การเปรียบเทยี บความสามารถการอ่านจับใจความสำคัญของนักเรียน ช้นั ประถมศึกษาปที ่ี 6 โรงเรยี นวัดเขียนเขต ระหวา่ งวิธีสอนแบบร่วมมอื โดยใชเ้ ทคนคิ CIRC กบั วิธีสอนแบบปกติ ผู้จดั ทำ นายกติ ศิ ักด์ิ สุขวโรดม ตำแหนง่ ครูผู้ชว่ ย ภาคเรยี นท่ี 1 ประจำปกี ารศึกษา 2563 โรงเรียนวัดเขยี นเขต สำนักงานเขตพ้ืนท่กี ารศึกษาประถมศกึ ษาปทุมธานี เขต 2 สำนกั งานคณะกรรมการการศึกษาขนั้ พืน้ ฐาน กระทรวงศกึ ษาธกิ าร
1 บทที่ 1 บทนำ ความเป็นมาและความสำคัญของปญั หา ภาษาไทยเปน็ เอกลักษณ์ของชาติ เปน็ สมบัตทิ างวัฒนธรรมอันกอ่ ให้เกดิ ความเป็น เอกภาพและเสริมสร้างบคุ ลิกภาพของคนในชาติให้มีความเป็นไทย เป็นเครอื่ งมือในการ ตดิ ตอ่ สอ่ื สารเพ่ือสรา้ งความเขา้ ใจและความสัมพันธ์ทด่ี ตี ่อกนั ทำใหส้ ามารถประกอบกิจธุระ การงาน และดำรงชวี ิตรว่ มกนั ในสังคมประชาธปิ ไตยได้อย่างสนั ติสุข และเปน็ เครื่องมอื ในการ แสวงหาความรู้ ประสบการณ์จากแหล่งข้อมลู สารสนเทศตา่ ง ๆ เพือ่ พฒั นาความรู้ กระบวนการคดิ วิเคราะห์ วิจารณ์ และสร้างสรรค์ให้ทนั ต่อการเปลีย่ นแปลงทางสงั คม และ ความกา้ วหน้าทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ตลอดจนนำไปใชใ้ นการพฒั นาอาชีพใหม้ ีความ มัน่ คงทางเศรษฐกิจ นอกจากนยี้ ังเปน็ ส่ือแสดงภูมิปญั ญาของบรรพบุรษุ ดา้ นวัฒนธรรม ประเพณี สุนทรียภาพ เป็นสมบตั ิล้ำค่าควรแกก่ ารเรียนรู้ อนุรกั ษ์ และสบื สานให้คงอยคู่ ่ชู าติ ไทยตลอดไป (กระทรวงศกึ ษา, 2551 หน้า 37) การอ่านเป็นทกั ษะทางภาษาทส่ี ำคัญและจำเป็นมากในการดำรงชีวติ ของคนในยคุ ปจั จบุ นั ยิง่ ว่าทกุ สมยั ที่ผา่ นมา เพราะขณะนว้ี ทิ ยาการและเทคโนโลยตี า่ ง ๆ ไดเ้ ปลย่ี นแปลง เจริญก้าวหน้ามากและเป็นไปอยา่ งรวดเร็ว การติดตอ่ ส่อื สารก็ยง่ิ เพิ่มความสำคัญในธรุ กจิ การ งานมากข้ึน (วรรณี โสมประยูร, 2553, หน้า 127) สอดคลอ้ งกับ มหาวทิ ยาลัยราชภฏั สวน สุนันทา (2549, หน้า 76) ทกี่ ล่าววา่ การอ่านเปน็ ทักษะทสี่ ำคญั ในชวี ิตประจำวัน เพราะเป็น ทักษะท่ใี ช้แสวงหาความรู้ ความบันเทงิ และการพกั ผ่อนหยอ่ นใจ ผ้มู นี ิสัยรักการอ่าน และมี ทกั ษะในการอา่ นยอ่ มไดป้ ระโยชนส์ งู ผู้ทีอ่ า่ นไมเ่ ป็นหรอื ไมอ่ า่ นยอ่ มปิดโอกาสของตนเองใน การรับร้คู วามเปน็ ไปของสังคม ซึง่ มีความสอดคลอ้ งกับ สำนกั งานคณะกรรมการการ ประถมศึกษาแห่งชาติ (ม.ป.ป., หนา้ 1) ทก่ี ลา่ วว่า การอ่านเป็นทักษะทางภาษาทสี่ ำคญั และ จำเป็นมากในการดำรงชีวิตในปจั จบุ ัน เพราะเปน็ ยุคข้อมูลขา่ วสาร วทิ ยาการและเทคโนโลยี ต่าง ๆ เจรญิ ก้าวหน้าไปอยา่ งรวดเรว็ การตดิ ตอ่ ส่ือสารกย็ งิ่ เพมิ่ ความสำคัญมาก จะต้องอาศัย การอ่านจงึ จะเขา้ ใจและส่อื ความกันไดถ้ กู ตอ้ ง แมจ้ ะมกี ารนำเทคโนโลยีมาใช้ในการ
2 ติดต่อส่อื สาร แต่ก็ไม่สามารถใช้ทดแทนการอ่านได้ตรงกนั ข้ามคนในยุคน้ีกลบั ต้องอา่ นเพมิ่ ข้ึน แตจ่ ากรายงานการประเมินการอ่าน การเขียน ครั้งที่ 1 ประจำปีการศึกษา 2562 ภาคเรียนที่ 1 ของโรงเรียนวดั เขยี นเขต ระดบั ช้ันประถมศึกษาปีที่ 6 พบว่า นักเรยี นชั้นประถมศกึ ษาปีที่ 6 มีความสามารถการอ่านจับใจความในระดับ รอ้ ยละ 57.66 ซง่ึ ต่ำกว่าเป้าหมายร้อยละ 80 ผล การประเมินดังกลา่ วสอดคลอ้ งกับการวิจัยของมริ นั ตี นิมติ กลุ (2562 , บทคัดย่อ) ที่พบวา่ ทกั ษะการอา่ นจับใจความของเนื้อหาท่ีอ่านไม่ได้ และไม่สามารถสรุปใจความสำคญั ของเร่อื งที่ อา่ นไดต้ รงประเดน็ เพราะเนอ้ื หาสาระมีความซบั ซอ้ น ทำใหน้ กั เรียนเข้าใจยาก สง่ ผลตอ่ ผลสัมฤทธทิ์ างการเรียน กลุ่มสาระการเรียนรภู้ าษาไทยอยู่ในระดบั ไม่น่าพึงพอใจ ซ่ึง สอดคล้องกบั การวจิ ัยของศภุ รา ทา้ วคำลือ (2555, หน้า 2) ที่พบว่า ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน ของนกั เรยี นตามมาตรฐานการเรียนรู้ ท 1.1 ชัน้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 6 นักเรยี นมีปญั หาด้านการ อ่านจับใจความ ซึง่ สอดคล้องกบั มาตรฐานการเรยี นรู้ ท 1.1 อยู่ในระดับตำ่ ซงึ่ ปัณฑิตา สกุ ดำ (2555, หนา้ 3) กล่าวถึงสาเหตุมาจากองค์ประกอบตา่ ง ๆ หลายประการ ท่ีสง่ ผลต่อ คะแนนเฉลย่ี ของผลสัมฤทธิ์นักเรยี น ปญั หาส่วนหนง่ึ เกิดจากการเรียน การสอนของครู ครู สอนโดยการบรรยาย เนน้ การท่องจำมากกว่าการคดิ วิเคราะห์ ปญั หาดังกลา่ วมาจากสาเหตุหลายประการ สาเหตสุ ำคัญนา่ จะเปน็ เพราะครผู ู้สอนใช้ วธิ สี อนแบบเดิมหรือการสอนแบบเนน้ บรรยาย ไมม่ กี ารฝกึ ทกั ษะการคดิ วเิ คราะห์ เนน้ การ ทอ่ งจำมากกว่าฝึกทักษะ ซ่ึงเป็นปญั หาที่ วรรณี โสมประยูร (2553 , หนา้ 138) กลา่ วว่า ครู จะต้องมคี วามรู้ความเข้าใจเนื้อหาของภาษาไทยอยา่ งดี มีความรู้เรื่องหลกั สตู รภาษาไทย รู้ จดุ มุ่งหมายของการอ่าน มีความรูใ้ นกลวิธีสอน มีความเข้าใจความหมายของการอ่าน ซึ่ง สอดคลอ้ งกบั ทศั นีย์ ศุภเมธี (2542, หน้า 213) กล่าวว่า ครูผู้สอนจำเปน็ ตอ้ งมเี ทคนิควธิ ีใน การทจี่ ะจัดการเรียนการสอนให้ไดผ้ ลดี และการสอนจะมปี ระสทิ ธิภาพไดน้ ั้น ครูผูส้ อน จำเป็นตอ้ งมคี วามร้คู วามเข้าใจในศาสตรอ์ ย่างลึกซ้งึ จึงทำใหป้ ระสบความสำเร็จ จงึ ทำให้ ผู้วิจัยสนใจวิธีการสอนแบบรว่ มมือ โดยนำเทคนิคเขามาชว่ ยในการเรยี นการสอนให้มี ประสทิ ธิภาพมากข้นึ การเรียนรูแ้ บบรว่ มมือเปน็ การเรียนร้เู ป็นกลุ่มย่อยโดยมสี มาชิกกลุ่มท่ีมคี วามสามารถ แตกต่างกันประมารณ 3-6 คน ชว่ ยกันเรียนรู้เพือ่ ไปสเู่ ป้าหมายของกลุ่ม นกั การศึกษาคน สำคัญทเ่ี ผยแพร่แนวคิดของการเรยี นรแู้ บบน้ีคอื สลาวนิ (Slavin) เดวิดจอห์นสนั (Davud Johnson) และรอเจอร์ จอหน์ สัน (Roger Johnson) เขากล่าวว่า ในการจดั การเรียนการ สอนโดยทั่วไป เรามักจะไม่ให้ความสนใจเกยี่ วกบั ความสัมพันธ์และปฏสิ ัมพันธ์ระหว่างผู้เรยี น ส่วนใหญ่เรามักจะมงุ่ ไปท่ีปฏิบัตสิ มั พันธร์ ะหว่างครูกับผ้เู รียน หรอื ระหว่างผู้เรยี นกับบทเรียน
3 ความสัมพนั ธร์ ะหว่างผู้เรยี น เป็นมติ ทิ ่ีมักจะถูกละเลยหรือมองข้ามไปทง้ั ๆ ทม่ี ีผลการวจิ ยั ช้ี ชดั เจนวา่ ความรู้สึกของผู้เรียนตอ่ ตนเอง ตอ่ โรงเรียน ครแู ละเพ่อื นรว่ มชน้ั ทศิ นา แขมมณี (2558, หน้า 98-99) ซึง่ การเรียนแบบรว่ มมือ แบ่งออกเปน็ รูปแบบจิก๊ ซอว์ หรือรปู แบบเอส. ที. เอ. ด.ี (STAD) หรอื รูปแบบ ท.ี เอ. ไอ. (TAI) หรือรปู แบบ ท.ี จ.ี ที. (TGT) หรือรปู แบบ แอล. ที. (LT) หรือรูปแบบจ.ี ไอ. (GI) หรอื รปู แบบ ซี. ไอ. อาร.์ ซี. (CIRC) และรปู แบบคอม แพล็กซ์ (Complex Instruction) ทิศนา แขมณี (2558, หนา้ 255) จากผลงานวิจัยใน ประเทศ พบว่า การเรียนแบบรว่ มมือใช้ได้ผลดแี ละมปี ระสิทธิภาพ สำหรับงานวิจัยในประเทศ นน้ั พบว่า มีการนำการเรียนแบบรว่ มมอื มาใชไ้ ด้ผลดี เชน่ กล้า พมิ พ์วงษ์ (2543) ไดศ้ ึกษา ผลของการเรียนแบบรว่ มมือโดยใชโ้ ปรแกรม CIRC ตอ่ ความสามารถในการอ่านจับใจความ ภาษาไทย เจตคติ และความสัมพันธ์ทางสังคม ของนักเรยี นช้ันประถมศกึ ษาปีท่ี 5 พบว่า นักเรยี นทเี่ รยี นแบบร่วมมือโดยใช้เทคนคิ CIRC มีความสามารถในการอ่านจับใจความ ภาษาไทยหลงั ทดลองสงู กวา่ ก่อนทดลอง ศุภรา ทา้ วคำลือ (2555) ไดศ้ ึกษา การพฒั นาทกั ษะ ดา้ นการอ่านจบั ใจความและความคิดเห็นต่อการอา่ นจบั ใจความด้วยเทคนคิ CIRC ประกอบ แผนภาพโครงเร่อื ง สำหรับนักเรยี นชัน้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 6 พบว่า นกั เรียนที่เรียนแบบร่วมมือ โดยใช้เทคนคิ CIRC ประกอบแผนภาพโครงเร่ือง มีทักษะการอ่านจบั ใจความสำคญั หลงั เรยี น สงู กว่าก่อนเรียนเทา่ กับ 5.5 คิดเปน็ รอ้ ยละ 18.34 ปัณฑิตา สุกดำ (2555) ไดศ้ ึกษา ผลการ จัดการเรยี นรู้แบบร่มมือเทคนิค CIRC รว่ มกับการใช้ผงั กราฟกิ ทมี่ ตี ่อการอา่ นจับใจความ ภาษาไทยและการเขยี นสรุปความของนักเรียนชนั้ ประถมศกึ ษาปีที่ 3 พบวา่ นักเรียนท่ีเรยี น แบบรว่ มมอื เทคนิค CIRC รว่ มกบั การใช้ผังกราฟิก มคี วามสามารถในการอา่ นจับใจความ ภาษาไทย หลังทดลองสูงกว่ากอ่ นทดลองอยา่ งมนี ยั สำคญั ทางสถติ ทิ ร่ี ะดบั .01 มริ นั ตี นิมิตกลุ (2562) ไดศ้ กึ ษา ผลการพัฒนาความวามารถในการอ่านจบั ใจความภาษาไทย โดยกจิ กรรม การเรียนร้แู บบรว่ มมือ เทคนิค CIRC ของนักเรยี นชั้นประถมศกึ ษาปที ่ี 6 พบว่า นักเรียนทจ่ี ดั กจิ กรรมการเรียนรูแ้ บบรว่ มมือ เทคนิค CIRC มีความสามารถในการอา่ นจับใจความภาษาไทย หลังเรยี นสูงกว่าก่อนเรยี นอยา่ งมนี ยั สำคัญทางสถิติทรี่ ะดบั .05 การอ่านจับใจความสำคัญมคี วามสำคัญต่อการเรียนและเปน็ การอ่านขั้นเบอื้ งต้นของ นักเรียนจงึ ควรมกี ารฝึกทักษะการอา่ นจับใจความ ดังน้ันผวู้ ิจัยเห็นวา่ การจัดการเรียนรู้ดว้ ย วธิ กี ารสอนแบบรว่ มมือ โดยใชเ้ ทคนคิ CIRC เป็นแนวคดิ ทน่ี ่าสนใจในการนำมาประยกุ ต์ใชใ้ ห้ เหมาะสม และเพื่อนำมาพัฒนาความสามารถการอ่านจบั ใจความของนกั เรยี นชน้ั ประถมศกึ ษา ปที ่ี 6 และผ้วู ิจยั จงึ สนใจและนำมาเปรียบเทยี บความสามารถการอา่ นจบั ใจความสำคัญของ
4 นักเรยี นช้ันประถมศกึ ษาปีท่ี 6 โรงเรียนวัดเขียนเขต ระหว่างวิธการสอนแบบร่วมมอื CIRC กับวธิ ีสอนแบบปกติ วัตถปุ ระสงคข์ องการวิจัย 1. เพอ่ื เปรียบเทยี บความสามารถการอ่านจบั ใจความสำคญั ของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีท่ี 6 โรงเรียนวัดเขยี นเขต ทไี่ ด้รบั การสอนดว้ ยวิธสี อนแบบร่วมมือ โดยใช้ เทคนิค CIRC และนักเรยี นท่ไี ด้รบั การสอนดว้ ยวิธสี อนแบบปกติ 2. เพอ่ื เปรียบเทยี บความสามารถการอ่านจับใจความสำคญั ของนกั เรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนวัดเขียนเขต ก่อนเรยี นและหลังเรยี นของนักเรยี นท่ไี ด้รับการสอน ด้วยวธิ ีสอนแบบรว่ มมอื โดยใชเ้ ทคนคิ CIRC 3. เพือ่ เปรยี บเทยี บความสามารถการอ่านจบั ใจความสำคญั ของนกั เรยี นชน้ั ประถมศกึ ษาปที ี่ 6 โรงเรียนวัดเขยี นเขต กอ่ นเรียนและหลงั เรยี นของนกั เรยี นทไี่ ด้รบั การสอน ด้วยวธิ ีสอนแบบปกติ สมมตฐิ านของการวจิ ยั กล้า พิมพว์ งษ์ (2534) ไดว้ ิจัยเรอ่ื ง ผลของการเรียนแบบรว่ มมอื โดยใช้โปรแกรม CIRC ตอ่ ความสามารถในการอ่านจับใจความภาษาไทย เจตคติ และความสัมพนั ธท์ างสังคม ของ นกั เรยี นชั้นประถมศึกษาปีท่ี 5 ผลการวิจยั พบวา่ หลังการทดลองนักเรยี นในกลุ่มทดลองมี ความสามารถในการอา่ นจับใจความภาษาไทยสูงกว่าก่อนทดลอง อยา่ งมีนยั สำคัญทางสถิติท่ี ระดับ .05 ผลการวิจยั ข้างตน้ พบว่า วิธกี ารสอนแบบร่วมมอื โดยใชเ้ ทคนคิ CIRC ที่เป็นตัวแปร ต้นนั้น สามารถพัฒนาความสามารถการอ่านจับใจความสำคัญได้ ผ้วู ิจัยจงึ ไดก้ ำหนด สมมตฐิ านการวจิ ยั ดงั นี้ 1. นกั เรยี นท่ไี ดร้ ับการสอนดว้ ยวธิ สี อนแบบรว่ มมือ โดยใช้เทคนคิ CIRC มี ความสามารถการอ่านจบั ใจความสำคญั สูงกว่านกั เรียนทีไ่ ด้รับการสอนด้วยวิธีสอนแบบปกติ อยา่ งมนี ัยสำคญั ทางสถิตทิ ร่ี ะดบั .05 2. นักเรียนทไ่ี ด้รับการสอนด้วยวธิ สี อนแบบร่วมมือ โดยใชเ้ ทคนคิ CIRC มี ความสามารถการอ่านจบั ใจความสำคัญหลังเรยี นสงู กวา่ ก่อนเรียนอยา่ งมนี ัยสำคัญทางสถิติท่ี ระดบั .05 3. นกั เรยี นทไี่ ด้รบั การสอนดว้ ยวธิ ีสอนแบบปกติ มีความสามารถการอ่านจับใจความ สำคญั หลังเรียนสงู กว่ากอ่ นเรยี นอย่างมนี ัยสำคัญทางสถติ ทิ ่ีระดับ .05
5 ขอบเขตของการวจิ ยั 1. ประชากรและกลมุ่ ตัวอยา่ ง 1.1 ประชากร ได้แก่ นกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปีที่ 6 ของโรงเรยี นวัดเขียนเขต อำเภอธัญบรุ ี จังหวดั ปทมุ ธานี ภาคเรยี นท่ี 2 ปีการศึกษา 2562 จำนวน 6 ห้องเรยี น จำนวน 258 คน 1.2 กลุ่มตวั อยา่ งทใี่ ช้ในการวจิ ัยครั้งนี้ เป็นนักเรียนช้ันประถมศกึ ษาปีที่ 6 โรงเรียนวดั เขยี นเขต ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2562 จำนวน 2 หอ้ งเรียน ที่ได้มาจากการ วเิ คราะหค์ ่าแปรปรวน (one – way ANOVA) ซง่ึ ผวู้ ิจัยไดห้ าคา่ คะแนนเฉล่ียจากการทดสอบ การอ่าน ครงั้ ที่ 1 ภาคเรียนที่ 1 ประจำปกี ารศกึ ษา 2562 ซงึ่ จากการวเิ คราะหค์ า่ คะแนนน้ัน พบว่า นกั เรยี นชัน้ ประถมศึกษาปีที่ 6 มีคู่ท่ีมคี วามสามารถไม่แตกต่างกนั จำนวน 3 คู่ จากนั้น จบั สลากเพ่อื เลือกกลุม่ ทดลองและกลุม่ ควบคมุ ดงั นี้ ชัน้ ประถมศกึ ษาปที ่ี 6 ห้อง 2 ได้รับการ สอนด้วยวิธสี อนแบบร่วมมอื โดยใช้เทคนคิ CIRC และ นกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปที ่ี 6 หอ้ ง 5 ไดร้ ับการสอนด้วยวิธีสอนแบบปกติ 2. ตัวแปรท่ใี ช้ในการวิจยั 2.1 ตวั แปรอสิ ระ ประกอบดว้ ย 2.1.1 วธิ กี ารสอนแบบร่วมมอื โดยใชเ้ ทคนิค CIRC 2.1.2 วิธีการสอนแบบปกติ 2.2 ตัวแปรตาม ประกอบดว้ ย 2.2.1 ความสามารถการอ่านจบั ใจความสำคญั 3. ระยะเวลาที่ใชใ้ นการทดลอง คอื ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศกึ ษา 2562 โดยใชเ้ วลาท้งั สิ้น 6 ชัว่ โมง นิยามศพั ท์เฉพาะ 1. การอ่านจบั ใจความสำคญั หมายถึง การอา่ นจับใจความสำคญั เป็นทักษะเบอ้ื งตน้ ของการอ่านหนังสือเพอ่ื นำมาใช้ในชีวติ ประจำวัน ซึง่ การอ่านจบั ใจความสำคัญนัน้ แบ่ง
6 ออกเป็น 2 ส่วน คอื ใจความและพลความ เพ่อื พจิ ารณาลำดับเหตุการณ์ ตวั ละคร สถานท่ี หรือเหตุการณส์ ำคญั 2. ความสามารถการอ่านจับใจความสำคญั หมายถงึ ความสามารถในการอา่ น แลว้ สามารถแยกขอ้ เท็จจรงิ ข้อคดิ เห็น คาดคะเนเหตกุ ารณ์ ระบุเหตผุ ล สรุปความรู้ และข้อคิด จากเรื่องที่อ่านเพื่อนำไปใช้ในชวี ติ ประจำวนั ซ่งึ ผู้วจิ ัยได้สรา้ งแบบทดสอบวดั ความสามารถ แบบปรนัย 4 ตัวเลอื ก จำนวน 30 ข้อ 3. แผนการจัดการเรียนรู้โดยใชว้ ธิ ีการสอนแบบร่วมมอื โดยใชเ้ ทคนคิ CIRC หมายถงึ การจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้แบบกลุม่ ซ่งึ มีกิจกรรมการเรียนการสอน ดังน้ี (1) ขั้นจดั กลุม่ (2) ขัน้ ครนู ำเสนอความเนอ้ื หา (3) ข้ันเตรยี มความพร้อม (4) ขน้ั จดั กจิ กรรมการอ่าน (5) ขัน้ สรุป บทเรียน (6) ข้นั ประเมินผล 4. แผนการจดั การเรียนรู้โดยใช้วิธกี ารสอนแบบปกติ หมายถงึ การจัดกิจกรรมการเรียน แบบปกติ ซงึ่ มีกิจกรรมการเรียนการสอน ดังนี้ (1) ขั้นนำเข้าสู่บทเรยี น (2) ข้ันดำเนินการสอน (3) ข้นั สรุปและประเมนิ ผล 5. แบบทดสอบวดั ความสามารถการอ่านจับใจความสำคัญ หมายถงึ แบบทดสอบวดั ความสามารถการอ่านจบั ใจความสำคัญ ชนดิ ปรนัย 4 ตัวเลอื ก จำนวน 30 ข้อ ซึง่ มีเกณฑ์การ ใหค้ ะแนน ตอบถูก 1 คะแนน ตอบผดิ หรือไม่ตอบ 0 คะแนน ซึง่ ผู้วิจัยสรา้ งแบบวดั ความสา มารการอ่านจบั ใจความ คือ แยกข้อเทจ็ จรงิ แยกข้อคิดเห็น คาดคะเนเหตกุ ารณ์ ระบเุ หตผุ ล ประกอบ สรุปความรู้ เพอื่ นำไปใช้ในชวี ติ ประจำวนั และสรปุ ข้อคดิ เพ่อื นำไปใช้ใน ชีวิตประจำวนั ซ่ึงผู้วจิ ัยสร้างเป็นข้อสอบกอ่ นเรียนและหลังเรยี น
7 บทที่ 2 วรรณกรรมทีเ่ ก่ยี วข้อง การวิจัยเรอื่ ง การเปรยี บเทยี บความสามารถการอ่านจับใจความสำคัญของนักเรียนช้ัน มัธยมศึกษาปที ่ี 4 โรงเรยี นวัดเขยี นเขต ระหวา่ งวิธสี อนแบบรว่ มมือ โดยใช้เทคนิค CIRC กบั วธิ สี อนแบบปกติ สำหรับการวิจัยครง้ั นี้ ผูว้ จิ ัยไดศ้ ึกษาเอกสารทเี่ กี่ยวข้อง เพอ่ื เป็นพ้นื ฐาน สำหรับการดำเนินการวิจัย ดังน้ี 1. เอกสารท่ีเกย่ี วขอ้ งกบั การอ่าน 1.1 ความหมายของการอ่าน 1.2 ความสำคญั ของการอ่าน 2. เอกสารทีเ่ ก่ียวข้องกับการอา่ นจับใจความสำคญั 2.1 ความหมายของการอ่านจับใจความสำคัญ 2.2 ขนั้ ตอนการอ่านจบั ใจความสำคญั 3. เอกสารท่ีเกีย่ วข้องกบั วิธสี อนแบบร่วมมอื โดยใช้เทคนคิ CIRC 3.1 ความเปน็ มาของวิธีการสอนแบบรว่ มมอื 3.2 กระบวนการเรยี นการสอนของวธิ กี ารสอนแบบร่วมมอื โดยใชเ้ ทคนิค CIRC 3.3 ขนั้ ตอนของวิธกี ารสอนแบบร่วมมอื โดยใช้เทคนิค CIRC 4. งานวจิ ยั ทเ่ี กย่ี วข้อง 4.1 งานวิจยั ในประเทศ 4.2 งานวจิ ัยต่างประเทศ 5. กรอบแนวคิดในการวิจัย
8 เอกสารที่เกี่ยวข้องกบั การอ่าน ในการวิจยั ในครั้งนผ้ี ู้วจิ ยั ได้ศึกษาเอกสารและงานวิจัยท่เี กย่ี วขอ้ งกบั การอ่าน ประกอบด้วย ความหมายของการอ่านและความสำคัญของการอา่ น เพอื่ ใชเ้ ป็นพ้นื ฐานของ การวจิ ัยและนำเสนอตามหวั ข้อต่อไปนี้ ความหมายของการอ่าน ธนู ทดแทนคุณ และ กุลวดี ทดแทนคุณ (2549, หน้า 46) กล่าวว่า การรบั รู้และ แปลความหมายจากตวั อกั ษร เคร่อื งหมาย และสญั ลักษณ์ท่ีสอ่ื ความหมายต่าง ๆ ออกมาเปน็ ความคิด ความรู้ และความเข้าใจ ระหวา่ งผู้เขยี นและผ้อู ่าน เพื่อให้ผอู้ า่ นนำประโยชน์จากการ อา่ นไปใชใ้ หเ้ กิดประโยชน์ วรรณี โสมประยูร (2553, หนา้ 128) กล่าววา่ กระบวนการทางสมองซง่ึ สายตาจะ สมั ผสั กบั ตัวอกั ษรหรือสิ่งพมิ พ์อ่ืน ๆ รับรแู้ ละเขา้ ใจความหมายของคำหรือสัญลกั ษณ์ โดยถอด คามหมายท่ีใช้ส่อื ความคิดและความรู้ ระหวา่ งผู้เขียนและผอู้ า่ นใหเ้ ข้าใจตรงกัน และนำสารท่ี ไดร้ บั จากการอ่านไปใช้ใหเ้ กิดประโยชน์ จุไรรตั น์ ลกั ษณะศริ ิ (2558, หน้า 155) กล่าวว่า ขัน้ เบ้อื งต้นคือการอ่านไดเ้ รอ่ื ง จับสาระสำคัญได้ สรุปเร่อื งทอ่ี า่ นแล้วถา่ ยทอดต่อไปได้ ถา้ พฒั นามากข้นึ ก็สามารถแสดง ความคิดเหน็ ตอ่ เร่ืองทอี่ ่านได้ แล้วประเมินคา่ จากเร่อื งทอ่ี า่ น และนำไปประยุกต์ใช้กับเรอ่ื ง ต่าง ๆ ได้ เบญจภคั ค์ เจริญมหาวทิ ย์ (2560, หนา้ 2) กลา่ ววา่ การรบั สารหรือการรับข้อมลู ของสารทีอ่ า่ นหรอื ข้อความน้ันซง่ึ ไมว่ ่าจะเป็นภาษาใดกต็ ามเราพบว่า การอา่ นจะมี องคป์ ระกอบของสองส่วน คอื ผสู้ ่งสารและผ้รู บั สาร และการอา่ นเปน็ พฤติกรรมการรบั สารทม่ี ี ลกั ษณะเช่นเดยี วกับการฟัง เพราะทำใหผ้ ู้อ่านเกิดความรู้ ความคดิ ความเข้าใจ และอารมณ์ ความร้สู ึก ซ่งึ อาจจะเป็นอารมณ์พึงพอใจหรือไมพ่ ึงพอใจ Olson and Diller (2000, p. 40 อ้างถึงใน Erlidawati. 2018, abstract) เปน็ ทักษะและความสามารถในการถอดรหัส หรอื การแปลความหมาย การรู้คำศัพท์ การรู้แนวคิด และการพฒั นาความรคู้ วามเข้าใจ จำเป็นจะตอ้ งเขา้ ใจและปรับใช้กบั ขอ้ มูลท่ไี ดเ้ ขยี นลงไป ซงึ่ ทงั้ คบู่ อกว่าเปน็ การยากที่จะอา่ นให้เข้าใจในสิง่ ทีพ่ มิ พ์ไดอ้ ย่างถูกตอ้ งแมน่ ยำ ซงึ่ โดยทั่วไปแลว้ กข็ ึ้นอยู่กับข้อความและตัวผู้อ่านเองด้วย
9 จากความหมายของการอ่านสรปุ ได้ว่า การอ่าน หมายถึง การรับรู้และแปล ความหมายจากตวั อักษรหรอื สอ่ื สิง่ พมิ พ์ และถ่ายทอดเปน็ ความคดิ ความรู้ และความเข้าใจ ซึ่งเปน็ การสือ่ สารระหว่างผู้เขยี นและผู้อ่าน และนำสารทีไ่ ดร้ ับจากการอ่านไปใช้ใน ชวี ติ ประจำวันได้ ความสำคญั ของการอา่ น มหาวิทยาลัยราชภฏั สวนสุนันทา (2549, หนา้ 76) กล่าวว่า การอา่ นเปน็ สง่ิ สำคญั และมีความจำเป็นในการดำเนนิ ชวี ติ ในยคุ ปัจจุบนั ทั้งนี้เพราะปัจจุบันมีวทิ ยาการตา่ ง ๆ เจรญิ กา้ วหน้า และมเี หตกุ ารณ์เกิดขึน้ ไม่ขาดสาย ดงั น้ัน การอา่ นจึงเป็นอกี หนทางหนึ่งใน การศึกษาหาความรู้ เพื่อเปิดหูเปดิ ตา และการอา่ นช่วยใหร้ ู้เรื่องราวต่าง ๆ ทง้ั ในอดีต ปัจจบุ นั และอนาคต โดยเฉพาะอย่างย่ิงการอา่ นหนังสอื ซ่งึ มีความสำคญั อย่างยิง่ ธนู ทดแทนคุณ และ กลุ วดี ทดแทนคุณ (2549, หน้า 46-47) กล่าวว่า การอ่าน เป็นเครอื่ งมอื ในการแสวงหาความรู้ เพอื่ ให้เกิดความรอบร้ทู ันตอ่ เหตกุ ารณ์โลกในยคุ ปจั จบุ ัน แล้วสามารถวิเคราะหแ์ ยกแยะคณุ ค่าจากสารนำมาแกไ้ ขปรับปรงุ งานหรอื พัฒนาองค์ความรทู้ ่ี มีใหท้ นั สมัย วิพากษว์ จิ ารณข์ อ้ มูลอย่างมีเหตุผล เพื่อเสริมสร้างบคุ ลกิ ภาพในการเขา้ ร่วมสังคม ได้ดี และกอ่ ให้เกดิ ความเพลนิ เพลิดใจ จากการอ่านนวนยิ าย เร่อื งสน้ั กวนี ิพนธ์ เพือ่ เป็นการ ยกระดบั จิตใจ กล่อมเกลาจติ ใจใหบ้ รสิ ทุ ธ์ิ วรรณี โสมประยูร (2553, หนา้ 128-129) กลา่ ววา่ การอ่านเปน็ การเคร่อื งมือท่ี สำคัญยิง่ ในการศึกษาเล่าเรียนทุกระดบั ดงั นนั้ จงึ ตอ้ งอาศยั ทกั ษะการอา่ นทำความเข้าใจ เน้อื หาสาระของวชิ าการตา่ ง ๆ เพอื่ ให้ตนเองไดร้ บั ความร้ทู ีต่ อ้ งการ สามารถนำความรูแ้ ละ ประสบการณ์จากสิง่ ท่ีอา่ นไปปรบั ปรงุ พัฒนาอาชพี หรือธุรกิจให้เจรญิ กา้ วหน้า ส่งเสรมิ ให้ บุคคลไดข้ ยายความรู้และประสบการณ์เพมิ่ ข้นึ อย่างลกึ ซึ้งและกวา้ งขวาง เพ่ือเปน็ การเพมิ่ บคุ ลิกภาพและความนา่ เช่ือถือให้แก่ตนเอง และเกดิ ความสนุกสนาเพลดิ เพลนิ ใจ จากการอ่าน การต์ ูน นวนิยาย วารสาร และนติ ยสาร มหาวทิ ยาลัยสโุ ขทัยธรรมาธิราช (2554, หน้า 7-8) กลา่ วถงึ ความสำคญั ของการ อ่าน ดงั นี้ 1. การอ่านจะช่วยสร้างความคิดให้เกิดขนึ้ กบั ผ้อู ่าน ท้ังนี้เพราะสาระแตป่ ะเภท ผู้เขยี นไดม้ กี ารสอดแทรกเรื่องราวตา่ ง ๆ ท่ตี ้องการนำเสนอแกผ่ ู้อา่ น นอกจากนั้นยังได้ สอดแทรกความคดิ เห็นของผู้เขยี นลงไปในเน้ือหา ผู้อ่านไดร้ ับความร้แู ละความคิดของผูเ้ ขียน แล้วทำให้เกดิ ความคิดใหม่ซ่ึงอาศัยแนวทางความคดิ จากผเู้ ขียนเปน็ พนื้ ฐาน
10 2. การอา่ นจะชว่ ยสง่ เสรมิ และพฒั นาความรูใ้ หก้ ับผู้อ่าน ซง่ึ สารแตล่ ะประเภทไดม้ ี การสอดแทรกความรู้ทแี่ ตกตา่ งกนั บางเรอ่ื งอาจเก่ยี วกบั การเรยี น ชีวติ ประจำวนั หรอื อาจจะ รวมทัง้ ความรู้ใหมท่ ีช่ ว่ ยให้ผู้อ่านเป็นผู้รอบรู้เทา่ ทนั เหตกุ ารณ์ที่เกิดขึน้ ในสังคม 3. การอ่านจะชว่ ยทำให้เกิดทักษะการสรุปข้อมูลทไ่ี ดร้ บั จากการอ่าน กล่าวคอื ข้อมูลในสารมักจะกระจดั กระจาย ดังนน้ั การอ่านจะชว่ ยให้ผู้อา่ นจัดขอ้ มูลเปน็ หมวดหมู่ แลว้ สรุปแนวคดิ ใหเ้ หลือแกน่ เพ่อื สะดวกตอ่ การนำไปใช้ประโยชน์ 4. การอา่ นจะชว่ ยให้เขา้ ใจสังคมเพราะสารแตล่ ะยุคสมัยเปรียบเสมอื นเป็นตัวแทน ของสงั คม ดังน้ันการอา่ นจึงมคี ุณคา่ ช่วยทำให้เห็นฉากของสงั คมในอดีต ปจั จุบัน และรวมถงึ อนาคต ทัง้ นีโ้ ดยอาศยั ขอ้ มลู ที่ได้รบั จากการอ่านเป็นพน้ื ฐานในการตดั สินนัน่ เอง 5. การอา่ นจะช่วยใหเ้ ห็นรูปแบบของสารประเภทต่าง ๆ ซ่งึ สารแต่ละประเภทจะมี การนำเสนอแตกต่างกนั เช่น การนำเสนอวิชาการให้ความรู้ ยอ่ มมคี วามแตกตา่ งจากการ นำเสนอสารบันเทงิ เบญจภัคค์ เจรญิ มหาวทิ ย์ (2560, หน้า 4) กล่าววา่ การอ่านมคี วามสำคัญอย่างย่ิง ต่อความเปน็ มนษุ ย์ท่ีมอี ารยธรรม เพราะเป็นเครอ่ื งมือบ่งชีถ้ งึ อารยธรรมท่ีเจริญสูงสดุ ของ มนุษยใ์ นด้านการใช้เคร่อื งมอื ส่ือสาร ถ่ายทอดความร้หู รอื เรื่องราว แต่การทภ่ี าษาหนงั สือ จะก่อให้เกดิ ความเจริญไดอ้ ยา่ งเตม็ ทนี่ น้ั สังคมมนษุ ยก์ จ็ ะต้องมกี ารอ่านหนังสืออยา่ ง กว้างขวาง ดงั นั้นการอา่ นเป็นพนื้ ฐานสำคัญท่ชี ว่ ยเสริมการพัฒนาทกั ษะมนุษยด์ า้ นอ่ืน ๆ จากความสำคญั ของการอ่านนน้ั จึงสรุปได้ว่า การอ่านมคี วามสำคัญต่อการนำมา ต่อยอดความรู้ และมคี วามจำเปน็ ในการดำเนินชีวติ ดังน้ันการอ่านจงึ เป็นเคร่ืองมือสำคัญใน การสอื่ สาร เพื่อให้รูถ้ ึงอนาคต ปัจจบุ นั และเร่ืองราวในอดีต เอกสารที่เก่ยี วข้องกบั การอ่านจบั ใจความสำคัญ ความหมายของการอา่ นจับใจความสำคญั ธนู ทดแทนคุณและกุลวดี ทดแทนคุณ (2549, หนา้ 47) กล่าวว่า การอ่านจับใจความ สำคัญ เป็นทกั ษะเบือ้ งตน้ ของการอา่ นหนังสอื ขอ้ ความที่สำคญั ที่สดุ เรียกว่าใจความและส่วน ที่เป็นข้อความประกอบเรียกว่า พลความ ผอู้ า่ นควรมีการพิจารณา 2 อย่างน้ี จะชว่ ยใหก้ าร อา่ นจับใจความนัน้ มีความรวดเรว็ ยิ่งขนึ้ สำนกั งานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพืน้ ฐาน (2552, หนา้ 2) กล่าวว่า การอ่าน
11 จบั ใจความสำคัญ เปน็ ทกั ษะที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ทั้งในดา้ นการศกึ ษา การประกอบอาชพี รวมทง้ั การพักผา่ นก็ใช้การอา่ นจบั ใจความสำคัญ เข้ามาเก่ยี วข้อง ดงั นนั้ สารท่ีอ่านจึงมที ้ังสาร วิชาการให้ความรู้ในดา้ นต่าง ๆ และสาระบันเทิงให้ความสนุกสนานคลายความเครียด ไม่วา่ จะเป็นสารประเภทใด กอ่ นที่ผอู้ ่านจะเรมิ่ เข้าสู่รายละเอยี ดของเนอื้ เรอ่ื ง โดยจะคน้ หาคำ สำคัญทป่ี รากฏอยู่ในเรอ่ื งเปน็ อนั ดับแรก เพราะคำสำคญั สามารถคาดเดาเรื่องราวไดก้ ่อน จไุ รรตั น์ ลกั ษณะศริ ิ และ วิรวฒั น์ อินทรพร (2558, หนา้ 156) กลา่ ววา่ ข้อความที่ ผู้เขียนสื่อมายังผู้อา่ นมิไดเ้ ฉพาะส่วนทเ่ี ป็นสาระสำคัญเทา่ นั้น แต่จะมสี ่วนท่เี กริน่ ความ ขยาย ความ หรือกล่าวซำ้ เพ่อื เน้นความให้มีความชัดเจน ดังนั้นผ้อู ่านจึงต้องมีการแยกแยะใหไ้ ดว้ า่ สว่ นใดเป็นขอ้ ความทสี่ ำคัญท่สี ุด ซึ่งเรียกว่า ใจความ ส่วนใดเปน็ ข้อความประกอบเรียกว่า พล ความ เบญจภคั ค์ เจริญมหาวิทย์ (2560, หนา้ 13) กล่าวถึง การอ่านจับใจความสำคัญ ดงั น้ี การอา่ นเพอื่ จับใจความหลกั ของเรื่องราวว่าเกย่ี วกบั อะไร การอ่านจบั ใจความสำคัญจะเปน็ การอา่ นอย่างละเอยี ด เพ่ือแยกแยะใหเ้ หน็ ใจความสำคญั ของงานเขียนแต่ละยอ่ หน้า ซึง่ ใจความสำคัญอาจอย่ทู ีส่ ่วนต้นของยอ่ หน้า ส่วนกลางของย่อหนา้ หรือส่วนท้ายของยอ่ หน้า ซงึ่ ขึน้ อยกู่ บั ลักษณะของผู้เขียน สำนกั งานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ (ม.ป.ป., หน้า 2) กล่าววา่ กระบวนการอา่ น เพือ่ ทำความเขา้ ใจและจบั ใจความเรือ่ งท่อี ่าน โดยเน้นการอ่านในใจ พฤติกรรมท่แี สดงว่านักเรียนอา่ นจบั ใจความได้ ซ่ึงพจิ ารณาจาการทน่ี กั เรียนลำดับเหตกุ ารณ์ เร่อื งท่ีอ่านได้ และสามารถเลา่ เร่ืองโดยใชส้ ำนวนของตนเองได้ บอกรายละเอียดของชอื่ เร่ือง ตัวละคร สถานที่ เหตุการณส์ ำคัญ ๆ ได้ตลอดจนแยกแยะขอ้ เท็จจรงิ บอกใจความสำคญั และ สรุปได้ สรุปไดว้ ่าการอ่านจบั ใจความสำคญั เปน็ ทักษะเบ้ืองต้นของการอ่านหนังสอื เพอ่ื นำมาใชใ้ นชีวติ ประจำวัน ซึ่งการอ่านจับใจความสำคัญนน้ั แบง่ ออกเป็น 2 ส่วน คือ ใจความ และพลความ เพ่อื พิจารณาลำดับเหตุการณ์ ตวั ละคร สถานท่ี หรอื เหตกุ ารณส์ ำคัญ
12 ข้นั ตอนการอา่ นจบั ใจความสำคญั ไพฑรู ย์ สินลารัตน์ และคณะ (2540, หน้า 67 อา้ งถึงใน มหาวทิ ยาลัยราชภัฏสวนสนุ นั ทา, 2549, หนา้ 90) กล่าวถึงขั้นตอนการอ่านจบั ใจความสำคัญ ดังนี้ 1. พจิ ารณาความทีละยอ่ หนา้ หาประโยคใจความสำคัญของแตล่ ะยอ่ หนา้ 2. ตัดส่วนทีเ่ ป็นรายละเอียดปลีกยอ่ ยออก 3. สรุปใจความสำคญั ดว้ ยสำนวนภาษาของตนเอง จไุ รรัตน์ ลกั ษณะศริ ิ (2552, หนา้ 43-44) กล่าวถึงขั้นตอนการอา่ นจบั ใจความสำคัญ ดงั น้ี 1. อา่ นเรือ่ งทีจ่ ะจบั ใจความทัง้ หมด ผูอ้ ่านตอ้ งอ่านย่อหนา้ ท่จี ะจับใจความน้ัน ให้จบอยา่ งครา่ ว ๆ เพ่อื ให้เขา้ ใจว่าเร่อื งที่อา่ นนัน้ เกยี่ วกับเรอื่ งอะไร น่ันคือการหาความคิด หลัก 2. หาใจความของเรือ่ งทอ่ี ่าน ผอู้ ่านตอ้ งอ่านข้อความทงั้ หมดอกี คร้งั โดยอา่ น อย่างพินจิ วิเคราะห์ เพือ่ ไดเ้ ข้าใจเนอื้ เรอ่ื งและสามารถจับใจความของแตล่ ะย่อหนา้ ได้ ซง่ึ แบง่ ออกเป็น 2 ส่วน คอื 2.1 ใจความสำคญั คอื ความคิดสำคัญที่ผู้เขยี นตอ้ งการให้ผ้อู ่านทราบ 2.2 ใจความรองหรือพลความ คือ เน้ือหาท่ีมาสนับสนุนใจความสำคัญ ของบทอ่านนนั้ ๆ เอกสารที่เก่ียวข้องกับวิธสี อนแบบรว่ มมอื โดยใชเ้ ทคนิค CIRC ความเป็นมาของวิธีสอนแบบรว่ มมือ ทัศนยี ์ ศภุ เมธ (2542, หน้า 141) กล่าวว่า การสร้างบรรยายการศในชั้นเรียน เปน็ การ จัดการศึกษาดว้ ยการให้ผ้เู รยี นช่วยกัน มคี วามรับผดิ ชอบรว่ มกันใหท้ ุกคนชว่ ยเหลือกัน นับเป็นวธิ กี ารท่ีผ้สู อนสง่ เสรมิ ให้ผเู้ รยี นทำงานกลมุ่ ร่วมกนั เกดิ การเรยี นรรู้ ว่ มกนั เป็นลักษณะ การจดั กิจกรรมการเรยี นการสอนทเ่ี น้นความสมั พันธ์ระหวา่ ง นักเรียนในกล่มุ ตามบทบาท ท่ีนกั เรยี นแต่ละคนในกลมุ่ รบั ผิดชอบ สวุ ิทย์ มลู คำและอรทัย มูลคำมลู (2550, หน้า 134) กล่าวว่า กระบวนการเรยี นรทู้ ีจ่ ัด ให้นกั เรียนไดร้ ว่ มมอื ได้ร่วมมอื และชว่ ยเหลอื กันในการเรียนรโู้ ดยการแบ่งกลมุ่ นกั เรยี นท่มี ี ความสามารถตา่ งกนั ออกเปน็ กลมุ่ เล็ก ๆ ซ่งึ เป็นลักษณะการร่วมกลมุ่ ทีม่ โี ครงสร้างชดั เจน
13 มีการทำงานร่วมกนั มีการแลกเปลี่ยนความคิดเหน็ มีการชว่ ยเหลือพง่ึ พากัน เพอื่ ใหต้ นเอง และสมาชกิ ภายในกลุม่ ประสบความสำเร็จตามเปา้ หมายท่กี ำหนดไว้ บญุ เลยี้ ง ทุมทอง (2556, หนา้ 29) กล่าวว่า การเรยี นรู้ที่ให้ผู้เรยี นร่วมมอื ร่วมใจกันใน การทำงานเป็นกลมุ่ เพ่อื ศึกษาในส่งิ ทีส่ นใจเหมอื นกันโดยรว่ มกันสรา้ งชนิ้ งานหรอื ทำโครงงาน แลว้ นำเสนอข้อมูลความรู้ทีไ่ ด้รับจากการศึกษารว่ มกัน การเรียนวิธีนี้ผูเ้ รียน ในแต่ละ กลุ่มศกึ ษาแบะสรา้ งความร้รู ่วมกันในเรือ่ งที่ตา่ งกนั และใชเ้ ทคโนโลยีเปน็ เคร่อื งมอื ในการ เรยี นรู้ และเปน็ เคร่ืองมือในการนำเสนอข้อมูลความรู้โดยใช้เทคโนโลยีหลายรูปแบบ ซึง่ การ เรยี นรแู้ บบน้ที ำใหผ้ ูเ้ รียนมีการสร้างปฏิสมั พนั ธ์ภายในกลุ่ม และสร้างความสัมพันธภ์ ายในกลุ่ม ทศิ นา แขมมณี (2558, หนา้ 98-99) กล่าวว่า การเรียนรเู้ ป็นกลมุ่ ยอ่ ยโดยมีสมาชกิ ทีม่ ี ความสามารถแตกต่างกันประมาณ 3 – 6 คน ชว่ ยกันเรยี นรู้เพ่ือไปสู่เป้าหมายของกลุ่ม Erlidawati (2018, p. 155) กลา่ วว่า การเรียนรแู้ บบบูรณาการ ถูกพฒั นาโดย Slavin ในปี 1980s และเพื่อนรว่ มงานของเขาสำหรบั การอ่านและการเขียนในระดับประถมศึกษา โดยนักเรียนจะถูกแบง่ ออกเปน็ กลุ่มท่ปี ระกอบไปดว้ ยคนท่มี ีความสามารถในการอา่ นท่ี แตกตา่ งกัน ซง่ึ นักเรียนจะมีการแบ่งออกเปน็ คู่ ๆ จากกลมุ่ ทถี่ ูกตงั้ ขึ้นมา ซง่ึ ทั้งน้จี ะมีคทู่ ีม่ ี ทักษะการอา่ นทส่ี งู กับค่ทู มี่ ีทกั ษะการอา่ นที่ตำ่ ซึ่งจะถกู สอนโดยตรงจากครู กระบวนการเรียนการสอนของวิธกี ารสอนแบบร่วมมอื โดยใช้เทคนคิ CIRC ทิศนา แขมมณี (2558, หน้า 270) กล่าวถึงกระบวนการเรียนการสอนของวิธกี ารสอน แบบร่วมมอื โดยใช้เทคนิค CIRC ดังน้ี CIRC หรือ “Cooperative Integrated Reading And Composition” เปน็ รูปแบบการเรียนการสอนแบบรว่ มมอื ทีใ่ ช้ในการสอนอา่ นและเขยี น โดยเฉพาะ รูปแบบนป้ี ระกอบดว้ ยกิจกรรมหลกั 3 กิจกรรม คือ กิจกรรมการอ่านแบบเรยี น การสอนการอ่านเพ่ือความเข้าใจ และบูรณาการภาษากับการเรียน วัชรา เลา่ เรียนดี และคณะ (2560, หนา้ 162-163) กล่าววา่ เทคนิควิธีการสอนเขียน เรียงความภาษาอังกฤษโดยบรู ณาการกับการสอนอ่านโดยเร่มิ จากการสอนอ่าน เพอื่ ให้เกดิ ความเข้าใจ และการอา่ นช่วยพฒั นาความสามารถในการเขยี นเรยี งความ ซงึ่ ครูต้องดำเนินการ สอนความรูแ้ ละฝกึ ทกั ษะการอา่ นและเขยี น ก่อนให้ฝึกปฏิบัตดิ ว้ ยการรว่ มมือกันเรียนรู้ สำหรบั เทคนิค CIRC ต้องเลือกบทอา่ นที่ประกอบด้วยโครงสรา้ ง หลักการทางด้านภาษาที่ นักเรยี นตอ้ งรแู้ ละเขา้ ใจ และนำไปใช้เปน็ แบบการเขียนได้ ซ่ึงบทอา่ นต้องมีความเหมาะสมกบั วัย ระดบั ชัน้ เพอ่ื เพม่ิ คุณค่าใหน้ ักเรียนรูแ้ ละเข้าใจ
14 ขั้นตอนของวิธีการสอนแบบรว่ มมือ โดยใชเ้ ทคนิค CIRC ทศิ นา แขมมณี (2558, หน้า 270 -271) กล่าวถงึ ขั้นตอนของวธิ ีการสอนแบบร่วมมอื โดยใชเ้ ทคนิค CIRC ดงั นี้ 1. ครูแบง่ กล่มุ นกั เรียนตามระดบั ความสามารถในการอา่ น นักเรยี นในแต่ละกลุ่มจบั คู่ 2 หรอื 3 คน ทำกจิ กรรมการอา่ นแบบร่วมกนั 2. ครูจดั ทมี ใหมโ่ ดยใหแ้ ตล่ ะทีมมีนักเรียนต่างระดบั ความสามารถอยา่ งน้อย 2 ระดับ ทมี ทำกจิ กรรมร่วมกนั เช่น เขียนรายงาน แต่งความ ทำแบบฝกึ หัดและแบบทดสอบต่าง ๆ และมกี ารให้คะแนนผลงานของแตล่ ะทมี ทมี ใดไดค้ ะแนน ร้อยละ 90 ข้นึ ไป จะไดร้ ับ ประกาศนียบตั รเปน็ “ซปุ เปอรท์ มี ” หากรับคะแนนตัง้ แต่ ร้อยละ 80 - 89 จะได้รับรางวลั รองลงมา 3. ครูพบกลุม่ การอ่านประมาณวันละ 20 นาที แจ้งวัตถุประสงค์ในการอ่าน แนะนำ คำศพั ท์ใหม่ ๆ ทบทวนคำศพั ท์เก่า ๆ ตอ่ จากนน้ั ครูจะกำหนดและแนะนำเรือ่ งที่อา่ นแล้วให้ ผู้เรียนทำกจิ กรรมตา่ ง ๆ ตามทคี่ รจู ดั เตรยี มให้ เช่น อ่านในใจแล้วจับคอู่ า่ นออกเสยี งให้เพอ่ื น ฟัง และชว่ ยกันแก้จดุ บกพรอ่ งหรอื ครูอาจจะใหน้ ักเรียนช่วยกันตอบคำถามวิเคราะหต์ วั ละคร วเิ คราะหป์ ญั หาหรอื ทำนายว่าเร่อื งจะเป็นอย่างไรตอ่ ไป เป็นต้น 4. หลงั จากกจิ กรรมการอ่าน ครนู ำการอภปิ รายเรอื่ งท่ีอ่าน โดยครจู ะเนน้ การฝึก ทักษะต่าง ๆ ในการอ่าน เช่น การจบั ประเด็นปัญหา การทำนาย เปน็ ต้น 5. นกั เรยี นรับการทดสอบการอ่านเพ่อื ความเข้าใจ นักเรยี นจะได้รับคะแนนเปน็ ทัง้ รายบคุ คลและทีม 6. นักเรยี นจะได้รบั การสอนและฝกึ ทักษะการอ่านสัปดาห์ละ 1 วัน เช่น ทกั ษะการจับ ใจความสำคัญ ทักษะการอ้างองิ ทกั ษะการใช้เหตผุ ล เปน็ ต้น 7. นักเรียนจะได้รบั ชดุ การเรียนการสอน หรือใบงาน หรอื แบบฝกึ หัดเขียน ซึง่ ผูเ้ รียน สามารถเลอื กหัวขอ้ การเขียนได้ตามความสนใจ นักเรยี นจะช่วยกนั วางแผนเขยี นเรื่อง และ ช่วยกันตรวจสอบความถกู ต้อง และในทีส่ ุดตพี ิมพ์ผลงานออกมา 8. นักเรียนจะไดร้ ับการบ้านใหเ้ ลือกอ่านหนังสอื ทส่ี นใจ และเขยี นรายงานเรื่องท่ีอา่ น เป็นรายบคุ คล โดยให้ผ้ปู กครองช่วยตรวจสอบพฤตกิ รรมการอ่านของนกั เรียนท่ีบา้ น โดยมี แบบฟอรม์ ให้ วัชรา เล่าเรียนดี และคณะ (2560, หนา้ 164) กลา่ วถงึ ขั้นตอนการจัดการเรียนร้เู พือ่ พฒั นาทักษะการอา่ นและเขยี น ดังนี้
15 1. ครูนำเสนอความรู้เกี่ยวกับการอา่ น วิธอี ่าน ความสำคญั ของการอา่ นเพ่อื ความ เข้าใจพอสังเขป อธิบายความสำคญั ของการเขียน วิธีการเขยี นแบบต่าง ๆ ของการเขียน ความเกยี่ วข้องสมั พันธซ์ ่ึงกนั และกันระหว่างการอา่ นและการเขยี น 2. ครูดำเนนิ การสอน ยกตัวอยา่ งบทอา่ น ครู-นักเรียนรว่ มกนั อ่านบทอา่ น ทำความ เข้าใจ ถาม-ตอบ ชีใ้ ห้เหน็ ประเดน็ สำคัญ โครงสร้างของขอ้ ความ ประโยคต่าง ๆ ความเชือ่ มโยงของขอ้ ความ หรอื ประโยคในบทอา่ น ใช้กิจกรรมการอ่านโดยพยายาม บูรณา การชใี้ หเ้ ห็นลกั ษณะวิธีการเขียน ซ่งึ การฝึกหัดเขยี นควรเรมิ่ จากการเขยี นตอบง่าย ๆ การสร้าง ประโยคจากคำศพั ท์หรอื คำเชื่อม คำขยาย ฯลฯ 3. ครตู รวจสอบความรู้ความเขา้ ใจในเนอ้ื เร่ือง สาระสำคญั ประเดน็ หลกั - รองลกั ษณะ ของเนอ้ื เรื่อง โครงสร้างประโยคท่ีใช้ ความสมั พันธร์ ะหว่างข้อความหรือประโยคต่าง ๆ และ บทความของเร่อื ง รวมทัง้ ฝึกให้คาดคะเนจุดจบของเร่อื ง หรอื บทสรุปของเร่อื งที่จะเกิดขนึ้ จาก เหตกุ ารณ์เร่ืองราวต่าง ๆ ความเปน็ ไปไดห้ รอื จินตนาการสร้างสรรค์ความคิด 4. จัดกลมุ่ นกั เรียนโดยคละความสามารถ เชน่ เดียวกบั การจัดกลุ่มการเรียนรูแ้ บบ ร่วมมือแบบอ่ืน ๆ แจกใบความรู้ ใบกิจกรรรม ให้ 2-3 คน ต่อ 1 ชดุ เพ่อื จะไดร้ ว่ มมอื กันเรียน ร่วมมือกนั ปฏบิ ัตกิ ิจกรรมตามข้อตกลงทีไ่ ดต้ กลงกนั ไว้ล่วงหนา้ กอ่ นดำเนนิ การจดั การเรยี นรู้ 5. สมาชกิ กลมุ่ ร่วมกันเรยี นร้แู ละอ่านใบความรู้ ฝกึ กิจกรรมตามใบงานท่คี รเู ตรียมให้ โดยครคู อยตดิ ตามดแู ล ถาม - ตอบ การฝึกปฏบิ ตั ิของนักเรียนอย่างทั่วถงึ ทุกกลุ่ม 6. การให้ฝกึ การเขยี นควรให้สมาชกิ ได้ตรวจสอบการเขียนของเพอ่ื น ชว่ ยกนั แกไ้ ข ปรับปรุงงานของกนั และกนั ให้ถูกตอ้ ง ในการฝึกเขยี นในลกษณะอืน่ ๆ ทซี่ ับซ้อน และใช้ ความคิดมากขึ้น นักเรียนควรได้มองเห็นและเขา้ ใจรูปแบบโครงสรา้ งประโยคหรอื ข้อความ การฝกึ เขียนควรเรมิ่ จากการเขียนตามรูปแบบทถ่ี กู ตอ้ ง 7. การตรวจสอบความรู้ความเขา้ ใจและวดั ผลการเรียนรดู้ ้านการอ่านและการเขียน ซึ่งครูออกแบบทดสอบกำหนดเกณฑ์และใหค้ ะแนนโดยที่นกั เรยี นรู้วิธีใหค้ ะแนน โดยสามารถ ตรวจให้คะแนนและคำนวณคะแนนกลุ่มของตนเองได้ Stevens-Slavin (1987, หนา้ อา้ งถึงใน Erlidawati 2018, p. 156) กล่าววา่ การ อา่ นแบบบูรณาการแบบมีสว่ นร่วม คอื รูปแบบการสอนสามารถนำมาใช้ในการสอนอ่านเพื่อ ความเข้าใจ ในรปู แบบการสอนน้ีมกี ระบวนการเรยี นรู้ ดังน้ี 1. ครูให้จับกลมุ่ โดยมสี มาชกิ ในกล่มุ ประกอบดว้ ย 4 คน ซง่ึ มคี วามแตกตา่ งหรือกลุ่ม ท่ีมคี วามสามารถปะปนกันในกลุม่ 2. ครูเปน็ ผชู้ ว่ ยหาข้อความหรอื เลอื กหวั ข้อท่เี หมาะสม
16 3. นกั เรียนอา่ นและทำงานรว่ มกนั เพอ่ื คน้ หาแนวคิดหลักจากการอา่ น และให้ ขอ้ เสนอแสะสำหรับการอ่านขอ้ ความ และเขยี นลงบนกระดาษ 4. นำเสนอผลงานกลมุ่ 5. ครูเปน็ ผูช้ ว่ ยคอยให้คำแนะนำหรอื ใหท้ างออกแก่นักเรยี น 6. ครูและนักเรียนทำการสรปุ เนอื้ หา จากการศกึ ษาหลักการ แนวคดิ และวิธกี ารจัดการเรยี นรูแ้ บบรว่ มมือ CIRC ผู้วิจยั สรปุ ข้ันตอนวิธกี ารสอนแบบรว่ มมือ CIRC ดังนี้ (1) ขัน้ เตรียมความพรอ้ ม (2) การสอน (3) จดั กิจกรรมกลมุ่ (4) สรปุ และประเมนิ ผล โดยได้จากสังเคราะหจ์ าก ทิศนา แขมมณี (2558) และ วัชรา เล่าเรียนดี (2560) ซง่ึ มีรายละเอียด ดงั น้ี 1. ขั้นเตรียมความพร้อม ประกอบด้วย การแจ้งจดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ แบ่งกลมุ่ นักเรยี นซง่ึ คละตามความสามารถการอา่ น เกง่ ปานกลาง ออ่ น แบง่ เป็น เก่ง 1 คน ปาน กลาง 2 คน อ่อน 1 คน รวมเปน็ 4 คน เพอ่ื จัดกิจกรรมการอ่านแบบกล่มุ แนะนำวธิ กี ารเรียน แบบร่วมมอื CIRC อธิบายการคิดคะแนนกล่มุ 2. การสอน ประกอบด้วย แจ้งจุดประสงคก์ ารอ่าน เสนอคำศพั ท์ใหม่ในบทอา่ น ทบทวนคำศัพท์เกา่ ครูฝกึ ทกั ษะในการอา่ นเพอื่ ความเขา้ ใจ 3. จดั กจิ กรรมกลมุ่ ดำเนินการสอนดังนี้ เปน็ ไปตามการเรียนการสอนแบบร่วมมอื ดังน้ี 3.1 ครูแนะนำหรือกำหนดเร่ืองให้อ่าน 3.2 นกั เรยี นจับคูอ่ ่านหรอื จบั กลุ่มอ่านออกเสียง 3.3 นักเรยี นแกไ้ ขจุดบกพร่องของเพ่ือนคูต่ ัวเองหรอื เพื่อนในกล่มุ 3.4 ครูใหน้ ักเรยี นหยดุ อ่านเร่อื งเมือ่ อ่านเรอื่ งได้ครึง่ หนง่ึ จากนั้นให้นักเรยี น ทำนายเหตกุ ารณ์ทจี่ ะเกดิ จากเรอ่ื ง หรือถาม-ตอบเกี่ยวกับเรอื่ งท่อี ่านมาครึง่ หนงึ่ หรือคำถาม วิเคราะหต์ ัวละคร หรอื วิเคราะห์สถานการณจ์ ากเร่อื ง 3.5 นกั เรียนรวมกันอา่ นบทอ่าน จากนัน้ ลำดับเหตุการณ์ และบอก รายละเอียดของเรอ่ื ง วิเคราะห์ตัวละคร บอกความหมายของคำศัพท์ในบทอา่ น และเขยี น สรปุ และเขียนแสดงความคิดเหน็ จากเร่ือง 4. สรุปและประเมนิ ผล ประกอบดว้ ย นกั เรยี นชว่ ยกันสรปุ บทเรียน นกั เรียนทำ แบบทดสอบการอา่ นรายบุคคล ตรวจให้คะแนน ครูบนั ทกึ คะแนนของสมาชิกภายในกลุ่ม รวม คะแนนแต่ละกลมุ่ เพอ่ื ประเมินคะแนนของกลมุ่ ซง่ึ กลมุ่ ใดไดร้ บั คะแนน ร้อยละ 90 ไดร้ ับคำ
17 ชมเชยไดป้ ระกาศนียบัตร “ชุปเปอร์ทีม” ส่วนกล่มุ ทีไ่ ดค้ ะแนนระหวา่ ง ร้อยละ 80-89 ไดร้ บั รางวัลรองลงมาตามลำดับ ทิศนา แขมมณี วัชรา เล่าเรยี นดี จากการสงั เคราะห์ 1. ครแู บ่งกล่มุ นกั เรียนตามระดบั 1. ครูนำเสนอความรู้เกีย่ วกบั ข้ันจัดกลมุ่ ความสามารถในการอ่าน นกั เรยี น การอา่ น วิธีอ่าน ความสำคัญ 1. นกั เรยี นจบั กลุม่ ตาม ในแต่ละกลมุ่ จับคู่ 2 หรอื 3 คน ของการอ่านเพอื่ ความเขา้ ใจ ความสามารถในการอ่าน ซ่งึ ทำกิจกรรมการอ่านแบบร่วมกนั พอสังเขป อธิบายความสำคัญ แบ่งเปน็ เกง่ 1 คน ปานกลาง 2. ครูจัดทีมใหมโ่ ดยใหแ้ ต่ละทีมมี ของการเขยี น วิธีการเขียน 2 คน อ่อน 1 คน เพ่ือทำ นักเรยี นต่างระดับความสามารถ แบบตา่ ง ๆ ของการเขยี น กจิ กรรมการอ่านแบบร่วมกัน อย่างน้อย 2 ระดบั ทมี ทำกจิ กรรม ความเกีย่ วขอ้ งสมั พันธซ์ งึ่ กัน ร่วมกนั เช่น เขียนรายงาน แต่ง และกันระหว่างการอ่านและ ขน้ั ครูนำเสนอความเนอ้ื หา ความ ทำแบบฝกึ หัดและ การเขยี น 2. นำเสนอความรู้เกี่ยวกบั แบบทดสอบต่าง ๆ และมีการให้ 2. ครดู ำเนินการสอน การอา่ นจับใจความสำคญั คะแนนผลงานของแต่ละทมี ทีมใด ยกตัวอยา่ งบทอา่ น คร-ู เพ่อื ให้นกั เรยี นเข้าใจพอ ได้คะแนน ร้อยละ 90 ข้ึนไป จะ นกั เรียนร่วมกันอ่านบทอ่าน สงั เขป ไดร้ ับประกาศนยี บัตรเป็น ทำความเขา้ ใจ ถาม-ตอบ ข้นั เตรียมความพร้อม “ซปุ เปอรท์ ีม” หากรบั คะแนน ช้ีให้เหน็ ประเดน็ สำคญั 3. ครจู ดั กลุม่ ใหม่จากการ ต้งั แต่ รอ้ ยละ 80-89 จะไดร้ บั โครงสรา้ งของขอ้ ความ คละความสามารถของ รางวัลรองลงมา ประโยคต่าง ๆ ความเชอ่ื มโยง นักเรียนซึง่ แบ่งเป็น เกง่ 1 คน 3. ครพู บกลุ่มการอ่านประมาณวนั ของขอ้ ความ หรอื ประโยคใน ปานกลาง 2 คน อ่อน 1 คน ละ 20 นาที แจ้งวตั ถปุ ระสงคใ์ น บทอ่าน ใชก้ ิจกรรมการอ่าน จากผลคะแนนการอา่ น การอา่ น แนะนำคำศพั ทใ์ หม่ ๆ โดยพยายาม บูรณาการ 4. แจ้งจุดประสงคก์ ารเรียนรู้ ทบทวนคำศพั ทเ์ กา่ ๆ ตอ่ จากนนั้ ชี้ใหเ้ หน็ ลักษณะวิธีการเขียน ในการอ่าน นำเสนอคำศัพท์ ครูจะกำหนดและแนะนำเรื่องที่ ซึง่ การฝึกหัดเขียนควรเรม่ิ จาก ใหมใ่ นบทอา่ น และทบทวน อา่ นแล้วใหผ้ ้เู รยี นทำกิจกรรมต่าง การเขยี นตอบง่าย ๆ การสร้าง คำศพั ทเ์ กา่ ๆ ๆ ตามที่ครูจดั เตรียมให้ เชน่ อ่าน ประโยคจากคำศัพท์หรอื 5. กำหนดเรอ่ื งในการอ่าน ในใจแล้วจับค่อู า่ นออกเสยี งให้ คำเชื่อม คำขยาย ฯลฯ ยกตวั อย่างบทอ่าน ครูและ เพ่ือนฟัง และชว่ ยกันแก้ นักเรียนอ่านบทอา่ น ทำความ จดุ บกพรอ่ งหรือครอู าจจะให้ เข้าใจ ถาม - ตอบ ช้ีให้เห็น
18 ทิศนา แขมมณี วัชรา เลา่ เรียนดี จากการสงั เคราะห์ นักเรียนช่วยกันตอบคำถาม ประเดน็ สำคญั โครงสรา้ งของ วิเคราะหต์ วั ละคร วิเคราะห์ปญั หา ประโยค ความเช่อื มโยงของ หรือทำนายว่าเรื่องจะเป็นอยา่ งไร ขอ้ ความ ตอ่ ไป เปน็ ตน้ 3. ครพู บกล่มุ การอ่านประมาณวนั 3. ครตู รวจสอบความรูค้ วาม ขั้นจัดกจิ กรรมการอ่าน ละ 20 นาที แจ้งวัตถุประสงคใ์ น เขา้ ใจในเนือ้ เร่ือง สาระสำคญั 6. นักเรียนจบั คอู่ ่านออกเสยี ง การอ่าน แนะนำคำศพั ทใ์ หม่ ๆ ประเดน็ หลัก - รองลักษณะ กับเพอ่ื นในกลมุ่ เพือ่ นแก้ไข ทบทวนคำศพั ทเ์ ก่า ๆ ต่อจากนัน้ ของเน้อื เร่อื ง โครงสร้าง ขอ้ บกพร่องการอา่ นออกเสยี ง ครจู ะกำหนดและแนะนำเรอื่ งที่ ประโยคทใี่ ช้ ความสมั พันธ์ ของเพื่อนอีกคน อ่านแล้วใหผ้ ้เู รยี นทำกิจกรรมต่าง ระหว่างข้อความหรือประโยค 7. นกั เรียนช่วยกันตอบ ๆ ตามที่ครูจดั เตรียมให้ เช่น อ่าน ตา่ ง ๆ และบทความของเรอ่ื ง คำถาม วิเคราะห์ตัวละคร ในใจแล้วจบั คูอ่ า่ นออกเสียงให้ รวมท้ังฝึกใหค้ าดคะเนจุดจบ วิเคราะหป์ ญั หาจากบทอา่ น เพ่อื นฟงั และช่วยกนั แก้ ของเร่อื ง หรอื บทสรุปของเรื่อง 8. ฝกึ คาดคะเนเหตกุ ารณ์ใน จุดบกพร่องหรอื ครอู าจจะให้ ทจี่ ะเกดิ ขนึ้ จากเหตกุ ารณ์ เร่อื ง จุดจบของเร่ือง เรอื่ งราว นกั เรยี นช่วยกนั ตอบคำถาม เร่ืองราวต่าง ๆ ความเปน็ ไปได้ ภายในเรื่อง สรุปเร่ืองจาก วิเคราะห์ตัวละคร วิเคราะห์ปญั หา หรือจินตนาการสรา้ งสรรค์ เหตุการณ์ที่เกดิ ข้นึ ในเร่อื งราว หรือทำนายว่าเรือ่ งจะเปน็ อย่างไร ความคิด ต่าง ๆ และจบั ประเด็นปญั หา ต่อไป เป็นต้น 4. จัดกลุ่มนกั เรียนโดยคละ ในเรือ่ ง 4. หลังจากกิจกรรมการอ่าน ครนู ำ ความสามารถ เชน่ เดียวกับการ ขั้นสรุปบทเรยี น การอภปิ รายเรือ่ งท่ีอ่าน โดยครูจะ จดั กลุ่มการเรียนร้แู บบรว่ มมือ 9. ทดสอบความเขา้ ใจโดย เน้นการฝกึ ทกั ษะต่าง ๆ ในการ แบบอืน่ ๆ แจกใบความรู้ ใบ นักเรียนภายในกลุ่มค้นหา อ่าน เชน่ การจับประเด็นปัญหา กจิ กรรรม ให้ 2-3 คน ตอ่ 1 คำตอบจากเรื่องท่ีอ่าน และ การทำนาย เปน็ ต้น ชุด เพอ่ื จะได้รว่ มมอื กันเรียน สรปุ ความสำคัญของเรือ่ งท่ี 5. นักเรียนรับการทดสอบการอ่าน รว่ มมอื กนั ปฏบิ ตั ิกิจกรรมตาม อา่ น สมาชิกภายในกลมุ่ เพื่อความเข้าใจ นกั เรยี นจะได้รับ ข้อตกลงที่ไดต้ กลงกนั ไว้ รว่ มกันตรวจสอบความ คะแนนเป็นทง้ั รายบุคคลและทีม ล่วงหนา้ กอ่ นดำเนินการจัดการ ถกู ตอ้ ง เรยี นรู้
19 ทศิ นา แขมมณี วัชรา เล่าเรยี นดี จากการสงั เคราะห์ 5. สมาชิกกล่มุ ร่วมกันเรยี นรู้ และอ่านใบความรู้ ฝึกกจิ กรรม ตามใบงานที่ครูเตรียมให้ โดย ครคู อยติดตามดแู ล ถาม - ตอบ การฝกึ ปฏิบัติของ นกั เรยี นอย่างทัว่ ถงึ ทุกกลุม่ 6. การตรวจสอบความรูค้ วาม ข้ันประเมนิ ผล เขา้ ใจและวัดผลการเรยี นรู้ดา้ น 10. ครูทดสอบความรู้ความ การอา่ นและการเขยี น ซ่งึ ครู เข้าใจในการอา่ นจับใจความ ออกแบบทดสอบกำหนด โดยครูเปน็ ผ้กู ำหนดเกณฑ์ เกณฑแ์ ละใหค้ ะแนนโดยทนี่ กั และการให้คะแนน ซึ่งคะแนน เรียนรู้วธิ ีใหค้ ะแนน โดย จะแบง่ เปน็ รายบคุ คลและราย สามารถตรวจใหค้ ะแนนและ กลุ่ม จากนน้ั ครนู ำคะแนน คำนวณคะแนนกลุ่มของตนเอง รายบุคคลมารวมกัน และ ได้ รวบรวมเปน็ คะแนนกล่มุ กลมุ่ ใดไดร้ บั คะแนนสงู สุดได้ รับคำชมเชยและรางวลั
20 งานวิจัยท่ีเกย่ี วขอ้ ง จากการศกึ ษางานวจิ ยั ในประเทศและงานวิจัยตา่ งประเทศที่เกี่ยวขอ้ ง ผวู้ ิจัยได้ศกึ ษา หัวขอ้ งานวจิ ยั คือ การเปรยี บเทยี บความสามารถการอ่านจบั ใจความสำคัญของนกั เรยี นชนั้ ประถมศึกษาปที ี่ 6 โรงเรียนวดั เขียนเขต ระหว่างวธิ ีสอนแบบรว่ มมอื โดยใชเ้ ทคนิค CIRC กบั วิธีการสอนแบบปกติ ผู้วิจัยกล่าวโดยรวมถึงงานวิจัยทีเ่ กีย่ วขอ้ งกับการพฒั นาความสามารถใน การอา่ นจบั ใจความสำคัญ ดงั น้ี งานวจิ ยั ในประเทศ งานวจิ ยั ท่เี กี่ยวข้องกบั ความสามารถในการอ่านจับใจความสำคญั มีดงั นี้ ขวัญเรือน โพธ์ิวิเชยี ร์ (2537, บทคดั ยอ่ ) ศกึ ษาเรือ่ ง ผลการเรยี นแบบร่วมมือโดยใช้ โปรแกรม ซี ไอ อาร์ ซี ทม่ี ีตอ่ ความสามารถในการอ่านเข้าใจภาษาไทยของนกั เรียนระดบั ช้นั ประถมศึกษา โดยมวี ัตถุประสงค์ ดงั น้ี (1) เพ่ือศกึ ษาผลการเรียนแบบรว่ มมือโดยใชโ้ ปรแกรม ซี ไอ อาร์ ซี (CIRC) ท่ีมตี อ่ ความสามารถในการอา่ นเข้าใจความภาษาไทยของนกั เรียนชั้น ประถมศกึ ษาปที ่ี 6 ผลการวจิ ัย พบวา่ กลุ่มทเ่ี รยี นดว้ ยวิธกี ารเรยี นแบบร่วมมอื โดยใช้โปรแกรม ซี ไอ อาร์ ซี กบั กลุม่ ทเี่ รียน ด้วยตนเองโดยใช้กิจกรรมการอ่านของ ซี ไอ อาร์ ซี และกลุม่ ท่ีเรยี นการอา่ นจากครูตามปกติมี ความสามารถในการอา่ นเขา้ ใจความภาษาไทยไมแ่ ตกตา่ งกนั อย่างมีนยั สำคัญทางสถิตทิ ี่ระดับ .05 แต่กลมุ่ ทเ่ี รยี นดว้ ยวิธีการเรียนแบบร่วมมอื โดยใช้โปรแกรม ซี ไอ อาร์ ซี มแี นวโนม้ ว่า มคี วามสามารถสูงกว่ากลุ่มอนื่ กล้า พิมพว์ งษ์ (2543, บทคดั ยอ่ ) ศกึ ษาเรื่อง ผลของการเรียนแบบร่วมมือโดยใช้ โปรแกรม CIRC ตอ่ ความสามารถในการอ่านจับใจความภาษาไทย เจตคติ และความสัมพันธ์ ทางสังคม ของนักเรียนชนั้ ประถมศึกษาปีท่ี 5 โดยมีวตั ถปุ ระสงค์ ดังนี้ เพ่อื ศึกษาผลของการ เรยี นแบบร่วมมอื โดยใชโ้ ปรแกรม CIRC ตอ่ ความสามารถในการอ่านจับใจความภาษาไทย เจต คตติ อ่ การอ่านจับใจความภาษาไทย เจตคตติ ่อการเรยี นแบบรว่ มมอื โดยใช้โปรแกรม CIRC และ ความสัมพนั ธท์ างสังคมของนกั เรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 6 ผลการวจิ ัย พบว่า 1.หลงั จากการทดลองนักเรียนในกลมุ่ ทดลองมคี วามสามารถในการอ่านจับใจความ ภาษาไทยสูงกวา่ ก่อนทดลอง อยา่ งมีนัยสำคญั ทางสถติ ิทร่ี ะดับ .05 2. หลังการทดลองนักเรยี นในกลุ่มทดลองมคี วามสามารถในการอ่านจบั ใจความ ภาษาไทยสงู กว่ากลุม่ ควบคมุ อย่างมนี ยั สำคัญทางสถติ ทิ ี่ระดับ .05
21 3. หลงั การทดลองนักเรยี นในกลุ่มทดลองมเี จตคตติ อ่ การอ่านจบั ใจความภาษาไทย สงู กวา่ ก่อนทดลองอยา่ งมีนัยสำคญั ทางสถิตทิ รี่ ะดบั .05 4. หลังการทดลองนกั เรยี นในกลุม่ ทดลองมีเจตคติทด่ี ีต่อการเรียนแบบร่วมมอื โดยใช้ โปรแกรม CIRC 5. หลงั การทดลองนกั เรียนในกลมุ่ ทดลองมีความสัมพนั ธ์ทางสงั คมไมแ่ ตกต่างจากกอ่ น ทดลอง พิสมัย กองธรรม (2552, บทคัดยอ่ ) ศึกษาเร่ือง ผลการเรียนแบบรว่ มมือ ซี ไอ อาร์ ซี ผสมผสานกับวิธซี ินเนคตกิ สต์ อ่ ความสามารถในการอ่านจับใจความและการเขียนเชงิ สร้างสรรคข์ องนกั เรยี นชนั้ ประถมศกึ ษาปีที่ 6 โดยมีวตั ถุประสงค์ ดังนี้ เพอื่ ศกึ ษาและ เปรียบเทยี บความสามารถในการอ่านจับใจความและการเขียนเชิงสรา้ งสรรคข์ องนกั เรียน ชั้น ประถมศึกษาปีที่ 6 ทีเ่ รียนแบบร่วมมือแบบ ซี ไอ อาร์ ซี ผสมผสานกบั วธิ ซี ินเนคติกส์ ระหวา่ งกอ่ นเรียนและหลงั เรยี น ผลการวจิ ยั พบวา่ 1. ความสามารถในการอ่านจบั ใจความของนกั เรียนทเี่ รียนแบบรว่ มมอื แบบซี ไอ อาร์ ซี ผสมผสานกับวิธีซินเนคตกิ ส์ กอ่ นเรยี มคี ่าเฉลี่ยเท่ากบั 21.29 คะแนน คิดเป็นรอ้ ยละ 53.23 หลังเรยี นมคี ่าเฉลี่ยเทา่ กับ 31.38 คิดเปน็ ร้อยละ 78.45 เมื่อเปรียบเทยี บคะแนนหลงั เรียนกับ เกณฑ์ ได้ไม่น้อยกวา่ ร้อยละ 75 และนกั เรียนมคี ะแนนเฉล่ียหลงั เรียนสูงกว่ากอ่ นเรียนอย่างมี นยั สำคัญทางสถิติท่รี ะดบั .01 2. ความสามารถในการเขียนเชงิ สร้างสรรคข์ องนักเรียนทเี่ รยี นแบบร่วมมอื แบบซี ไอ อาร์ ซี ผสมผสานกบั วธิ ซี นิ เนคติกส์ กอ่ นเรียนมีค่าเฉลยี่ เท่ากบั 16.52 คะแนน คดิ เป็นรอ้ ยละ 55.06 หลังเรยี น มคี า่ เฉล่ียเท่ากับ 23.52 คิดเปน็ รอ้ ยละ 78.40 เมอื่ เปรียบเทียบคะแนนเฉล่ีย หลงั เรยี นกับเกณฑ์ ได้ไม่น้อยกวา่ ร้อยละ 75 และนกั เรียนมีคะแนนเฉล่ยี หลงั เรียนสูงกวา่ กอ่ น เรียนอย่างมีนยั สำคญั ทางสถิตทิ ี่ระดับ .01 ปัณฑิตา สกุ ดำ (2555, บทคดั ยอ่ ) ศึกษาเรื่อง ผลการจัดการเรียนร้แู บบรว่ มมือเทคนคิ CIRC รว่ มกบั การใชผ้ งั กราฟกิ ท่มี ตี ่อการอา่ นจับใจความภาษาไทยและการเขียนสรุปความ ของนักเรยี นชัน้ ประถมศกึ ษาปที ี่ 3 โดยมวี ัตถประสงค์ ดงั นี้ (1) เปรียบเทยี บการอ่านจบั ใจความภาษาไทยของนักเรยี นช้ันประถมศึกษาปีท่ี 3 ก่อนและหลงั การจดั การเรียนรู้แบบ รว่ มมอื เทคนิค CIRC ร่วมกับการใชผ้ งั กราฟกิ (2) เปรยี บเทยี บการเขยี นสรปุ ความของ นกั เรยี นชน้ั ประถมศกึ ษาปีท่ี 3 ก่อนและหลังการจดั การเรียนรแู้ บบร่วมมือเทคนิค CIRC ร่วมกับการใช้ผังกราฟกิ (3) ศึกษาความพงึ พอใจของนักเรยี นช้นั ประถมศึกษาปีท่ี 3 ทมี่ ีตอ่ การจดั การเรยี นรแู้ บบรว่ มมอื เทคนคิ CIRC รว่ มกบั การใชผ้ ังกราฟกิ ผลการวิจัย พบว่า
22 1. นกั เรียนชน้ั ประถมศึกษาปที ่ี 3 ทไี่ ด้รบั การจัดการเรยี นรู้แบบรว่ มมอื เทคนิค CIRC รว่ มกับการใช้ผังกราฟกิ มีความสามารถในการอา่ นจับใจความภาษาไทย หลังทดลองสูงกว่า ก่อนทดลองอยา่ งมีนัยสำคัญทรี่ ะดับ .01 2. นกั เรยี นชน้ั ประถมศึกษาปที ่ี 3 ทีไ่ ด้รับการจดั การเรยี นรแู้ บบรว่ มมอื เทคนิค CIRC ร่วมกบั การใชผ้ งั กราฟิก มีความสามารถในการเขยี นสรุปความหลังทดลองสงู กวา่ ก่อนทดลอง อย่างมีนยั สำคัญท่รี ะดบั .01 3. นกั เรยี นชั้นประถมศึกษาปที ่ี 3 ทไี่ ดร้ บั การจัดการเรียนรแู้ บบร่วมมอื เทคนคิ CIRC ร่วมกับการใช้ผังกราฟกิ มีความพงึ พอใจตอ่ การจดั การเรียนรแู้ บบร่วมมือเทคนิค CIRC รว่ มกบั การใชผ้ ังกราฟกิ อยู่ในระดับมาก ศุภรา ทา้ วคำลือ (2555, บทคัดยอ่ ) ศกึ ษาเรือ่ ง การพัฒนาทกั ษะด้านการอ่านจบั ใจความและความคดิ เห็นต่อการอ่านจบั ใจความดว้ ยเทคนิค CIRC ประกอบแผนภาพโครง เรอ่ื ง สำหรบั นักเรยี นชัน้ ประถมศึกษาปีท่ี 6 โดยมีวัตถปุ ระสงค์ ดงั นี้ เพื่อศกึ ษาผลการพัฒนา ทักษะดา้ นการอา่ นจับใจความและความคิดเหน็ ตอ่ การอา่ นจับใจความ ด้วยเทคนคิ CIRC ประกอบแผนภาพโครงเรื่อง สำหรับนักเรียนช้ันประถมศกึ ษาปีที่ 6 ผลการวิจัย พบว่า 1. นักเรียนชน้ั ประถมศึกษาปที ี่ 6 ที่เรียนโดยการจดั กิจกรรมการเรยี นรแู้ บบรว่ มมอื ด้วยเทคนิค CIRC ประกอบแผนภาพโครงเรื่อง มีคะแนนเฉลย่ี ทักษะการอา่ นจับใจความ หลงั เรียนสูงกว่าก่อนเรยี นเทา่ กบั 5.5 คิดเปน็ ร้อยละ 18.34 2. นักเรยี นชนั้ ประถมศกึ ษาปที ี่ 6 ทเ่ี รียนโดยการจัดกิจกรรมการเรยี นรแู้ บบรว่ มมอื ด้วยเทคนคิ CIRC ประกอบแผนภาพโครงเรอ่ื ง มคี วามคิดเห็นตอ่ การอ่านจับใจความ โดย ภาพรวมอยใู่ นระดบั มากท่ีสุด มิรนั ตี นมิ ิตกลุ (2560, บทคัดย่อ) ศึกษาเรอื่ ง ผลการพฒั นาความสามารถในการอา่ น จบั ใจความภาษาไทย โดยการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้แบบร่วมมอื เทคนคิ CIRC ของนักเรียน ช้ันประถมศกึ ษาปีที่ 6 โดยมีวตั ถุประสงค์ ดงั นี้ (1) เพ่อื เปรียบเทยี บความสามารถในการอ่าน จับใจความภาษาไทย ก่อนเรยี นและหลงั เรียน โดยการจัดกจิ กรรมการเรียนรแู้ บบร่วมมอื เทคนิค CIRC ของนักเรยี นชนั้ ประถมศกึ ษาปีที่ 6 (2) เพอ่ื ศึกษาความพงึ พอใจของนักเรยี นชัน้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 6 ตอ่ การจดั กิจกรรมการเรยี นรู้แบบรว่ มมือ เทคนคิ CIRC ผลการวิจัย พบว่า 1. ความสามารถในการอา่ นจบั ใจความภาษาไทย โดยการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้แบบ ร่วมมือ เทคนิค CIRC ของนกั เรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 6 หลงั เรยี นสูงกว่ากอ่ นเรยี นอยา่ งมี นยั สำคัญทางสถิติทรี่ ะดับ 0.05
23 2. นักเรียนชน้ั ประถมศึกษาปีที่ 6 มคี วามพึงพอใจตอ่ การจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้แบบ รว่ มมือ เทคนคิ CIRC อย่ใู นระดับมาก งานวจิ ัยตา่ งประเทศ Erlidawati (2018) ไดศ้ กึ ษาผลการอ่านบรู ณาการแบบมีส่วนรว่ มและการเขียน เรียงความ (CIRC) และการสอนโดยใชว้ ิธกี ารแบบเดิม (TM) ของ IAIN Lhokseumawe อนิ โดนเี ซยี ซง่ึ กล่มุ ตวั อย่างท่ีใช้ในการทดลองจำนวน 31 คน ผลการวิจัย พบว่า กลมุ่ ควบคมุ 76.09 และกล่มุ ทดลอง 81.45 ซงึ่ กลุ่มควบคมุ ใช้วิธกี ารสอนแบบเดมิ (TM) และกลุ่มทดลอง ใช้วธิ กี ารสอนรว่ ม (CIRC) ซึ่งผลสมั ฤทธิ์ระหว่างนกั เรียนท่ีได้ผา่ นการสอนแบบ CIRC จากแบบ ดงั่ เดมิ ซง่ึ ปรากฏให้เห็น มีความแตกตา่ งอยา่ งมีนัยสำคัญทางสถติ ิท่ีระดับ .05 จากการศึกษางานวจิ ยั พบวา่ ความสามารถการอา่ นจับใจความสำคญั ของนักเรยี น ระดบั ช้นั ประถมศกึ ษาปีท่ี 6 – 6 ท่ไี ด้รับการสอนแบบร่วมมือ โดยใชเ้ ทคนิค CIRC สูงข้นึ ดังน้นั ผวู้ จิ ัยจงึ สนใจท่จี ะศึกษาเปรียบเทียบความสามารถการอา่ นจบั ใจความสำคญั ของ นกั เรยี นชัน้ ประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนวดั เขียนเขต ระหว่างวธิ กี ารสอนแบบร่วมมอื โดยใช้ เทคนิค CIRC กับวิธกี ารสอนแบบปกติซงึ่ ผู้วจิ ัยมงุ่ หวังวา่ นกั เรยี นชัน้ ประถมศึกษาปีที่ 6 จะ มีความสามารถการอ่านจับใจความสำคญั สงู ข้ึน กรอบแนวคดิ ในการวิจยั
24 บทที่ 3 วธิ ีดำเนนิ การวิจยั การศึกษาอิสระครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อเปรียบเทียบความสามารถการอ่านจับ ใจความสำคญั ของนกั เรียนชัน้ ประถมศึกษาปที ี่ 6 โรงเรียนวัดเขยี นเขต ทไ่ี ด้รบั การสอนดว้ ยวิธี สอนแบบรว่ มมือ โดยใช้เทคนิค CIRC และนักเรยี นท่ไี ดร้ บั การสอนด้วยวธิ สี อนแบบปกติ (2) เพ่อื เปรยี บเทียบความสามารถการอ่านจบั ใจความสำคัญของนกั เรียนชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี 6 โรงเรียนวดั เขียนเขต ก่อนเรยี นและหลังเรียนของนกั เรยี นทีไ่ ด้รบั การสอนด้วยวิธสี อนแบบ ร่วมมอื โดยใช้เทคนคิ CIRC (3) เพ่อื เปรยี บเทยี บความสามารถการอา่ นจบั ใจความสำคัญของ นกั เรียนชัน้ ประถมศกึ ษาปีที่ 6 โรงเรียนวดั เขยี นเขต กอ่ นเรียนและหลงั เรียนของนักเรียนที่ ไดร้ ับการสอนด้วยวธิ สี อนแบบปกติ ผวู้ จิ ัยไดอ้ อกแบบการวจิ ัยตามข้ันตอนต่อไปนี้ 1. รูปแบบการวิจัย 2. ประชากรและกลุม่ ตวั อยา่ ง 3. เครื่องมือท่ใี ช้ในการวจิ ัย 4. วิธกี ารทดลอง 5. วิธวี ิเคราะห์ขอ้ มลู และสถิติทใ่ี ช้ในการวเิ คราะห์ขอ้ มูล รปู แบบการวจิ ัย การศกึ ษาอิสระน้ีเป็นการวิจยั ก่งึ ทดลอง (Quasi-equivalent control group design) ซึ่งเปน็ แบบทดลองทม่ี ีกลุ่มทดลอง (E) และกลุ่มควบคุม (C) อย่างละหนึง่ กลมุ่ และ สงั เกตผลสองครั้งกอ่ นทดลอง (O1) และหลังการทดลอง (O2) อดลุ ย์ ไทรเลก็ ทิม (2561, หน้า 68) ดงั น้ี E O1 X O2 C O1 ~ O2 E แทน กลุม่ ทดลอง C แทน กลุ่มควบคมุ O1 แทน ผลความสามารถการอ่านจับใจความสำคัญกอ่ นการทดลอง O2 แทน ผลความสามารถการอ่านจบั ใจความสำคัญหลังการทดลอง X แทน กลุ่มทดลองทไ่ี ดร้ บั การสอนดว้ ยวธิ กี ารสอนแบบร่วมมือ โดยใชเ้ ทคนิค CIRC ~ แทน กลมุ่ ควบคุมทีไ่ ด้รับการสอนด้วยวธิ ีการสอนแบบปกติ
25 ประชากรและกลุม่ ตัวอยา่ ง ประชากร ประชากรทใ่ี ชใ้ นการวิจัยในครงั้ น้ี เปน็ นกั เรยี นชัน้ ประถมศกึ ษาปีที่ 6 โรงเรียน วัดเขียนเขต จงั หวัดปทุมธานี ภาคเรียนที่ 2 ปกี ารศึกษา 2562 จำนวน 6 หอ้ ง รวมนกั เรยี น ทง้ั หมด 258 คน กลมุ่ ตวั อยา่ ง กลมุ่ ตัวอย่างทีใ่ ชใ้ นการวจิ ัยคร้ังน้ี เป็นนกั เรียนชนั้ ประถมศึกษาปที ี่ 6 โรงเรียน วดั เขยี นเขต ภาคเรียนท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2563 โดยคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างจากการนำคะแนน ทดสอบการอ่าน ครั้งที่ 1 ของนกั เรียนชัน้ ประถมศึกษาปีที่ 6 ภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศึกษา 2563 ทัง้ 6 ห้อง มาหาค่าเฉลีย่ ของแตล่ ะหอ้ ง โดยการวเิ คราะห์ค่าความแปรปรวนทางเดียว (one- way ANOVA) แล้วเลอื กคู่ของค่าเฉลี่ยทไี่ ม่แตกตา่ งกนั มา 1 คู่ โดยใชว้ ิธีการจบั สลาก แสดงใน ตาราง 3.1 ตาราง 3.1 ผลการคิดคะแนนเฉล่ียการอา่ นคร้งั ท่ี 1 ภาคเรยี นที่ 1 ประจำปีการศกึ ษา 2562 df SS MS F ระหว่างกลุ่ม 5 404.128 80.826 7.800 ภายในกลุ่ม 252 2611.379 10.363 รวมท้ังหมด 257 3015.508 จากตาราง 3.1 พบว่า นกั เรยี นชนั้ ประถมศึกษาปที ่ี 6 ทัง้ 6 กลมุ่ มคี วามสามารถการ อา่ นภาษาไทยจากแบบทดสอบการอ่าน ครง้ั ที่ 1 แตกตา่ งกันอยา่ งมีนยั สำคญั ทางสถติ ิ (F = 7.800) และมีคา่ เฉลยี่ อยา่ งน้อย 1 คมู่ คี วามแตกต่างกนั ผวู้ จิ ยั นำผลการวิเคราะห์จากคา่ คะแนนทดสบการอา่ นครัง้ ที่ 1 ภาคเรยี นท่ี 1 ปี การศกึ ษา 2563 วชิ าภาษาไทย นำมาเปรียบรายคู่เพอื่ เลือกห้องเรยี นที่ไมแ่ ตกตา่ งกัน ดังน้ี
26 ตารางท่ี 3.2 ผลการเปรยี บเทียบรายคทู่ ไ่ี ด้จากการวิเคราะห์คะแนนทดสอบการอา่ น คร้งั ที่ 1 ปกี ารศึกษา 2562 ค่เู ปรยี บเทยี บ d Std.Error P กลมุ่ ท่ี 1 - กลมุ่ ท่ี 2 -.31064 .75226 .999 กลมุ่ ที่ 1 - กลมุ่ ที่ 3 2.54783* .75544 .048 กลมุ่ ท่ี 1 - กลมุ่ ท่ี 4 3.04444* .75875 .008 กลุ่มท่ี 1 - กลุ่มที่ 5 2.24444 .75875 .124 กลมุ่ ที่ 1 - กลุ่มที่ 6 1.82222 .75875 .333 กลุ่มที่ 2 - กล่มุ ที่ 3 2.85846* .66765 .003 กลุ่มที่ 2 - กลุ่มที่ 4 3.35508* .67139 .000 กลมุ่ ท่ี 2 - กลมุ่ ท่ี 5 2.55508* .67139 .015 กลมุ่ ที่ 2 - กลมุ่ ท่ี 6 2.13286 .67139 .077 กลมุ่ ท่ี 3 - กลมุ่ ท่ี 4 .49662 .67495 .990 กลมุ่ ท่ี 3 - กลุ่มที่ 5 -.30338 .67495 .999 กลุ่มท่ี 3 - กลุม่ ท่ี 6 -.72560 .67495 .949 กลุ่มที่ 4 - กลุ่มท่ี 5 -.80000 .67865 .925 กลุ่มที่ 4 - กลมุ่ ท่ี 6 -1.22222 .67865 .663 กลุ่มท่ี 5 - กล่มุ ที่ 6 -.42222 .67865 .996 จากตารางท่ี 3.2 พบวา่ ผลการเปรียบเทียบรายคู่ท่ีไดจ้ ากการวเิ คราะห์ค่าคะแนน ทดสอบการอ่าน ครั้งท่ี 1 ภาคเรยี นที่ 1 ปีการศึกษา 2562 มคี ่าเฉล่ีย 5 ค่ทู ่ีไม่มคี วามแตกตา่ ง กัน ได้แก่ (1) กลุม่ ที่ 1 - กลมุ่ ที่ 3 (2) กลมุ่ ที่ 1 - กลุ่มที่ 4 (3) กลมุ่ ท่ี 2 - กลมุ่ ที่ 3 (4) กลุม่ ท่ี 2 - กล่มุ ที่ 4 (5) กลมุ่ ท่ี 2 - กลุ่มที่ 5 ท้ังนี้ผู้วิจยั สมุ่ อย่างงา่ ยโดยวิธกี ารจบั สลากเพ่อื เลอื กเปน็ คเู่ ปรียบเทยี บ ไดแ้ ก่ กลุ่มท่ี 2 กับ กลมุ่ ท่ี 5 หลงั จากนัน้ ผวู้ จิ ยั จงึ สมุ่ อย่าง่ายโดยวิธีการจับ สลากอีกครงั้ หน่งึ เพ่อื เลือกเป็นกล่มุ ทดลองที่ไดร้ บั การสอนแบบรว่ มมอื เทคนคิ CIRC และ กลุ่มควบคุมที่ได้รบั การสอนแบบปกติ ดงั นี้ (1) กลุ่มท่ี 2 คอื นักเรียนชน้ั ประถมศึกษาปที ่ี 4/2 จำนวน 47 คน ได้รับการสอนแบบ ร่วมมอื โดยใช้เทคนิค CIRC (2) กลุ่มที่ 5 คอื นกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปที ี่ 4/5 จำนวน 45 คน ไดร้ บั การสอนแบบ ปกติ
27 เคร่ืองมอื ทใ่ี ชใ้ นการวิจยั เครือ่ งมอื ทใี่ ชใ้ นการวจิ ยั ประกอบด้วย 1. แผนการจดั การเรียนรู้ กลมุ่ สาระการเรียนรภู้ าษาไทย ทไี่ ดร้ ับการสอนดว้ ยวิธีการ สอนแบบรว่ มมอื โดยใช้เทคนคิ CIRC จำนวน 3 แผน แผนละ 2 ช่ัวโมง รวมเป็น 6 ชว่ั โมง 2. แผนการจดั การเรียนรู้ กลมุ่ สาระการเรยี นรภู้ าษาไทย ทไ่ี ดร้ บั การสอนด้วยวธิ กี าร สอนแบบปกติ จำนวน 3 แผน แผนละ 2 ชั่วโมง รวมเป็น 6 ชัว่ โมง 3. แบบทดสอบวดั ความสามารถการอ่านจบั ใจความสำคญั ซึง่ เปน็ แบบทดสอบชนิด เลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ ผู้วจิ ัยได้จัดทำเปน็ แบบทดสอบกอ่ นเรียนและหลงั เรยี น การสรา้ งและหาคณุ ภาพเคร่อื งมอื ที่ใชใ้ นการวจิ ัย ข้ันตอนการสรา้ งเคร่ืองมอื ทใ่ี ชใ้ นการวิจยั 1. แผนการจดั การเรียนรู้ กล่มุ สาระการเรยี นรภู้ าษาไทย ที่ได้รับการสอนด้วยวธิ กี าร สอนแบบรว่ มมอื โดยใชเ้ ทคนิค CIRC จำนวน 4 แผน และแผนการจัดการเรยี นรู้ ทไี่ ด้รับการ สอนดว้ ยวธิ ีการสอนแบบปกติ จำนวน 3 แผน แผนละ 2 ชวั่ โมง รวมเป็น 6 ช่ัวโมง ผู้วิจยั ได้ ดำเนนิ การตามขนั้ ตอน ดังนี้ 1.1 แผนการจัดการเรียนรู้ กลมุ่ สาระการเรียนรภู้ าษาไทย ทไี่ ดร้ บั การสอนด้วยวธิ ีการ สอนแบบรว่ มมือ โดยใชเ้ ทคนิค CIRC 1.1.1 ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พ้ืนฐาน พทุ ธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรยี นรู้ภาษาไทย ช้นั ประถมศึกษาปที ่ี 6 เพอื่ เป็นแนวทางในการจดั ทำแผนการ จดั การเรยี นรู้ กระทรวงศึกษาธกิ าร (2551) 1.1.2 ศกึ ษาหลักสตู รสถานศกึ ษา กลุ่มสาระการเรียนร้ภู าษาไทย โรงเรยี นวดั เขยี นเขต เพ่อื เป็นแนวทางในการจดั ทำแผนการจัดการเรียนรู้ โรงเรียนวดั เขยี นเขต (2562) 1.1.3 ศกึ ษาทฤษฎี หลกั การ และแนวคิดของวธิ ีการสอนแบบรว่ มมือ โดยใช้ เทคนคิ CIRC เพ่อื เปน็ แนวทางในการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้ 1.1.4 กำหนดเนอื้ หาในแผนจัดการเรยี นรู้ โดยคดั เลือกเนือ้ หาจากสาระการเรียนรู้ จากหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขน้ั พ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 ร่วมกบั หลกั สตู รสถานศกึ ษา กลมุ่ สาระการเรยี นรภู้ าษาไทย โรงเรียนวดั เขียนเขต ชนั้ ประถมศกึ ษาปที ี่ 6
28 1.1.5 สร้างแผนการจัดการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรภู้ าษาไทย ทีไ่ ดร้ ับการสอน ด้วยวิธกี ารสอนแบบร่วมมือ โดยใช้เทคนิค CIRC จำนวน 4 แผน (ดูตาราง 2) ตาราง 2 กำหนดเนือ้ หาในแผนการจัดการเรยี นรู้ กลุม่ สาระการเรียนร้ภู าษาไทยทไ่ี ด้รบั การสอนแบบ ร่วมมือ โดยใชเ้ ทคนคิ CIRC จำนวน 3 แผน แผนการจดั การเรียนร้ทู ่ี เนอื้ หา ช่วั โมง แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 นทิ านชาดก เรือ่ ง เศรษฐีหนตู าย 2 แผนการจัดการเรียนรทู้ ่ี 2 เรอื่ งสัน้ เรอื่ ง งานศพ 2 แผนการจัดการเรียนรูท้ ี่ 3 บทความ จุดรับนำ้ หนัก 2 1.1.6 นำแผนการจัดการเรยี นรู้ กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ภาษาไทย ทไี่ ดร้ ับการสอน ด้วยวธิ ีการสอนแบบรว่ มมือ โดยใช้เทคนิค CIRC นำเสนอต่ออาจารย์ทีป่ รึกษา เพือ่ ตรวจสอบความถูกต้องและให้การเสนอแนะ แกไ้ ข ปรบั ปรุง ตามขอ้ เสนอของอาจารย์ ทปี่ รึกษา 1.1.7 นำแผนการจัดการเรยี นรู้ กล่มุ สาระการเรียนรูภ้ าษาไทย ทไี่ ดร้ ับการสอน ดว้ ยวิธกี ารสอนแบบร่วมมือ โดยใชเ้ ทคนคิ CIRC เสนอตอ่ ผเู้ ชย่ี วชาญจำนวน 3 ทา่ น เพอ่ื พิจารณาความถูกต้องความตรงเชิงเนอื้ หา จุดประสงค์การเรยี นรู้ การจดั กจิ กรรม การเรียนรู้ เพื่อนำขอ้ บกพรอ่ งมาปรับปรงุ แกไ้ ข และหาค่าดชั นคี วามสอดคล้อง (IOC) โดย กำหนดคะแนนพิจารณา ดังน้ี + 1 หมายถึง แนใ่ จว่าแผนการจัดการเรยี นรนู้ ัน้ สอดคลอ้ งกบั จุดประสงค์ การเรียนรู้ 0 หมายถึง ไมแ่ นใ่ จวา่ แผนการจัดการเรียนรู้น้ันสอดคลอ้ งกบั จุดประสงค์ การเรียนรู้ -1 หมายถึง แน่ใจว่าแผนการจดั การเรียนร้นู ้ันไม่สอดคลอ้ งกบั จุดประสงค์ การเรียนรู้ แลว้ นำคะแนนท่ไี ด้จากการวเิ คราะหห์ าค่าดชั นคี วามสอดคลอ้ ง (IOC) ตั้งแตร่ ะดับ 0.5 ขนึ้ ไปถือวา่ ใชไ้ ด้
29 1.1.8 ปรับปรุงแผนการจดั การเรียนรู้ตามคำแนะนำของผเู้ ชย่ี วชาญทั้ง 3 ท่าน และส่มุ แผนการจัดการเรยี นร้จู ำนวนหน่ึงแผนไปทดลองใชก้ บั นกั เรียนที่ไม่ใชก้ ลุ่มตัวอยา่ ง เพือ่ พิจารณาความเหมาะสมของเวลา ขัน้ ตอนในการสอน สื่อและการประเมนิ ผล 1.1.9 นำแผนการจัดการเรยี นรทู้ ไ่ี ด้รับการตรวจแกไ้ ข และนำไปใชเ้ ป็นเครอื่ งมือ ในการวิจัย 1.2 แผนการจัดการเรยี นรู้ กลุ่มสาระการเรียนร้ภู าษาไทย ที่ไดร้ ับการสอนด้วยวิธีการ สอนแบบปกติ 1.2.1 ศกึ ษาหลักสตู รแกนกลางการศึกษาขน้ั พ้นื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 กลุ่มสาระการเรยี นรูภ้ าษาไทย ชนั้ ประถมศึกษาปีท่ี 6 เพื่อเปน็ แนวทางในการจัดทำแผนการ จัดการเรยี นรู้ กระทรวงศึกษาธกิ าร (2551) 1.2.2 ศึกษาหลักสูตรสถานศกึ ษา กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ภาษาไทย โรงเรยี นวัด เขียนเขต เพ่อื เป็นแนวทางในการจดั ทำแผนการจดั การเรียนรู้ โรงเรียนวัดเขยี นเขต (2562) 1.2.3 ศึกษาทฤษฎี หลักการ และแนวคิดของวิธีการสอนแบบปกติ เพอื่ เปน็ แนวทางในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ซึ่งมขี น้ั ตอน ดังนี้ ขณั ธช์ ยั อธเิ กียรติ (2562) 1.2.4 กำหนดเนื้อหาในแผนจดั การเรยี นรู้ โดยคดั เลอื กเนื้อหาจากสาระการเรียนรู้ จากหลักสตู รแกนกลางการศึกษาขนั้ พนื้ ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 ร่วมกบั หลกั สูตรสถานศึกษา กลุ่มสาระการเรยี นรภู้ าษาไทย โรงเรียนวดั เขยี นเขต ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 1.2.5 สร้างแผนการจัดการเรยี นรู้ กลุ่มสาระการเรียนรูภ้ าษาไทย ทไ่ี ดร้ บั การสอน ด้วยวธิ ีการสอนแบบปกติ ซึ่งมีการจัดกจิ กรรมตามลำดับข้นั ดังนี้ จำนวน 3 แผน (ดูตาราง 3) (1) ข้ันนำเข้าสบู่ ทเรียน เป็นช่วงเวลาเร่มิ ตน้ ของคาบเรยี น อาจจะมกี ารจัด กิจกรรมที่หลากหลาย (2) ขน้ั สอน เป็นการจดั กิจกรรมการเรียนรู้เพ่ือใหต้ อบสนองจุดประสงค์การเรียนรู้ ที่ต้งั ไว้เป็นสำคญั (3) ข้นั สรุป เปน็ การจัดกจิ กรรมชว่ งท้ายคาบ เพื่อให้นกั เรียนสรุปความคิด รวบยอด หรือครูเป็นผจู้ ดั กจิ กรรมท่ีหลากหลายเพ่ือเป็นการสรุปความรู้ในคาบนน้ั
30 ตาราง 3.3 กำหนดเน้ือหาในแผนการจดั การเรยี นรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยท่ไี ด้รับการสอนดว้ ยวิธี สอนแบบปกติ จำนวน 3 แผน แผนการจดั การเรียนร้ทู ่ี เนอ้ื หา ช่วั โมง แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี 1 นิทานชาดก เร่ือง เศรษฐีหนูตาย 2 แผนการจดั การเรียนรทู้ ี่ 2 เรือ่ งส้ัน เร่ือง งานศพ 2 แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี 3 บทความ จดุ รับนำ้ หนัก 2 1.2.6 นำแผนการจดั การเรยี นรู้ กลุ่มสาระการเรยี นรภู้ าษาไทย ทไี่ ด้รับการสอน ด้วยวธิ กี ารสอนแบบปกติ นำเสนอต่ออาจารย์ทปี่ รึกษา เพือ่ ตรวจสอบความถูกต้องและใหก้ าร เสนอแนะ แกไ้ ข ปรับปรุง ตามข้อเสนอของอาจารย์ทปี่ รึกษา 1.2.7 นำแผนการจดั การเรยี นรู้ กลุ่มสาระการเรยี นรู้ภาษาไทย ท่ไี ด้รบั การสอน ดว้ ยวิธีการสอนแบบปกติ เสนอตอ่ ผเู้ ชีย่ วชาญจำนวน 3 ทา่ น เพือ่ พจิ ารณาความถกู ตอ้ งความ ตรงเชงิ เนือ้ หา จุดประสงค์การเรียนรู้ การจดั กิจกรรมการเรียนรู้ เพอ่ื นำขอ้ บกพรอ่ งมา ปรบั ปรงุ แก้ไข และหาค่าดชั นคี วามสอดคล้อง (IOC) โดยกำหนดคะแนนพิจารณา ดงั นี้ + 1 หมายถึง แนใ่ จว่าแผนการจดั การเรียนรู้นัน้ สอดคลอ้ งกับจุดประสงค์การ เรียนรู้ 0 หมายถงึ ไม่แน่ใจว่าแผนการจัดการเรยี นรนู้ น้ั สอดคล้องกับจุดประสงค์ การเรียนรู้ -1 หมายถึง แนใ่ จว่าแผนการจดั การเรยี นรูน้ น้ั ไม่สอดคลอ้ งกับจดุ ประสงค์ การเรียนรู้ แล้วนำคะแนนที่ไดจ้ ากการวิเคราะหห์ าคา่ ดัชนคี วามสอดคลอ้ ง (IOC) ตงั้ แต่ระดับ 0.5 ขนึ้ ไปถอื ว่าใช้ได้ 1.2.8 ปรับปรงุ แผนการจัดการเรียนรตู้ ามคำแนะนำของผูเ้ ชี่ยวชาญทั้ง 3 ท่าน และสุ่มแผนการจดั การเรยี นรู้จำนวนหน่ึงแผนไปทดลองใช้กบั นกั เรยี นทไ่ี ม่ใช้กลุ่มตัวอยา่ ง เพอ่ื พิจารณาความเหมาะสมของเวลา ข้ันตอนในการสอน สอื่ และการประเมินผล 1.2.9 นำแผนการจดั การเรยี นรู้ที่ไดร้ บั การตรวจแก้ไข และนำไปใช้เปน็ เครื่องมือ ในการวิจัย 2. สร้างแบบทดสอบความสามารถการอ่านจบั ใจความสำคัญ ผวู้ ิจยั มีลำดบั ขน้ั ตอน การสร้าง ดังน้ี พิชิต ฤทธจ์ิ รูญ (2548, หน้า 97 – 98)
31 2.1 ศกึ ษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้นื ฐาน พทุ ธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย มาตรฐานการเรียนรู้ ท 1.1 การอา่ น 2.2 ศึกษาหลักสูตรสถานศึกษา โรงเรียนวัดเขยี นเขต กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ ภาษาไทย เพ่อื เปน็ กรอบในการออกข้อสอบ 2.3 ศึกษาเนอ้ื หาการอ่านจบั ใจความสำคญั ซึง่ แบ่งเนื้อหาเป็น นิทานชาดก บทความ เรื่องส้ัน และเอกสารที่เก่ยี วขอ้ ง เพ่ือเปน็ แนวทางการสร้างแบบวดั ความสามารถใน การอ่านจบั ใจความสำคัญของนักเรยี นชั้นประถมศึกษาปที ่ี 6 2.4 กำหนดจุดประสงคก์ ารเรียนร้แู ละสรา้ งตารางวเิ คราะห์ข้อสอบตามเน้อื หา โดยแบ่งระดบั ความสามารถเปน็ 6 ระดับ คือ (1) แยกข้อเท็จจรงิ (2) แยกข้อคดิ เห็น (3) คาดคะเนเหตุการณ์ (4) ระบเุ หตผุ ลประกอบ (5) สรปุ ความรู้ เพื่อนำไปใชใ้ น ชีวติ ประจำวัน (6) สรุปข้อคดิ เพือ่ นำไปใช้ในชีวติ ประจำวนั 2.5 สร้างแบบทดสอบวดั ความสามารถการอ่านจับใจความสำคญั ผู้วิจยั ไดเ้ ลอื ก ข้อสอบแบบปรนยั 4 ตัวเลอื ก จำนวน 60 ขอ้ นำมาใช้จรงิ 30 ขอ้ ซึ่งสอดคลอ้ งกบั จดุ ประสงคก์ ารเรียนรูก้ ารอ่านจบั ใจความ มาตรฐาน ท 1.1 ในระดับชั้นประถมศกึ ษาปีที่ 6 ดังนี้ (ตาราง 3.4) ตารางท่ี 3.4 ตารางแสดงความสามารถการอ่านจบั ใจความสำคญั กับจำนวนข้อ ช้ันประถมศึกษาปีท่ี 6 ระดับ เน้ือหา ความสามารถ จดุ ประสงค์การเรียนรู้ ินทานชาดก จำนวนข้อสอบ บทความ เร่ือง ัส้น แยกขอ้ เท็จจรงิ นักเรียนสามารถแยก 3 3 4 10 แยกข้อคิดเหน็ ข้อเท็จจริงจากเรื่องท่ี 10 อ่านได้ นกั เรียนสามารถแยก 3 3 4 ขอ้ คิดเหน็ จากเร่อื งท่ี อ่านได้
32 ระดบั เน้ือหา ความสามารถ จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ นิทานชาดก จำนวนข้อสอบ บทความ เร่ือง ั้สน คาดคะเน นกั เรียนสามารถ 334 10 เหตกุ ารณ์ 10 คาดคะเนเหตุการณ์ 10 ระบุเหตผุ ล 10 ประกอบ จากเรอ่ื งท่อี า่ นได้ 60 สรปุ ความรู้ นกั เรียนสามารถระบุ 3 3 4 เพ่ือนำไปใชใ้ น ชวี ิตประจำวัน เหตผุ ลประกอบจาก สรุปขอ้ คิด เพอ่ื นำไปใชใ้ น เรอ่ื งท่อี า่ นได้ ชวี ติ ประจำวัน นกั เรียนสามารถสรุป 3 3 4 ความรจู้ ากเรือ่ งทอ่ี ่าน ได้ นักเรยี นสามารถสรุป 3 3 4 ข้อคิดจากเรอ่ื งที่อ่าน ได้ รวม 18 18 24 2.6 ออกข้อสอบตามโครงสรา้ งทวี่ ิเคราะหไ์ ว้ เป็นแบบปรนยั ชนิด 4 ตัวเลอื ก มเี กณฑ์การให้คะแนน คือ ถ้าตอบถูกให้ 1 คะแนน ถา้ ตอบผดิ หรอื ไมต่ อบ ให้ 0 คะแนน 2.7 นำแบบทดสอบวดั ความสามรถท่สี ร้างขึ้นเสนออาจารย์ทปี่ รึกษา เพือ่ พิจารณาตรวจสอบแก้ไข 2.8 นำแบบทดสอบวดั ความสามารถที่ได้แกไ้ ขปรับปรงุ ตามคำแนะนำของ อาจารย์ท่ีปรึกษาไปใหผ้ ้เู ช่ียวชาญจำนวน 3 คน ตรวจสอบความเท่ยี งตรงเชิงเน้ือหา (Content Validity) พจิ ารณาความสอดคล้องระหว่างแบบทดสอบกบั จุดประสงค์ โดยใช้ เกณฑก์ ารกำหนดคะแนนความคดิ เห็น ดงั น้ี +1 สำหรับข้อคำถามทีแ่ นใ่ จว่าสอดคลอ้ งกบั จดุ ประสงค์ 0 สำหรบั ขอ้ คำถามทีไ่ ม่แน่ใจว่าสอดคลอ้ งกบั จุดประสงค์ -1 สำหรบั ข้อคำถามทแ่ี น่ใจว่าไมส่ อดคล้องกับจุดประสงค์
33 2.9 นำผลการพิจารณาลงความเห็นของผู้เชี่ยวชาญในแตล่ ะคน แต่ละข้อไปหาค่า ดชั นีความสอดคล้อง (IOC) ระหว่างแบบทดสอบกบั จดุ ประสงค์ โดยผู้วิจัยจะคัดเลอื ก แบบทดสอบที่มคี า่ ดัชนคี วามสอดคล้องมากกวา่ หรือเท่ากบั 0.5 – 1.0 จึงถอื วา่ แบบทดสอบ นน้ั มคี วามเที่ยงตรงเชิงเน้ือหา 2.10 นำแบบทดสอบวัดความสามารถการอ่านจับใจความสำคญั ท่ีผู้เชี่ยวชาญ ทัง้ 3 คน ตรวจสอบแลว้ มาปรับปรุงแก้ไข แลว้ นำแบบทดสอบวัดความสามารถการอา่ น จบั ใจความสำคญั ไปทดลองใช้กบั นกั เรยี นชนั้ ประถมศึกษาปที ี่ 6 ทีไ่ มใ่ ชก่ ลมุ่ ตัวอยา่ ง จำนวน 46 คน 2.11 นำผลการทดลองมาวิเคราะหร์ ายขอ้ เพื่อตรวจสอบคณุ ภาพแบบทดสอบวัด ความสามารถการอ่านจบั ใจความสำคญั นำผลการทดสอบมาวเิ คราะห์หาค่าความยากง่าย (p) และหาค่าอำนาจจำแนก (r) ของข้อสอบแต่ละขอ้ แลว้ จงึ คดั เลือกไว้ 30 ข้อ โดยมคี ่ายากง่าย (p) ตงั้ แต่ 0.20 – 0.80 (ดตู าราง 5) และคา่ อำนาจจำแนก (r) ตงั้ แต่ 0.20 – 1.00 โดย แบบทดสอบวดั ความสามารถการอ่านจบั ใจความสำคัญก่อนเรียนและหลงั เรียนทีผ่ วู้ ิจยั สรา้ ง ขน้ึ มีค่าอำนาจจำแนก (ดูตาราง 6) ตาราง 3.5 ตารางแสดงค่าความยากงา่ ย (difficulty) คา่ ความยากงา่ ย (difficulty) แบบทดสอบ ต่ำกวา่ 0.21 ขอ้ 16 45 0.21 – 0.30 ขอ้ 12 17 20 25 43 49 53 0.31 – 0.40 ขอ้ 4 19 23 27 32 37 40 41 44 50 0.41 – 0.50 ขอ้ 7 21 22 26 31 33 34 35 52 54 60 0.51 – 0.60 ข้อ 1 10 11 15 30 36 46 47 51 0.61 – 0.70 ข้อ 2 3 8 13 18 28 39 48 59 0.71 – 0.80 ข้อ 24 29 38 42 56 58 0.81 – 0.90 ขอ้ 5 6 57 0.91 ขน้ึ ไป ขอ้ 9 14 55
34 ตาราง 3.6 ตารางแสดงค่าอำนาจจำแนก (discrimination) คา่ อำนาจจำแนก แบบทดสอบ (discrimination) ตำ่ กวา่ 0.21 ขอ้ 4 5 6 9 14 16 17 20 23 25 29 33 36 37 41 43 44 45 0.21 – 0.30 ขอ้ 2 7 8 12 18 19 22 26 28 30 31 49 53 0.31 – 0.40 ขอ้ 13 15 21 24 27 34 38 39 42 50 0.41 – 0.50 ข้อ 1 3 10 35 52 54 60 0.51 – 0.60 ขอ้ 11 40 46 47 51 0.61 – 0.70 ข้อ 32 48 59 0.71 – 0.80 ข้อ 56 58 0.81 – 0.90 ข้อ 57 0.91 – 1.00 ข้อ 55 จากตารางท่ี 3.5 ตารางที่ 3.6 พบวา่ แบบทดสอบวัดความสามารถการอ่านจบั ใจความสำคัญไว้ ทผ่ี ู้วจิ ัยสรา้ งข้นึ มคี วามยากง่าย (difficulty) คา่ ระหว่าง ตำ่ กว่า 0.21 – 0.91 ขน้ึ ไป คา่ อำนาจจำแนก (discrimination) มีค่าระหวา่ ง ต่ำกว่า 0.21 – 1.00 และผ้วู จิ ยั คัดเลือกขอ้ สอบท่ีใช้ได้ 30 ข้อ ซึง่ มคี า่ ความยากงา่ ยและค่าอำนาจจำแนกตามเกณฑ์ท่ีกำหนด ไดแ้ ก่ ข้อ 1 2 3 7 8 10 11 12 13 15 18 19 21 14 24 26 27 28 30 31 32 35 38 39 40 42 46 47 48 50 2.12 นำแบบทดสอบมาหาคา่ ความเช่ือมัน่ (Reliabity) โดยใช้สตู ร KR – 20 ของ คเู ดอร์ - รชิ าร์ดสนั (Kuder — Richardson) ซึ่งแบบทดสอบวดั ความสามารถการอ่านจบั ใจความสำคัญทีผ่ วู้ จิ ยั สร้างไวม้ คี ่าความเชื่อมน่ั เทา่ กับ 0.85 2.13 จัดพมิ พเ์ ปน็ ฉบับสมบูรณแ์ ละนำแบบทดสอบวดั ความสามารถการอ่านจับ ใจความสำคัญไปทดลองใช้กับกลมุ่ ตวั อย่าง
35 วิธีการทดลอง การดำเนนิ การวจิ ัย ผวู้ จิ ัยได้มกี ารดำเนนิ การวจิ ัย ดังน้ี 1. นำแบบทดสอบวดั ความสามารถการอา่ นจับใจความสำคญั กอ่ นเรียนไปทดสอบกับ นักเรยี นทง้ั สองกลมุ่ คือ กลมุ่ ทดลองทีเ่ รียนด้วยวธิ ีการสอนแบบร่วมมือ โดยเทคนิค CIRC และกลุม่ ควบคุมที่เรยี นดว้ ยวธิ กี ารสอนแบบปกติ ใช้เวลาในการทดสอบ 1 ชั่วโมง 2. ดำเนนิ การตามแผนการจดั การเรียนรู้ คือ กลมุ่ ทดลอง เรยี นดว้ ยวิธีการสอนแบบ รว่ มมอื โดยใชเ้ ทคนิค CIRC และกลุม่ ควบคมุ เรยี นด้วยวธิ กี ารสอนแบบปกติ ใชเ้ วลาในการ ทดลอง 2 สปั ดาห์ แบ่งออกเปน็ 3 แผน แผนละ 2 ช่ัวโมง รวมเป็น 6 ช่วั โมง 3. นำแบบทดสอบวดั ความสามารถการอ่านจับใจความสำคญั หลงั เรียนไปทดสอบกับ นกั เรียนทั้งสองกลุ่ม คือ กลมุ่ ทดลองท่ีเรยี นด้วยวิธกี ารเรียนแบบร่วมมือ โดยใช้เทคนคิ CIRC และกล่มุ ควบคุมทีเ่ รียนด้วยวิธีการสอนแบบปกติ ใชเ้ วลาในการทดสอบ 1 ช่ัวโมง 4. นำข้อมลู ที่ไดจ้ ากแบบทดสอบวัดความสามารถการอา่ นจับใจความสำคญั ก่อนเรียน และหลังเรียนไปวิเคราะห์ทางสถติ ิ วิธวี เิ คราะหข์ อ้ มลู และสถติ ทิ ี่ใชใ้ นการวิเคราะห์ข้อมลู ผู้วิจยั นำคะแนนที่ไดร้ ับจากการทดลองสอนมาวิเคราะห์โดยใชโ้ ปรแกรมสำเรจ็ รูป ดงั น้ี 1. การวิเคราะห์ข้อมูลเพ่อื หาคา่ คณุ ภาพเครอ่ื งมอื 1.1 ตรวจสอบคณุ ภาพของแผนการจดั การเรียนรู้ วิเคราะห์ความตรงเชงิ เนื้อหา ดำเนนิ การโดยหาค่าดชั นีความสอดคล้อง (Index of Item Objective Congruence—IOC) ของแผนการจดั การเรียนรู้ ประสาท เนืองเฉลิม (2556, หน้า 190) IOC = ∑������ ������ ICO ค่าดชั นีความสอดคล้องระหว่างข้อสอบกับจุดประสงค์ ∑������ ผลรวมของคะแนนความคดิ เห็นของผู้เชย่ี วชาญ N จำนวนผู้เชี่ยวชาญ
36 1.2 ตรวจสอบคณุ ภาพของแบบทดสอบวัดความสามารถการอ่านจับใจความสำคญั โดยดำเนนิ การ ดงั นี้ 1.2.1 วิเคราะห์ความเทยี่ งตรงเชงิ เนื้อหาโดยหาคา่ ดัชนคี วามสอดคล้อง (IOC) ของแบบทดสอบวดั ความสามารถการอา่ นจบั ใจความสำคัญ ประสาท เนอื งเฉลมิ (2556, หนา้ 190) IOC = ∑������ ค่าดัชนคี วามสอดคลอ้ งระหว่างข้อสอบกบั จุดประสงค์ ผลรวมของคะแนนความคิดเห็นของผ้เู ชยี่ วชาญ ������ จำนวนผ้เู ช่ียวชาญ เมื่อ ICO ∑������ N 1.2.2 วิเคราะหค์ วามยากง่าย (p) และค่าอำนาจจำแนก (r) ของแบบทดสอบ วดั ความสามารถการอ่านจับใจความสำคญั ประสาท เนอื งเฉลมิ (2556, หน้า 191) p = ������+������ คา่ ความยาก ������ เมื่อ p H จำนวนคนในกลมุ่ สงู ที่ทำถกู L จำนวนคนในกลุ่มต่ำทท่ี ำถูก N จำนวนคนในกลมุ่ สงู และกลุ่มต่ำรวมกนั คา่ p ที่ใช้ได้ ระหว่าง .20 ถึง .80 r = ������−������ ������������ หรือ ������������ เมือ่ r คา่ อำนาจจำแนก H จำนวนคนในกล่มุ สูงที่ตอบถูก L จำนวนคนในกลมุ่ ต่ำท่ตี อบถกู ������������ หรือ ������������ จำนวนคนในกลุ่มสูงหรือจำนวนคนในกลุ่มตำ่ ค่า r ท่ใี ช้ได้อยู่ระหวา่ ง .20-.80
37 1.2.3 วิเคราะห์คา่ ความเช่ือม่ันของแบบทดสอบ ใชส้ ูตร KR – 20 (Kuder-Richardson) ประสาท เนืองเฉลมิ (2556, หนา้ 192) เมอื่ ������������������ ������ ������������������ ������������������ = (������ − 1) (1 − ������2 ) K ความเชื่อม่ันของแบบทดสอบ ������2 จำนวนข้อของแบบทดสอบ p ความแปรปรวนของคะแนนรวมทงั้ ฉบับ q สดั สว่ นของคนทำถกู แตล่ ะข้อ สัดสว่ นของคำทำผดิ แตล่ ะขอ้ (q = 1 – p) 2. การวิเคราะหข์ ้อมูลเพ่อื ตอบคำถามการวิจัย 2.1 หาค่าสถิติพน้ื ฐาน ได้แก่ ค่าเฉลี่ย (������̅) สว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐาน (S.D.) คา่ เฉลย่ี (������̅) ประสาท เนอื งเฉลิม (2556, หน้า 224) ������̅ = ������������ ������ เม่อื ������̅ คา่ เฉลีย่ ������������ ผลรวมของคะแนนทง้ั หมดในกลุ่ม N จำนวนคะแนนในกลุม่ คา่ เบย่ี งเบนมาตรฐาน (S.D.) ประสาท เนืองเฉลมิ (2556, หน้า 228) SD = √������������������2−(∑������)2 ������(������−1) เมอื่ SD สว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐาน X ค่าคะแนน n จำนวนคะแนนในแตล่ ะกลมุ่ ������ ผลรวม
38 2.2 เปรียบเทียบความแตกตา่ งระหว่างคะแนนกอ่ นเรียนและหลงั เรียนภายใน กลมุ่ โดยใชส้ ถติ ิ t-test แบบ dependent และหลังเรียนของกลุ่มที่ได้รบั การสอนแบบ ร่วมมอื โดยใชเ้ ทคนิค CIRC และแบบปกติโดยใชส้ ถิติ t-test แบบ independent t-test แบบ dependent t = ∑������ ������ ∑������ 2−(∑������)2 ������−1 สถิตทิ ดสอบ เมือ่ t D ผลต่างของคะแนนแตล่ ะคู่ ∑������ ผลรวมของผลตา่ งของคะแนนแต่ละคู่ N จำนวนคู่ของข้อมูล t-test แบบ independent t = x̅1− x̅2 ; df = (N1 + N2) − 2 √s2p(N11+ N12) ���������2��� = (N1−1)S21 +(N2−1)S22 N1+ N2−2 เมือ่ t คา่ สถติ จิ ะใช้เปรยี บเทยี บกับคำว่าวกิ ฤต และห้อง 3 x̅1, x̅2 ในการแจกแจงแบบ t เพอื่ ทราบความมนี ยั สำคัญ S12 , S22 คา่ เฉล่ียของคะแนนหลงั เรียนกลมุ่ ทเี่ รยี นดว้ ยวิธกี าร N1, N2 สอนแบบร่วมมอื โดยใช้เทคนคิ CIRC และคะแนน หลงั เรียนกล่มุ ที่เรยี นด้วยวิธีการสอนแบบปกติ ความแปรปรวนของกล่มุ ตัวอยา่ งชน้ั ประถมศกึ ษา ปีท่ี 6 หอ้ ง 2 และชั้นประถมศกึ ษาปที ี่ 6 หอ้ ง 3 จำนวนกลุ่มตัวอยา่ งชนั้ ประถมศึกษาปที ่ี 6 หอ้ ง 2
39 บทที่ 4 ผลการวิจยั การศึกษาอิสระ เร่ือง การเปรยี บเทียบความสามารถการอ่านจับใจความ สำคัญของนักเรยี นชั้นประถมศึกษาปที ่ี 6 โรงเรียนวัดเขียนเขต ระหวา่ งวิธีสอนแบบรว่ มมือ โดยใชเ้ ทคนิค CIRC และวธิ ีสอนแบบปกติ มีวตั ถปุ ระสงค์ ดังนี้ (1) เพอ่ื เปรยี บเทียบ ความสามารถการอ่านจับใจความสำคัญของนกั เรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรยี นวัดเขียน เขต ทไ่ี ด้รับการสอนด้วยวิธีสอนแบบรว่ มมือ โดยใช้เทคนิค CIRC และนักเรยี นทีไ่ ด้รับการสอน ด้วยวธิ ีสอนแบบปกติ (2) เพ่อื เปรยี บเทียบความสามารถการอา่ นจบั ใจความสำคัญของ นกั เรียนช้นั ประถมศกึ ษาปีท่ี 6 โรงเรียนวดั เขียนเขต กอ่ นเรยี นและหลงั เรียนของนักเรียนท่ี ไดร้ ับการสอนดว้ ยวิธสี อนแบบรว่ มมอื โดยใชเ้ ทคนิค CIRC (3) เพือ่ เปรยี บเทยี บความสามารถ การอ่านจบั ใจความสำคญั ของนกั เรียนชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี 6 โรงเรยี นวดั เขียนเขต กอ่ นเรยี น และหลังเรยี นของนกั เรียนทีไ่ ดร้ บั การสอนด้วยวิธีสอนแบบปกติ ผู้วิจัยเสนอผลการวเิ คราะห์ ตามลำดับ ดงั น้ี 4.1 การเปรียบเทยี บความสามารถการอ่านจับใจความสำคัญหลงั การสอนแบบ รว่ มมอื โดยใช้เทคนิค CIRC กับการสอนแบบปกติ ตารางที่ 4.1 ตารางแสดงผลการเปรียบเทยี บความสามารถทางการอ่านจบั ใจความสำคัญ หลงั การสอนแบบร่วมมอื โดยใชเ้ ทคนิค CIRC กบั การสอนแบบปกติ การสอน N ������̅ S.D. t Sig. การสอนแบบรว่ มมอื โดยใช้เทคนคิ CIRC 47 14.66 3.80 -3.996 .000* การสอนแบบปกติ 45 11.73 3.19 *p< .05 ตารางที่ 4.1 พบวา่ ความสามารถการอ่านจบั ใจความสำคญั ของนักเรยี นท่สี อนด้วย วิธีการสอนแบบร่วมมือ โดยใชเ้ ทคนิค CIRCและนกั เรยี นทีส่ อนดว้ ยวิธสี อนแบบปกติแตกต่าง กนั อย่างมนี ัยสำคัญทางสถิติทีร่ ะดบั .05 ซงึ่ นักเรียนท่ีสอนด้วยวิธีสอนแบบรว่ มมือ โดยใช้ เทคนิค CIRC มคี วามสามารถการอา่ นจับใจความสำคัญหลงั เรียนสูงกวา่ นกั เรียนทส่ี อนดว้ ย วธิ กี ารสอนแบบปกตสิ อดคล้องกบั สมมติฐานทก่ี ำหนด
40 4.2 ผลการเปรยี บเทียบความสามารถการอา่ นจบั ใจความสำคญั กอ่ นและหลงั การ สอนแบบร่วมมอื โดยใช้เทคนิค CIRC ตารางที่ 4.2 ตารางแสดงผลการเปรียบเทยี บความสามารถการอ่านจับใจความสำคัญกอ่ น และหลงั การสอนแบบร่วมมือ โดยใช้เทคนคิ CIRC การทดสอบ N ������̅ S.D. t Sig. ก่อนเรยี น 47 11.49 3.36 -7.310 .000* หลังเรียน 47 14.66 3.80 *p < .05 จากตารางท่ี 4.2 พบวา่ ความสามารถการอ่านจบั ใจความสำคญั ของนกั เรยี นท่ีสอน ด้วยวิธสี อนแบบรว่ มมอื โดยใชเ้ ทคนคิ CIRC มีความสามารถทางการเรียนก่อนและหลงั เรยี น แตกต่างอย่างมนี ัยสำคัญทางสถิตทิ ี่ระดับ .05 ซง่ึ มคี วามสามารถทางการเรยี นหลังเรียนสูงกวา่ ก่อนเรียนสอดคล้องกบั สมมตฐิ านทกี่ ำหนด 4.3 ผลการเปรียบเทียบความสามารถการอ่านจับใจความสำคญั กอ่ นและหลงั การ สอนแบบปกติ ตารางที่ 4.3 ตารางแสดงผลการเปรยี บเทยี บความสามารถการอ่านจับใจความสำคัญก่อน และหลงั การสอนแบบปกติ การทดสอบ N ������̅ S.D. t Sig. กอ่ นเรียน 45 8.53 3.25 -9.093 .000* หลังเรยี น 45 11.73 3.19 *p < .05 จากตารางท่ี 4.3 พบวา่ ความสามารถการอ่านจบั ใจความสำคญั ของนักเรยี นทส่ี อน ด้วยวิธสี อนแบบปกติมคี วามสามารถทางการเรยี นก่อนและหลังเรยี นแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ ทางสถติ ทิ ีร่ ะดบั .05 ซ่ึงมคี วามสามารถทางการเรยี นหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนสอดคล้องกบั สมมตฐิ านที่กำหนด
41 บทท่ี 5 สรปุ ผล อภิปรายผลการวิจัย และข้อเสนอแนะ การวจิ ยั ครั้งน้ี เปน็ การวิจัยกง่ึ ทดลอง (quasi experimental research) มีวัตถุประสงค์เพอ่ื เปรียบเทียบความสามารถการอ่านจบั ใจความสำคัญของนักเรยี น ชั้นประถมศกึ ษาปีที่ 6 โรงเรยี นวัดเขียนเขต ท่ีไดร้ บั การสอนด้วยวิธีสอนแบบร่วมมือ โดยใช้ เทคนิค CIRC และนักเรียนทีไ่ ดร้ บั การสอนดว้ ยวิธสี อนแบบปกติ ไดด้ งั น้ี วัตถุประสงคข์ องการวจิ ยั 1. เพอื่ เปรยี บเทยี บความสามารถการอ่านจับใจความสำคญั ของนกั เรยี นช้นั ประถมศกึ ษาปีท่ี 6 โรงเรียนวดั เขยี นเขต ที่ไดร้ ับการสอนด้วยวธิ ีสอนแบบรว่ มมือ โดยใช้ เทคนคิ CIRC และนักเรียนท่ีไดร้ ับการสอนดว้ ยวธิ ีสอนแบบปกติ 2. เพอ่ื เปรียบเทยี บความสามารถการอ่านจับใจความสำคัญของนักเรียนชน้ั ประถมศกึ ษาปที ี่ 6 โรงเรียนวัดเขียนเขต กอ่ นเรียนและหลงั เรียนของนักเรียนท่ไี ด้รบั การสอน ด้วยวธิ ีสอนแบบรว่ มมือ โดยใชเ้ ทคนคิ CIRC 3. เพ่ือเปรยี บเทียบความสามารถการอ่านจบั ใจความสำคัญของนกั เรียนชั้น ประถมศึกษาปีท่ี 6 โรงเรียนวัดเขียนเขต กอ่ นเรียนและหลงั เรียนของนกั เรียนที่ได้รบั การสอน ดว้ ยวิธสี อนแบบปกติ สมมติฐานของการวจิ ัย 1. นกั เรยี นทไ่ี ด้รับการสอนดว้ ยวิธสี อนแบบรว่ มมือ โดยใชเ้ ทคนิค CIRC มี ความสามารถการอ่านจบั ใจความสำคัญสูงกว่านักเรียนที่ได้รับการสอนดว้ ยวิธีสอนแบบปกติ อยา่ งมีนยั สำคัญทางสถิติทรี่ ะดบั .05 2. นักเรยี นทไี่ ด้รบั การสอนดว้ ยวิธสี อนแบบรว่ มมือ โดยใช้เทคนิค CIRC มี ความสามารถการอ่านจบั ใจความสำคัญหลังเรียนสูงกว่ากอ่ นเรียนอย่างมนี ัยสำคัญทางสถิติท่ี ระดบั .05
42 3. นกั เรยี นที่ได้รับการสอนดว้ ยวิธีสอนแบบปกติ มีความสามารถการอ่านจับใจความ สำคญั หลังเรียนสูงกว่ากอ่ นเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถติ ิทีร่ ะดับ .05 ขอบเขตของการวิจยั 1. ประชากรท่ใี ช้ในการวิจัยคร้ังน้ี ได้แก่ นกั เรยี นช้ันประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียน วัดเขียนเขต ภาคเรียนที่ 1 ปกี ารศกึ ษา 2563 จำนวน 6 หอ้ ง รวมนักเรยี นทง้ั หมด 258 คน 2. กลุ่มตวั อย่างทใ่ี ชใ้ นการวจิ ยั ครง้ั น้ี คือ นกั เรียนชนั้ ประถมศกึ ษาปีที่ 6 โรงเรียน วัดเขียนเขต ภาคเรียนท่ี 1 ปกี ารศกึ ษา 2563 รวมนักเรียนท้งั หมด 92 คน ผู้วิจัยได้คดั เลือกกลุม่ ตัวอย่างโดยคะแนนทดสอบการอ่าน ครั้งท่ี 1 ภาคเรยี นท่ี 1 ปกี ารศกึ ษา 2562 มาหาค่าเฉลี่ยขแงแต่ละห้อง โดยวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (one- way ANOVA) พบว่า นักเรียนท้ัง 6 ห้องมีผลคะแนนแตกตา่ งกัน จึงเลอื กคขู่ องค่าเฉลย่ี ท่ไี ม่ แตกตา่ งกันมา 1 คู่ โดยใช้วธิ ีการจบั สลาก จากนัน้ จบั สลากเลอื กนักเรียนจำนวน 2 หอ้ ง จากจำนวนนักเรียนท้ังหมด 3 ห้อง โดยนกั เรียนหอ้ งท่ี 1 สอนด้วยวิธสี อนแบบร่วมมือ โดยใชเ้ ทคนิค CIRC และนักเรียนห้องที่ 5 สอนด้วยวธิ สี อนแบบปกติ 3. ตวั แปรที่ใช้ในการศึกษา 3.1 ตัวแปรอสิ ระ (independent Variables) ไดแ้ ก่ การสอนแบบร่วมมอื โดยใช้เทคนิค CIRC และ การสอนแบบปกติ 3.2 ตวั แปรตาม (dependent Variables) ได้แก่ ความสามารถการอา่ นจับ ใจความสำคญั การดำเนินการทดลอง การดำเนินการวจิ ยั ผู้วจิ ยั ไดม้ กี ารดำเนินการวิจยั ดงั นี้ 1. นำแบบทดสอบวดั ความสามารถการอา่ นจับใจความสำคญั กอ่ นเรียนไปทดสอบกับ นักเรยี นทงั้ สองกลมุ่ คือ กลุม่ ทดลองทีเ่ รยี นดว้ ยวธิ กี ารสอนแบบร่วมมอื โดยเทคนคิ CIRC และกลุ่มควบคมุ ทีเ่ รยี นด้วยวิธกี ารสอนแบบปกติ ใช้เวลาในการทดสอบ 1 ช่ัวโมง
43 2. ดำเนินการตามแผนการจดั การเรียนรู้ คอื กล่มุ ทดลอง เรียนด้วยวธิ กี ารสอนแบบ รว่ มมอื โดยใชเ้ ทคนิค CIRC และกลุ่มควบคุม เรยี นด้วยวิธกี ารสอนแบบปกติ ใช้เวลาในการ ทดลอง 2 สปั ดาห์ แบง่ ออกเปน็ 3 แผน แผนละ 2 ชั่วโมง รวมเป็น 6 ชั่วโมง 3. นำแบบทดสอบวดั ความสามารถการอ่านจับใจความสำคัญหลังเรยี นไปทดสอบกบั นักเรียนทั้งสองกลุ่ม คอื กล่มุ ทดลองทเ่ี รียนด้วยวธิ ีการเรียนแบบรว่ มมือ โดยใชเ้ ทคนคิ CIRC และกลุม่ ควบคุมที่เรยี นดว้ ยวิธีการสอนแบบปกติ ใชเ้ วลาในการทดสอบ 1 ช่ัวโมง 4. นำข้อมลู ท่ีไดจ้ ากแบบทดสอบวดั ความสามารถการอ่านจับใจความสำคญั กอ่ นเรียน และหลังเรยี นไปวิเคราะห์ทางสถติ ิ สรปุ ผลการวิจัย ผลการวิจัยเร่อื ง การเปรียบเทยี บความสามารถการอา่ นจบั ใจความสำคญั ของนักเรียน ชั้นประถมศกึ ษาปที ่ี 6 โรงเรียนวัดเขยี นเขต ระหว่างวิธสี อนแบบรว่ มมือ โดยใชเ้ ทคนิค CIRC กบั วธิ ีสอนแบบปกติ พบว่า 1. ความสามารถการอ่านจับใจความสำคญั ของนกั เรียนชัน้ ประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรยี นวดั เขียนเขต ระหว่างวิธสี อนแบบร่วมมือ โดยใช้เทคนคิ CIRC พบว่า แตกตา่ งอยา่ งมี นยั สำคญั ทางสถติ ทิ ี่ระดับ .05 2. ความสามารถการอ่านจับใจความสำคญั กอ่ นและหลงั เรยี นของนกั เรยี นชั้น ประถมศึกษาปีท่ี 6 โรงเรียนวดั เขียนเขต ทส่ี อนด้วยวธิ ีการสอนแบบร่วมมือ โดยใช้เทคนิค CIRC พบว่า คะแนนหลังเรียนสูงขึ้นกวา่ กอ่ นเรียนอยา่ งมีนยั สำคัญทางสถติ ทิ ่รี ะดับ .05 3. ความสามารถการอ่านจับใจความสำคญั ของนักเรียนชน้ั ประถมศกึ ษาปีท่ี 6 โรงเรียนวดั เขียนเขต ท่ีสอนด้วยวิธกี ารสอนแบบปกติ พบวา่ คะแนนหลงั เรยี นสงู กวา่ ก่อน เรียนอย่างมนี ยั สำคัญทางสถติ ิท่รี ะดบั .05 อภปิ รายผล ผวู้ จิ ัยอภิปรายผลจากข้อค้นพบในการวิจัยครัง้ นี้ ตอ่ ไปนี้ 1. ความสามารถการอ่านจับใจความสำคญั ของนักเรียนชน้ั ประถมศกึ ษาปที ่ี 6 โรงเรียนวัดเขียนเขต โดยใช้วิธีการสอนแบบร่วมมอื โดยใชเ้ ทคนคิ CIRC กบั วธิ ีสอนแบบปกติ
44 แตกตา่ งกันอย่างมีนยั สำคัญทางสถิติที่ระดบั .05 ซึ่งยอมรับสมมตฐิ านการวิจัยข้อ 1 ทก่ี ำหนด ไว้ 2. ความสามารถการอ่านจับใจความสำคญั ของนกั เรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนวัดเขียนเขต ทไ่ี ดร้ ับการสอนแบบร่วมมือ โดยใชเ้ ทคนิค CIRC มหี ลงั เรียนสูงกว่ากอ่ น เรียนอย่างมนี ัยสำคัญทางสถิตทิ ่ีระดบั .05 ซง่ึ ยอมรับสมมติฐานขอ้ ท่ี 2 ที่กำหนดไว้ 3. ความสามารการอ่านจับใจความสำคัญชองนักเรียนชน้ั ประถมศึกษาปที ่ี 6 โรงเรียน วัดเขียนเจต ท่ไี ด้รับการสอนแบบปกติ มีหลังเรียนสูงกว่ากอ่ นเรียนอย่างมนี ัยสำคัญทางสถิติที่ ระดบั .05 ซึง่ ยอมรับสมมติฐานขอ้ ท่ี 3 ที่กำหนดไว้ ขอ้ เสนอแนะ ขอ้ เสนอแนะในการนำผลการวจิ ัยไปใช้ 1. ข้อเสนอแนะวิธีสอนแบบร่วมมอื โดยใช้เทคนคิ CIRC 1.1 ครคู วรมีการอธิบายข้ันตอนการเรียนการสอนใหน้ กั เรยี นเข้ากอ่ น การจัดกจิ กรรมการเรยี นการสอน เพอ่ื สร้างความเข้าใจระหวา่ งครแู ละนักเรยี น 1.2 การสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ ครูควรสร้างบรรยากาศของการ เรยี นการสอนทเี่ ปน็ กนั เอง ส่งเสรมิ ให้นักเรียนแสดงความคดิ เห็นเชิงพิพากษ์อย่างมีเหตผุ ล 1.3 ควรมกี ารศกึ ษาผลการจดั การเรียนรูแ้ บบร่วมมือ โดยใช้เทคนิค CIRC เพอื่ เปรียบเทียบการเรียนเน้อื หาอน่ื เช่น การอา่ นอยา่ งมวี ิจารณ์ การอา่ นเชงิ วิเคราะห์ เปน็ ตน้ 1.4 ควรมกี ารศึกษาตวั แปรตามอื่นที่เป็นผลมาจากการจดั การเรยี นรู้ แบบรว่ มมอื โดยใชเ้ ทคนิค CIRC เช่น ความสามารถในความคิดสรา้ งสรรค์ ความสามารถใน การวเิ คราะหบ์ ทอ่าน ความสามารถการวจิ ารณ์อย่างมเี หตุผล เป็นต้น
45 บรรณานกุ รม กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. (2551). หลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขัน้ พ้นื ฐาน พุทธศกั ราช 2551. กรงุ เทพมหานคร: โรงพมิ พ์ชุมนมุ สหกรณก์ ารเกษตรแห่งประเทศไทย. กระทรวงศึกษาธิการ. (2552). สร้างเดก็ ไทยให้อ่านเก่ง อา่ นเร็ว. กรงุ เทพมหานคร: โรงพิมพ์ สกสค. ลาดพร้าว. ขวญั เรือน โพธวิ์ ิเชยี ร.์ (2537). ผลการเรียนแบบรว่ มมอื โดยใช้โปรแกรม ซี ไอ อาร์ ซี ที่มตี อ่ ความสามารถในการอ่านเขา้ ใจภาษาไทยของนกั เรียนระดับชนั้ ประถมศกึ ษา. วทิ ยานิพนธ์ครุ ศาสตรมหาบัณฑติ : จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลยั . ขัณธช์ ยั อธิเกียรต.ิ (2562). การจดั กิจกรรมการเรียนการสอนวิชาภาษาไทย. กรงุ เทพมหานคร: สำนกั พิมพม์ หาวทิ ยาลยั รามคำแหง. จไุ รรตั น์ และวีรวัฒน์ อินทรพร ลักษณะศิริ. (2558). ภาษาไทยเพอ่ื การสื่อสาร (พมิ พ์คร้ังท่ี 2). นครปฐม: โรงพมิ พ์มหาวิทยาลยั ศลิ ปากร. ณฏั ฐภรณ์ หลาวทอง. (2561). การสร้ างเครอื่ งมอื การวิจยั ทางการศึกษา (พิมพ์ครัง้ ท่ี 2). กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพแ์ ห่งจุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลัย. ทศั นยี ์ ศภุ เมธ.ี (2542). การสอนภาษาไทย. กรุงเทพมหานคร: สถาบนั ราชภฏั ธนบุร.ี ทิพย์สุเนตร สนัมบุตร. (2560). การอ่านเพอื่ การวิเคราะห.์ กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์ มหาวทิ ยาลัยรามคำแหง. ทศิ นา แขมมณ.ี (2558). ศาสตรก์ ารสอน : องคค์ วามรู้เพื่อการจัดกระบวนการเรียนร้ทู ่ีมี ประสิทธภิ าพ (พิมพค์ รั้งท่ี 19). กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพแ์ ห่งจฬุ าลงกรณ์ มหาวทิ ยาลัย. ธนู ทดแทนคุณและกลุ วดี ทดแทนคุณ. (2549). ภาษาไทย 1 (พมิ พค์ รง้ั ท่ี 2). กรงุ เทพมหานคร: โอ.เอส.พร้ินต้ิง เฮ้าส์.
46 บญุ มี พนั ธุไ์ ทย. (2559). ระเบยี บวธิ วี ิจัยการศกึ ษาเบื้องตน้ . กรงุ เทพมหานคร: สำนกั พมิ พ์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง. บญุ เลี้ยง ทมุ ทอง. (2556). ทฤษฎแี ละการพฒั นารปู แบบการจดั การเรยี นรู้. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพเ์ อส.พริ้นติ้ง ไทย แฟคตอรี่ 63. เบญจภัคค์ เจรญิ มหาวิทย์. (2560). การอ่านเพอื่ การวอเคราะห์. กรุงเทพมหานคร: สำนกั พมิ พม์ หาวิทยาลัยรามคำแหง. ประสาท เนอื งเฉลิม. (2556). วจิ ยั การเรียนการสอน (พิมพค์ รั้งท่ี 2). กรงุ เทพมหานคร: ศนู ย์ หนงั สือจฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลัย. พิชิต ฤทธจิ์ รญู . (2548). หลักการวดั และประเมนิ ผลการศกึ ษา (พมิ พ์ครั้งที่ 3). กรุงเทพมหานคร: เฮ้าส์ ออฟ เคอรม์ สี ท์. พิชิต ฤทธจ์ิ รญู . (2557). ปฏิบตั ิการวจิ ยั ในชน้ั เรยี น : ครูทุกคนทำไดไ้ ม่ยาก (พิมพ์ครง้ั ท่ี 11). กรงุ เทพมหานคร: ศนู ยห์ นังสือจฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั . มหาวิทยาลยั ราชภฏั สวนสุนนั ทา. (2549). ศิลปะการใช้ภาษาไทย (พิมพค์ ร้งั ท่ี 2). กรุงเทพมหานคร: สำนกั พิมพ์พฒั นาศกึ ษา. มหาวิทยาลัยสุโขทยั ธรรมาธริ าช. (2554). เอกสารการสอนชดุ วชิ าการอ่านภาษาไทย (พมิ พ์ ครัง้ ท่ี 8). นนทบุรี: ศูนย์หนงั สอื มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธริ าช. วรรณี โสมประยรู . (2553). การสอนภาษาไทย. กรุงเทพมหานคร: บริษัท ยูแพดอนิ เตอร์ จำกดั . วัชรา เลา่ เรียนดีและคณะ. (2560). กลยุทธก์ ารจัดการเรยี นรเู้ ชิงรุก เพ่ือพฒั นาการคดิ และ ยกระดบั คุณภาพการศกึ ษา สำหรับศตวรรษท่ี 21 (พมิ พค์ รงั้ ท่ี 12). นครปฐม: บรษิ ทั เพชรเกษมพรน้ิ ติ้ง กรุป๊ จำกัด. สวิทย์ มูลคำและอรทยั มูลคำ. (2550). 19 วิธีการจัดการเรยี นรู้ : เพือ่ พฒั นาความรูแ้ ละ ทักษะ (พิมพค์ ร้ังท่ี 6). กรุงเทพมหานคร: หา้ งหนุ้ ส่วนจำกดั ภาพพิมพ.์
47 สนั ทนา สธุ าดารัตน.์ (2561). คู่มอื การจัดทำ ดษุ ฎนี พิ นธ์ วทิ ยานิพนธ์ สารนิพนธ์ และการ คน้ ควา้ อสิ ระ (พมิ พ์คร้งั ที่ 3). กรงุ เทพมหานคร: สำนักพิมพม์ หาวิทยาลัยรามคำแหง. สำนกั คณะกรรมการการประถมศกึ ษาแหง่ ชาต.ิ (ม.ป.ป.). แนวการจดั กิจกรรมการอ่านจับ ใจความ ระดบั ประถมศึกษา. กรงุ เทพมหานคร: โรงพมิ พ์การศาสนา. อดุลย์ ไทรเล็กทิม. (2561). งานวิจยั สำหรบั ครูภาษาไทย. กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์ มหาวทิ ยาลยั รามคำแหง.
48 ภาคผนวก
49 การตรวจสอบคุณภาพของเคร่ืองมือ
Search