สภุ าภรณ์ ทาศริ ิ กิติศกั ด์ิ สุขวโรดม สุชาวดี ไทยสุชาติ ปรารถนา สขุ เณร อารดา ขลบิ แย้ม ประภสั สร ถกู ต้อง
รายงานเรื่องจุดประสงค์การเรียนรู้กับการวัดและการประเมินผล เป็นเอกสาร เพ่ือประกอบการเรียนในรายวิชา TTH 6225 วิธีวัดและประเมินผลการเรียนการสอนภาษาไทย ของนกั ศกึ ษาหลักสูตรศกึ ษาศาสตรมหาบัณฑติ สาขาการสอนภาษาไทย มหาวิยาลยั รามคาแหง เน้ือหาเก่ียวกับจุดประสงค์การเรียนรู้กับการวัดและประเมินผลตามแนวปฏิบัติการวัด และประเมินผลการเรียนรู้ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 ที่สามารถนามาใช้ในการวัดและประเมินผลการเรียนการสอนภาษาไทย โดยยึดเอาแนวคิดทฤษฎี ท่ีเก่ียวข้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัย ทักษะพิสัย และจิตพิสัยมาเป็นหลักเกณฑ์ ในการวัดและประเมนิ ผลในเกดิ ประสทิ ธิภาพมากยง่ิ ข้นึ ผู้จัดทามีความมุ่งมั่นตั้งใจและหวังเป็นอย่างยิ่งว่ารายงานเรื่องจุดประสงค์การเรียนรู้ กับการวัดและการประเมินผล จะเป็นประโยชน์แก่บุคคลท่ีสนใจและสามารถนาความรู้ไปปรับใช้ กบั การวดั และการประเมนิ ผลไดอ้ ยา่ งเหมาะสมตามหลักสตู ร คณะผูจ้ ัดทา
เรื่อง หน้า แนวปฏิบัตกิ ารวัดและประเมินผลการเรยี นรู้ตามหลกั สูตร 1 จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ 2 พฤติกรรมทางการศึกษา 5 6 พฤติกรรมดา้ นพทุ ธิพิสยั 6 พฤติกรรมดา้ นพทุ ธิพิสัยตามแนวคดิ ของบลูม 23 30 พฤติกรรมดา้ นพุทธพิ ิสยั ตามแนวคดิ ของ Anderson and Krathwohl 39 41 พฤติกรรมด้านจิตพสิ ัย 44 พฤติกรรมดา้ นทักษะพิสัย 45 ความสมั พันธ์ระหว่างพฤติกรรมด้านพทุ ธิพิสัย จติ พสิ ัย ทักษะพสิ ัย ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งพฤติกรรมการเรยี นรูก้ บั การประเมนิ ผล บรรณานุกรม
1 จุดประสงค์การเรยี นรูก้ บั การวัดและการประเมินผล 1. แนวปฏิบตั กิ ารวดั และประเมินผลการเรียนรู้ ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขัน้ พนื้ ฐาน พุทธศักราช 2551 สานักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขน้ั พนื้ ฐานกระทรวงศกึ ษาธิการ ได้กาหนดแนวปฏิบัติการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ ในหัวข้อหลักการดาเนินการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ องค์ประกอบของการวัดและประเมินผล การเรยี นรู้ และการรายงานผลการเรยี นรู้ ดังรายละเอยี ดต่อไปนี้ หลกั การดาเนินการวดั และประเมินผลการเรียนรตู้ ามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาขัน้ พืน้ ฐาน พทุ ธศักราช 2551 การวัดผลและการประเมินผลการเรียนรู้ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐานพุทธศักราช 2551 เป็นกระบวนการเก็บรวบรวมตรวจสอบผลการเรียนรแู้ ละพัฒนาด้านต่าง ๆ ของผู้เรียนตามมาตรฐานการเรียนรู้ / ตัวช้ีวัดของหลักสูตร นาผลไปปรับปรุงพัฒนาการจัดการเรียนรู้และใช้เป็นข้อมูลสาหรับการตัดสินผลการเรียน สถานศึกษาตอ้ งมกี ระบวนการจัดการที่เป็นระบบเพ่ือให้การดาเนินการวัดและประเมนิ ผลการเรียนรูเ้ ป็นไปอย่างมี คุณภาพและประสิทธิภาพและให้ผลการประเมินท่ีตรงตามความรู้ความสามารถที่แท้จริงของผู้เรียน ถูกต้องตาม หลักการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ รวมทั้งสามารถรับรองการประเมินภายในและการประเมินภายนอกตาม ระบบประกันคุณภาพการศึกษาได้ สถานศึกษาจึงควรกาหนดหลักการวัดและประเมินผลการเรียนรู้เพ่ือเป็น แนวทางในการตัดสินใจเกย่ี วกบั การวัดและประเมินผลการเรยี นร้ตู ามหลักสตู รสถานศกึ ษาดังนี้ 1. สถานศึกษาเป็นผู้รับผิดชอบการวัดและการประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียนโดยเปิดโอกาสให้ผู้ท่ี เกี่ยวขอ้ งมสี ่วนร่วม 2. การวดั และการประเมินผลการเรียนรูม้ จี ุดม่งุ หมายเพ่ือพัฒนาผเู้ รยี นและตดั สนิ ผลการเรียน 3. การวดั และการประเมนิ ผลการเรียนรู้ต้องสอดคล้องและครอบคลุมมาตรฐานการเรยี นรู้/ ตัวชี้วดั ตาม กลุ่มสาระการเรียนรู้ท่ีกาหนดในหลักสูตรสถานศึกษาและจัดให้มีการประเมินการอ่านคิดวิเคราะห์และเขียน คณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์ตลอดจนกจิ กรรมพฒั นาผู้เรียน 4. วัดและการประเมินผลการเรียนรู้เป็นส่วนหน่ึงของกระบวนการจัดการเรียนการสอนต้องดาเนินการ ด้วยเทคนิควิธีการที่หลากหลายเพื่อให้สามารถวัดและประเมินผลผู้เรียนได้อย่างรอบด้านทั้งความรู้ความคิด กระบวนการพฤติกรรมและเจตคตเิ หมาะสาหรบั สง่ิ ที่ต้องการวัดธรรมชาติวชิ าและระดับช้ันของผเู้ รยี นโดยตงั้ อยบู่ น พ้นื ฐานของความเทย่ี งตรงยุตธิ รรมและเชอ่ื ถอื ได้
2 5. ประเมินผู้เรียนพิจารณาจากพัฒนาการของผู้เรียนความประพฤติการสังเกตพฤติกรรมการเรียนรู้ การร่วมกิจกรรมและการทดสอบ ควบคู่ไปในกระบวนการเรียนการสอนตามความเหมาะสมของแต่ละระดับและ รปู แบบการศึกษา 6. เปิดโอกาสให้ผู้เรยี นและผู้มีสว่ นเกี่ยวขอ้ งตรวจสอบผลการประเมนิ ผลการเรยี นรู้ 7. ให้มกี ารเทยี บโอนผลการเรยี นระหว่างสถานศึกษาและระหวา่ งรปู แบบการศึกษาตา่ ง ๆ 8. ให้สถานศกึ ษาจัดทาเอกสารหลักฐานการศึกษาเพอ่ื เป็นหลกั ฐานการประเมินผลการเรยี นรรู้ ายงานผล การเรยี นแสดงวฒุ ิการศึกษาและรับรองผลการเรยี นของผ้เู รยี น องค์ประกอบของการวดั และการประเมนิ ผลการเรยี นร้ตู ามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษา ขั้นพ้นื ฐานพทุ ธศกั ราช 2551 หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐานพุทธศักราช 2551 กาหนดจุดหมาย สมรรถนะสาคัญของผู้เรียน คุณลักษณะอันพึงประสงค์ และมาตรฐานการเรียนรู้เป็นเป้าหมายและกรอบทิศทางในการพัฒนาผู้เรียนให้เป็น คนดี มีปัญญา มีคณุ ภาพชีวิตท่ีดี และมีขดี ความสามารถในการแขง่ ขนั ในเวทีระดับโลก กาหนดใหผ้ ู้เรียนได้เรยี นรู้ ตามมาตรฐานการเรียนรู้/ตัวช้ีวัดที่กาหนดในสาระการเรียนรู้ 8 กลุ่มสาระ มีความสามารถด้านการอ่าน คิด วเิ คราะห์ และเขยี นมคี ณุ ลักษณะอนั พึงประสงคแ์ ละเข้าร่วมกิจกรรมพฒั นาผู้เรยี น 2. จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ จุดประสงค์การเรียนรู้ คือ ข้อความที่ระบุคุณลักษณะการเรียนรู้และความสามารถที่ครูต้องการให้ เกิดขนึ้ กับนกั เรยี น หลังจากทีไ่ ดผ้ ่านกิจกรรมการเรียนการสอนในเร่อื งนั้นๆ แล้ว จุดประสงคก์ ารเรียนรมู้ ีหลายระดับ ดงั นี้ 1. ระดบั ความม่งุ หมายของการศึกษาของชาติ 2. ระดบั การศึกษาแต่ละระดับ (ระดับหลักสูตร) 3. ระดบั กลุ่มวชิ า หมวดวิชา หรือกลมุ่ สาระการเรียนรู้ 4. ระดับรายวชิ า 5. ระดับการเรยี นรู้ 6. ระดบั เชิงพฤติกรรม ในการเรียนการสอนแต่ละครั้งครูจะต้องกาหนดจุดประสงค์ในการสอนให้สอดคล้องกับจุดมุ่งหมายของ หลกั สูตรและรายวิชาซึ่งปัจจุบันน้ีนักการศึกษามีความเห็นวา่ จุดมุ่งหมายของหลักสูตรและรายวชิ านั้นกว้างเกินไป เป็นนามธรรมเข้าใจยากและตีความหมายไมต่ รงกันจึงมีการคดิ หาวิธีการเขียนจุดประสงคเ์ สียใหมด่ ้วยภาษาที่เขา้ ใจ งา่ ยมคี วามชัดเจนและเขา้ ใจตรงกัน เรียกวา่ จุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม
3 2.1 ความหมายและลักษณะของจุดประสงคเ์ ชงิ พฤติกรรม จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม (Behavior Objective) หมายถึง จุดประสงค์ในการสอนท่ีบอกพฤติกรรม คาดหวังของผู้เรียนในรูปของพฤติกรรมที่สังเกตและวัดได้หรือเป็นจุดประสงค์ที่ผู้สอนต้องการให้ผู้เรียนสามารถ ทาอะไรได้บ้าง ภายใต้เงื่อนไขอย่างไร และต้องทาได้มากน้อยเพียงใด จึงจะถือว่าการเรียนการสอนน้ันได้บรรลุ เปา้ หมายทต่ี อ้ งการ โดยพฤตกิ รรมทแ่ี สดงออกของนักเรียนจะต้องเป็นพฤตกิ รรมทส่ี งั เกตและวัดได้ 2.2 ลกั ษณะของจดุ ประสงคเ์ ชงิ พฤตกิ รรมทส่ี มบรู ณจ์ ะประกอบไปด้วยองค์ประกอบ 3 ส่วน 1. พฤติกรมท่ีคาดหวังหมายถึงพฤติกรรมท่ีต้องกาวให้ผู้เรียนได้แสดงออก เพื่อให้เห็นว่าผู้เรียนเกิด การเรียนรู้ที่แท้จริงหลังจกการรู้ในแต่ละบทไปแล้ว การเขียนพฤติกรรมที่คาดหวังต้องใช้คากริยาท่ีบอกถึง พฤติกรรมซ่ึงมีความหมายเฉพาะชัดเจนไม่กากวมสังเกตและวัดได้โดยตรง เช่น บอก เปรียบเทียบ อริมาย สาธิต ให้เหตุผล สร้าง เปน็ ตน้ ตวั อยา่ งของการเขยี นพฤตกิ รรมทค่ี าดหวัง เชน่ ...ผู้เรยี นสามารถจาแนกประเภทของอาหารได้... ..ผู้เรียนสามารถระบุสนิ คออกท่ีสาคญั ของไทยได้.. ...ผ้เู รยี นสามารถเปรยี บเทยี บความแตกต่างของพืชใบเลี้ยงเด่ียวกับใบเล้ียงคู่ได้.. ฯลฯ ในการเขียนจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมจะไม่เขียนคากริยาเพียงลาพังเพราะจะทาให้ความหมายไม่ชัดเจน ว่าผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามต้องการหรือยัง จึงต้องเขียนข้อความเกี่ยวข้องกับเนื้อหาด้วย เช่น ในการเรียน เร่ือง ใบของพืช จุดประสงค์ที่ต้องการคือผู้เรียนสามารถเปรียบเทียบความแตกต่างของพืชใบเลี้ยงเด่ียวกับใบเล้ียงคู่ หากจะเขียนวา่ \"ผ้เู รยี นสามารถเปรียบเทยี บได้\" ยอ่ มไมช่ ัดเจน 2. สถานการณห์ มายถึงสง่ิ เรา้ หรือสถานการณ์หรอื เงอื่ นไขที่ใชเ้ ปน็ เครื่องกระตนุ้ ให้ผเู้ รยี นแสดง พฤติกรรมที่คาดหวังออกมาในลักษณะของข้อมูล แบบฝึกหัด ส่อื โจทย์ รายการ เป็นต้น ตัวอยา่ งของการเขียนสถานการณ์ เชน่ เมอ่ื กาหนดชอ่ื ของพชื มาให้ 10 ชนิด... เม่อื กาหนดบทความมาให้ 1 เร่อื ง... เมอื่ กาหนดสมการมาให้ 10 ขอ... ฯลฯ
4 3. เกณฑ์ หมายถงึ ระดับของพฤติกรมที่คาดหวงั ท่จี ะยอมรับไดว้ ่าผู้เรียนมพี ฤตกิ รรมนน้ั จรงิ หรอื สามารถทาสิง่ น้ันไดจ้ ริงมิใช่ทาโดยความบงั เอิญการกาหนดเกณฑ์เปน็ การกาหนดขนั้ ต่าสุดของกาปฏิบตั ทิ ่จี ะ ยอมรบั ได้ ซึ่งอาจกาหนดจากเวลาที่ให้ปฏิบัตปิ ริมาณ หรือคุณภาพขงพฤตกิ รมท่ีแสดงอก โดยทวั่ ไปครูควรเป็น ผู้กาหนดเกณฑข์ ึ้นมาเอง ตัวอย่างของการเขยี นเกณฑ์ เช่น ... ทาไดถ้ กู ตอ้ ง 7 ข้อใน 10 ข้อ ... ทาเสรจ็ ภายใน 10 นาที ...เขียนชอ่ื คาศัพท์เก่ยี วกับอวยั วะได้อย่างนอ้ ย 10 คา ฯลฯ ตวั อย่างของจุดประสงคเ์ ชงิ พฤติกรรมท่ีมอี งคป์ ระกอบท้ัง 3 ส่วน เช่น - เมอ่ื กาหนดคาราชาศัพทม์ าใหผ้ เู้ รยี นสามารถบอกความหมายของคาเหลา่ นัน้ ไดถ้ ูกตอ้ งอย่างน้อย ร้อยละ 70 ของจานวนคาทงั้ หมด - เมื่อกาหนดจานวนเต็มทีม่ ีแค่ไม่เกิน 4 หลักมาให้สองจานวนผูเ้ รยี นสามารถคานวณหาผลรวม ของจานวนท้งั สองได้อย่างถูกต้อง - เมือ่ กาหนดโคลงให้ บทผู้เรียนสามารถถอดความได้ถูกต้อง - เมื่อกาหนดมุมให้ มุมผ้เู รียนสามารถแบ่งครึ่งมุมโดยวิธพี บั มมุ กระดาษและวิธวี ัดขนาดของมุมได้ถูกต้อง ภายในเวลา 5 นาที ฯลฯ จากตัวอย่างของจดุ ประสงค์เชิงพฤตกิ รรมดังกล่าวจะใช้ได้เหมาะสมกับการเรียนรทู้ ี่ไม่สลับซับซ้อน ซ่ึงสามารถแยกแยะจุดประสงค์ออกเป็นจุดประสงค์ย่อยๆ ได้แต่การเรียนรู้บางอย่างที่สลับซับซ้อนการกาหนด จุดประสงค์เชิงพฤติกรรมทาได้ค่อนข้างยาก จึงได้มีการเขียนจุดประสงค์ในลักษณะท่ีมีองค์ประกอบไม่ครบทั้ง 3 ส่วนแต่องค์ประกอบสาคัญท่ีขาดไม่ได้คือพฤติกรรมที่คาดหวังการเขียนในลักษณะเช่นนี้เป็นการเขียน จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ 2.3 ประโยชน์ของจดุ ประสงค์เชิงพฤติกรรม จดุ ประสงค์เชิงพฤติกรรมเปน็ การจาแนกรายละเอยี ดของจุดประสงค์การเรยี นการสอนท่ีละเอียด และเปน็ รูปธรรมเพ่ือสะดวกในการนาไปใชอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพ จงึ อาจจาแนกประโยชน์ของจุดประสงค์เชิง พฤติกรรมได้ดังน้ี (ปราณี ไวดาบ 2558 : 53) 1. เป็นแนวทางในการสร้างหลักสูตร โดยผู้สร้างหลักสูตรจะสร้างจุดประสงค์ทั่วไปและจุดประสงค์ เชิงพฤติกรรมท่ีเหมาะสมกับวิชาและผู้เรียนจะช่วยในกากาหนดและประเมินจุดประสงค์ท่ัวไป กาหนดเน้ือหา และคัดเลอื กจดุ ประสงค์เชิงพฤติกรรมที่เหมาะสมกับวชิ าและผูเ้ รยี น
5 2. เป็นแนวทางในการสร้างวัสดุประกอบหลักสูตรเช่นตาราแบบเรียนคู่มือครูแผนการสอนว่าควร มีลักษณะอย่างไรเนื้อหาเพียงใดมีวิธีการนาเสนออย่างไร รวมทั้งเป็นแนวทางในการสร้างอุปกรณ์วัสดุเอกสาร ประกอบกาสอนอน่ื ๆ เช่นบทเวียนแบบโปรแกรมแบบทดสอบ แบบฝกึ หัด เป็นต้น 3. เป็นแนวทางในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน แนวการสอนว่าควรจัดกิจกรรมอย่างไร เพื่อให้บรรลุจุดประสงค์ที่กาหนดไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะช่วยพัฒนาการเรียนการสอนให้มีการพัฒนาสมรรถภาพ ระดบั สูงไดด้ ขี ึ้น เพราะการตงั้ จดุ ประสงคท์ ี่ชัดเจนจะชว่ ยให้เหน็ แนวทางในการจดั กิจกรรมการเรยี นการสอน 4. เป็นแนวทางการเรียนของผู้เรียนในการเรียนรู้เรื่องใดถ้าผู้ปกครองและผู้เรียนได้ทราบ จุดประสงค์เชิงพฤติกรรมแล้ว ย่อมจะทาให้ผู้เรียนปรับปรุงตัวเองไปตามทิศทางและระดับความมุ่งหวัง ของหลักสตู รได้ดีกวา่ ไมร่ ้จู ุดประสงค์ 5. เป็นแนวทางในการประเมินผลการเรียนการสอนจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมที่เขียนไว้อย่าง สมบูรณ์ย่อมจะต้องบอกสถานการณ์เพื่อการประเมินผลไว้ด้วย ช่วยให้ข้อสอบที่สร้างข้ึนนั้นครอบคลุมและ ตรงตามจุดประสงค์ได้ดกี ว่าไม่ร้จู ดุ ประสงค์ 6. เป็นแนวทางในการปรบั ปรุงการเรยี นการสอนอย่ตู ลอดเวลา เน่อื งจากผลการวัดในข้อท่ี 5 ทชี่ ่วยใหร้ ผู้ ลของการเรยี นกาสอน จะช่วยให้ไดข้ ้อมลู ย้อนกลับมาปรบั ปรงุ ระบบการสอนวา่ จุดประสงคท์ ีต่ งั้ ไว้ดี แลว้ หรือยงั จะต้องปรับปรุงการเรียนการสอน 3. พฤตกิ รรมทางการศึกษา พฤติกรรมทางการศึกษา (educational behavior) เป็นคุณลักษณะที่พึงประสงค์จะให้เกิดขึ้นกับผู้เรียนตาม ข้ันตอนของกระบวนการเรียนการสอนอันประกอบด้วยความรู้ความสามารถ ทักษะ และลักษณะนิสัยต่างๆ ดว้ ยเหตุน้ีในกาวจัดการเรียนการสอนจึงต้องพัฒนาผูเ้ รียนให้มีคณุ ลักษณะที่พึงประสงค์และจะต้องมีการตรวจสอบ ผลดว้ ย การทค่ี รจู ะตรวจสอบคุณลักษณะหรอื พฤติกรรมพึงประสงค์ของผู้เรียนนัน้ ครจู ะต้องมีความรู้ความเขา้ ใจ เกย่ี วกบั พฤติกรรมทางกาศึกษา และความสมั พันธร์ ะหว่างพฤตกิ รรมทางการศึกษากับการประเมินผล พฤติกรรทางการศึกษาทนี่ ิยมใช้อยใู่ นปัจจุบันเป็นของบลมู และคณะ (Bloom and Other) การจดั การศึกษาโดยทวั่ ไปมจี ุดประสงคเ์ พ่ือ พัฒนาผูเ้ รียนให้เกดิ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม 3 ดา้ น คือ พทุ ธพิ สิ ัย (Cognitive Domain) จติ พสิ ยั (Affective domain) และทักษะพสิ ัย (Psycho-motor Domain) 3.1 พฤตกิ รรมด้านพทุ ธิพิสัย 3.1.1 การจาแนกการเรียนรูต้ ามแนวคิดของบลมู (The taxonomy of educational objectives)
6 บลูม, เอนเกลฮาร์ท, เฟริสท์, ฮิลล์ และ แครทโวทล์ (Bloom, Engelhart, Furst, Hill, & Krathwohl) ได้นาเสนอการจาแนกจุดมุ่งหมายทางการศึกษา (The Classification of educational Objectives) โดยตีพิมพ์ เป็ น ห นั งสือใน ปี ค .ศ . 1956 ชื่อ ว่า “Taxonomy of Educational Objectives : The Classification of Educational Goals. Handbook I : Cognitive Domain” ซึ่งถือว่าเป็นจุดเร่ิมต้น ของการจาแนก (Original taxonomy) โดยด้านพุทธิพิสัย (Cognitive domain) ซึ่งเป็นการวัดความรู้ หรือ การกระทาท่ีเกี่ยวกับ กระบวนการทางสมอง เช่น สติปัญญา (Intellectual) การเรียนรู้ (Learning) และ การแก้ปัญหา (Problem solving) (Hopkins and Antes, 1990 : 539) บลูม (Bloom, 1956) กาหนดพุทธิพิสัย (Cognitive domain) ออกเป็น 6 กลุ่ม (Categories) คือ ความรู้ ความจา (Knowledge) ความเข้าใจ (Comprehension) การนาไปใช้ (Application) การวิเคราะห์ (Analysis) การสังเคราะห์ (Synthesis) และ การประเมินค่า (Evaluation) และใน แต่ละกลุ่ม หรือ แต่ละด้านก็จะมีด้านย่อย ๆ ด้วย โดยเรียงจากระดับ วัดความรู้ท่ีไม่ซับซ้อน ซึ่งเป็นระดับล่างสุด ไปจนถึงระดับทซ่ี บั ซอ้ นท่ีตอ้ งใช้ความรูห้ ลายอยา่ ง พฤติกรรมด้านพุทธพิสัย เป็นพฤติกรรมด้านความสามารถทางสติปัญญาของบุคคล ซึ่งมีการจาแนก ความสามารถออกเป็น 6 ระดบั จากความสามารถขัน้ ต่าไปสูง ได้แก่ 1) ความรู้-ความจา 2) ความเข้าใจ 3) ความรู้ รวบยอดในเนอื้ เรอ่ื ง 4) การวเิ คราะห์ 5) การสังเคราะห์ และ 6) การประเมินผล 1. ความรคู้ วามจา (Knowledge) คือความสามารถในการระลึกได้ถึงเรื่องราวตา่ งๆทเ่ี คยมปี ระสบการณ์ มาก่อนจะโดยวิธีใดก็ตาม เช่น จากการเรียนรู้ในห้องเรียน ฟังวิทยุ ดูโทรทัศน์ อ่านหนังสือพิมพ์ การบอกเล่าต่อๆ กันมา เปน็ ตน้ พฤตกิ รรมดา้ นความรู้ความจาน้ียังจาแนกไดอ้ ีก 3ลกั ษณะใหญ่ๆ คอื 1) ความรูเฉพาะเรือ่ ง 2) ความร้ใู นวธิ ีดาเนินการ และ 3) ความรรู้ วบยอดในเนอื้ เรือ่ ง 1.1 ความรู้เฉพาะเรื่อง (Knowledge of specifics) เป็นความรู้เก่ียวกับศัพท์และนิยาม และ ความรเู้ ก่ียวกบั กฎและความจรงิ เฉพาะเรือ่ ง 1.11 ความรู้เก่ียวกับศัพท์และนิยาม (Knowledge of terminology) หมายถึงความรู้เกี่ยวกับ ความหมายของคาต่างๆ ชื่อ สัญลักษณ์ที่ใช้เฉพาะเร่ืองใดเรื่องหนึ่ง ทั้งที่เป็นตัวอักษรและไม่ใช่ตัวอักษร รวมท้ัง สญั ลกั ษณ์ท่ีเป็นที่ยอมรับกันท่ัวไป และการให้คานิยามความหมายของคา เช่น การให้คาจากัดความของเครื่องมือ เครือ่ งใช้ ศัพท์เทคนคิ เปน็ ตน้ ตวั อยา่ ง: บอกความหมายของเครอ่ื งหมายจราจรได้ บอกความหมายของคาวา่ “กตญั ญ”ู ได้ ใหน้ ิยามศัพทท์ างคณติ ศาสตร์ ฯลฯ
7 1.12 ความรู้เกี่ยวกบั กฎและความจริงเฉพาะเรอื่ ง (Knowledge of specific facts) เป็นความรู้ เกี่ยวกับกฎเกณฑ์ท่ีกาหนดขนึ้ และความเปน็ จริงที่ปรากฏตามเนื้อเรอื่ ง ไดแ้ ก่ เหตุการณ์ วัน เวลา สถานท่ี บุคคล จานวน ขนาด วัตถปุ ระสงค์ ประโยชน์ โทษ ฯลฯ ตวั อย่าง: สามารถเล่าเรอ่ื งทไ่ี ด้ฟงั มาได้ โดยบอกวา่ ใคร ทาอะไร ทไ่ี หน เม่ือไหร่ อย่างไร สามารถบอกประโยชน์ของผกั ชนดิ ต่างๆ ได้ สามารถบอกสาเหตทุ ไ่ี ทยเสยี กรุงศรีคร้งั ที่ 2 ใหแ้ กพ่ ม่าตามที่เรียนรู้มาได้ 1.2 ความรู้ใน วิธีการดาเนิ น การ (Knowledge of ways and means of dealing with specifics) ได้แก่ 1) ความรู้เกี่ยวกับระเบียบแบบแผน 2) ความรู้เกี่ยวกับแนวโน้มและลาดับขั้น 3) ความรู้ เกยี่ วกบั การจาแนกประเภท 4) ความรเู้ รือ่ งเกณฑ์ และ 5) ความรูเ้ ก่ียวกบั ระเบยี บวิธี 1.21 ความรู้เกี่ยวกับระเบียบแบบแผน (Knowledge of conventions) หมายถึงความรู้ เกี่ยวกับระเบียบแบบแผน แบบอยา่ ง หรือธรรมเนยี ม ประเพณีนิยมทป่ี ฏิบัตกิ นั มาจนเปน็ ท่ียอมรับของคน ท่ัวไป ตวั อย่าง: บอกลักษณะการแตง่ กายทถ่ี ูกตอ้ งตามประเพณีนยิ มได้ บอกแผนผงั กลอนแปดได้ บออกกฎและระเบยี บของสถานศึกษาได้ ฯลฯ 1.22 ความรู้เก่ียวกับแนวโน้มลาดับข้ัน (Knowledge of trends and sequence) หมายถึง ความรู้เกี่ยวกับลาดับการเกิดก่อนหลังของเรื่องราวหรือเหตุการณ์ต่างๆ ตลอดจนมองเห็นแนวโน้มท่ีเกิดขึ้นใน อนาคตจากการพจิ ารณาเหตุการณ์ และความจรงิ ท่เี กดิ ขนึ้ ในอดตี และปจั จุบัน ตวั อยา่ ง: บอกวา่ การพยาบาลคนตกนา้ ควรทาอยา่ งไรก่อนหลัง บอกไดว้ ่าแนวโนม้ ของโรคทเ่ี กิดกับคนในกรุงเทพฯ คอื โรคอะไร บอกไดว้ า่ การบวก ลบ คูณ หาร เลขโจทย์ระคนทาอะไรกอ่ นหลงั ตามลาลบั ฯลฯ
8 1.23 ความรู้เกี่ยวกับการจาแนกประเภท (Knowledge of classification and categories) เป็นความรู้เก่ียวกับการจัดหมวดหมู่ ประเภท ชนิดของเหตุการณ์ คา ข้อความ คน สัตว์ พืช สิ่งของ วัน เวลา สถานท่ี หรือข้อปญั หาต่างๆ โดยยึดลกั ษณะร่วมที่มีอยู่ ตัวอยา่ ง: การจาแนกหมวดหมู่ของสัตว์ อาจจาแนกตามที่อยู่อาศัย เช่น แมว หมู สุนัข เป็นสัตว์บก ปลา กุ้ง หอย เป็นสัตว์น้า หรือ จาแนกตามประโยชน์ เช่น ช้าง ม้า วัว ควาย เป็นสัตว์เลี้ยงไว้ใช้งาน ปลา นก เป็นสัตว์เลี้ยงไว้ดู เล่น การจัดประเภทของอาหาร โดยจาแนกโดยคุณค่าของอาหาร เช่น มะละกอ ฟักทอง ผักบุ้ง ให้วิตามินเอ ขา้ ว เผือก มัน ให้คาร์โบไฮเดรท หรอื จาแนกผลไม้ตามรสชาติ เช่น ส้ม มะเฟือง มะไฟ เป็นผลไม้รสเปรี้ยว ทุเรียน ลาไย องุน่ เงาะ เป็นผลไม้รสหวาน การจัดหมวดหมู่ของวันตามเหตุการณ์ วันเข้าพรรษา วันอาสาฬหบูชา วันมาฆบูชา เป็นวันสาคัญทาง ศาสนา วนั สงกรานต์ วนั เฉลิมพระชนมพรรษา วนั จกั รี เปน็ วัน นักขตั ฤกษ์ ฯลฯ 1.24 ความรู้เร่ืองเกณฑ์ (Knowledge of criteria) หมายถึงความรู้เกี่ยวกับเกณฑ์ท่ีใช้ใน การตรวจสอบ วินิจฉยั เปรียบเทียบหรือตดั สนิ ขอ้ เทจ็ จริงตา่ งๆ โดยไม่ถึงขั้นการตัดสินหรือสรปุ ตวั อยา่ ง: บอกได้ว่าอะไรเป็นเคร่ืองชีว้ ่าคนน้นั มีสขุ ภาพพลานามัยสมบรู ณ์หรือไม่ บอกได้ว่าอะไรเปน็ เครือ่ งช้ีว่าสารนน้ั เป็นกรดหรอื ดา่ ง บอกไดว้ ่าอะไรเปน็ เกณฑต์ ดั สินว่าใครเปน็ คนดีหรือเลว ฯลฯ 1.25 ความรู้เก่ียวกับระเบียบวิธี (Knowledge of methodology) เป็นความรู้เก่ียวกับ ความสามารถในการบอกเทคนิควิธี ข้ันตอนท่ีใช้ในการปฏิบัติงานนั้นๆ ได้ ในขั้นนี้ยังไม่ถึงข้ันลงมือปฏิบัติหรือ นาไปใช้ได้ เปน็ แต่เพยี งร้วู ิธปี ฏบิ ตั เิ ท่าน้นั ตัวอยา่ ง: บอกวธิ ีการแก้ปัญหาโจทย์คณติ ศาสตรไ์ ด้ บอกวธิ กี ารปฐมพยาบาลคนเป็นลมได้ บอกวิธีการเตรียมดินปลูกผกั ได้ ฯลฯ
9 1.3 ความรู้รวบยอดในเน้ือเร่ือง (Knowledge of the universal and abstractions in a field) เป็นความรู้เกยี่ วกบั 1) หลกั วชิ าและการขยายหลกั วิชา และ 2) ความรู้เกี่ยวกบั ทฤษฎีและโครงสรา้ ง 1.31 ความรู้เก่ี ยวกับ ห ลักวิช าและการขยายห ลักวิช า (Knowledge of principles and generalizations) เป็นความสามารถในการบอกหัวใจสาคัญหรอื หลักของเร่ืองน้ันๆ และนาหลักการน้ันไปสัมพันธ์ กบั เรือ่ งอื่นได้ ตวั อยา่ ง: บอกสาเหตสุ าคัญท่ีไทยเสียกรุงคร้งั ท่ี 2 ให้แกพ่ มา่ ได้ บอกไดว้ ่าผู้แทนราษฎรของแตล่ ะจงั หวัดขึ้นอย่กู บั อะไร ฯลฯ 1.3.2 ค วาม รู้เก่ี ยวกั บ ท ฤษ ฎี แล ะโค รงสร้าง (Knowledge of theories and structures) เป็นความสามารถระลึกถึงทฤษฎีและหลักวิชาต่างๆ ที่มีการพิสูจน์แล้ว และนามาสัมพันธ์กัน สรุปเป็นเนื้อความ ใหญเ่ ดยี วกนั ได้ ตวั อย่าง: สามารถสรปุ คาสอนในพระพทุ ธศาสนาท่ีได้เรยี นรู้มาได้ บอกคณุ สมบตั ริ ่วมของสีเ่ หล่ียมด้านเทา่ ส่ีเหลย่ี มขนมเปียกปนู และส่ีเหลยี่ มจตั ุรสั ได้ ฯลฯ 2. ความเข้าใจ (Comprehension) ความสามารถต้ังแต่ข้ันนถี้ ึงขัน้ ประเมินผล ถือว่าเปน็ ความสามารถ ขั้นสติปัญญา ซึ่งเป็นผลจากการเอาความรู้จากประสบการณ์ในขั้นความรู้ ความจามาผสมผสานจนกลาย เป็นสมรรถภาพสมองชนิดใหม่ (ชวาล แพรัตกุล, 2520:133) ความเข้าใจ หมายถึงความสามารถในการผสมผสานความรู้ความจา แล้วขยายความคิดออกไปอย่าง สมเหตุสมผล ความเขา้ ใจมี 3 ลกั ษณะ ได้แก่ 1) การแปลความ 2) การตีความหมาย และ 3) การขยายความ 2.1 การแปลความ (Translation) เป็นความสามารถในการสื่อความหมายจากภาษาหน่ึงหรือ แบบฟอร์มหนึง่ ไปสู่ภาษาหนึง่ หรอื อกี แบบฟอรม์ หนึง่ อาจแปลไดห้ ลายลักษณะดังนี้ 1) แปลจากภาษายากไปงา่ ย หรือจากภาษาง่ายไปยาก 2) แปลจากภาษาเทคนคิ เปน็ ภาษาสามญั หรือภาษาสามัญเป็นภาษาเทคนิค 3) แปลภาษาพดู เป็นภาษาเขียน หรอื จากภาษาเขียนเปน็ ภาษาพูด 4) แปลจากพฤติกรรม รูปภาพ ทา่ ทาง เป็นข้อความ หรอื จากข้อความเป็นพฤติกรรม รปู ภาพ และท่าทาง ตัวอย่าง: แปลประโยคภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทย
10 แปลความหมายกราฟ แปลความหมายสานวนหรอื พังเพย ฯลฯ 2.2 การตีความ (Interpretation) เปน็ การเอาผลจากการแปลความหลายๆ สงิ่ มาผสมผสาน เรยี บเรยี งเป็นความคิดใหม่อย่างมีความหมาย ตัวอย่าง: อา่ นเรือ่ งแล้วตีความหมายของคตทิ ี่แฝงอยู่ในเนื้อเร่ืองได้ อ่านเน้อื เรื่องแลว้ หาจุดมุ่งหมายของผู้แต่ได้ ฯลฯ 2.3 การขยายความ (Extrapolation) เป็นการขยายแนวความคิดให้กว้างไกลไปจากข้อมูลเดิม อย่างสมเหตุสมผล ซึ่งต้องอาศัยท้ังการแปลความและตีความประกอบกัน จึงจะสามารถขยายความหมาย ของเรอ่ื งราวนั้นได้ ตัวอยา่ ง: อา่ นเร่ืองทีแ่ ตง่ ไม่จบแลว้ สามารถขยายความคิดได้ว่าตอนจบนา่ จะเป็นอย่างไร สมมุติสถานการณ์ขึ้นแล้วให้คาดคะเนคาตอบท่ีจะเกิดข้ึน เช่น “ถ้าโลกอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์ มากขน้ึ จะมีความเปลยี่ นแปลอะไรเกิดขนึ้ กับโลก” คาดคะเนเรอ่ื งราวทเ่ี กดิ ขึ้นก่อนเหตกุ ารณ์นไ้ี ด้ ผูกเร่ืองสนทนาโดยให้ได้ยินผพู้ ูดฝ่ายเดยี ว แล้วใหค้ าดคะเนข้อความทอี่ ีกฝา่ ยหนึ่งสนทนา ฯลฯ 3. การนาไปใช้ (Application) เป็นความสามารถนาความรู้ความเข้าใจในเร่ืองที่เรียนรู้มาแล้วไป แก้ปัญหาที่แปลกใหม่ หรือสถานการณ์ใหม่ที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน แต่อาจใกล้เคียงหรือคล้ายคลึงกับเรื่องเคยพบ เหน็ มาก่อนได้ ตัวอยา่ ง: กาหนดสถานการณ์หรือเหตุการณ์ที่เป็นปัญหาใหม่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน สามารถแก้ปัญหาได้ โดยใช้ความร้ทู เ่ี รยี นมาแล้วมาแก้ปัญหา ซึ่งอาจมีการพลิกแพลงบ้าง กาหนดโจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ใหม่ที่ไม่เคยเรียนมาก่อน สามารถแก้โจทย์ได้โดยใช้แนวการ แกป้ ญั หาจากตัวอย่างทเ่ี คยเรียนมาในหอ้ งเรียน ฯลฯ
11 4. การวิเคราะห์ (Analysis) เป็นความสามารถแยกแยะเร่ืองราวส่ิงต่างๆ ออกเป็นส่วนย่อยๆ ได้ ทาให้ สามารถมองเห็นความสัมพันธ์กันได้อย่างชัดเจน สามารถค้นหาความจริงต่างๆ ท่ีซ่อนแฝงอยู่ในเนื้อเร่ืองนั้นๆ ได้ การวิเคราะห์มี 3 ลักษณะ ได้แก่ 1) วิเคราะห์ความสาคัญ 2) การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ และ 3) วิเคราะห์ หลกั การ 4.1 การวิเคราะห์ความสาคัญ (Analysis of elements) เป็นความสามารถในการแยกแยะ องค์ประกอบย่อยท่ีรวมอยู่ในเรื่องราวน้ันๆเพ่ือช้ีให้เห็นถึงมูลเหตุต้นกาเนิด สาเหตุ ผลลัพธ์ และประเด็นสาคัญ ของเร่ืองราวต่างๆ ตวั อยา่ ง: สามารถแยกแยะได้วา่ สาเหตขุ องนา้ ทว่ มกรงุ เทพฯ ซึง่ มีหลายสาเหตุ สาเหตุใดสาคญั ท่ีสดุ อ่านเรอื่ งราวแลว้ สามารถบอกไดว้ ่า หัวใจสาคญั ของเร่ืองนั้นคอื อะไร ตวั ละครใดมีลกั ษณะเด่นอย่างไร ฯลฯ 4.2 วิเคราะหค์ วามสัมพันธ์ ( Analysis of relationship ) เป็นการพิจารณาหาความสัมพันธ์ระหว่างองประกอบย่อยที่รวมกันอยู่ในเร่ืองราวนั้นๆ ว่า มีความสัมพันธ์เกี่ยวพันกันในลักษณะใด อาจเหมือนกันหรือต่างกัน คล้อยตามกันหรือขัดกัน เก่ียวข้องกันหรือไม่ เกีย่ วข้องกนั อะไรเปน็ เหตผุ ลนน้ั หรืออะไรเป็นเหตุของผลนั้น เปน็ ตน้ ตวั อย่าง: สามมารถบอกได้ว่าข้อความทอี่ า่ นน้ีตอนใดเปน็ เหตุตอนใดเปน็ ผล โจทย์สมการทเี่ พ่ิมคา่ คงทีเ่ ข้าไปขา้ งใดขา้ งหน่งึ แลว้ คา่ ของอกี ขา้ งหน่งึ จะเปน็ อย่างไร ฯลฯ 4.3 การวิเคราะห์หลักการ (Analysis of organizational principles) เป็นความสามารถในการ ค้นหาว่า การที่โครงสร้างและระบบของวัตถุ ส่ิงของ เรื่องราวและการกระทาต่างๆ รวมกันอยู่ในสภาพเช่นนั้นได้ เพราะยดึ หลักหรือแกนอะไรเป็นสาคญั ตวั อยา่ ง: อ่านข้อความ เรื่องราวแล้วบอกได้ว่าข้อความหรือเรื่องราวนั้น เป็นการเขียนในลักษณะ ใด (เป็นบทความ สารคดี นิยาย นทิ าน ประชาสมั พันธ์ ฯลฯ) บอกได้ว่าเหตุใดปจั จบุ นั นกี้ ารขายสินค้าจงึ นยิ มการมขี องแจก แถม หรือสง่ ช้ินส่วนไป ฯลฯ 5. การสังเคราะห์ ( Synthesis ) เป็นการนาองค์ประกอบยอ่ ยๆ ต่างๆ ตง้ั แต่ 2 สิ่งขึ้นไปมารวมเข้าเป็น เรื่องราวเดียวกัน เพื่อให้เห็นโครงสร้างท่ีชัดเจน แปลก ใหม่ไปจากเดิม มีลักษณะคล้ายความคิดสร้างสรรค์ ซ่ึง
12 กอ่ ให้เกดิ ผลลัพธท์ ่ีแปลกใหม่ มคี ุณค่าและเป็นประโยชน์ การสังเคราะหม์ ี 3 ประเภท ได้แก่ 1) สังเคราะหข์ อ้ ความ 2) สังเคราะหแ์ ผนงาน 3) สงั เคราะหค์ วามสมั พันธ์ 5.1 การสังเคราะห์ขอ้ ความ (Production of unique communication) เป็นความสามารถในการผสมผสานความรู้และประสบการณต์ ่างๆ ทาใหเ้ กิดเป็นข้อความหรอื ผลิตผลใหมข่ ้นึ อาจสงั เคราะหไ์ ด้โดยการพู เขียน หรือสงั เคราะห์รูปภาพก็ได้ ตัวอยา่ ง: สามารถแต่งขอ้ ความเปน็ เร่อื งราว นทิ าน คากลอน เพลง ได้โดยไม่ลอกเลยี นใคร สามารถวาดภาพโดยอาศัยแบบอยา่ งประกอบกับจินตนาการของตนเอง ฯลฯ 5.2 การสังเคราะห์แผนงาน (Production of plan, or proposed set of operation) เป็นความสามารถในการกาหนดแนวทาง วางแผน เขียนโครงการต่างๆ ล่วงหน้าข้ึนมาใหม่ ให้สอดคล้อง กบั ขอ้ มลู และจดุ ม่งุ หมายที่วางไว้ ตวั อยา่ ง: วางแผนกิจกรรมในโอกาสตา่ งๆได้ เขียนโครงงานวทิ ยาศาสตร์ได้ วางแผนตรวจสอบน้ายาในขวดซึ่งไม่ทราบว่าเปน็ อะไรได้ โดยไมใ่ หเ้ กิดอนั ตราย ฯลฯ 5.3 การสังเคราะห์ความสัมพันธ์ (Derivation of set of abstract relation) เป็นความสามารถใน การนาเอาความสาคญั และหลักการตา่ งๆ มาผสมผสานให้เปน็ เรอ่ื งเดยี วกัน ทาใหเ้ กดิ เป็นสง่ิ สาเร็จรูปหน่วยใหมท่ ่ีมี ความสัมพันธ์แปลกไปจากเดิม เกิดเป็นเรื่องราวใหม่ และแนวคิดใหม่ที่มีประสิทธิภาพ และผิดไปจากเรื่องย่อๆ ของเดมิ ตวั อย่าง: สามารถตงั้ สมมุตฐิ านเกย่ี วกับปญั หาที่มสี าเหตแุ ละผลของเหตุการณ์ทเี่ กดิ ขึ้นได้ เม่ือกาหนดข้อเท็จจริงหรือเง่ือนไขของเร่ืองราวให้2-3ประการ แล้วสมมุติสถานการณ์อ่ืนๆ ทเ่ี กิดข้นึ สามารถวนิ จิ ฉัยหาข้อสรปุ หรอื ขอ้ ยตุ ิของเรอ่ื งนั้นในแง่มุมตา่ งๆได้ ฯลฯ 6. การประเมินค่า (Evaluation) เป็นความสามารถในการตัดสินเก่ียวกับคุณค่าของเนื้อหาและวิธีการ ต่างๆ โดยสรุปอย่างมีหลักเกณฑ์ว่า เหมาะสม มีคุณค่า ดี-เลว เพียงไร การประเมินค่าต้องอาศัยเกณฑ์
13 ประกอบการตดั สินใจ ซ่ึงมี 2 ลักษณะ ไดแ้ ก่ 1) การตัดสินโดยอาศยั ข้อเท็จจริงหรือเกณฑ์ภายในเนื้อเรือ่ ง และ 2) การตัดสนิ โดยอาศยั เกณฑภ์ ายนอก 6.1 การตัดสนิ ใจโดนอาศัยขอ้ เท็จจริงหรือเกณฑ์ภายในเนอ้ื เรื่อง (judgment in term of internal evidence) เปน็ การประเมนิ หรอื ตดั สินโดยยึดความถกู ต้องตามเนอ้ื เร่อื ง เน้ือหานั้นๆ หรือตามขอ้ มลู ทีป่ รากฏอยู่ ตัวอย่าง: อ่านเนอ้ื หาในเร่ืองแลว้ สามารถตดั สินไดว้ ่าตวั ละครใดเป็นคนดี เลว ตามเนื้อเรือ่ งทป่ี รากฏนนั้ ยกตัวอย่างพฤติกรรมของเด็ก แล้วตัดสินได้ว่าเป็นการกระทาที่ถูกต้องหรือไม่ตามระเบียบของ โรงเรียน ฯลฯ 6.2 การตัดสินโดยใช้เกณฑ์ภายนอก ( Judgment in terms of external criteria ) เป็นการ ตัดสินโดยใช้เกณฑ์ที่ไม่ได้ปรากฏตามเนื้อเรื่องน้ันๆ แต่ใช้เกณฑ์ท่ีกาหนดข้ึนมาใหม่ ซ่ึงอาจเป็นเกณฑ์ตามเหตุผล ทางตรรกศาสตร์ การยอมรบั ของสังคม สภาพความเป็นจริงความยตุ ธิ รรม เปน็ ตน้ ตัวอย่าง: การตัดสินคุณค่าของวรรณคดบี างเรือ่ งตามสภาพสังคมปัจจุบนั ว่าเหมาะหรือไมเ่ หมาะสาหรับใช้ เรียนในยคุ ปจั จบุ ัน การตัดสินพฤติกรรมของเด็กวัยรุ่น โดยใช้เกณฑ์วัฒนธรรมไทยว่าเหมาะสมหรือไม่เหมาะสม ซงึ่ อาจแตกต่างจากการตดั สินโดยใช้เกณฑต์ ามหลักจิตวิทยาวยั ร่นุ
14 แผนผังการจาแนกพฤติกรรมด้านพุทธิพิสยั ( Cognitive Domain ) 1.1.1 ศัพทแ์ ละนยิ าม 1.1 ความร้เู ฉพาะเรื่อง 1.1.2 กฎและความจริง 1. ความรู้ความจา 1.2 ความรู้ในวิธดี าเนินการ 1.2.1 ระเบยี บแบบแผน 1.2.2 แนวโน้มและลาดบั ขน้ั 1.2.3 จาแนกประเภท 1.2.4 เกณฑ์ 1.2.5 ระเบยี บวิธี 1.3 ความรู้รวบยอดในเนอ้ื เรอ่ื ง 1.3.1 หลกั วิชาและการขยาย หลกั วชิ า 2.1 การแปลความ 2.2 การตคี วาม 1.3.2 ทฤษฎแี ละโครงสร้าง 2.3 การขยายความ 2. ความเขา้ ใจ 3. การนาไปใช้ 4. การวิเคราะห์ 4.1 วเิ คราะหค์ วามสาคัญ 5. การสงั เคราะห์ 4.2 วิเคราะหค์ วามสัมพันธ์ 4.3 การวิเคราะหห์ ลกั การ 5.1 สงั เคราะหข์ ้อความ 5.2 สงั เคราะห์แผนงาน 5.3 สังเคราะห์ความสมั พันธ์ 6. การประเมนิ ผล 6.1 ตัดสินโดยอาศัยเกณฑ์ภายในเนือ้ เร่อื ง 6.2 ตัดสนิ โดยอาศยั เกณฑ์ภายนอก ภาพที่ 1 แผนผงั การจาแนกพฤติกรรมด้านพทุ ธพิ ิสัย
15 พฤตกิ รรมและลกั ษณะการแสดงออก ในการจัดการเรยี นการสอน ครจู ะตอ้ งรู้วา่ จะสอนใหเ้ กิดพฤติกรรมอะไรและทส่ี าคญั ครจู ะต้องรู้วา่ จะวดั พฤติกรรมนนั้ ได้อยา่ งไรโดยเฉพาะพฤติกรรมของผู้เรยี นทปี่ รากฏในจุดประสงค์เชงิ พฤตกิ รรม เป็นสิง่ ท่ีครูจะตอ้ ง วัดออกมาให้ได้ ดังนนั้ จึงขอเสนอลักษณะหารแสดงออกของพฤติกรรมคนตา่ งๆ เพื่อเปน็ แนวทางในการนาไปใช้ เขียนจุดประสงค์เชงิ พฤติกรรมและการประเมินผลการเรยี น ดงั นี้ ตารางที่ 1 พฤติกรรม การแสดงออก และเน้อื หาของพฤติกรรมดา้ นพุทธพิ ิสยั พฤติกรรม การแสดงออก เน้อื หา 1.0 ความรู้-ความจา ศัพท์ คาศัพท์เฉพาะ ความหมาย นิยาม คาแปล ตวั อยา่ ง 1.10 ความรู้ในเรื่อง ชือ่ วนั เวลา แหล่งที่มา เหตุการณ์ บุคคล สถานที่ คุณสมบัติ ตัวอย่าง ปรากฏการณ์ สูตร ความจริง เฉพาะ บอก บง่ ช้ี บรรยาย เลือก ความสาคัญ เนื้อเรื่อง ขนาด จานวน วัตถุประสงค์ สาเหตุและผลประโยชน์ คุณ โทษ สทิ ธิ หนา้ ที่ 1 .1 1 ศั พ ท์ แ ล ะ นยิ าม บอก บ่งชี้ บรรยาย 1.12กฎและความ จริง บอก บ่งช้ี บรรยาย เลือก รูปแบบฟอร์ม ระเบียบแบบแผน กฎเกณฑ์การใช้ เคร่ืองมือแบบสัญลักษณ์ ธรรมเนียม ประเพณี 1.20 ความรู้ในวิธีการ วัฒนธรรม ลาดับขนั้ แนวโน้ม การพฒั นา ดาเนนิ การ บอก บรรยาย บ่งช้ี ความต่อเน่ือง สาเหตุ ความสัมพันธ์ อิทธิพล ชนิด ประเภท พวก แบบ แขนง ชุด สาขา 1.21 ร้รู ะเบียบ บอก บ่งช้ี เลือก ลักษณะ เกณฑ์ คุณสมบัติเฉพาะตัว ตัวตัดสิน วธิ กี าร เทคนคิ กระบวนการ แบบแผน บอก บ่งชี้ เลอื ก บรรยาย บอก บง่ ชี้
16 พฤตกิ รรม การแสดงออก เนื้อหา 1 .2 2 รู้ล าดั บ ขั้ น หลักการ ขอ้ สรุปทว่ั ไป คณุ สมบตั ิร่วม และแนวโน้ม บอก บ่งช้ี บรรยาย 1 .2 3 รู้ ก า ร จั ด ทฤษฎี รากฐาน ความสัมพันธ์ภายในโครงสร้าง ประเภท บอก บ่งช้ี บรรยาย องคป์ ระกอบ 1.24 รู้เกณฑ์ 1.25 รู้วิธีการ คา ข้อความ ภาพ สัญลักษณ์ ข้อมูล แผนที่ แปล เป ล่ียนรูป ใช้ภ าษ าตัวเอง ตาราง กราฟ พฤติกรรม พฤติการณ์ การทดลอง ยกตัวอยา่ งเปรยี บเทียบถอดความ คติพจน์ สุภาษติ คาพังเพย 1.30 ความรู้รวบยอดใน เร่อื งราว ความสาคัญ จดุ สาคัญของเรื่อง ทศั นใหม่ เนอ้ื เร่อื ง ข้อสรุป วธิ ีการทฤษฎี ความหมายรวบยอด 1.31 รหู้ ลักวิชาและ ตีความหมาย บอกจัดลาดับ จัดเรียง ผลที่ตามมา ข้อสรุป องค์ประกอบผล ความน่าจะ การขยายหลกั วชิ า ใหม่ สรุป ย่อ อธิบาย แสดงให้เห็น เป็น ความหมาย 1.32 รู้ทฤษฎี และ จาแนก โครงสร้าง กะประมาณ พยากรณ์ อ้างสรุป ขยาย หลักการ กฎเกณ ฑ์ ข้อสรุป วิธีการ ทฤษฎี จาแนก ลงสรุป กาหนด อธิบาย กระบวนการ สถานการณ์ ปรากฏการณ์ ความ 2.00 ความเข้าใจ สมมตุ ิ คาดคะเน สอดคลอ้ ง ขอบเขต หลักวิชา การปฏิบัติ เหตุผล 2.10 แปลความ บ อ ก ใช้ ค า น ว ณ เลื อ ก ส ร้ า ง แก้ปัญ หา ผลิต แสดง ป รับ ปรุง ชนิด สิ่งสาคัญ ต้นตอ สาเหตุ ผล ข้อสรุป โครงสร้างใหม่ เปล่ยี นแปลง อธิบาย วัตถุประสงค์ สมมุติฐาน เลศนัย องค์ประกอบ 2.20 ตคี วาม ความสมั พันธ์ ความสอดคลอ้ ง ขัดแย้ง ระดับความสัมพันธ์ชนิดความสัมพันธ์ (เหตุผลสนับสนุนขัดแย้ง ตัวอย่าง-หลักการ) 2.30 ขยายความ บ่ง จาแนก สกัด ค้นหา แยกแยะ องค์ประกอบ เลือก โครงสร้าง หลักการ กระสวน ทัศนะ เค้าโครง การเรยี งลาดับ
17 พฤตกิ รรม การแสดงออก เน้อื หา 3.00 การนาไปใช้ บ่ง จาแนก ค้นหา บอกความแตกต่าง คล้ายคลึง โครงสรา้ ง กระสวน การกระทา บอก ค้นหา แยกแยะ สกดั ลงสรุป แผนแบบ ขอ้ ความ สิง่ ส่ือสารตา่ งๆ เขียน บอก สร้าง แก้ไข รวบรวม แผนงาน จุดประสงค์ รายละเอียด เค้าโครง วิธี 4.00 การวิเคราะห์ ประกอบ ขยาย รเิ ริ่ม ปฏบิ ตั ิ แนวทางการแก้ปญั หา 4.10วิ เ ค ร า ะ ห์ ผลติ วางโครงการ เสนอ สร้าง ความสัมพันธ์ ข้อยุติ ข้อสรุป สมมุติฐาน วิธีการ ความสาคญั ทฤษฎี ความคิดรวบยอด ปรากฏการณก์ ลุม่ เขียน บอก สร้าง แก้ไข รวบรวม ประกอบ ขยาย รเิ ริ่ม ความถกู ตอ้ ง ความผดิ พลาด ข้อบกพร่อง ความ ผลิ ต วางโค รงก าร เส น อ สร้าง เช่ือถอื ได้ ความเที่ยงตรงครบถว้ น ความเหมาะสม 4.20วิ เ ค ร า ะ ห์ ออกแบบ ปรับปรุง ความสมเหตสุ มผล ความสัมพนั ธ์ ผลิต สร้างขึ้น พัฒนา ผสมผสาน ความถูกต้อง ผิดพลาด ทางเลือก ประโยชน์ ขยาย อนุมาน จาแนกพวก ค้นหา จัด ทฤษฎี ขอ้ สรุป เรอื่ งราว เหตกุ ารณ์ ประสิทธิภาพ อา้ งถึง ตอ่ เตมิ เสรมิ แต่ง พิสูจน์ 4.30 วิเคราะห์หลกั การ ตัดสิน ประเมิน โต้แย้ง ตัดสินใจ บ่ง ค ว า ม ส อ ด ค ล้ อ ง บ่ ง เห ตุ ผ ล เปรยี บเทียบ บ่งเกณฑ์ 5.00 การสังเคราะห์ 5.10 ข้อความ ตั ด สิ น ชี้ ข าด โต้ แ ย้ง พิ จ ารณ า เปรียบเทียบ ประเมนิ 5.20 แผนงาน 5.30 ความสัมพนั ธ์ 6.00 ประเมนิ ค่า 6.10ใช้เกณฑ์ภายใน 6.20 ใช้เกณฑ์ภายนอก
18 3.1.2 การวดั ดา้ นพุทธพิ สิ ัยแบบใหม่ ในชว่ งปี ค.ศ. 1990 - 1999 แอนเดอรส์ นั (Anderson) และ แครทโวทล์ (Krathwohl) ซึง่ เป็น บคุ คลที่อยู่ในคณะของบลมู ด้วย ได้มกี ารปรบั ปรุงจดุ ม่งุ หมายทางการศึกษาด้านพทุ ธิพสิ ัย ของบลมู (Revised Bloom's Taxonomy) (Anderson and Krathwohl., 2001, Wilson, Leslie 0., 2013, Davis R. Krathwohl, 2002) ดังนี้ ตารางที่ 2 เปรียบเทยี บการปรบั ปรุงจุดมุ่งหมายดา้ นพุทธพิ สิ ยั พทุ ธิพสิ ัยแบบเดิม พทุ ธิพสิ ัยแบบใหม่ 1. ความรู้ (Knowledge) 1. จา (Remember) 2. ความเขา้ ใจ (Comprehension) 2. เข้าใจ (Understand) 3. การนาไปใช้ (Application) 3. ประยุกตใ์ ช้ (Apply) 4. การวเิ คราะห์ (Analysis) 4 วิเคราะห์ (Analyze) 5. การสงั เคราะห์ (Synthesis) 5. ประเมินค่า (Evaluate) 6. การประเมินค่า (Evaluation) 6. คดิ สร้างสรรค์ (Create) จากตาราง จะเห็นได้ว่า การปรับปรุงจุดมุ่งหมายทางการศึกษาด้านพุทธิพิสัยใหม่นี้ เป็นการปรับเปลี่ยน นิยามคาศัพท์ และ โครงสร้าง ดงั นี้ 1. การปรับนยิ ามคาศพั ท์ มีดังน้ี 1.1 การเปลีย่ นจากการใช้คานาม เป็นคากรยิ า เพราะคากรยิ าสามารถอธบิ ายการกระทาของพุทธิพสิ ยั ได้ ดกี วา่ คานาม เช่น ความรู้ (Knowledge) เปลีย่ นเป็น จา (Remember) ความเข้าใจ (Comprehension) เปลย่ี นเปน็ เข้าใจ (Understand) เปน็ ตน้ 1.2 การปรบั เปลี่ยนคาอธิบาย หรอื คานยิ ามของแต่ละด้าน ดงั น้ี 1.2.1 จา (Remember) หมายถึง ความสามารถในการดงึ (Retrieving) ความรทู้ ี่ เกยี่ วขอ้ ง จาก หน่วยความจาระยะยาว (Long term memory) (ทาหน้าท่ีเหมือนคลังข้อมูลถาวรซ่ึง บรรจุทุกอย่างท่ีเรารู้ เก่ยี วกับโลกเอาไว้ เป็นระบบ ท่ีสามารถเก็บข้อมูลความจาได้นาน และไมจ่ ากัด โดยจะเกบ็ ข้อมูลไวบ้ นพ้ืนฐานของ ความหมายและความสาคญั ของข้อมลู ) ประกอบดว้ ย
19 1) การจาได้ (Recognizing) หรือ เรียกว่า การระบุ (Identifying) 2) การระลึกได้ (Recalling) หรือ เรียกว่า การดึงความร้อู อกมา (Retrieving) 1.2.2 เข้าใจ (Understand) หมายถึง ความสามารถในการอธิบายความหมาย ข้อความ การใช้ คาพูดอธิบายปากเปล่า (Oral) การเขียน (Writing) และ การสื่อความหมาย (Gra communication) ประกอบด้วย 1) การตคี วาม (Interpreting) เช่น อธิบายความ (clarifying) ถอดความ (Paraphrasing) แสดงใหเ้ ห็น (representing) การแปลความ (translating) 2) การยกตวั อย่าง (Exemplifying) เช่น การอธบิ ายให้เห็นภาพประกอบ (Illustrating) การ ยกตัวอยา่ งประกอบ (instantiating) 3) การจัดประเภท (Classifying) เช่น การจัดกลุ่ม (categories) การจัดเปน็ กล่มุ (subsuming) 4) การสรปุ (Summarizing) เช่น การสรปุ เรอ่ื ง (abstracting) การกล่าวสรปุ (generalizing) 5) การอนุมาน/การลงความเห็น/การสรุปอา้ งอิง (Inferring) เช่น การลงมติ / การสรปุ ผล (concluding) การสรุปอ้างอิง (extrapolating)การสอดแทรกความเหน็ (interpolating) การทานาย(predicting) 6) การเปรยี บเทยี บ (Comparing) เชน่ การเปรยี บเทยี บความแตกต่าง (contrasting) การจับคู่ (matching) การทาแผนที่ (mapping) 7) การอธิบาย (Explaining) เชน่ รูปแบบการสรา้ ง (Constructing model) 1.2.3 ประยุกตใ์ ช้ (Apply) หมายถึง ความสามารถในการนากระบวนการไปใช้ใน การทา แบบฝึกหัด (Perform exercises) หรอื แกป้ ญั หา (Solve problems) หรือ แก้ไขสถานการณ ประกอบด้วย 1) การปฏบิ ตั ิ (Executing) เชน่ การดาเนนิ การ (carrying out) 2) การทา/ดาเนนิ การ (Implementing) เชน่ การใช้ (using) 1.2.4 วเิ คราะห์ (Analyze) หมายถงึ ความสามารถในการวิเคราะห์สว่ นประกอบรวมต่าง ๆ และ ตรวจสอบความเก่ียวข้องของสว่ นประกอบ (Constituent parts) กับ โครงสรา้ งภา (Overall structure) หรือ วตั ถปุ ระสงค์ (Objectives) ประกอบด้วย 1) การบอกความแตกต่าง (Differentiating) เช่น การจาแนก (discriminating) การแยกแยะ/ จาแนกความแตกต่าง (distinguishing) การบอกจดุ สนใจ (focusing) การคัดเลือก/การคัดสรร(selecting) 2) การจดั การ (Organizing) เช่น การเชอื่ มโยง/การหาความสอดคล้อง (finding coherence) การบูรณาการ (integrating) การกาหนดโครงร่าง (outlining) การวเิ คราะหค์ า/ประโยค (parsing) การจัดทา โครงสร้าง (Structuring) 3) บอกคณุ ลักษณะ (Attributing) เชน่ การซื้อ (deconstructing) 1.2.5 ประเมิน (Evaluate) หมายถงึ ความสามารถในการตัดสนิ ใจบนพ้นื ฐานของ เกณฑ์ และ
20 มาตรฐาน ประกอบด้วย 1) การตรวจสอบ (Checking) เชน่ การประสานกัน/ความสอดคล้องกนั (coordinating) การค้นหา (detecting) การตดิ ตาม (monitoring) การทดสอบ (testing) 2) การวจิ ารณ์ (Critiquing) เช่น การตดั สิน (judging) 1.2.6 สรา้ งสรรค์ (Create) หมายถงึ ความสามารถนาเอาส่วนตา่ ง ๆ หรือ ส่วนประกอบ หรอื องคป์ ระกอบ มารวมกนั เพ่ือสร้างเปน็ สิ่งใหม่ ประกอบดว้ ย 1) การสรา้ ง/ทาใหเ้ กิดขน้ึ ทาให้มีขนึ้ (Generating) เช่น การสร้าง สมมุติฐาน (hypothesizing) 2) การวางแผน (Planning) เช่น การออกแบบ (designing) 3) การผลติ (Producing) เชน่ การสร้าง (constructing) 2. การปรับเปลี่ยนโครงสรา้ ง พทุ ธิพิสัยแบบเดิม จะวดั มิตเิ ดยี ว คือ มิตกิ ระบวนการทางปัญญา (Cognitive process dimension) ซ่งึ เปน็ การวัดตั้งแต่ความรู้ จนถงึ การประเมินค่า แต่ไดป้ รบั เปลยี่ นเปน็ การวัด 2 มิติ ประกอบด้วย มติ ิท่หี นงึ่ คือ มิติกระบวนการทางปญั ญา (Cognitive process dimension) และ มิติทสี่ อง คือ มิตดิ ้านความรู้ (Knowledge dimension) มิตดิ ้านความรู้ (Knowledge dimension) ประกอบดว้ ย 1. ความรู้ดา้ นข้อเท็จจริง (Factual knowledge) เป็นความรพู้ ้ืนฐานทีน่ ักเรียนตอ้ งรู้ เพ่ือ นาไปปรบั ให้ เข้ากับเน้ือหาวิชา หรือ การแก้ปญั หา ประกอบด้วย 1.1 ความร้เู กี่ยวกับคาศัพท์ (Knowledge of terminology) 1.2 ความรู้เกย่ี วกับรายละเอียด และองคป์ ระกอบ (Knowledge of specific detaile And Ouroa elements) 2. ความรู้ด้านความคิดรวบยอด (Conceptual knowledge) เปน็ ความรู้เกยี่ วกับ ความสัมพนั ธ์ภายใน ระหวา่ งองคป์ ระกอบพ้นื ฐานตา่ ง ๆ กับโครงสรา้ งนน้ั (โครงสรา้ งขนาดใหญ่ ท่ที าให้องค์ประกอบพ้นื ฐานเหล่านน้ั สามารถทางานร่วมกันได้ ประกอบด้วย 2.1 ความรูเ้ ก่ยี วกับการจาแนกประเภทและจาแนกกลมุ่ (Knowledge of classifications and categories) 2.2 ความรูเ้ กีย่ วกับหลักการ และการขยายหลกั การ (Knowledge of principles and generalizations) 2.3 ความรเู้ กย่ี วกับทฤษฎี รูปแบบ และ โครงสรา้ ง (Knowledge of theories, models, and structures)
21 3. ความรู้ดา้ นกระบวนการ (Procedural knowledge) เป็นความรเู้ กีย่ วกับวธิ ีการท่ีจะทาสิง่ ใดสง่ิ หน่งึ วธิ ีการแสวงหาความรู้ และเกณฑส์ าหรบั การใชท้ ักษะ ขัน้ ตอนวิธแี กป้ ญั หา กลวิธแี ละ วิธกี าร ประกอบดว้ ย 3.1 ความร้เู กย่ี วกับทกั ษะเฉพาะเรอ่ื งและข้ันตอนวธิ ีแก้ปัญหา Knowledge of subjectspecific skills and algorithms 3.2 ความร้เู กี่ยวกับเทคนิค และ วธิ กี ารเฉพาะเร่อื ง (Knowledge of subject specific techniques and methods) 3.3 ความรู้เกีย่ วกบั หลกั เกณฑ์ในการพิจารณาเลือกใช้วธิ ีการท่ีเหมาะสม (Knowledge of criteria for determining when to use appropriate procedures) 4. ความรู้ด้านอภิปญั ญา (Meatacognitive knowledge) เป็นความรูเ้ กีย่ วกับความรู้ความเขา้ ใจ โดยทั่วไป หรอื เป็นการสร้างความตระหนกั และความรู้ด้วยตวั เองประกอบด้วย 4.1 ความรเู้ ชิงกลยุทธ์ (Strategic knowledge) 4.2 ความรทู้ ่ีเกย่ี วกับงานทเ่ี ป็นองค์ความรู้ รวมท้งั บรบิ ทที่เหมาะสมและเง่ือนไขความรู้ Knowledge about cognitive tasks,including appropriate contextual and conditional knowledge) 4.3 ความรูเ้ กย่ี วกบั ตนเอง (Self- knowledge) แนวทางการนามติ ดิ ้านความรู้และกระบวนการทางปัญญาไปใช้ ครผู ้สู อนต้องวเิ คราะหจ์ ุดประสงค์การ เรยี นรู้ในวชิ าที่สอน แตล่ ะจดุ ประสงค์การเรียนรูว้ า่ อยทู่ จ่ี ดุ ตดั ใดของมติ ดิ ้านความรู้ และมิตดิ ้านกระบวนการทาง ปัญญา การเขียนขอ้ สอบดา้ นพุทธิพสิ ยั แนวคิดใหม่ (Anderson and Krathwohl, 2001) 1. จา (Remember) คาหลกั (Keyword) ขอ้ คาถาม เลอื ก (choose) 1. จงบอกความหมาย/นยิ าม “จานวนเต็ม” นิยาม (define) 2. ใครเปน็ คนกล่าวคาว่า “ประชาธิปไตยเป็นการปกครอง คน้ หา (find) ของประชาชน โดยประชาชน และเพ่ือประชาชน” ระบุ (label) 3. จงบอกประโยชน์ของการสง่ โทรทัศนร์ ะบบดิจติ อล (Digital TV) แสดง (show) 4. จงแสดงข้ันตอนของระบบการยอ่ ยอาหาร บอก (tell) 5. จงทอ่ งกลอนเกย่ี วกบั การประหยัดและการออมเงนิ ละเลย (omit) 6. จงเขยี นคาสาคญั (Keywords) เกีย่ วกับการสงั เคราะห์แสงของพชื อะไร (What) 7. ประชาคมอาเซยี น (Asean Economic Community) กาหนดการเปดิ
22 คาหลกั (Keyword) ขอ้ คาถาม เมือ่ ไหร่ (When) อยา่ งเปน็ ทางการเม่ือไหร่ ท่ีไหน (Where) 8. จงเขยี นเหตุการณ์ทเ่ี กิดขึน้ ในแตล่ ะวันของนักเรยี น สงิ่ ไหน (Which) 9. ให้ระบขุ อ้ ห้ามเกยี่ วกบั การขบั รถจกั รยานยนต์มา 3 ประเดน็ ใคร (Who) 10. ภาวะโลกรอ้ น หมายถึงอะไร ทาไม (Why) 11. Where is Angkor Wat? ทาอย่างไร (How) 12. Why did Singapore ban gum? 13. Who were the main character in the Ramakien (Ramayana)? 14. How is the global earth system changing? 15. Could you possibly explain the differences between remembah, remind, recall and recollect? 16. The ways to start losing weight. Which is true or false? 1) Don't do it alone. Join an exercise group. 2) Exercise at least three times a month. 3) Know which foods are good, and which are bad. 4) Do skip meals. Have small meals, instead. 2. เขา้ ใจ (Understand) ข้อคาถาม คาหลกั (Keyword) จาแนก (classify) 1. จงเขียนเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวคดิ ของนักเรียน เปรียบเทียบ (compare) 2. จงเปรยี บเทียบพืชใบเลยี้ งเด่ียวกบั ใบเลยี้ งคู่ ความแตกต่าง (contrast) 3. จงเปรียบเทยี บความแตกต่างของ Facebook กบั LINE สาธิต (demonstrate) 4. จงเขยี นภาพ หรือ การต์ ูนที่แสดงใหเ้ ห็นถึงเหตกุ ารณก์ ารขับรถทีท่ าผดิ กฎจราจร อธิบาย (explain) 5. จงยกตัวอยา่ งคุณลกั ษณะของนักกีฬาวอลเลยบ์ อลทมี ชาตไิ ทย ขยายความ (extend) 6. จงอธบิ ายเหตุผลว่าทาไมพระอภยั มณีซึ่งมเี วทย์มนตร์คาถาทาให้ชนะการต่อสู้ ยกตวั อยา่ ง (illustrate) แก้ปญั หาและผ่านอปุ สรรคต่าง ๆ ไปได้ แตส่ ดุ ทา้ ย กลับมาแกป้ ญั หาที่เกดิ ขึ้น ดว้ ย อา้ งอิง (infer) การสละบ้านเมืองและทรัพย์สมบัติ ออกบวช ตีความ (interpret) 7. จงสรปุ เหตุการณร์ ฐั ประหารเมอื่ วันท่ี 22 พฤษภาคม 2557
23 การสรุป (Summarize) 8. จงจัดทาแผนผังลาดบั เหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองในปี พ.ศ. 2557 แปลความ (translate) 9. จงถอดความบทนี้ “รอ้ ยคนรักไมเ่ ทา่ หน่ึงคนทภี่ กั ดี ร้อยคาหวานทม่ี ี ไม่อาจเท่า หนึ่งคาที่จรงิ ใจ” 10. ข้อใดเป็นขอ้ เทจ็ จริงและข้อใดเป็นความคิดเห็น 1) ทกุ คนหนไี ม่พน้ ความตาย 2) การปกครองในระบอบประชาธปิ ไตยดที ่ีสดุ 11. what would happen if all our satellites suddenly just disappeared. 12. Read the paragraph/table. What are they saying? 13. How would you classify hydrogen? 14. how would you compare and contrast a dog and a cat? 15. How would you summarize the key processes involved in marketing? 16. What is the main idea of this message? Regular exercise is good for your health. A moderate amount of activity performed three to five days per week can: Improve your heart health, Improve your heart disease risk factors, and Improve your strength and feeling of well-being. 3. ประยุกต์ใช้ (Apply) ข้อคาถาม คาหลัก (Keyword) ประยกุ ตใ์ ช้ (apply) 1. การออกกาลังกายเพ่อื พฒั นากลา้ มเน้ือท้อง (six pack) ทาอยา่ งไร สร้าง (build, construct) 2. ถ้าทา่ นมีอาการเจ็บคอ จะใช้สมุนไพรใดรักษาอาการนี้ พฒั นา (develop) 3. สรา้ งแบบจาลองท่ีแสดงให้เห็นถึงวิธกี ารทางานของเคร่ืองปอก มะพร้าว ทดลอง (experiment) 4. จงแต่งตัวตกุ๊ ตาในชดุ ประจาชาติของประเทศในอาเซียน สมั ภาษณ์ (interview) 5. จงเขียนบันทึกประจาวัน (diary) ของนักเรยี น แสดงการใชร้ ูปแบบ 6. จงจดั ทาสมุดขา่ ว (มีข่าว และรปู ภาพ) ท่เี กย่ี วข้องกับวิชาทเี่ รยี น (make use of model)จดั การ 7. จงเขียนบตั รเชญิ สาหรบั งานเลย้ี งวันเกิดของท่าน (organize) 8. จงจดั ทาและนาเสนอภาพทีน่ กั เรยี นได้ถา่ ยไว้ โดยจดั เป็นหมวดหมู่ เช่น สถานที่ วางแผน (plan) ทอ่ งเท่ยี ว อาหาร การออกกาลงั กาย เสือ้ ผ้า ฯลฯ
แก้ปัญหา (solve) 24 9. จงจดั ทาเกมเสริมทกั ษะคาศพั ท์ภาษาอังกฤษ 10. กาหนดให้ U = {1,2,3,4,5,6,7,8,9,10} , A = {1,2,3}, B = {1,2,3,4,5}, C = {3,5,6,7} จงเขยี นแผนภาพ Venn Diagram แสดงความสัมพันธร์ ะหวา่ ง U กับเซต A, B และ C 11. Write a brief outline for a research report. 12. Paint a mural using the same materials. 13. Can you group by characteristics such as green energy? 14. Which things to consider before you make investing decisions 15. How would you use a leadership role constructively for you organization? 16. What approach would you use for managing a new small bus client? 4. วเิ คราะห์ (Apply) คาหลัก (Key words) ขอ้ คาถาม คาหลัก (Keyword) วเิ คราะห์ (analyze) 1. จงใชแ้ ผนภาพ Venn Diagram แสดงความแตกตา่ ง และความเหมือน ของปลา สนั นิษฐาน (assume) และ ก้งุ จาแนกกลุ่ม (categorize) 2. ใหน้ กั เรยี นสารวจความคิดเห็นของเพอ่ื นในชั้นเรยี นเก่ียวกับ การพดู จาแนกประเภท (classify) ภาษาองั กฤษเพ่ือการสื่อสารของเด็กไทย แล้ววเิ คราะหผ์ ลการ สารวจ เปรียบเทยี บ (compare) 3. จงจาแนกการกระทาของตัวละครเร่ืองสามก๊ก สรปุ (conclusion) 4. จงสร้างแผนภาพความเชือ่ มโยงทางสงั คม (Sociogram) ความสมั พนั ธ์ระหว่าง ความแตกตา่ ง (Contrast) บคุ คลในชมุ ชนของนกั เรยี น ค้นพบ (discover) 5. จงสร้างกราฟเพอ่ื แสดงใหเ้ ห็นข้อมูลการส่งออกของประเทศไทย ในปที ผี่ า่ นมา พนิ จิ พิเคราะห์ (dissect) 6. จงสร้างต้นไม้ครอบครัวแสดงความสมั พันธ์ของบุคคลตา่ ง ๆ แยกแยะ (distinguish) 7. จงเขยี นบทบาทสมมตุ ิเกยี่ วกับการออมเงนิ แบ่งแยก (divide) 8. จงเขยี นชีวประวัตขิ องเซอร์ไอแซก นวิ ตัน (Sir Isaac Newton) ทดสอบ (examine) 9. จงจัดทารายงานเก่ียวกับหน้าที่พลเมืองของคนไทย หนา้ ที่ (function) 10. จงตรวจสอบงานศิลปะในแง่ของรูปแบบ (form) สี (color)
25 อนมุ าน (inference) และพน้ื ผวิ (texture) 1 ใบ ตรวจสอบ (inspect) 11. Which events could not have happened? ความสัมพนั ธ์ (relationships) 12. What do you see as other possible outcomes? ทาให้ง่าย (Simplify) 13. Make a flow chart to show the critical stages of silk production เข้ารว่ ม (take part in) 14. Would you take part in the project? ตรวจสอบ (test for) 15. What is the theme of Bang Rajan: The Legend of the Village's ประเดน็ หลกั (theme) Warriors? 16. Can you distinguish between natural and synthetic fibers? 5. ประเมนิ (Evaluate) ข้อคาถาม คาหลัก (Keyword) เห็นดว้ ย (agree) 1. จงสร้างเกณฑ์ในการตัดสินการวาดภาพภาพสนี า้ (Colour Paint) ประเมิน (appraise, assess, 2. จากบทความนี้ ใครจะเปน็ ผทู้ ่ีจะไดผ้ ลประโยชน์ และใครจะเป็น สูญเสยี เพราะ evaluate) เหตใุ ด เลอื ก (choose) 3. อินเทอร์เนต็ มอี ิทธิพลต่อชีวิตของคนเราอยา่ งไรบา้ ง เกณฑ์ (criteria) 4. สิ่งใดทม่ี คี วามสาคัญมากกวา่ ระหว่างคุณธรรม ตรรกะ ความถูกต้อง และ ความ วจิ ารณ์ (criticize) เหมาะสม ตัดสนิ ใจ (decide 5. การแข่งขนั กับคนเปน็ ส่งิ ท่ีดหี รือไม่ดี เพราะอะไร determine) 6. วธิ ีท่ดี ีและเหมาะสมกับการจัดการขยะในชมุ ชนทาอย่างไร ลงความเห็น(deduct) 7.คุณเชอ่ื หรือไม่ว่า “ออมก่อน รวยกวา่ ” กล่าวแย้ง (defend) 8. อะไรเปน็ สง่ิ สาคญั ท่ีสดุ ในชีวติ ของคนเรา พสิ ูจน์แยง้ (disprove) 9. ปจั จัยใดทม่ี อี ิทธิพลต่อผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี น โต้แยง้ (dispute) 10. จงบอกเหตุผลในการตัดสินใจทาธุรกจิ ออนไลน์ (online) ประมาณคา่ (estimate, rate) 11. Is there a better solution to student background classification? มอี ิทธิพลต่อ (influence) 12. What are the pros and cons of internet? ตดั สนิ (judge) 13. What information would you use to prioritize your daily tasks? พิสจู นใ์ หเ้ ห็น (justify) 14. How could you verify that a soft drink? มาตรการ (measure) 15. What is the most important factor in improving reading skills.
26 6. สร้างสรรค์ (Create) ข้อคาถาม คาหลกั (Keyword) 1. จงออกแบบผลิตภัณฑ์รองเทา้ นกั กรีฑาแบบใหมท่ ่ีมีประสิทธภิ าพ เสรมิ ความเร็ว ในการวิ่ง และการรักษาข้อเท้า ปรบั (adapt) 2. จงออกแบบอุปกรณ์ควบคุม (Remote control) ระบบไฟฟา้ ในบา้ น สร้าง (build) 3. จงออกแบบหนุ่ ยนต์ท่ีใช้ทางานบ้าน เปลีย่ นแปลง (change) 4. จงสรา้ งผลติ ภณั ฑใ์ หม่ และวางแผนการตลาดเพ่ือขายผลติ ภัณฑน์ ัน้ นามารวมกนั (combine) 5. จงเขยี นบทละครโทรทศั นเ์ กี่ยวกับการรักษาสิง่ แวดล้อม รวบรวม (compile) 6. จงออกแบบการบริหารจัดการเงนิ การออกแบบระบบการเงินใหม่ ประกอบ (compose) 7. จงเขียนเมนสู าหรบั ร้านอาหารใหม่ ท่ีมคี วามหลากหลายของอาหารทด่ี ีตอ่ สุขภาพ สรา้ ง (construct) 8. จงออกแบบโฮมเพจ (Home page) (หนา้ แรกของเว็บไซต์) สาหรับ ประดิษฐ์ (create) ประชาสัมพนั ธก์ ารขายสินคา้ ออนไลน์ ออกแบบ (design) 9. จงบอกวิธกี ารศึกษาผลการใช้ปุย๋ ทม่ี ีต่อการเจริญเติบโตของพืช พัฒนา (develop) 10. จงใชร้ ู้เกย่ี วกบั หว่ งโซอ่ าหาร (food chains) อธิบายส่งิ ที่เกดิ ขึน้ อภิปราย (discuss) ในระบบนเิ วศที่สนใจ 1 ระบบ เช่น ระบบนเิ วศแหล่งํน้า ระบบนิเวศบก ระบบนเิ วศ ประมาณคา่ (estimate) ชมุ ชนเมือง และให้เสนอข้อมูล สนบั สนุนดว้ ย กาหนดเกณฑ์ (formulate) 11. Write a song to advertise a new product. จนิ ตนาการ (imagine) 12. Make up a new language and use it in an example. ปรบั ปรุง (improve) 13. Write about your feelings in relation to news on TV. คิดคน้ (invent) 14. What would happen if the earth stopped spinning? แก้ไข (modify) 15. Can you develop a business proposal? ทานาย (predict) 16. John says that as the temperature increases the particles get แก้ปัญหา (solve) bigger. Do you agree? Give your reasons. ทดสอบ (test) ปรบั ปรงุ จาก : http://www.roe8.com/Gardner%20-%205-02-Revised%20Blooms.pdf
27 สรปุ การวดั ด้านพุทธพิ ิสัย เป็นการวดั ดา้ นความร้ซู ่ึงแบ่งได้ 6 ระดับ คือ ระดับต่าสุดเปน็ การ วัดความรู้ ความจา เปน็ การถามเกย่ี วกับเรื่องราวตา่ ง ๆ ทเี่ คยเรยี นมา ไมว่ า่ จะเปน็ ศัพท์ นิยาม กก เกณฑ์ความจรงิ แบบแผน ลาดับขนั้ ทฤษฎี วิธกี าร ส่วนการวัดเข้าใจเปน็ การขยายความรู้ ความจาให้ไกลออกไปจากเดมิ อยา่ ง สมเหตุสมผล โดยการแปลความ ตีความ และขยายความ การ นาไปใชเ้ ปน็ การแกป้ ญั หาทแ่ี ปลกใหม่ ซึ่งเปน็ ปัญหา ที่ยงั ไม่เคยแกม้ าก่อนเลย ปญั หาใหม่นัน้ เปน็ ปญั หาท่ีไมส่ ามารถนาสูตร กฎท่เี คยเรียนมาแก้ปญั หาได้โดยทันที จะต้องใชย้ ทุ ธวิธหี ลายอยา่ ง ในการแก้ปัญหาน้นั สาหรบั การวิเคราะห์จะถามเก่ียวกบั การแยกแยะสว่ นยอ่ ย ๆ ตาม หลกั การ และกฎเกณฑท์ ่ีกาหนดให้ หลักการถาม ใหย้ กเอาสงิ่ สาเรจ็ รปู มาตง้ั เป็นปัญหา แลว้ ถามใหค้ น้ หา สง่ิ สาคัญ ความสมั พนั ธ์และหลกั การ ในส่วนของการสงั เคราะห์ จะถามเก่ยี วกบั การสรา้ งส่ิงใหม่ ท่ีมลี กั ษณะต่างไป จากเดิม โดยการรวมสงิ่ ตา่ ง ๆ ตง้ั แต่สองสิ่งขน้ึ ไปเขา้ ด้วยกัน ส่ิงทน่ี ามา รวมกันอาจเปน็ วัตถสุ ิง่ ของ ข้อเทจ็ จรงิ หรือความคิดเห็นใด ๆ การสังเคราะหจ์ ะมที ง้ั การ สงั เคราะห์ขอ้ ความ แผนงานและ ความสัมพันธ์ ส่วนพฤติกรรม ขั้นสูงสดุ ของพุทธพิ ิสยั คอื การ ประเมินคา่ ข้อคาถามจะถามใหต้ ดั สินใจในเรื่องใดเรื่องหนงึ่ ว่าส่งิ น้นั ดี - เลว หรอื เหมาะสมเชน่ ตัดสนิ ไร ใชเ้ กณฑภ์ ายใน คือ เกณฑใ์ นเนื้อหา หรอื ใชเ้ กณฑ์ภายนอก คือ เกณฑ์ทางสังคม เปน็ เครือ่ งตดั สนิ ตอ่ มามกี ารปรับปรุงการวดั ด้านพุทธิพสิ ัยของบลูม (Revised Bloom's Taxonomy) ใหม่ คือ 1) การเปลย่ี นจากการใช้คานาม เปน็ คากรยิ า เพราะคากริยาสามารถอธบิ ายการกระทาของพทุ ธ พสิ ัยไดด้ ีกว่า คานาม เช่น ความรู้ (Knowledge) เปลย่ี นเป็น จา (Remember) ความเข้าใจ (Comprehension) เปล่ียนเปน็ เข้าใจ (Understand) เปน็ ตน้ พร้อมท้ังปรับเปล่ยี นการวดั การ สังเคราะห์เป็นการวดั ความคิดสร้างสรรค์ โดยถือวา่ เป็นการวัดระดบั สงู สุดดา้ นพุทธิพิสัย และการ ประเมินค่าเป็นการวดั ระดับรองลงมาด้วย 2) การปรับเปลีย่ น โครงสร้าง พทุ ธพิ สิ ยั แบบเดมิ จะวัดมิติเดียว คอื มติ กิ ระบวนการทางปัญญา (Cognitive process dimension) ปรบั เปลย่ี น การวดั 2 มิติ ประกอบดว้ ย มติ ิท่ีหนงึ่ คือ มติ ิกระบวนการทางปัญญา (Cognitive pro dimension) และ มิติท่ีสอง คือ มิตดิ ้านความรู้ (Knowledge dimension)
28 3.2 พฤติกรรมด้านจติ พิสัย จากความมุ่งหมายและหลักการของการศึกษา ตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 (กระทรวงศึกษาธิการ. 2542, หน้า 6 - 7) ได้ระบุในหมวด 1 มาตรา 6 ว่า การจัดการศกึ ษา ตอ้ งเป็นไปเพ่ือพัฒนา คนไทยให้เป็นมนุษย์ท่ีสมบูรณ์ ทั้งร่างกาย จิตใจ สติปัญญา ความรู้ และ คุณธรรม มีจริยธรรมและวัฒนธรรม ในการดารงชีวิต สามารถอยรู่ ว่ มกบั ผู้อน่ื ไดอ้ ย่างมคี วามสขุ จากคากล่าวข้างต้น จะเห็นไดว้ ่า การพัฒนาคุณธรรม จริยธรรม หรอื ที่เรียกวา่ ด้านจิตพิสัย เป็นสิ่งสาคัญ เป็นอย่างยิ่งในการศึกษาสมัยใหม่ ซึ่งสอดคล้องกับคากล่าวของปอปแฮม (Popham, 1998, หน้า 200) ที่ว่า จิตพิสัยทุก ๆ ด้าน มีความสาคัญพอ ๆ กับ ความสามารถด้านพุทธิพิสัย (Cognitive ability) คนท่ีไม่เก่งทางด้าน วิชาการ (Gifted intellectually) ยังประสบผลสาเร็จได้ ถ้าเขามีแรงจูงใจ และขยันในการทางาน และ สติกกิ้นส์ (Stiggins, 1994, หน้า 71) ท่ีกล่าววา่ จติ พิสยั มคี วามสาคัญตอ่ ผู้เรยี น คือ เพื่อให้ผู้เรียนเปน็ คนดี ระดับพฤตกิ รรมทางดา้ นจิตพิสัย (Level of affective domain) จิตพิสัยเป็นวัตถุประสงค์หนึ่งของการวัดทางด้านการศึกษา ซึ่งฮอปกิ้นส์ และ (Hopkins and Antes, 1990, หนา้ 495 - 498) ไดแ้ บง่ ระดบั จติ พิสัยไว้ 5 ระดบั โดยเรยี งจากระดับต่าสดุ ถึง ระดับสูงสุด ดังนี้ ระดบั สูงสุด (Highest level) 5. การสรา้ งลกั ษณะนิสัย (Characterization by a value complex) 4. การจัดระบบคุณค่า (Organization) 3. การสร้างคณุ ค่า (Valuing) 2. การตอบสนอง (Responding) 1. การรับรู้ (Receiving or attending) ระดบั ตา่ สดุ (Lowest level) ภาพท่ี 2 แสดงระดับพฤติกรรมดา้ นจิตพิสยั (Hopkins and Antes, 1990, หนา้ 495) พฤติกรรมด้านจิตพิสัยเป็นพฤติกรรมที่เก่ียวกับความรู้สึกนึกคิดทางจิตใจ อารมณ์ และ คุณธรรมของบุคคลพฤติกรรมการเรียนรู้ด้านจิตพิสัยสามารถจาแนกได้ 5 ระดับ ได้แก่ 1) การรับรู้ 2) การตอบสนอง 3) การสรา้ งคณุ ค่า 4) การจดั ระบบคณุ คา่ และ 5) การสร้างลักษณะนสิ ัย
29 1. การรับรู้ ( Receiving or attending ) พฤติกรรมขั้นน้ีมีลักษณะการตอบสนอง 3 ลักษณะ ด้วยกันคือ 1) การยอมรบั 2) การตัง้ ใจท่ีจะรับรู้ และ 3) การเลอื กส่ิงเร้าทีต่ ้องการรบั รู้ 1.1 การยอมรับ ( Awareness ) เปน็ ขัน้ ทาความรูจ้ กั กบั เหตกุ ารณ์หรอื ปรากฏการณ์ ท่ีเกดิ ขน้ึ โดยยอมใหส้ ง่ิ เหล่านนั้ เขา้ มาอย่ใู นความสนใจของตนเอง ตวั อยา่ ง: ขณะนง่ั คุยกบั เพอ่ื นอยู่ เห็นครูเขา้ มาก็เปล่ียนอริ ิยาบถ เดินผา่ นป้ายนเิ ทศเหน็ ภาพติดไวค้ ดิ จะเข้าไปดู ฯลฯ 1.2 การต้ังใจที่จะรับรู้ ( Willing to receive ) เป็นการแสดงถึงความปรารถนาท่ีจะรับรู้ เกี่ยวกบั ส่งิ นั้นดว้ ยความเต็มใจ ตัวอยา่ ง: หยบิ ปากกาดินสอขึน้ มาวางบนโต๊ะเมื่อถงึ เวลาเรียน เดนิ เขา้ ไปทปี่ ้ายนิเทศเพื่อจะดูปา้ ยนิเทศนน้ั ฯลฯ 1.3 การเลือกสิ่งเร้าท่ีต้องการรับรู้ ( Controlled or selected attention ) เป็นข้ัน การแยกแยะสงิ่ ทต่ี ้องการจะรับรู้โดยยงั ไม่ได้รู้รายละเอียดของปรากฏการณ์หรือสิง่ เรา้ นั้นๆ ตวั อย่าง เมอ่ื เดนิ ไปถงึ ป้ายประกาศแลว้ เลอื กดูภาพทคี่ ดิ วา่ นา่ สนใจ ฯลฯ 2. การตอบสนอง ( Responding) เป็นพฤติกรรมต่อเน่ืองจากความต้ังใจท่ีจะรับรู้โดยไม่เพียงแต่จะ ต้ังใจรบั รเู้ ท่าน้ัน แตม่ คี วามปรารถนาหรอื ปฏิกิรยิ าท่จี ะโตต้ อบตอ่ สง่ิ เร้านน้ั อย่างเตม็ ใจและเกดิ ความพึงพอใจ จากการตอบสนอง พฤติกรรมขั้นน้ีจาแนกได้ 3 ลักษณะได้แก่ 1) การยินยอมที่จะตอบสนอง 2) ความเต็มใจที่จะ ตอบสนอง และ 3) ความพอใจในการตอบสนอง 2.1 การยินยอมที่จะตอบสนอง ( Acquiescence in responding ) เป็นการตอบสนอง ด้วยการยินยอม ถึงแม้จะไม่เต็มใจกต็ ามแต่ก็ไม่ขดั ขืน ตวั อยา่ ง: เพอ่ื นชวนไปดนู ทิ รรศการกไ็ ปกับเพื่อน ท้งั ๆ ทีใ่ จจริงแล้วไมอ่ ยากไปเลย เหน็ ปา้ ยประกาศทีห่ น้าห้องว่า “โปรดถอดรองเทา้ ” ก็ถอดท้ังๆท่ไี มเ่ ตม็ ใจทจี่ ะถอด ฯลฯ
30 2.2 ความเต็มใจท่ีจะตอบสนอง ( Willingness to response ) เป็นการยอมรับที่จะ ตอบสนองดว้ ยความเตม็ ใจ ตัวอย่าง: ยนิ ดไี ปดูนิทรรศการดว้ ยความเตม็ ใจเม่อื ถูกเพ่อื นชวน ยนิ ดถี อดรองเทา้ เม่ือเห็นป้าย”โปรดถอดรองเท้า” ยินดีดบั บหุ ร่เี มื่อเหน็ ปา้ ย “เขตปลอดบหุ รี่” ท้ังๆที่ไม่มีใครบอก และไมม่ ใี ครเห็น ฯลฯ 2.3 ความพอใจในการตอบสนอง ( Satisfaction in response ) เม่ือได้ตอบสนองในส่ิง ท่ีตนยอมรบั แล้วเกดิ ความสขุ มีความพึงพอใจท่ีได้ทาลงไป ตวั อยา่ ง: รู้สึกสบายใจทไี่ มไ่ ดป้ ฏิเสธเมอื่ เพอื่ นชวนไปดนู ทิ รรศการ เม่อื ถอดรองเท้ากอ่ นเข้าห้องแลว้ ร้สู กึ สบายใจทไี่ ด้ปฏิบตั ิตามระเบยี บ เห็นเศษกระดาษตกบนทางเดินจึงหยิบไปทิ้งในถังขยะ โดยไม่มีใครใช้ให้ทาและเมื่อทาแล้ว เกิดความภาคภูมิใจที่ได้ทาเชน่ นัน้ ฯลฯ 3. การสร้างคุณค่า ( Valuing ) เป็นขั้นที่บุคคลมองเห็นคุณค่าของการตอบสนองต่อสิ่งเร้า หรือ ประสบการณ์ที่ได้มี ขั้นการสร้างคุณค่ามีพฤติกรรมการแสดง 3 ลักษณะได้แก่ 1) การยอมรับในคุณค่า 2) การ นิยมชมชอบในคุณค่า 3) การสรา้ งคุณค่า 3.1 การยอมรับในคุณค่า ( Acceptance of value ) เป็นขั้นที่ยอมรับว่าพฤติกรรมท่ี แสดงออกไปนั้นเป็นสิ่งทดี่ ี มีคณุ คา่ ตัวอยา่ ง: ไมส่ ูบบหุ ร่ีในอาคารเรยี นเพราะคดิ วา่ การสบู บุหรใ่ี นอาคารเรยี นเป็นการไม่ดี การทิ้งเศษกระดาษบนทางเท้าเป็นสิ่งท่ีไมด่ ี ฯลฯ 3.2 การนิยมชมชอบในคุณค่า(Preference for a value) เป็นการยินยอมที่รับคุณค่าใน ขอ้ 3.1 ด้วยความพงึ พอใจ ตัวอยา่ ง: มีความพึงพอใจท่จี ะงดเว้นการสบู บหุ รใี่ นอาคารเรยี น พอใจทจ่ี ะท้ิงเศษกระดาษในถังขยะ ฯลฯ
31 3.3 การสร้างคุณค่า (Commitment or conviction) ในข้ันนี้บุคคลจะมีความคงเส้น คงวาในการตอบสนองต่อสิ่งเร้า โดยแสดงพฤติกรรมท่ีตนเห็นว่ามีคุณค่าอย่างสม่าเสมอและตอบสนองอย่าง ต่อเน่อื งไปจนเกิดการยอมรบั เป็นคา่ นยิ มของตนเอง นอกจากนย้ี งั พยายามทาให้ผู้อ่ืนคลอ้ ยตามคา่ นิยมของตนดว้ ย ตัวอยา่ ง: งดสูบบุหรีท่ ันทีเม่อื เขา้ บริเวณอาคารเรียน และตกั เตอื นเมือ่ เห็นผ้อู ื่นสูบบุหร่ีบนอาคารเรียน ชกั ชวนผ้อู ืน่ ท้งิ ขยะให้เป็นท่ี ฯลฯ 4. การจัดระบบคุณค่า (Organization) หลงั จากท่ีบุคคลได้สรา้ งค่านิยมของตนขน้ึ มาแล้ว กพ็ ยายามนา ค่านิยมน้ันมาจัดระบบให้เกิดเป็นระบบระเบียบข้ึน ลักษณะการจัดระบบคุณค่ามี 2 ลักษณะได้แก่ 1) การสร้าง ความคิดรวบยอดของคณุ ค่า และ 2) การจัดระบบของคุณคา่ 4.1 การสร้างความคิดรวบยอดของคุณค่า ( Conceptualization of a value ) เมื่อบุคคล สร้างคุณค่าหรือค่านิยมย่อยๆ ของตนเองหลายคุณค่า ก็จะเกิดการจัดระบบคุณค่าย่อยเหล่านั้นเป็นหมวดหมู่ ใช้ชดั เจนขนึ้ ตวั อย่าง: ถอดรองเท้าในสถานท่ที ่ตี อ้ งการรักษาความสะอาดเป็นพิเศษ เช่น ในบ้าน ในโบสถ์ เป็นต้น งดสบู บหุ ร่ีในทที่ ไ่ี ม่ควรสูบ เชน่ ในอาคารเรยี น ในหอ้ งประชมุ ในห้องปรบอากาศ เปน็ ต้น ทิ้งเศษขยะในที่ทจี่ ัดใหไ้ ว้ เชน่ ถังขยะ หลมุ ทเี่ ตรยี มเผา เปน็ ตน้ ฯลฯ จากตัวอย่างทง้ั 3 ตัวอยา่ งข้างตน้ จะสรุปได้เปน็ คา่ นิยมเกย่ี วกบั การปฏิบตั ิตามระเบยี บแบบแผนของสังคม 4.2 การจัดระบบคุณค่า ( Organization of a value system ) เป็นการนาเอาหลายๆ คณุ คา่ มาจักระบบเพอื่ สร้างเปน็ ลักษณะภายในตนทค่ี งที่ แนน่ อน ตัวอย่าง: ค่านยิ มเก่ยี วกับการปฏิบตั ิตามระเบียบของสถานศกึ ษา ของสงั คม ของท้องถ่ิน ของประเทศชาติ เป็นตน้ 5. การสร้างลกั ษณะนสิ ยั ( Characterization by a value complex ) เปน็ การจัดระบบคุณค่า ท่ีมอี ยู่ในตัวเขา้ เป็นระบบที่ถาวร ซ่ึงจะทาหน้าท่ีควบคมุ พฤตกิ รรมการแสดงของบุคคลไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ ใดๆ กจ็ ะแสดงพฤติกรรมตามคา่ นยิ มท่ียึดถือตลอดไป และจะแสดงพฤติกรรมนนั้ อย่างสมา่ เสมอจนเกดิ เปน็ นิสยั ประจาตัวของแต่ละบุคคล การสร้างลักษณะนิสัยมี 2 ลกั ษณะไดแ้ ก่ 1) การสร้างลกั ษณะนิสัยชว่ั คราว (Generalized set) 2) การสร้างลักษณะนิสยั ถาวร
32 5.1 การสร้างลักษณ ะนิสัยช่ัวคราว ( Generalized set ) เป็นการแสดงพฤติกรรม ที่สอดคล้องกับคุณค่าสว่ นตัวบางอยา่ งของบุคคล โดยคานงึ ถงึ ผลทีจ่ ะเกดิ ตามมาในสถานการณ์นั้นๆ ดว้ ย ตัวอยา่ ง: บริจาคทุนให้แก่นักศึกษา เพราะมีใจอยากจะช่วยนักศึกษา แต่เน่ืองจากยังเสียดายเงินอยู่ จงึ ทาเปน็ บางคร้งั เทา่ นั้น ฯลฯ 5.2 การสร้างลักษณะนิสัยถาวร ( Characterization ) เป็นขั้นแสดงลักษณะนิสัยท่ีแท้จริง ของบุคคลออกมาอย่างสมบูรณ์ เพราะเป็นการรวมเอาคุณลักษณะที่เป็นคุณค่าต่างๆ ของบุคคลเข้าไว้ด้วยกัน ข้ันน้ีถอื ว่าเปน็ จุดสดุ ยอดของการพฒั นาคน ตัวอยา่ ง: นิสัยรักความสะอาด เกิดจากการเห็นคุณค่าของความสะอาด แล้วพยายามจัดระบบระเบียบ ความเป็นอยู่ให้เรียบร้อยจนเกิดเปน็ นิสัย ฯลฯ คุณลักษณะในแต่ละระดับเมื่อจัดระบบเป็นบุคลิกลักษณะประจาตัวของบุคคลแล้ว จะแสดง ใหเ้ ห็นถึงคุณลกั ษณะหลกั ๆเช่น ความสนใจ เจตคติ คา่ นยิ ม เป็นต้น ความสนใจ เป็นลักษณะของการมีใจจดจ่ออยู่กับส่ิงใดส่ิงหน่ึงในช่วงระยะเวลาใดเวลาหนึ่ง ความสนใจของบุคคลเร่ิมจากการที่บุคคลมีการรับรู้ ต่อสิ่งใดสิ่งหน่ึงด้วยความพึงพอใจ และมองเห็นคุณค่าของ ส่ิงนัน้ จนเกดิ ความรสู้ กึ นยิ มชมชอบในคณุ ค่าของสง่ิ ที่รับรนู้ ัน้ และจะตอบสนองต่อส่ิงนั้นอย่างคงเส้นคงวา ตัวอยา่ ง: ความสนใจในดนตรี จะเริ่มจากมีการรับรโู้ ดยการฟังดนตรี มีความต้ังใจที่จะฟังดนตรี เกิดความ พึงพอใจท่ีจะฟังดนตรี มองเห็นคุณค่าของดนตรี มีการตอบสนองในลักษณะต่างๆ เช่น หาโอกาสฟังดนตรีเสมอๆ ท้ังจากวิทยุ โทรทัศน์ จากการแสดงตามสถานท่ีต่างๆ หมั่นศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับเรื่องดนตรี ฝึกหัดเล่นดนตรี และขยนั ฝึกซอ้ มดนตรอี ย่างสม่าเสมอ เปน็ ตน้ คุณลักษณะด้านจิตพิสัยสามารถพัฒนาไปได้ในทุกรายวิชาท่ีครูสอน จากกรอบจุดประสงค์ การเรียนรู้ไว้ในคมู่ ือการประเมินผลการเรยี น ตามหลักสตู รประถมศกึ ษาฉบบั 2533(กรมวิชาการ,2535 : 97-112) ปรากฏว่ามพี ฤตกิ รรมทางด้านจิตพิสัยท่พี ึงประสงคจ์ ากการเรยี นการสอนในทุกรายวิชา ดังนี้ 1. วิชาภาษาไทย ไดแ้ ก่ 1.ความคดิ สรา้ งสรรค์ 2. เจตคติ 3.คา่ นิยม 4. ความคดิ อย่างมเี หตุผล ฯลฯ
33 2. วิชาคณิตศาสตร์ ไดแ้ ก่ 1.ค่านยิ ม 2.เจตคติ 3.ความมีระเบยี บ 4.ความคิดอย่างมีเหตผุ ล 3. กลุ่มสรา้ งเสรมิ ประสบการณ์ชีวติ ไดแ้ ก่ 1.คา่ นยิ ม 2.เจตคติ 3.ความสนใจ 4.ความสามารถในการปรบั ตัว 5.ความอดทน 6.นสิ ัยใฝห่ าความรู้ 7.ความภาคภูมใิ จในความเป็นคนไทย 8.ความเลอ่ื มใสศรัทธาในระบอบประชาธิปไตย ฯลฯ 4. กลมุ่ สรา้ งเสรมิ ลักษณะนิสยั ได้แก่ 1.ความเสียสละ 2.ความสามคั คี 3.ความมีระเบยี บวินัย 4.ความประหยดั อดออม 5.ความซ่อื สตั ยส์ ุจริต 6.เจตคติ 7.ค่านยิ ม 8.ความกตัญญู 9.ความคิดสรา้ งสรรค์ 10.ความสามารถในการปรบั ตวั 11.ความสนใจ 12.บคุ ลกิ ภาพ 13.ความอดทน 14.ความรบั ผดิ ชอบ 15.ความมคี ุณธรรม ฯลฯ 5.กลุ่มการงานและอาชีพ ไดแ้ ก่ 1.ความคดิ สรรค์ 2.ความรบั ผิดชอบ 3.การรจู้ ักพึ่งตนเอง 4.ความเปน็ ผรู้ ักการทางาน ฯลฯ 6.กลมุ่ สร้างเสริมประสบการณ์พเิ ศษ ไดแ้ ก่ 1.ความสนใจ 2.ความขยนั 3.ความมรี ะเบยี บวนิ ยั 4.ความอดทน 5.ความซื่อสัตย์ 6.การร้จู กั พง่ึ พาตนเอง 7.ความสามารถในการปรบั ตวั 8.ความคิดสร้างสรรค์ 9.คา่ นยิ ม ฯลฯ
34 ตารางที่ 3 พฤตกิ รรม การแสดงออกและเน้อื หาของพฤตกิ รรมด้านจิตพิสัย พฤติกรรม การแสดงออก เนอ้ื หา 1.0 ข้นั รบั รู้ จาแนก แยก ถาม เสยี ง ภาพ เหตกุ ารณ์ เร่ืองราว 1.1 การทาความรจู้ ัก แผนแบบ เลอื ก สะสม ยอมรบั เชือ่ มต่อ ตวั อยา่ ง ตวั แบบ รปู รา่ ง ขนาด 1.2 การเต็มใจท่จี ะรบั รู้ เลือก ติดตาม บ่งใหช้ ่อื ตอบ ยึดถือ ฟงั จงั หวะ 1.3 การเลือกรับส่ิงเรา้ ที่ต้องการ ควบคมุ ทางเลือก คาตอบ 2.0 ข้ันตอบสนอง คาแนะนา วิธีการ กฎ ขอ้ บังคับ 2.1 การยนิ ยอมทจ่ี ะตอบสนอง ยอมตาม ชมเชย ทาตาม ยอมรับ นโยบาย คาชแี้ จง 2.2 ความเตม็ ใจทจี่ ะตอบสนอง อาสา อภิปราย ปฏิบตั ิ แสดง อา่ น เรื่องราว ส่งิ ทก่ี าหนดให้ อา่ นปัญหา 2.3 ความพงึ พอใจในการตอบสนอง รายงาน ใช้ แสดงอาการยินดีใช้เวลาวา่ งในเร่ือง... สิ่งทคี่ น้ ควา้ การทดลอง การจัดแสดง 3.0 การเกดิ ค่านยิ ม ขยาย เพ่มิ เตมิ พดู เขียน อ่าน ช่วย ความเหน็ ข้อเขียน งาน สนุ ทรพจน์ 3.1 การยอมรบั ในคุณคา่ ทาใหส้ มบูรณ์ บรรยาย อธบิ ายเข้าร่วมด้วย บทความ การแสดง อ่าน นาเสนอ ทาซา้ รายงาน เขียน ศกึ ษา 3.2 การช่ืนชอบในคุณค่า เริ่มตน้ ระบุ ใหข้ ้อเสนอช่วยเหลือ คาตอบ ขอ้ เขยี น หลกั การ ความเชือ่ 3.3 การสร้างคณุ คา่ สนบั สนุน อธิบาย คาอภิปราย วัตถสุ ิ่งของเหตุการณ์ 4.0 ขั้นจดั ระบบคุณคา่ บรรยาย สรรเสรญิ ปรากฏการณ์ใดๆ กิจกรรม 4.1 การสร้างความคิดรวบยอดของ ทัศนะ ประเด็นโต้แยง้ โตแ้ ย้ง ปฏเิ สธ ต่อต้าน สนบั สนุน แนะนา โครงการ หลกั การ ความเชอ่ื แนวคิด คณุ ค่า อภปิ ราย ป้องกัน ยา้ บคุ คล วัตถุสิง่ ของ เหตุการณ์และ ปรากฏการณ์ใดๆ เปรยี บเทยี บ สรปุ ขยาย รวม ประสาน ทา ส่งิ ท่ีแตกตา่ งจากคณุ ค่าทย่ี ึดความเหน็ ให้สมบูรณ์ อธบิ าย อภปิ ราย บรรยาย ความเชือ่ แนวคิด เหตผุ ล เหตกุ ารณ์ ปรับปรุง นยิ าม เร่อื งราวท่ีแย้งกบั คุณคา่ ทย่ี ึด ผลงาน จดั เรียบเรียง สลับประสาน จดั กลุ่ม บง่ ความเชือ่ เปา้ หมาย หลักการร่วม ความสัมพนั ธ์ สังเคราะห์ จัดระบบ สร้าง กฎเกณฑ์แนวคิด
35 พฤตกิ รรม การแสดงออก เนอ้ื หา 4.2 การจัดค่านยิ มใหเ้ ป็นระบบ ขน้ึ บรรยาย ความเชือ่ ตา่ งๆ เปา้ หมาย หลักการ 5.0 การสรา้ งลักษณะนสิ ยั ปรบั ปรุง เปลยี่ นแปลง ทาให้สาเร็จ ปฏิบัติ แนวคิด ระบบ วธิ ีการ ขอ้ จากัด 5.1 การสรา้ งลกั ษณะนิสัยชว่ั คราว ใช้ ตรวจสอบ ประพฤติ ปฏิบัติ แสดง ใช้ 5.2 การสรา้ งลกั ษณะนิสัยถาวร ปรบั ตน แสดงออก แสนอแก้ปญั หา พฤติกรรม แผนงาน วิธกี าร อธบิ าย บรรยาย ขยาย แก้ไข ปอ้ งกัน ตา้ นทาน ความมมี นุษยธรรม จริยธรรม วุฒภิ าวะ ข้อขดั แย้ง ความรุนแรง ฟุม่ เฟอื ย จากทกี่ ล่าวมาแลว้ สรุปไดว้ า่ ระดับพฤติกรรมด้านจติ พสิ ยั มี 5 ระดับ โดยเร่มิ จากระดับ ตา่ สดุ จนถึง สูงสุด คือ การรับร้โู ดยเร่ิมจากการรูจ้ กั อยากรบั รู้และคัดเลอื กรบั รู้ จากนนั้ จะเปน็ การตอบสนอง ในรูปแบบของ การยินยอม เต็มใจ และพอใจ ระดับตอ่ มาเปน็ การสร้างคณุ ค่า โดยการยอมรบั ชื่นชม และ เชื่อถือใน สง่ิ นั้น ใน ระดบั ตอ่ มาเป็นการนาคุณคา่ และการจดั ระบบ คุณคา่ จนกระท่ังการสร้างลักษณะนสิ ัยประจาตวั ของบคุ คลน้ันๆ
36 การจดั จาแนกพฤตกิ รรมดา้ นจิตพิสยั จากทก่ี ลา่ วมาแล้ว พบว่า พฤตกิ รรมคา้ นจิตพิสัยซึ่งเป็นความรูส้ ึกทีบ่ ุคคลมนี ั้น ๆ ความรู้สกึ ทสี่ ดุ คอื การรบั รู้ จนถึง ระดับที่สูงสดุ คือ ลักษณะนสิ ัยประจาตัว แต่กว่าท่ีคนเราจะมีพฤติกรรมทีเ่ กิดขน้ึ จนเปน็ นิสัยได้ น้ัน เร่ิมจากความสนใจ จนถึง การปรับตวั แต่พงิ ตามลาดับความรู้สกึ เป็นข้ัน ๆ จะเริ่มจากการรับรู้ จนถึง การ สรา้ งลกั ษณะนสิ ยั (Krathwo51 other อ้างถงึ ใน ล้วน สายยศ และ องั คณา สายยศ, 2536, หน้า 12 - 13) ดงั แสดงใน 1.0 การรับรู้ 1.1 การรู้จัก ความ 2.0 การตอบสนอง 1.2 ความเต็มใจทีจ่ ะรบั รู้ สนใจ 3.0 การร้คู ุณค่า 1.3 ควบคุมหรือคดั เลือกสิ่งท่เี อาใจใส่ ความ 4.0 การจดั ระบบ 2.1 การยนิ ยอมในการตอบสนอง ซาบซ้ึง 5.0 ลักษณะนสิ ยั 2.2 ความเต็มใจในการตอบสนอง 2.3 ความพงึ พอใจในการตอบสนอง เจตค ิต 3.1 การรับคุณค่า ่คา ินยม 3.2 การชน่ื ชอบคณุ คา่ 3.3 การยนิ ยอมรับคุณคา่ การป ัรบตัว 4.1 การสร้างมโนภาพของคุณค่า 4.2 การจดั ระบบคุณค่า 5.1 การสรปุ อา้ งองิ นัยทว่ั ไป ของคณุ ค่า 5.2 การสร้างลกั ษณะนิสัย ภาพขา้ งลา่ ง ภาพท่ี 3 แสดงการจาแนกพฤตกิ รรมด้านจติ พสิ ัย ท่ีมา (ล้วน สายยศ และ อังคณา สายยศ, 2536, หนา้ 12 - 13)
37 3.3 พฤตกิ รรมดา้ นทักษะพสิ ัย เปน็ พฤตกิ รรมทเ่ี กี่ยวกับความสามารถในเชงิ ปฏบิ ตั กิ ารพฤตกิ รรมการเรยี นรดู้ า้ นทกั ษะพิสยั จาแนกได้ 7 ระดบั ไดแ้ ก่ 1) การรับรู้ 2) ความพรอ้ ง 3) การตอบสนองตามแนวทางท่กี าหนดให้ 4) ความสามารถด้วนกลไกล 5) การตอบสนองท่ซี บั ซอ้ น 6) ความสามารถในการดดั แปลง และ 7) ความสามารถในการรเิ รมิ่ 1. การรับรู้ (Perception) เปน็ ขนั้ ท่แี สดงอาการรับรทู้ เี่ คลื่อนไหวโดยอาศยั ประสาทสมั ผสั ทง้ั 5 คือ หู ตา จมูก ลิน้ และสมั ผัสทางกาย แม้จะมสี ่งิ เร้าเข้ามากระตุ้นโดยผา่ นทางประสาทสมั ผสั พร้อมๆ กนั ก็อาจมีการเลอื กท่จี ะรบั รู้ มีการแปลความหมายสง่ิ เร้าเพือ่ ตอบสนอง ตัวอยา่ ง: สามารถรบั รถู้ งึ รสชาตขิ องอาหารทไี่ ด้กลิ่นโชยมา รับรู้ถึงวิธตี อกตะปไู ม่ให้ค้อนถกู มือ เลือกใช้พู่กนั แบนเขียนตัวอกั ษรแทนพู่กันกลม ฯลฯ 2. การเตรียมพรอ้ ม (Set) เป็นสภาพของบุคคลที่พรอ้ มจะแสดงพฤติกรรมออกมาสภาพความพรอ้ ม มี3 ดา้ นคอื ความพร้อมดา้ นร่างกาย ดา้ นสมอง และด้านอารมณ์ ความพร้อมดา้ นรา่ งกาย หมายถึงความพร้อมท่จี ะเคลื่อนไหวอวยั วะของรา่ งกาย ความพร้อมด้านสมองคอื ความพร้อมในการระลกึ ถึงระเบยี บกฎเกณฑต์ ่างๆ ในการแสดงพฤตกิ รรมและ ความพรอ้ มทางด้านอารมณ์ เป็นการเตรียมความพร้อมทางจติ ใจให้อยู่ในทิศทางท่ีพึงปรารถนาหรือ ไม่พึงปรารถนา ตัวอย่าง: การเตรียมอุปกรณใ์ นการทาอาหารได้ถูกต้อง(ความพร้อมทางสมอง) ความตัง้ ใจในการฝกึ ซ้อมนกั กฬี า(ความพร้อมทางอารมณ์) การวางตาแหน่งมอื เทา้ ทถ่ี ูกต้อง พร้อมท่จี ะเต้นตามจังหวะ(ความพร้อมทางร่างกาย) ฯลฯ 3. การตอบสนองตามแนวทางทก่ี าหนดให้ (Guided response) เป็นการแสดงออกในลักษณะ ของการเลียนแบบ และการลองผดิ ลองถกู ตวั อยา่ ง: วาดภาพตามแบบทีค่ รูใหด้ ไู ด้ เลียนแบบท่าราที่ครูสาธติ ใหด้ ู ฝกึ ทา่ ราดว้ ยตนเองหลายๆ ครง้ั จนราได้ดี ฯลฯ
38 4. ความสามารถด้านกลไกล (Mechanism) เป็นข้ันที่ผู้เรียนได้กระทาตามที่เรียนมาและพัฒนาขึ้น จนความสมั ฤทธิผล สามารถสร้างเทคนคิ วิธีสาหรับตนเองข้ึนมาเพอื่ ฝกึ ปฏบิ ตั ิต่อไป ตัวอยา่ ง: เขียนโปสเตอรโ์ ดยการใช้พูก่ นั แบนได้อย่างคล่องแคลว่ ทาอาหารตามสตู รท่พี ัฒนาขน้ึ มาเองได้ โยนลกู บาสเกตบอลเข้าหว่ งไดอ้ ยา่ งแมน่ ยา ราไดอ้ ยา่ งคลอ่ งแคลว่ สวยงาม 5. การตอบสนองที่ซับซ้อน (Complex overt response) เป็นความสามารถในการปฏิบัติในส่ิงท่ี ยงุ่ ยากซับซอ้ นมากขึน้ และสามารถกระทาไดอ้ ย่างม่ันใจ ไมล่ ังเล และทาไดด้ ีจนเป็นอตั โนมตั ิ ตวั อยา่ ง: ตลี ังกาท่าโลดโผนได้ วาดภาพโดยใช้พู่กันละเลงสีโดยไมม่ กี ารร่างก่อน ฯลฯ 6. ความสามารถในการดัดแปลง (Adaptation) เป็นขั้นท่ีสามารถปฏิบัติได้จนชานิชานาญแล้ว จึง คดิ ค้นดดั แปลงหาวิธีการใหม่ๆ มาลองทาใหแ้ ตกต่างไปจากเดมิ เพือ่ ให้เกิดผลดียิ่งขึ้น ตัวอย่าง: ดดั แปลงทา่ เตน้ ราให้สวยงามและแปลก ลองปรงุ อาหารตามสตู รทีด่ ัดแปลงข้นึ 7. ความสามารถในการริเร่ิม(Origination) หลังจากการได้ดัดแปลงวิธีการใหม่ๆ มีการทดลองทาดู แลว้ ก็นาวธิ ีการนน้ั มาประยุกตท์ าให้เกดิ สิง่ ใหม่ขน้ึ มา ตัวอยา่ ง: คดิ ทา่ เตน้ ราตามจงั หวะเพลงใหม่ คิดสตู รอาหารใหม่ คดิ เกมเลน่ ขึน้ มาใหม่ ฯลฯ
39 4. ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งพฤตกิ รรมดา้ นพุทธิพิสัย จติ พสิ ัย และทักษะพสิ ัย ดงั กล่าวมาแล้วข้างต้นว่า พฤติกรรมทางด้านพุทธิพสิ ัย เป็นพฤติกรรมทางด้านสติปญั ญา จิตพสิ ัย เป็น พฤติกรรมด้านอารมณ์ ความรู้สึกนึกคิดทางจิตใจ และทักษะพิสัย เป็นพฤติกรรมทางด้านการปฏิบัติ จุดมุ่งหมายทางการศึกษามุ่งเน้นพัฒนาบุคคลท้ัง 3 ด้านไปพรอ้ มๆกัน น่ันคือบุคคลท่ีพึงประสงค์ทางการศึกษา จะมีลักษณะเป็นผู้มีสติปัญญาดี เฉลียวฉลาดมีสุขภาพจิตดี มีคุณธรรม มีเจตคติท่ีดี และเป็นผู้มีความ คลอ่ งแคลว่ ในเชงิ ปฏิบตั ิการ การพัฒนาคุณลักษณะทั้ง 3 ด้าน ให้เกิดขึ้นในตัวบุคคลนน้ั จะตอ้ งทาไปพร้อมๆ กัน ไม่สามารถจะแยก ทาทีละด้านได้ โดยโครงสร้างทางพฤติกรรมท้ัง 3 ดา้ นจะมีสว่ นสมั พันธ์กันทั้งในลักษณะส่งเสรมิ และตัดทอนกัน จะขอกล่าวถึงความสัมพันธ์ของพฤติกรรมด้านพุทธิพิสัย จิตพิสัย และทักษะพิสัย ในแง่ของการเรียนการสอน ดงั น้ี 1. การพัฒนาคน ควรกระทาไปพร้อมกัน 3 ด้าน ในอัตราส่วนท่ีพอๆกัน ไม่เน้นด้านใดด้านหน่ึงมาก เกนิ ไป การเรยี นการสอนท่เี น้นดา้ นใดดา้ นหน่ึงมากเกินไป ด้านอ่นื ก็จะได้รบั การพฒั นาน้อยลง สมมตุ วิ ่า มีครู 3 คน มีการสอนที่เนน้ แตกตา่ งกันดังน้ี ครู ก : เน้นพทุ ธพิ ิสัยมาก จิตพิสยั และทักษะพสิ ยั ได้รบั การพฒั นาน้อย ครู ข : เนน้ จติ พสิ ัยมาก พุทธิพสิ ยั และทักษะพสิ ยั ไดร้ บั การพัฒนาน้อย ครู ค : เน้นทกั ษะพิสยั มาก พุทธพิ ิสยั และจติ พสิ ัยไดร้ ับการพัฒนานอ้ ย จากลกั ษณะการสอนของครูทง้ั สามพอจะเห็นภาพผลผลติ ของครู คือ ลกั ษณะของนกั เรียนจะเป็นดงั น้ี กลุ่มครู ก นกั เรียนเฉลียวฉลาด แตข่ าดคุณธรรมอาจมสี ุขภาพจติ และเชื่องชา้ ออ่ นแอ กลุ่มครู ข นักเรียนมีสุขภาพจิตดี มีคุณธรรม มีระเบียบวินัย มีความรับผิดชอบสูงแต่ไม่ใคร เฉลียวฉลาด เช่อื งช้า ออ่ นแอ กลุ่มครู ค นักเรียนคล่องแคล่ว ว่องไว แข็งแรง แต่ไมใ่ ครเฉลียวฉลาดออมีปัญหาเร่อื งคุณธรรมและ สุขภาพจิต จะเห็นได้ว่าท้ังสามกลุ่มต่างมีจุดเด่นจุดด้วยแตกต่างกันและมีลักษณะเป็นคนมีปัญหาไปคนละด้าน เพราะสัดส่วนการพัฒนาในแต่ละด้านต่างกัน การเรียนการสอนครูควรพัฒนาผู้เรียนไปท้ังสามด้านพร้อมๆกัน ในอัตราส่วนทีพ่ อๆกนั อาจพัฒนาทางด้านพทุ ธพิ ิสัยนาเล็กนอ้ ยในอัตราสว่ น พุทธพิ สิ ยั : จติ พสิ ัย : ทกั ษะพสิ ัย = 4 : 3 : 3 กจ็ ะทาใหน้ กั เรยี นได้พัฒนาด้าน สตปิ ัญญาอารมณ์ จติ ใจ และทกั ษะไปพร้อมๆ กัน 2. พฤติกรรมดา้ นจติ พสิ ัย จะพัฒนาไดด้ ีต้องอาศยั ความรู้ด้านสติปัญญาเป็นพื้นฐาน เพ่ือให้เกดิ ความ เข้าใจในสิ่งท่ีรับรู้น้ัน ส่วนด้านทักษะพิสัยน้ันความเข้าใจในด้านพุทธิพิสัย จะทาให้เกิดความพร้อมในการ แสดงพฤติกรรมออกมา ตัวอย่าง แบบทดสอบวัดความสามารถด้านพุทธิพิสัยท่ีสัมพันธ์กับพฤติกรรมด้านจิตพิสัย ( สมบูรณ์ ชติ พงศ,์ 2533 : 455 )
40 1. วัดความรคู้ วามจา “ ความเสยี สละ ” หมายถึงอะไร 1. การให้ 2. การจา่ ย 3. การยอม 4. การสูญเสีย 5. การพลัดพราก 2. วดั ความเข้าใจ ลกั ษณะใดเปน็ การเสียสละ 1. การทาบุญ 2. การเสียภาษี 3. การใชข้ องเกา่ 4. การคนื เงนิ กยู้ มื 5. การเสียดมู หรสพ 3. การนาไปใชว้ ดั การเสียสละชีพเพอ่ื อดุ มการณ์ ใชไ้ ด้ผลดใี นเร่อื งเก่ียวกบั อะไร 1. การกฬี า 2. ความรัก 3. ครอบครวั 4. การเมือง 5. สขุ ภาพอนามยั 4. วดั การวิเคราะห์ การเสยี สละเพ่อื การใดให้คุณคา่ สูงสุด 1. เพ่อื ให้มีอย่มู ีกิน 2. เพ่ือเอาตวั รอด 3. เพื่อทางานไดส้ าเรจ็ 4. เพ่ือใหส้ ังคมอยู่รอดได้ 5. เพ่อื ใหค้ นใกลช้ ิดพอใจ 5. คุณลกั ษณะด้านจิตพิสยั มคี วามสัมพันธ์กับการเรยี นรู้ดา้ นพุทธิพสิ ัยมาก ท้งั ในแง่เหตแุ ละผล ตัวอย่าง สมศรี เรยี นคณติ ศาสตร์ไม่เข้าใจ ทาใหเ้ กดิ เจตคตทิ ไ่ี ม่ดตี อ่ การเรยี นวชิ าคณิตศาสตร์ มานี สมัครเป็นสมาชิกสมาคมคณิตศาสตร์แห่งประเทศไทย แสดงถึงความสนใจในวิชา คณิตศาสตร์ สุภาพ ตั้งใจทาแบบฝึกหัดคณิตศาสตร์สม่าเสมอ เพ่ือหวังได้เป็นตัวแทนไปแข่งคณิตศาสตร์ โอลิมปกิ แสดงวา่ มีแรงจูงใจในการเรียนคณติ ศาสตร์ ชาติชาย นอนไม่หลับเพราะเกรงว่าจะถูกลงโทษ เน่ืองจากทาการบ้านคณิตศาสตร์ไม่เสร็จตามท่ี ครูกาหนด แสดงวา่ มีความกงั วลใจ อภิชาติ ทาคะแนนข้อสอบวิชาคณิตศาสตร์ได้ตา่ กว่าครึ่ง แต่อภิชาติยังคดิ ว่าตนน่าจะทาคะแนน ได้ดกี ว่าน้ี จึงคดิ วา่ ที่ทาได้คะแนนต่าคงเป็นเพราะข้อสอบยากไป แสดงวา่ อภิชาตประเมินตนเองไม่สอดคล้อง กับ อตั มโนทัศน์ทเี่ ปน็ จรงิ ประยูร มีความคิดคนที่เก่งคณิตศาสตร์มักประสบความสาเร็จในการประกอบอาชีพ แสดงว่า ประยูรมเี จตคติท่ีดีต่อวชิ าคณติ ศาสตร์
41 จะเหน็ ไดว้ ่าความเจริญงอกงามทางด้านพุทธิพิสยั จิตพสิ ัย และทักษะพสิ ยั มสี ว่ นสัมพันธก์ ันอย่างย่ิง บทสรปุ พฤติกรรมทางการศึกษาที่เป็นจุดมุ่งหมายในการพัฒนาบุคคลให้เจริญงอกงาม มี 3 ด้าน คือ ด้าน พทุ ธพิ สิ ัย จิตพสิ ัย และทกั ษะพสิ ยั พฤติกรรมการเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัย มี 6 ระดับได้แก่ 1) ความรู้ความจา 2) ความเข้าใจ 3) การ นาไปใช้ 4) การวิเคราะห์ 5) การสงั เคราะห์ และ 6) การประเมนิ ผล พฤติกรรมด้านจิตพิสัย มี 5 ระดับได้แก่ 1) การรับรู้ 2) การตอบสนอง 3) การสร้างคุณค่า 4)การ จดั ระบบคณุ คา่ และ 5) การสรา้ งลักษณะนสิ ัย พฤติกรรมด้านทักษะพิสัย มี 7 ระดับคือ 1) การรับรู้ 2) ความพร้อม 3) การตอบสนองตามแนวทาง ท่ีกาหนดให้ 4) ความสามารถด้านกลไก 5) การตอบสนองท่ีซับซ้อน 6) ความสามารถในการดัดแปลง และ 7) ความสามารถในการริเริ่ม พฤติกรรมการเรียนรู้ทั้ง 3 ด้าน มีความสัมพันธ์กันอย่างมาก ในการเรียนการสอนท่ีดีครคู วรมุ่งม่ันให้ ผู้เรียนมีพัฒนาการทั้งสามด้านไปพร้อมๆ กัน
42 5. ความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมทางการเรยี นรกู้ ับการประเมนิ ผล เมื่อครูมีความรคู้ วามข้าใจเก่ยี วกับพฤติกรมทางการเรียนรู้ทงั้ 3 ด้านแล้วสิ่งแรกท่ีครูจะตอ้ งพิจาณาใน การจัดการเรียนการสอนแต่ละครั้งก็คือจะสอนเพ่ือให้ผู้เรียนเกิดพฤติกรรมอะไร ต้องการพฤติกรรมต้น พุทธิ พสิ ัยทักษะพิสัยหรือจิตพิสัย หรือบางคร้ังอาจต้องการพฤติกรมทุกดา้ นรวมกัน นั่นคอื ครูจะตอ้ งมีจุดประสงค์ท่ี ชัดเจนและเหมาะสมแล้วดาเนินการจัดการเรียนการสอนให้ผู้เรียนบรรลุจดุ ประสงค์ดงั กล่าวอย่างครบถ้วน ครู จึงตอ้ งมคี วามรคู้ วามเข้าใจในจดุ ประสงคข์ องการเรยี นรู้ จุดประสงคก์ ารเรียนรูม้ หี ลายระดบั ดังนี้ 1. ระดบั ความมุ่งหมายของการศกึ ษาของชาติ 2. ระดบั การศึกษาแต่ละระดับ (ระดบั หลักสูตร) 3. ระดับกล่มุ วชิ า หมวดวชิ า หรือกลุม่ สาระการเรยี นรู้ 4. ระดับรายวชิ า 5. ระดบั การเรยี นรู้ 6. ระดับเชงิ พฤติกรรม โดยจุดประสงคเ์ ชงิ พฤตกิ รรมได้กล่าวไวแ้ ลว้ ในข้างตน้ ลาดับถดั ไปจะกลา่ วถงึ กระบวนการประเมนิ ผล กระบวนการประเมนิ ผล กระบวนการประเมินผลการศึกษามีความเช่ือมโยงกับจุดมุ่งหมายการศึกษา กจิ กรรมการเรยี นการ สอน ครู และผ้เู รียน การประเมนิ ผลมีกระบวนการ 6 ข้นั ตอน ดงั แสดงในภาพ กาหนดวัตถุประสงค์ร่วมกันระหว่างครูกบั ผูเ้ รยี น กาหนดจุดประสงค์เชงิ พฤติกรรม สรา้ งเคร่ืองมอื วัดผลการเรยี นรู้ ทดสอบและเก็บรวบรวมข้อมูล จัดกระทาข้อมูล ตดั สนิ ผลการเรยี น ภาพท่ี 4 กระบวนการประเมนิ ผล
43 รายละเอียดของกระบวนการประเมินผลแตล่ ะขนั้ ตอนมี ดงั น้ี ขน้ั ท่ี 1 กาหนดวัตถปุ ระสงค์ประสงค์รว่ มกนั ระหวา่ งครูกบั ผเู้ รยี น ข้นั นเ้ี ปน็ การวางแผนรวมกนั ระหวา่ งครูกับผู้เรียนกอ่ นเร่ิมจัดกจิ กรรมการเรียนการสอนโดยครูจะนาเสนอเอกสารท่เี ป็นสาระและกิจกรรม ตลอดทงั้ ภาคเรยี นซงึ่ เรียกว่าแนวการเรียนการสอน (course syllabus) เพ่ือให้ผู้เรียนร่วมกันพจิ ารณาและตก ลงกันตง้ั แต่ตน้ ภาคเรียนว่าจดุ ประสงค์ของวชิ านเี้ ปน็ อย่างไร กิจกรรมการเรยี นการสอนต้องทาอะไรบา้ ง เกณฑ์ การตดั สินผลการเรียนมวี ธิ ีอย่างไรเพื่อใหผ้ ู้เรยี นเห็นภาพตลอดทั้งภาคเรียน และมีสิทธทิ์ จ่ี ะขอเพ่ิม หรอื ลด หรือปรับสารและกิจกรรมทค่ี รูนาเสนอได้ ขน้ั ที่ 2 กาหนดจุดประสงคเ์ ชงิ พฤติกรรม ข้ันนีเ้ ป็นการแปลงจดุ หมายท่วั ไปหรือจดุ ม่งุ หมายของ รายวิชาเปน็ จุดประสงค์เชิงพฤตกิ รรมในแต่ละบทหรือหนว่ ยการเรยี นเพ่ือให้ครูมีความชัดเจนในพฤติกรรม และ คณุ ลักษณะที่ต้องกาให้เกดิ กับผ้เู รียน และเพ่ือใหส้ ามารถวัดได้ สังเกตได้ จุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม ประกอบดว้ ยเง่อื นไขทีแ่ สดงพฤตกิ รรม ข้ันท่ี 3 สรา้ งเคร่ืองมือวัดผลการเรยี นรู้ ขั้นนี้ครูต้องร้วู ่าเครื่องมืดวัดผลมีกี่ประเภท แตล่ ะ ประเภท มีลักษณะเฉพาะ ข้อดีและขอ้ จาอยา่ งไรเพอ่ื ท่ีจะเลือกใช้ใหเ้ หมาะกับจดุ ประสงคเ์ ชงิ พฤติกรมท่ีจะวัด เครอื่ งมอื ที่ใชว้ ัดผลกรเรยี นของผเู้ ยนมหี ลายประเภท เช่น แบบทดสอบ แบบวัดเจตคติ แบบสังเกต แบบ สัมภาษณ์ แบบสอบถาม เป็นตน้ ซึ่งโดยทว่ั ไปครมู ักนยิ มใช้แบบทดสอบหรือข้อสอบท่คี รูสร้างขึน้ ขน้ั ท่ี 4 ทดสอบและเก็บรวบรวมข้อมูล เมื่อครูสร้างเครื่องมือเสรจ็ แล้วก่อนนาไปรวบรวมขอ้ มูล ควรมกี ารตรวจสอบหาคุณภพของเครื่องมอื หลงั จากนนั้ ก็นาไปรวบรวมขอ้ มูล ซ่ึงสามารถดาเนนิ การได้ 3 ระยะ คือ ระยะก่อนเรียน ระหวา่ งการเรียนการสอน และเมอ่ื สิน้ สุดการเรยี นการสอน ขัน้ ที่ 5 จัดกระทาข้อมูล ในขั้นน้ีรูจะตอ้ งรูว้ า่ จะจัดกระทาข้อมูลเพื่อจดุ ประสงค์ใดเพ่ือบรรยาย เกีย่ วกับนกั เรยี นเปน็ รายบคุ คล หรอื ต้องการบรรยายเป็นกลุ่ม หากตอ้ งการบรรยายเป็นกลมุ่ จะบรรยายเฉพาะ กลุ่ม หรือจะสรปุ ององิ ไปยังกลุ่มใหญ่โดยอาศยั กลมุ่ ท่ีศกึ ษานเ้ี ป็นกลมุ่ ตวั อยา่ งและขอ้ มูลทีว่ ดั มาไดน้ ้ีอยใู่ นระดบั มาตราใด บอกประเท ลาดับท่ี หรอื บอกชว่ ง น่นั คอื ครูต้องมีความรู้เรื่องมาตรกวัดและมคี วามรเู้ รื่องสถติ ิ ทั้ง สถิตบิ รรยาย (descriptive statistics) และสถิติองอิง (inferential statistics) ขนั้ ท่ี 6 ตดั สนิ ผลการเรียน การประเมินผลการเรยี นของผูเ้ รยี นที่ปฏิบัตกิ นั มากในปัจจุบันก็คือ การตัดเกรดหรือการใหร้ ะดบั ผลการเรียนซ่ึงกระทาเมื่อประเมนิ ภายหลงั สน้ิ สดุ การเรียนการสอน และอาจจะ กระทาเฉพาะส้นิ สดุ การเรียนการสอนแต่ละตอนก็ได้ เช่น ให้เกรดในการสอบยอ่ ยแต่ละคร้งั ใหเ้ กรดผลงาน การใหเ้ กรดตอนท้ายของบทเรยี นแตล่ ะบทเรยี น เปน็ ต้น ซ่ึงครูจาเปน็ ตอ้ งมคี วามร้เู กย่ี วกับหลักในการตดั เกรด และวิธกี ารตดั เกรดท่ดี ี
44 กระบวนการประเมินผลจะมีคณุ ภาพเพียงใดขนึ้ อยู่กับความสามารถของผู้ประเมนิ ดงั น้ี 1. ผ้ปู ระเมนิ ตอ้ งมีความรอบคอบในการตัดสนิ โดยก่อนตดั สนิ ใจต้องมีข้อมลู อย่างครบถ้วน เพยี งพอ 2. ผูป้ ระเมนิ ต้องมีคุณธรรมในการประเมินทจี่ ะทาให้การประเมนิ ไมเ่ กดิ ความลาเอยี งในการ ตัดสินใจ มคี วามพยายามท่ีจะวัดสิง่ ตา่ งๆให้ถูกต้องและเช่ือถอื ได้มากทส่ี ุด และดว้ ย วิธที ่มี ีประสทิ ธภิ าพมาก ทส่ี ดุ 3. ผู้ประเมนิ ต้องใชเ้ ครื่องมือทมี่ ีคณุ ภาพดี มีความเที่ยงตรงและมีความเช่อื มั่นได้ 4. ผ้ปู ระเมินต้องมีความรู้ความเขา้ ใจในสง่ิ ท่ีจะวัดและประเมนิ เปน็ อย่างดี มีความรู้ ความเข้าใจ ในตวั ผู้เรยี น ร้หู ลกั ในการวัดและประเมนิ ผลรวมท้ังมีความรู้และคุน้ เคยในเคร่ืองมือ แต่ละชนิดอย่างถ่องแท้ สามารถเลือกเคร่ืองมือมาใช้วัดได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม
45 บรรณานกุ รม กานดา พนู ลาภทว.ี (2530). การประเมนิ ผลการศึกษา. กรุงเทพฯ : สถาบนั เทคโนโลยพี ระจอมเกล้า พระนครเหนือ. พิชิต ฤทธิจ์ รญู . (2548). หลักการวดั และประเมินผลการศึกษา. พิมพ์ครัง้ ที่ 3. กรุงเทพฯ : เฮา้ ส์ ออฟ เคอร์ มสี ท.์ ภทั รา ฤทธ์จิ รญู . (2543). การประเมินผลการเรียน. พิมพ์ครั้งท่ี 3. กรงุ เทพฯ : หา้ งหุ้นสว่ นจากดั ทพิ ย วิสุทธิ์. เยาวดี วิบูลยศ์ รี. (2545). การวดั ผลและการสร้างแบบสอบผลสัมฤทธิ์. พมิ พค์ รง้ั ที่ 3. กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พ์ แหง่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั . สมจติ รา เรอื งศร.ี (2558). การประเมนิ ผลการเรียนวิชาภาษาไทย. กรงุ เทพฯ : สานกั พมิ พ์มหาวทิ ยาลยั รามคาแหง. สนุ นั ทา มัน่ เศรษฐวิทย.์ (2559). การประเมินผลการเรียนการสอนภาษาไทย. กรงุ เทพฯ : สานักพิมพ์ มหาวิทยาลัยรามคาแหง. อนวุ ัติ คณุ แกว้ . (2558). การวดั ผลและประเมินผลการศึกษาแนวใหม.่ กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พ์แหง่ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย.
46
Search
Read the Text Version
- 1 - 50
Pages: