ค่มู ือรายวชิ า เสรมิ ทกั ษะภาษา (ท ๑๔๒๐๒) ก
คำนำ หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานเป็นหลักสูตรแกนกลางของประเทศที่มีมาตรฐานการเรียนรู้ใน ข้อกำหนดคุณภาพของผู้เรยี นทงั้ ตวั ความรู้ ทกั ษะ กระบวนการ คุณธรรม จรยิ ธรรม และค่านยิ ม สาระการเรียนรูเ้ ป็นการกำหนดองค์ความรูท้ ่ีเป็นเนื้อหาสาระครอบคลมุ การศึกษา และภาษาไทย เป็นเอกลักษณข์ องชาติ เป็นสมบัติทางวฒั นธรรมอันกอ่ ให้เกิดความเปน็ เอกภาพและเสริมสร้างบุคลิกภาพ ของคนในชาติให้มีความเป็นไทย เปน็ เคร่ืองมือในการตดิ ต่อสอื่ สารเพือ่ สร้างความเขา้ ใจและความสมั พนั ธท์ ดี่ ี ตอ่ กนั ทำให้สามารถประกอบกจิ ธรุ ะ การงาน และดำรงชีวิตร่วมกัน ในสังคม ภาษาไทยเปน็ ทกั ษะทตี่ ้องฝกึ ฝนจนเกดิ ความชำนาญในการใช้ภาษาเพอ่ื การส่อื สาร การเรยี นร้อู ยา่ ง มีประสทิ ธิภาพและเพือ่ นำไปใชใ้ นชีวิตจริง ดังนั้นขา้ พเจ้า ผู้สอนรายวชิ าภาษาไทย ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ จึงตระหนกั ในความจำเป็น และเหน็ ความสำคญั ของภาษาไทย จึงจดั ทำคู่มือหลกั สูตรระดับชนั้ เรียน ข้าพเจ้าไดว้ เิ คราะห์ตวั ชว้ี ดั /ผลการ เรียนรู้ คำอธิบายรายวชิ า โครงสร้างรายวิชา เพอ่ื จดั ทำหน่วยการเรยี นรู้ แผนการจดั การเรยี นรู้ ซงึ่ สอดคล้อง กับหลักสตู รสถานศึกษา โดยมีกิจกรรมการเรียนการสอนทเ่ี นน้ ผเู้ รยี นเปน็ สำคัญ เพ่ือพฒั นาคุณภาพผู้เรียน ใหบ้ รรลุเป้าหมายของหลกั สตู ร ข้าพเจ้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการจัดทำคู่มือหลักสูตรวิชาภาษาไทย ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ จะเปน็ ประโยชนต์ ่อการนำไปใชเ้ ป็นแนวทางในการพัฒนาผเู้ รยี นให้มคี ุณภาพ กิตศิ กั ด์ิ สุขวโรดม คณะผู้จัดทำ ค่มู อื รายวชิ า เสรมิ ทักษะภาษา (ท ๑๔๒๐๒) ก
สารบัญ หนา้ ทำไมต้องเรียนภาษาไทย ......................................................................................................................... ๑ เรยี นรอู้ ะไรในภาษาไทย .......................................................................................................................... ๑ คุณภาพผ้เู รียน ........................................................................................................................................ ๒ คำอธบิ ายรายวิชา.................................................................................................................................... ๓ โครงสรา้ งรายวชิ า.................................................................................................................................... ๕ อภิธานศัพท์............................................................................................................................................. ๗ กระบวนการเขียน ............................................................................................................................... ๗ กระบวนการอา่ น................................................................................................................................. ๘ การเขยี นเชงิ สร้างสรรค์....................................................................................................................... ๘ การดู................................................................................................................................................... ๙ การตีความ.......................................................................................................................................... ๙ การเปลยี่ นแปลงของภาษา.................................................................................................................. ๙ การสรา้ งสรรค์..................................................................................................................................... ๙ ขอ้ มูลสารสนเทศ.............................................................................................................................. ๑๐ ความหมายของคำ............................................................................................................................ ๑๐ คณุ ค่าของงานประพันธ์.................................................................................................................... ๑๐ โครงงาน........................................................................................................................................... ๑๑ ทักษะการสอ่ื สาร.............................................................................................................................. ๑๑ ธรรมชาติของภาษา.......................................................................................................................... ๑๑ แนวคิดในวรรณกรรม....................................................................................................................... ๑๒ บรบิ ท............................................................................................................................................... ๑๒ พลงั ของภาษา .................................................................................................................................. ๑๒ ภาษาถ่นิ ........................................................................................................................................... ๑๒ คมู่ ือรายวิชา เสรมิ ทกั ษะภาษา (ท ๑๔๒๐๒) ก
ภาษาไทยมาตรฐาน.......................................................................................................................... ๑๓ ภาษาพดู กับภาษาเขยี น.................................................................................................................... ๑๓ ภูมิปัญญาทางภาษา ......................................................................................................................... ๑๓ ระดบั ภาษา ...................................................................................................................................... ๑๔ วิจารณญาณ..................................................................................................................................... ๑๔ คณะผจู้ ดั ทำ ......................................................................................................................................... ๑๕ คูม่ อื รายวิชา เสรมิ ทักษะภาษา (ท ๑๔๒๐๒) ข
ทำไมตอ้ งเรยี นภาษาไทย ภาษาไทยเป็นเอกลักษณ์ของชาติเปน็ สมบัติทางวัฒนธรรมอันก่อให้เกดิ ความเป็นเอกภาพและ เสริมสร้างบุคลิกภาพของคนในชาติให้มีความเป็นไทย เป็นเครื่องมือในการติดต่อสื่อสารเพื่อสร้างความ เขา้ ใจและความสัมพนั ธ์ทดี่ ตี ่อกัน ทำให้สามารถประกอบกิจธรุ ะ การงาน และดำรงชวี ติ ร่วมกนั ในสังคม ประชาธิปไตยได้อย่างสันติสุข และเป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้ ประสบการณ์จากแหล่งข้อมูล สารสนเทศต่าง ๆ เพ่ือพฒั นาความรู้ พัฒนากระบวนการคดิ วเิ คราะห์ วิจารณ์ และสร้างสรรคใ์ ห้ทันตอ่ การ เปลี่ยนแปลงทางสังคม และความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ตลอดจนนำไปใช้ในการพัฒนา อาชีพให้มีความม่ันคงทางเศรษฐกิจ นอกจากน้ียังเป็นสือ่ แสดงภูมิปญั ญาของบรรพบุรุษ ด้านวัฒนธรรม ประเพณี และสนุ ทรียภาพ เป็นสมบตั ิล้ำค่าควรแก่การเรียนรู้ อนุรักษ์ และสืบสาน ให้คงอยูค่ ู่ชาติไทย ตลอดไป เรียนรอู้ ะไรในภาษาไทย ภาษาไทยเป็นทักษะท่ีต้องฝึกฝนจนเกิดความชำนาญในการใช้ภาษาเพื่อการส่ือสาร การเรียนรู้ อย่าง มีประสทิ ธิภาพ และเพอ่ื นำไปใชใ้ นชวี ติ จริง การอ่าน การอา่ นออกเสยี งคำ ประโยค การอ่านบทรอ้ ยแกว้ คำประพันธช์ นิดต่าง ๆ การอ่านใน ใจเพื่อสร้างความเข้าใจ และการคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ความรู้จากสิ่งที่อ่าน เพื่อนำไปปรับใช้ใน ชวี ติ ประจำวัน การเขียน การเขียนสะกดตามอักขรวิธี การเขยี นสื่อสาร โดยใช้ถ้อยคำและรปู แบบต่าง ๆ ของ การเขียน ซึ่งรวมถึงการเขียนเรยี งความ ยอ่ ความ รายงานชนิดตา่ ง ๆ การเขียนตามจินตนาการ วิเคราะห์ วจิ ารณ์ และเขียนเชิงสร้างสรรค์ การฟงั การดู และการพูด การฟังและดอู ยา่ งมีวจิ ารณญาณ การพูดแสดงความคิดเหน็ ความร้สู กึ พูดลำดบั เรือ่ งราวต่าง ๆ อยา่ งเปน็ เหตเุ ปน็ ผล การพูดในโอกาสตา่ ง ๆ ท้งั เป็นทางการและ ไม่เป็นทางการ และการพดู เพ่อื โนม้ น้าวใจ หลกั การใช้ภาษาไทย ธรรมชาติและกฎเกณฑ์ของภาษาไทย การใชภ้ าษาใหถ้ กู ต้องเหมาะสมกับ โอกาสและบคุ คล การแตง่ บทประพันธป์ ระเภทต่าง ๆ และอิทธิพลของภาษาต่างประเทศในภาษาไทย วรรณคดีและวรรณกรรม วิเคราะห์วรรณคดีและวรรณกรรมเพื่อศึกษาข้อมูล แนวความคิด คุณค่าของงานประพันธ์ และความเพลิดเพลิน การเรียนรู้และทำความเข้าใจบทเห่ บทร้องเลน่ ของเด็ก เพลงพืน้ บา้ นท่ีเป็นภมู ปิ ญั ญาที่มีคุณค่าของไทย ซง่ึ ได้ถา่ ยทอดความรู้สกึ นึกคดิ คา่ นิยม ขนบธรรมเนียม ประเพณี เรื่องราวของสังคมในอดีต และความงดงามของภาษา เพื่อให้เกิดความซาบซึ้งและภูมิใจ ใน บรรพบรุ ุษท่ไี ด้สั่งสมสบื ทอดมาจนถึงปจั จบุ นั คมู่ ือรายวชิ า เสรมิ ทกั ษะภาษา (ท ๑๔๒๐๒) ๑
คณุ ภาพผู้เรียน จบชั้นประถมศกึ ษาปีท่ี ๖ อ่านออกเสียงบทร้อยแก้วและบทร้อยกรองเป็นทำนองเสนาะได้ถูกต้อง อธิบายความหมาย โดยตรงและความหมายโดยนยั ของคำ ประโยค ข้อความ สำนวนโวหารจากเรือ่ งท่อี า่ น เขา้ ใจคำแนะนำ คำอธิบายในคู่มอื ต่าง ๆ แยกแยะข้อคดิ เห็นและข้อเทจ็ จริง รวมท้ัง จับใจความสำคัญของเรื่องท่อี า่ น และนำความรูค้ วามคิดจากเรือ่ งทีอ่ ่านไป ตัดสินใจ แก้ปัญหาในการดำเนินชีวติ ได้ มีมารยาทและ มีนิสัย รักการอา่ นและเห็นคณุ ค่าสิ่งท่ีอ่าน มีทักษะในการคัดลายมือตัวบรรจงเต็มบรรทดั และครึ่งบรรทดั เขียนสะกดคำ แต่งประโยคและ เขียนขอ้ ความ ตลอดจนเขยี นสอื่ สารโดยใชถ้ ้อยคำท่ีชัดเจนเหมาะสม ใช้แผนภาพโครงเร่อื ง และแผนภาพ ความคดิ เพือ่ พัฒนางานเขยี น เขียนเรยี งความ ยอ่ ความ จดหมายสว่ นตวั กรอกแบบรายการตา่ ง ๆ เขียน แสดงความรสู้ ึกและคดิ เหน็ เขียนเรื่องตามจินตนาการอย่างสร้างสรรค์ และมีมารยาทในการเขยี น พูดแสดงความรู้ ความคิดเกี่ยวกับเรื่องที่ฟังและดู เล่าเรื่องย่อหรือสรุปจากเรื่องที่ฟังและดู ตั้งคำถาม ตอบคำถามจากเรื่องทฟี่ งั และดู รวมท้ังประเมนิ ความน่าเช่อื ถอื จากการฟังและดูโฆษณาอย่างมี เหตุผล พูดตามลำดับขั้นตอนเร่ืองต่าง ๆ อย่างชัดเจน พูดรายงานหรือประเดน็ คน้ คว้าจากการฟัง การดู การสนทนาและพูดโนม้ น้าวได้อย่างมีเหตผุ ล รวมท้ังมีมารยาทในการฟงั ดูและพูด สะกดคำและเข้าใจความหมายของคำ สำนวน พังเพย และสุภาษิต รู้และเข้าใจชนิดและหน้าที่ ของคำในประโยค ชนิดของประโยค คำภาษาถิ่นและคำภาษาต่างประเทศในภาษาไทย ใช้คำราชาศัพท์ และคำสุภาพได้อยา่ งเหมาะสม แต่งประโยค แต่งบทร้อยกรองประเภทกลอนสี่ กลอนสุภาพและกาพย์ ยานี ๑๑ เข้าใจและเหตุคุณค่าวรรณคดีและวรรณกรรมที่อ่าน เล่านิทานพื้นบ้าน ร้องเพลงพื้นบ้านของ ท้องถิ่น นำขอ้ คดิ เห็นจากเรอ่ื งท่อี ่านไปประยกุ ต์ใชใ้ นชีวติ จรงิ และท่องจำบทอาขยานตามท่กี ำหนดได้ คมู่ อื รายวิชา เสรมิ ทกั ษะภาษา (ท ๑๔๒๐๒) ๒
คำอธบิ ายรายวิชา วิชา เสรมิ ทักษะภาษาไทย กลุ่มสาระการเรยี นร้ภู าษาไทย ช้ันประถมศกึ ษาปีที่ ๔ เวลา ๔๐ ชวั่ โมง จำนวน ๑.๐ หน่วยกิต ศกึ ษาหลกั การอ่านออกเสยี งรอ้ ยแกว้ และรอ้ ยกรอง การบอกความหมายของคำจากประโยค หลักการแยกและจำแนกข้อเท็จจริงและข้อคิดเห็นจากการอ่าน การฟังและการดู หลักการคาดคะเน เหตุการณ์จากเรือ่ งทีอ่ า่ น หลักการสรปุ ความรู้และขอ้ คิดจากเร่ือง หลักการเขียนคำขวัญ หลักการเขยี น คำแนะนำ หลกั การเขยี นแผนภาพโครงเร่อื ง หลักการเขียนยอ่ ความ หลกั การเขียนบนั ทึกความร้จู ากเร่อื ง ทอี่ า่ น หลักการเขียนเรื่องตามจินตนาการ หลักการพูดสรปุ ความรูแ้ ละขอ้ คดิ จากเรอ่ื งทีฟ่ งั และดู หลักการ พูดแสดงความรู้และข้อคิด พร้อมกับหลักการพูดรายงานประเด็นที่ศึกษา ชนิดของคำ หน้าที่ของคำใน ประโยค มาตราตัวสะกด และหลกั การอธบิ ายข้อคดิ จากวรรณคดีและวรรณกรรมทไี่ ด้อา่ น อ่านออกเสียงบทรอ้ ยแกว้ และบทรอ้ ยกรอง อธิบายความหมายของคำจากประโยค แยกและ จำแนกขอ้ เท็จจริงและขอ้ คดิ เห็นจากการอา่ น การฟังและการดู คาดคะเนเหตกุ ารณจ์ ากเร่ืองที่อา่ น สรุป ความรแู้ ละขอ้ คิดจากเร่อื งทีอ่ ่าน เขยี นคำขวัญ คำแนะนำ เขยี นแผนภาพโครงเรื่อง เขียนยอ่ ความ พร้อม กับเขียนบันทกึ ความรจู้ ากเรอ่ื ที่อา่ น เขยี นตามจินตนาการ พร้อมกบั พดู สรุปความรแู้ ละข้อคิดจากเรื่องที่ ฟงั และดู พูดแสดงความรแู้ ละข้อคดิ พูดรายงานประเด็นที่ศกึ ษา ระบแุ ละหนา้ ที่ชนิดของคำจากประโยค หรอื ข้อความ สะกดตรงตามมาตราตัวสะกด และอธิบายขอ้ คิดจากวรรณคดีและวรรณกรรมทไ่ี ด้อ่าน ตระหนักถึงมารยาทในการอา่ น การเขยี น การฟัง การดแู ละการพดู มีความรักความเป็นไทย อนุรักษ์และสืบสานการใช้ภาษาไทยให้ถูกต้องเหมาะสมตามกาลเทศะ พร้อมกับตระหนักรู้เกี่ยวกับ อัตลกั ษณ์การไหว้ พร้อมกับนอ้ มนำหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพียงนำมาปรบั ใช้ในชวี ิตประจำวนั อยา่ ง ถกู ตอ้ งหลักและสร้างสรรค์ ผลการเรยี นรู้ ๑. อา่ นออกเสยี งบทรอ้ ยแกว้ และร้อยกรองได้ ๒. อธบิ ายความหมายของคำจากประโยคได้ ๓. แยกขอ้ เทจ็ จรงิ และและคดิ เหน็ จากเร่ืองทีอ่ ่านได้ ๔. คาดคะเนเหตุการณจ์ ากเรอ่ื งท่ีอา่ นได้ ๕. สรุปความรจู้ ากเร่ืองทอี่ ่านได้ ๖. สรปุ ข้อคิดจากเรอื่ งที่อา่ น เพอื่ นำไปใช้ในชีวิตจรงิ ได้ ๗. เขยี นคำขวญั คำแนะนำได้ ๘. เขียนแผนภาพโครงเรอื่ งเพอื่ ไปพฒั นางานเขยี นได้ ๙. เขยี นย่อความจากนิทานได้ ๑๐. เขยี นบนั ทึกความรู้จากเรอื่ งทอี่ ่านได้ ๑๑. เขยี นเรอื่ งตามจินตนาการได้ ๑๒. จำแนกขอ้ เทจ็ จรงิ และขอ้ คดิ เหน็ จากเร่อื งทีฟ่ งั ได้ คู่มอื รายวชิ า เสรมิ ทักษะภาษา (ท ๑๔๒๐๒) ๓
๑๓. พดู สรปุ ความรจู้ ากการฟงั และดูได้ ๑๔. พูดแสดงความคดิ เหน็ จากเร่ืองทฟ่ี งั และดไู ด้ ๑๕. พูดรายงานประเดน็ ทศ่ี กึ ษาได้อยา่ งถูกตอ้ ง ๑๖. สะกดคำมาตราตัวสะกดไดถ้ กู ตอ้ ง ๑๗. บอกความหมายของคำเป็น/คำตายได้ ๑๘. ระบุชนดิ และหน้าท่ีของคำในประโยคได้ ๑๙. แตง่ ประโยคได้ถกู ตอ้ งตามหลกั ภาษา ๒๐. ระบุข้อคิดจากนทิ านพน้ื บา้ น/นทิ านคตธิ รรม/เพลงพ้นื บ้านได้ ๒๑. อธิบายข้อคดิ จากการอ่าน เพอื่ นำไปใชใ้ นชีวิตจริงได้ คู่มอื รายวชิ า เสรมิ ทักษะภาษา (ท ๑๔๒๐๒) ๔
โครงสรา้ งรายวิชา วิชา เสรมิ ทักษะภาษาไทย กล่มุ สาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศกึ ษาปที ี่ ๔ เวลา ๔๐ ชวั่ โมง จำนวน ๑.๐ หน่วยกติ ลำดับ ช่ือหน่วยการเรยี นรู้ ผลการเรียนรู้ สาระสำคญั เวลา น้ำหนกั ภาระงาน/ ที่ เรียน คะแนน ชน้ิ งาน ๑. อ่านออกเสียงบทรอ้ ยแก้ว การอ่านออกเสียงต้องออก (ชว่ั โมง) ๑ ฝกึ ฝนทักษะการอา่ น และรอ้ ยกรองได้ เสียงคำใหช้ ัดเจนถูกต้อง เว้น ๑๖ - ๒. อธบิ ายความหมายของคำ วรรคตอนหรือจังหวะให้ ๘ ๒ ฝึกฝนทักษะการเขียน จากประโยคได้ ถูกตอ้ งตามเน้ือความของเรอ่ื ง ๑๕ ๓. แยกขอ้ เท็จจรงิ และและ และลักษณะของคำประพันธ์ ๖ ๓ ฝกึ ฟัง ดู พดู อย่าง คดิ เห็นจากเร่ืองท่อี ่านได้ พรอ้ มกับอธบิ ายความหมาย ๑๐ สรา้ งสรรค์ ๔. คาดคะเนเหตกุ ารณ์จากเร่อื ง ของคำจากประโยค แยก ๑ ๑๔ ท่อี า่ นได้ ข้อเท็จจริงและข้อคิดเห็นจาก ๖ ๕. สรปุ ความรู้จากเร่ืองท่ีอา่ นได้ เรื่องท่ีอ่าน คาดเหตุการณจ์ าก ๖. สรุปขอ้ คิดจากเร่อื งที่อา่ น เรื่อง สรปุ ความรแู้ ละข้อคิด เพอ่ื นำไปใชใ้ นชวี ิตจริงได้ จากเรื่องท่ีอ่าน เพอื่ นำไปปรับ ใชใ้ นชีวิตประจำวัน ๑. เขียนคำขวัญ คำแนะนำได้ ๒. เขยี นแผนภาพโครงเรื่องเพื่อ การเขียนส่อื สารเป็นสง่ิ ทีม่ ี ไปพัฒนางานเขียนได้ ความสำคญั ในการดำเนิน ๓. เขยี นยอ่ ความจากนทิ านได้ ชวี ิตประจำวัน ท้ังการเขียนคำ ๔. เขยี นบันทึกความรจู้ ากเร่ือง ขัวญ เขียนแนะนำ เขยี น ที่อ่านได้ แผนภาพโครงเรื่อเพ่ือนำไป ๕. เขยี นเรือ่ งตามจินตนาการได้ พัฒนางานเขียนของตนเอง เขียนย่อความจากนทิ านหรือ ทดสอบกลางภาค เรื่องสน้ั ๆ ทีก่ ำหนด เขยี น ๑. จำแนกข้อเท็จจรงิ และ บันทึกความรู้จากเร่ือง และ ขอ้ คิดเหน็ จากเร่ืองท่ีฟังได้ เขยี นเร่อื งตามจนิ ตนาการ ๒. พูดสรปุ ความรู้จากการฟัง และดไู ด้ การฟงั ดูและพูดนนั้ ควร ๓. พูดแสดงความคดิ เห็นจาก มกี ารตระหนักและสามารถ เรอื่ งทฟ่ี ังและดไู ด้ จำแนกข้อเท็จจริงแล ๔. พดู รายงานประเด็นที่ศึกษา ข้อคิดเหน็ จากการฟัง พูดสรุป ได้อย่างถูกตอ้ ง ความรู้ ความคดิ เห็น และ ความร้สู ึกใหน้ ่าเชอ่ื ถือ ตอ้ งมี เหตุผประกอบ เพือ่ นำมาตงั้ คำถามและตอบคำถามเชิง คู่มอื รายวิชา เสรมิ ทักษะภาษา (ท ๑๔๒๐๒) ๕
ลำดับ ช่อื หน่วยการเรียนรู้ ผลการเรยี นรู้ สาระสำคญั เวลา นำ้ หนกั ภาระงาน/ ท่ี เรยี น คะแนน ช้ินงาน ๑. สะกดคำมาตราตวั สะกดได้ เหตุผล ทำให้เขา้ ใจเรื่องท่ฟี ัง (ช่ัวโมง) ๔ หลกั การใช้ภาษาไทย ถูกตอ้ ง และดูไดด้ ียงิ่ ขึ้น พรอ้ มกบั พดู ๑๓ - ๒. บอกความหมายของคำเปน็ รายงานประเดน็ ท่ไี ด้ศึกษามา ๘ ๕ เรียนรู้วรรณคดีและ คำตายได้ อย่างสร้างสรรค์ ๑๒ วรรณกรรม ๓. ระบุชนดิ และหน้าท่ีของคำใน ๔ ประโยคได้ หลักการใช้ภาษาไทยนั้น ๒๐ ๔. แตง่ ประโยคไดถ้ กู ต้องตาม มคี วามจำเป็นเพราะเป็นการ ๑ ๑๐๐ หลกั ภาษา ทราบถงึ โครงสร้างของ ๔๐ ภาษาไทย เพื่อนำไปปรับใช้ใน ๑. ระบุขอ้ คดิ จากนิทานพ้ืนบ้าน การส่ือสารได้อยา่ งถูกต้อง จงึ ได้ ต้องศึกษาเกี่ยวกบั การสะกด ๒. อธบิ ายขอ้ คดิ จากการอา่ น คำตามมาตราตวั สะกด บอก เพ่ือนำไปใชใ้ นชีวติ จริงได้ ความหมายของคำเปน็ คำตาย ๓. ระบขุ อ้ คิดจากนิทานคตธิ รรม ระบชุ นดิ และหนา้ ทีข่ องคำ ได้ พร้อมกับแต่งประโยคได้ ๔. ระบขุ อ้ คดิ จากเพลงพ้ืนบ้าน ถูกต้องตามหลักการใช้ภาษา ได้ วรรณคดีและวรรณกรรม ทดสอบปลายภาค น้นั เปน็ หนังสือทไ่ี ด้มีการ รวม ยอมรับปละเปน็ ทยี่ กย่องว่า แต่งดี และไดข้ อ้ คดิ จาก วรรณคดีและวรรณกรรม ดงั น้นั จำเปน็ ต้องมีการระบุ ข้อคิดจากนิทานพื้นบ้าน นิทานคติธรรม และเพลง พนื้ บา้ น เพ่ือนำข้อคิดนั้น ๆ ไปปรบั ใช้ในชีวิตประจำวัน พร้อมกบั อธิบายขอ้ คิดจาก เรื่องทีอ่ า่ น เพือ่ นำไปใชใ้ นชีวิต จรงิ ค่มู ือรายวิชา เสรมิ ทกั ษะภาษา (ท ๑๔๒๐๒) ๖
อภิธานศพั ท์ กระบวนการเขยี น กระบวนการเขียนเป็นการคิดเรือ่ งทจี่ ะเขียนและรวบรวมความรใู้ นการเขยี น กระบวนการเขียน มี ๕ ขน้ั ดังน้ี ๑. การเตรยี มการเขยี น เป็นขั้นเตรยี มพร้อมที่จะเขยี นโดยเลอื กหัวขอ้ เรอ่ื งทีจ่ ะเขยี นบนพื้นฐาน ของประสบการณ์ กำหนดรูปแบบการเขียน รวบรวมความคิดในการเขียน อาจใช้วิธีการอ่านหนังสอื สนทนา จัดหมวดหมคู่ วามคิด โดยเขยี นเปน็ แผนภาพความคิด จดบันทกึ ความคดิ ทจ่ี ะเขียนเป็นรูปหัวข้อ เร่ืองใหญ่ หัวขอ้ ยอ่ ย และรายละเอียดครา่ วๆ ๒. การยกร่างข้อเขียน เม่อื เตรยี มหัวขอ้ เร่อื งและความคิดรปู แบบการเขยี นแล้ว ใหน้ ำความคิด มาเขียนตามรูปแบบที่กำหนดเป็นการยกร่างข้อเขียน โดยคำนึงถึงว่าจะเขียนให้ใครอ่าน จะใช้ภาษา อย่างไรให้เหมาะสมกับเรื่องและเหมาะกับผู้อื่น จะเริ่มต้นเขียนอย่างไร มีหัวข้อเรื่องอย่างไร ลำดับ ความคิดอยา่ งไร เชื่อมโยงความคิดอยา่ งไร ๓. การปรับปรุงข้อเขียน เมื่อเขียนยกร่างแล้วอ่านทบทวนเรื่องที่เขียน ปรับปรุงเร่ืองท่ีเขียน เพิ่มเตมิ ความคิดใหส้ มบูรณ์ แก้ไขภาษา สำนวนโวหาร นำไปให้เพ่ือนหรือผู้อื่นอ่าน นำข้อเสนอแนะมา ปรับปรุงอกี คร้งั ๔. การบรรณาธกิ ารกิจ นำขอ้ เขียนทปี่ รับปรุงแลว้ มาตรวจทานคำผดิ แก้ไขใหถ้ ูกต้อง แล้วอา่ น ตรวจทานแก้ไขขอ้ เขียนอกี ครัง้ แก้ไขข้อผิดพลาดทั้งภาษา ความคดิ และการเวน้ วรรคตอน ๕. การเขียนให้สมบูรณ์ นำเรื่องทีแ่ ก้ไขปรบั ปรุงแล้วมาเขียนเร่ืองให้สมบูรณ์ จัดพิมพ์ วาดรปู ประกอบ เขียนให้สมบูรณ์ดว้ ยลายมือทสี่ วยงามเปน็ ระเบียบ เมื่อพิมพ์หรอื เขียนแล้วตรวจทานอีกคร้ังให้ สมบรู ณ์ก่อนจดั ทำรูปเล่ม กระบวนการคิด การฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน เป็นกระบวนการคดิ คนที่จะคดิ ไดด้ ีตอ้ งเป็นผู้ฟัง ผู้พดู ผู้อ่าน และผูเ้ ขียนที่ดี บุคคลท่ีจะคิดได้ดจี ะต้องมีความรู้และประสบการณ์พืน้ ฐานในการคิด บุคคลจะมี ความสามารถในการรวบรวมขอ้ มูล ข้อเท็จจรงิ วิเคราะห์ สงั เคราะห์ และประเมินค่า จะต้องมีความรแู้ ละ ประสบการณ์พื้นฐานที่นำมาช่วยในการคิดทั้งสิ้น การสอนให้คิดควรให้ผู้เรียนรู้จักคัดเลือกข้อมูล ถ่ายทอด รวบรวม และจำขอ้ มลู ต่าง ๆ สมองของมนุษยจ์ ะเป็นผู้บรโิ ภคข้อมูลข่าวสาร และสามารถแปล ความข้อมลู ข่าวสาร และสามารถนำมาใชอ้ า้ งองิ การเปน็ ผู้ฟัง ผพู้ ดู ผ้อู า่ น และผู้เขียนท่ดี ี จะตอ้ งสอนให้ เป็นผู้บริโภคขอ้ มูลขา่ วสารที่ดีและเป็นนักคิดทีด่ ีด้วย กระบวนการสอนภาษาจงึ ต้องสอนให้ผู้เรียนเป็นผู้ รบั รู้ข้อมูลขา่ วสารและมที ักษะการคิด นำข้อมูลข่าวสารทไี่ ด้จากการฟงั และการอ่านนำมาสู่การฝึกทักษะ การคิด นำการฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน มาสอนในรูปแบบบูรณาการทักษะ ตัวอย่าง เช่น การ เขียนเป็นกระบวนการคิดในการวิเคราะห์ การแยกแยะ การสังเคราะห์ การประเมินค่า การสร้างสรรค์ ค่มู อื รายวชิ า เสรมิ ทกั ษะภาษา (ท ๑๔๒๐๒) ๗
ผู้เขียนจะนำความรูแ้ ละประสบการณ์สู่การคิดและแสดงออกตามความคิดของตนเสมอ ต้องเป็นผู้อ่าน และผู้ฟงั เพือ่ รับรขู้ ่าวสารทีจ่ ะนำมาวเิ คราะหแ์ ละสามารถแสดงทรรศนะได้ กระบวนการอา่ น การอา่ นเป็นกระบวนการซงึ่ ผอู้ า่ นสรา้ งความหมายหรือพฒั นา การตีความระหวา่ งการอา่ นผ้อู ่าน จะตอ้ งร้หู ัวขอ้ เรอื่ ง รจู้ ดุ ประสงค์ของการอา่ น มีความรทู้ างภาษาที่ใกลเ้ คยี งกับภาษาทีใ่ ชใ้ นหนังสือที่อ่าน โดยใชป้ ระสบการณเ์ ดมิ เปน็ ประสบการณท์ ำความเข้าใจกับเร่อื งท่ีอา่ น กระบวนการอ่านมดี ังน้ี ๑. การเตรียมการอ่าน ผู้อ่านจะต้องอ่านชื่อเรื่อง หัวข้อย่อยจากสารบัญเรื่อง อ่านคำนำ ให้ ทราบจุดมุ่งหมายของหนังสือ ตั้งจุดประสงค์ของการอ่านจะอ่านเพ่ือความเพลิดเพลินหรืออ่านเพ่ือ หา ความรู้ วางแผนการอ่านโดยอา่ นหนังสอื ตอนใดตอนหน่งึ วา่ ความยากง่ายอยา่ งไร หนังสือมีความยากมาก น้อยเพยี งใด รูปแบบของหนังสอื เป็นอย่างไร เหมาะกบั ผอู้ า่ นประเภทใด เดาความว่าเป็นเร่ืองเกี่ยวกับ อะไร เตรียมสมุด ดินสอ สำหรับจดบนั ทกึ ขอ้ ความหรือเนื้อเรื่องท่สี ำคญั ขณะอา่ น ๒. การอา่ น ผู้อา่ นจะอา่ นหนงั สอื ใหต้ ลอดเลม่ หรอื เฉพาะตอนท่ตี ้องการอ่าน ขณะอา่ นผ้อู ่านจะ ใชค้ วามรู้จากการอา่ นคำ ความหมายของคำมาใชใ้ นการอ่าน รวมท้ังการรูจ้ ักแบง่ วรรคตอนดว้ ย การอ่าน เรว็ จะมสี ว่ นช่วยให้ผู้อา่ นเข้าใจเรอื่ งได้ดกี วา่ ผอู้ า่ นช้า ซึง่ จะสะกดคำอา่ นหรืออ่านยอ้ นไปย้อนมา ผ้อู ่านจะ ใชบ้ รบิ ทหรือคำแวดลอ้ มชว่ ยในการตคี วามหมายของคำเพอ่ื ทำความเข้าใจเร่ืองท่ีอ่าน ๓. การแสดงความคิดเห็น ผู้อ่านจะจดบันทึกข้อความที่มีความสำคัญ หรือเขียนแสดงความ คดิ เห็น ตคี วามขอ้ ความที่อ่าน อา่ นซ้ำในตอนทไ่ี ม่เขา้ ใจเพ่ือทำความเข้าใจให้ถกู ต้อง ขยายความคิดจาก การอ่าน จับคู่กับเพือ่ นสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ตั้งข้อสังเกตจากเรื่องที่อ่านถ้าเป็นการอ่านบท กลอนจะต้องอา่ นทำนองเสนาะดงั ๆ เพือ่ ฟังเสยี งการอ่านและเกดิ จินตนาการ ๔. การอ่านสำรวจ ผอู้ า่ นจะอ่านซ้ำโดยเลือกอา่ นตอนใดตอนหนึ่ง ตรวจสอบคำและภาษา ที่ใช้ สำรวจโครงเรื่องของหนงั สอื เปรยี บเทียบหนังสือทอี่ า่ นกบั หนังสอื ทเี่ คยอ่าน สำรวจและเชอ่ื มโยงเหตกุ ารณ์ ในเรือ่ งและการลำดับเร่ือง และสำรวจคำสำคญั ท่ีใช้ในหนังสอื ๕. การขยายความคิด ผู้อา่ นจะสะท้อนความเข้าใจในการอา่ น บนั ทกึ ขอ้ คดิ เห็น คุณค่าของเร่อื ง เชื่อมโยงเรือ่ งราวในเรื่องกบั ชีวติ จริง ความรูส้ ึกจากการอา่ น จัดทำโครงงานหลักการอ่าน เช่น วาดภาพ เขยี นบทละคร เขยี นบันทึกรายงานการอ่าน อ่านเรื่องอน่ื ๆ ทผี่ ูเ้ ขยี นคนเดยี วกนั แต่ง อ่านเร่ืองเพ่ิมเติม เรื่องท่ีเกยี่ วโยงกับเรอ่ื งท่ีอา่ น เพอ่ื ให้ได้ความรูท้ ีช่ ัดเจนและกว้างขวางข้นึ การเขียนเชิงสรา้ งสรรค์ การเขียนเชิงสร้างสรรคเ์ ป็นการเขียนโดยใช้ความรู้ ประสบการณ์ และจินตนาการในการเขยี น เช่น การเขียนเรียงความ นิทาน เรื่องสั้น นวนิยาย และบทร้อยกรอง การเขียนเชิงสร้างสรรค์ผู้เขียน จะต้องมีความคิดดี มีจินตนาการดี มีคลังคำอย่างหลากหลาย สามารถนำคำมาใช้ในการเขยี น ตอ้ งใช้ เทคนิคการเขยี น และใชถ้ ้อยคำอย่างสละสลวย คมู่ อื รายวชิ า เสรมิ ทกั ษะภาษา (ท ๑๔๒๐๒) ๘
การดู การดูเปน็ การรับสารจากสอื่ ภาพและเสียง และแสดงทรรศนะได้จากการรบั รสู้ าร ตคี วาม แปล ความ วิเคราะห์ และประเมนิ คณุ คา่ สารจากสื่อ เช่น การดโู ทรทัศน์ การดูคอมพวิ เตอร์ การดูละคร การดู ภาพยนตร์ การดูหนงั สือการต์ นู (แมไ้ มม่ เี สียงแต่มีถ้อยคำอ่านแทนเสยี งพดู ) ผ้ดู ูจะต้องรบั รู้สาร จากการดู และนำมาวเิ คราะห์ ตีความ และประเมนิ คณุ ค่าของสารทเ่ี ป็นเน้ือเรื่องโดยใชห้ ลกั การพจิ ารณาวรรณคดี หรือการวเิ คราะหว์ รรณคดีเบ้อื งตน้ เชน่ แนวคดิ ของเรอื่ ง ฉากท่ีประกอบเรื่องสมเหตุสมผล กิริยาทา่ ทาง และการแสดงออกของตวั ละครมีความสมจริงกับบทบาท โครงเรื่อง เพลง แสง สี เสียง ท่ใี ชป้ ระกอบการ แสดงให้อารมณ์แก่ผู้ดูสมจริงและสอดคล้องกับยุคสมัยของเหตุการณ์ที่จำลองสู่บทละคร คุณค่าทาง จริยธรรม คุณธรรม และคุณค่าทางสังคมที่มีอิทธิพลต่อผู้ดูหรือผู้ชม ถ้าเป็นการดูขา่ วและเหตกุ ารณ์ หรือการอภิปราย การใชค้ วามรู้หรอื เรอื่ งทเี่ ปน็ สารคดี การโฆษณาทางสื่อจะตอ้ งพจิ ารณาเนื้อหาสาระวา่ สมควรเชื่อถือไดห้ รือไม่ เป็นการโฆษณาชวนเชื่อหรือไม่ ความคิดสำคัญและมีอทิ ธพิ ลต่อการเรียนรู้มาก และการดลู ะครเวที ละครโทรทัศน์ ดูข่าวทางโทรทัศน์จะเป็นประโยชน์ได้รับความสนุกสนาน ต้องดูและ วิเคราะห์ ประเมนิ คา่ สามารถแสดงทรรศนะของตนไดอ้ ย่างมเี หตุผล การตคี วาม การตีความเปน็ การใช้ความรู้และประสบการณข์ องผู้อา่ นและการใช้บรบิ ท ได้แก่ คำที่แวดล้อม ขอ้ ความ ทำความเข้าใจข้อความหรอื กำหนดความหมายของคำใหถ้ กู ต้อง พจนานุกรมฉบับราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕ ให้ความหมายว่า การตีความหมาย ชี้หรอื กำหนด ความหมาย ให้ความหมายหรืออธบิ าย ใชห้ รือปรบั ใหเ้ ข้าใจเจตนา และความมุง่ หมายเพือ่ ความถกู ต้อง การเปลยี่ นแปลงของภาษา ภาษาย่อมมีการเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา คำคำหนึ่งในสมัยหนึ่งเขียนอย่างหนึ่ง อีกสมัยหนง่ึ เขยี นอีกอยา่ งหนึ่ง คำว่า ประเทศ แต่เดิมเขยี น ประเทษ คำว่า ปักษ์ใต้ แตเ่ ดมิ เขียน ปักใต้ ในปจั จบุ นั เขียน ปกั ษ์ใต้ คำว่า ลุ่มลกึ แต่กอ่ นเขียน กลุ่ม ภาษาจึงมกี ารเปลย่ี นแปลง ทงั้ ความหมายและการเขียน บางคร้งั คำบางคำ เชน่ คำวา่ หล่อน เปน็ คำสรรพนามแสดงถึงคำพดู สรรพนามบรุ ุษท่ี ๓ ที่เป็นคำสุภาพ แตเ่ ด๋ียวนี้คำวา่ หลอ่ น มีความหมายในเชงิ ดแู คลน เป็นตน้ การสรา้ งสรรค์ การสร้างสรรค์ คือ การรู้จักเลือกความรู้ ประสบการณ์ที่มีอยู่เดิมมาเป็นพื้นฐานในการสร้าง ความรู้ ความคิดใหม่ หรือสิ่งแปลกใหม่ที่มีคุณภาพและมีประสิทธิภาพสูงกว่าเดิม บุคคลที่จะมี ความสามารถในการสร้างสรรคจ์ ะต้องเป็นบุคคลทมี่ คี วามคิดอสิ ระอยเู่ สมอ มีความเชอื่ มั่นในตนเอง มอง โลกในแง่ดี คิดไตร่ตรอง ไม่ตัดสินใจสิ่งใดงา่ ยๆ การสร้างสรรค์ของมนุษย์จะเก่ียวเนื่องกันกับความคิด การพดู การเขียน และการกระทำเชิงสร้างสรรค์ ซงึ่ จะตอ้ งมกี ารคิดเชงิ สร้างสรรค์เปน็ พน้ื ฐาน คูม่ ือรายวิชา เสรมิ ทกั ษะภาษา (ท ๑๔๒๐๒) ๙
ความคิดเชิงสร้างสรรค์เป็นความคิดที่พัฒนามาจากความรู้และประสบการณ์เดิม ซึ่งเป็น ปจั จยั พนื้ ฐานของการพูด การเขียน และการกระทำเชิงสรา้ งสรรค์ การพูดและการเขียนเชิงสร้างสรรค์เป็นการแสดงออกทางภาษาที่ใช้ภาษาขัดเกลาให้ไพเราะ งดงาม เหมาะสม ถกู ตอ้ งตามเนอื้ หาท่ีพดู และเขยี น การกระทำเชิงสร้างสรรค์เป็นการกระทำทีไ่ ม่ซ้ำแบบเดิมและคิดค้นใหม่แปลกไปจากเดิม และ เปน็ ประโยชน์ท่สี ูงขนึ้ ข้อมลู สารสนเทศ ข้อมูลสารสนเทศ หมายถึง เรื่องราว ข้อเท็จจริง ข้อมูล หรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่สามารถ ส่ือ ความหมายด้วยการพูดบอกเล่า บันทึกเป็นเอกสาร รายงาน หนังสือ แผนที่ แผนภาพ ภาพถ่าย บันทกึ ด้วยเสยี งและภาพ บนั ทกึ ด้วยเครอื่ งคอมพิวเตอร์ เปน็ การเกบ็ เรอื่ งราวตา่ ง ๆ บนั ทกึ ไวเ้ ป็นหลักฐานด้วย วิธตี ่าง ๆ ความหมายของคำ คำท่ีใชใ้ นการตดิ ต่อสือ่ สารมีความหมายแบ่งได้เป็น ๓ ลักษณะ คอื ๑. ความหมายโดยตรง เป็นความหมายที่ใช้พูดจากันตรงตามความหมาย คำหนึ่งๆ นั้น อาจมี ความหมายได้หลายความหมาย เชน่ คำวา่ กา อาจมคี วามหมายถึง ภาชนะใส่นำ้ หรอื อาจหมายถึง นก ชนิดหน่งึ ตวั สดี ำ รอ้ ง กา กา เป็นความหมายโดยตรง ๒. ความหมายแฝง คำอาจมีความหมายแฝงเพิ่มจากความหมายโดยตรง มักเป็นความหมาย เกย่ี วกับความร้สู กึ เช่น คำวา่ ขี้เหนยี ว กบั ประหยดั หมายถึง ไมใ่ ชจ้ ่ายอยา่ งสุรยุ่ สรุ ่าย เปน็ ความหมาย ตรง แตค่ วามรสู้ ึกต่างกัน ประหยัดเปน็ สิง่ ดี แต่ขี้เหนียวเปน็ ส่ิงไมด่ ี ๓. ความหมายในบริบท คำบางคำมีความหมายตรง เมื่อร่วมกับคำอ่ืนจะมีความหมายเพิ่มเตมิ กว้างขึ้น หรือแคบลงได้ เช่น คำว่า ดี เด็กดี หมายถึง ว่านอนสอนง่าย เสียงดี หมายถึง ไพเราะ ดินสอดี หมายถึง เขียนไดด้ ี สขุ ภาพดี หมายถงึ ไมม่ ีโรค ความหมายบริบทเปน็ ความหมายเชน่ เดยี วกบั ความหมาย แฝง คุณค่าของงานประพนั ธ์ เมื่อผู้อ่านอ่านวรรณคดีหรือวรรณกรรมแล้วจะตอ้ งประเมนิ งานประพันธ์ ให้เหน็ คุณคา่ ของงาน ประพนั ธ์ ทำให้ผอู้ า่ นอ่านอยา่ งสนุก และได้รับประโยชนจ์ าการอ่านงานประพันธ์ คุณคา่ ของงานประพันธ์ แบ่งได้เปน็ ๒ ประการ คอื ๑. คุณค่าดา้ นวรรณศิลป์ ถา้ อา่ นบทร้อยกรองกจ็ ะพิจารณากลวธิ กี ารแต่ง การเลอื กเฟน้ ถอ้ ยคำ มาใช้ได้ไพเราะ มคี วามคิดสร้างสรรค์ และให้ความสะเทอื นอารมณ์ ถา้ เป็นบทร้อยแกว้ ประเภทสารคดี รูปแบบการเขียนจะเหมาะสมกับเนื้อเร่ือง วิธีการนำเสนอน่าสนใจ เนื้อหามีความถูกต้อง ใช้ภาษา สละสลวยชัดเจน การนำเสนอมีความคดิ สร้างสรรค์ ถ้าเป็นร้อยแก้วประเภทบันเทิงคดี องค์ประกอบ ของเรอื่ งไม่ว่าเร่อื งส้ัน นวนิยาย นทิ าน จะมแี กน่ เรือ่ ง โครงเรอ่ื ง ตัวละครมีความสัมพันธ์กัน กลวิธีการ คู่มือรายวิชา เสรมิ ทักษะภาษา (ท ๑๔๒๐๒) ๑๐
แต่งแปลกใหม่ น่าสนใจ ปมขัดแย้งในการแต่งสร้างความสะเทอื นอารมณ์ การใช้ถอ้ ยคำสร้างภาพ ได้ชัดเจน คำพูดในเรอ่ื งเหมาะสมกบั บุคลิกของตวั ละครมคี วามคิดสรา้ งสรรค์เกยี่ วกับชวี ิตและสงั คม ๒. คุณคา่ ดา้ นสงั คม เป็นคุณค่าทางดา้ นวฒั นธรรม ขนบธรรมเนยี มประเพณี ศลิ ปะ ชวี ติ ความ เป็นอยูข่ องมนุษย์ และคุณค่าทางจริยธรรม คุณค่าด้านสังคม เป็นคุณค่าท่ีผู้อ่านจะ เข้าใจชวี ิตท้งั ในโลก ทัศน์และชีวทัศน์ เข้าใจการดำเนินชีวิตและเข้าใจเพื่อนมนุษย์ดีขึ้น เนื้อหาย่อมเกี่ยวข้องกับการช่วย จรรโลงใจแกผ่ อู้ ่าน ชว่ ยพฒั นาสังคม ช่วยอนุรกั ษ์สิ่งมคี ณุ คา่ ของชาติบา้ นเมือง และสนบั สนุนค่านิยมอันดี งาม โครงงาน โครงงานเปน็ การจัดการเรียนรู้วิธีหนึง่ ที่ส่งเสรมิ ให้ผู้เรียนเรียนด้วยการคน้ คว้า ลงมือปฏิบัติจริงใน ลักษณะของการสำรวจ ค้นคว้า ทดลอง ประดิษฐ์คิดค้น ผู้เรียนจะรวบรวมข้อมูล นำมาวิเคราะห์ ทดสอบเพือ่ แกป้ ัญหาข้องใจ ผูเ้ รียนจะนำความรจู้ ากช้ันเรยี นมาบูรณาการในการแกป้ ัญหา คน้ หาคำตอบ เปน็ กระบวนการค้นพบนำไปสกู่ ารเรียนรู้ ผูเ้ รียนจะเกดิ ทักษะการทำงานรว่ มกับผอู้ ื่น ทกั ษะการจัดการ ผสู้ อนจะเข้าใจผู้เรยี น เห็นรปู แบบการเรียนรู้ การคิด วิธีการทำงานของผเู้ รยี น จากการสงั เกตการ ทำงานของผู้เรยี น การเรียนแบบโครงงานเป็นการเรียนแบบศกึ ษาค้นคว้าวธิ กี ารหนึง่ แตเ่ ปน็ การศึกษาค้นคว้าท่ีใช้ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์มาใช้ในการแก้ปัญหา เป็นการพัฒนาผู้เรียนให้เป็นคนมีเหตุผล สรุป เร่อื งราวอยา่ งมีกฎเกณฑ์ ทำงานอยา่ งมรี ะบบ การเรยี นแบบโครงงานไม่ใชก่ ารศึกษาค้นคว้าจดั ทำรายงาน เพียงอย่างเดยี ว ต้องมกี ารวเิ คราะห์ขอ้ มูลและมีการสรปุ ผล ทักษะการส่ือสาร ทกั ษะการส่ือสาร ได้แก่ ทักษะการพดู การฟัง การอา่ น และการเขียน ซง่ึ เปน็ เคร่อื งมือของการ ส่งสารและการรบั สาร การส่งสาร ได้แก่ การสง่ ความรู้ ความเชื่อ ความคิด ความรู้สึกดว้ ยการพูด และ การเขียน ส่วนการรับสาร ได้แก่ การรับความรู้ ความเชื่อ ความคิด ด้วยการอ่านและการฟัง การฝึก ทักษะการสื่อสารจึงเป็นการฝึกทกั ษะการพูด การฟัง การอ่าน และการเขียน ให้สามารถ รับสารและสง่ สารอยา่ งมีประสิทธิภาพ ธรรมชาตขิ องภาษา ธรรมชาติของภาษาเป็นคุณสมบัติของภาษาทีส่ ำคัญ มีคุณสมบัติพอสรุปได้ คือ ประการที่หนง่ึ ทกุ ภาษาจะประกอบด้วยเสยี งและความหมาย โดยมีระเบียบแบบแผนหรอื กฎเกณฑใ์ นการใชอ้ ยา่ งเปน็ ระบบ ประการที่สอง ภาษามีพลังในการงอกงามมิรู้สิน้ สดุ หมายถงึ มนุษย์สามารถใช้ภาษา ส่อื ความหมายไดโ้ ดย ไม่สิ้นสุด ประการที่สาม ภาษาเป็นเรือ่ งของการใช้สัญลักษณ์รว่ มกันหรือสมมติร่วมกัน และมกี ารรับรู้ สัญลกั ษณ์หรอื สมมติรว่ มกัน เพ่อื สรา้ งความเขา้ ใจตรงกัน ประการทีส่ ่ี ภาษาสามารถใชภ้ าษาพูดในการ ติดต่อส่ือสาร ไม่จำกดั เพศของผู้ส่งสาร ไม่ว่าหญิง ชาย เด็ก ผู้ใหญ่ สามารถผลัดกนั ในการสง่ สารและ รับสารได้ ประการที่ห้า ภาษาพูดย่อมใช้ได้ทั้งในปัจจุบัน อดีตและอนาคต ไม่จำกัดเวลาและสถานท่ี คมู่ ือรายวชิ า เสรมิ ทกั ษะภาษา (ท ๑๔๒๐๒) ๑๑
ประการที่หก ภาษาเป็นเครื่องมือการถ่ายทอดวัฒนธรรมและวิชาความรู้นานาประการทำให้เกิดการ เปลยี่ นแปลงพฤติกรรมและการสรา้ งสรรค์สง่ิ ใหม่ แนวคิดในวรรณกรรม แนวคิดในวรรณกรรมหรือแนวเรื่องในวรรณกรรมเป็นความคิดสำคัญในการผูกเรื่องให้ ดำเนิน เรื่องไปตามแนวคิด หรอื เปน็ ความคิดท่สี อดแทรกในเรือ่ งใหญ่ แนวคดิ ย่อมเกย่ี วขอ้ งกับมนุษย์และสังคม เป็นสารท่ีผู้เขยี นส่งให้ผู้อ่าน เชน่ ความดีย่อมชนะความช่ัว ทำดไี ดด้ ที ำชัว่ ได้ช่วั ความยุติธรรมทำให้โลก สันติสขุ คนเราพ้นความตายไปไม่ได้ เปน็ ตน้ ฉะนัน้ แนวคดิ เปน็ สารทผี่ ู้เขียนต้องการส่งให้ผู้อน่ื ทราบ เช่น ความดี ความยตุ ิธรรม ความรกั เป็นตน้ บริบท บริบทเป็นคำที่แวดล้อมข้อความที่อ่าน ผู้อ่านจะใช้ความรู้สึกและประสบการณ์มากำหนด ความหมายหรือความเข้าใจ โดยนำคำแวดล้อมมาช่วยประกอบความรู้และประสบการณ์ เพื่อทำความ เขา้ ใจหรือความหมายของคำ พลังของภาษา ภาษาเป็นเครื่องมือในการดำรงชีวิตของมนษุ ย์ มนุษย์จงึ สามารถเรียนรู้ภาษาเพื่อการดำรงชีวิต เป็นเครื่องมือของการสือ่ สารและสามารถพัฒนาภาษาของตนได้ ภาษาช่วยให้คนรู้จักคิดและแสดงออก ของความคิดดว้ ยการพดู การเขียน และการกระทำซ่ึงเปน็ ผลจากการคดิ ถ้าไมม่ ีภาษา คนจะคดิ ไมไ่ ด้ ถ้า คนมีภาษานอ้ ย มีคำศัพท์นอ้ ย ความคดิ ของคนกจ็ ะแคบไม่กวา้ งไกล คนท่ีใช้ภาษาได้ดจี ะมีความคดิ ดีด้วย คนจะใช้ความคิดและแสดงออกทางความคดิ เป็นภาษา ซึง่ ส่งผลไปสกู่ ารกระทำ ผลของการกระทำสง่ ผล ไปสู่ความคิด ซึ่งเป็นพลังของภาษา ภาษาจึงมีบทบาทสำคัญต่อมนุษย์ ช่วยให้มนุษย์พัฒนาความคิด ช่วยดำรงสังคมให้มนุษย์อยู่ร่วมกันในสังคมอย่างสงบสขุ มีไมตรีต่อกัน ช่วยเหลือกนั ด้วยการใช้ภาษา ตดิ ต่อสอื่ สารกัน ช่วยใหค้ นปฏบิ ัตติ นตามกฎเกณฑ์ของสังคม ภาษาช่วยใหม้ นุษย์เกิดการพัฒนา ใช้ภาษา ในการแลกเปลี่ยนความคดิ เห็น การอภิปรายโตแ้ ย้ง เพื่อนำไปสู่ผลสรปุ มนุษย์ใช้ภาษาในการเรยี นรู้ จด บันทึกความรู้ แสวงหาความรู้ และช่วยจรรโลงใจ ด้วยการอา่ นบทกลอน ร้องเพลง ภาษายังมีพลังในตวั ของมันเอง เพราะภาพย่อมประกอบดว้ ยเสียงและความหมาย การใช้ภาษาใชถ้ อ้ ยคำทำใหเ้ กดิ ความร้สู กึ ตอ่ ผู้รับสาร ให้เกิดความจงเกลียดจงชังหรือเกิด ความชื่นชอบ ความรักย่อมเกิดจากภาษาทั้งส้ิน ที่นำไปสู่ ผลสรุปทีม่ ปี ระสทิ ธิภาพ ภาษาถิน่ ภาษาถิ่นเป็นภาษาพื้นเมืองหรือภาษาที่ใช้ในท้องถิ่น ซึ่งเป็นภาษาดั้งเดิมของชาวพื้นบ้านที่ใช้ พูดจากนั ในหมูเ่ หล่าของตน บางคร้งั จะใช้คำท่ีมีความหมายต่างกนั ไปเฉพาะถน่ิ บางครั้งคำที่ใช้พูดจากัน เป็นคำเดียว ความหมายต่างกันแล้วยังใช้สำเนียงที่ต่างกัน จึงมีคำกล่าวที่ว่า “สำเนียงบอกภาษา” สำเนียงจะบอกว่าเป็นภาษาอะไร และผู้พูดเป็นคนถิ่นใด อย่างไรก็ตามภาษาถิ่นในประเทศไทยไม่วา่ จะ เปน็ ภาษาถ่ินเหนือ ถิ่นอีสาน ถ่ินใต้ สามารถสือ่ สารเข้าใจกนั ได้ เพยี งแต่สำเนียงแตกต่างกันไปเท่าน้นั คมู่ อื รายวชิ า เสรมิ ทักษะภาษา (ท ๑๔๒๐๒) ๑๒
ภาษาไทยมาตรฐาน ภาษาไทยมาตรฐานหรือบางทีเรียกวา่ ภาษาไทยกลางหรอื ภาษาราชการเปน็ ภาษาที่ใช้ สื่อสาร กันทั่วประเทศและเป็นภาษาที่ใช้ในการเรียนการสอน เพื่อให้คนไทยสามารถใช้ภาษาราชการในการ ตดิ ตอ่ ส่อื สารสรา้ งความเป็นชาตไิ ทย ภาษาไทยมาตรฐานก็คอื ภาษาท่ีใชก้ ันในเมืองหลวง ที่ใช้ติดต่อกันท้ัง ประเทศ มีคำและสำเนียงภาษาท่ีเปน็ มาตรฐาน ต้องพูดให้ชัดถ้อยชัดคำได้ตามมาตรฐานของภาษาไทย ภาษากลางหรือภาษาไทยมาตรฐานมคี วามสำคัญในการสร้างความเป็นปกึ แผน่ วรรณคดีมีการถ่ายทอด กันมาเปน็ วรรณคดีประจำชาตจิ ะใช้ภาษาทเ่ี ป็นภาษาไทยมาตรฐานในการสร้างสรรคง์ านประพันธ์ ทำให้ วรรณคดีเปน็ เครอ่ื งมอื ในการศกึ ษาภาษาไทยมาตรฐานได้ ภาษาพูดกับภาษาเขยี น ภาษาพูดเป็นภาษาท่ใี ชพ้ ูดจากัน ไมเ่ ป็นแบบแผนภาษา ไม่พถิ พี ถิ นั ในการใช้แตใ่ ช้ส่ือสารกันได้ดี สร้างความรู้สึกที่เป็นกันเอง ใช้ในหมู่เพื่อนฝูง ในครอบครัว และติดต่อสื่อสารกันอย่างไม่เป็นทางการ การใช้ภาษาพูดจะใชภ้ าษาที่เป็นกันเองและสุภาพ ขณะเดียวกันก็คำนึงว่าพูดกับบุคคลทีม่ ีฐานะต่างกนั การใช้ถอ้ ยคำก็ตา่ งกันไปดว้ ย ไมค่ ำนึงถงึ หลกั ภาษาหรือระเบยี บแบบแผนการใชภ้ าษามากนัก ส่วนภาษาเขียนเปน็ ภาษาที่ใช้เคร่งครัดตอ่ การใชถ้ ้อยคำ และคำนึงถึงหลักภาษา เพื่อใช้ในการ สื่อสารให้ถูกต้องและใช้ในการเขียนมากกว่าพูด ต้องใช้ถ้อยคำที่สุภาพ เขียนให้เป็นประโยค เลือกใช้ ถ้อยคำที่เหมาะสมกับสถานการณ์ในการสือ่ สาร เป็นภาษาที่ใช้ในพิธีการต่าง ๆ เช่น การกล่าวรายงาน กล่าวปราศรัย กล่าวสดุดี การประชุมอภปิ ราย การปาฐกถา จะระมัดระวังการใช้คำท่ีไม่จำเป็นหรือ คำ ฟ่มุ เฟือย หรือการเลน่ คำจนกลายเปน็ การพูดหรือเขยี นเล่นๆ ภูมิปัญญาท้องถิ่น (Local Wisdom) บางครั้งเรียกว่า ภูมิปัญญาชาวบ้าน เป็นกระบวนทัศน์ (Paradigm) ของคนในท้องถ่ินที่มีความสัมพนั ธ์ระหว่างคนกับคน คนกับธรรมชาติ เพื่อความอยู่รอด แต่ คนในท้องถิ่นจะสร้างความรู้จากประสบการณ์และจากการปฏิบัติ เป็นความรู้ ความคิด ที่นำมาใช้ใน ทอ้ งถิ่นของตนเพื่อการดำรงชวี ิตท่ีเหมาะสมและสอดคล้องกับธรรมชาติ ผรู้ จู้ งึ กลายเป็นปราชญ์ชาวบา้ นท่ี มีความรูเ้ ก่ยี วกับภาษา ยารักษาโรคและการดำเนนิ ชีวิตในหมู่บา้ นอยา่ งสงบสุข ภมู ิปญั ญาทางภาษา ภมู ปิ ญั ญาทางภาษาเปน็ ความรทู้ างภาษา วรรณกรรมทอ้ งถิน่ บทเพลง สุภาษิต คำพังเพยในแต่ ละท้องถิ่น ที่ได้ใช้ภาษาในการสร้างสรรค์ผลงานต่าง ๆ เพื่อใช้ประโยชน์ในกิจกรรมทางสังคมท่ีตา่ งกนั โดยนำภมู ิปญั ญาทางภาษาในการส่งั สอนอบรมพธิ ีการต่าง ๆ การบนั เทิงหรอื การละเล่น มีการแต่งเปน็ คำ ประพันธใ์ นรูปแบบต่าง ๆ ทั้งนิทาน นิทานปรัมปรา ตำนาน บทเพลง บทร้องเล่น บทเห่กล่อม บทสวด ต่าง ๆ บททำขวญั เพื่อประโยชน์ทางสังคมและเป็นส่วนหน่ึงของวัฒนธรรมประจำถ่ิน คู่มอื รายวชิ า เสรมิ ทักษะภาษา (ท ๑๔๒๐๒) ๑๓
ระดับภาษา ภาษาเปน็ วัฒนธรรมที่คนในสังคมจะต้องใช้ภาษาให้ถูกต้องกบั สถานการณ์และโอกาสที่ใช้ภาษา บุคคลและประชมุ ชน การใชภ้ าษาจึงแบ่งออกเป็นระดบั ของการใช้ภาษาได้หลายรปู แบบ ตำราแตล่ ะเล่ม จะแบ่งระดบั ภาษาแตกตา่ งกันตามลักษณะของสมั พนั ธภาพของบุคคลและสถานการณ์ การแบง่ ระดับภาษาประมวลไดด้ งั นี้ ๑. การแบง่ ระดับภาษาทเ่ี ป็นทางการและไม่เปน็ ทางการ ๑.๑ ภาษาที่ไม่เป็นทางการหรือภาษาท่ีเป็นแบบแผน เช่น การใช้ภาษาในการประชุม ในการ กลา่ วสนุ ทรพจน์ เป็นต้น ๑.๒ ภาษาที่ไม่เป็นทางการหรือภาษาที่ไม่เป็นแบบแผน เช่น การใช้ภาษาในการสนทนา การใชภ้ าษาในการเขียนจดหมายถึงผคู้ ุ้นเคย การใชภ้ าษาในการเลา่ เรื่องหรอื ประสบการณ์ เป็นตน้ ๒. การแบ่งระดบั ภาษาทเ่ี ปน็ พิธกี ารกบั ระดบั ภาษาทไี่ ม่เปน็ พิธีการ การแบง่ ภาษาแบบนี้เป็นการ แบง่ ภาษาตามความสัมพันธ์ระหวา่ งบุคคลเปน็ ระดบั ดงั นี้ ๒.๑ ภาษาระดบั พธิ ีการ เป็นภาษาแบบแผน ๒.๒ ภาษาระดบั ก่งึ พธิ กี าร เปน็ ภาษากง่ึ แบบแผน ๒.๓ ภาษาระดบั ทไ่ี ม่เป็นพธิ ีการ เปน็ ภาษาไมเ่ ป็นแบบแผน ๓. การแบ่งระดบั ภาษาตามสภาพแวดล้อม โดยแบ่งระดบั ภาษาในระดับย่อยเป็น ๕ ระดับ คือ ๓.๑ ภาษาระดบั พิธีการ เชน่ การกลา่ วปราศรัย การกล่าวเปิดงาน ๓.๒ ภาษาระดบั ทางการ เช่น การรายงาน การอภิปราย ๓.๓ ภาษาระดับกึง่ ทางการ เชน่ การประชมุ อภิปราย การปาฐกถา ๓.๔ ภาษาระดบั การสนทนา เชน่ การสนทนากบั บุคคลอย่างเป็นทางการ ๓.๕ ภาษาระดับกันเอง เช่น การสนทนาพูดคุยในหมเู่ พ่อื นฝงู ในครอบครวั วิจารณญาณ วจิ ารณญาณ หมายถงึ การใช้ความรู้ ความคดิ ทำความเข้าใจเรือ่ งใดเร่อื งหน่งึ อย่างมเี หตผุ ล การมี วิจารณญาณต้องอาศัยประสบการณ์ในการพิจารณาตัดสินสารด้วยความรอบคอบและอย่างชาญฉลาดเป็นเหตุ เปน็ ผล คมู่ อื รายวิชา เสรมิ ทักษะภาษา (ท ๑๔๒๐๒) ๑๔
คณะทีป่ รึกษา นางปยิ าภรณ์ คณะผจู้ ัดทำ ผชู้ ว่ ยผู้อำนวยการโรงเรียนวดั เขียนเขต คณะทำงาน นายรัชพล หวั หน้างานหลกั สตู ร ธรรมรกั ษา คณะบรรณาธกิ าร นางสาวสนุ ิษฐา ผลพลู หวั หน้ากล่มุ สาระฯ ภาษาไทย นายกิติศักด์ิ ครูโรงเรียนวดั เขยี นเขต นางสาวสนุ ิษฐา พาขนุ ทด หัวหนา้ กลมุ่ สาระฯ ภาษาไทย สขุ วโรดม พาขุนทด คมู่ ือรายวชิ า เสรมิ ทกั ษะภาษา (ท ๑๔๒๐๒) ๑๕
Search
Read the Text Version
- 1 - 19
Pages: