รูปแบบการละความเพลินในอารมณโดยวิธีอื่น
๙๐ ตามดู ไมตามไป กระจายซึง่ ผัสสะภิกษุท้ังหลาย ! วิญญาณยอมมีขึ้น เพราะอาศัยธรรมสองอยาง.สองอยางอะไรเลา ? สองอยางคือ,ภิกษุทั้งหลาย !เพราะอาศัยซ่ึงจักษุดวย ซ่ึงรูปท้ังหลายดวย จักขุวิญญาณ จึงเกิดข้ึน.จกั ษุ เปน ส่ิงที่ไมเทย่ี ง มคี วามแปรปรวน มีความเปนไปโดยประการอนื่ ;รปู ทั้งหลาย เปน สง่ิ ท่ีไมเท่ยี ง มคี วามแปรปรวน มคี วามเปนไปโดยประการอื่น :ธรรมท้ังสองอยางน้ีแล เปนส่ิงที่หวั่นไหวดวย อาพาธดวยไมเท่ียง มีความแปรปรวน มีความเปนไปโดยประการอื่น;จักขวุ ญิ ญาณ เปนส่งิ ทไี่ มเ ท่ียง มคี วามแปรปรวนมคี วามเปนไปโดยประการอ่ืน;เหตุอันใดก็ตาม ปจจัยอันใดก็ตาม เพ่ือความเกิดขึ้นแหงจักขุวิญญาณ,แมเหตุอันน้ัน แมปจจัยอันน้ัน ก็ลวนเปนส่ิงที่ไมเที่ยง มีความแปรปรวนมีความเปนไปโดยประการอ่ืน. ภิกษุทั้งหลาย ! จักขุวิญญาณเกิดขึ้นแลวเพราะอาศัยปจจัยท่ีไมเท่ียงดังน้ี จักขุวิญญาณเปนของเท่ียงมาแตไหน.
อินทรียสังวร ๙๑ภิกษุท้ังหลาย ! ความประจวบพรอม ความประชุมพรอม ความมาพรอมกันแหงธรรมทั้งหลาย (จักษุ+รูป+จักขุวิญญาณ) ๓ อยางเหลานี้ อันใดแล;ภิกษุทั้งหลาย ! อันน้ีเราเรียกวาจักขุสัมผัส. ภิกษุทั้งหลาย !แมจักขุสัมผสั ก็เปนสิ่งทไ่ี มเ ทีย่ งมีความแปรปรวน มีความเปนไปโดยประการอื่น.เหตุอันใดก็ตาม ปจจัยอันใดก็ตาม เพื่อความเกิดขึ้นแหงจักขุสัมผัส,แมเหตุอันน้ัน แมปจจัยอันน้ัน ก็ลวนเปนสิ่งท่ีไมเท่ียง มีความแปรปรวนมีความเปนไปโดยประการอื่น. ภิกษุท้ังหลาย ! จักขุสัมผัสเกิดขึ้นแลวเพราะอาศยั ปจ จยั ที่ไมเ ที่ยงดงั น้ี จักขสุ มั ผัสจกั เปนของเท่ียงมาแตไ หน.(ในกรณีแหงโสตวิญญาณ, ฆานวญิ ญาณ, ชวิ หาวิญญาณ,กายวิญญาณ,ก็มีนัยเดียวกนั ).ภิกษุท้งั หลาย !เพราะอาศัยซ่ึงมโนดวย ซึ่งธรรมารมณท้ังหลายดวย มโนวิญญาณจึงเกิดขึ้น.มโนเปนสิ่งท่ีไมเที่ยง มีความแปรปรวน มีความเปนไปโดยประการอ่ืน;ธรรมารมณท้ังหลายเปนส่ิงที่ไมเที่ยง มีความแปรปรวน มีความเปนไปโดยประการอ่ืน :ธรรมท้ังสองอยางนี้แล เปนสิ่งที่หวั่นไหวดวย อาพาธดวยไมเที่ยง มีความแปรปรวน มีความเปนไปโดยประการอ่ืน;มโนวิญญาณ เปน สง่ิ ท่ีไมเ ทีย่ ง มีความแปรปรวน มีความเปน ไปโดยประการอ่นื ;
๙๒ ตามดู ไมตามไปเหตุอันใดก็ตาม ปจจัยอันใดก็ตาม เพื่อความเกิดข้ึนแหงมโนวิญญาณ,แมเหตุอันน้ัน แมปจจัยอันน้ัน ก็ลวนเปนส่ิงท่ีไมเท่ียง มีความแปรปรวน มีความเปนไปโดยประการอ่ืน. ภิกษุทั้งหลาย ! มโนวิญญาณเกิดข้ึนแลวเพราะอาศัยปจจยั ทีไ่ มเ ทย่ี งดังน้ี มโนวญิ ญาณเปน ของเท่ียงมาแตไ หน.ภกิ ษุทั้งหลาย ! ความประจวบพรอ ม ความประชมุ พรอม ความมาพรอ มกนัแหงธรรมทั้งหลาย (มโน+ธรรมารมณ+ มโนวญิ ญาณ) ๓ อยา งเหลานีอ้ นั ใดแล;ภิกษุท้ังหลาย ! อันน้ีเราเรียกวา มโนสัมผัส. ภิกษุท้ังหลาย !แมมโนสมั ผัส ก็เปน สิ่งทไ่ี มเ ทยี่ ง มีความแปรปรวน มคี วามเปน ไปโดยประการอื่น.เหตุอันใดก็ตาม ปจจัยอันใดก็ตาม เพื่อความเกิดข้ึนแหงมโนสัมผัส,แมเหตุอันน้ัน แมปจจัยอันนั้น ก็ลวนเปนสิ่งท่ีไมเท่ียง มีความแปรปรวนมีความเปนไปโดยประการอื่น. ภิกษุทั้งหลาย ! มโนสัมผัสเกิดขึ้นแลวเพราะอาศยั ปจ จัยท่ีไมเท่ยี งดังน้ี มโนสัมผัสจกั เปน ของเทยี่ งมาแตไหน.
อินทรียสังวร ๙๓ภิกษุทั้งหลาย !บุคคลท่ีผัสสะกระทบแลวยอมรูสึก (เวเทติ),ผัสสะกระทบแลวยอมคิด (เจเตติ),ผัสสะกระทบแลวยอมจาํ ไดหมายรู (สฺชานาติ) :แมธรรมท้งั หลายอยา งนี้เหลาน้ี ก็ลว นเปนส่ิงทหี่ วัน่ ไหวดว ย อาพาธดวยไมเที่ยง มีความแปรปรวน มีความเปนไปโดยประการอื่น.สฬา. สํ. ๑๘/๘๕/๑๒๔-๗.
๙๔ ตามดู ไมตามไป ตามแนวแหงสัมมาสังกัปปะภิกษุท้ังหลาย !ภิกษุตรึกตามตรองตามถึงอารมณใดๆ มากจิตยอมนอมไป โดยอาการอยางนน้ั ๆ :ถาภิกษุตรึกตามตรองตามถึง กามวิตก มากก็เปนอันวา ละเนกขัมมวิตกเสีย กระทําแลวอยางมากซ่ึง กามวิตกจิตของเธอนั้นยอมนอมไปเพื่อความตรึกในกามถาภิกษุตรึกตามตรองตามถึง พย๎ าปาทวิตก มากก็เปนอันวา ละอัพย๎ าปาทวิตกเสีย กระทําแลวอยางมากซึ่ง พย๎ าปาทวิตกจิตของเธอน้ันยอมนอมไปเพื่อความตรึกในการพยาบาทถาภิกษุตรึกตามตรองตามถึง วิหิงสาวิตก มากก็เปนอันวา ละอวิหิงสาวิตกเสีย กระทําแลวอยางมากซ่ึง วิหิงสาวิตกจิตของเธอน้ันยอมนอมไปเพ่ือความตรึกในการทาํ สัตวใหลาํ บาก
อินทรียสังวร ๙๕ภิกษทุ ง้ั หลาย ! เปรียบเหมือนในคราวฤดูสารท คอื เดือนสุดทา ยแหงฤดฝู นคนเล้ียงโคตองเลี้ยงฝูงโคในท่ีแคบเพราะเต็มไปดวยขาวกลาเขาตอ งตตี อนหามกันฝงู โคจากขา วกลานน้ั ดว ยทอนไม เพราะเขาเหน็ โทษ คอืการถูกประหารการถูกจับกุม การถูกปรับไหมการติเตียน เพราะมีขาวกลาน้ันเปนเหตุ,ขอนี้ฉันใด; ภิกษุทั้งหลาย ! ถึงเราก็ฉันนั้นไดเห็นแลวซึ่งโทษความเลวทราม เศราหมองแหงอกุศลธรรมท้ังหลาย,เห็นอานิสงสในการออกจากกาม ความเปนฝกฝายของความผองแผวแหงกุศลธรรมทั้งหลาย.ภิกษุท้ังหลาย ! เมื่อเราเปนผูไมประมาท มีเพียร มีตนสงไปอยางน้ีเนกขมั มวติ ก ยอมเกิดขน้ึ .... อพั ย๎ าปาทวติ ก ยอมเกิดขน้ึ ....อวิหงิ สาวิตก ยอมเกิดข้ึน.เรายอมรูแจงชัดวา อวิหิงสาวิตกเกิดข้ึนแกเราแลวกอ็ วิหิงสาวติ กน้ัน ไมเปนไปเพอื่ เบยี ดเบยี นตน เบยี ดเบยี นผูอ ่ืน หรือเบียดเบียนท้ังสองฝา ยแตเปนไปพรอ มเพื่อความเจริญแหง ปญ ญา ไมเ ปนฝก ฝา ยแหงความคับแคนเปน ไปพรอมเพื่อนิพพาน.แมเราจะตรึกตามตรองตามถึงอวิหิงสาวิตกนั้น ตลอดคืนก็มองไมเห็นภัยอันจะเกิดขึ้น เพราะอวิหิงสาวิตกนั้นเปนเหตุแมเราจะตรึกตามตรองตามถึงอวิหิงสาวติ กนั้น ตลอดวัน หรือตลอดท้ังกลางคืนกลางวันก็มองไมเห็นภัยอันจะเกิดขึ้นเพราะ อวิหิงสาวิตกน้ันเปนเหตุ
๙๖ ตามดู ไมตามไปภกิ ษทุ ้ังหลาย ! ก็แตว า เม่ือเราตรกึ ตามตรองตามนานเกนิ ไปนกั กายก็เม่ือยลาเมื่อกายเมื่อยลา จติ กอ็ อนเพลีย, เมอื่ จติ ออนเพลยี จิตก็หา งจากสมาธิ,เพราะเหตุนนั้ เราจึงดาํ รงจติ ใหห ยุดอยูใ นภายใน กระทาํ ใหมอี ารมณอ ันเดยี วตัง้ มัน่ ไว.ขอ นัน้ เพราะเหตไุ รเลา ? เพราะเราประสงคอ ยูวาจติ ของเราอยา ฟุงขนึ้ เลย ดังน้ี.ภิกษุท้ังหลาย !ภิกษุตรึกตามตรองตามถึงอารมณใดๆ มากจิตยอมนอม ไปโดยอาการอยางน้ัน ๆถาภิกษุตรึกตามตรองตามถึง เนกขัมมวิตกมากก็เปนอันวาละกามวิตกเสีย กระทําแลวอยางมากซ่ึงเนกขัมมวิตกจิตของเธอน้ันยอมนอมไปเพ่ือความตรึกในการออกจากกามถาภิกษุตรึกตามตรองตามถึง อัพย๎ าปาทวิตกมากก็เปนอันวาละพ๎ยาปาทวิตกเสีย กระทําแลวอยางมากในอัพ๎ยาปาทวิตกจิตของเธอนั้นยอมนอมไปเพื่อความตรึกในการไมพยาบาทถาภิกษุตรึกตามตรองตามถึง อวิหิงสาวิตกมากก็เปนอันวาละวิหิงสาวิตกเสีย กระทําแลวอยางมากในอวิหิงสาวิตก
อินทรียสังวร ๙๗จิตของเธอน้ันยอมนอมไปเพ่ือความตรึกในการไมยังสัตวใหลาํ บากภิกษุทั้งหลาย ! เปรียบเหมือนในเดือนสุดทายแหงฤดูรอนขาวกลาท้ังหมด เขาขนนําไปในบานเสร็จแลว คนเล้ียงโคพึงเล้ียงโคได.เม่ือเขาไปพักใตรมไม หรือไปกลางทุงแจง ๆ พึงทาํ แตความกําหนดวาน่ันฝูงโคดังนี้ (ก็พอแลว) ฉันน้ันเหมือนกัน.มู. ม. ๑๒/๒๓๒-๒๓๖/๒๕๒.
อินทรียสังวร ๙๙ยอ มยุบ ยอมไมก อ ยอมขวา งทง้ิ ยอ มไมถ อื เอา ซึ่ง... ขนั ธ ๕ภิกษุทั้งหลาย !สมณะหรือพราหมณเหลาใด เมื่อตามระลึกยอมตามระลึกถึงชาติกอน ไดเปนอันมากสมณะหรอื พราหมณเ หลา นั้นทง้ั หมดยอ มตามระลึกถงึ ซง่ึ อปุ าทานขนั ธท้งั หาหรือขันธใดขันธหนง่ึ แหงอุปาทานขันธทัง้ หาน้ัน. หาอยางไรกันเลา ? หาอยางคือภกิ ษทุ ้ังหลาย ! เขาเมอ่ื ตามระลกึ ยอ มตามระลกึ ถึงซงึ่ รปู นัน่ เทยี ว วา“ในอดีตกาลนานไกล เราเปนผูมีรูปอยางน้ี” ดังน้ีบาง;ภกิ ษุท้งั หลาย ! เขาเม่อื ตามระลึก ยอ มตามระลึกถงึ ซงึ่ เวทนา น่นั เทียว วา“ในอดีตกาลนานไกล เราเปนผูมีเวทนาอยางน้ี” ดังนี้บาง;ภิกษุทั้งหลาย ! เขาเมอ่ื ตามระลึก ยอมตามระลึกถึงซงึ่ สญั ญา นน่ั เทียว วา“ในอดีตกาลนานไกล เราเปนผูมีสัญญาอยางน้ี” ดังน้ีบาง;ภกิ ษุทัง้ หลาย ! เขาเมอ่ื ตามระลึก ยอมตามระลึกถึงซง่ึ สังขาร นนั่ เทียว วา“ในอดีตกาลนานไกล เราเปนผูมีสังขารอยางน้ี” ดังน้ีบาง;ภิกษทุ งั้ หลาย ! เขาเมอื่ ตามระลึก ยอ มตามระลึกถงึ ซง่ึ วิญญาณ นั่นเทียว วา“ในอดีตกาลนานไกล เราเปนผูมีวิญญาณอยางนี้” ดังนี้บาง.
๑๐๐ ตามดู ไมตามไปภิกษุทั้งหลาย ! ทาํ ไมเขาจึงกลาวกันวา รูป ?ภิกษุทง้ั หลาย ! ธรรมชาตินน้ั ยอมสลาย (รุปฺปติ) เหตนุ ้ันจงึ เรียกวา รปูสลายเพราะอะไร ? สลายเพราะความเย็นบาง เพราะความรอนบาง เพราะความหิวบางเพราะความระหายบา ง เพราะการสัมผัสกับเหลือบ ยุง ลม แดด และสัตวเ ล้ือยคลานบางภิกษุทั้งหลาย ! ธรรมชาติน้ัน ยอมสลาย เหตุน้ันจึงเรียกวา รูป.ภิกษุทั้งหลาย ! ทําไมเขาจึงกลาวกันวาเวทนา ?ภิกษุทัง้ หลาย ! ธรรมชาตนิ น้ั อนั บุคคลรูสกึ ได (เวทยติ) เหตุนั้นจงึ เรียกวา เวทนารูสกึ ซ่งึ อะไร ? รูสึกซ่ึงสขุ บาง ซึง่ ทกุ ขบ า ง ซง่ึ อทกุ ขมสขุ บางภกิ ษทุ ้งั หลาย ! ธรรมชาตนิ น้ั อันบคุ คลรสู ึกได เหตนุ น้ั จงึ เรยี กวา เวทนา.ภิกษุท้ังหลาย ! ทาํ ไมเขาจึงกลาวกันวา สัญญา ?ภิกษุท้ังหลาย ! ธรรมชาติน้ัน ยอมหมายรูไดพรอม (สฺชานาติ)เหตุน้ันจึงเรียกวา สัญญา. หมายรูไดพรอมซ่ึงอะไร ?หมายรูไดพรอมซึ่งสีเขียวบาง ซึ่งสีเหลืองบาง ซึ่งสีแดงบาง ซึ่งสีขาวบางภิกษุท้ังหลาย!ธรรมชาติน้ัน ยอ มหมายรูไดพรอม เหตุนั้นจึงเรียกวา สัญญา.
อินทรียสังวร ๑๐๓ภิกษุทั้งหลาย ! เพราะเหตุน้ัน ในเรื่องนี้รปู อยางใดอยางหน่ึง ท้งั ทเี่ ปน อดีตอนาคตและปจจบุ นั มใี นภายในหรอื ภายนอกกต็ ามหยาบหรือละเอียดก็ตาม เลวหรือประณตี ก็ตาม มใี นท่ไี กลหรอื ในท่ีใกลกต็ ามรปู ทง้ั หมดนัน้ บคุ คลควรเหน็ ดว ยปญ ญาโดยชอบ ตามทเี่ ปนจรงิ อยา งนี้ วา“น่ันไมใชของเรา นั่นไมใชเปนเรา น่ันไมใชอัตตาของเรา” ดังน้ี.(ในกรณแี หง เวทนา สญั ญา สงั ขาร วิญญาณ ทรงตรัสไวอ ยา งเดียวกันแลวตรัสตอ ไปวา)ภิกษุท้ังหลาย ! อริยสาวกน้ี เรากลาววาเธอยอมยุบ - ยอมไมกอ; ยอมขวางท้ิง - ยอมไมถือเอา;ยอมทําใหกระจัดกระจาย - ยอมไมทําใหเปนกอง ; ยอมทําใหมอด - ยอมไมทําใหลุกโพลง.อริยสาวกนั้น ยอมยุบ-ยอมไมกอ ซ่ึงอะไร ?เธอยอมยุบ-ยอมไมกอ ซึ่งรูป ซึ่งเวทนา ซึ่งสัญญา ซึ่งสังขาร ซึ่งวิญญาณ.อริยสาวกน้ัน ยอมขวางทิ้ง-ยอมไมถือเอา ซ่ึงอะไร ?เธอยอมขวางท้ิง-ยอมไมถือเอา ซ่ึงรูป ซ่ึงเวทนา ซ่ึงสัญญา ซึ่งสังขาร ซ่ึงวิญญาณ.อริยสาวกน้ัน ยอมทาํ ใหกระจดั กระจาย-ยอมไมทาํ ใหเ ปน กอง ซ่ึงอะไร?เธอยอมทาํ ใหกระจดั กระจาย-ยอมไม. ..ซ่งึ รปู ซงึ่ เวทนา ซึง่ สญั ญาซ่ึงสังขารซง่ึ วญิ ญาณ.อริยสาวกน้ัน ยอมทาํ ใหมอด-ยอมไมทาํ ใหลุกโพลง ซ่ึงอะไร ?เธอยอ มทาํ ใหมอด-ยอมไมทาํ ใหล ุกโพลงซึ่งรูปซ่ึงเวทนาซง่ึ สัญญาซ่งึ สังขารซงึ่ วิญญาณ.
๑๐๔ ตามดู ไมตามไปภิกษุทั้งหลาย ! อริยสาวกผูมีการสดับ เมื่อเห็นอยูอยางนี้ยอ มเบ่ือหนายแมในรูป แมในเวทนา แมใ นสัญญา แมใ นสงั ขาร แมในวิญญาณ.เมื่อเบื่อหนาย ยอมคลายกาํ หนัด,เพราะความคลายกาํ หนัด ยอมหลุดพน,เมื่อหลุดพนแลว ยอมมีญาณหยั่งรูวาหลุดพนแลว.อริยสาวกนั้น ยอมทราบชัดวา“ชาติสิ้นแลว พรหมจรรยอยูจบแลว กิจท่ีควรทําไดสาํ เร็จแลวกิจอื่นที่จะตองทาํ เพ่ือความเปนอยางน้ี มิไดมีอีก” ดังนี้.ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุ (ผูซึ่งหลุดพนแลว) นี้ เราเรียกวาไมกออยู-ไมยุบอยู แตเปนอันวายุบแลว-ดํารงอยู;ไมขวางท้ิงอยู-ไมถือเอาอยู แตเปนอันวาขวางท้ิงแลว-ดาํ รงอยู;ไมทาํ ใหกระจัดกระจายอยู-ไมท าํ ใหเปนกองอยู แตเ ปนอันวาทําใหกระจดั กระจายแลว -ดาํ รงอย;ูไมทําใหมอดอยู-ไมทําใหลุกโพลงอยู แตเปนอันวาทําใหมอดแลว-ดาํ รงอยู.ภิกษุนั้น ไมกออยู-ไมยุบอยูแตเปนอันวายุบ ซ่ึงอะไรแลว ดาํ รงอยู ?เธอไมกออยู-ไมยุบอยูแตเ ปนอันวายบุ ซง่ึ รปู ซึ่งเวทนา ซึ่งสญั ญา ซึ่งสังขาร ซ่ึงวิญญาณ แลว ดาํ รงอยู
อินทรียสังวร ๑๐๕ภิกษุนั้น ไมขวางท้ิงอยู-ไมถือเอาอยูแตเปนอันวาขวางท้ิง ซึ่งอะไรแลว ดาํ รงอยู ?เธอไมขวางท้ิงอยู-ไมถือเอาอยูแตเปนอันวาขวา งท้ิง ซึ่งรูป ซ่ึงเวทนาซึ่งสัญญาซ่ึงสังขาร ซ่ึงวิญญาณแลว ดํารงอยู.ภิกษุนั้น ไมทําใหกระจัดกระจายอยู-ไมทาํ ใหเปนกองอยูแตเปนอันวาทําใหกระจัดกระจาย ซึ่งอะไรแลว ดํารงอยู ?เธอไมทําใหกระจัดกระจายอยู-ไมทําใหเปนกองอยู แตเปนอันวาทําใหกระจัดกระจายซ่ึงรูป ซึ่งเวทนา ซึ่งสัญญา ซ่ึงสังขาร ซ่ึงวิญญาณ แลว ดํารงอยู.ภิกษุนั้น ไมทาํ ใหมอดอยู-ไมทําใหลุกโพลงอยูแตเปนอันวาทําใหมอด ซึ่งอะไรแลว ดํารงอยู ?เธอไมทําใหมอดอยู-ไมทาํ ใหลุกโพลงอยูแตเ ปนอนั วา ทาํ ใหมอดซ่งึ รูป ซงึ่ เวทนา ซึ่งสญั ญา ซง่ึ สงั ขาร ซ่งึ วิญญาณ แลว ดาํ รงอย.ูภิกษุท้ังหลาย ! เทวดาทั้งหลาย พรอมท้ังอินทร พรหม และปชาบดียอมนมัสการภิกษุผูมีจิตหลุดพนแลวอยางน้ี มาจากที่ไกลเทียว กลาววา“ขาแตทานบุรุษอาชาไนย ! ขาแตทานบุรุษผูสูงสุด ! ขาพเจาขอนมัสการทานเพราะขาพเจาไมอาจจะทราบส่ิงซ่ึงทาน อาศัยแลวเพง ของทาน” ดงั นี้.ขนธฺ . สํ. ๑๗/๑๐๕-๑๑๐/๑๕๘-๑๖๔.
๑๐๖ ตามดู ไมตามไป เหน็ ประจกั ษต ามความเปนจริงสัตวโลกนี้ เกิดความเดือนรอนแลว มีผัสสะบังหนายอมกลาวซ่ึงโรคนั้น โดยความเปนตนเขาสาํ คัญส่ิงใด โดยความเปนประการใดแตส่ิงนั้นยอมเปน โดยประการอื่น จากท่ีเขาสําคัญน้ัน.สัตวโลกติดของอยูในภพ ถูกภพบังหนาแลวมีภพโดยความเปนอยางอ่ืน จึงไดเพลิดเพลินยิ่งนักในภพน้ัน.เขาเพลิดเพลินยิ่งนักในส่ิงใด สิ่งน้ันก็เปนภัยเขากลัวตอส่ิงใด สิ่งนั้นก็เปนทุกข.พรหมจรรยน้ี อันบุคคลยอมประพฤติ ก็เพ่ือการละขาดซ่ึงภพ นั้นเอง.สมณะหรอื พราหมณทั้งหลายเหลาใด กลาวความหลุดพนจากภพ วามีไดเพราะ ภพ;เรากลาววา สมณะท้ังปวงน้ัน มิใชผูหลุดพนจากภพ.ถึงแมสมณะหรือพราหมณทง้ั หลายเหลาใด กลา วความออกไปไดจากภพวามีไดเพราะ วิภพ;เรากลาววา สมณะหรือพราหมณท้ังปวงน้ัน ก็ยังสลัดภพออกไปไมได.
อินทรียสังวร ๑๐๗ก็ทุกขน้ีเกิดข้ึนเพราะอาศัยซึ่ง อุปธิ ท้ังปวง.ความเกิดข้ึนแหงทุกข ไมมี ก็เพราะความส้ินไปแหงอุปาทานทั้งปวง.ทานจงดูโลกน้ีเถิด (จะเห็นวา) สัตวท้ังหลาย อันอวิชชาหนาแนนบังหนาแลว;และวา สัตวผ ยู นิ ดใี นภพ อนั เปน แลว น้ัน ยอ มไมเ ปน ผูหลุดพนไปจากภพได.ก็ภพทั้งหลายเหลาหน่ึงเหลาใด อันเปนไปในที่หรือในเวลาท้ังปวงเพ่ือความมีแหงประโยชนโดยประการท้ังปวง;ภพท้ังหลายทั้งหมดน้ัน ไมเที่ยง เปนทุกข มีความแปรปรวนเปนธรรมดา.เม่อื บุคคลเหน็ อยูซง่ึ ขอน้ัน ดว ยปญ ญาอันชอบตามท่เี ปน จรงิ อยา งนอี้ ย;ูเขายอมละภวตัณหาได และไมเพลิดเพลินซึ่งวิภวตัณหาดวย.ความดับเพราะความสํารอกไมเหลือเพราะความสิ้นไปแหงตัณหาโดยประการทั้งปวง น้ันคือ นิพพาน.ภพใหมยอมไมมีแกภิกษุน้ัน ผูดับเย็นสนิทแลว เพราะไมมีความยึดมั่น.ภิกษุนั้นเปนผูครอบงํามารไดแลว ชนะสงครามแลวกาวลวงภพท้ังหลายท้ังปวงไดแลว เปนผูคงท่ี ดังนี้แล.อ.ุ ขุ. ๒๕/๑๒๑/๘๔.
๑๐๘ ตามดู ไมตามไป พึงเห็นวา ชีวิตนนั้ แสนสัน้ภิกษุทั้งหลาย ! ฝายภิกษุพวกท่ีเจริญมรณสติอยางนี้วา “โอหนอ เราอาจจะมีชวี ิตอยไู ดเพยี งช่ัวขณะฉนั อาหารเสรจ็ เพียงคําเดียวเราพึงใสใจถึงคําสอนของพระผูมีพระภาคเจาเถิดการปฏิบัติตามคําสอนควรทําให มากแลวหนอ” ดังนี้ก็ดี,วา “โอหนอ เราอาจจะมีชีวิตอยูไดเพียงชัว่ ขณะท่ีหายใจเขา แลวหายใจออก หรอื ช่วั หายใจออกแลว หายใจเขา.เราพึงใสใจถึงคําสอนของพระผูมีพระภาคเจาเถิด.การปฏิบัติตามคาํ สอนควรทําให มากแลวหนอ” ดังน้ีก็ดี,ภิกษุเหลาน้ีเราเรียกวา เปนผูไมประมาทแลว,เปนผูเจริญมรณสติเพื่อความสิ้นอาสวะอยางแทจริง.
อินทรียสังวร ๑๐๙ภิกษุทงั้ หลาย ! เพราะฉะน้ัน ในเร่อื งนี้ พวกเธอทง้ั หลาย พงึ สําเหนยี กใจไวว า“เราท้ังหลาย จักเปนผูไมประมาทเปนอยู,จักเจริญมรณสติ เพ่ือความสิ้นอาสวะอยางแทจริง” ดังน้ี.ภิกษุทั้งหลาย ! เธอท้ังหลาย พึงสาํ เหนียกใจไวอยางนี้แล.อฏ ก. อํ. ๒๓/๓๒๗/๑๗๐.
ผลที่สุดของการละความเพลิน ในอารมณ
๑๑๒ ตามดู ไมตามไป ผไู ดช อื่ วา อินทรยี ภาวนาชัน้ เลศิอานนท !อินทรียภ าวนาชัน้ เลิศ(อนตุ ฺตราอินทฺ ฺริยภาวนา)ในอริยวนิ ัยเปนอยางไรเลา ?อานนท ! ในกรณีน้ีอารมณอ ันเปน ท่ีชอบใจ – ไมเ ปนทีช่ อบใจ – ท้ังเปน ทีช่ อบใจและไมเ ปนท่ชี อบใจอันบังเกิดขึ้นแกภิกษุเพราะเห็นรูปดวยตา.ภิกษุนั้นรูชัดอยางน้ีวา“อารมณที่เกิดขึ้นแลวแกเราน้ี เปนส่ิงมีปจจัยปรุงแตง (สงฺขต)เปนของหยาบ ๆ (โอฬาริก)เปนส่ิงที่อาศัยเหตุปจจัยเกิดขึ้น (ปฏิจฺจ สมุปฺปนฺน);แตมีส่ิงโนนซ่ึงราํ งับและประณีต, กลาวคือ อุเบกขา” ดังนี้.(เมื่อรูชัดอยางนี้)อารมณอันเปนที่ชอบใจ – ไมเปนท่ีชอบใจ - ท้งั เปน ทช่ี อบใจและไมเ ปนที่ชอบใจอันบังเกิดข้ึนแกภิกษุนั้น ยอมดับไป, อุเบกขายังคงดาํ รงอยู.
อินทรียสังวร ๑๑๓อานนท !อารมณอันเปนท่ีชอบใจ–ไมเ ปนที่ชอบใจ-ทั้งเปนที่ชอบใจและไมเปนท่ีชอบใจอันบงั เกิดขึ้นแกภกิ ษนุ ้นั ยอ มดับไปเรว็ เหมือนการกระพริบตาของคน อุเบกขายังคงดํารงอยู.อานนท ! นแ้ี ลเราเรยี กวา อินทรยี ภาวนาชนั้ เลศิ ในอรยิ วนิ ยั ในกรณแี หง รปู ที่รแู จง ดวยจกั ษ.ุ(ในกรณแี หง เสียงท่ีรแู จงดวยโสตะ กลนิ่ ทีร่ ูแจง ดวยฆานะ รสท่ีรแู จงดวยชวิ หาโผฎฐัพพะท่ีรแู จงดว ยผวิ กาย และ ธรรมารมณที่รูแ จง ดว ยใจ ทรงตรัสอยา งเดียวกันตางกันแตอุปมาแหงความเร็วในการดับแหงอารมณน้ัน ๆ, คือกรณีเสียง เปรียบดวยความเร็วแหงการดีดนิ้วมือ,กรณีกลิ่น เปรียบดวยความเร็วแหงหยดน้ําตกจากใบบัว,กรณีรส เปรียบดวยความเร็วแหงนา้ํ ลายที่ถมจากปลายลิ้นของคนแข็งแรง,กรณีโผฏฐัพพะ เปรยี บดวยความเรว็ แหงการเหยียดแขนพับแขนของคนแข็งแรง,กรณีธรรมารมณ เปรียบดวยความเรว็ แหงการแหงของหยดน้ําบนกระทะเหล็กที่รอนแดงอยูตลอดวัน)อุปร.ิ ม. ๑๔/๕๔๒–๕๔๕/๘๕๖–๘๖๑.
๑๑๔ ตามดู ไมตามไปผเู ขาไปหาเปนผไู มหลดุ พน ผูไมเ ขา ไปหายอ มหลดุ พนภิกษุทั้งหลาย !ผูเขาไปหา เปนผูไมหลุดพน; ผูไมเขาไปหา เปนผูหลุดพน.ภิกษุทั้งหลาย ! วิญญาณ ซึ่งเขาถือเอารูป ต้ังอยู ก็ตั้งอยูไดเปนวิญญาณที่มีรูปเปนอารมณ มีรูปเปนท่ีตั้งอาศัยมีนันทิเปนท่ีเขาไปสองเสพ ก็ถึงความเจริญ งอกงาม ไพบูลย ไดภิกษุทั้งหลาย ! วิญญาณ ซ่ึงเขาถือเอาเวทนา ตั้งอยู ก็ต้ังอยูไดเปนวิญญาณที่มีเวทนาเปนอารมณ มีเวทนาเปนที่ตั้งอาศัยมีนันทิเปนท่ีเขาไปสองเสพ ก็ถึงความเจริญ งอกงาม ไพบูลย ไดภิกษุทั้งหลาย ! วิญญาณ ซ่ึงเขาถือเอาสัญญา ต้ังอยู ก็ต้ังอยูไดเปนวิญญาณท่ีมีสัญญาเปนอารมณ มีสัญญาเปนท่ีตั้งอาศัยมีนันทิเปนท่ีเขาไปสองเสพ ก็ถึงความเจริญ งอกงาม ไพบูลย ไดภิกษุทั้งหลาย ! วิญญาณ ซ่ึงเขาถือเอาสังขาร ต้ังอยู ก็ตั้งอยูไดเปนวิญญาณที่มีสังขารเปนอารมณ มีสังขารเปนที่ตั้งอาศัยมีนันทิเปนที่เขาไปสองเสพ ก็ถึงความเจริญ งอกงาม ไพบูลย ได
อินทรียสังวร ๑๑๕ภิกษุท้ังหลาย ! ผูใดจะพึงกลาวอยางนี้วา“เราจักบัญญัติ ซึ่งการมา การไป การจุติ การอุบัติความเจริญ ความงอกงาม และความไพบูลย ของวิญญาณโดยเวนจากรูป เวนจากเวทนา เวนจากสญั ญา และเวนจากสังขาร”ดังน้ีน้ัน. นี่ ไมใชฐานะที่จักมีไดเลย.ภิกษุท้ังหลาย ! ถาราคะในรูปธาตุ ในเวทนาธาตุ ในสัญญาธาตุในสังขารธาตุ ในวิญญาณธาตุ เปนสิ่งที่ภิกษุละไดแลวเพราะละราคะได อารมณส ําหรบั วิญญาณกข็ าดลง ทตี่ ง้ั ของวญิ ญาณกไ็ มม ีวญิ ญาณอันไมม ที ่ตี ง้ั นน้ั ก็ไมง อกงาม หลุดพนไปเพราะไมถกู ปรงุ แตงเพราะหลุดพนไป ก็ต้ังมั่นเพราะต้ังม่ัน ก็ยินดีในตนเองเพราะยินดีในตนเอง ก็ไมหวั่นไหวเมื่อไมหว่ันไหว ก็ปรินิพพานเฉพาะตนยอมรูชัดวา “ชาติส้ินแลว พรหมจรรยอยูจบแลวกิจทค่ี วรทําไดส าํ เรจ็ แลว กิจอื่นที่จะตองเพอื่ ความเปนอยางน้มี ไิ ดม อี กี ” ดังน้ี.ขนฺธ. สํ. ๑๗/๖๖/๑๐๕.
๑๑๖ ตามดู ไมตามไป เพราะไมเ พลิน จงึ ละอนุสัยท้ัง ๓ ไดภิกษุทั้งหลาย !เพราะอาศัย ตา ดวย รูปท้ังหลาย ดวย จึงเกิด จักขุวิญญาณการประจวบพรอมแหงธรรม ๓ ประการน่ัน คือ ผัสสะ;เพราะมีผัสสะเปนปจจัย...เพราะอาศัย หู ดวย เสียงทั้งหลาย ดวย จึงเกิดโสตวิญญาณการประจวบพรอมแหงธรรม ๓ ประการน่ัน คือ ผัสสะ;เพราะมีผัสสะเปนปจจัย...เพราะอาศัย จมูก ดวย กล่ินท้ังหลาย ดวย จึงเกิดฆานวิญญาณการประจวบพรอมแหงธรรม ๓ ประการน่ัน คือ ผัสสะ;เพราะมีผัสสะเปนปจจัย...เพราะอาศัย ล้ิน ดวย รสท้ังหลาย ดวย จึงเกิดชิวหาวิญญาณการประจวบพรอมแหงธรรม ๓ ประการน่ัน คือ ผัสสะ;เพราะมีผัสสะเปนปจจัย...
อินทรียสังวร ๑๑๗เพราะอาศัย กาย ดวย โผฏฐัพพะท้ังหลาย ดวย จึงเกิดกายวิญญาณการประจวบพรอมแหงธรรม ๓ ประการน่ัน คือ ผัสสะ;เพราะมีผัสสะเปนปจจัย...เพราะอาศัย ใจ ดวย ธรรมารมณทั้งหลาย ดวย จึงเกิดมโนวิญญาณการประจวบพรอมแหงธรรม ๓ ประการน่ัน คือ ผัสสะ;เพราะมีผัสสะเปนปจจัยจึงเกิดเวทนา อันเปนสุขบาง เปนทุกขบาง ไมใชทุกขไมใชสุขบาง.บุคคลนั้นเม่ือ สุขเวทนา ถูกตองอยูยอมไมเพลิดเพลิน ยอมไมพรา่ํ สรรเสริญ ไมเมาหมกอยู;อนุสยั คอื ราคะ ยอมไมต ามนอน (ตสสฺ ราคานสุ โย นานุเสต)ิ แกบ คุ คลน้ัน.เมื่อ ทุกขเวทนา ถูกตองอยูเขายอมไมเศราโศก ยอมไมระทมใจ ยอมไมคร่ําครวญยอมไมตีอกรํา่ ไห ยอมไมถึงความหลงใหลอยู;อนสุ ยั คือปฏิฆะ ยอ มไมตามนอน (ไมเพิ่มความเคยชนิ ให) แกบคุ คลนนั้ .
๑๑๘ ตามดู ไมตามไปเม่ือ เวทนาอันไมใชทุกขไมใชสุข ถูกตองอยูเขายอมรูตามเปนจริงซ่ึงสมุทยะ (เหตุเกิด) ของเวทนานั้นดวยซ่ึงอัตถังคมะ (ความดับไมเหลือ) แหงเวทนาน้ันดวยซ่ึงอัสสาทะ (รสอรอย) ของเวทนานั้นดวยซึ่งอาทีนวะ (โทษ) ของเวทนาน้ันดวยซึ่งนิสสรณะ (อุบายเครื่องออกพนไป) ของเวทนาน้ันดวย;อนุสัยคืออวิชชา ยอมไมตามนอน (ไมเพ่ิมความเคยชินให) แกบุคคลน้ัน.ภิกษุท้ังหลาย ! บุคคลนั้นหนอ(สุขาย เวทนาย ราคานุสย ปหาย)ละราคานุสัยอันเกิดจากสุขเวทนาเสียไดแลว(ทุกฺขาย เวทนาย ปฏิฆานุสย ปฏิวิโนเทตฺวา)บรรเทาปฏิฆานุสัยอันเกิดจากทุกขเวทนาเสียไดแลว(อทุกฺขมสุขาย เวทนาย อวิชฺชานุสย สมูหนิตฺวา)ถอนอวิชชานุสัย อันเกิดจากอทุกขมสุขเวทนาเสียไดแลว;
อินทรียสังวร ๑๑๙(อวิชฺช ปหาย วิชฺช อุปฺปาเทตฺวา)เมื่อละอวิชชาเสียไดแลว และทาํ วิชชาใหเกิดขึ้นไดแลว;(ทิฏเว ธมฺเม ทุกฺขสฺสนฺตกโร ภวิสฺสตีติ)เขาจักทําที่สุดแหงทุกข ในทิฏฐธรรม (รูเห็นไดเลย) น้ีได น้ัน;(านเมต วิชฺชติ ฯ)ขอนี้เปนฐานะท่ีจักมีได.อุปริ. ม. ๑๔/๕๑๘/๘๒๓.
๑๒๒ ตามดู ไมตามไปภิกษุทั้งหลาย ! ...(ทรงตรัสกรณีเพลิน แลวทรงตรัสกรณีไมเพลินตอเทียบกัน)...สวนผูใด ไมเพลิดเพลินอยู ใน จักษุผูน้ัน เทากับ ไมเพลิดเพลินอยู ใน ส่ิงที่เปนทุกข...ผูใด ไมเพลิดเพลินอยู ใน โสตะผูน้ัน เทากับ ไมเพลิดเพลินอยู ใน สิ่งที่เปนทุกข...ผูใด ไมเพลิดเพลินอยู ใน ฆานะผูน้ัน เทากับ ไมเพลิดเพลินอยู ใน ส่ิงท่ีเปนทุกข...ผูใด ไมเพลิดเพลินอยู ใน ชิวหาผูนั้น เทากับ ไมเพลิดเพลินอยู ใน ส่ิงที่เปนทุกข...ผูใด ไมเพลิดเพลินอยู ใน กายะผูนั้น เทากับ ไมเพลิดเพลินอยู ใน สิ่งที่เปนทุกข...
อินทรียสังวร ๑๒๓ผูใด ไมเพลิดเพลินอยู ในมนะผูน้ัน เทากับ ไมเพลิดเพลินอยู ใน ส่ิงท่ีเปนทุกขเรากลาววาผูใด ไมเพลิดเพลินอยู ใน ส่ิงท่ีเปนทุกขผูนั้น ยอมหลุดพนไปไดจากทุกข ดังนี้.ภิกษุทั้งหลาย ! ...(ทรงตรัสกรณีเพลิน แลวทรงตรัสกรณีไมเพลินตอเทียบกัน)...สวนผูใด ไมเพลิดเพลินอยู ใน รูปผูน้ัน เทากับ ไมเพลิดเพลินอยู ใน สิ่งที่เปนทุกข...ผูใด ไมเพลิดเพลินอยู ใน เสียงผูน้ัน เทากับ ไมเพลิดเพลินอยู ใน ส่ิงที่เปนทุกข...ผูใด ไมเพลิดเพลินอยู ใน กล่ินผูนั้น เทากับ ไมเพลิดเพลินอยู ใน ส่ิงที่เปนทุกข...
๑๒๔ ตามดู ไมตามไปผูใด ไมเพลิดเพลินอยู ใน รสผูน้ัน เทากับ ไมเพลิดเพลินอยู ใน สิ่งที่เปนทุกข...ผูใด ไมเพลิดเพลินอยู ใน โผฏฐัพพะผูนั้น เทากับ ไมเพลิดเพลินอยู ใน ส่ิงที่เปนทุกข...ผูใด ไมเพลิดเพลินอยู ใน ธรรมารมณผูนั้น เทากับ ไมเพลิดเพลินอยู ใน ส่ิงที่เปนทุกขเรากลาววาผูใด ไมเพลิดเพลินอยู ใน ส่ิงท่ีเปนทุกขผูน้ัน ยอมหลุดพนไปไดจากทุกข ดังนี้.สฬา. สํ. ๑๘/๑๖/๑๙-๒๐.
อินทรียสังวร ๑๒๕ ลักษณะของบุคคลสี่ประเภทภิกษุทง้ั หลาย!บุคคลส่จี าํ พวกเหลาน้ี มีอยู หาไดอ ยู ในโลก.สจ่ี ําพวกอยางไรเลา? ส่จี าํ พวกคือกายออก แตจิตไมออก (นิกฺกฏกาโย อนิกฺกฏจิตฺโต)กายไมออก แตจิตออก (อนิกฺกฏกาโย นิกฺกฏจิตฺโต)กายก็ไมออก จิตก็ไมออก (อนิกฺกฏกาโย จ อนิกฺกฏจิตฺโต จ)กายก็ออก จิตก็ออก (นิกฺกฏกาโย จ นิกฺกฏจิตฺโต จ)ภกิ ษทุ ัง้ หลาย ! บคุ คลทชี่ ่ือวา กายออก แตจ ิตไมออก เปน อยา งไรเลา ?ภกิ ษุทัง้ หลาย ! ในกรณนี ้ี บุคคลบางคน เสพเสนาสนะอนั สงดั คอื ปาและปาทึบ,ในทีน่ ัน้ ๆ เขาวิตกซ่งึ กามวิตกบาง ซ่ึงพ๎ยาปาทวติ กบา ง ซง่ึ วิหิงสาวิตกบาง.ภิกษุท้ังหลาย ! อยางนี้แล บุคคล กายออก แตจิตไมออก.ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! บุคคลท่ีชอ่ื วา กายไมอ อก แตจติ ออก เปน อยางไรเลา ?ภิกษุทั้งหลาย ! ในกรณีน้ี บุคคลบางคน ไมไดเสพเสนาสนะอันสงัด คือปาและปาทึบ,ในท่นี นั้ ๆ เขาวิตกซ่ึงเนกขมั มวติ กบา ง ซ่งึ อัพ๎ยาปาทวติ กบา ง ซ่งึ อวหิ งิ สาวิตกบาง.ภิกษุท้ังหลาย ! อยางนี้แล กายไมออก แตจิตออก.
๑๒๖ ตามดู ไมตามไปภิกษุทัง้ หลาย ! บุคคลที่ช่ือวา กายก็ไมอ อก จติ ก็ไมออก เปน อยางไรเลา ?ภิกษุท้ังหลาย ! ในกรณีนี้ บุคคลบางคน ไมไดเสพเสนาสนะอันสงัด คือปาและปาทึบ,ในท่ีนน้ั ๆ เขาวิตกซึง่ กามวิตกบาง ซ่งึ พ๎ยาปาทวติ กบา ง ซ่งึ วิหงิ สาวิตกบา ง.ภิกษุทั้งหลาย ! อยางนี้แลบุคคลที่ กายก็ไมออก จิตก็ไมออก.ภิกษุท้ังหลาย ! บุคคลที่ชื่อวา กายก็ออก จิตก็ออก เปนอยางไรเลา ?ภิกษทุ ง้ั หลาย ! ในกรณีนี้ บุคคลบางคน เสพเสนาสนะอันสงัด คือปาและปาทึบ,ในทน่ี ้ัน ๆ เขาวติ กซ่ึงเนกขัมมวิตกบาง ซึ่งอัพ๎ยาปาทวิตกบาง ซึ่งอวิหิงสาวิตกบาง.ภิกษุท้ังหลาย ! อยางนี้แล บุคคลที่ กายก็ออก จิตก็ออก.ภกิ ษทุ ั้งหลาย ! บคุ คล ๔ จาํ พวกเหลานี้แล มอี ยู หาไดอยู ในโลก.จตกุ ฺก. อํ. ๒๑/๑๘๕/๑๓๘.
ขอย้ำเตือนจากพระตถาคต
๑๒๘ ตามดู ไมตามไปความไมประมาท ยงั กศุ ลธรรมทัง้ หลายใหเกิดขน้ึภิกษุทั้งหลาย ! เราไมมองเห็นธรรมอื่นแมสักอยางหน่ึงที่เปนเหตุใหกุศลธรรมที่ยังไมเกิด เกิดขึ้นหรอื อกศุ ลธรรมท่เี กดิ อยแู ลว ยอมเส่อื มสิ้นไป, เหมอื นความไมประมาท น้ี.ภิกษุท้ังหลาย ! เม่ือบุคคลไมประมาทแลว,กุศลธรรมทยี่ งั ไมเกิด กเ็ กดิ ขน้ึ และอกศุ ลธรรมทเ่ี กิดอยูแลว กเ็ ส่ือมส้นิ ไป.เอก. อ.ํ ๒๐/๑๓/๖๐.
อินทรียสังวร ๑๒๙ พินัยกรรม ของพระสงั ฆบดิ าภิกษุทั้งหลาย ! บัดนี้ ตถาคต ขอเตือนพวกเธอท้ังหลายไว วาสังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมไปเปนธรรมดาพวกเธอท้ังหลาย จงถึงพรอมดวยความไมประมาทเถิดนี่แล เปนพระวาจาที่ตรัสครั้งสุดทายของพระตถาคตเจา.มหา. ที. ๑๐/๑๘๐/๑๔๓.
อินทรียสังวร ๑๓๑ บนั ทกึ ทา ยเลม ดับเสียใหได ดบั เสยี ใหไดนาํ ไปสู ปรากฏ จน น้ีคือวงจร ของจิตอารมณ ข้นึ แลว กระทง่ั อันเปนจติ มตี ัณหา ภพ,ชาติ ผูกกบั อารมณ ชรามรณะ สงั สารวัฏฏ (เกดิ ขนึ้ ) (เพลนิ ตัง้ อย)ู (ดับไป)อินทรียสังวร จึงเปนหลักการแหงความไมประมาท ที่ตรัสไวดวยการดับเหตุที่จะเปนไปเพ่ือชราและมรณะ อันเปนท่ีมาของการ “ตามดู ไมตามไป”ที่แสดงใหเห็นดวยพุทธวจน กวา ๖๐ พระสูตร บงบอกถึงความสอดรับกันของ พุทธวจน คือ คําตถาคต ที่เปน อินทรียสังวร อันเปนตัวชี้วัดของความเปน ผูไมประมาท และเปนการยืนยันภายใตหลักการแหงมหาปเทส ๔(หลักการตรวจสอบวาเปนคําตถาคตหรือไม คือหลักท่ีตถาคตบัญญัติไวเพ่ือใชวัดสอบวา เปนคําของพระองค จริงหรือไมจริง โดยนําเนื้อความหลักการนั้นไปเทียบเคียงในพุทธวจนบทอ่ืน ๆ วาเขากันได ลงกันไดสอดรับกันไดหรือไม ถาสอดรับกันได ก็ใชคําของพระองค แตถาไมสอดรับกันก็แสดงวา ไมใ ชคาํ ของพระองค ใหล ะท้ิงเน้อื ความหลกั การน้ันไปเสยี )
๑๓๒ ตามดู ไมตามไปหวังวาผูปฎิบัติท้ังหลาย ท่ีเทิดทูน เคารพ และกตัญูบูชาพระศาสดาคงจะไดเ หน็ ความชดั เจนในหลักการ อันเปนระเบยี บถอ ยคําของพระตถาคตชัดแจงดวยตนเอง และรวมแรงใจปฏิบัติตามพระองค เพ่ือแสดงออกถึง“ความกตญั ”ู และ “บูชา” ในโอกาสอกี ๒ ป จะครบวาระ “๒๖๐๐ ป ของการตรสั รู ขององคส มเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา ”
มลู นิธิพทุ ธโฆษณ มลู นิธแิ หง มหาชนชาวพุทธ ผซู ึ่งชัดเจน และมนั่ คงในพุทธวจน เริ่มจากชาวพุทธกลุมเล็กๆกลุมหน่ึง ไดมีโอกาสมาฟงธรรมบรรยายจากทา นพระอาจารยค ึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล ทเ่ี นนการนาํ พทุ ธวจน (ธรรมวินัยจากพทุ ธโอษฐ ท่ีพระพทุ ธองคท รงยนื ยันวา ทรงตรสั ไวด ีแลว บริสุทธิ์บรบิ ูรณส้ินเชงิ ท้งั เนอื้ ความและพยัญชนะ)มาใชในการถายทอดบอกสอน ซึ่งเปนรูปแบบการแสดงธรรมท่ีตรงตามพุทธบัญญัติตามที่ทรงรับส่ังแกพระอรหันต ๖๐ รูปแรกท่ีปาอิสิปตนมฤคทายวัน ในการประกาศพระสทั ธรรม และเปนลักษณะเฉพาะท่ภี กิ ษุในครง้ั พุทธกาลใชเปนมาตรฐานเดียว หลกั พทุ ธวจนน้ี ไดเขามาตอบคําถาม ตอความลงั เลสงสัย ไดเขามาสรางความชัดเจน ตอความพรา เลอื นสับสน ในขอธรรมตางๆ ทีม่ ีอยใู นสงั คมชาวพุทธ ซง่ึทงั้ หมดน้ี เปนผลจากสาเหตุเดยี วคอื การไมใ ชคําของพระพุทธเจา เปนตวั ต้งั ตน ในการศึกษาเลา เรียน ดวยศรทั ธาอยางไมหวนั่ ไหวตอองคสมั มาสัมพุทธะ ในฐานะพระศาสดา ทา นพระอาจารยค กึ ฤทธ์ิ ไดป ระกาศอยา งเปน ทางการวา “อาตมาไมม คี าํ สอนของตวั เอง” และใชเ วลาท่มี อี ยู ไปกับการรบั สนองพทุ ธประสงค ดว ยการโฆษณาพุทธวจน เพ่ือความตงั้ ม่นั แหง พระสัทธรรม และความประสานเปน หน่งึ เดียวของชาวพทุ ธ เมื่อกลบั มาใชหลกั พทุ ธวจน เหมือนทีเ่ คยเปนในครงั้ พุทธกาล สง่ิ ที่เกดิ ขนึ้คือ ความชดั เจนสอดคลอ งลงตัว ในความรคู วามเขาใจ ไมว าในแงข องหลกั ธรรม ตลอดจนมรรควธิ ีที่ตรง และสามารถนําไปใชป ฏบิ ัติใหเกิดผล รเู หน็ ประจักษไดจรงิ ดว ยตนเองทนั ที ดวยเหตนุ ้ี ชาวพุทธท่ีเหน็ คุณคา ในคําของพระพทุ ธเจา จงึ ขยายตัวมากข้นึ เร่ือยๆเกิดเปน “กระแสพทุ ธวจน” ซ่ึงเปน พลังเงยี บทีก่ ําลงั จะกลายเปน คล่ืนลูกใหม ในการกลบัไปใชระบบการเรียนรูพระสทั ธรรม เหมือนดังครง้ั พุทธกาล
ดวยการขยายตัวของกระแสพทุ ธวจนนี้ สอ่ื ธรรมท่เี ปนพทุ ธวจน ไมว าจะเปนหนังสอื หรอื ซดี ี ซง่ึ แจกฟรีแกญ าตโิ ยมเร่มิ มไี มพอเพยี งในการแจก ท้งั น้ี เพราะจาํ นวนของผูที่สนใจเหน็ ความสําคัญของพทุ ธวจน ไดขยายตัวมากขึน้ อยา งรวดเรว็ ประกอบกบั วาทานพระอาจารยคึกฤทธ์ิ โสตฺถิผโล เครงครัดในขอวัตรปฏิบัติตามแนวทางของทานพระโพธิญาณเถร (ชา สุภฺทโท) ภายใตวินัยอันเปนพุทธบัญญัติ การเผยแพรพุทธวจนที่ผา นมา จึงเปนไปในลักษณะสนั โดษตามมีตามได เมื่อมโี ยมมาปวารณาเปนเจาภาพในการจดั พมิ พ ไดมาจํานวนเทาไหร ก็ทยอยแจกไปตามทีม่ เี ทาน้ัน เม่อื มมี า กแ็ จกไปเมอ่ื หมด กค็ ือหมด เน่อื งจากวา หนาทีใ่ นการดํารงพระสัทธรรมใหตง้ั มน่ั สบื ไป ไมไดผ ูกจํากดัอยแู ตเพยี งพทุ ธสาวกในฐานะของสงฆเทา นน้ั ฆราวาสกลุมหน่งึ ซ่ึงเห็นความสําคัญของพุทธวจน จึงรวมตัวกันเขามาชวยขยายผลในส่ิงที่ทานพระอาจารยคึกฤทธิ์ โสตฺถิผโลทาํ อยแู ลว นน่ั คอื การนาํ พุทธวจนมาเผยแพรโ ฆษณา โดยพิจารณาตดั สนิ ใจจดทะเบียนจัดตง้ั เปน มูลนิธิอยา งถกู ตอ งตามกฏหมาย เพื่อใหก ารดาํ เนินการตางๆ ทงั้ หมด อยใู นรูปแบบท่ีโปรงใส เปด เผย และเปด กวางตอสาธารณชนชาวพุทธทั่วไป สําหรับผูที่เห็นความสําคัญของพุทธวจน และมีความประสงคที่จะดาํ รงพระสทั ธรรมใหต้ังม่ัน ดว ยวิธขี องพระพุทธเจา สามารถสนับสนนุ การดาํ เนินการตรงนไ้ี ดดวยวิธีงายๆ น่ันคือ เขามาใสใจศึกษาพุทธวจน และนาํ ไปใชปฏิบัติดวยตนเอง เม่ือรูประจักษ เห็นไดดวยตนแลว วามรรควิธีท่ีไดจากการทาํ ความเขาใจ โดยใชคาํ ของพระพุทธเจาเปนตัวต้ังตนนั้น นําไปสูความเห็นท่ีถูกตอง ในหลักธรรมอันสอดคลองเปนเหตุเปนผล และเชื่อมโยงเปนหนึ่งเดียว กระท่ังไดผลตามจริง ทาํ ใหเกิดมีจิตศรัทธา ในการชวยเผยแพรขยายสื่อพุทธวจน เพียงเทานี้ คุณก็คือหน่ึงหนวยในขบวน“พทุ ธโฆษณ“ แลว นี่คือเจตนารมณของมูลนิธิพุทธโฆษณ นั่นคือเปนมูลนิธิแหงมหาชนชาวพุทธ ซง่ึ ชดั เจน และม่นั คงในพทุ ธวจน
ผูทีส่ นใจรบั สอ่ื ธรรมที่เปน พทุ ธวจน เพอื่ ไปใชศกึ ษาสว นตัว หรือนําไปแจกเปน ธรรมทาน แกพอ แมพีน่ อง ญาติ หรอื เพ่อื น สามารถมารบั ไดฟ รี โดยไมมเี งอ่ื นไข ท่ีวัดนาปาพง หรอื ตามทพ่ี ระอาจารยคึกฤทธ์ิไดรับนิมนตไ ปแสดงธรรมนอกสถานท่ีสาํ หรบั รายละเอยี ดกจิ ธรรมตา งๆ ภายใตเ ครอื ขายพุทธวจนโดยวัดนาปา พง คน หาขอ มูลไดจาก www.watnapp.com หากมีความจํานงท่จี ะรับไปแจกเปนธรรมทานในจํานวนหลายสบิ ชุด ขอความกรุณาแจงความจํานงไดท ี่ มลู นธิ ิพุทธโฆษณ สาํ นักงานใหญ : ๑๖/๘๘ ชัน้ ๒ ซอยสุขุมวทิ ๖๘ ถนนสุขุมวิท แขวงบางนา เขตบางนา กรุงเทพมหานคร ๑๐๑๒๐ โทรศพั ท ๐๒-๗๔๔-๘๓๖๐ - ๑ โทรสาร ๐๒-๓๙๘-๒๑๘๔ เวบไซด : www.buddhakos.org อเี มล : [email protected] ประสานงานและเผยแผ : มลู นธิ ิพทุ ธโฆษณ อาคารภคินท ๙ ถนนรชั ดาภเิ ษก แขวงดนิ แดง, เขตดินแดง กรงุ เทพมหานคร ๑๐๔๐๐ โทร.๐๘๕-๐๕๘-๖๘๘๘, ๐๘๑-๕๑๓-๑๖๑๑ สนบั สนุนการเผยแผพทุ ธวจนไดที่ชอื่ บัญชี “มูลนธิ พิ ุทธโฆษณ” ธนาคารกสกิ รไทย สาขา ยอยตลาดไท ประเภท บญั ชีออมทรพั ย เลขทีบ่ ัญชี ๔๘๔-๒-๑๐๘๗๗-๘
ขอกราบขอบพระคณุ แด่พระอาจารยค์ ึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล และคณะสงฆว์ ดั นาป่าพงที่กรณุ าใหค้ ำปรกึ ษาในการจัดทำหนงั สอื เล่มนี้ตดิ ตามการเผยแผพ่ ระธรรมคำสอนตามหลักพทุ ธวจนโดยพระอาจารย์คกึ ฤทธ์ิ โสตฺถิผโล ไดท้ ่ี• media.watnapahpong.org , www.nap-tv.com , www.watnapp.com (ธรรมบรรยายคำ่ วันเสาร์) ทั้งภาพและเสียงตงั้ แต่ ๑๙.๐๐ น.• คลืน่ ส.ว.พ. FM ๙๑.๐ MHz ทุกวันพระ เวลา ๑๖.๔๐ น. , FM ๑๐๖.๐ MHz (คลน่ื ครอบครัวขา ว) จนั ทร- ศุกร เวลา ๐๕.๐๐ - ๐๕.๓๐ น.• ทีวีดาวเทยี มชอ่ ง A I Biz Net Tong Hua เวลา ๐๕.๐๐ - ๐๕.๓๐ น. และ เวลา ๐๖.๐๐ - ๐๗.๐๐ น. แผนทว่ี ัดนาป่าพง ลงสะพานคลอง๑๐ไปย เู ทริ น์ แรกม า แล้วเลย้ี วซ ้ายก ่อนข ึ้นส ะพาน ๐๒-๕๔๙-๒๑๗๔ ๐๘๑-๕๑๓-๑๖๑๑ ๐๘๔-๐๙๖-๘๔๓๐ ลงสะพานคลอง ๑๐ เล้ยี วซ้ายคอสะพาน
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152