ความรู้เบือ้ งต้นภาษาบาลี พระครูปลดั ยง นิตสิ าโร 08-3363-0128
ความเป็ นมาของภาษาบาลี ในพระพทุ ธศาสนาพระพทุ ธเจา้ ทรงวางแผนการศึกษาไวเ้ ป็น ๓ ข้นั คือข้นั ปริยตั ิ ข้นั ปฏิบตั ิ และ ข้นั ปฏิเวธ ข้นั ปริยตั ิ ไดแ้ ก่ การศึกษาทางทฤษฎีคือ การศึกษาพระธรรมวนิ ยั ใหม้ ีความรู้ เป็นพ้นื ฐานโดยแจ่มแจง้ เสียก่อนวา่ คาสอนของสมเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ มีอะไรบา้ ง ถา้ จะนามาปฏิบตั ิจะทาอยา่ งไร และเม่ือปฏิบตั ิแลว้ จะไดผ้ ล อยา่ งไร ข้นั ปฏบิ ัติ คือการนาเอาพระธรรมวนิ ยั มาปฏิบตั ิดว้ ยกาย วาจา ใจ ข้นั ปฏิเวธ เป็นข้นั ท่ีแสดงถึงผลของการปฏิบตั ิตามพระธรรมคาสง่ั สอนของ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้
ความเป็นมาของภาษาบาลี (ต่อ)สาหรับการศึกษาที่เรียกวา่ “คนั ถธุระ” น้นั ในสมยั ที่พระพทุ ธเจา้ ยงั ทรงพระชนมอ์ ยนู่ ้นั พระพทุ ธเจา้ ทรงสงั่ สอนสาวกเป็นประจาทุกวนั ดว้ ยการแสดงพระธรรมเทศนา คาสงั่ สอนที่พระพทุ ธเจา้ ทรงแสดงน้นั ทรงแสดงดว้ ยพระโอฐตามท่ีพระองคจ์ ะทรงโปรดประทานพระสทั ธรรมเทศนาแก่พทุ ธบริษทั ซ่ึงมีเป็นประจาทุกวนั ผทู้ ี่ฟังกม็ ีท้งั พระภิกษุสงฆแ์ ละคฤหสั ถ์ สาหรับพระภิกษสุ งฆ์น้นั เมื่อไดฟ้ ังพระสทั ธรรมเทศนาของพระพทุ ธเจา้ แลว้ กน็ ามาถา่ ยทอดแก่สทั ธิวหิ าริกและอนั เตวาสิกต่อกนั ไป การศึกษาคาสอนของพระพทุ ธเจา้ น้ีเรียกวา่ คนั ถธุระ หรือการศึกษาพระปริยตั ิธรรม ซ่ึงมี ๙ ประการ เรียกวา่“นวงั คสตั ถุศาสน์” แปลวา่ คาสอนของพระศาสดามีองคเ์ กา้ ซ่ึงไดแ้ ก่ สุตตะเคยยะ เวยยากรณะ คาถา อทุ าน อิติวตุ ตกะ ชาดก อพั ภตู ธรรม และเวทลั ละ
คาส่งั สอนของพระพทุ ธเจา้ ท่านจารึกไวใ้ นคมั ภีร์ต่างๆ ดว้ ยภาษาบาลีพระไตรปิ ฏก เป็นหลกั ฐานช้ันหนึ่ง เรียกวา่ บาลีคาอธิบายพระไตรปิ ฏกเป็นหลกั ฐานช้ันสอง เรียกวา่ อรรถกถา หรือ วณั ณนาคาอธิบายอรรถกถา เป็นหลกั ฐานช้ันสาม เรียกวา่ ฎีกาคาอธิบายฏีกา เป็นหลกั ฐานช้นั ส่ี เรียกวา่ อนุฏีกานอกจากน้ี ยงั มีหนงั สือที่แต่งขนึ้ ภายหลังเป็นทานองอธิบายเร่ืองใดเรื่องหน่ึงที่มีในคมั ภีร์พระพทุ ธศาสนาโดยเฉพาะ หนงั สือประเภทน้ี เรียกวา่ “ทีปนี” หรือ “ทีปิ กา” หรือ “ปทีปิกา” และหนงั สือท่ีอธิบายเรื่องปลีกยอ่ ยตา่ งๆ ท่ีมีในคมั ภีร์ทางพระพทุ ธศาสนา หนงั สือประเภทน้ี เรียกวา่ “โยชนา” หนงั สือท้งั สองประเภทน้ีจดั เป็นคมั ภีร์อรรถกถาจะเห็นไดว้ า่ คาสอนท่ีอยใู่ นคมั ภีร์เหล่าน้ี คาสอนที่อยใู่ นพระไตรปิ ฏกเป็นหลกั ฐานสาคญัท่ีสุด เพราะเป็นหลกั ฐานช้นั แรกสุด คาสอนท่ีอยใู่ นพระไตรปิ ฏกน้นั มีถงึ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขนั ธ์
พระธรรมวนิ ยั แบ่งเป็น 3 หมวดหมวดท่ีหน่ึง พระวินยั วา่ ดว้ ยเรื่อง ระเบียบ กฎ ขอ้ บงั คบั ควบคุมกิริยามารยาท ของภิกษสุ งฆ์ มีท้งั ขอ้ หา้ มและขอ้ อนุญาต ท้งั น้ี เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยในหม่สู งฆ์ มี ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขนั ธ์หมวดที่สอง พระสูตร วา่ ดว้ ยเร่ืองราว นิทาน ประวตั ิศาสตร์ ที่พระพทุ ธองคท์ รงสงั่ สอนและทรงสนทนากบั บุคคลท้งั หลายอนั เก่ียวกบั ชาดกต่างๆ ที่ทรงสอนเปรียบเทียบเป็นอปุ มาอปุ ไมย เป็นตน้ มี ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขนั ธ์ และ
พระธรรมวนิ ยั แบ่งเป็น 3 หมวด (ต่อ)หมวดที่สาม พระอภิธรรมวา่ ดว้ ยธรรมข้นั สูง คือ วา่ ดว้ ยเรื่องเฉพาะคาสอนที่เป็นแก่น เป็นปรมตั ถ์ ในรูปปรัชญาลว้ นๆ มี๔๒,๐๐๐ พระธรรมขนั ธ์คาสอนท้งั ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขนั ธ์น้นั เรียกวา่ “ธรรมวินยั ”ธรรมวินยั เป็นสิ่งสาคญั มากที่สุดของชาวพทุ ธ เพราะถือเป็นสิ่งแทนองคพ์ ระศาสดา ดงั พทุ ธพจนท์ ่ีตรัสกบั พระอานนทก์ ่อนจะเสดจ็ ดบั ขนั ธปรินิพพานวา่ “ดกู ่อนอานนท์ ธรรมวนิ ยั อนั ใดที่เราบญั ญตั ิไวแ้ ลว้ แสดงแลว้ แก่เธอท้งั หลาย ธรรมะและวนิ ยั น้นั จกัเป็นศาสดาของพวกเธอเม่ือเราลว่ งลบั ไปแลว้ ”
วเิ คราะห์ คาวา่ “บาลี” พทุ ธวจน ปาเลตีติ ปาลี แปลโดยพยญั ชนะวา่ ภาษาใดยอ่ มรักษาไวซ้ ่ึง พระพทุ ธวจนะ เพราะเหตุน้นั ภาษาน้นั ช่ือวา่ ปาลี แปลโดยอรรถวา่ ภาษาท่ีรักษาไวซ้ ่ึงพระพทุ ธวจนะ คาวา่ บาลี มาจากคาวา่ ปาลี ซ่ึงวเิ คราะห์มาจาก ปาล ธาตุ ในความ รักษา ลง ณี ในนามกิตกป์ ัจจยั ๆ ท่ีเนื่องดว้ ย ณลบ ณ ทิ้งเสีย
อกั ขรวธิ ี อกั ขระที่ใชใ้ นภาษาบาลี มี 41 ตวั แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ 1.พยญั ชนะ มี 33 ตวั 2.สระ มี 8 ตวั พยญั ชนะ 33 ตวั แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ พยัญชนะวรรค มี 25 ตัว คือ ก ข ค ฆ ง เรียกว่า ก วรรค จ ฉ ช ฌ ญ เรียกว่า จ วรรค ฏ ฐ ฑ ฒ น เรียกว่า ฏ วรรค ต ถ ท ธ ณ เรียกว่า ต วรรค ป ผ พ ภ ม เรียกว่า ป วรรคพยญั ชนะอวรรค มี 8 ตวั คือ ย ร ล ว ส ห ฬ (อ)
อกั ขรวธิ ี (ต่อ) สระ มี 8 ตวั คือ อ อา อิ อี อุ อู เอ โอ แบ่งเป็น 3 เสียง คือ -เสียงส้นั เรียกวา่ รัสสสระ คือ อ อิ อุ -เสียงยาว เรียกวา่ ทีฆสระ คือ อา อี อู -สระผสม เรียกวา่ สงั ยตุ ตสระ คือ เอ โอหมายเหตุ สงั ยตุ ตสระ คือ เสียงที่เกิดจากการเอาสระเหลา่ น้ีมาผสมกนั -อ ผสมกบั อิ จะมีรูปเป็นสระ เอ -อ ผสมกบั อุ จะมีรูปเป็นสระ โอ
อกั ขรวธิ ี (ต่อ)ความสมั พนั ธข์ องพยญั ชนะและสระ– พยญั ชนะ แปลวา่ ทาเน้ือความใหป้ รากฏ เรียกอีกอยา่ งวา่ นิสสิต เพราะโดยปกติจะไมม่ ีเสียง การจะทาใหอ้ ่านออกเสียงไดน้ ้นั จะตอ้ ง นาไปประกอบกบั สระ จึงจะอ่านออกเสียงได้– สระ แปลวา่ เสียง เรียกอีกอยา่ งวา่ นิสสยั เพราะทาหนา้ ที่ให้ พยญั ชนะอาศยั อยู่ (ทาใหอ้ อกเสียงได)้ ฉะน้นั ท้งั พยญั ชนะและสระ จึงตอ้ งมีการพ่ึงพาอาศยั กนั และกนั
การอ่านภาษาบาลี หลกั การอ่านภาษาบาลี1.พยญั ชนะที่เป็นตวั พยญั ชนะโดดๆ ยงั ไม่ไดอ้ าศยั สระอยู่ จะมี การอา่ นออกเสียงสระ อะ เช่น ก ข ค ฆ ง อา่ นวา่ กะ ขะ คะ ฆะ งะ เป็นตน้2.พยญั ชนะที่ไม่ไดอ้ าศยั สระและพยญั ชนะตวั ถดั มาจะมีตวั พนิ ทุ ( . ) หรือจุดวางกากบั อยใู่ ตพ้ ยญั ชนะตวั ถดั มาน้นั พยญั ชนะตวั ถดั มาจะทาหนา้ ที่เป็นตวั สะกดเมื่ออา่ นออกเสียงเป็นภาษาไทยก็ จะมีไมห้ นั อากาศกากบั อยดู่ ว้ ยเช่นกนั เช่น ธมฺมญฺญู อ่านวา่ ธมั มญั ญู สรณงฺกโร อา่ นวา่ สะระณงั กะโร
การอ่านภาษาบาลี (ต่อ)3.พยญั ชนะท่ีอาศยั สระอยู่ และพยญั ชนะตวั ถดั มาจะมีพินทุ (.) หรือจุดวางกากบั อยใู่ ตพ้ ยญั ชนะ ตวั ถดั มาน้นั กใ็ หอ้ ่านออกเสียง เป็นตวั สะกดธรรมดา เช่น ภิกฺขสุ ฺส อา่ นวา่ ภิกขสุ สะ ปกฺโกเปนฺติ อ่านวา่ ปักโกเปนติ4.คาท่ีมี ตฺวา ตฺวาน เป็นตวั สะกด ซ่ึงวางกากบั อยสู่ ุดทา้ ย จะตอ้ ง อา่ นออกเสียง ตฺ ซ่ึงเป็นตวั สะกดของ คาหนา้ ตฺ น้นั ใหอ้ อก เสียง ตฺ (ตะ)ดว้ ย ซ่ึงจะมีการออกคร่ึงเสียง (ออกเสียงส้นั ๆ) เช่น ทตฺวา อา่ นวา่ ทดั ตะวา ทตฺวาน อา่ นวา่ ทดั ตะวานะ (ตฺ อา่ นวา่ ตะ ออกคร่ึงเสียง)
การอ่านภาษาบาลี (ต่อ)5.กรณีที่ ต ไมม่ ีพินทุ (.) หรือจุดอยใู่ ต้ เหมือนขอ้ 4 กใ็ หอ้ ่านออกเสียง เตม็ เสียงตามปกติเหมือน การอา่ นออกเสียงในขอ้ 1 เช่น ทตวา อา่ นวา่ ทะ ตะ วา สุตวา อ่านวา่ สุ ตะ วา6.ยงั มีศพั ทท์ ่ีทาหนา้ ท่ีเป็นตวั สะกดและตอ้ งออกเสียงในตวั ของมนั เองดว้ ย โดยออกเสียงคร่ึงเสียง เช่น สกฺยปุตฺโต อา่ นวา่ สกั กะยะปุตโต ตุณฺหี อา่ นวา่ ตุนนะฮี ตสฺมา อ่านวา่ ตสั สะมา
การอ่านภาษาบาลี (ต่อ)7.กรณีที่มี ร อยทู่ า้ ย ใหอ้ ่านออกเสียงเป็นเสียงควบกล้า เช่นพฺรหฺมา อา่ นวา่ พรามาพฺราหฺมโณ อา่ นวา่ พราหมะโณกายนิ ฺทฺริยานิ อา่ นวา่ กายนิ ทริยานิ8.พยญั ชนะที่มีพินทุ (.)หรือจุดวางกากบั ไว้ แต่ไมไ่ ดท้ าหนา้ ท่ีเป็น ตวั สะกด ทาหนา้ ที่คลา้ ยควบกล้า เพยี งแต่มีจะพินทุวางไวห้ นา้ พยญั ชนะ ตวั แระ กใ็ หอ้ ่านออกเสียงพยญั ชนะที่มีพินทุกากบั ดว้ ย เช่นเทวฺสหายกา อ่านวา่ ทะเวสะหายะกาทฺวารานิ อา่ นวา่ ทะวารานิ
การอ่านภาษาบาลี (ต่อ)9.พยญั ชนะท่ีไม่ไดอ้ าศยั สระอยแู่ ต่มีนิคคหิต (อ)วางกากบั อยขู่ า้ งบน นิคคหิตน้นั จะตอ้ งอา่ นเป็น องั เช่นอห อ่านวา่ อะหงัตฺว อา่ นวา่ ตะวงัอรห อ่านวา่ อะระหงั10.พยญั ชนะท่ีอาศยั สระอยู่ และมีนิคคหิต (อ) วางกากบั อยขู่ า้ งบน นิคคหิตน้นั จะตอ้ งอา่ นเป็น ง เช่น ปสฺสึ อ่านวา่ ปัสสิง กาเรสึ อ่านวา่ กาเรสิง
การอ่านภาษาบาลี (ต่อ)11.พยญั ชนะท่ีอาศยั อยใู่ น เอยฺย กใ็ หอ้ อกเสียง ไอยะ ส้นั เช่นกเรยฺย อา่ นวา่ กะไรยะปจฺเจยฺย อ่านวา่ ปัจไจยะ12.พยญั ชนะท่ีอาศยั อยใู่ น อิยฺย กใ็ หอ้ อกเสียง อี โดยใชฟ้ ันล่างและฟัน บนกดกนั แลว้ จึงออกเสียง เช่น นิยฺยาเทมิ อา่ นวา่ นียาเทมิ13.พยญั ชนะตวั ฑ ในภาษาบาลี ใหอ้ อกเสียง ท ในภาษาไทย เช่นปิ ณฺฑาย อ่านวา่ ปิ ณทายะปณฺฑิโต อ่านวา่ ปันทิโต
โครงสร้างบาลีไวยากรณ์ 1.นาม 2.อพั ยยศัพท์ 3.อาขยาต1.ลิงค์ 2.วจนะ 3.วิภตั ติ 4.อายตนิบาต 1. อุปสคั 2.นิบาต 1.วภิ ตั ติ 2.กาล 3.บท 4.วจนะ5.การันต์ 6.กติปยศพั ท์ 7.มโนคณะศพั ท์ 3.ปัจจยั ในอพั ยยศพั ท์ 5.บรุ ุษ 6.ธาตุ 7.วาจก 8.ปัจจยั8.สังขยา9.สพั พนาม 6.ตทั ธิต 4.กติ ก์ 5.สมาส 1.สามญั ญตทั ธิต 2.โคตตตทั ธิต1. นามกิตก์ 2.กิริยากิตก์ 1.กมั มธารยสมาส 2.ทิคุสมาส 3.ตปั ปรุ ิสสมาส 3.ตรัตยาทิตทั ธิต 4.ราคาทตี ทั ธิต 4.ทวนั ทวสมาส 5.อพั ยยภี าวสมาส 5.ชาตาทิตทั ธิต 6.สมุหตทั ธิต 6.พหุพพิหิสมาส 7.สมาสทอ้ ง 7.ฐานตทั ธิต 8.พหุลตทั ธิต 9.เสฏฐตทั ธิต 10.ตทสั สัตถิตทั ธิต7.สมัญญาภธิ าน 8.สนธิ 11.ปกติตทั ธิต 12.ปรู ณตทั ธิต 13.สังขยาตทั ธิต 14.ภาวตทั ธิต1.สระ 2.พยญั ชนะ 3.ฐานกรณ์ของอกั ขระ 1. สนธิกิริโยปกรณ์ 2.สระสนธิ 15.อพั ยยตทั ธิต4.เสียงของอกั ขระ 5.พยญั ชนะสงั โยค 3.พยญั ชนะสนธิ 4.นิคคหิตสนธิ6.อฑั ฒสระ
นาม นามศัพท์ แบ่งเป็ น 3 คือ1. นามนาม 1.1 สาธารณนาม 1.2 อสาธารณนาม 2. คุณนาม 2.1 ปกติ 2.2 วเิ สส 2.3อติวิเสส 3. สัพพนาม 3.1 ปุริสสัพนาม 3.2 วิเสสนสพั พนาม ลิงค์ แบ่งเป็ น 3 คือ 1. ปุงลงิ ค์ เพศชาย 2. อติ ฺถีลงิ ค์ เพศหญิง 3. นปุงสกลิงค์ มิใช่เพศชาย มิใช่เพศหญิง
1. นามนาม หมายถึง นามหรือชื่อที่ใชเ้ รียกคน, สตั ว,์ ที่, สิ่งของ, สภาวะ ต่างๆ แบ่งเป็น 2 คือ1.สาธารณนาม หมายถึง ช่ือที่ใชเ้ รียกไดท้ ว่ั ไป ไม่เจาะจง สาหรับเรียก คน, สตั ว,์ สถานท่ี, สภาวะ ต่างๆ เช่น มนุสฺโส มนุษย์ ใชเ้ รียกมนุษยไ์ ดท้ ุกคน, ติรจฺฉาโน สตั วด์ ิรัจฉาน , นคร เมือง, สนฺติ ความสงบ เป็นตน้ กเ็ ช่นกนั2.อสาธารณนาม หมายถึง ช่ือที่ใชเ้ รียกเฉพาะเจาะจง ไม่ทวั่ ไป เช่น ทีฆาวุ กมุ ารชื่อทีฆาวุ ใชเ้ รียกเฉพาะกมุ ารท่ีช่ือวา่ ทีฆาว,ุ เอราวโณ ชา้ งช่ือเอราวณั , สาวตฺถี เมืองชื่อสาวตั ถี เป็นตน้ กเ็ ช่นกนั
2. คุณนาม หมายถึง นามท่ีแสดงลกั ษณะของนาม นาม* ใหร้ ู้วา่ ดีหรือชว่ั เป็นตน้ แบ่งเป็น 3 ช้นั คือ1.ช้ันปกติ แสดงลกั ษณะของนามนามอยา่ งปกติ เช่น ด,ี ชวั่ , สูง (ไม่ เปรียบเทียบกบั อะไร)2.ช้ันวเิ สส แสดงลกั ษณะของนามนาม พเิ ศษกวา่ ปกติ เมื่อเปรียบเทียบกบั สิ่งอื่นๆ เช่น ดีกวา่ , ชวั่ กวา่ , สูงกวา่ ในภาษาบาลี ใช้ อติ นาหนา้ หรือ ใช้ ตร อิย อิยสิ ฺสก ต่อทา้ ยคุณนามช้นั ปกติ3.ช้ันอตวิ เิ สส แสดงลกั ษณะของนามนาม พิเศษมากท่ีสุด เมื่อเปรียบเทียบ กบั สิ่งอ่ืนๆ เช่น ดีท่ีสุด, ชว่ั ที่สุด, สูงท่ีสุด ในภาษาบาลี ใช้ อติวิย นาหนา้ หรือใช้ ตม อิฏฺฐ ต่อทา้ ยคุณนามช้นั ปกติ
ตวั อยา่ งของคุณนามช้นั ปกติ แสดงลกั ษณะของนามนาม อยา่ งปกติ เช่น อจุ ฺโจ สูง, นีโจต่า, กณฺโห ดา, โอทาโต ขาว, กสุ โล ฉลาด, พาโล โง่ เป็นตน้ช้นั วเิ สส แสดงลกั ษณะของนามนาม ยง่ิ หรือหยอ่ นกวา่ ปกติ โดยใช้อติ นาหนา้ หรือใช้ ตร อิย อิยสิ ฺสก ต่อทา้ ยคุณนามช้นั ปกติ เช่นอติมหนฺโต ใหญ่กวา่ , อจุ ฺจตโร สูงกวา่ , ปาปิ โย เป็นบาปกวา่ช้นั อติวเิ สส แสดงลกั ษณะของนามนาม ถึงข้นั ท่ีสุด โดยใช้ อติวยินาหนา้ หรือใช้ ตม อิฏฺฐ ต่อทา้ ยคุณนามช้นั ปกติ เช่น อติวยิ มหนฺโตใหญ่ท่ีสุด, ปาปิ ฏฺโฐ เป็นบาปท่ีสุด, อจุ ฺจตโม สูงท่ีสุด
3. สัพพนาม หมายถึง นามท่ีใชแ้ ทนนามนามที่ออกชื่อมาแลว้ เพ่ือไมใ่ หซ้ ้าซาก ซ่ึงไม่เพราะหู เป็นตน้ แบ่งเป็น 2 คือ1.ปุริสสัพพนาม คือ คาท่ีใชแ้ ทนนามนามท่ีกล่าวถึงมาแลว้ คาท่ีใชแ้ ทนตวั ผพู้ ดู และ คาที่ใชแ้ ทนตวั ผฟู้ ัง เช่น เขา, ท่าน, ฉนั เป็นตน้ ปุริสสพั พนาม แบ่งเป็น 3 บุรุษ คือ• ปฐมบุรุษ คือ คาท่ีใชแ้ ทนนามนามท่ีกลา่ วถึงมาแลว้ หรือแทนบุคคล หรือแทน ส่ิง ท่ีถกู พดู ถึง ไดแ้ ก่ ต ศพั ท์ แปลวา่ เขา, มนั เป็นตน้ อยา่ งใดอยา่ งหน่ึง แลว้ แต่ความเหมาะสมในภาษาไทย เป็นได้ 3 ลิงค์• มธั ยมบุรุษ คือ คาท่ีใชแ้ ทนผฟู้ ัง หรือผพู้ ดู ดว้ ย ไดแ้ ก่ ตุมฺห ศพั ท์ แปลวา่ ท่าน, คุณ, เธอ, เจา้ , เอง็ , มึง เป็นตน้ ตามสมควร เป็นได้ 2 ลิงค์ คือ ปุงลิงค์ และ อิตถี ลิงค์• อุตตมบุรุษ คือ คาท่ีใชแ้ ทนตวั ผพู้ ดู ไดแ้ ก่ อมฺห ศพั ท์ แปลวา่ ฉนั , กระผม, ขา้ พเจา้ , เรา, กู เป็นตน้ ตามสมควร เป็นได้ 2 ลิงค์ คือ ปุงลิงค์ และ อิตถีลิงค์
สัพพนาม (ต่อ)วิเสสนสัพพนาม คือ สพั พนามที่ใชป้ ระกอบกบั นามนาม เพ่ือใหเ้ ด่นชดั ข้ึน เช่นกาหนดแน่นอน หรือไมแ่ น่นอน ใกลห้ รือไกล มีลกั ษณะและวิธีใชเ้ หมือนคุณนาม เป็นได้ 3 ลิงค์ วเิ สสนสพั พนาม แบ่งเป็น 2 คือ2.1 อนิยมวิเสสนสัพพนาม คือสพั พนามที่ใชป้ ระกอบกบั นามนาม ไมร่ ะบุแน่ชดั วา่ เป็นใคร หรือสิ่งใด มี 13 ศพั ท์ คือ1. ย ใด 7. กตร คนไหน, อยา่ งไหน2. อญฺญ อื่น 8. กตม คนไหน, อยา่ งไหน3. อญฺญตร คนใดคนหน่ึง 9. เอก คนหน่ึง, พวกหน่ึง4. อญฺญตม คนใดคนหน่ึง 10. เอกจฺจ บางคน, บางพวก5. ปร อ่ืน 11. สพฺพ ท้งั ปวง6. อปร อ่ืนอีก 12. อภุ ย ท้งั สอง13. กึ อะไร
2.2 นิยมวเิ สสนสัพพนามคือสพั พนามท่ีใชป้ ระกอบกบั นามนาม ระบุแน่ชดั วา่ เป็น คนน้นั คนน้ีหรือส่ิงน้นั สิ่งน้ี มี 4 ศพั ท์ คือ 1. ต น้นั 2. เอต นน่ั , น่ี 3.อิม น้ี 4. อมุ โนน้ต ศพั ท์ ท่ีเป็นปุริสสพั พนาม แปลวา่ เขา มนั ท่าน นาง เป็นตน้ต ศพั ทท์ ี่เป็นปุริสสพั พนาม ใชแ้ ทนนามนามท่ีกลา่ วมาแลว้ โดยไม่ยกนามนามน้นั มากล่าวซ้าอีก เช่น ทารโก รุกฺข อภิรุหติ, โส รุกฺขา ปตติ. เดก็ ยอ่ มข้ึน สู่ตน้ ไม,้ เขา ยอ่ มตก จากตน้ ไม้ น้นั .อุปาสิกา ภิกฺขสุ งฺฆสฺส ยาคุภตฺต อทาสิ, สา สทฺธาย ปุญฺญ กโรติ. อุบาสิกา ไดถ้ วายแลว้ ซ่ึงขา้ วตม้ และขา้ วสวย แก่หมู่แห่งภิกษุ, นาง ยอ่ มกระทา ซ่ึงบุญ ดว้ ยศรัทธา.
ต ศพั ทท์ ่ีเป็นวเิ สสนสพั พนาม แปลวา่ \"น้นั \" ใชป้ ระกอบ กบั นามนาม โดยวางไวห้ นา้ นามนามน้นัทารโก รุกฺข อภิรุหติ, โส ทารโก ตมฺหา ปตติ. เดก็ ยอ่ มข้ึน สู่ตน้ ไม,้ เดก็ น้นั ยอ่ มตก จากตน้ ไม้ น้นั .อุปาสิกา ภิกฺขสุ งฺฆสฺส ยาคุภตฺต อทาสิ, สา อุปาสกาสทฺธาย ปุญฺญฺ กโรติ. อุบาสิกา ไดถ้ วายแลว้ ซ่ึงขา้ วตม้ และขา้ วสวย แก่หมู่แห่งภิกษุ, อุบาสิกา น้นั ยอ่ มกระทา ซ่ึงบุญ ดว้ ยศรัทธา.มธุ เคเห อโหสิ, มาตา ต มธุ อาหริ. น้าผ้งึ ไดม้ ีแลว้ ในบา้ น, มารดา นามาแลว้ ซ่ึงน้าผ้งึ น้นั .
นาม (ต่อ) วจนะ คอื คาพดู แบ่งเป็ น 2 คือ 1. เอกวจนะ คาพดู สาหรับออกช่ือของสิ่งเดียว 2. พหุวจนะ คาพดู สาหรับออกชื่อของมากกวา่ ส่ิงเดียว วิภัตติ คือ คาพดู ที่จดั เป็นลิงคแ์ ละวจนะน้นั ตอ้ งอาศยั วิภตั ติอปุ ถมั ภ์ มี 7 วิภตั ติ คือ1. ปฐมาวิภตั ติ 2. ทุติยาวิภตั ติ 3. ตติยวิภตั ติ 4. จตุตถวิภตั ติ5. ปัญจมีวิภตั ติ 6. ฉฏั ฐีวภิ ตั ติ 7. สตั ตมีวิภตั ติ
นาม (ต่อ) อายตนิบาต แปลว่า คาเชื่อมเนือ้ ความให้ติดกนั ประจาหมวดวภิ ตั ติท้งั 7 ดงั น้ีป. ที่ 1 อ. (อนั วา่ )ทุ. ท่ี 2 ซ่ึง, สู่, ยงั , สิ้น, ตลอด, กะ, เฉพาะต. ท่ี 3 ดว้ ย, โดย, อนั , ตาม, เพราะ, มี, ดว้ ยท้งัจ. ที่ 4 แก่, เพ่ือ, ต่อปัญจ. ที่ 5 แต,่ จาก, กวา่ , เหตุฉ. ท่ี 6 แห่ง, ของ, เม่ือส. ที่ 7 ใน, ใกล,้ ที่, คร้ันเม่ือ, ในเพราะ, เหนือ, บน, ณอาลปนะ แน่ะ, ดกู ่อน, ขา้ แต่
นาม (ต่อ) การันต์ แปลว่า สระที่สุดแห่งศัพท์ แบ่งเป็น 3 คือ1.ปุงลิงค์ มีการันต์ 5 คือ อ, อิ, อี, อ,ุ อู2.อิตฺถีลิงค์ มีการันต์ 5 คือ อา, อิ, อี, อ,ุ อู3.นปุงสกลิงค์ มีการันต์ 3 คือ อ, อิ, อุ กติปยศพั ท์ แปลวา่ ศพั ทจ์ านวนเลก็ ๆนอ้ ยๆมีวธิ ีแจกเฉพาะตน มโนคณศพั ท์ ศพั ท์ 12 มี มน ศพั ทเ์ ป็นตน้ เรียกวา่ มโนคณะ สงั ขยา คือ ศพั ทท์ ี่เป็นเคร่ืองกาหนดนบั นามนาม แบ่งเป็น 2 คือ 1. ปกติสงั ขยา นบั ตามลาดบั 2. ปูรณสงั ขยา นบั เป็นช้นั ๆ
นาม (ต่อ) สพั พนาม คือ เป็นชื่อสาหรับใชแ้ ทนนามนามที่ออกชื่อมาแลว้ เพอ่ื จะ ไม่ใหเ้ ป็นการซ้าๆซากๆ แบ่งเป็น 2 คือ 1.ปุริสสพั พนาม ศพั ทส์ าหรับใชแ้ ทนชื่อคนสตั วส์ ิ่งของท่ีออกชื่อ มาแลว้ ขา้ งตน้ เพอื่ จะไม่ใหเ้ ป็นการซ้าๆซากๆ นบั ตามบุรุษท่ีท่านจดั ไว้ ในอาขยาต เป็น 3 คือ ต ศพั ท์ ตุมฺห ศพั ท์ อมฺห ศพั ท์ 2.วิเสสนสพั พนาม คลา้ ยๆกบั คุณนาม แต่มีวธิ ีแจกไม่เหมือนคุณนามแบ่งเป็น 2 คือ 1. อนิยม ศพั ทท์ ี่ใชแ้ ทนบ่งบอกไม่ชดั เจน 2. นิยม ศพั ทท์ ี่ใชแ้ ทนบ่งบอกชดั เจน
อกั ษรย่อในบาลี1. อ.ุ อทุ าหรณ์ 11. ปญฺ. ปัญจมีวภิ ตั ติ2. ปุ. ปุงลิงค์ 12. ฉ. ฉฏั ฐีวภิ ตั ติ3. อิตฺ. อิตฺถีลิงค์ 13. ส. สตั ตมีวิภตั ติ4. นปุ. นปุงสกลิงค์ 14. อา. อาลปนะ5. เอก. เอกวจนะ 15. ท. ท้งั หลาย6. พหุ. พหุวจนะ 16. ป. ปฐมบุรุษ7. ป. ปฐมาวภิ ตั ติ 17. ม. มธั ยมบุรุษ8. ทุ. ทุติยาวิภตั ติ 18. อตุ ฺ. อตุ ตมบุรุษ9. ต. ตติยาวภิ ตั ติ 19. ว.ิ วิเคราะห์10. จ. จตุตถีวิภตั ติ (ทีฆะ ทาใหย้ าว, รัสสะ ทาใหส้ ้นั )
วภิ ตั ติ คาพูดท่ีท่านจดั เป็ นลิงค์ และวจนะน้ัน ต้องอาศัยวภิ ัตติอุปถมั ภ์วภิ ัตติน้ัน มี 14 ตัว แบ่งเป็ นเอกวจนะ 7 พหุวจนะ 7เอก. พหุ. อายตนิบาต (คาแปลประจาหมวด)ป. สิ โย อ. (อนั ว่า)ทุ. อ โย ซึ่ง สู่ ยัง สิ้น กะ ตลอด เฉพาะต. นา หิ ด้วย โดย อัน ตาม เพราะ มี ด้วยท้ังจ. ส น แก่ เพอ่ื ต่อปญฺ. สฺมา หิ แต่ จาก กว่า เหตุฉ. ส น แห่ง ของ เมอ่ืส. สฺมึ สุ ใน ใกล้ ที่ คร้ันเมื่อ ในเพราะ เหนือ บน ณอ. สิ โย (เพม่ิ เติม) แน่ะ ดูก่อน ข้าแต่
การแจกการันต์ ปุลิงค์การันต์ 5 คอื อ อิ อี อุ อูอ การันต์ในปุงลิงค์ แจกอย่าง ปุริส (บุรุษ) ดังนี้ ศัพท์แจกตาม อ การันต์เอก. พหุ. อาจริย อาจารย์ป. ปุริโส ปุริสา กุมาร เด็กทุ. ปุริส ปุริเส ขตฺติย กษัตริย์ต. ปุริเสน ปุริเสหิ ปุริเสภิ คณ หมู่จ. ปุริสสฺส ปุริสาย ปุริสตฺถ ปุริสาน โจร โจรปญฺ. ปุริสสฺมา ปุริสมฺหา ปุริสา ปุริเสหิ ปุริเสภิ ฉณ มหรสพฉ. ปุริสสฺส ปุริสาน ชน ชนส. ปุริสสฺมึ ปุริสมฺหิ ปุริเส ปุริเสสุ ตุรค ม้าอ. ปุริส ปุริสา เถน ขโมย
คาอธิบายใน อ การันต์1. เอา อ กบั สิ เป็น โอ, กบั โย ปฐมา เป็น อา.2. เอา อ เป็น อ ในท่ีปวง, อ กบั โย ทุติยา เป็น เอ.3. เอา อ กบั นา เป็น เอน หิ และ สุ อยหู่ ลงั เอา อ เป็น เอ เอา หิ เป็น ภิ ในที่ท้งั ปวง.4. เอา ส เป็น สฺส แต่ ส จตุตถี เป็น ตฺถ, กบั อ เป็น อาย ได้ น อยหู่ ลงั ทีฆะสระในที่ท้งั ปวง.5. เอา สฺมา เป็น มฺหา ได้ ใน ปุ. นปุ. กบั อ เป็น อา.6. เอา สฺมึ เป็น มฺหิ ได้ ใน ปุ. นปุ. กบั อ เป็น เอ.7. อาลปนะ เอกวจนะ คงเป็น อ, พหุวจนะ เป็น อา.
การแจกการันต์ (ต่อ) อิ การันต์ ในปุงลิงค์ แจกอย่าง มุนิ (ผู้รู้) ดงั นี้ ศัพท์แจกตาม อิ การันต์เอก. พหุ. อคฺคิ เปลวไฟป. มุนิ มุนโย มุนี อริ ข้าศึกทุ. มุนึ มุนโย มุนี อหิ งูต. มุนินา มุนีหิ มุนีภิ ถปติ ช่างไม้จ. มุนิสฺส มุนิโน มุนีน นิธิ ขุมทรัพย์ปญฺ. มุนิสฺมา มุนิมฺหา มุนีหิ มุนีภิ ปติ เจ้า, ผวัฉ. มุนิสฺส มุนิโน มุนีน มณิ แก้วมณีส. มุนิสฺมึ มุนิมฺหิ มุนีสุ วธิ ิ วธิ ีอ. มุนิ มุนโย มุนี วหี ิ ข้าวเปลอื ก สมาธิ สมาธิ
คาอธิบายใน อิ การันต์1. สระที่มิใช่ อ อยหู่ นา้ ลบ สิ เสีย, โย อยหู่ ลงั เอา อิ ปุ. เป็น อ กไ็ ด้ ลบ โย เสียแลว้ ทีฆะ สระ อิ อุ ในลิงคท์ ้งั 3 กไ็ ด้2. อิ อี อุ อู ใน ปุ. นปุ. คง นา ไว,้ หิ น สุ อยหู่ ลงั ทีฆะ อ อิ อุ เป็นอา อี อู ใน ลิงคท์ ้งั ปวง3. เอา ส เป็น สฺส ได้ ปุ. นปุ. ขา้ งหนา้ เป็นสระท่ีมิใช่ อ เอา เป็น โน ได้ 2 ลิงคน์ ้นั4. อาลปนะ มีคติแห่ง ปฐมา.
การแจกการันต์ (ต่อ) อี การันต์ ในปุงลิงค์ แจกอย่าง เสฏฺ ฐี (เศรษฐี) ดังนี้ ศัพท์แจกตาม อี เอก. พหุ. กรี ช้างป. เสฏฺ ฐี เสฏฺ ฐิโน เสฏฺ ฐี ตปสี คนมตี ปะทุ. เสฏฺ ฐึ เสฏฺ ฐิน เสฏฺ ฐิโน เสฏฺ ฐี ทณฺฑี คนมีไม้เท้าต. เสฏฺ ฐินา เสฏฺ ฐีหิ เสฏฺ ฐีภิ เมธาวี คนมปี ัญญาจ. เสฏฺ ฐิสฺส เสฏฺ ฐิโน เสฏฺ ฐีน สิขี นกยูงปญฺ. เสฏฺ ฐิสฺมา เสฏฺ ฐิมฺหา เสฏฺ ฐีหิ เสฏฺ ฐีภิ ภาณี คนช่างพูดฉ. เสฏฺ ฐิสฺส เสฏฺ ฐิโน เสฏฺ ฐีน โภคี คนมีโภคะส. เสฏฺ ฐิสฺมึ เสฏฺ ฐิมฺหิ เสฏฺ ฐีสุ มนฺตี คนมคี วามคิดอา. เสฏฺ ฐิ เสฏฺ ฐิโน เสฏฺ ฐี สุขี คนมคี วามสุข หตฺถี ช้าง
คาอธิบายใน อี การันต์1. เอา อ เป็น น ไดบ้ า้ ง2. อี อู ปุ. อยหู่ นา้ เอา โย เป็น โน แลว้ รัสสะสระตวั หนา้ เสีย หรือ ลบ โย กไ็ ด้3. วภิ ตั ติ เอกวจนะ ท้งั ปวง ยก ปฐมา เสีย และ โย อยหู่ ลงั ตอ้ งรัสสะ อี อู ใน ปุ. อิตฺถี.
การแจกการันต์ (ต่อ) อุ การันต์ ในปุงลิงค์ แจกอย่าง ครุ (ครู) ดังนี้ ศัพท์แจกตาม อุ การันต์เอก. พหุ. เกตุ ธงป. ครุ ครุโน ครโว ครู ชนฺตุ สัตว์เกดิทุ. ครุ ครุมฺหา ครโว ครู ปสุ สัตว์ของเลีย้ งต. ครุนา ครุโน ครูหิ ครูภิ พนฺธุ พวกพ้องจ. ครุสฺส ครุมฺหิ ครูน พพพฺ ุ เสือปลาแมวปญฺ. ครุสฺมา ครูหิ ครูภิ ภิกฺขุ ภิกษุฉ. ครุสฺส ครูน ริปุ ข้าศึกส. ครุสฺมึ ครูสุ สตฺตุ ศัตรูอา. ครุ ครเว ครโว เสตุ สะพาน เหตุ เหตุ
คาอธิบายใน อุ การันต์วิธีเปล่ียนวิภตั ติท้งั ปวง เหมือน อิ การันต์ แปลกแต่ อุ ปุลิงค์ อยหู่ นา้เอา โย เป็น โว, อาลปนะ พหุ. เป็น เว แลว้ อุ เป็น อ เท่าน้นั
การแจกการันต์ (ต่อ) อู การันต์ ในปุงลิงค์ แจกอย่าง วญิ ฺญู (ผู้รู้) ดังนี้ ศัพท์แจกตาม อู การันต์เอก. พหุ. อภิภู พระผู้เป็ นยง่ิป. วญิ ฺญู วญิ ฺญุโน วญิ ฺญุโน วญิ ฺญู กตญฺญู ผู้รู้อุปการะที่คนอื่นทุ. วญิ ฺญุ วญิ ฺญุมฺหา วญิ ฺญุโน วญิ ฺญู กระทาแล้วต. วญิ ฺญุนา วญิ ฺญุโน วญิ ฺญูหิ วญิ ฺญูภิจ. วญิ ฺญุสฺส วญิ ฺญุมฺหิ วญิ ฺญูน ปารคู ผู้ถึงฝ่ังปญฺ. วญิ ฺญุสฺมา วญิ ฺญูหิ วญิ ฺญูภิ เวทคู ผู้ถงึ เวทฉ. วญิ ฺญุสฺส วญิ ฺญูน สยมฺภู พระผู้เป็ นเองส. วญิ ฺญุสฺมึ วญิ ฺญูสุอา. วญิ ฺญุ วญิ ฺญุโน วญิ ฺญู
คาอธิบายใน อู การันต์วธิ ีเปล่ียนวภิ ตั ติท้งั ปวง เหมือน อี การันต์ แปลกแต่ อ คง อ ไวเ้ ท่าน้นั
การแจกการันต์ (ต่อ) อิตถลี งิ ค์มกี ารันต์ 5 คือ อา อิ อี อุ อู อา การันต์ ในอติ ถลี งิ ค์ แจกอย่าง กญฺญา (นางสาวน้อย) ดงั นี้ ศัพท์แจกตาม อา การันต์เอก. พหุ. อจฺฉรา นางอัปสรป. กญฺญา กญฺญาย กญฺญาโย กญฺญา อาภา รัศมีทุ. กญฺญ กญฺญาโย กญฺญา อกิ ฺขณิกา หญิงแม่มดต. กญฺญาย กญฺญาหิ กญฺญาภิ อสี า งอนไถจ. กญฺญาย กญฺญาน อุกฺกา เลน็ปญฺ. กญฺญาย กญฺญาหิ กญฺญาภิ เอสิกา เสาระเนียดฉ. กญฺญาย กญฺญาน โอชา โอชาส. กญฺญาย กญฺญาสุ กจฺฉา รักแร้อา. กญฺเญ กญฺญาโย กญฺญา คทา ตะบอง ฯลฯ
คาอธิบายใน อา การันต์1.เอา อ เป็นนิคหิต แลว้ รัสสะ อา ขา้ งหนา้ .2.อา อยหู่ นา้ เอา วภิ ตั ติ เอกวจนะ คือ นา ส สฺมา สฺมึ กบั อา เป็น อาย.3.เอา สฺมึ เป็น ย บา้ งกไ็ ด.้4.อา เอกวจนะ เอา อา เป็น เอ.
การแจกการันต์ (ต่อ) อิ การันต์ ในอติ ถีลงิ ค์ แจกอย่าง รตฺติ (ราตรี) ดังนี้ ศัพท์แจกตาม อิ การันต์เอก. พหุ. อาณิ ล่ิมป. รตฺติ รตฺติโย รตฺตี อิทฺธิ ฤทธ์ิทุ. รตฺตึ รตฺติโย รตฺตี อีติ จัญไรต. รตฺติยา รตฺตีหิ รตฺตีภิ อุกฺขลิ หม้อข้าวจ. รตฺติยา รตฺตีน อูมิ คลื่นปญฺ. รตฺติยา รตฺยา รตฺตีหิ รตฺตีภิ กฏิ สะเอวฉ. รตฺติยา รตฺตีน ขนฺติ ความอดทนส. รตฺติยา รตฺติย รตฺย รตฺตีสุ คณฺฑิ ระฆังอา. รตฺติ รตฺติโย รตฺตี ฉวิ ผวิ ฯลฯ
คาอธิบายใน อิ การันต์1. อิ อี อุ อู อิตถีลิงค์ อยขู่ า้ งหนา้ เอา วภิ ตั ติ เอกวจนะ คือ นา ส สฺมา สฺมึ เป็น ยา2. อิ อิตถีลิงค์ อยขู่ า้ งหนา้ เอา สฺมา เป็น อา เอา สฺมึ เป็น อ แลว้ เอา อิ เป็น ย ไดบ้ า้ ง.
การแจกการันต์ (ต่อ) อี การันต์ ในอติ ถลี ิงค์ แจกอย่าง นารี (นาง) ดงั นี้ ศัพท์แจกตาม อี การันต์ เอก. พหุ. กุมารี เดก็ หญงิป. นารี นาริย นาริโย นารี ฆรณี หญิงแม่เรือนทุ. นารึ นาริย นาริโย นารี ถี หญงิต. นาริยา นารีหิ นารีภิ ธานี เมืองจ. นาริยา นารีน ปฐวี แผ่นดนิปญฺ. นาริยา นารีหิ นารีภิ มาตุลานี ป้ า,น้าฉ. นาริยา นารีน วชี นี พดัส. นาริยา นารีสุ สิมฺพลี ไม้งวิ้อา. นาริ นาริโย นารี
การแจกการันต์ (ต่อ) อุ การันต์ ในอติ ถลี ิงค์ แจกอย่าง รชฺชุ (เชือก) ดังนี้ ศัพท์แจกตาม อุ การันต์เอก. พหุ. อุรุ ทรายป. รชฺชุ รชฺชุโย รชฺชู กาสุ หลุมทุ. รชฺชุ รชฺชุโย รชฺชู เธนุ แม่โคนมต. รชฺชุยา รชฺชูหิ รชฺชูภิ ยาคุ ข้าวต้มจ. รชฺชุยา รชฺชูน ลาวุ นา้ เต้าปญฺ. รชฺชุยา รชฺชูหิ รชฺชูภิ วชิ ฺชุ สายฟ้ าฉ. รชฺชุยา รชฺชูนส. รชฺชุยา รชฺชุย รชฺชูสุอา. รชฺชุ รชฺชุโย รชฺชู
การแจกการันต์ (ต่อ) อู การันต์ ในอิตถีลงิ ค์ แจกอย่าง วธู (หญิงสาว) ดังนี้ ศัพท์แจกตาม อู การันต์เอก. พหุ. จมู เสนาป. วธู วธุโย วธู ชมฺพุ ไม้หว้าทุ. วธุ วธุโย วธู ภู แผ่นดนิ , ควิ้ต. วธุยา วธูหิ วธูภิ วริ ู เถาวลั ย์จ. วธุยา วธูน สรพู ตุ๊กแกปญฺ. วธุยา วธูหิ วธูภิ สินฺธู แม่นา้ สินธูฉ. วธุยา วธูนส. วธุยา วธุย วธูสุอา. วธุ วธุโย วธู
การแจกการันต์ (ต่อ) นปุสกลงิ ค์ มีการันต์ 3 คือ อ อิ อุ อ การันต์ ในนปุงสกลงิ ค์ แจกอย่าง กุล (ตระกูล) ดังนี้ ศัพท์แจกตาม อ การันต์เอก. พหุ. องฺค องค์ป. กุล กลุ านิ อณิ หนี้ทุ. กุล กุลานิต. กุเลน กุเลหิ กุเลภิ อุทร ท้องจ. กลุ สฺส กลุ าย กลุ ตฺถ กุลานปญฺ. กุลสฺมา กลุ มฺหา กุลา กเุ ลหิ กเุ ลภิ โอฏฺ ฐ ริมฝี ปากฉ. กลุ สฺส กุลาน กฏฺ ฐ ไม้ส. กุลสฺมึ กุลมฺหิ กเุ ล กุเลสุ กมล ดอกบัวอา. กุล กลุ านิ ฆร เรือน จกฺก จักร ฉตฺต ฉัตร ฯลฯ
คาอธิบายใน อ การันต์1. อ นปุ. อยหู่ นา้ เอา สิ เป็น อ2. เอา โย เป็น นิ ใน นปุ. ท้งั สิ้น, และทีฆะสระเบ้ืองตน้ , อาลปนะท้งั สองมีคติแห่ง ปฐมา เหลือน้นั เหมือน อ การันต์ ใน ปุ. ท้งั สิ้น
Search