๑หน่วยการเรียนรู้ที่ ทฤษฎีทเ่ี ปน็ สากล ในพระพทุ ธศาสนา กบั หลักประชาธิปไตย และหลกั วิทยาศาสตร์ ในพระพทุ ธศาสนา ที่มา : บริษัท อกั ษรเจริญทศั น์ อจท. จากดั : ๑๔๒ ถนนตะนาว เขตพระนคร กรุงเทพฯ ๑๐๒๐๐ Aksorn CharoenTat ACT.Co.,Ltd : 142 Tanao Rd. Pranakorn Bangkok 10200 Thailand โทรศัพท์ : ๐๒ ๖๒๒ ๒๙๙๙ โทรสาร : ๐๒ ๖๒๒ ๑๓๑๑-๘ [email protected] / www.aksorn.com
พระพุทธศาสนามีทฤษฎีและวิธกี ารทเ่ี ป็นสากลและมีข้อปฏิบัติทย่ี ึดทางสายกลาง พระพทุ ธศาสนามที ฤษฎีท่ีเป็นสากล อรยิ สัจ ๔ เป็นทฤษฎที พ่ี ระพุทธศาสนาเน้นอยู่เสมอ สอนวา่ ชวี ิตและโลกมปี ัญหา • ปญั หาการด้นิ รนเล้ยี งชีวติ ปญั หาการมีชวี ติ อยูร่ อด ปญั หาสากลอยา่ งเกิด แก่ เจ็บ ตาย สอนวา่ ปญั หามีสาเหตุ • สรรพสง่ิ เกิดจากเหตุ สรรพสิ่งจะดบั หรอื หมดไป กเ็ พราะดบั เหตุ เมื่อรูว้ ่าปญั หาทกุ อยา่ งมสี าเหตุ การแก้ปัญหาจงึ ตอ้ ง แก้ทส่ี าเหตุ สอนวา่ มนุษยส์ ามารถแกป้ ญั หาไดด้ ว้ ยตนเอง • เมอ่ื รูส้ าเหตทุ ีแ่ ทจ้ ริงของปญั หาแลว้ ยอ่ มสามารถแกป้ ญั หาอันเกดิ จากสาเหตทุ ีแ่ ท้จรงิ ของปญั หานั้นได้ สอนวา่ การแกป้ ัญหาต้องใช้ปัญญาและความพากเพียร • การแก้ปญั หาให้สาเรจ็ ตามความม่งุ หมายได้ จะตอ้ งใช้ปัญญากบั ความพากเพียรควบคู่กันไปในการแก้ปญั หา
พระพทุ ธศาสนามขี อ้ ปฏิบตั ทิ ่ยี ดึ ทางสายกลาง “ มัชฌิมาปฏิปทา ” ๑ สมั มาทฏิ ฐิ (เหน็ ชอบ) มีความเห็นถกู ต้องตามทานองคลองธรรม ๒ สมั มาสังกัปปะ (ดาริชอบ) ไมล่ ่มุ หลงกบั ความสุขทางกาย ไมพ่ ยาบาท (อริยมรรค มีองค์ ๘) ๓ สัมมาวาจา (เจรจาชอบ) ไม่พูดเท็จ ไม่พดู ส่อเสียด ไม่พูดหยาบคาย ๔ สัมมากมั มันตะ (กระทาชอบ) ไม่ทาลายชวี ติ ไม่ลักขโมย ๕ สัมมาอาชวี ะ (เลี้ยงชีพชอบ) หากนิ ดว้ ยอาชพี ท่สี ุจรติ ไมค่ ดโกง ๖ สมั มาวายามะ (พยายามชอบ) พยายามละเว้นจากความชั่วตา่ งๆ ๗ สมั มาสติ (ระลกึ ชอบ) มีสติรอบคอบในการคิด ทา พดู ๘ สมั มาสมาธิ (ต้ังจติ มน่ั ชอบ) มจี ติ ตั้งม่นั อยา่ งถกู ต้องแน่วแน่ในการ ประพฤติธรรม
พระพทุ ธศาสนาเนน้ การพฒั นาศรัทธาและปญั ญาทถ่ี ูกตอ้ ง การพัฒนาศรัทธา ศรทั ธา หมายถงึ ความเชอ่ื ม่ันในส่ิงดีงามท่ีประกอบด้วยเหตุผลศรัทธาท่ีจะนาไปส่กู ารพฒั นา ๓ ประการ ๑ เชื่อม่นั ในความดงี ามของมนุษย์ ๒ เชื่อมน่ั ในกฎแห่งการกระทาและผลของการกระทา ๓ เชอื่ มั่นว่ามนุษยต์ อ้ งรบั ผดิ ชอบต่อการกระทาและผล ของการกระทานั้น
การพฒั นาปญั ญา พระพุทธเจา้ สอนให้มนษุ ย์รู้จกั ใช้ปัญญาในการพจิ ารณาคน้ หาเหตผุ ล โดยอาศัยการฝกึ จติ เป็นการทาจิตให้แนว่ แนม่ น่ั คงเปน็ สมาธิ “ หลักคาสอนของพระพทุ ธเจา้ ” ถา้ ทรงสอนเรอ่ื งศรทั ธาในที่ใดก็จะทรงสอน เร่อื งปัญญาในทนี่ ัน้ ดว้ ย ตวั อยา่ ง ในพละ ๕ (ธรรมอันเป็นกาลัง ๕ ประการ) • ศรทั ธา • วริ ิยะ • สติ • สมาธิ ปัญญาในเวสารชั ชกรณธรรม (ธรรมนาความกล้าหาญ) • ศรทั ธา • ศีล • พาหุสจั จะ • วริ ิยารัมภะ • ปญั ญา
ลกั ษณะประชาธปิ ไตยในพระพทุ ธศาสนา พระพุทธศาสนาใหส้ ทิ ธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคแก่พระภกิ ษสุ งฆ์ ทุกหม่เู หลา่ ภายใต้พระธรรมวินัย มกี ิจกรรมที่พระภกิ ษุสงฆท์ กุ รปู จะตอ้ งถือเปน็ เรอ่ื งสาคญั • การประชมุ อุโบสถสังฆกรรม ภกิ ษทุ กุ รปู ต้องเข้าประชุมโดยพร้อม เพรยี งกนั การลงมตใิ นท่ปี ระชุมสงฆ์ พระภกิ ษุสงฆจ์ ะต้องเหน็ พอ้ งตอ้ งกนั เปน็ เอกฉันท์ จึงจะสามารถปฏบิ ัตกิ ิจกรรมนน้ั ได้ • พิธีรบั กฐิน พระสงฆท์ ่ไี ด้รบั เลือกจะรับผ้ากฐนิ ไดพ้ ระภิกษุสงฆ์ ทกุ รปู จะตอ้ งลงมติเปน็ เอกฉนั ท์ การตัดสินปัญหาทม่ี คี วามคิดแตกแยกเปน็ สองฝ่าย ตัดสนิ โดยถือเอา เสียงข้างมากเปน็ ข้อยตุ ิ เรยี กว่า เยภุยยสิกา สทิ ธแิ ละเสรภี าพของภกิ ษุในเรอ่ื งการประชุม พระภกิ ษุสงฆ์ทุกรปู มีสิทธิ เขา้ ร่วมประชุม และแสดงความคิดเหน็ ทัง้ ที่เห็นดว้ ยหรือคดั ค้าน
หลกั การของพระพทุ ธศาสนากับหลกั วิทยาศาสตร์ ๑ ด้านความเชอื่ ๒ ดา้ นความรู้ ๓ ดา้ นความแตกตา่ ง
๑ ด้านความเชื่อ หลักการวทิ ยาศาสตร์น้นั จะเชือ่ ในเรอ่ื งใดจะต้องมีการพิสูจน์ความจรงิ โดยใชก้ าร กาลามสูตร ๑๐ ประการ ทดลอง และทกุ อยา่ งจะต้องดาเนนิ ไปอย่างมีกฎเกณฑแ์ ละมีเหตผุ ลเป็นตวั ตดั สินโดย อาศัยปัญญาในการพิจารณา พระพุทธศาสนาก็มีหลักการด้านความเช่ือเชน่ เดียวกบั วทิ ยาศาสตร์ ดงั หลกั คาสอนที่ปรากฏอยูใ่ น “กาลามสูตร” ๑. อยา่ เพง่ิ ปลงใจเช่ือ เพยี งเพราะได้ยนิ ได้ฟงั ตามๆ กันมา ๒. อย่าเพง่ิ ปลงใจเชอ่ื เพยี งเพราะยดึ ถอื สบื ๆ กนั มา ๓. อย่าเพงิ่ ปลงใจเชอ่ื เพียงเพราะข่าวเล่าลือ ๔. อยา่ เพิง่ ปลงใจเชือ่ เพียงเพราะอา้ งตารา ๕. อย่าเพงิ่ ปลงใจเชอื่ เพยี งเพราะเดาเอาเอง ๖. อย่าเพงิ่ ปลงใจเชื่อ เพยี งเพราะคาดคะเน ๗. อยา่ เพิ่งปลงใจเช่อื เพยี งเพราะตรกึ ตามอาการ ๘. อย่าเพิ่งปลงใจเชื่อ เพียงเพราะชอบใจว่าตรงกบั ความเหน็ ของตน ๙. อยา่ เพ่งิ ปลงใจเช่อื เพียงเพราะเชื่อวา่ ผูพ้ ดู สมควรจะเชื่อถือได้ ๑๐. อย่าเพง่ิ ปลงใจเชอื่ เพยี งเพราะนบั ถือว่าสมณะผ้นู น้ั เปน็ ครูของตน
๒ ด้านความรู้ ทง้ั วิทยาศาสตรแ์ ละพระพทุ ธศาสนาตา่ งยอมรับความรจู้ ากประสบการณซ์ ่ึงมกี าร พสิ ูจน์โดยผา่ นตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ พระพทุ ธเจา้ ทรงเร่ิมคิดจากประสบการณ์ ที่ได้เหน็ คือ ความเจ็บ ความแก่ และความตาย ซง่ึ ล้วนเป็นความทุกข์ พระองค์ทรง ทดลองโดยอาศยั ประสบการณข์ องพระองค์ จนในที่สุดก็ทรงสามารถคน้ พบหลกั ความจริงอนั เป็นหนทางทจี่ ะหลดุ พน้ จากความทกุ ข์ ๓ ด้านความแตกต่าง วิทยาศาสตร์มงุ่ แสวงหาความจริงภายนอกด้านวตั ถเุ ป็นสาคญั สว่ นพระพุทธศาสนา เน้นการแสวงหาความจริงภายใน คือ ความจรงิ ด้านจติ ใจ ท่มี งุ่ ให้มนษุ ย์สามารถ พฒั นาจติ ใจของตนใหห้ ลดุ พน้ จากกเิ ลสไดอ้ ยา่ งสนิ้ เชงิ
การคิดตามนยั แหง่ พระพทุ ธศาสนาและการคิดแบบวทิ ยาศาสตร์ • การคิดตามนยั แหง่ พระพทุ ธศาสนา เรียกวา่ “วธิ ีคิดแบบโยนโิ สมนสกิ าร” ๑ วิธคี ิดแบบสืบสาวเหตปุ จั จัย ๖ วธิ ีคิดแบบคณุ โทษและทางออก ๒ วิธีคิดแบบแยกแยะส่วนประกอบ ๗ วิธีคิดแบบคุณคา่ แท้คุณคา่ เทียม (วธิ ีคดิ แบบกระจายเนือ้ หา) ๘ วิธคี ดิ แบบอุบายปลกุ เรา้ คณุ ธรรม ๓ วิธีคดิ แบบสามญั ลกั ษณะ (วิธคี ิดแบบปลุกเร้ากศุ ล) (วิธคี ดิ แบบรูเ้ ท่าทนั ธรรมดา) ๙ วิธคี ิดแบบเป็นอย่ใู นขณะปจั จุบนั ๔ วธิ ีคดิ แบบอรยิ สัจ ๑o วธิ ีคิดแบบวภิ ชั ชวาท (วิธคี ดิ แบบแก้ปัญหา) ๕ วธิ คี ิดแบบตามหลกั การและความมุ่งหมาย (วธิ คี ดิ แบบอรรถธรรมสัมพันธ์)
• การคิดแบบวิทยาศาสตร์ แยกไดเ้ ป็น ๕ ขัน้ ตอน ทดลอง ต้งั สมมตฐิ าน กาหนดปัญหา และเก็บขอ้ มลู วเิ คราะหข์ อ้ มูล สรุปผล
พระพุทธศาสนาเนน้ การฝึกหัดอบรมตนเอง การพงึ่ ตนเอง และการม่งุ อิสรภาพ • การท่ีบคุ คลจะทาอะไรไดด้ แี ละทาเปน็ นน้ั ขน้ึ อยกู่ บั การฝึกหัดอบรม ซงึ่ กระทาได้ ๒ ทาง การฝึกหัดอบรมตนและการพึ่งตนเอง พระพทุ ธศาสนามุง่ สอู่ สิ รภาพ เรียกว่า สกิ ขา มี ๓ ข้นั ตอน • เปา้ หมายของการฝกึ หดั อบรมตนเองตามหลัก พระพทุ ธศาสนาคอื วมิ ตุ ติ หรอื ความหลุดพ้น • อธิศลี สิกขา คอื การฝกึ อบรมหรือการควบคุมตน หมายถงึ ความหลดุ พน้ จากการครอบงาของความ ในเรอ่ื งศลี โลภ ความโกรธ และความหลง ซง่ึ จดั ไดว้ ่าเปน็ อสิ รภาพอย่างหน่ึง • อธจิ ติ ตสกิ ขา คอื ฝกึ อบรมในเร่อื งจิต เรยี กง่ายๆ ว่า สมาธิ เปน็ การฝึกฝนพฒั นาจิตให้ดีงามยิ่งๆ ข้ึน ไปในด้านต่างๆ • อธิปญั ญาสกิ ขา เปน็ การฝกึ อบรมในเรือ่ งปญั ญา ให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ ทงั้ ความรใู้ นทางวชิ าการ ซ่งึ เป็นประโยชน์ต่อการดาเนินชวี ิต
พระพทุ ธศาสนาเปน็ ศาสตร์แห่งการศึกษา ศาสตร์แหง่ การศกึ ษาในพระพทุ ธศาสนา พระพทุ ธศาสนากบั การศึกษาท่สี มบรู ณ์ • ศลี สิกขา • พฤตกิ รรม • จติ ตสกิ ขา • จติ ใจ • ปญั ญาสิกขา • ปญั ญา
พระพทุ ธศาสนาเนน้ ความสมั พันธ์ของเหตปุ จั จัยและวิธีการแก้ปัญหา หลกั คาสอนทเ่ี นน้ เหตุ ปรากฏอยู่ในหลักอรยิ สจั ๔ ซง่ึ เปน็ ศาสตรแ์ ห่งเหตุและผลสามารถแยกเป็นคู่ได้ ทกุ ข์ เปน็ ผล นิโรธ เปน็ ผล (เป็นตัวปัญหา เป็นสถานการณ์ท่ีไมต่ ้องการ) (เปน็ ภาวะสน้ิ ปัญหา เปน็ จุดหมายท่ตี ้องการจะเขา้ ถงึ ) สมทุ ัย เปน็ ผล มรรค เปน็ ผล (เปน็ ท่ีมาของปัญหา เปน็ จุดทีต่ ้องกาจดั หรือแก้ไข (เปน็ ขอ้ ปฏิบัติที่ตอ้ งกระทาในการแกไ้ ขปัญหาเพอ่ื จงึ จะพ้นจากปัญหาได้) บรรลุจดุ หมาย คอื ภาวะสิน้ ปญั หา หรอื ความทกุ ข์) สรปุ ไดว้ ่า สมุทัย-มรรค เป็นเหตุ ทุกข์-นโิ รธ เป็นผล
พระพุทธศาสนาฝึกคนไมใ่ หป้ ระมาท ความไม่ประมาท • ความเปน็ อยอู่ ย่างมีสติรอบคอบหรือระมดั ระวงั ที่จะไม่ทาเหตุแห่งความผดิ พลาดเสียหาย • แนวทางในการปฏิบตั ิตนไม่ให้ประมาทนัน้ จะตอ้ งเริ่มตน้ จากการตง้ั สติ รู้สกึ ตวั อยู่เสมอวา่ ตนจะทาอะไร กาลังทาอะไร • หลักธรรมในเร่ืองความไม่ประมาท มี ๔ ประการ ได้แก่ ไม่ประมาทในการละกายทจุ ริต (ประพฤตกิ ายสจุ รติ ) ไม่ประมาทในการละวจีทจุ รติ (ประพฤตวิ จีสจุ รติ ) ไม่ประมาทในการละมโนทจุ รติ (ประพฤติมโนสจุ ริต) และ ไม่ประมาทในการละความเห็นผดิ (ทาความเหน็ ใหถ้ กู )
พระพุทธศาสนามุง่ ประโยชน์สุขและสันติภาพแก่บุคคล สังคม และโลก ๑ พระพทุ ธศาสนามงุ่ ประโยชน์สขุ และสันตภิ าพแกบ่ ุคคลและสังคม หลักธรรมที่กอ่ ให้เกดิ การช่วยเหลือเกือ้ กลู กนั ระหว่างสมาชกิ ในสมาชิก คือ สังคหวัตถุ ๔ ดังนี้ • ทาน • ปยิ วาจา • อตั ถจริยา • สมานัตตตา ๒ พระพุทธศาสนามุ่งประโยชนส์ ขุ และสันตภิ าพแกช่ าวโลก • หลกั คาสอนที่ใหล้ ะเว้นจากการเบียดเบยี นชีวิตผ้อู ่ืน • หลกั คาสอนที่ให้ละความโลภ ความเหน็ แก่ตัว • หลกั คาสอนท่ใี ห้ละจากความโกรธ • หลกั คาสอนทใ่ี หล้ ะจากความหลงผิด • หลกั คาสอนในเรือ่ งความอดทน • หลกั คาสอนของพระพทุ ธศาสนาซง่ึ อย่ใู นลักษณะของพุทธศาสนสภุ าษิต
พระพทุ ธศาสนากับเศรษฐกจิ พอเพยี ง พุทธศาสนกิ ชน สามารถนาหลักคาสอนในพระพุทธศาสนามาเป็นแนวทางในการปฏิบัติตนให้สอดคลอ้ งกับหลกั การเศรษฐกิจ พอเพยี งได้ โดยปฏบิ ัตติ นตามทางสายกลาง คือ อริยมรรคมอี งค์ ๘ สปั ปุรสิ ธรรม ๗ บุญกริ ิยาวตั ถุ ๑๐ อบุ าสกธรรม ๗
Search
Read the Text Version
- 1 - 17
Pages: