้ ๆ ถ้าเปน็ สิ่งดีงามแลว้ มนั จะทําการกีดขวางใหเ้ ป็นความท้อแท้อ่อนแอ ให้เกดิ ความทอ้ ถอย อดื อาดเนือยนาย พอจะประกอบความพากเพียรเหมอื นจะถูกหามเข้าไปฆา่ น่ันแหละ น่เี วลากเิ ลสมนั มกี าํ ลงั มนั เป็นอย่างน้ี แต่เราไม่ทราบตอนน้นั ไมท่ ราบว่ามนั เปน็ กิเลสเวลานัง่ สมาธภิ าวนา ความพยายามหรอื ความต้ังใจเดิมนนั้ ตัง้ ใจพยายามว่าจะใหจ้ ิตมีความสงบเย็นใจ ดังทค่ี รูบาอาจารย์หรือธรรมสอนไว้ แตเ่ วลาน่งั ลงไปแล้วก็มีแต่กเิ ลสไปทําหนา้ ทแ่ี ทนอยภู่ ายในความเพียรน้นั เสยี ขับไล่สติซึ่งเคยควบคมุ งานในทางดา้ นอรรถธรรม ใหเ้ ตลดิ เปิดเปงิ ไปไหนกไ็ มร่ ู้ มีแต่กเิ ลสเข้าทาํ งานป่วนปนั่ จิตใจให้คดิ โนน้ คดิ น้ีย่งุ เหยงิ วนุ่ วายไปหมด ไม่มกี ริ ิยาแหง่ ความเพียรของผูป้ ฏิบัตธิ รรมปรากฏอยใู่ นจติ ดวงนั้นเลย มแี ตก่ ิเลสทาํ หน้าท่ีโดยถ่ายเดียว นเ่ี ป็นเรอ่ื งสําคัญ ตอนนน้ั เราไมร่ ู้ทนี พ้ี อกิเลสปล่อยวาง มนั กินเสียอิม่ แล้ว พอปล่อยวางแล้ว สติกร็ ะลกึ ไดว้ ่าตนนงั่ ภาวนา แล้วกม็ าทวงผลดว้ ยเวล่ําเวลาว่านง่ั นานเทา่ นั้นนัง่ นานเท่าน้ี เดินจงกรมนานเท่านนั้ เท่าน้ี เทา่ น้ันนาทเี ท่าน้ันชั่วโมง ไม่เหน็ ไดผ้ ลไดป้ ระโยชน์อะไร การมาทวงเชน่ นี้ก็เพ่อื จะแหวกแนวอีก มันเป็นอุบายวธิ กี ารของกิเลสทัง้ นนั้ เราจะไปแง่ไหนทนี่ ี่มนั ถึงจะดีภาวนาเพื่อความดีมันก็ไม่ไดด้ ี เพราะกเิ ลสไปทําหน้าทข่ี องมนั ด้วยความเปน็ ข้าศกึ ต่อความเพยี รของเราเสีย ต่อธรรมเสยี แลว้ จะออกทางไหนดี อย่างนอ้ ยก็นอนเสยี ดีกวา่ มากกวา่ นนั้ กท็ าํ ไปทาํ ไมความเพยี รนี่ ไมเ่ หน็ ได้เร่ืองได้ราวอะไร ยิ่งไปกวา่ น้นั ก็สกึ เสียดีกวา่ มันมีตัง้ แตก่ ลอบุ ายของกิเลสท้ังมวลที่หลอกหวั ใจเราหวั ใจคน นเี่ ราก็ไม่ทราบตอนน้ัน จะทราบได้ยังไงเมอื่ สตปิ ญั ญายงั ไมเ่ หนือมันแตค่ วามพยายามอยูโ่ ดยสมํ่าเสมอ นน่ั เปน็ ทางของปราชญ์ท่านดําเนนิ กนั เรือ่ งเหลา่ นมี้ ันมีได้เพราะกําลังของกิเลสมีมาก ท่วี ่าจติ ไม่สงบ ๆ มแี ตค่ วามฟุ้งซ่านว่นุ วายเพราะอะไร ก็เพราะกเิ ลสเข้าทาํ งานอย่างเตม็ ที่ ป่วนปั่นวุ่นวายไปหมดท้ังดวงใจ แลว้ จะเอาความสงบสุขมาจากที่ไหนเมอ่ื ธรรมไม่ได้แทรกเขา้ ไปเลย คือสติทคี่ วบคมุ งานเปน็ สาํ คัญถูกขับไล่ไสส่งหนไี ปทวปี ไหนกไ็ มร่ ู้เวลาน้ันที่จติ ไมส่ งบก็เพราะกเิ ลสมมี าก มีกาํ ลงั มาก มันทําการปว่ นปัน่ ทุกสิ่งทุกอย่าง ทําลายหมดแทน่ บลั ลงั ก์แหง่ความเพียรของเราไม่มีเหลือ เมอ่ื เปน็ เชน่ นนั้ ผลทพ่ี ึงใจจะได้อย่างไร เพราะเราไม่ได้ทําเหตอุ นั เป็นที่พงึ ใจในขณะประกอบความพากเพยี ร มแี ต่กิเลสมาทาํ หนา้ ท่ขี องมันเสยี ท้ังสน้ิ ในอริ ยิ าบถต่าง ๆ แมข้ ณะทปี่ ระกอบความพากเพยี รอยู่กต็ าม นี่เพราะสติยงั ไม่ทนั เราก็ไม่อาจทราบได้ จึงตอ้ งถูกกล่อมไปหลายแง่หลายมมุ พลกิ แพลงเปลย่ี ?แปลงไปไดท้ กุ แง่ทุกมุมบรรดาความแยบคายของกิเลสท่ีมาเสีย้ ม สอนจติ ใจเรา เราจึงไมท่ ราบแล้วก็แหวกแนวไปตามกเิ ลสเสีย
ตอ่ เมื่อได้ทาํ ความพยายามอยู่ตลอด คราวแพ้กย็ อมวา่ แพ้ เวลาฟุง้ ซา่ นก็ฟุ้ง เวลากิเลสมอี ํานาจกใ็ ห้มนั เอาไป แต่ความพยายามไมล่ ดละไมถ่ อยหลัง มันอยเู่ รื่อย ๆ หลายครัง้ หลายหนก็จับเง่อื นไดท้ ีละเล็กละนอ้ ย จติ ไมเ่ คยสงบก็สงบตวั ได้ เมือ่ สงบตวั ไดห้ นหนึง่ สองหนเขา้ ไปแลว้ ก็ช่ือว่าได้หลกั ฐานพยาน ได้ความแปลกประหลาด ได้เครือ่ งดืม่ ดํ่าภายในจิตใจเปน็ เคร่ืองฝังศรทั ธาใหม้ นั่ คงลงไปได้เมอื่ ศรัทธาเชอ่ื ต่อผลท่ีปรากฏน้นั ได้หยงั่ ลงไปภายในจติ ใจแล้ว แม้ในคราวตอ่ ไปวนั ตอ่ ไปจิตจะสงบตวั ลงอย่างน้นัไมไ่ ด้กต็ าม ความพยายามซึ่งจะตามมาจากศรทั ธาความเชื่ออนั หยั่งลงเรยี บร้อยแลว้ นน้ั จะตาม มาเอง ศรทั ธาความเช่ือนนั้ ก็ไม่ลดละไมถ่ อย ทา่ นจงึ เรียกว่าอจลศรัทธา คอื ศรัทธาฝังลึกในความจริงที่ตนได้เคยเหน็ ผลมาแลว้ ไม่หวนั่ ไหว แมไ้ ดบ้ า้ งเสยี บา้ งก็ยอมรบั ว่าไดบ้ ้างเสียบา้ ง แตค่ วามหยง่ั ของศรัทธาทีเ่ คยไดเ้ ห็นผลแล้วน้นั ไมย่ อมละไม่ยอมถอนขึ้นมา หลายครง้ั หลายหนไดเ้ ข้าไปอกี นคี่ ือความเพยี ร ผเู้ พียรอยู่เสมอต้องได้อยา่ งน้ี ใหถ้ ือวา่ กิจนเี้ ป็นกิจจําเปน็ ของเราเคยพดู แลว้ พดู เล่าอยเู่ สมอว่า ไม่มงี านใดทีจ่ ะหนักมากยิ่งกว่างานตอ่ สู้กับกิเลส ให้พึงทราบเอาไว้อย่างถึงใจ ไมใ่ ช่งานทาํ เอางา่ ย ๆ สบาย ๆ ไดต้ ามนัดตามหมายตามความต้องการทกุ เวลํา่ เวลาท่ีประกอบความพากเพยี ร หรอื นึกเอาอย่างไรกไ็ ด้อย่างนนั้ ถ้าเป็นอย่างนั้นธรรมะก็ไม่น่าอศั จรรย์ กิเลสกไ็ มเ่ ปน็ สงิ่ ทใี่ ครจะน่ากลวั นกั แมจ้ ะทาํ เราให้เป็นทุกข์เราพลิกทีเดยี วเท่าน้ันความสุขก็เกิดขน้ึ มาแลว้ และ เป็นไปไดอ้ ย่างใจหวัง แต่น้ีเพราะกิเลสมนั เหนยี วแน่นม่นั คงเฉลยี วฉลาดแหลมคมเกินกว่าสติปญั ญาของ เราทีจ่ ะตามรู้ตามเห็นและตามถอดถอนแกไ้ ขมันได้นั่นเอง คนเราจงึ ยอมรบั ความทกุ ขเ์ พราะอํานาจของกเิ ลสสรา้ งขึ้นมาภายในใจ ให้เราทราบไว้อยา่ งน้ีแลว้ กพ็ ยายามต่อสู้หนกั เบาขนาดไหนทุกขย์ ากลาํ บากเพยี งไรก็ตาม มนั เป็นงานของเราเพื่อจะร้ือถอนภพถอนชาตอิ ันเปน็ เสี้ยนเปน็หนาม เป็นหอกเปน็ แหลมหลาวปกั เสียบอยภู่ ายในหวั ใจนีใ้ หข้ ึน้ มาใหห้ มด นําออกให้หมดจนไม่มสี ง่ิ ใดเหลือ เมื่อเวลาเกิดความท้อถอยอ่อนแอขึ้นมาก็ให้ระลึกถงึ พระพุทธเจ้า ดังธชัคคสตู รท่านแสดงไวเ้ กี่ยวกับพวกอสูรรบกันกับพวกพระอนิ ทร์ ยน่ เข้ามาสอนพระ อรญฺเญ รุกฺขมูเล วา สุญญฺ าคาเรว ภกิ ขฺ โว เม่ือทา่ นทง้ั หลายไปอยตู่ ามรกุ ขมูลรม่ไม้ หรือเรอื นวา่ งทีใ่ ดกต็ าม เม่ือเกดิ ความหวาดเสยี วหรอื พรั่นพรึงข้ึนมาใหพ้ ึงยกธง เรียกวา่ ธง ๓ สถี า้ เทียบอยา่ งเราทกุ วนั นี้ คือพระพทุ ธเจา้ ข้นึ มา ความกลวั น้นั ก็จะหาย ความหวาดเสียวความกลัวนัน้ จะหาย ความขนพองสยองเกลา้เพราะความกลัวนัน้ ก็จะระงบั ดับไป ทแี รกทา่ นใหร้ ะลกึ ถึงพระพุทธเจ้าเสยี กอ่ น โน เจ พุทธฺ ํ สเรยฺยาถ เม่ือระลึกพระพทุ ธเจา้ ยังไม่ไดผ้ ล กใ็ หร้ ะลกึ ถงึ พระธรรม แบบเดยี วกัน ถา้ ระลกึ ถงึ พระธรรมจิตใจยังไมส่ งบตัวลงได้ให้ระลึกถงึพระสงฆ์นเ่ี ม่อื เกิดความทอ้ ถอยออ่ นแอขน้ึ มากใ็ หร้ ะลึกถึงพระพุทธเจ้าในเรื่องความ พากเพยี ร ทกุ ข์หรือไม่ทกุ ข์ก็เหน็ อยแู่ ลว้ในพระประวตั ิของท่าน ทา่ นทุกขข์ นาดไหน นาเรามนั ทาํ ยาก สวนเรามันทาํ ยาก มแี ต่หญ้ารกรุงรังปกคลุมหมุ้ ห่อไปหมด เราจะไปปักดําเอาเลย ๆ นั้นไม่ได้ มันต้องถากตอ้ งถางตอ้ งสบั ต้องฟันให้แหลกละเอียด ทั้งคราดท้ังไถเอากันอย่างเตม็ ที่เตม็ ฐาน ควรปักควรดําควรเพาะปลูกส่งิ ตา่ ง ๆ คอ่ ยปลูกลงไปได้
เมอื่ นาเราทํายากเรากต็ ้องเอาให้เตม็ ท่ี เราจะทาํ แบบนาเขาทําง่าย ๆ สวนเขาทาํ ง่าย ๆ อย่างนน้ั ไม่ได้ กเิ ลสของเราเป็นยงั ไง มนั แก้ยาก เอ้า แก้ยากก็เอาใหห้ นักมอื เพราะกเิ ลสมตี ามขั้นของบุคคล ผู้มกี ิเลสเบาบางกม็ ี กิเลสปานกลางก็มี กิเลสหนาแน่นก็มแี ต่พอแกไ้ ขได้ กเิ ลสครอบเอาเสียจนมดื มิดปิดตา ทวารทั้ง ๖ ไมม่ ีทางท่จี ะมองเห็นรู้ได้เลย อนั นั้นกเ็ ป็นพวกปทปรมะ ถ้าเป็นโรคก็ประเภทไม่ดูหมอไม่ฟังยา มีแต่จะตายท่าเดียว นัน่ ก็สุดวิสยั แตเ่ ราไมใ่ ช่คนประเภทน้ันผู้ทม่ี ีกิเลสเบาบางกป็ ระเภทอุคฆตติ ญั ญู รแู้ จ้งเห็นจรงิ ในธรรมท้ังหลายได้งา่ ย เพราะกเิ ลสเบาบางมาแล้ว วปิ จิตญั ญูรองกันลงมา เปน็ ประเภทท่ีเบาบางเช่นเดียวกนั แต่รองกันลงมาเลก็ น้อย เนยยะ เป็นผู้ควรตักเตือนแนะนาํ สงั่ สอนได้หลายครัง้ หลายหนก็ค่อยเปน็ ไปได้ ท้งั ครทู ้ังอาจารย์ตักเตือนแนะนําสงั่ สอน ทัง้ ตนเองเป็นผู้แนะนาํ พร่ําสอนตนเองดว้ ยอบุ ายวธิ ีการตา่ ง ๆ มีความเพียรเปน็ เครื่องหนุนอยตู่ ลอดเวลา หลายครัง้ หลายหนกิเลสกค็ ่อยบางลงไป ๆ บทเวลาจะรกู้ ็เป็น อุคฆติตัญญเู ช่นเดยี วกนั เมื่อถงึ ข้ันท่จี ะรเู้ รว็ แล้วไมต่ ้องบอก หา้ มไมอ่ ยู่ ขณะเดยี วเทา่ นั้นเลกิ หมดโลกธาตุภายในหวั ใจนเี้ ลย แต่เวลาร้ือถอนในเบื้องต้นโดยลําดบั ๆ มานั้นแสนทกุ ข์แสนยากแสนลําบากสาหัสเมอื่ เรารูน้ ิสยั ของเราเปน็ อยา่ งน้ี กเ็ ทยี บกบั ว่านาของเราเปน็ เชน่ นี้ เอา้ เราต้องหนักมือในการประกอบความพากเพียร อยา่ ถอยเปน็ อันขาดลูกศษิ ยต์ ถาคต หรอื ธรรมของพระพทุ ธเจา้ ไม่มีบทใด ท่ีสอนใหผ้ ู้ปฏิบตั ิทั้งหลายถอยหลังอ่อนแอ ไมม่ ีอะไรเหนือธรรมท่ีพระพุทธเจา้ ทรงบาํ เพญ็ มา และไดผ้ ลมาแลว้ พรอ้ มทั้งการแนะนาํ ส่ังสอนไว้ เปน็เยีย่ มทกุ อย่าง เพราะฉะนน้ั กิเลสจงึ กลวั ธรรม ให้นาํ มาประพฤติปฏบิ ตั ิ ใหน้ าํ มาต่อสู้กบั กิเลสวิริยธรรม แน่ะฟังซิ สติธรรม สมาธิธรรม ปัญญาธรรม นม่ี แี ตธ่ รรมเยีย่ ม ๆ ท้งั นน้ั ทจ่ี ะฟาดฟนั กบั กิเลสใหแ้ ตกกระจายไม่มเี หลือภายในดวงใจได้ด้วยกันทัง้ นัน้ พระพทุ ธเจ้าทา่ นนาํ ไปใช้ สาวกท่านนาํ ไปใช้ ทําไมท่านจึงได้ผลเปน็ทพี่ อพระทยั และพอใจ จนกลายเปน็ สรณะของพวกเราได้ ทา่ นทําวิธีใด เราใหย้ ึดเอาคติตัวอยา่ งทท่ี ่านพาทาํ พาดาํ เนนิ มา มาเปน็ เคร่ืองมอื มาเป็นเคร่ืองดาํ เนินต่อส้กู ับกเิ ลส นช้ี ่ือวา่ ลกู ศษิ ย์มีครูสมกับกล่าวอ้างพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ว่าเป็นสรณะ ยึดทง้ั ข้อปฏิบตั ิปฏิปทาเครอื่ งดําเนิน ทงั้ วริ ยิ ะอุตสาหะ ทง้ั สติทง้ั ปญั ญา ศรัทธาความเพยี ร ทุกแง่ทกุ มุมยึดมาเปน็ คติแกต่ วั เอง ทา่ นดําเนินอย่างไร ยดึ ทา่ นมาเปน็หลักเป็นเกณฑ์เครื่องดาํ เนิน ไม่ลดละท้อถอยไมป่ ลอ่ ยวาง เอาจนไดช้ ยั ชนะเมือ่ อยู่ขนั้ ยากก็ต้องเอาให้หนักมือ งานนี้งานหนกั เราจะไปทาํ เบา ๆ ไม่ได้ เช่นทอ่ นไม้มันหนกั เราจะไปเอามือเดียวยกไม่ได้ ต้องทําใหเ้ ต็มเร่ยี วเต็มแรงไมง่ ้ันยกไม่ข้ึน เอาไปไม่ไหว งานประเภทต่าง ๆ มีหนกั มีเบา การแก้กิเลสประเภทตา่ ง ๆ ย่อมมหี นักมเี บาเหมือนกัน แตส่ ่วนมากหนักด้วยกันท้งั น้นั แหละ หากเราจะไปถอื วา่ หนกั แตผ่ ทู้ ี่ตอ้ งการสิ่งท่ีเลิศประเสรฐิ กว่าสง่ิ เหลา่ น้ี ไมไ่ ด้มาถือสิ่งเหลา่ นี้เปน็ อารมณ์พอใหเ้ กดิ อปุ สรรคต่อการดําเนินของตนแลว้ ก็ผา่ นพ้นไปได้โดยลาํ ดบัธรรมะทุกบททกุ บาททีป่ ระทานไว้แลว้ น้ี เปน็ ธรรมะสด ๆ ร้อน ๆ ไม่มีคําว่าครึว่าลา้ สมยั ผา่ นมากีป่ กี ี่เดือนก็ตาม อยู่ในท่ามกลางแห่งความเหมาะสมท้งั น้ัน เหมาะสมกับการบาํ เพญ็ ของเราทจ่ี ะให้เปน็ คนดีตามสติกาํ ลังความสามารถ
ของเรา และเหมาะสมกับการปราบปรามกิเลสทุกประเภท ใหข้ าดสะบน้ั หั่นแหลกลงไปจากจิตใจไมม่ ีเหลือได้ด้วยกันทงั้ น้นั ท้ังคร้งั พทุ ธกาลและคร้งั น้ี ไมม่ ีอะไรผิดแผกแปลกตา่ งกันไปเลย นอกจากความพากเพียร ความอุตสา่ ห์พยายาม ความโง่ความฉลาดของเราเทา่ น้นั มีต่างกนั กับท่าน ผลจึงตอ้ งตา่ งกนั เป็นธรรมดา เพราะฉะน้ันจึงต้องยึดหลักของทา่ นมาเปน็ เครื่องดําเนนิ ใหด้ ีสติต้ังใหด้ ี สติเป็นของสําคญั มากในวงความเพียร ถ้าขาดสติไปเสยี ก็เทา่ กบั ขาดความเพียรไปพร้อมในขณะเดยี วกนัขาดไประยะสนั้ ยาวเพียงไรกช็ ่ือว่าความเพยี รขาดไประยะสั้นยาวเพยี งนน้ั แม้จะนง่ั อยหู่ รือเดนิ จงกรมอยู่กไ็ ม่ให้ช่ือว่าความเพียร เพราะขาดประโยคแห่งงานที่สืบต่อกนั มสี ติเป็นผูค้ วบคมุ สําคัญปราศจากไม่ได้ ท่ีว่าขัน้ ปัญญา สตกิ บัปัญญาต้องกลมกลนื กนั ไป แต่ถึงขัน้ นน้ั แลว้ เราไมต่ ้องพูดแหละ ข้นั ล้มลุกคลุกคลานนีซ่ ิ ข้ันขาดแล้วตดิ ติดแล้วตอ่กนั ยุง่ ไปหมด ขาดแล้วต่อไมไ่ ดก้ ม็ ี สตขิ าดไปเอามาต่อก็ไม่ไดเ้ พราะไม่สนใจจะต่อ อ่อนแอปวกเปียกไปหมด อยา่ งน้ีไมใ่ ช่ทางของพระพุทธเจ้าให้มคี วามเข้มแข็งมีความอดทน มีความพนิ จิ พจิ ารณาใคร่ครวญทกุ สิ่งทุกอย่างท่มี าเกย่ี วขอ้ งกบั ตน น่ีช่ือว่าเพศของนกั บวชเป็นอย่างน้ี พระพทุ ธเจ้าเปน็ อยา่ งนี้ พระสาวกทั้งหลายทา่ นเปน็ อย่างนี้ ใหพ้ ินิจพิจารณาทุกส่ิงทกุ อย่างที่มาเกย่ี วข้องสัมผัสสัมพันธ์กบั อายตนะภาย ใน คอื ตา หู จมูก ลิน้ กาย ใจ ของเรา สมั ผัสเพอื่ จะเกดิ เรือ่ งทัง้ น้นั แหละแลว้ เรอ่ื งน้นั เปน็ เรอ่ื งดีหรอื เร่ืองชวั่ เอาสตปิ ัญญาเขา้ ไปจับพนิ ิจพิจารณาให้ทันกบั เหตกุ ารณ์ เร่ืองก็ระงบั ไป ถ้าเปน็เรื่องไม่ดกี ร็ ะงับไป ถ้าเป็นเร่ืองดกี เ็ ป็นการสง่ เสรมิ เร่อื งนัน้ ให้มกี าํ ลังมากมูนขึน้ ไปโดยลาํ ดับ ดว้ ยการพนิ จิ พิจารณาดว้ ยความไมป่ ระมาท คอื ความมีสตินเี่ ปน็ หลักของการภาวนา เปน็ หลักของการปฏิบัติ สาํ หรบั ผจู้ ะใหถ้ งึ จดุ หมายปลายทางทต่ี นต้ังไว้อย่างไรโดยไม่ต้องสงสัย หลักเหตุต้องใหเ้ กี่ยวโยงกนั ไปโดยลาํ ดบั อย่าให้ขาดวรรคขาดตอนอย่าลืมวา่ ภาระทีเ่ รากําลงั ดําเนนิ เรากําลังแบกหามอยเู่ วลาน้ี ไม่มผี หู้ น่งึ ผใู้ ดในโลกท้ังสามนี้จะมาช่วยฉุดชว่ ยลากชว่ ยแบ่งหนกั แบ่งเบา ออกจากใจของเราได้ ครบู าอาจารย์ก็เปน็ แต่เพียงผู้ให้อุบายวธิ ีการต่าง ๆ ดังพระพุทธเจา้ ทา่ นสอนไว้ว่า ตมุ เฺ หหิ กจิ ฺจํ อาตปฺปํ อกฺขาตาโร ตถาคตา งานถอดถอนกิเลสท้ังมวลเป็นหน้าท่ีของเธอทง้ั หลาย หรือของท่านทั้งหลายจะทําเอง พระพทุ ธเจ้าทัง้ หลายเป็นผูช้ ้ีแนวทางหรืออุบายวิธกี ารให้เท่านน้ัไม่ใช่เป็นผู้ไปแก้ไปถอดถอนกิเลสให้เมือ่ เปน็ เช่นน้นั เราอยา่ หวงั พ่งึ ผู้ใด อตฺตา หิ อตตฺ โน นาโถ ตนเป็นท่ีพง่ึ ของตน เม่ือไดร้ ับโอวาทจากครูจากอาจารย์มาแลว้ ใหย้ ึดเข้ามาเป็นหลักตอ่ สู้กบั สิง่ ที่เปน็ ขา้ ศกึ ฝงั จมอยภู่ ายในจติ ใจนี้ ใหอ้ อกไดด้ ้วย อตตฺ า หิ อตฺตโน นาโถเปน็ ตนเปน็ เนื้อเปน็ หนงั ของตน ตนเป็นผูต้ อ่ สูเ้ พื่อตนเอง เพื่อชยั ชนะของตนเอง เพราะคําวา่ แพก้ ็เราเปน็ ผู้แพ้ คนอื่นไมแ่ บง่ มาแพก้ บั เราได้ แบง่ หนักแบ่งเบาให้เราแพน้ ้อยลง คนอนื่ แบง่ เอาไปบา้ งอยา่ งนีไ้ ม่มี เราแพ้ก็ตอ้ งแพ้เตม็ เม็ดเต็มหนว่ ย เมอื่ ชนะกต็ ้องเอาใหช้ นะเตม็ เมด็ เต็มหนว่ ย การท่จี ะเอาให้ชนะเต็มเมด็ เต็มหนว่ ยเต็มอรรถเต็มธรรม ตอ้ ง
ประกอบการต่อสใู้ ห้เต็มเมด็ เตม็ หนว่ ย เต็มสตกิ ําลงั ความสามารถ ด้วย อตตฺ า หิ อตตฺ โน นาโถ ของเราเอง นัน่ แหละผลจึงจะปรากฏข้นึ มาคําว่า อตฺตา หิ อตตฺ โน นาโถ ตนเปน็ ที่พงึ่ ของตนน้ี ฟงั เผนิ ๆ แล้วไม่มใี ครอยากจะเช่ือ แต่เวลาปฏิบัติเข้าไปแลว้ ยอมรบั เอง จงึ ได้ทราบว่า อตตฺ า หิ อตฺตโน นาโถ นเ้ี ป็นธรรมละเอยี ดมากทเี ดียว ก็ผู้ละเอยี ดเปน็ ผสู้ อนนี่ไมใ่ ชค่ นโงเ่ ขลาเบาปญั ญาหหู นวกตาบอดมาสอนธรรมนี่ พระพุทธเจา้ เป็นคนหหู นวกตาบอด เป็นคนโง่เขลาเบาปัญญาเม่ือไร ธรรมทสี่ อนเหลา่ นอี้ อกมาจากพระพุทธเจ้าทงั้ นัน้ ใครจะเชือ่ หรือไม่เชอ่ื ก็เป็นเรือ่ งของความโงค่ วามฉลาดของคนน้นั เท่าน้ัน ไม่ได้ขนึ้ อยกู่ ับความที่พระพุทธเจา้ โง่ สอนธรรมไมถ่ ูก มันขนึ้ อยู่กับผู้ฟังผู้พิจารณา เมอ่ื ถึงขน้ัความเพยี รท่ีเปน็ อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ อยา่ งชัดเจนแลว้ แยกกนั ไมอ่ อกกับพระโอวาทนี้ ยอมกราบสนทิ เพราะประจักษ์อยกู่ ับตัวเองว่าไมม่ ีใครจะชว่ ยเราได้ดงั ที่เคยกล่าวเสมอว่า เวลาจนตรอกจนมมุ นัน้ นะ่ เป็นเวลาทีส่ ติปัญญาจะฟติ ตัวเต็มท่ีเพื่อหาทางออก ด้วยการต่อส้โู ดยวิธตี า่ ง ๆ สตปิ ัญญาทุม่ กันลงให้หมดชีวิตจติ ใจ เปน็ กเ็ ปน็ ตายกต็ าย นน่ั ละ อตฺตา หิ อตตฺ โน นาโถ ตรงน้นั ใครช่วยไมไ่ ด้ สติปัญญาก็เกดิ ข้นึ ในเวลาจนตรอกจนมุมน่ันแล อยเู่ ฉย ๆ ไม่จนตรอกมนั ไม่ได้ใช้ความคิดคนเราเมื่อเข้าจนตรอกถูกทุกขถ์ ูกเหตุการณ์บงั คบั บีบคั้นเข้าโดยลําดบั ๆ จนหาทางออกไม่ได้แล้ว ทาํ ไมคนเรายงั จะยอมตายอย่เู ฉย ๆ เม่ือพอมีทางออกได้อยู่ เพราะฉะน้นั จงึ ต้องคิดต้องคน้ ย่ิงผ้ตู อ้ งการฆา่ กิเลสอาสวะทกุ ประเภทไมใ่ ห้เหลืออยู่ภายในใจแล้ว จะไปถอยไดย้ ังไง ก็ขณะนเี้ ป็นขณะท่ีตอ่ ส้กู ับข้าศึกศัตรูอยา่ งเตม็ เหน่ยี วกันอยู่แลว้ จะถอย ได้ยังไง ถอยไม่ได้ นอกจากจะเอาให้ทะลุไปเทา่ นน้ั ไม่ทะลกุ ็ตาย ไมต่ ายก็ใหท้ ะลุ ถงึ จุดหมายปลายทาง ถงึ ชยั ชนะอันสมบรู ณ์เตม็ ที่นล่ี ะ อตตฺ า หิ อตฺตโน นาโถ เหน็ เด่นชดั กบั คาํ ทว่ี ่าคนเราไมไ่ ด้โงอ่ ยู่ตลอดไป เม่ือถึงคราวจนตรอกจนมมุ แล้ว ฟติตัวเองข้นึ มาได้ ชว่ ยตัวเอง จนหลบหลีกปลกี ตัวออกไปได้ ไดช้ ยั ชนะขนึ้ มาในขณะทจ่ี นตรอกเปน็ ลาํ ดับลําดาไมส่ งสัยนเี่ คยไดด้ ําเนินมาแล้วจงึ ไดน้ าํ มาส่งั สอนหมู่เพ่ือน ให้เปน็ ท่ลี งใจ อยา่ ท้อถอยปล่อยวางธรรมบทนี้ คือ อตตฺ า หิ อตตฺโน นาโถ จะพน้ ภยั ไม่สงสัยสติปญั ญาใหน้ าํ มาใช้อย่าอยู่เฉย ๆ ภาวนากอ็ ย่าใหก้ เิ ลสตวั ขีเ้ กยี จเข้าไปแทรกในความสงบ พอมีจิตใจสงบบ้างแลว้ กข็ เ้ี กียจพินิจพจิ ารณาเสีย อยากจะสงบอยนู่ ั้น หลังจากน้ันกง็ ่วงเหงาหาวนอนสัปหงกงกงนั ใชไ้ มไ่ ด้ เวลาตง้ั ใจทําความสงบก็ใหเ้ ป็นความสงบภายในจิตใจจริง ๆ ดว้ ยเจตนา ด้วยความมีสติ อนั เปน็ งานสืบเนอ่ื งกนั อยู่โดยลําดบั ในขณะประกอบความพากเพียรน้นั ไม่ให้ขาดวรรคขาดตอนถงึ กาลเวลาทคี่ วรจะพินจิ พิจารณา กใ็ หเ้ ปลี่ยนงานจากความสงบมาสู่ความคดิ คน้ พจิ ารณาหาเหตุหาผล ตามสภาวธรรมซงึ่ มีอยู่ในขนั ธ์ของเรานี้เป็นสําคัญ มีอยใู่ นรูปคอื กาย เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณนซ้ี ึ่งออกมาจากใจ ใจเป็นผู้รบั ผิดชอบ มันอยู่ทีน่ ี่ เวลาจะพิจารณากพ็ ิจารณาตามสงิ่ เหลา่ น้ี เปลยี่ นอาการเทา่ นัน้ แลว้ กท็ าํ ด้วยความจงใจอย่าสักแต่ว่าทํา
นเี่ วลาดหู มู่ดเู พอื่ นทาํ ให้อิดหนาระอาใจเหมือนกนั ดูกริ ยิ าท่ีทาํ สิง่ นัน้ ส่งิ นม้ี ักจะไมค่ ่อยมีความแยบคาย อันน้สี ่อถึงเรอ่ื งปัญญา มนั บอก ออกมาภายนอกจะแสดงความโง่ความฉลาดมนั ไม่แสดงออกมาจากใจจะแสดงมาจากไหน มาเปน็ กิริยาทางกาย ทางวาจา ความประพฤติ การกระทาํ ต่าง ๆ มนั บอกอยนู่ นั้ เพราะฉะนั้นจงึ ไดพ้ ูดยํา้ แลว้ ยา้ํ เล่าอยู่เสมอวา่ ปญั ญา ๆการฆา่ กิเลสทุกประเภทเราพูดได้อย่างเต็มปากว่า ตอ้ งเป็นปญั ญาทั้งมวล สมาธิเป็นแต่เพยี งวา่ ตะล่อมกิเลสให้เข้าส่จู ุดรวมตัวไม่ฟุ้งซ่านรบกวนใจเท่า นั้น ทีเ่ รียกว่าจติ สงบก็คือกเิ ลสมันนอนกน้ เหมอื นกับตะกอนนอนกน้ โอ่งนอนกองอยูใ่ นน้นั แล้วจะปฏิบัติตอ่ ตะกอนอย่างไรบา้ งน่นั เปน็ อีกแง่หนงึ่ นนั่ เปน็ เรือ่ งของปัญญา จติ ของเราสงบ สงบตัวเขา้ มา ไม่วุ่นวายกบั สิ่งนั้นส่งิ น้ี นเี่ รียกวา่ จติ สงบตวัสมถธรรมทําให้กิเลสสงบตัวเข้ามา แตเ่ วลาทจ่ี ะแยกจะแยะกิเลสแต่ละประเภทออกมาฆา่ มาทาํ ลายเพื่อความรู้แจง้ เหน็ จริงนต้ี ้องใช้ปญั ญาทัง้ นน้ั ถงึ สงบมนั จะยึด แยบ็ ออกไปมันกย็ ึด อยู่ในภายในกายน้มี ันกย็ ึดขนั ธท์ ้ัง ๕ น้ีหมดท้ังดวงใจ ถงึ สงบมันก็ยึด เพราะฉะนัน้ จงึ ต้องได้คล่คี ลายออกมาถึงเวลาท่ีจะทําลายกนั แลว้ คลค่ี ลายออกมาด้วยปญั ญา พนิ ิจพิจารณาให้เหน็ แจม่ แจง้ ชดั เจน พอเขา้ ใจเตม็ ที่แล้วมันปลอ่ ยของมันเองเช่นอย่างรปู กายนี่ กายของเราทุกสัดทุกสว่ นเรียกวา่ กองรูป ขันธแ์ ปลว่ากองหรือแปลว่าหมวด พิจารณากองรูปได้แกร่ ่างกายนี้ จะพิจารณาตรงไหนก็พจิ ารณา พิจารณาหนงั ก็ซมึ ซาบเข้าไปถงึ เน้อื ถึงเอ็นถงึ กระดกู ถงึ ภายใน ซึง่ เตม็ไปด้วยความปฏิกลู โสโครกพอ ๆ กนั ทัง้ ภายนอกภายใน พอดูไดอ้ ยูบ่ ้างแมจ้ ะเป็นของสกปรกแตเ่ ปน็ สว่ นละเอยี ดก็คือผิวหนังเท่านัน้ ปก ปดิ เอาไว้ นั่นกย็ ังขเี้ หงื่อขไ้ี คลเต็มอย่แู ล้ว เป็นขท้ี ้ังหมด บนศีรษะกิเลสหรือสง่ิ เหลา่ นก้ี ไ็ ม่นิยมว่าสงู ว่าต่ํามนั มที ้ังนัน้ เพราะฉะนั้นการพจิ ารณารปู กายเราจะพจิ ารณาตรงไหนมนั ก็ว่งิ ท่ัวถึงกนั หมด เพราะเป็นความจริงเท่ากันถ้าพูดถงึ เรอ่ื งอสุภะอสภุ งั เป็นส่งิ ทนี่ ่าเกลยี ดนา่ ขยะแขยง ไมน่ ่ายึดนา่ ถอื มนั ก็เหมือนกนั จะพจิ ารณาเป็น อนจิ จฺ ํความแปรสภาพ ทุกสว่ นมันแปรเหมอื นกันหมด ไมม่ สี ว่ นไหนท่จี ะยับยง้ั ตง้ั ตัวอยู่โดยไม่เดนิ ตามทาง อนิจจฺ ํ ทุกขฺ ํอนตตฺ า มันเก่ยี วโยงกนั ไป ทาํ หนา้ ทพ่ี ร้อม ๆ กนั ไปจนกระท่ังมคี วามรู้แจง้ เห็นจรงิ ประจักษ์ดว้ ยปัญญาแล้ว ไอ้ท่ีมันเคยยดึ ถืออยู่อยา่ งเหนยี วแน่นมน่ั คงก็คือกายน้ีแลเป็นสาํ คัญ แมเ้ ช่นนัน้ มนั กท็ นไม่ได้ เมือ่ ได้เห็นความจรงิ ประจักษ์ด้วยปญั ญาแลว้ จติ ถอนตัวออกมาไดท้ ันที อปุ าทานในขันธ์คอื รูปขนั ธ์ถอนตวั ออกมาได้ด้วยปญั ญา นีก่ เิ ลสประเภทหลงกาย ประเภทยึดกายเพราะความหลงน้ี ถอนออกม?ได้ดว้ ยปญั ญาพจิ ารณาใน ๓ สถาน ๔ สถานน้ี คืออสภุ ะอสุภงั ทกุ ฺขํ อนิจฺจํ อนตฺตา พ้นจากนี้ไปไม่ได้ถา้ ใจได้ซงึ้ ถงึ ธรรม ๓ – ๔ อย่างนแ้ี ล้วก็ปลอ่ ย ปลอ่ ยอุปาทานความยดึ มัน่ ในกาย เวทนาทเี่ กิดขน้ึ ภายในกายในจิตมันกเ็ ปน็ ตวั อนิจฺจํ ทกุ ขฺ ํ อนตฺตา เหมือนกนั ไม่ว่าสขุ ไม่ว่าทกุ ข์ ไม่วา่ เฉย ๆ มันเปน็ ไตรลกั ษณเ์ หมือนกัน พลิก
ออกมาแตว่ า่ เปน็ อสุภะอสุภังกไ็ ดใ้ นฝา่ ยรูปขนั ธ์เท่านน้ั พลกิ ออกมานิดหนง่ึ ก็มาเป็นไตรลักษณน์ เี้ สยี เพราะไตรลกั ษณ์เป็นทร่ี วมแห่งธรรมท้งั มวลสญั ญา ความจําไดห้ มายรู้ สังขารความคิดความปรงุ ภายในจติ ใจ วิญญาณความรบั ทราบในขณะทีร่ ูป เสยี ง กล่ิน รสเป็นตน้ มาสมั ผสั ตา หู จมกู ลน้ิ กาย เปน็ ต้น เกดิ แล้วดบั ไป ๆ ประกาศตัว อนิจฺจํ ทกุ ฺขํ อนตฺตา อยูใ่ นตวั อย่างสมบรู ณข์ องเขา ถา้ สติปญั ญาได้พนิ ิจพจิ ารณาตามความสมบูรณข์ องไตรลักษณ์ที่ประกาศกังวานอยู่ ภายในขนั ธ์น้ีโดยตลอดทั่วถงึ แล้ว ทาํ ไมใจจะไม่ปล่อยการยึดไว้ถือไวเ้ พราะความสาํ คญั ผิดตา่ งหาก เมอ่ื ความเข้าใจอนั ถูกต้องแลว้ ก็วางลงสู่ความจริงให้ถูกตอ้ ง ไมย่ ดึ ไม่ถือให้หนกั หน่วงถว่ งหวั ใจเปลา่ ๆ ไดร้ บั ความทุกข์ความทรมานมามากเพยี งไรเพราะความยึดมนั่ ถอื ม่ันสาํ คญั ผดิ ไปแบกหามสง่ิ เหลา่ นีว้ ่าเป็นเราเป็นของเรา คือความเป็นพิษเป็นภัยไดถ้ อนออกหมดด้วยปัญญา นล่ี ะหลกั ของการพิจารณาเปน็ อย่างนี้เมื่อถอนไปหมดแลว้ มนั ไปไหนทน่ี ี่ กิเลสมันมาเที่ยวซมุ่ เที่ยวซอ่ นอยตู่ ามรปู ทุกสดั ทุกสว่ นของรูป ทุกอาการของรปู ก็ถกู ทาํ ลายไปแลว้ ดว้ ยปัญญา เวทนา ความสขุ ทุกข์ เฉย ๆ ทางสว่ นร่างกายน้ี กร็ ้เู ทา่ ทันแลว้ ถอนอปุ าทานจากความสุข ความทกุ ข์ ความเฉย ๆ วา่ เปน็ เราเปน็ ของเราเสยี แล้ว สัญญา ความจาํ ได้หมายรู้ กถ็ อนจากความเปน็ เราเป็นของเราเสียแล้ว มอบให้ อนจิ จฺ ํ ทกุ ฺขํ อนตฺตา อนั เป็นความจรงิ ประเภทหนง่ึ ไปเสีย สงั ขาร วญิ ญาณ กเ็ หมือนกนัมอบลงสคู่ วามจริงของเขาด้วยปัญญาอนั เหน็ ชอบของเราทีน้กี เิ ลสท่จี ะไปซุ่มซ่อนอย่ใู นรูปกไ็ ม่มี เพราะถูกถอดถูกถอนออกไปโดยลําดับ ถูกฆา่ ถกู ฟนั โดยลาํ ดบั สะพานทเ่ี กย่ี วโยงออกไปไปใกล้ไปไกล ออกไปหา รปู เสียง กล่นิ รส ออกไปจากตา หู จมกู ล้ิน กาย ออกไปสัมผสั สมั พนั ธ์กับรูปเสียง กลน่ิ รส เครื่องสัมผสั ต่าง ๆ กถ็ กู ทําลายลงไปหมด ไม่มที สี่ บื ตอ่ แม้อายตนะภายในกถ็ ูกทาํ ลายลงไป กองรปู ก็ทาํ ลายลงไปด้วยปัญญา กองเวทนา กายเวทนาก็ถกู ทําลายลงไปดว้ ยปญั ญา สญั ญา สังขาร วญิ ญาณ กถ็ ูกทําลายลงไปด้วยสตปิ ญั ญากิเลสประเภทตา่ ง ๆ ทเ่ี คยหลบเคยซอ่ น เคยยดึ เคยถอื ให้เป็นเครื่องกดถว่ งจติ ใจ บีบค้นั จิตใจอยูก่ บั สง่ิ เหล่านี้ ได้ถูกทาํ ลายไปหมดแล้ว นี่ละการพิจารณาทางด้านปัญญา แล้วกิเลสจะไปไหน บริษทั บริวารถูกฆา่ ถูกทําลายไปหมดแลว้กเ็ หลือแต่องค์กษัตริยใ์ หญ่ของมนั เท่านั้นเอง ท่านเรยี กวา่ อวิชชา ไมม่ สี มนุ ไม่มีทางออกหากนิ เสียแลว้ ออกมาทางรปูทางเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณก็ออกไม่ได้ถูกตัดสะพานแล้ว ออกไปรูป เสียง กล่นิ รสกย็ ่ิงไกล ถูกตัดเข้ามาโดยลาํ ดบั ๆ จนกระท่งั ในขนั ธก์ ็ตัดขาดหมดแลว้ ไมม่ ีท่ตี อ่ เพียงเทา่ น้ีเรากท็ ราบไดช้ ัดว่า จติ น้ีเปน็ ตวั การแห่งการเกิดการตาย ยงั ไม่ถงึ ขนั้ ดับอวิชชาก็ตาม
เพียงเทา่ น้ีกท็ ราบได้ชดั แล้ววา่ ตวั อวชิ ชฺ าปจจฺ ยา น้ีพาใหส้ ืบหนอ่ ตอ่ แขนงออกไปกวา้ งแคบขนาดไหนไม่มีประมาณใหเ้ กิดภพเกิดชาตทิ ่นี ั่นทน่ี ่ีเป็นไปเพราะอนั ใดก็รูช้ ัด น่เี วลาขาดลงไปโดยลําดบั ๆ ไมม่ เี ง่ือนตอ่ แลว้ กท็ ราบชัดว่าเง่ือนต่อทจี่ ะไปให้เกดิ ภพเกดิ ชาตใิ นภพนั้นภพน้ีอีกอนั เป็นส่วน หยาบ ๆ ท้งั หลายไมม่ ี นอกจากสว่ นละเอียดยังมีอยู่ในตวั ของมัน มันกร็ วมตวั เข้าไปอย่ใู นจิต จิตกบั อวชิ ชากลมกลนื เป็นอันเดียวกนั นัน่ เห็นไหมความแยบคายของกิเลสผู้ปฏิบตั ิถ้าไม่ไดป้ ฏบิ ตั ิไมไ่ ด้เจอไมร่ ูว้ ่ากเิ ลสแหลมคมขนาดไหน ละเอียดลออขนาดไหน เพียงแต่สมุนของมันท่ีแสดงตวั ออกมาเทา่ น้ันก็หลงกันเต็มโลกเต็มสงสารแลว้ เหตุใดเราจะไปสามารถรกู้ ษตั ริยข์ องกิเลสท้งั หลายได้งา่ ย ๆ จงึตอ้ งถากต้องถางตอ้ งตัดต้องฟันเข้าไป ๆ แม้ทสี่ ุดจนถึงจุดที่จะถึงปากถงึ ทอ้ งอยแู่ ลว้ มนั ก็ยงั เอายาพิษไปวางไวต้ รงนั้นอีก ตดิ ทนี่ ่ัน ไปยึดจิตซึ่งเต็มไปด้วยยาพิษคืออวิชชาน้นั วา่ เป็นเราเปน็ ของเราจนได้ นน่ั ถึงว่ามนั เอายาพิษไปฝงั ไว้นัน่ แล้ว เมอ่ื ยึดนน้ั กเ็ อาอกี ถึงจะไม่เกดิ ภพน้อยภพใหญก่ ็ตาม แมภ้ พที่เป็นสขุ และแน่วแนต่ ่อความหลุดพน้ กเ็ ปน็ การลา่ ช้า ยังถูกหลอกของอวิชชาอยจู่ นได้นน่ั แลเพราะฉะนั้นปัญญาเม่ือไดฟ้ าดฟนั ห่ันแหลกเข้าไปโดยลาํ ดับ เชอ้ื อยู่ท่ีไหนเป็นต้องติดตามเขา้ ไป เชื้ออนั เป็นข้าศึกจอมข้าศกึ อันแทจ้ รงิ คืออะไรอยูท่ ี่ไหน หนจี ากใจไดเ้ หรอ มนั ต้องพิจารณาเขา้ ไป ตอนน้นั ซีตอนไปเจออวชิ ชาใหม้ ันกล่อม นัน่ เราจะเห็นไดว้ ่าอวชิ ชาละเอียดขนาดไหน พอไปถึงจดุ นั้นกว็ ่าตัววิเศษวโิ สอศั จรรย์เกินโลก มีความสง่าผ่าเผย มคี วามสวา่ งกระจ่างแจง้ มคี วามองอาจกลา้ หาญ มแี ตเ่ รอื่ งอวิชชาดัดทง้ั นั้น ตบตาปัญญาเสียไมร่ ้ตู ัว สติปญั ญาเลยกลายเปน็ องครักษ์ไปรักษาอวชิ ชาอย่างไม่รตู้ ัวน่นั เห็นไหม ถึงขัน้ สตขิ นั้ ปญั ญาอตั โนมตั ิกต็ ามยังต้องหลงกลอวชิ ชาจนได้ ถ้าไม่มผี แู้ นะไวก้ อ่ นอยา่ งไรต้องเปน็ อย่างนี้ กอ่ นท่ีจะผ่านไปได้ไม่เรว็ ก็ชา้ ตอ้ งติดเสยี ก่อน ถา้ มีผแู้ นะไวก้ ่อนแล้ว พอไปถงึ จดุ น้ตี ามหลักความจรงิ ของตนประจักษ์แล้ว ก็เขา้ ใจได้เอง อ๋อ ตรงนี้เหรอทีท่ ่านวา่ อย่างน้ัน ๆ สติปญั ญาก็ใส่เข้าไปทนั ที พงั ทลายเลยไม่ไดช้ กั ชา้อนิจฺจํ ทุกขฺ ํ อนตฺตา ก็ไปรวมอยูน่ ัน้ หมดสว่ น อนิจจฺ ํ ทกุ ฺขํ อนตฺตา ในรูป เวทนา สญั ญา สังขาร วิญญาณ น้ีมันหมดปญั หาไปแลว้ ผา่ นไปแล้วไมม่ ายงุ่วา่ อันน้เี ป็น อนจิ จฺ ํ นเ้ี ป็น ทุกขฺ ํ น้เี ป็น อนตฺตา เมอ่ื ผา่ นไปแล้ว ๆ สง่ิ เหลา่ นี้เป็นทาง อนิจจฺ ํ ทกุ ฺขํ อนตฺตา เป็นไตรลักษณเ์ ป็นทางเดินเพอื่ ความหลดุ พน้ เม่อื ผ่านพ้นไปถึงไหน ๆ แลว้ สงิ่ ที่ผ่านไปแล้วมนั ก็หมดความหมายไม่วา่ อนิจจฺ ํ ทกุ ฺขํ อนตตฺ าไป โดยลาํ ดับ ไม่ต้องมาเสกมาสรรกนั อีก ทีนอี้ นั นี้กไ็ ปรวมตัวอยู่กบั อวชิ ชา เพราะเป็นสมมุตดิ ้วยกนั อวชิ ชาก็เป็นสมมตุ ิ สมมตุ สิ ุดยอดของสมมุติ ละเอยี ดสุดยอด อนจิ จฺ ํ ทุกฺขํ อนตฺตา กล็ ะเอยี ดสดุยอดอยู่ในอวชิ ชานั้น สติปัญญาอันเปน็ ฝา่ ยมรรคซ่ึงเป็นสมมุตดิ ้วยกนั ก็สุดยอดผูป้ ฏิบตั ทิ ง้ั หลายพงึ สังเกตใหร้ อบคอบ ไมง่ ้ันติดและทาํ ให้ล่าชา้ ในการดําเนนิ และอย่าเข้าใจวา่ เป็นสูงเปน็ ตาํ่ เปน็ ท่ียึดเป็นทไี่ วใ้ จท่ตี ้องใจเมื่อพิจารณาเขา้ ไป เม่ือถงึ ขั้นที่จะทาํ ลายกนั แลว้ นนั้ อันน้ีแลทเ่ี รยี กว่าจะว่าขิปปาภญิ ญาหรอืวา่ อคุ ฆตติ ัญญูก็ไดเ้ มอื่ ถงึ ขน้ั นี้ แล้ว ไม่นาน เปน็ ขน้ั ละเอยี ด ถ้าวา่ งานก็ง่ายแลว้ มีแตย่ ุบยิบ ๆ อยู่ภายในจิตเทา่ น้นันอกน้ันหมดปญั หาไปโดยประการท้ังปวง ประหน่งึ วา่ เราไม่เคยพจิ ารณามาเลย คือจติ ไม่สนใจกบั ส่งิ ใดทัง้ นน้ั เพราะ
ไม่ติดใจ ปล่อยมาแล้ว วางมาแล้ว รแู้ ลว้ เห็นแล้วไปยุง่ ทําไม มนั รเู้ อง ตรงไหนท่ียังมีสัมผัสสมั พนั ธ์ดูดดืม่ อยู่ ตรงน้นัแหละเปน็ จดุ ที่อยขู่ องข้าศกึ จงึ ตอ้ งรบกนั ทต่ี รงนน้ั ฟาดฟนั หน่ั แหลกกันท่ีตรงน้นัพอจดุ สุดทา้ ยพังทลายลงไปดว้ ยปัญญาอนั ทันสมัยแลว้ ก็หมดปัญหาโดยส้นิ เชิง จะพจิ ารณาว่าอนั นี้เปน็ อนจิ จฺ ํทกุ ขฺ ํ อนตฺตา อะไรอกี ใจเป็น อนจิ ฺจํ ทกุ ฺขํ อนตตฺ า ได้ยังไง อนิจจฺ ํ ทุกขฺ ํ อนตตฺ า เป็นทางเดินเพ่อื พระนพิ พานต่างหาก ใจทบี่ รสิ ุทธิแ์ ล้วเป็น อนตตฺ า ได้ยงั ไง ถ้าใจทบี่ ริสุทธ์แิ ล้วเปน็ อนตฺตา นิพพานเปน็ อนตตฺ า นิพพานก็เปน็ ไตรลกั ษณ์ละซิ เปน็ ของอัศจรรยอ์ ะไร เพราะฉะน้นั ธรรมชาตนิ น้ั จงึ ไม่มสี มมุติทีจ่ ะพูดวา่ เปน็ อตตฺ า หรือเป็นอนตฺตา เพราะทง้ั สองน้ีเปน็ สมมตุ ิด้วยกนัอนั น้ันไมใ่ ช่สมมุติ พน้ วสิ ัยของสมมุติไปแล้ว ทา่ นจงึ ให้ช่ือเพียงว่าวิมุตติเทา่ นน้ั แล้วกไ็ มข่ ดั กบั ธรรมบทใดเหมอื นคําว่า อนตตฺ า ถา้ ว่า อนตฺตา กข็ ดั กบั ไตรลักษณ์ ดงึ พระนพิ พานมาเปน็ ไตรลักษณ์เสียเอง เป็นวมิ ตุ ติพ้นแลว้ ก็หมดปัญหา เมอ่ื ถึงจุดน้ีว่าขิปปาภิญญากไ็ ด้ เพราะเปน็ ข้นึ เพียงขณะเดียวเทา่ น้ัน อคุ ฆตติ ญั ญูกไ็ ด้ ทราบกลมายาของกิเลสทัง้ มวลโดยลาํ ดบั ๆ ไปถึงขณะนน้ั ย่ิงจะทราบเลย เรยี กวา่ อคุ ฆติตัญญูก็ได้ วปิ จติ ญั ญกู ไ็ ด้หากมเี หตุมผี ลเป็นเคร่อื งเทียบเคยี งตนเอง สอนตนเอง พิจารณาโดยลาํ พังตนเอง ฟงั เทศนร์ ะหว่างอวิชชากบั จิตหรือระหว่างขันธก์ บั จิตต้งั แตเ่ วทนา สญั ญา สังขาร วญิ ญาณไปแหละ น่ีเปน็ เรอื่ งฟังธรรมท้ังกลางวนั กลางคืนไปตลอดสาย สว่ นรูปนี้เวลาชํานชิ ํานาญทางอสุภะแล้วกเ็ ป็นได้ พิจารณาท้ังกลางวันกลางคืน ยงิ่ ไปถึงขัน้ อวิชชาด้วยแลว้ เหมอื นนํา้ ซบั นํ้าซึมไหลรินอยู่ทั้งแลง้ ทง้ั ฝน สตปิ ญั ญาขน้ั ละเอยี ดกบั กเิ ลสประเภทละเอียดตามต้อนกนั พจิ ารณากนั ต่อสกู้ ัน จนกระทั่งหมดสิง่ ที่จะต่อสู้ หมดขา้ ศึก หมดสมมตุ ิ หมดศตั รภู ายในจติ ใจแล้ว สตปิ ัญญาท่หี มนุ ตัวเป็นเกลยี วอยเู่ หมือนธรรมจักรก็หมดปญั หาไปเอง เพราะสติปัญญาก็เปน็ สมมตุ ฝิ ่ายแก้ สมุทัยก็เป็นสมมตุ ิฝ่ายผกู มัด เมอื่ ฝ่ายน้ันซงึ่ เปน็ ฝา่ ยกิเลสส้ินสุดลงไปหรอื หมดปัญหาลงไปแลว้ สตปิ ัญญาประเภทมรรคจะไปแก้อะไร ย่อมหมดปัญหาไปเช่นเดยี วกันหากจะพูดกว็ ่าสตใิ นหลักธรรมชาติ ปัญญาในหลักธรรมชาติ หรอื ว่าปญั ญาญาณไปเสยี แตก่ เ็ ป็นสมมุติด้วยกันธรรมชาติทบี่ ริสุทธนิ์ ีเ้ ท่านนั้ เป็นวมิ ุตติ ไม่มีอาการ อันใดทีแ่ สดงอาการออกอนั น้นั เป็นสมมตุ ิท้ังมวล อาศยั กันไปเพยี งระยะช่ัวขนั ธแ์ ตกสลายเทา่ นัน้ พอขันธแ์ ตกสลายไปแล้วอนั นี้ก็หมดปัญหา อาการท้ังมวลนกี้ เ็ ป็นไปตามสมมตุ ิทง้ั หมด ส่วนวมิ ตุ ตนิ ัน้ ไมใ่ ชน่ กั โทษไม่ใชผ่ ูต้ อ้ งหา จะต้องไปเทีย่ วหาต้ังชอ่ื ตั้งนาม ไปหาค้นคว้าวา่ ไปอยู่ท่ีไหน ๆ อะไรถา้ เป็นผู้ต้องหาก็จะต้องตามจับควบคมุ ตวั มาลงโทษ น่นั เป็นวิมุตติขอให้เป็นเถอะใครเปน็ ก็รู้ไดท้ ุกคนนัน่ แหละ สนทฺ ฏิ ฐฺ โิ ก พระพุทธเจ้าไม่ได้ผูกขาด มอบใหก้ บั ผู้ปฏบิ ตั ทิ ุกคนจะพึงรู้โดยลําพงั ตนเอง สนฺทฏิ ฐฺ โิ ก จะเปน็ ผพู้ งึ รู้เองเหน็ เองด้วยการปฏบิ ัติตามสตปิ ัญญาของตนเอง ปจฺจตตฺ ํ เวทติ พโฺ พวญิ ญฺ ูหิ ทา่ นผรู้ ทู้ ้งั หลายจะพึงร้จู าํ เพาะตน มนั ก็หมดปญั หา
นั่นละหนกั มาขนาดไหน ทุกข์มาเพียงไรก็ตาม เมอ่ื มาถงึ จดุ น้ีแลว้ มันลบล้างกันหมดเรื่องความทกุ ขท์ ้งั หลาย ไม่เสยี ดายความเพยี รของตนทีท่ ํามาหนักเบามากน้อยเพยี งไรแทบล้มแทบตาย ไมไ่ ด้เสยี ดายกาํ ลังความเพียรทท่ี ําอยู่น้นั ดว้ ยความทกุ ขย์ ากลําบาก เพราะคณุ คา่ เกนิ คาดเกนิ หมาย เปน็ ธรรมล้นคา่ ทาํ ไมเราจะต้องมาถือความทกุ ข์ความลาํ บากซึง่ เปรียบเหมอื นมูตรเหมอื นคูถนเี้ ป็น อุปสรรค แล้วเราจะเหน็ ธรรมอนั ประเสริฐท่ีเปน็ เครือ่ งลบลา้ งสิ่งเหลา่ นี้ไดย้ งั ไง ต้องคดิ อยา่ งน้นั นักปฏิบัติอยา่ ท้อถอยอ่อนแออนั เป็นกลมายาของกิเลสทั้งมวล มีอยูร่ อบจติ ใจของเรา พากนั คิดอ่านไตรต่ รองให้ดีทุกสิ่งทกุอยา่ ง จะเป็นไปด้วยความราบรน่ื ดีงาม สมนามวา่ เราเป็นผู้มาชาํ ระกิเลส อยา่ ให้กิเลสมาเหยยี บยํ่าทําลายหัวใจเรากริ ยิ ามารยาทอาการแสดงออกทุกแง่ทุกมุม อยา่ ให้เป็นเร่ืองของกเิ ลสท้งั มวลดงั ทเี่ คยเป็นอย่นู ้ี ใหเ้ ป็นเรือ่ งของธรรมไดม้ ีโอกาสแสดงออกมาบา้ ง ดว้ ยความพยายามของเรา สมกบั นามว่าเปน็ นกั ปฏบิ ัติ เปน็ นกั ตอ่ สู้ เป็นนักใคร่ครวญเพื่อความรคู้ วามฉลาดวันนเ้ี ทศนเ์ พยี งเท่าน้ีพดู ทา้ ยเทศน์พดู ใหส้ ตหิ มูเ่ พื่อนใหข้ ้อคิดอบุ ายวธิ ีตอ่ สกู้ บั กิเลส ไมง่ น้ั ไม่ทันมันง่าย ๆ นะ ละเอียดสุดทเี ดียว แต่เมือ่ รู้เร่ืองของมันเสียหมดจนปราบมนั อยหู่ มัด พดู ง่าย ๆ นะ แลว้ น้ัน มันจะแสดงอย่ทู ่ีไหนมันร้ทู น่ี ี่ ไม่ว่ามันจะแสดงออกมากบั คนออกมากับสัตว์ร้หู มด มันมแี ต่เรื่องอันเดียวท้งั น้ัน พอเรารู้ทันมนั แล้วมนั ก็หมดหนทางทําลายเรา กิเลสนล้ี ะเอียดเอาจรงิ ๆ นะ หมดเน้ือหมดตวั นี่กม็ นั ทั้งน้นั ครอบอยูห่ มดทุกขุมขน เพราะฉะนนั้ จงึ แก้มนั ยากนะ ตอ้ งเอาจริง ๆ ใช้ความพนิ จิ พิจารณา ใช้ความอดความทนพากเพียร เอาใหเ้ ต็มทีเ่ ตม็ ฐาน เพราะเราตัง้ หน้าตั้งตาจะเอาชนะมนั อยู่แล้วจะให้แพ้มนั มันสมควรเหรอกับเราผตู้ ั้งใจจะเอาชนะมัน แต่แลว้ กลับแพม้ ันอย่างหลดุ ลยุ่ ๆ ฟงั แตว่ า่ หลุดลุ่ย ๆ น่ันเถอะ ไม่เป็นทา่ อะไรเลยน่ีไดเ้ คยปฏบิ ัติมา โอโ้ ห พจิ ารณาย้อนหลัง แหม บางทีจะร้องหม่ ร้องไห้และนํ้าตาร่วงคดิ ดูอย่างตอนจติ เสอื่ ม แหมมันเสียใจเสียจน ถา้ เป็นทางโลกกเ็ รียกว่าผูกโกรธผูกแค้น พอได้ท่ีเท่านัน้ ละแหม ทีน้ีกาํ ลังทางความเพียรความเปน็นักต่อสู้ไม่ทราบมาจากไหน ถ้าเราเทยี บแบบโลกนะ ฆ่าคนไดเ้ ขาฆา่ กนั ไดเ้ พราะเหตนุ ี้เอง มนั เคียดแคน้ อยา่ งถงึ ใจแตน่ ีม้ ันเปน็ เร่อื งของธรรมไม่จัดวา่ เป็นกิเลสเสีย เปน็ ฝา่ ยมรรค คอื พลงั ของธรรมขึ้นเต็มทีต่ อ่ สู้กับกิเลส ถ้าเปน็ ทางโลกน้กี เ็ รยี กว่าเป็นสมุทยั เป็นความอาฆาตจรงิ ๆ อนั นไ้ี ม่เป็นอย่างนน้ั เปน็ พลงั ของธรรมไม่ยอมท่จี ะใหแ้ พไ้ ด้อีกตอ่ ไป ใหเ้ ส่ือมอกี ต่อไปได้ต้งั แตน่ นั้ มาเหมอื นเป็นอาจารยเ์ อกทีเดยี ว ไปที่ไหนนม่ี นั ฟติ ตัวของมันป๋ัง ๆ ไม่ค้นุ กับใครเลยแหละ จ่อหัวมันอยู่นัน่เลย แล้วจิตก็ไม่เส่อื มเพราะกิเลสและธรรมไมช่ อบคนเซ่อน่ี เซ่อตรงไหนมนั เข้าตรงน้ันละกิเลส ธรรมทา่ นกไ็ มไ่ ด้สอนใหเ้ ซ่อ สอนใหฉ้ ลาด แตส่ ุดท้ายมนั กม็ าจมอยู่ในสมาธิจนได้ มันเอาช่องหน่ึงจนได้กิเลส
เวลาสมาธไิ ด้อยา่ งใจแล้ว ทนี่ ก่ี ็เลยติดสมาธิเสยี ไม่อยากออกพจิ ารณาทางด้านปญั ญา เหน็ ว่าลาํ บากลาํ บน เข้าอยู่ในความรู้แนว่ อยู่อันเดยี ว ไม่กระทบกระเทือนกับอะไรเพราะไม่ออกมาสู้กับอะไรนี่ อยู่เทา่ ไรกไ็ ด้ กต็ ดิ ตรงนัน้ เสยี กเิ ลสก็ไปกลอ่ มตรงนน้ั อีกแหละ ตดิ สมาธไิ มเ่ ป็นกิเลสจะเปน็ อะไร ความหลงความตดิ ความติดสุขมนั กเ็ ปน็ สมุทัยเสยีแน่ะ มันเอาจนได้นะ ยงั ดพี อ่ แมค่ รูอาจารยท์ า่ นยังมีชีวติ อยูท่ ่านขนาบออกมันถงึ ออก ไม่งนั้ ไม่ยอมออกงา่ ย ๆ นะเวลาออกจากสมาธเิ พ่ือปัญญา มนั ก็ออกอยา่ งแหวกแนวเหมือนกนั นิสัยผมมนั ผาดโผนรเู้ จ้าของ ผาดโผนจรงิ ๆเพราะฉะนัน้ ครูอาจารยผ์ มู้ าสอนกต็ ้องฉลาดจรงิ ๆ ถงึ จะสอนได้ อย่างพ่อแม่ครูอาจารย์ไม่มีทางตาํ หนแิ ลว้ เวลามนัออกมันก็ออกอยา่ งผาดโผน ออกแบบไม่ยอมเข้า มีแต่จะออกทา่ เดียว ว่ากเิ ลสตายดว้ ยปัญญา ก็เลยมีแตจ่ ะเอาปัญญาไม่คํานึงถงึ สมาธิเลย แล้วตําหนิสมาธิด้วยซ้ําว่านอนตายอยูเ่ ฉย ๆ แนะ่ มันไม่พอดี เวลาผ่านไปถงึ รู้ นั่นเป็นครูหมดเวลาจะตายจรงิ ๆ ก็เขา้ สมาธิ แตบ่ งั คบั เข้านะไม่งัน้ ไมย่ อมเข้า จะตายจรงิ ๆ ยังตอ่ สู้กนั อยู่ไม่ถอย เพียงยกมือไปแปะ ๆ มันต่อยไมไ่ ดห้ มดกาํ ลัง เอามือไปแปะ ๆ กัน เอาหมัดไปแปะ ๆ กนั มันไมม่ ีกาํ ลังจะต่อยก็ยงั ไมถ่ อยจติ นี่ นั่นละมันจะตายจริง ๆ ก็หมนุ ตัวเขา้ มาส่สู มาธิ บังคับเข้า สุดทา้ ยก็เอาพทุ โธกาํ กับนะ ไม่ง้ันมนั จะผึงออกไปทาํ งานไมใ่ ชม่ นั จะไปไหนนะมนั จะผงึ ไปส่งู าน บังคบั ไวอ้ ยา่ งขนาดน้นั ทีเดียวผมน่ะ นิสัยมันผาดโผน บงั คบั ไว้ ๆ เอาจรงิ เอาจงั พุทโธใหถ้ ีย่ ิบไมย่ อมให้ออก สกั เดยี๋ วจติ กค็ ่อยสงบเข้ามา ๆ เพราะมันจรงิ ทุกอย่างน่ี เวลาสงบก็จริงไมย่ อมให้ทํางาน จิตจะออกไมใ่ ห้ออกบังคับไว้ โอย๋ เปน็ ภาระจริง ๆ เปน็ ธรุ ะภาระจริง ๆ ใส่เข้าไปมันกส็ งบแน่วลง โหเหมือนกบั ถอดเสย้ี นถอดหนามนะ จติ มีกาํ ลงั วังชาเบาโหวงเทยี วในตวั นี่ จติ แนว่ พักให้เต็มท่ี เรอ่ื งถอนไม่ต้องบอกพอแต่ปล่อยเมื่อไรจะออกผงึ เลย ผงึ กผ็ ึงใสง่ านนะไมใ่ ชผ่ ึงไปไหนแหละพอถอนออกมาปั๊บกป็ บุ๊ เลย เอ้า ปลอ่ ย มนั กระหนํ่ากัน ถ้าคมมีดก็เหมือนมีดไดล้ ับหนิ เรียบร้อยแลว้ คนก็ได้รับประทานอาหารไดพ้ ักผ่อนนอนหลับให้สบายแลว้ งานกง็ านชิ้นนัน้ มันทนไปไดย้ ังไง มดี กม็ ีดเล่มนี้แหละแต่ไดล้ ับหนิ แล้ว คนก็คนคนนี้ผูท้ ํางานแตม่ ีกาํ ลงั วงั ชาแล้ว พักผอ่ นนอนหลับรบั ประทานอาหารเรียบร้อยแลว้ ฟันลงไป งานช้ินนไี้ ม้ทอ่ นน้ีขาดสะบ้นั ไปเลยคราวนี้ แต่เพราะความดว่ นนน่ั เองละ ความเห็นโทษมาก ความดว่ น รีบด่วนจติ จึงไม่อยากจะเข้าสมาธิก็เหน็ คณุ ค่าอยู่แตม่ นั กเ็ ห็นคุณคา่ แหง่ การต่อส้มู ากย่ิงกวา่ สมาธิ จนกระทั่งจิตผ่านของมันไปแล้ว มนั ฟดั มันเหว่ียงกันจนผา่ นไปแลว้ ทนี ีถ้ งึ มาเปน็ บทเรียนทั้งหมด อทุ ธัจจะ ทา่ นว่า ความฟุ้งซ่าน ไมใ่ ช่ฟุ้งซ่านไปโน่นนะ ความฟ้งุ ความเพลนิ ในงานท่ีตนทํา ที่ตนแก้กเิ ลสนัน้ อุทธจั จะกกุ กจุ จะ ในนวิ รณ์ ๕ กบั อุทธัจจะอันนต้ี ่างกันคนละโลก มนัเหมือนกันไดย้ งั ไงอทุ ธจั จะในนิวรณ์ ๕ ก็มีอยู่ในคนท่ัว ๆ ไป แต่อทุ ธจั จะอันน้ีจติ เพลินในการพจิ ารณา การต่อสู้กับกเิ ลส เพลิ?จนลืมพักผ่อนในสมาธิ ทา่ นเรียกอทุ ธจั จะ คือจิตไมร่ อบตวั กเ็ ปน็ สังโยชนอ์ นั หนงึ่ มานะกห็ มายถึงจิตดวงผอ่ งใสนีแ่ หละที่วา่ มานะ ๙ น่ัน เอาผ่องใสน่ียกขึ้นเป็นเขี้ยวเปน็ เขาข้นึ มา ทา่ นถงึ ได้ว่า สามสามเปน็ เกา้ ตนตํ่ากวา่ เขา สาํ คัญวา่ ตา่ํ
กว่าเขา สําคัญวา่ เสมอเขา สาํ คัญว่าย่ิงกว่าเขา ตัวเสมอเขา สาํ คัญว่าต่าํ กว่าเขา สําคญั ว่าเสมอเขา สาํ คัญวา่ ยงิ่ กวา่เขา ตนยง่ิ กว่าเขา สาํ คัญว่าตํ่ากวา่ เขา สาํ คัญว่าเสมอเขา สําคัญวา่ ยง่ิ กวา่ เขา เกา้ แล้วน่ัน เอาอันนีแ้ หละเปน็ เขยี้ วเปน็ เขา พออันนี้พงั ลงไปแลว้ เอาอะไรมาเทียบมาเคยี ง เอาอะไรมาฟัดมาเหว่ียงกนั ไม่มี เขี้ยวเขากห็ มดไปแลว้เขี้ยวเขากเ็ ขยี้ วเขาของอวิชฺชาปจจฺ ยา สงขฺ ารา น่นั พอต่อยเข้ียวมันหักลงไปแล้ว จะเอาอะไรมาแขง่ อยากสู้กบั อะไรอกี อยากสู้ก็ไม่อยากสู้ กล้ากไ็ ม่กล้า กลวั กไ็ ม่กลัว ความกล้าความกลัวมันกเ็ ป็นกเิ ลสทั้งมวล นลี่ ะท่วี า่ มานะ ๙ พอจากอวิชชานีแ้ ลว้ ถืออะไร มันไมม่ ีทถ่ี ือนี่ จะไปบอกให้มนั ถืออะไรอกี ลงในนี้หมดนนั่ แหละ รปู ราคะ อรปู ราคะมานะ อุทธจั จะ รปู ราคะกย็ นิ ดใี น แต่สาํ หรบั ผมการปฏบิ ตั ิของผมผมว่ายนิ ดภี าพภายในจิต เพราะเราปรากฏอย่างนน้ั เป็นภาพภายในจติ ข้างนอกมันสละมาแล้ว มนั เปน็ ภาพอันหนง่ึ อยู่ภายใน มนั กม็ ายินดีในการพิจารณานี้ความยนิ ดีในการพิจารณาน้ันแหละทา่ นเรียกรูปราคะ ไม่ได้เป็นราคะตัณหาแบบโลก ๆ ทง้ั หลายเขาเป็นนะ แตม่ นัไมม่ ีศพั ท์อะไรที่จะมาใช้ใหเ้ หมาะสมกบั น้ีทา่ นกว็ า่ ราคะ คอื ความเพลิน ความพอใจในการพจิ ารณาอย่กู ับอนั นัน้พอใจกบั อันนั้น แต่มนั ไปปรากฏเป็นภาพภายใน ภาพภายนอกมันออกหมดแล้ว มันปล่อยท้ิงก็เป็นภาพภายใน พออันนีอ้ อกหมดแล้วมันก็ว่างน่ีอรปู ราคะมนั ไมม่ รี ูป กย็ นิ ดีในความว่างของตวั เองเสยี นพ่ี ดู ตามหลักปฏบิ ตั ิทีป่ ระจกั ษก์ บั เจ้าของเราพดู ไดอ้ ยา่ งน้ีหรือจะวา่ ยินดใี นสขุ เวทนากย็ กให้ แต่มนั ไม่เด่นเหมือนเป็นความวา่ งนี้ มนั วา่ ง ๆ หมด มองดภู เู ขาทั้งลูก ตามันเห็นพอเปน็ เงา ๆ นี่ แต่จิตมันทะลไุ ปหมด มองดหู ินท้ังกอ้ นน้ี กอ้ นใหญ่ ๆ เทา่ กฏุ ินมี่ องดูมันพอเป็นเงา ๆ แตจ่ ิตมันว่างหมดแลว้ มองดูร่างกายเจา้ ของนก่ี เ็ หมือนกับเป็นเงา ๆ อย่างวา่ อกี เหมือนกัน อนั หน่งึ มันทะลไุ ปหมดมันว่างถึงขนาดนนั้ แต่หาร้ไู ม่ว่าตวั ผูท้ ไ่ี ปว่าเขาวา่ งมนั ไม่ได้ว่างน่ี เหมือนกับคนท่ีอยบู่ นหัวตอนมี่ องไปท่ีไหนมนั กว็ า่ งไปหมด แตห่ วั ตอท่ียืนเหยียบอยนู่ นั้ มนั ไม่ดู มนั ว่างทีไ่ หนก็หวั ตอน่นั น่ะ มันไม่ดูตรงนัน้ ซิ การพจิ ารณาทางภาคปฏิบัติสําหรบั ผมเองเป็นอยา่ งนั้น กย็ กใหต้ ามถนดั มนั ลางเนอ้ื ชอบลางยา ผมมนั มาถนดั เอาความวา่ ง มนั ตดิ อยู่ในความวา่ ง อรปู ราคะยินดีอยู่ในความวา่ ง เพลินอยู่ในนน้ั ฝึกซอ้ มกันอยนู่ ั้นเอากนั อย่นู ้ัน มานะก็ถือจิต อทุ ธจั จะความเพลินในการค้นควา้ การพนิ ิจพิจารณาอวิชชากถ็ ือตัวนีแ้ หละ พออันน้หี มดแลว้ ถอื อะไร กม็ นั ถืออยตู่ รงนนั้ มันติดอยูต่ รงน้นั กถ็ ือตรงนั้นยินดใี นน้นั พออนันนั้ หมดไปแลว้ ไม่เห็นไปยินดีกบั อะไร ไม่เห็นไปถืออะไรไปติดอะไร ทีน้ีพออันน้หี มดไปแล้วมันกว็ ่าง วา่ งรอบตวั ท่ีนี่มนั ไมว่ า่ งอยกู่ บั ตรงนัน้ ตรงอวิชชา เหมือนกับวา่ เราข้นึ เหยยี บอยูบ่ นหัวตอ อวชิ ชาเป็นเหมอื นหวั ตอ มองไปทางไหนวา่ งหมด แต่หัวตอท่ีเรากําลงั เหยียบอยู่นั่นไมไ่ ด้มองลงไป มนั ไม่ว่างตรงน้นั พอย้อนมาดูหัวตอที่เราเหยยี บ หวั ตอก็พังไปดว้ ยกัน ทนี ้ีก็วา่ งไปหมด ว่างเป็นข้นั ๆ นเ่ี ราก็เคยเทศน์และพิมพ์ออกเป็นหนงั สือแลว้ ออกเปน็ กณั ฑ์เทศน์แล้วอยูใ่ นแวน่ ดวงใจก็มี ความวา่ งมันว่างรอบตวั จากนน้ั แล้วก็ไมม่ ีอะไรจะพูดเราพูดถงึ เร่อื งสมาธวิ ่า ในขณะท่ีจติ เป็นสมาธมิ ันกว็ ่าง พอถอนออกจากสมาธิแลว้ มนั ไม่วา่ ง ออกจากน้ันมนั กว็ ่าง ว่างเปน็ ฐานของจติ ดังท่ีพูดแล้ว ข้ึนไปอยบู่ นหวั ตอมันก็ว่าง วา่ งตามฐานของจติ ถึงจิตจะเข้าสมาธิกว็ า่ ง ออกมาแล้วความว่างก็มีประจาํ จิต เรยี กวา่ เปน็ ฐานของจติ ว่างประจําฐานของจติ ทชี่ าํ ระได้ เราก็พดู ไปแลว้ จากนั้นกว็ า่ งในความเปน็ จรงิ ของจิต คือวา่ งทั้งจติ ด้วย ไมว่ ่าแต่อันนั้นว่างอันนว้ี า่ ง เจ้าของไม่วา่ ง เจ้าของเองกว็ า่ งมันก็วางไปหมด
วางอันนนั้ กบั วางอนั นแี้ ตเ่ จา้ ของไมว่ างเจ้าของมันกย็ ังไม่ว่าง พอมาวางเจ้าของเม่ือไรมันก็ว่างเมอื่ นัน้ เรียกว่าวา่ งตลอดทว่ั ถึงแต่เราเขยี นในนนั้ เราเพยี งแต่ว่าว่างน้ีว่างข้นั สดุ ท้ายตามกาํ ลงั ของเรา เราว่าไปอย่างนน้ั เสีย ใครจะมีกําลังเหนือน้นั ก็เอาไปซีถ้าไปได้ ถงึ น้ันแล้วมนั กร็ ู้ดว้ ยกันทกุ คนแต่ไมจ่ ําเป็นจะต้องไปพูด เพราะพูดไว้สําหรับผปู้ ฏิบตั ใิ ห้พจิ ารณา ไปถึงนั้นมันจะเลยไปไหนอีกเอ้าลองดูซิเพราะฉะนนั้ พระกรรมฐานหรือผู้ปฏิบตั นิ ี้มภี มู ิจติ ภมู ิใจสูงต่ําขนาดไหน พอมาพูดตอ่ กนั ฟังเท่าน้ันแหละ มนั อ่านหวั ใจกันนี่ พิจารณายงั ไงทกุ วันนี้นัน่ ถาม พิจารณาอย่างนนั้ ๆ น่ันบอกแล้วนะน่นั อ่านหัวใจแลว้ เปิดหัวใจให้อา่ นแลว้ พจิ ารณาอยา่ งนน้ั ๆ ทราบแล้ว ทราบทันทีวา่ อยู่ในข้ันใดภมู ิใด ถ้าสมมุตวิ ่าสิ้นสุดไปแลว้ ก็ต้องพูดเร่ืองราวของจติ ป๊ับออกมาเทา่ นัน้ ไมต่ ้องมาก รูท้ นั ทีสนทฺ ฏิ ฐฺ ิโก ไม่มีปัญหา พระพุทธเจา้ ประทานไวไ้ ม่มีปญั หาจรงิ ๆ นี่ ท่มี ปี ัญหาก็มแี ต่เรื่องของกิเลสท้ังนัน้ พาให้เปน็ปัญหา ตวั น้ตี ัวมดื น่ีมันปดิ ตรงไหนมดื ตื้อไปเลย ตัวของมันไมไ่ ดม้ ดื มันฉลาด แตเ่ วลามันปิดตาสตั วโลกมันทําใหม้ ดืมดิ ปดิ ตา ลืมบญุ ลืมคณุ ลืมนรกสวรรคไ์ ปหมด ไมใ่ หเ้ ห็น ดกี ลบั เปน็ ชัว่ พลิกทางสนั เป็นคมไปหมดฟันเจ้าของแหลกใครจะไปอ่านมนั ง่าย ๆ กเิ ลส รขู้ นาดไหนกร็ ้เู ถอะ ถ้าไมร่ ตู้ ามแบบฉบบั ของพระพุทธเจ้าทสี่ อนไว้นี้ไม่มที างวา่ ง้ันเลยเรากลา้ พดู ไดเ้ ตม็ ปาก วิชาใดก็ตาม ใครเรียนมาจากไหนก็ตาม ถ้าไมใ่ ช่วิชาธรรมพระพุทธเจา้ ยงั ไงกิเลสหนังไม่ถลอก นอกจากจะเป็นเครอื่ งเสริมกิเลสเข้าไปอีก ถา้ วิชาธรรมเข้าไปจบั แล้วกเิ ลสตวั ไหนก็ขยะ ๆ แลว้ หมอบ ๆ ดีไม่ดีเรียบอา่ นหวั ใจน่ซี มิ นั สาํ คัญมากนะ ดูนอกมันดูงา่ ย ดูโน่นดนู ่ี ดตู ้นไม้ ภเู ขา ดนิ ฟา้ อากาศเป็นยังไง แตม่ าดูหัวใจน้ีดยู ากเพราะกเิ ลสพาให้ยาก ถ้าเรียนเรื่องของกิเลสจะเรยี นยากอะไร เรียนกนั ง่าย เพราะกิเลสพาให้งา่ ยนี่อยา่ งน้ีที่ทา่ นวา่ เป็นมหาสติมหาปญั ญา เวลาทา่ นมีอธกิ รณ์ พระอรหันต์มีคนฟ้องเหมือนกนั นี่คร้งั พทุ ธกาลมีนี่พระพุทธเจา้ ท่านยกมหาสติข้ึนรับ แต่ก่อนพระพทุ ธเจ้าเปน็ ประธานเป็นสักขีพยาน พระองค์รับส่ังอย่างไรแล้วเปน็ความจรงิ นี่ ใครไม่เชอ่ื พระพทุ ธเจ้าก็หมด นอกจากเทวทัตเทา่ น้นั กลายเปน็ เทวทตั ก่คี นก็ไมเ่ ช่ือเทา่ นนั้ คน ฟ้องพระอรหนั ต์ถึงขั้นทส่ี ดุ ก็มีน่ี เปน็ ปาราชิก โอย๊ อยา่ ไปฟ้องเธอ เธอเปน็ สตวิ ินยั แลว้ ท่านวา่ อยา่ งนี้นะ ท่านเอามาใช้ตอนนัน้ สติวินัยคือรอบตัวแลว้ เปน็ อฐานะ พูดง่าย ๆ พดู อย่างเราใหเ้ ต็มเม็ดเตม็ หน่วยก็วา่ อนั หนง่ึ จิตวมิ ุตติ อันมาฟ้องร้องนีเ้ ป็นสมมุตทิ ้งั มวลมันเขา้ กันได้ยงั ไงกับวมิ ุตตนิ ่ะ นพี่ ูดตามหลกั ความจริง อันนัน้ วิมตุ ติหลดุ พ้นแล้วจากสมมตุ ทิ งั้ มวล เหตุใดสมมุตนิ จ้ี ะเอ้ือมเขา้ ไปถึง ฟ้องทา่ นเป็นสังฆาฯ ปาราชิกอะไรไดอ้ ีก เพราะไมใ่ ช่วสิ ยั น่ี จติ ดวงนั้นไม่ใช่วิสัยของสมมตุ ิ การฟอ้ งร้องนี่จะเอื้อมเขา้ ไปถึงได้ไง เท่านั้นก็หมดปัญหา
มีพระอรหนั ตเ์ ท่าน้ันทา่ นจะเป็นสักขพี ยานกนั ได้ เพราะท่านเปน็ ธรรมด้วยกัน ทา่ นเหน็ ด้วยกนั ทา่ นรู้ด้วยกัน ท่านแนด่ ว้ ยกนั ในสงิ่ เหลา่ นี้ นอกน้ันกเ็ ป็นไม่ได้ ครั้งพุทธกาลกม็ ีพระพุทธเจ้า พระพุทธเจา้ กเ็ ปน็ อรหนั ต์องค์เอกจะวา่ ไงใครมาฟ้องพระพุทธเจา้ ก็รบั สั่งเสยี อย่าง วักกลิ ๆ คนถ่อย ๆ อยา่ ไปวา่ เธอ คอื ใครก็ไปตาํ หนิติเตยี นท่านองคน์ ัน้ เธอเคยส่งั สมกิริยาน้ีมาต้งั นานแสนนานแลว้ จะไปแก้ได้ยังไงจริตนิสัย ไปวา่ เธอทําไม จริตนิสยั ของใครของเราก็เป็นสมบตั ิของใครของเรา จริตนสิ ยั ไม่เปน็ โทษเป็นกรรมอะไร พระองคว์ ่าอย่างงั้นกห็ ยุดแลว้บางองคก์ ็กิริยามารยาทสวยงาม ใครก็วา่ เปน็ พระอรหันต์ เพราะคนก็คาดว่าพระอรหนั ต์ต้องมีกิรยิ ามารยาทท่ีสวยงามน่ิมนวลมาก นี่เป็นความคดิ แตไ่ ม่ไดค้ าํ นึงถึงนิสัย นิสยั เป็นของด้ังเดิม ความเปน็ อรหันตเ์ ป็นความสนิ้ จากกิเลส ?ิเลสไมไ่ ด้อยใู่ นกิรยิ าอันน้ี เพราะสิ่งนี้มันยงั ไมด่ ับ ดับได้เฉพาะพระพุทธเจา้ องค์เดียวเท่านั้น พรอ้ มท้งั นิสัยและวาสนา นอกนนั้ ดบั ไมไ่ ด้พระสันตกาย พระสงฆท์ ้ังหลายข้นึ ไปทูลพระพทุ ธเจา้ ด้วยความชมเชย วา่ แหมเปน็ เหมือนทา่ นเปน็ พระอรหันต์ ทูลถามพระพุทธเจา้ ตรง ๆ ก็มวี า่ เป็นพระอรหันตแ์ ลว้ ยัง พระสันตกายน่ี ใหช้ ื่อว่าสนั ตกาย สันตกายกแ็ ปลวา่ ผมู้ กี ายอันสงบนัน่ เอง มารยาทเรยี บรอ้ ยสวยงาม กต็ รสั บอกว่า โอโ้ ห น่เี ธอเคยเป็นราชสหี ์มาต้ัง ๕๐๐ ชาติ เธอไดเ้ คยเป็นมาอยา่ งน้ียกราชสีห์ข้นึ มา ราชสหี ์นั้นเปน็ สัตวท์ มี่ ีสตดิ ีมากเหมอื นกับเสอื เวลาจะนอนราชสีหจ์ ะต้องกาํ หนดอวัยวะทกุ สัดทุกสว่ นไวเ้ รียบรอ้ ย ตื่นขึน้ มาแล้วเม่อื เหน็ อวัยวะส่วนใดเคลอ่ื นไหวจากทีว่ างไว้เดมิ แลว้ ราชสหี จ์ ะไม่ลุกขึ้นหากิน จะนอนใหม่ต้ังใหม่ จนกระทัง่ ตื่นข้นึ มาอวยั วะสว่ นใดที่วางไว้ เช่น หู หางอยา่ งนี้เปน็ ปกติแลว้ จงึ จะลุกขน้ึ หากนิ แผดเสยี งเอยี้ วกายบิดกายแล้วออกหากนิ น่ีเธอได้เคยฝึกมารยาทแบบนม้ี าเปน็ เวลานานแลว้ จากกาํ เนิดราชสหี ์จากนั้นท่านก็เลยยกธรรมะเป็นพทุ ธพจน์ขึน้ ว่า สนฺตกาโย สนฺตวาโจ สนฺตมโน สุสมาหโิ ต วนฺตโลกามโิ ส ภกิ ฺขุ อุปสนฺโตติ จฺจติ ผู้มีกายอนั สงบดว้ ยความประพฤติ ผู้มีวาจาอันสงบ ผูม้ ีใจอันสงบจากกเิ ลสทั้งหลาย ผูม้ ีโลกามิสอันละได้โดยประการทงั้ ปวงแล้วด้วยจิตที่บรสิ ุทธ์นิ ้ัน น้ันแลปราชญท์ ง้ั หลายเรียกวา่ อปุ สนโฺ ต เรียกวา่ ผูส้ งบรอบตัว พระสนั ตกายก็เลยได้บรรลธุ รรมในขณะนั้น ถา้ จําไมผ่ ดิ เขา้ ใจวา่ อยา่ งงัน้ พระองค์นนั้ ก็ได้สําเรจ็ ในขณะนั้นการสําเรจ็ ของพระอรหันต์แต่ก่อนเราก็ไมไ่ ด้พจิ ารณาอะไรมากนกั ประการหนึ่งเวลาเรยี นมันวนุ่ กับการเรียน เวลามาปฏบิ ตั ิก็วนุ่ กับการต่อสู้กบั กเิ ลส ไมค่ ่อยได้คิดอ่านอะไรมากนัก ไมค่ ่อยมโี อกาส พอหลงั จากนัน้ มาก็เอามาพิจารณา ทา่ นสาํ เรจ็ นี้เราเทยี บกันได้กบั ตอนท่เี ราฟงั เทศน์ของพ่อแมค่ รูอาจารย์มั่น ฟังคราวนีจ้ ติ เปน็ อย่างน้ี ฟงัคราวน้ันเปน็ อย่างนนั้ คือมนั คอ่ ยเปลี่ยนไปเร่ือย ๆ มนั ก็ทําให้เชื่อแนว่ ่า องคท์ ท่ี ่านมีอปุ นสิ ัยทีค่ วรจะร้เู รว็ อยูแ่ ล้วพอฟังคราวนีป้ บ๊ั ทา่ นเลอื่ นระดบั เขา้ ใจนช้ี ัด ๆ แล้วในขณะเดียวกันกเ็ ขา้ ใจนี้ปั๊บ ๆ แล้วตามทัน หากผไู้ ม่ทนั ในคราวน้ี ฟังคราวต่อไปเลื่อนข้ึนไปเรื่อย ๆ สดุ ท้ายก็ไปได้พระมากต่อมาก คนมากต่อมาก สาํ เร็จมรรคผลนิพพานมากต่อมากกเ็ พราะว่ามันมากต่อมากที่ฟงั อยู่เรอื่ ย ๆ ดว้ ยกนัแล้วคอ่ ยเล่ือนข้ึนไปเร่ือย ๆ นน่ั เชือ่ ทีน่ ี่ เชือ่ เอาอยา่ งไมส่ งสัยเลย ใครจะวา่ บ้ากว็ า่ เถอะ บ้าแบบน้วี ่างั้นเลยนะ ไม่
ยอมถอนบ้าแบบน้ี ไม่ยอมแก้วา่ ง้นั เลย มนั มีสักขีพยานอยู่แลว้ ในขณะที่ฟังเทศน์ท่านอาจารย์มน่ั จิตมันเปล่ียนเร่ือยเปลยี่ นตัวของมันเร่ือย เรากําลังพจิ ารณาอยู่ในจุดนีเ้ วลานี้ เอ้า ฟังเทศน์วนั นที้ า่ นจะวา่ ยงั ไง พอเทศน์มาจวนจะถึงจดุ น้ัน เพราะท่านเทศน์แบบเหนิ ฟา้ นี่ แบบเรือบินเหนิ ฟา้เทศนต์ ั้งแตส่ มาธิขึ้นไปเรือ่ ย ๆ พอดีเรากําลังพิจารณาอยู่จุดน้นั เรากาํ ลงั ติดอยู่จดุ นี้ กาํ ลงั ต่อสกู้ นั อยูจ่ ุดน้ที ่านจะวา่ยงั ไง พอมาถงึ จุดนีท้ ่านก็พุ่งเลย เพราะทา่ นเข้าใจหมดแล้ว เราก็ได้อุบายปบ๊ั พงุ่ ตาม เอ้าไปไดจ้ ุดน้ีก่อน ฟงั ในวาระต่อไป กาํ ลังพจิ ารณาอยู่จุดน้ัน พอไปถึงจดุ น้นั มนั กเ็ ปน็ อีก ๆ เราถึงเช่ือ อ๋อ ทท่ี า่ นผา่ นพ้นไปในครงั้ พุทธกาลเพราะเหตุน้ีเอง ยง่ิ ผ้ทู เี่ ป็นบัวอยบู่ นผิวน้าํ อย่แู ล้วกย็ ่ิงเร็ว ประเภทอุคฆติตญั ญู วิปจติ ัญญู กย็ ่งิ เร็วตั้งแตพ่ วกเนยยะ บึกบึนไปหลายคร้งั หลายหนก็โผลข่ นึ้ มาได้ นอกจากปทปรมะ หูหนวกตาบอดแปดทศิ แปดด้าน ไม่สนใจเรื่องอรรถเรือ่ งธรรมเรื่องเหตุเรอ่ื งผลนรกสวรรคน์ ิพพานอะไรทัง้ สนิ้ นอกจากสนใจแต่ความทะเยอทะยานไปตามกิเลสตัณหา ใหม้ ันลากไปจนถลอกปอกเปิก ไมร่ เู้ นอ้ื รตู้ ัวไม่รูบ้ ุญรูบ้ าปเท่านน้ั พวกน้ีพวกปทปรมะ ตกนรกไม่มีวนั ขึน้ มาได้เลย ในชีวติ นมี้ ันก็ตกอยูใ่ นภายในใจ พอตายลงไปแล้วจะไปไหน นิสัยของคนบอกอยู่ในหัวใจนั้นจะไปไหน เรื่องก็บอกอยู่แลว้ปลายกระสุนปลายปนื นน้ั มนั ชไ้ี ปตรงไหน พอปัง้ มนั ก็ต้องไปตรงน้นั จะไปตรงไหน นม่ี นั บอกอยู่ในตวั ของมัน มันเลง็ ดูตวั ของมนั เสร็จแลว้ วา่ มันจะไปทิศใต้ทศิ เหนือ สงู ตา่ํ ขนาดไหนมนั บอกอยใู่ นจิตหมด พอขาดร่างนีป้ ๊บั ก็ปุ๊บเลยเหมอื นกับเหน่ยี วไกปั้งเดียวก็พ่งุ ลงนรกเลยไมส่ งสยัการเกดิ การตายเปน็ สิ่งจําเจของสัตวโลกเพราะอันเดียวนี้ เพราะฉะนน้ั การแก้จึงตอ้ งใช้ความพยายามเตม็ ทเ่ี ต็มฐานเอาเป็นเอาตายเข้าฝากมอบไว้เลย เพราะยงั ไงก็ถึงวาระเราจะตาย ไม่ได้ทําความเพยี รทุกขก์ จ็ ะบีบคัน้ เอาจนกระท่ังถึงเราตายเหมือนกันแหละ น่ที กุ ข์เพราะความเพยี รไม่ถึงข้ันตายนว่ี ะ นอกจากกิเลสจะตายกอ่ นเราดว้ ยซ้ําไป เรายงัไมต่ ายกิเลสตายเสียก่อน ถา้ ลงได้เอากนั ขนาดนัน้ แลว้ เราจะยงั ไมต่ ายกเิ ลสมนั ตายก่อนพระพทุ ธเจ้ากเ็ พยี งข้นั สลบกิเลสตาย พระสาวกทง้ั หลายก็เหน็ ไหมละ่ ประกอบความพากเพยี ร ทท่ี า่ นยกมาเดน่ ๆตาแตกไมต่ าย กเิ ลสตาย เดนิ จงกรมฝ่าเทา้ แตกไมต่ าย กเิ ลสตาย ฝ่าเท้าแตกน้ีก็ตอ้ งเป็นแบบทีผ่ มว่านีล่ ะ นีม่ นั หยั่งไปโน่นนะ ทําไมอยู่ธรรมดาเดินจงกรมฝา่ เทา้ แตก ต้องมเี ครื่องพาท่านหมนุ เรากเ็ อาความรูข้ ีห้ มรู าขหี้ มาแหง้ เราน่ีก็น่าจะเทยี บได้ เทยี บแบบของเรา ต้ังแต่เราอยู่พ้ืนแผน่ ดินเรายังมองขึน้ ไปพระอาทิตยส์ ูง ๆ ได้ อนั น้ีทําไมเราต่าํ ๆเราจะพูดถึงเรื่องธรรมพระพุทธเจา้ สูง ๆ ไมไ่ ด้ พูดเรอ่ื งธรรมของท่านผู้มคี วามเพยี รกล้าไม่ได้ ท่านกล้าเพราะเหตุไรเรากย็ ังมเี ง่ือนอนั หน่งึเวลาถึงขน้ั มนั เพลินในความเพียรมนั ลมื จรงิ ๆ ลมื เหนด็ เหนือ่ ยเมื่อยล้า ลืมหิวลมื กระหายอะไรทัง้ นนั้ แม้ที่สุดน้ําก็ไมไ่ ดก้ ิน กไ็ มเ่ คยสนใจ มีแตจ่ ิตหมนุ ต้ิว ๆ อยู่ภายใน คดิ ดูซิเดนิ จงกรมต้ังแตฉ่ ันจังหันเสร็จแลว้ จนกระท่ังถึงเวลาปัด
กวาดนานหรือ ไมน่ าน มันรู้เนอ้ื รู้ตัวเมอ่ื ไรกับเวลํา่ เวลานะ่ นอกจากมันหมนุ อยู่กบั ความเพยี รภายในจติ ตวิ้ ๆ ทนี ีเ้ ม่ือหลายวันเข้าไป ๆ ฝ่าเทา้ จะไม่แตกไดย้ งั ไงเราไม่ถึงฝา่ เทา้ แตกแต่ออกร้อน โอโ้ ห เหมือนไฟลนแหละ พอมาถึงที่พกั ถึงรนู้ ะ ตอนนั้นไม่รู้ แดดก็ไม่รู้รอ้ น มนั ไม่สนใจกบั แดดกับฝนอะไร แต่ไมไ่ ดเ้ คยตากฝนเดินจงกรม แต่ตากแดดน่ีเคยแล้วเรา เอาผ้าอาบน้ํามาพับคร่ึงแล้วก็มดัผูกบนศรี ษะน้ีแลว้ ก็มาผูกใสค่ าง เหลือแตต่ า เดนิ จงกรมกลางแจ้งทีเดียวบนไร่ร้างสวนร้างเขา เอากนั อยนู่ ั่น ไม่มีรม่เลย รม่ ไมร่ ่มชา่ งหวั มัน ฟาดลงนัน้ เลย ทาํ ได้นะไม่สนใจกับร้อนกบั หนาวอะไรเลย เพราะอันนี้มันรนุ แรงภายในใจบทเวลาถงึ เวลาปดั กวาดออกจากท่มี า มาเหน็ กาน้ํานี่แหมมันอยากน้าํ จนจะเปน็ จะตายจรงิ ๆ นะ ตอนนั้นจติ ไม่ได้ออกน่ี โดดใสก่ าน้าํ รนิ น้ําฉนั นี่สําลกั กกั้ ๆ มนั จะตาย ผมไม่ลืมนะ ในขณะนนั้ จิตไม่ออกเสียอย่างเดียวมนั หมดแหละความหวิ ความกระหาย ทีน้เี รื่องการเดินจงกรมว่าฝา่ เท้าแตกผมไม่สงสัย เพราะเหตนุ ีพ้ าให้แตก ท่านกเ็ รง่ ของท่านอย่างนนั้ ถึงขน้ั เพลิน ส่วนท่จี ะบังคบั เอานน้ั กม็ ีสว่ นแต่น้อยมาก ส่วนเป็นไปตามหลกั อัตโนมตั ิหลกั ธรรมชาติแห่งความเพยี รของทา่ นในขั้นสตปิ ัญญา อตั โนมัติน้ีผมยอมรบั ทนั ทรี ้อยเปอร์เซน็ ต์ เป็นไปไดฝ้ า่ เท้าแตกไมส่ งสัย เพราะมนั บอกอยใู่ นตัวแลว้ นี่มนั ลืมไปหมดเร่อื งความหิวความกระหายอะไร หมากพลบู ุหรี่อะไรอยา่ มายงุ่ เลยมนั ไม่สนใจ อย่าเข้าใจว่ามนั จะมาคดิ เลยนะ อยา่ งหมากพลูน้ีเหมอื นกนั ผมบางที ๖ เดือน ๗ เดือนก็ไม่แตะ บางทีเกือบปีก็มีเวลาประกอบความเพียรนี่นะ ในพรรษาบางพรรษาไม่เคยแตะสกั คาํ เดยี วก็มี ฉนั ไปอย่างนน้ั แหละ อันนีก้ ท็ าํ ไปอยา่ งนั้น จะหยุดเม่ือไรมีปัญหาอะไร น่เี รากเ็ ห็นว่าทางเดนิ ของศรทั ธาญาตโิ ยมท่เี ป็นบุญเป็นกุศลของเขา มาตามกําลงั ศรทั ธาของเขาเราก็ทําไปอย่างน้นั เพราะไมเ่ ห็นมีอะไรเสยี หายน่ีการฉันหมากนเี่ สียอะไรเรากค็ ิดแลว้ เราพจิ ารณาอย่แู ล้วไม่เหน็ มอี ะไรเสยี หายทางมารยาทความประพฤติหน้าที่การงาน อะไรไมเ่ หน็ เสียหาย จะพาให้ลม่ จมอะไรก็ไม่มี คดิ ไปหมดไม่ใช่เราไม่คดิ เพราะฉะน้นั เวลาไปองั กฤษจึงไดส้ ั่งทนั ทเี ลย พวกลกู ศิษยล์ กู หาในดอนเมืองเขาจะส่งหมากพลบู ุหรีไ่ ปใหเ้ ป็นกล่อง ๆ เขาวา่ ไมเ่ สียเงนิ จะสง่ ให้ถึงท่ีเลยเจา้ หน้าท่ขี องเขาทางโนน้ มี โอย๊ อย่าส่ง เขาเอามาเป็นลงั ๆ เอามา ๆ เอามาเด๋ียวนเ้ี ราจะเปดิ ฉันเดย๋ี วนแี้ ล้วเอาไปถวายพระวัดไหน ๆ ก็แลว้ แต่นะ จะฉนั ให้ทกุ กลอ่ ง ๆ นัน่ แหละ นีเ่ ปน็ คําสุดท้าย ห้ามไม่ใหส้ ง่ ไปเป็นอันขาด นเ่ี ป็นคาํ สดุ ท้าย เพียงเท่านหี้ ยดุ ไม่ได้สอนคนใหเ้ ป็นประโยชนอ์ ะไร แล้วอยา่ ส่งไปเปน็ อันขาดนะ สง่ ไปก็ไม่แตะถา้ ลงวา่ ไม่ฉันแล้วนะใครจะกล้าสง่ เมื่อพดู อย่างเด็ดขาดแล้วเราจริงอยา่ งน้นั ด้วย ส่งไปก็ไม่เกิดประโยชน์ไม่แตะเลยจรงิ ๆ น่ี ถ้าลงว่าหยุดๆ จริง ๆ พอมาลงดอนเมอื งน้ี โอย๋ พวกนีพ้ วกเข้านอกออกในเต็มอยูส่ นามนัน่ แล้ว ก็มแี ต่เมียเจ้าเมียนายใหญ่ ๆ โตๆ เขา้ นอกออกในไดห้ มด พอเรอื บนิ มาจอดลานบินเทา่ น้นั ละ อาจารย์อยไู่ หน ๆ ยุ่ง เสยี งจอแจ ๆ คนน้ันกย็ กจานหมาก ๆ เหมอื นเราหิวเราโหยจะตายมาจากท่ีไหน คนน้ันก็ย่ืนคนน้กี ย็ ืน่ จะให้รับของใครก่อนใครหลัง เต็มข้างเรอืบิน
เขาคิดว่าเราจะหวิ จะโหย เราจะมีอะไร เปน็ อยา่ งงั้น ทาํ ไปอยา่ งงั้นแหละ สมมุตนิ ยิ มอนั ไหนไม่ขดั ขอ้ งไม่เป็นข้าศึกต่อธรรมตอ่ วินยั เราก็พิจารณาซิ จะให้ฆราวาสเขามาสอนเราทําไม จะว่าเป็นทิฐมิ านะเรากไ็ มเ่ หน็ มี หา้ มพระสบู บุหร่ีฉันหมากบ้างอะไร ๆ พดู ตาํ หนติ ิเตยี นพระอยา่ งนน้ั อยา่ งนี้ ตวั ท่ีมนั ตําหนมิ นั ละอะไรไดบ้ ้างละ่ มนั ไมอ่ ายเจา้ ของบา้ งเหรอ มาหาเกาท่ไี มค่ นั ไอ้ตรงท่ีมันคนั ๆ ทําไมไมเ่ กาบ้างให้มันหายคนั ถ้าสนใจเกาเจ้าของบา้ งมนั จะดนี ี่นะ พูดขายเจา้ ของเปล่า ๆพระไม่มีเหตุผล ถ้าพระเปน็ ผู้มงุ่ ต่อความเปน็ พระของพระพุทธเจ้าจรงิ ๆ ตอ้ งมเี หตุผลมีหลกั เกณฑท์ ุกสิ่งทกุ อย่างไมใ่ ช่จะทําแบบสุม่ ๆ เดา ๆ ไปนว่ี ะ เพราะฉะนัน้ คนอย่างผมน้กี ารท่ีจะมาห้ามปรามก็ดีมาผลกั ไสไปไหนก็ดี ถา้ ไม่ใช่เหตผุ ลแล้วอยา่ มาบอก อย่ามาห้าม อย่ามาฉดุ มาลากไว้ ถา้ เหตผุ ลผมเส้นเดียวไมข่ า้ ม หยดุ ทันที และไปทันทแี ละทําทันทีถา้ เปน็ เหตุผล อยา่ งธรรมดานีไ่ ม่ได้เรื่องแหละเรา เพราะเราปฏบิ ตั ิต่อตัวเราก็ปฏบิ ัติอยา่ งน้ัน เหตุผลคอื ความถูกต้องดงี าม รวมกันลงแลว้ เป็นธรรม เราเคยปฏบิ ตั ขิ องเราได้ผลมามากน้อยเราเหน็ คณุ คา่ ของเหตผุ ลนี้อยูแ่ ลว้ ของไมม่ เี หตุผลเอามาใช้ทาํ ไม เอาละพอ = จบ = ท่ีมา : www.dhammada.netประโยคทง้ิ ท้าย : “อนิจฺจํ ทุกขฺ ํ อนตฺตา เปน็ ทางเดินเพื่อพระนพิ พานตา่ งหาก ใจที่ บริสทุ ธ์แิ ล้วเป็น อนตตฺ า ไดย้ ังไง ถา้ ใจท่บี ริสทุ ธ์ิแล้วเปน็ อนตฺตา นพิ พานเป็น อนตตฺ า นิพพานกเ็ ป็น ไตรลักษณล์ ะซิ เปน็ ของอศั จรรย์อะไร เพราะฉะนัน้ ธรรมชาตนิ ้ันจึงไมม่ สี มมตุ ิ ที่จะพูดว่าเปน็ อตตฺ า หรอื เป็น อนตตฺ า เพราะท้ังสองนเ้ี ปน็ สมมุติดว้ ยกนั ” “หลวงตามหาบัว ญาณสัมปัณโณ” “อบุ าสิกา...ณชเล”
Search
Read the Text Version
- 1 - 19
Pages: