หนังสอื เรียนรายวิชาเพิม่ เตมิ พินจิ วรรณคดีมรดก ชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี ๖ เรยี บเรียงเพ่ือให้สอดคล้องกับ มาตรฐานการเรียนรู้และตัวช้ีวัด กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้นักเรียนได้ศึกษาวรรณคดีมรดก หลักการพินิจวรรณคดีมรดก สู่การวิเคราะห์และวิจารณ์วรรณคดีมรดก รวมถึงตระหนักถึงคุณค่าของวรรณคดีในฐานะที่เป็นมรดกทาง วฒั นธรรม และมีเจตคติท่ีดตี ่อวรรณคดไี ทย เนอ้ื หาในหนงั สอื เรยี นเลม่ นี้ประกอบด้วยหลักการพินิจวรรณคดีเบ้ืองต้น ท่ีสามารถนามาเป็นแนวทาง ในการวิเคราะห์ วิจารณ์วรรณคดีได้ วรรณคดีมรดกท่ีกาหนดไว้ท้ังหมด ๔ เรื่อง ได้แก่ ศิลาจารึกหลักท่ี ๑ โคลงทวาทศมาส ลิลิตพระลอ และรามเกียรติ์ ตอน ทรพีฆ่าพ่อ ซึ่งเป็นวรรณคดีมรดกที่ให้คุณค่า ควรค่าแก่ การรักษา สบื ทอด และเหมาะสมตอ่ การพินจิ วรรณคดสี าหรบั ผู้เรยี น หวังเป็นอย่างยิ่งว่า หนังสือเรียนรายวิชาเพิ่มเติม พินิจวรรณคดีมรดก ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ ๖ เล่มน้ี จะเป็นประโยชน์ต่อผู้สอนที่จะนาไปประยุกต์ใช้จัดการเรียนรู้ เพื่อให้ผู้เรียนได้พัฒนาอย่างเต็มศักยภาพและ บรรลุตามเปา้ หมายของหลักสูตร คณะผู้จดั ทำ มนี ำคม ๒๕๖๒
ความหมายของวรรณคดี ๑ ความหมายของวรรณคดีมรดก ๑๔ ความหมายของการพินจิ ๑๖ หลักการพนิ จิ วรรณคดี ๑๖ ความหมายของการวจิ ารณ์วรรณคดี ๒๕ หลกั การวจิ ารณ์วรรณคดี ๒๖ ๒๗
๑. อภิปรำยหลักกำรวิเครำะหแ์ ละวจิ ำรณ์วรรณคดไี ด้
หนว่ ยที่ ๑ เร่ือง พินจิ คุณคำ่ วรรณคดี | ๑ พินิจคณุ คำ่ วรรณคดี ควำมหมำยของวรรณคดี วรรณคดี เป็นคาท่ีบัญญัติขึ้นเพ่ือใช้แทนคา Literature ในภาษาอังกฤษ ปรากฏครั้งแรกในพระราช กฤษฎีกา จัดต้ังเป็นวรรณคดีสโมสร เม่ือวันที่ ๒๓ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๕๗ ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระ มงกฎุ เกล้าเจา้ อยูห่ ัว วรรณคดี ประกอบข้ึนจากคา วรรณ ซึ่งเป็นคามาจากภาษาสันสกฤต แปลว่า หนังสือ ส่วน คาว่า คดี เปน็ คาเดียวกบั คติ ซึ่งเป็นคาบาลแี ละสันสกฤต แปลว่า เร่ือง ตามรปู ศัพท์ วรรณคดี แปลว่า เรื่องท่ีแต่ง เป็นหนังสอื แตห่ มายเฉพาะหนงั สอื ท่ีแตง่ ดี พจนำนกุ รมฉบบั รำชบณั ฑติ ยสถำน พ.ศ.๒๕๕๔ ให้ความหมายของวรรณคดีว่า วรรณกรรมท่ีได้รับยกย่องว่า แต่งดมี ีคณุ ค่าเชงิ วรรณศิลป์ถึงขนาด เช่น พระราชพธิ ี ๑๒ เดือน มทั นะพาธา สามกก๊ เสภาขุนช้างขนุ แผน คำว่ำ “วรรณคดี” นี้ มีผู้ให้คานิยามไว้หลายทา่ น ท้ังในความหมายทก่ี วา้ งและแคบ พระเจา้ - วรวงศเ์ ธอ กรมหมื่นนราธิปพงษป์ ระพันธ์ ได้ทรงใหค้ าจากดั ความไว้อย่างส้ัน ๆ กะทัดรัดแต่กินความหมายมาก ว่า “วรรณคดีคอื สิง่ สุนทร” พระรำชกฤษฎกี ำรจัดตัง้ วรรณคดีสโมสร กล่าวว่า ๑. เป็นหนงั สือดี กลา่ วคือ เปน็ เร่อื งทีส่ มควรซง่ึ สาธารณชนจะอ่านได้โดยไม่เสียประโยชน์ คือ ไม่เป็น เรื่องทุภาษิต หรือเป็นเร่ืองท่ีชักจูงความคิดผู้อ่านไปในทางอันไม่เป็นแก่นสาร ซ่ึงจะชวนให้คิด วุ่นวายทาง การเมือง อันเกดิ เปน็ เร่อื งราคาญแกร่ ฐั บาลของพระบาทสมเด็จพระเจา้ อยูห่ วั ๒. เป็นหนังสือแต่งดี ใช้วธิ เี รยี บเรยี งอย่างใด ๆ ก็ตามแต่ต้องใหเ้ ปน็ ภาษาไทยอนั ดี ถูกตอ้ งตามเยี่ยงท่ี ใช้ในโบราณกาลหรือปัจจุบันก็ได้ ไม่ใช้ภาษาซ่ึงเลียนภาษาต่างประเทศหรือใช้วิธีผูกประโยคประธานตาม ภาษาตา่ งประเทศ เช่น ใช้วา่ ไปจับรถไฟ แทน ขนึ้ รถไฟ และ มาสาย แทน มาชา้ หรอื มาล่า เป็นตน้ พระยำอนุมำนรำชธน (เสถียรโกเศศ) ให้ความหมายว่า วรรณคดี คือ ความรู้สึกนึกคิดของกวี ซึ่ง ถอดออกมาจากจิตใจให้ปรากฏเป็นรูปหนังสือและมีถ้อยคาเหมาะเจาะ เพราะพร้ิงเร้าใจให้ผู้อ่านหรือผู้ฟังเกิด ความรู้สึก พระวรเวทยพ์ สิ ิฐ มคี วามเห็นว่า วรรณคดี คอื หนังสอื ทมี่ ีลกั ษณะเรยี บเรียงถอ้ ยคาเกลี้ยงเกลา เพราะพริ้ง มีรสปลุกมโนคติ (imagination) ให้เพลิดเพลิน เกิดกระทบกระเทือนอารมณ์ต่าง ๆ เป็นไปตามอารมณ์ของ ผู้ประพนั ธ์ วทิ ย์ ศวิ ะศริยำนนท์ กลา่ ววา่ บทประพันธ์ท่ีเป็นวรรณคดี คือ บทประพันธ์ที่มุ่ง ให้ความ เพลิดเพลิน ให้เกิดความรู้สึกนึกคิด (imagination) และอารมณ์ต่าง ๆ ตามผู้เขียน นอกจากน้ีบทประพันธ์ที่ เปน็ วรรณคดีจะต้องมรี ูปศลิ ปะ (form) Robert Harris Willmott กล่าวว่า วรรณคดี คือ ความไม่ตายแห่งคาพูด เก็บรักษาไว้ในรูปของการ จารึก มีความงามเป็นเครื่องประดบั และเป็นสิ่งท่กี อ่ ใหเ้ กดิ ความเบกิ บานอย่างทส่ี ดุ
หน่วยที่ ๑ เรื่อง พินิจคณุ ค่ำวรรณคดี | ๒ Double Days Encyclopedia Vol.Vll กล่าวว่า วรรณคดีคือการแสดงออกซึ่งความคิดที่ดีที่สุด และเขียนไว้อย่างดีท่ีสุด เป็นสิ่งซึ่งก่อให้เกิดความนึกฝัน หรือจินตนาการอันต่างไปจากหนังสือที่เป็นจดหมาย เหตุ ข้อเทจ็ จริง และหนงั สือประเภทใหค้ วามรคู้ วามคดิ ทั้งหลาย วรรณกรรม คาว่า วรรณกรรม มีปรากฏเป็นหลักฐานครั้งแรกในพระราชบัญญัติคุ้มครองศิลปะและวรรณกรรม พ.ศ.๒๔๗๔ คาน้แี ปลมาจากคา Literature เช่นเดียวกับคาว่า วรรณคดี วรรณกรรม มีความหมายท่ีใช้กัน เปน็ ท่ีเข้าใจทั่วไป ๒ นยั คือ ๑. ความหมายใกล้เคียงกับวรรณคดีในความหมายอย่างกว้าง คือ หมายถึงส่ิงที่เขียนขึ้น ประพันธ์ขึ้น ทัง้ หมด ไม่วา่ จะเป็นรูปแบบใด เพอื่ ความม่งุ หมายใด ไม่เน้นการแสดงออกว่ามคี ุณคา่ ทางอารมณ์หรือไม่ ๒. หมายถึงสิ่งที่เขียน ประพันธ์ขึ้นเร่ืองหน่ึง ๆ ด้วยภาษาใดภาษาหนึ่งในสมัยหน่ึง หรือในบ้านเมือง แห่งหน่งึ ๆ เปน็ รายเรอื่ งไป เชน่ ใชว้ า่ วรรณกรรมสุนทรภู่ วรรณกรรมร่วมสมัย วรรณกรรมรัสเซีย วรรณกรรม สมัยรัตนโกสินทร์ คาว่าวรรณกรรมมีความหมายเปน็ กลาง ๆ ไม่ประเมนิ คณุ ค่า จงึ ไมเ่ หมือนกับคาว่าวรรณคดี ในความหมายอย่างแคบ วรรณกรรมที่แต่งดี ได้รับความยกย่องจากคนท่ัวไปจึงเรียกว่า วรรณคดี คุณสมบัติที่ทาให้วรรณกรรม และวรรณคดีตา่ งกันคอื วรรณศลิ ป์ หรือ ศิลปะแหง่ การเรียบเรียง องค์ประกอบของวรรณศิลป์ วรรณศิลป์เป็นคุณสมบัติท่ีทาให้วรรณกรรมและวรรณคดีเป็นศิลปะของการเรียบเรียงซ่ึง ประกอบดว้ ยความรสู้ ึกสะเทอื นใจและจนิ ตนาการ และสร้างข้นึ เปน็ รปู มีเร่อื งราวเป็นรายละเอียด เช่นว่า เราได้ ทราบเรอื่ งราวของเด็กท่ียากจนน่าสงสาร เราเกิดความสะเทือนใจจึงได้เขียนเร่ืองเกี่ยวกับเด็กคนน้ันขึ้นเป็นนว นิยาย หากเขียนดีไดร้ บั ความยกยอ่ งในระยะเวลาน้ัน หรือในอีก ๕๐ ปี หรือ ๑๐๐ ปีข้างหน้าก็ยังยกย่องกันอยู่ ก็จะเรียกว่าเป็นวรรณคดีได้ วรรณคดีจึงเกิดขึ้นด้วยลักษณะหลายประการประกอบกัน รวมกันเป็นคุณสมบัติ สาคัญท่ีว่า “วรรณศิลป์” องคป์ ระกอบของวรรณศลิ ป์ มดี งั นี้ ๑. อำรมณส์ ะเทือนใจ ๔. สไตล์ (ท่วงทำนองแตง่ ) ๒. ควำมรูส้ กึ นึกคดิ จินตนำกำร ๕. เทคนิค (กลวธิ ี) ๓. กำรแสดงออก ๖. องคป์ ระกอบ
หน่วยที่ ๑ เรอื่ ง พินิจคณุ ค่ำวรรณคดี | ๓ ประเภทของวรรณคดี ๑. วรรณคดมี ขุ ปำฐะ คือ วรรณคดแี บบทีเ่ ลา่ กนั ปากตอ่ ปาก ไม่ได้บันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร เช่น เพลง พน้ื บ้าน นิทานชาวบา้ น บทร้องเลน่ เป็นต้น ๒. วรรณดรี ำชสำนกั หรือวรรณคดีลำยลักษณ์อักษร เช่น ไตรภูมิพระร่วง พระอภัยมณี อิเหนา ลิลิต ตะเลงพ่าย เปน็ ต้น วรรณคดีไทยโดยถอื ลกั ษณะกำรแตง่ เป็นสำคญั ๑. ประเภทรอ้ ยแกว้ คือวรรณกรรมทไี่ มม่ ีลักษณะบังคับในการแต่งตามแบบแผนที่บัญญัติไว้ อันได้แก่ การกาหนดจานวนคา กาหนดสัมผสั กาหนดเสียงเอกโท กาหนดเสียงหนักเบา หรือเรยี กว่า การกาหนดคณะ ๒. ประเภทร้อยกรอง คือ วรรณกรรมประเภทที่มีลักษณะบังคับในการแต่งหรือมีการกาหนดคณะ เชน่ กาพย์ กลอน โคลง ฉนั ท์ รา่ ย เปน็ ตน้ กำรแบ่งตำมควำมมุ่งหมำย แยกได้ ๒ ประเภท สำรคดี คือ หนังสอื ทีม่ ุ่งให้ความรูแ้ กผ่ อู้ า่ นเป็นสาคัญ แตใ่ นขณะเดยี วกันก็ใช้กลวิธีการเขียนให้เกิดความบันเทิง เป็นผลพลอยไดไ้ ปดว้ ย บนั เทงิ คดี คือ หนังสือทม่ี ุง่ ใหค้ วามสนุกเพลิดเพลินแกผ่ อู้ ่านมากกวา่ ความรู้แต่อยา่ งไรกด็ ี บนั เทิงคดีย่อมมีเนื้อหาท่ี เปน็ สาระสาคัญแทรกอยดู่ ว้ ยในรปู ของคติชวี ิตและเกรด็ ความรู้ พระราชกฤษฎีกาจัดตั้งวรรณคดีสโมสร ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว กาหนดประเภท ของวรรณคดแี ละพจิ ารณาหนงั สอื ทีเ่ ป็นยอดของวรรณคดแี ต่ละประเภทไว้ ดงั นี้ ๑. กวีนพิ นธ์ คอื เรือ่ งทีแ่ ตง่ เปน็ โคลง ฉนั ท์ กาพย์ กลอน รา่ ย ๒. ละครไทย คอื เรื่องท่แี ตง่ เป็นกลอนแปด มกี าหนดหนา้ พาทย์ ๓. นทิ าน คอื เรอื่ งราวอันผูกขนึ้ และแตง่ เปน็ รอ้ ยแก้ว ๔. ละครพดู คอื เรื่องราวที่เขยี นเพือ่ ใชแ้ สดงบนเวที ๕. อธิบาย (essay หรือ pamphlet) คือ การแสดงด้วยศิลปวิทยา หรือกิจการอย่างใดอย่างหน่ึง แต่ไม่ใช้ตาราหรือแบบเรยี น หรือความเรียงเร่อื งโบราณ มีพงศาวดาร เป็นตน้ แหล่งกำรเรียนรู้ สำรคดี บนั เทิงคดี
หน่วยที่ ๑ เร่ือง พินจิ คุณค่ำวรรณคดี | ๔ ววิ ฒั นำกำรของวรรณคดไี ทย กำรแบ่งยุคของวรรณคดี วรรณคดีไทยเรมิ่ มขี นึ้ ตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัยเป็นราชธานีของไทยมาจนกรุงรัตนโกสินทร์ วรรณคดีมิได้ เกิดขึ้นทุกรัชกาลเพราะฉะน้ันสมัยของวรรณคดีไทยอาจเรียกตามพระน ามของพระมหากษัตริย์ที่มีวรรณคดี เกดิ ขนึ้ กไ็ ด้ แตใ่ นทนี่ ้ีจะแบ่งโดยอิงตามลาดบั เวลาตามประวัตศิ าสตร์ของชาติไทยเป็นหลักโดยถือเอาเมืองหลวง เปน็ จุดศนู ย์กลางการแบ่งสมัย ได้ดงั ตอ่ ไปน้ี ๑. สมยั สโุ ขทยั ๒. สมยั กรงุ ศรอี ยุธยำ ๓. สมัยธนบรุ ี ๔. สมยั กรงุ รตั นโกสินทร์ สมยั สุโขทยั วรรณคดีสมัยสุโขทัย เริ่มต้ังแต่รัชกาลของพ่อขุนรามคาแหงมหาราชที่มีการประดิ ษฐ์ ลายสือไทยข้ึน ใน พ.ศ. ๑๘๒๖ จนถึงรัชกาลของพระมหาธรรมราชาที่ ๔ สุโขทัยตกอยู่ใต้อานาจ กรุงศรอี ยุธยา ในพ.ศ. ๑๙๒๑ มกี วแี ละวรรณคดที สี่ าคัญ ยุคสมยั วรรณคดี พ่อขนุ รำมคำแหงมหำรำช ศิลาจารกึ พ่อขนุ รามคาแหง สุภาษิตพระร่วง พระยำลิไท ไตรภมู ิพระร่วง นางนพมาศ หรอื ตารบั ท้าวศรีจุฬาลกั ษณ์ สมัยกรุงศรีอยุธยำ ความเจรญิ รุ่งเรอื งของไทยไดเ้ ลื่อนจากกรุงสโุ ขทยั มาเปน็ ความเจริญของกรุงศรีอยุธยาตั้งแต่ พ.ศ.๑๘๙๓ จนถึง เสียกรุงครั้งที่ ๒ เมื่อ พ.ศ.๒๓๑๐ รวมเวลาท้ังส้ิน ๔๑๗ ปี มีกษัตริย์ปกครอง ๕ ราชวงศ์ รวม ๓๓ พระองค์ กรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีที่เจริญรุ่งเรืองเป็นท่ีรู้จักของประเทศต่าง ๆ วรรณคดีมีความเจริญเป็นพัก ๆ และพระมหากษัตริย์มีความสนพระทัยในวรรณคดีในสมยั น้ีแบง่ เป็นยุคย่อยไดอ้ ีก ๓ สมยั คอื ๒.๑ สมัยกรุงศรีอยุธยำตอนต้น ต้ังแต่สมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง) จนถึงสมัย สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ (บรมไตรโลกนาถ) พ.ศ. ๑๘๙๓ – ๒๐๗๒ เป็นระยะเวลา ๑๗๙ ปี จากน้ันวรรณคดี ว่างเว้นไป ๙๐ ปี เพราะบ้านเมืองไม่ปกตสิ ขุ มีสงครามกบั พม่า กวีและวรรณคดสี าคญั ในยุคนี้
หนว่ ยที่ ๑ เรอ่ื ง พนิ จิ คณุ คำ่ วรรณคดี | ๕ ยุคสมัย วรรณคดี สมเดจ็ พระรำมำธิบดีที่ ๑ (อู่ทอง) - ลลิ ิตโองการแช่งน้า สมเดจ็ พระรำมำธิบดีที่ ๒ (บรมไตรโลกนำถ) - มหาชาตคิ าหลวง - ลลิ ติ ยวนพ่าย - ลิลติ พระลอ ๒.๒ สมัยกรุงศรีอยุธยำตอนกลำง ต้ังแต่สมัยสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม จนถึงสมัยสมเด็จ พระนารายณ์มหาราช (ยคุ ทองของวรรณคดี) พ.ศ. ๒๑๕๓ – ๒๒๓๑ เป็นเวลา ๗๘ ปี จากนั้นวรรณคดีว่างเว้น ไปอกี ๔๔ ปี กวีและวรรณคดีสาคัญในสมยั น้ี ยคุ สมัย วรรณคดี พระเจำ้ ทรงธรรม สมเดจ็ พระนำรำยณม์ หำรำช - กาพยม์ หาชาติ พระมหำรำชครู - โคลงพาลีสอนน้อง พระโหรำธบิ ดี - โคลงทศรถสอนพระราม - โคลงราชสวสั ด์ิ ศรปี รำชญ์ - สมทุ รโฆษคาฉนั ทต์ อนกลาง พระศรีมโหสถ - บทพระราชนิพนธโ์ คลงโตต้ อบกบั กวอี ืน่ ๆ - เสือโคคาฉันท์ ขนุ เทพกวี - สมุทรโฆษคาฉนั ท์ตอนตน้ - จนิ ดามณี - พงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับหลวงประเสริฐ- อักษรนิติ - อนิรุทธคาฉันท์ โคลงเบ็ดเตล็ด - กาพยห์ ่อโคลง - โคลงเฉลิมพระเกียรติสมเดจ็ พระนารายณ์- มหาราช - โคลงอกั ษรสามหมู่ - โคลงนริ าศนครสวรรค์ - คาฉันทด์ ุษฎีสังเวยกล่อมชา้ ง
หนว่ ยที่ ๑ เรื่อง พินิจคุณค่ำวรรณคดี | ๖ ๒. ๓ ส มั ยก รุ งศ รี อ ยุธ ย ำต อ น ป ล ำ ย ส มัย ส มเ ด็ จพ ร ะ เจ้ า อยู่ หั ว บ ร ม โ ก ศ จ น ถึง เ สี ย กรุงศรอี ยธุ ยา พ.ศ. ๒๒๗๕ – ๒๓๑๐ เปน็ เวลา ๓๕ ปี กวแี ละวรรณคดสี าคัญในสมยั นี้ ยุคสมยั วรรณคดี สมเด็จพระเจำ้ อยหู่ วั บรมโกศ - โคลงชะลอพุทธไสยาสน์ เจ้ำฟ้ำอภัย - โคลงนริ าศเจา้ ฟา้ อภัย เจ้ำฟำ้ ธรรมธิเบศรไชยเชษฐส์ รุ ยิ วงศ์ - นันโทปนันทสูตรคาหลวง - พระมาลยั คาหลวง - กาพยเ์ ห่เรือ - กาพย์ห่อโคลงประพาสธารทองแดง - กาพย์ห่อโคลงนริ าศ - เพลงยาวเจา้ ฟา้ ธรรมธิเบศร เจ้ำฟ้ำกุณฑล - บทละครเรื่องดาหลัง เจ้ำฟ้ำมงกฎุ - บทละครเรอื่ งอเิ หนา พระมหำนำควัดท่ำทรำย - ปณุ โณวาทคาฉันท์ - โคลงนริ าศพระบาท หลวงศรีปรีชำ - กลบทสริ วิ ิบุลกิติ - บทละครนอก สมยั กรุงธนบุรี วรรณคดีสมัยกรุงธนบุรี พ.ศ. ๒๓๑๐-๒๓๒๕ ในแผ่นดินพระเจ้ากรุงธนบุรีหรือสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช จะทรงเป็นกษัตริย์นักรบ แต่ก็ทรงสนพระทัยศิลปะและวัฒนธรรม ทรงอุปถัมภ์กวี และวรรณคดี นอกจากน้ี ทรงพระราชนิพนธ์บทละครเร่ืองรามเกียรต์ิ ๔ ตอน โดยใช้เวลาเพียง ๒ เดือน เท่านั้น วรรณกรรมในสมัยธนบุรีหลายเร่ืองได้สืบต่อมาจากสมัยอยุธยาและส่งต่อมายังสมัยรัตนโกสินทร์ ทั้ง วรรณกรรมประเภทนิทานนิยาย วรรณกรรมยอพระเกียรติ วรรณกรรมคาสอน และวรรณกรรมการแสดงกวี และวรรณคดีสาคญั ในสมัยน้ี ยคุ สมัย วรรณคดี สมเดจ็ พระเจ้ำตำกสนิ มหำรำช บทละครเรอื่ งรำมเกยี รติ์ ๔ ตอน คอื - ตอนพระมงกฎุ ประลองศร - ตอนหนุมานเก้ียวนางวานริน - ตอนทา้ วมาลีวราชว่าความ - ตอนทศกณั ฐ์ตัง้ พิธที รายกรด พระลักษมณ์ตอ้ งหอก กบลิ พทั จนถึงตอนผูกผมทศกัณฐ์กับนางมณโฑ พระภิกษอุ ินท์และพระยำรำชสุภำวดี - กฤษณาสอนน้องคาฉันท์ นำยสวนมหำดเลก็ - โคลงยอพระเกยี รตสิ มเด็จพระเจา้ ตากสนิ มหาราช หลวงสรวิชิต (เจ้ำพระยำพระคลัง (หน) - อเิ หนาคาฉันท์ - ลลิ ติ เพชรมงกุฎ พระยำมหำนภุ ำพ - นิราศเมอื งกวางตุ้ง - เพลงยาว
หน่วยท่ี ๑ เรอ่ื ง พินิจคุณค่ำวรรณคดี | ๗ สมัยกรงุ รัตนโกสนิ ทร์ วรรณคดสี มยั กรุงรัตนโกสนิ ทร์ ราชอาณาจักรรัตนโกสินทร์เป็นราชอาณาจักรท่ีสี่ในยุคประวัติศาสตร์ ของไทย เรมิ่ ตัง้ แตก่ ารยา้ ยเมอื งหลวงจากฝัง่ กรงุ ธนบุรี มายังกรงุ เทพมหานคร ซง่ึ ต้ังอยทู่ างตะวันออกของแม่น้า เจ้าพระยา พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี เสด็จข้ึนครองราชสมบัติ เม่ือวันที่ ๖ เมษายน พ.ศ. ๒๓๒๕ การแบ่งยุคสมัยของวรรณคดีแบ่งออกเป็น ๓ ยุคสมยั คือ ๔.๑ สมัยกรุงรตั นโกสนิ ทรต์ อนต้น เริม่ ต้ังแต่สถาปนากรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานี ใน พ.ศ. ๒๓๒๕ จนกระท่งั ปลายรัชกาลพระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาลัย ใน พ.ศ. ๒๓๖๗ กวีและวรรณคดีสาคัญในสมัย น้ี ยุคสมัย วรรณคดี พระบำทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้ำจุฬำโลมหำรำช - เพลงยาวรบพมา่ ทท่ี ่าดินแดง สมเดจ็ กรมพระรำชวงั บวรมหำสรุ สิงหนำท - บทละครเรอ่ื งอุณรุท - บทละครเร่ืองรามเกยี รต์ิ เจำ้ พระยำพระคลัง(หน) - บทละครเรอื่ งดาหลงั - บทละครเรือ่ งอิเหนา พระเทพโมลี (กล่ิน) - กฎหมายตราสามดวง พระธรรมปรชี ำ(แก้ว) สมเดจ็ กรมพระรำชวงั บวรสถำนพมิ ุข - นริ าศเสดจ็ ไปรบพมา่ ทน่ี ครศรีธรรมราช เจำ้ พระยำพพิ ธิ ชัย - เพลงยาวถวายพยากรณ์เมื่อเพลงิ ไหม้พระท่นี ่งั พระวิเชียรปรีชำ อมรินทราภิเษกมหาปราสาท - เพลงยาวนริ าศเสดจ็ ไปตีเมอื งพม่า - ราชาธิราช - สามก๊ก - สมบัตอิ มรนิ ทร์คากลอน - บทมโหรีเรือ่ งกากี - ลลิ ติ พยุตราเพชรพวง - ลลิ ิตศรวี ิชัยชาดก - ร่ายยาวมหาเวสสนั ดรชาดกกัณฑ์กุมารและ กัณฑ์มทั รี - รา่ ยยาวมหาเวสสนั ดรชาดกกัณฑ์มหาพน - มหาชาติคาหลวง กณั ฑ์ทานกัณฑ์ - นริ าศตลาดเกรียบ - ไตรภมู โิ ลกวนิ ิจฉยั กถา - ชิดกก๊ ไซฮ่ัน - พระราชพงศาวดารฉบบั พันจันทนุมาศ - พงศาวดารเหนือ
หนว่ ยที่ ๑ เรื่อง พนิ จิ คณุ คำ่ วรรณคดี | ๘ ยคุ สมัย วรรณคดี วรรณคดีสมัยพระบำทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้ำ - บทละครเรื่องอิเหนา นภำลัย - บทละครเรื่องรามเกยี รติ์ - บทละครนอก ๕ เรอื่ ง คือ ไชยเชษฐ์ มณพี ิไชย คาวี สังขท์ อง ไกรทอง - กาพย์เหช่ มเครื่องคาวหวานและว่าดว้ ยงาน นกั ขตั ฤกษ์ - บทพากยโ์ ขน ตอนนางลอย นาคบาศ พรหมาสตร์ และเอราวณั - เสภาเรอื่ งขุนชา้ งขนุ แผน ตอนพลายแกว้ เปน็ ชู้ กับนางพิม ขุนแผนขนึ้ เรือน - ขนุ ช้าง ขุนแผนเข้าหอ้ งนางแกว้ กิริยา และ ขนุ แผนพานางวันทองหนี นำยนรินทรธ์ เิ บศร์ - โคลงนิราศนรนิ ทร์ พระยำตรงั คภูมบิ ำล - โคลงนริ าศตามเสดจ็ ลาน้าน้อย พระสุนทรโวหำร (ภู่) - โคลงนริ าศพระยาตรงั - โคลงดั้นเฉลมิ พระเกยี รติพระบาทสมเด็จพระ พทุ ธเลศิ หล้านภาลยั - เพลงยาว - โคลงกวีโบราณ - นิราศ ๙ เร่ือง คอื เมืองแกลง พระบาท ภเู ขา ทอง วดั เจ้าฟ้า อเิ หนา สุพรรณ ราพนั พลิ าป พระประธม เมืองเพชร - กลอนนยิ าย ๔ เรอื่ ง คือ โคบตุ ร สิงหไตรภพ ลกั ษณวงศ์ พระอภยั มณี - เสภา ๒ เร่ือง คือ ขนุ ช้างขนุ แผน ตอน กาเนดิ พลายงาม พระราชพงศาวดาร - กลอนสภุ าษิต ๓ เรอ่ื ง คือ สภุ าษติ สอนหญงิ เพลงยาวถวายโอวาท สวสั ดิ รกั ษา - กาพย์ ๑ เรือ่ ง คือ พระไชยสุรยิ า - บทเห่ ๔ เรื่อง คือ กากี จบั ระบา พระอภยั มณี โคบตุ ร - บทละคร ๑ เร่ือง คือ อภัยนุราช
หน่วยท่ี ๑ เร่อื ง พนิ ิจคุณคำ่ วรรณคดี | ๙ ๔.๒ สมัยรัตนโกสินทร์ตอนกลำง เร่ิมในระหว่างรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว จนกระทั่งรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว คือระหว่าง พ.ศ. ๒๓๖๗ – พ.ศ. ๒๔๗๕ กวีและวรรณคดีสาคัญ ยคุ สมัย วรรณคดี พระบำทสมเดจ็ พระนั่งเกล้ำเจ้ำอยูห่ วั - เสภาเรือ่ งขุนช้างขุนแผน ตอน ขนุ ช้างขอนาง พิมและขนุ ช้างตามนางวนั ทอง - โคลงยอพระเกียรติพระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธ เลิศหล้านภาลยั - บทละครเรอ่ื งสงั ขศ์ ลิ ป์ชัย - โคลงฤาษดี ัดตน (จารึกวัดพระเชตุพนฯ) - เพลงยาวกลบท - พระบรมราโชวาทและพระราชกระแสรับส่ัง ตา่ งๆ - พระราชปุจฉาและพระราชปรารภตา่ งๆ - ประกาศหา้ มสูบฝิ่น - นิทานแทรกในเร่ืองนางนพมาศ สมเด็จพระมหำสมณเจำ้ กรมพระปรมำนุชิตชโิ นรส - ลลิ ติ ตะเลงพา่ ย - สมทุ รโฆษคาฉนั ท์ - ร่ายยาวมหาเวสสนั ดรชาดก - สรรพสทิ ธค์ิ าฉนั ท์ - กฤษณาสอนน้องคาฉันท์ - ลิลติ กระบวนพยุหยาตราเสดจ็ ทางชลมารคและ สถลมารค - โคลงดน้ั เร่อื งปฏสิ งั ขรณ์วัดพระเชตุพนฯ - เพลงยาวเจ้าพระ - กาพยข์ บั ไม้กลอ่ มชา้ งพัง - พระปฐมสมโพธกิ ถา - ตาราฉนั ทม์ าตราพฤติและวรรณพฤติ - พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระเจำ้ บรมวงศ์เธอกรมพระยำเดชำดศิ ร - โลกนิตคิ าโคลง - โคลงนิราศเสดจ็ ไปทัพเวียงจนั ทร์ - ฉนั ท์ดษุ ฎีสงั เวยต่างๆ - โคลง (จารกึ วดั พระเชตุพนฯ) พระเจำ้ บรมวงศเ์ ธอกรมหลวงวงศำธิรำชสนทิ - นริ าศพระประธม - โคลงจินดามณี - นิราศสุพรรณ - กลอนกลบทสิงโตเลน่ หาง
หน่วยที่ ๑ เร่ือง พินิจคณุ ค่ำวรรณคดี | ๑๐ ยคุ สมยั วรรณคดี พระเจำ้ บรมวงศ์เธอ กรมหมน่ื ไกรสรวิชติ พระมหำมนตรี(ทรัพย)์ - โคลงฤาษดี ดั ตน กรมพระรำชวังบวรมหำศักดพิ ลเสพย์ - โคลงกลบทกบเตน้ ไต่รยางค์ พระบำทสมเด็จพระจอมเกล้ำเจ้ำอยูห่ ัว - เพลงยาวกลบท กรมพระรำชวงั บวรมหำศกั ดิพลเสพย์ - บทละครเรอื่ งระเดน่ ลันได พระบำทสมเด็จพระจอมเกลำ้ เจำ้ อยหู่ ัว - เพลงยาวว่ากระทบพระยามหาเทพ - โคลงฤาษดี ัดตน หม่อมเจ้ำอศิ รญำณ พระบำทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลำ้ เจ้ำอยหู่ วั - บทละครนอกเรือ่ งพระลอนรลกั ษณ์ - เพลงยาวกรมศักดิ์ - บทละครเรื่องรามเกียรต์ิ ตอนพระรามเดินดง - มหาชาติ ๕ กัณฑ์ คือ วนปเวสน์ จุลพน มหาพน สกั กบรรพ และฉกษัตริย์ - ประกาศและพระบรมราชาธิบาย - บทจบั ระบาเรอื่ งรามสูรและเมขลานารายณป์ ราบนนทกุ - บทพระราชนิพนธเ์ บด็ เตล็ด เชน่ บทเบกิ โรง ละครหลวง บทราดอกไมเ้ งนิ ทอง - จารกึ วัดพระเชตุพน - บทละครนอกเร่ืองพระลอนรลักษณ์ - เพลงยาวกรมศักด์ิ - บทละครเรอ่ื งรามเกียรต์ิ ตอนพระรามเดินดง - มหาชาติ ๕ กณั ฑ์ คือ วนปเวสน์ จลุ พน มหาพน สักกบรรพ และฉกษัตรยิ ์ - ประกาศและพระบรมราชาธบิ าย - บทจบั ระบาเร่อื งรามสูรและเมขลา นารายณ์ ปราบนนทกุ - บทพระราชนพิ นธ์เบด็ เตล็ด เช่น บทเบิกโรง ละครหลวง บทราดอกไมเ้ งนิ ทอง - จารึกวดั พระเชตุพน - อศิ รญาณภาษติ - พระราชพธิ สี ิบสองเดือน - ไกลบ้าน - พระราชวจิ ารณ์ - บทละครเรอ่ื งเงาะป่า - ลลิ ติ นิทราชาครติ - บทละครเรื่องวงศเทวราช -กวนี ิพนธเ์ บ็ดเตล็ด เช่น กาพยเ์ ห่เรือ โคลงสภุ าษติ โคลงรามเกยี รติ์ - บันทกึ และจดหมายเหตุตา่ ง ๆ
หนว่ ยท่ี ๑ เรอ่ื ง พินจิ คุณคำ่ วรรณคดี | ๑๑ ยคุ สมยั วรรณคดี พระยำศรสี นุ ทรโวหำร (นอ้ ย อำจำรยำงกูร) - แบบเรียนภาษาไทย ๖ เลม่ - พรรณพฤกษาและสัตวาภธิ าน - คาฉันท์กล่อมช้าง - คานมัสการคุณานคุ ุณ พระเจ้ำบรมวงศ์เธอ - เฉลมิ พระเกียรตกิ ษัตริยค์ าฉันท์ กรมพระนรำธปิ ประพันธพ์ งศ์ - ลลิ ติ มหามงกุฎราชคุณานุสรณ์ - ลลิ ติ ตานานพระแท่นมนงั คศลิ า - พระราชพงศาวดารพม่า - บทละครเรือ่ งสาวเครอื ฟา้ - บทละครเรื่องพระลอ - บทละครเรือ่ งไกรทอง - บทละครพงศาวดารเรื่องพันท้ายนรสงิ ห์ พระบำทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกล้ำเจ้ำอยู่หัว - บทละครพูดตา่ งๆ หวั ใจนกั รบ มทั นะพาธา พระรว่ ง วิวาหพระสมุทร โพงพาง เวนิสวาณิช เห็นแก่ลกู ตามใจท่าน โรเมโอและจเู ลยี ต - บทละครเบิกโรงเรื่องดึกดาบรรพ์ - บทละครดกึ ดาบรรพ์ - บทละครร้อง เชน่ สาวิตรี ท้าวแสนปม - บทละครรา เช่น ศกนุ ตลา - บทโขน แก่ รามเกียรต์ิ - บ่อเกดิ รามเกียรต์ิ - เมืองไทยจงตน่ื เถิด - ลัทธเิ อาอยา่ ง - พระนลคาหลวง สมเด็จพระเจ้ำบรมวงศ์เธอ กรมพระยำดำรง - พงศาวดารเรือ่ งไทยรบพม่า รำชำนภุ ำพ - นริ าศนครวัด - เที่ยวเมอื งพม่า - นทิ านโบราณคดี - ความทรงจา - สาส์นสมเด็จ - เสด็จประพาสตน้ - ประวตั กิ วแี ละวรรณคดีวิจารณ์ - ฉันทท์ ลู เกล้าถวายรชั กาลที่ ๕ พระรำชวรวงศเ์ ธอ กรมหม่ืนพิทยำลงกรณ - จดหมายจางวางหรา่ - นทิ านเวตา
หนว่ ยท่ี ๑ เรอื่ ง พนิ จิ คณุ ค่ำวรรณคดี | ๑๒ ยคุ สมัย วรรณคดี สมเด็จพระเจ้ำบรมวงศ์เธอ เจ้ำฟ้ำกรมพระยำ - อุณรทุ ตอน สมอษุ า นริศรำนุวัติวงศ์ - สังขท์ อง ตอน ถว่ งสังข์ - อิเหนา ตอนเผาเมือง - บทเพลง เชน่ เพลงเขมรไทรโยค เพลง สรรเสรญิ พระบารมี เพลงตบั ตา่ ง ๆ - กาพยเ์ หเ่ รือ เจ้ำพระยำธรรมศักดม์ิ นตรี - โคลงกลอนของครูเทพ - บันเทิงคดีตา่ งๆ - บทละครพูด - แบบเรยี นธรรมจริยา พระยำอปุ กติ ศิลปสำร - คาประพันธ์บางเรอื่ ง - ชุมนุมนิพนธ์ - สงครามมหาภารตะคากลอน พระยำศรสี นุ ทรโวหำร (ผัน) - อิลราชคาฉนั ท์ นำยชิต บุรทตั - สามคั คีเภทคาฉันท์ - กวนี ิพนธ์บางเร่อื ง - พระเกยี รติงานพระเมรุทองท้องสนามหลวง พระยำอนุมำนรำชธนและพระสำรประเสรฐิ - กามนิต วาสิฏฐี - หิโตปเทศ - ทศมนตรี - สมญาภิธานรามเกียรติ์ - ประมวลนทิ าน น.ม.ส. - พระนลคาหลวง - กนกนคร - สามกรุง ๔.๓ สมัยรัตนโกสนิ ทร์ปัจจุบัน (หลังกำรเปลีย่ นแปลงกำรปกครอง) เร่ิมต้ังแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช มาเป็นการปกครอง แบบประชาธิปไตย ในพ.ศ. ๒๔๗๕ ถึงปัจจุบันนับต้ังแต่รัชกาลที่ ๕ และ ๖ อิทธิพลของวรรณคดียุโรปได้แผ่ เข้ามาในประเทศไทย เป็นผล ให้วรรณคดีไทยเปลี่ยนแปลงรูปแบบและเนื้อหา เมื่อสิ้นรัชกาลท่ี ๖ วรรณกรรม ตามแบบฉบับด้ังเดิมขาดผู้อุปถัมภ์ค้าจุนอย่างจริงจัง ประกอบกับมีปัจจัยหลายอย่างเป็นมูลเหตุให้วรรณกรรม ไทยมีวิวัฒนาการอย่างรวดเร็วไปตามแนวตะวันตกอันเป็นลักษณะสาคัญของวรรณกรรมปัจจุบัน ล้าหน้า วรรณกรรมแบบดั้งเดิมไปเป็นอันมาก แต่อย่างไรก็ตามถึงแม้วรรณกรรมปัจจุบันจะรุดหน้าไปเพียงใด ใช่วา่ วรรณกรรมแบบเดมิ จะเส่ือมความนิยมไปจนหมดสนิ้ ก็หาไม่เพียงลดประมาณลงไปเทา่ น้นั
หน่วยที่ ๑ เรื่อง พินจิ คุณคำ่ วรรณคดี | ๑๓ หนังสือที่เป็นยอดแห่งวรรณคดีไทยกวีนพิ นธ์ หนังสอื ประเภท ลิลิตพระลอ เปน็ ยอดของ ลิลติ สมทุ รโฆษคาฉันท์ เป็นยอดของ คาฉนั ท์ เทศน์มหาชาติ เป็นยอดของ กลอนกาพย์ (รา่ ยยาว) เสภาเรอ่ื งขุนชา้ งขนุ แผน เป็นยอดของ กลอนสุภาพ บทละครเรื่องอเิ หนา พระราชนพิ นธ์ในรัชกาลท่ี ๒ เปน็ ยอดของ บทละครรา บทละครพดู เรื่องหัวใจนกั รบ พระราชนิพนธใ์ นรัชกาลท่ี ๖ เปน็ ยอดของ บทละครละครพดู สามกก๊ ของเจ้าพระยาพระคลงั (หน) เปน็ ยอดของ ความเรียงนทิ าน พระราชพธิ สี ิบสองเดือน พระราชนิพนธ์ในรัชกาลท่ี ๕ เป็นยอดของ ความเรยี งอธิบาย
หน่วยที่ ๑ เร่อื ง พนิ จิ คณุ คำ่ วรรณคดี | ๑๔ วรรณคดมี รดก วรรณคดีมรดก เป็นคาที่กระทรวงศึกษาธิการกาหนดขึ้น เพื่อให้เป็นรายวิชา ท ๐๓๓ ตามหลักสูตร ภาษาไทย พ.ศ.๒๕๒๔ หมายถึง “วรรณคดีที่ได้รับการยกย่องกันมาหลายช่ัวอายุคนในด้านวรรณศิลป์กับ ในดา้ นทแ่ี สดงค่านิยมและความเชื่อในสมยั ของบรรพบุรุษส่งเสริมให้เปรียบเทียบชีวิตมนุษย์ ในสมัยของบรรพ- บุรุษกับชีวิตในปจั จุบนั ” องค์ประกอบของวรรณคดมี รดก ๑. มเี น้ือหาและรปู แบบทเ่ี หมาะสม ไมว่ ่าจะเป็นนิทาน นิยาย บทละคร นวนิยาย ฯลฯ ๒. มีศิลปะการใช้ภาษาอย่างประณีต ๓. แสดงความนึกคิดท่ีเฉียบแหลมของผู้แต่ง สอดแทรกประสบการณ์ชีวิต และให้ความรู้ในเรื่องสามัญของคน ท่ีได้รบั การศึกษา ๔. แสดงพฒั นาการทางอารมณ์ของผแู้ ตง่ อยา่ งสูง ทั้งดา้ นความรัก ความทกุ ข์ ความสขุ ความผดิ หวงั ฯลฯ ๕. มีคุณคา่ ทางประวัตวิ รรณคดี แสดงใหเ้ ห็นการแปรเปลย่ี นตามกาลสมัยของการแต่งวรรณกรรม ๖. มีคุณคา่ ทางประวตั ิภาษาแสดงให้เหน็ การแปรเปลยี่ นตามกาลสมัยของภาษาและการใช้ภาษา หนังสือใดที่มีคุณสมบัติ ๖ ประการดังกล่าว จะได้รับยกย่องจากผู้ที่ศึกษา และสนใจ ในศิลปะทาง วรรณคดีวา่ สมควรรักษาไว้เปน็ มรดกวัฒนธรรมของชาติ
หนว่ ยที่ ๑ เรอื่ ง พนิ ิจคณุ คำ่ วรรณคดี | ๑๕ คุณคำ่ ของวรรณคดมี รดก ๑. คุณค่าทางศีลธรรม กวีสอดแทรกคติ คาสอน และศีลธรรม ไว้ในเนื้อเร่ืองบ้าง ถ้อยคาบรรยายบ้าง ในถอ้ ยคาสนทนาบา้ ง ผ้อู า่ นรับคติ ขอ้ คิดทดี่ งี ามไปโดยไม่รตู้ วั ๒. คุณค่าทางปัญญา ผ้อู ่านจะได้รบั ความรู้เพม่ิ ข้นึ ได้ข้อคดิ ขยายทัศนคตใิ หก้ ว้างขวางขน้ึ ๓. คุณค่าทางอารมณ์ทาให้ผู้อ่านเข้าใจธรรมชาติของมนุษย์ในเรื่องความรู้สึกและอารมณ์ ต่าง ๆ ของตวั ละคร ท้ังความดีใจ ความเสียใจ ความโกรธ ความรัก ความกลัว เป็นต้น ทาให้ผู้อ่านเกิดอารมณ์ คล้อยตามหรืออารมณ์สะเทือนใจไปด้วย ๔. คุณค่าทางวัฒนธรรมวรรณคดีทาหน้าท่ีสืบต่อวัฒนธรรมของชาติ จากคนรุ่นหนึ่งไปสู่อีกรุ่นหนึ่ง วรรณคดีจะสอดแทรกวฒั นธรรม ชวี ติ ความเป็นมนุษย์ ประเพณีต่าง ๆ ของสังคม ๕. คุณค่าทางประวัติศาสตร์ถ้าอ่านประวัติศาสตร์ จะเบ่ือหน่ายหลงลืม แต่ถ้าอ่านวรรณคดี เช่น ลิลิต ตะเลงพ่าย จะจาเร่ืองยทุ ธ์หัตถีไดด้ ขี นึ้ และเห็นความสาคัญของเหตุการณ์กับบา้ นเมือง ๖. คุณคา่ ทางจนิ ตนาการ ผู้มีจินตนาการมกั เปน็ ผู้มองเห็นการณไ์ กลทาสงิ่ ใดดว้ ยความรอบคอบ ๗. คุณคา่ ทางทักษะเชิงวิจารณ์การอ่านมาก เพ่ิมพูนความรู้และประสบการณ์ชีวิต วรรณคดีเป็นส่ิงย่ัวยุให้ผู้อ่าน ใชค้ วามคิดตรึกตรอง ตดั สินว่าสิ่งใดดหี รอื ไม่ดี เปน็ การฝึกการใชว้ จิ ารณญาณ ก่อใหเ้ กดิ ทักษะเชงิ วจิ ารณ์ ๘. คณุ ค่าในด้านวรรณศลิ ป์ คือคุณคา่ ในด้านการใชถ้ ้อยคาทไ่ี พเราะ มีการบรรยายการเปรยี บเทยี บได้ ชดั เจน ทาใหผ้ ูอ้ ่านเกิดจินตภาพ มถี ้อยคาสานวนทใี่ ห้แงค่ ดิ คติสอนใจ ผูอ้ า่ นสามารถนาไปประยุกตใ์ ชใ้ นชีวิตประจาวนั ๙. คุณค่าในด้านสภาพชีวิตสมัยบรรพบุรุษทาให้ผู้อ่านได้ทราบสภาพชีวิต ความเป็นอยู่ ความรู้สึกนึก คดิ ของผูค้ นและบ้านเมืองในสมยั นั้น และบางเร่ือง กวีได้นาเร่ืองราวทางประวัติศาสตร์มาเป็นข้อมูลในการแต่ง ซึง่ ผอู้ า่ นสามารถนามาเปรียบเทยี บกับเหตกุ ารณ์ในชวี ิตประจาวันได้ ๑๐. คุณค่าในด้านศลิ ปะอื่น ๆ วรรณคดแี ต่ละเร่อื งยงั ให้ความรู้ความเพลิดเพลินแก่ผู้อ่านในด้านศิลปะ ต่าง ๆ เชน่ สถาปัตยกรรม จติ รกรรม เพลง ละคร ภาพยนตร์ เปน็ ตน้ องค์ประกอบของวรรณศิลป์ วรรณศลิ ปเ์ ป็นคุณสมบัติทีท่ าให้วรรณกรรมและวรรณคดีเป็นศิลปะของการเรียบเรียงซึ่งประกอบด้วย ความรู้สึกสะเทือนใจและจินตนาการ และสร้างขึ้นเป็นรูปมีเรื่องราวเป็นรายละเอียด เช่นว่า เราได้ทราบ เรื่องราวของเด็กที่ยากจนน่าสงสาร เราเกิดความสะเทือนใจจึงได้เขียนเร่ืองเกี่ยวกับเด็กคนน้ันข้ึนเป็นนวนิยาย หากเขียนดีได้รับความยกย่องในระยะเวลานั้น หรือในอีก ๕๐ ปี หรือ ๑๐๐ ปีข้างหน้าก็ยังยกย่องกันอยู่ กจ็ ะเรยี กวา่ เปน็ วรรณคดีได้ วรรณคดีจึงเกิดขึ้นด้วยลักษณะหลายประการประกอบกัน รวมกันเป็นคุณสมบัติสาคัญที่ว่า “วรรณศิลป์” องค์ประกอบของวรรณศลิ ป์ ดงั นี้ ๑. อำรมณ์สะเทอื นใจ ๔. สไตล์ (ท่วงทำนองแต่ง) ๒. ควำมรสู้ กึ นกึ คิด จนิ ตนำกำร ๕. เทคนิค (กลวธิ ี) ๓. กำรแสดงออก ๖. องค์ประกอบ
หน่วยท่ี ๑ เร่ือง พนิ ิจคณุ คำ่ วรรณคดี | ๑๖ หลักกำรพินิจวรรณคดแี ละวรรณกรรม ควำมหมำย พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ ทรงบัญญัติคาว่า “พินิจ” เทียบจากคาว่า “Review” หมายถึง การมองซ้า ส่วนพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พุทธศักราช ๒๕๔๒ กล่าวว่า “พนิ ิจ” หมายถึง พจิ ารณา ตรวจตรา การพนิ ิจ คอื การพจิ ารณาตรวจตรา พรอ้ มทั้งวิเคราะห์แยกแยะและประเมินค่าได้ ท้ังน้ีนอกจากจะได้ ประโยชน์ต่อตนเองแล้ว ยังมีจุดประสงค์เพ่ือนาไปแสดงความคิดเห็นและข้อเท็จจริงให้ผู้อื่นได้ทราบด้วย เช่น การพินิจวรรณคดีและวรรณกรรมเพ่ือแนะนาให้บุคคลท่ัวไปท่ีเป็นผู้อ่านได้รู้จักและได้ทราบรายละเอียด ท่ีเป็นประโยชน์ในด้านต่าง ๆ เช่น ใครเป็นผู้แต่ง เป็นเร่ืองเกี่ยวกับอะไร มีประโยชน์ต่อใครบ้าง ทางด้านใด ผู้พินิจ มีความเห็นว่าอย่างไร คุณค่าในแต่ละด้านสามารถนาไปประยุกต์ให้เกิดประโยชน์อย่างไร ในชีวิตประจาวัน ม.ล.บุญเหลือ เทพยสุวรรณ (๒๕๑๔ : ๕๘ – ๑๓๓) วรรณคดี ใช้ในความหมายว่า วรรณกรรมหรือหนังสือท่ีได้รับการยกย่องว่าแต่งดี มี วรรณกรรมศิลป์กล่าวคือมีลักษณะเด่นในการใช้ถ้อยคา ภาษาและเด่นในการประพันธ์ ให้คุณค่าทาง อารมณ์และความรู้สึกแก่ผู้อ่านสามารถใช้เป็นแบบฉบับอ้างอิง ไดห้ นงั สอื ท่เี ปน็ วรรณคดีสามารถบ่งบอกลกั ษณะได้ ดงั น้ี ๑. มีเน้อื หาดี มีประโยชน์และเปน็ สภุ าษติ ๒. มีศิลปะการแต่งทีย่ อดเยี่ยมทั้งด้านศิลปะการใช้คา การใช้โวหารและถูกต้องตามหลกั ไวยากรณ์ ๓. ในหนังสือทไ่ี ด้รบั ความนยิ มและสบื ทอดกนั มายาวนานกว่า ๑๐๐ ปี กำรพินิจวรรณคดี หมายถึง การศึกษาวรรณคดีผ่านการตีความ การวิเคราะห์ วิจารณ์ พิจารณา เน้ือหา แนวคิด และประเมินองค์ประกอบและวิธีการประพันธ์ เพื่อให้เข้าใจคุณค่าของวรรณคดีซ่ึงถือเป็น แนวทางเบื้องตน้ ของการวจิ ารณ์วรรณคดี แนวทำงในกำรพินิจวรรณคดี การพินิจวรรณคดีมีแนวให้ปฏบิ ัติอยา่ งเพื่อให้ครอบคลมุ งานเขียนทุกชนิด ซึ่งผู้พินิจจะต้องดูว่าจะพินิจ หนังสือชนิดใด มีลักษณะเฉพาะอย่างไร ซึ่งจะมีแนวในการพินิจท่ีจะต้องประยุกต์หรือปรับใช้ให้เหมาะสม กบั งานเขยี นนน้ั ๆ หลักกำรพนิ จิ วรรณคดมี รดก กำรพนิ ิจ คือ การพิจารณาตรวจตรา พรอ้ มทง้ั วิเคราะหแ์ ยกแยะและประเมินค่าได้ ทั้งนี้นอกจากจะได้ ประโยชน์ต่อตนเองแล้ว ยังมีจุดประสงค์เพื่อนาไปแสดงความคิดเห็นและข้อเท็จจริงให้ผู้อื่นได้ทราบด้วย เช่น การพินิจวรรณคดีและวรรณกรรมเพื่อเป็นการแนะนาให้บุคคลท่ัวไปที่เป็นผู้อ่านได้รู้จักและได้ทราบ รายละเอียดท่ีเป็นประโยชน์ในด้านต่าง ๆ เช่น ใครเป็นผู้แต่ง เป็นเรื่องเก่ียวกับอะไร มีประโยชน์ต่อใครบ้าง ทางใดบ้าง ผู้พินิจมีความเห็นว่าอย่างไรคุณค่าในแต่ละด้านสามารถนาไปประยุกต์ให้เกิดประโยชน์อย่างไร ในชวี ติ ประจาวนั แนวทางในการพนิ จิ วรรณคดีมรดก
หน่วยที่ ๑ เรื่อง พินจิ คุณค่ำวรรณคดี | ๑๗ การพินิจวรรณคดีมรดกมีแนวทางในการปฏิบัติอย่างกว้าง ๆ เพ่ือให้ครอบคลุมงานเขียนทุกประเภท ซ่ึงผู้พินิจจะต้องดูว่าจะพินิจหนังสือชนิดใด มีลักษณะอย่างไรซ่ึงจะมีแนวทางในการพินิจท่ีจะต้องประยุกต์ หรอื ปรบั ใชใ้ ห้เหมาะสมกบั งานเขียนน้ัน ๆ หลักเกณฑใ์ นกำรพนิ จิ วรรณคดมี รดก มีดงั น้ี ๑. ควำมเปน็ มำหรอื ประวัติของวรรณคดีมรดกและผู้แต่ง เพอื่ ใหว้ ิเคราะห์ในส่วนอ่ืน ๆ ได้ดขี น้ึ ๒. ลักษณะคำประพนั ธ์ ๓. เรอ่ื งยอ่ ๔. เนอื้ เรอื่ งใหว้ ิเครำะห์เร่ืองตำมหัวขอ้ ตำมลำดบั โดยบางหัวข้ออาจจะมี หรอื ไม่มี ก็ไดต้ ามความจาเปน็ เชน่ โครงเรื่อง ตวั ละคร ฉาก วิธีการแตง่ ลักษณะ การเดินเรอ่ื ง การใช้ถอ้ ยคาสานวนในเรอื่ ง การแต่งวิธีการคิดท่สี ร้างสรรค์ ทัศนะ หรอื มมุ มองของผู้เขยี น เปน็ ต้น ๕. แนวคิด จุดมงุ่ หมาย เจตนาของผเู้ ขยี นที่ฝากไวใ้ นเรื่องซ่งึ จะต้องวิเคราะหอ์ อกมา ๖. คุณค่ำของวรรณคดีมรดก ซ่ึงโดยปกติแล้วจะแบ่งออกเป็น ๔ ด้านใหญ่ ๆ เพ่ือให้ครอบคลุมในทุก ประเดน็ ซง่ึ ผู้พนิ จิ จะตอ้ งไปแยกแยะหวั ขอ้ ย่อยใหส้ อดคล้องกบั ลักษณะของวรรณคดที ่ีพินจิ ตามความเหมาะสม การอา่ นวรรณคดมี รดกต้องอ่านอย่างพนิ จิ จึงจะเห็นคุณค่าของหนงั สอื การอ่านอยา่ งพนิ ิจหมายความว่า กำรอ่ำนพินิจวรรณคดี คือ การอ่านวรรณคดีอย่างใช้ความคิด ไตร่ตรอง กล่ันกรอง แยกแยะ หาเหตุผลหาส่วนดี ส่วนบกพร่องของหนังสือ เพื่อจะได้ประเมินค่าวรรณคดีเร่ืองน้ัน ๆ อย่างถูกต้อง และมเี หตุผล การอ่านวรรณคดตี อ้ งวเิ คราะห์แล้วมีประโยชน์ต่อชวี ติ หลักกำรพนิ ิจวรรณคดี กำรพินิจวรรณคดี เป็นการแนะนาหนังสือในลักษณะของการวิเคราะห์วิจารณ์หนังสืออย่างง่าย ๆ โดยบอกเร่ืองย่อ ๆ แนะนาข้อดีข้อบกพร่องของวรรณคดี บอกช่ือผู้แต่ง ประเภทของหนังสือ ลักษณะการแต่ง เน้ือเรื่องโดยย่อ คุณสมบัติของหนังสือ ด้วยการวิจารณ์เกี่ยวกับเนื้อหา ภาษา คุณค่า และข้อคิดต่าง ๆ ประกอบกับทัศนะของผู้พินิจ โดยแบ่งหลักการพินิจออกเป็นดังน้ี โครงสร้างของวรรณคดี ความงดงาม ของวรรณคดคี ุณค่าของวรรณคดี เป็นต้น ๑. โครงสรำ้ งของวรรณคดี การที่จะพินิจวรรณคดีเร่ืองใดนั้น จะต้องพิจารณาว่า เรื่องน้ันแต่งด้วยคาประพันธ์ชนิดใด โครงเรื่อง เน้ือเร่อื งเปน็ อยา่ งไร มแี นวคิดหรอื สาระสาคัญอยา่ งไร ตัวละครมรี ปู ร่างอย่างไร ลักษณะนิสัยอย่างไร ฉากมคี วามหมายเหมาะสมกับเร่อื งหรือไม่ และมวี ิธกี ารดาเนินเรือ่ งอย่างไร ๒. ควำมงดงำมทำงวรรณคดี วรรณคดีเป็นงานท่ีสร้างข้ึนอย่างมีศิลปะ โดยเฉพาะการใช้ถ้อยคาเพื่อให้เกิดความไพเราะ ในอรรถรส ซึง่ จะพจิ ารณาได้จากการใชค้ า มีท้งั การเล่นคา เล่นอักษร พิจารณาได้จากการใช้สานวน โวหาร กวี โวหาร ซึ่งจะดูจากการสร้างจินตนาภาพ ภาพพจน์ และพิจาณาจากการสร้างอารมณ์ในวรรณคดีสิ่ งเหล่าน้ัน เปน็ ความงดงามวรรณคดี ซ่ึงแบ่งเป็น โวหารภาพพจน์ วรรณศิลป์ และการสรา้ งอารมณ์ โดยมเี นือ้ หา ดังนี้
หน่วยท่ี ๑ เรอ่ื ง พินจิ คณุ ค่ำวรรณคดี | ๑๘ โวหำรภำพพจน์ (Fique of speech) หมายถึง ถ้อยคาท่ีเรียบเรียงโดยไม่กล่าวอย่างตรงไปตรงมา ผู้เขยี นมีเจตนาให้ผอู้ ่านเขา้ ใจ และเกิดความรสู้ ึกประทับใจมากกว่าการให้คาธรรมดา ๑. อุปมำ เป็นการเปรียบเทียบระหว่างของสองอย่าง ซ่ึงอาจไม่ใช่ของชนิดเดียวกัน หรือเร่อื งเดยี วกนั โดยใช้คาเปรียบเทียบประเภท เหมือน คล้าย ดุจ กล ประหนึ่ง พ่าง เพียง เฉก ราวกับ ฯลฯ อปุ มาเมอ่ื เรียกใหเ้ ข้าใจวา่ คอื การเปรยี บเทยี บ ตวั อย่ำง ราวกบั เทพบตุ รสุดปัญญา เห็นแลว้ ว่าประเสริฐเลิศมนษุ ย์ เพรศิ พริ้งยิ่งยวดเป็นหนักหนา งามแลว้ คะชะเจา้ อยา่ เฝา้ อวด (สงั ขท์ อง : รชั กำลท่ี ๒) ๒. อุปลักษณ์ เป็นการเปรียบเทียบ โดยเปรียบเทียบสิ่งหนึ่งเป็นอีกสิ่งหนึ่ง คาท่ีใช้เปรียบ ได้แก่ เป็น คือ เทา่ กบั ฯลฯ ตัวอยำ่ ง เป็นทรวง พี่ฤๅ รอยโฉมนชุ เปลี่ยนปนั้ เนตรด้วย ฤๅแม่เป็นมณดี วง (สังข์ทอง : รัชกำลท่ี ๒) ๓. บุคลำธิษฐำน เป็นการกาหนดให้ส่ิงท่ีไม่ใช่มนุษย์ให้มีสภาวะเป็นมนุษย์ ทากิริยาอาการพูด คิด มีสติปัญญาและอารมณ์ ความรู้สึก อย่างมนุษย์ (บุคคลวัต) คล้ายอุปลักษณ์จะต่างกันที่ว่าบุคคลวัตนั้นเทียบ เป็นมนุษย์เท่านนั้ ตัวอย่ำง งานเลิศลายเคลือบน้อยใหญ่ เตาถ้วยโถโอชาม หวาดไหวระทดระทมระทวย ปูนป่าชฏั ปา่ ช้าไทย (องั คำร กลั ยำณพงศ์) ๔. อติพจน์ เป็นการกล่าวเกินจริง ด้วยเจตนาเน้นข้อความที่กล่าวนั้นให้มีน้าหนักย่ิงขึ้นให้ความรู้สึก เพิ่มขึ้น ตวั อย่ำง อวดองค์ อรเอย เอยี งเทออกอา้ ง เลขแต้ม จารึก พอฤๅ เมรุชบุ สมุทรดินลง อยรู่ อ้ นฤๅเหน็ อากาศจกั จารผจง (นริ ำศนรนิ ทร์ : นำยนรินทรธ์ ิเบศร์) โฉมแมห่ ยาดฟ้าแย้ม
หนว่ ยท่ี ๑ เร่อื ง พนิ จิ คุณคำ่ วรรณคดี | ๑๙ ๕. สัญลักษณ์ คือ การนาส่ิงมีชีวิตหรือไม่มีชีวิต ใช้แทน หรือเป็นตัวแทนสิ่งอ่ืนทาให้เกิดความเข้าใจ ไดอ้ ยา่ งกว้างขวาง โดยไมต่ อ้ งอธิบาย ตวั อย่ำง มาแปรเปน็ พลอยหุงไปเสียได้ เม่ือแรกเชื่อวา่ เน้อื ทับทบิ แท้ ดว้ ยมิไดด้ หู งอนแต่กอ่ นมา (ขนุ ช้ำงขนุ แผน) กาลวงหงส์ใหป้ ลงใจ ๖. ปฏภิ ำคพจน์ คือ การใช้ถอ้ ยคาหรอื วลที มี่ คี วามหมายขัดแย้งกันอย่างตรงข้าม เพ่ือให้มีความหมาย ใหม่ เชน่ สงครามเยน็ ไฟเย็น ฆ่าเพราะรัก เป็นตน้ ตวั อย่ำง จง่ึ ชกั พรหมาสตร์ธนศู ร มคี วามเมตตาการณุ นกั อัมพรมืดมนนอนธกาล วายชนมส์ ้ินชีพสงั ขาร ผาดแผลงด้วยกาลงั ฤทธริ อน ศิลป์ชัยตอ้ งกายกมุ พล (รำมเกียรต)์ิ ๗. นำมนยั คือ การใชค้ าหรอื วลี เอ่ยถงึ สิง่ หนงึ่ แต่ให้ความหมายเปน็ อยา่ งอืน่ ตวั อย่ำง ..................................... ครน้ั สวรรคาลยั ไซร้ พระมหนิ ทร์ไดส้ มบัติ เสยี เศวตฉตั รหงสา (เสยี อิสรภาพ) (ลิลติ ตะเลงพำ่ ย : สมเดจ็ พระมหำสมณเจ้ำ กรมพระปรมำนชุ ิตชโิ นรส) วรรณศลิ ป์ วรรณศิลป์ คือ ถ้อยคาท่ีกวีเลือกใช้ ที่มีเสียงไพเราะ มีความหมายแจ่มแจ้งทาให้เกิดจินตนาการ แก่ผู้อ่าน ซ่ึงเป็นการกล่าวอย่างตรงไปตรงมา โดยแบ่งออกเป็น การเล่นเสียง เสียงหนักเบาหรือเสียงส้ันยาว การเลน่ คา และการเลยี นเสยี งธรรมชาติ เปน็ ตน้ ๑. กำรเลน่ เสยี ง คือ การสรรหาคาให้มีเสียงสัมผัสเป็นพิเศษกว่าปกติเพ่ือให้เกิดทานองเสียงท่ีไพเราะ น่าฟัง และเพื่ออวดฝีมือของกวี แบ่งออกเป็น การเล่นเสียงพยัญชนะ การเล่นเสียงสระ และการเล่นเสียง วรรณยุกต์ เป็นตน้ ๑.๑ กำรเล่นเสียงพยัญชนะ หมายถึง การใช้คาท่ีมีเสียงพยัญชนะเดียวกัน เช่น เพื่อน-พ้อง แต่เดิมเรียก สัมผัสอักษร มาสัมผัสกันโดยทั่วไปไม่บังคับสัมผัสพยัญชนะแต่กวีนิยมใช้เสียงสัมผัสพยัญชนะ เพอ่ื ให้มีความไพเราะ ปกติมกั จะเป็นเสยี งสัมผสั เช่น “ปัญญาตรองตรลิ ้า ล้าหลาย” มเี สยี งสัมผัสพยญั ชนะ คือ ตรอง-ตริ, ลำ้ -ลกึ -หลำย เป็นต้น
หนว่ ยที่ ๑ เร่อื ง พินิจคณุ ค่ำวรรณคดี | ๒๐ ๑.๒ กำรเล่นเสียงสระ หมายถึง การใช้คาคล้องจองท่ีมีเสียงสระเดียวกัน เช่น มา-ลา โดยอาจมีพยัญชนะต้นเสียงเดียวกันแต่เสียงวรรณยุกต์ต่างกันก็ได้ เช่น ล่า-ล้า ถ้ามีเสียงสะกดก็ต้องอยู่ใน มาตราเดยี วกัน เชน่ มาก-ลาก เป็นตน้ เชน่ “จบิ จับเจาเจา่ เจ้า รังมา” มเี สยี งสัมผสั สระ คือ เจำ-เจำ่ -เจ้ำ (เสยี งสระเอา) เปน็ ตน้ ๑.๓ กำรเล่นเสยี งวรรณยุกต์ คอื การใช้คาท่ีใสร่ ะดับเสยี ง ๒ หรอื ๓ ระดับเปน็ ชุด ๆ ไป เช่น “จอกจาบจ่ันจรรจา จา่ จ้า” มกี ารเลน่ เสยี งวรรณยุกต์ คือ จัน่ -จรร (เสียงเอก-เสยี งสามัญ) “จำ-จ่ำ-จ้ำ” (เสียงสามัญ-เอก-โท) การเล่นเสียงวรรณยุกต์ ๓ ลักษณะนี้ทาได้ยาก แม้จะมุงเน้นเรื่องการใช้คาท่ีทาให้เกิดเสียง ไพเราะเป็นสาคัญ แตก่ ต็ ้องคานึงถงึ ความหมายของบทประพันธด์ ้วย ๒. เสียงหนักเบำและเสียงส้ันยำว คือ การใช้เสียงหนักเบาและเสียงส้ันยาวสลับกันเป็นคู่ทาให้ผู้อ่าน รูส้ ึกถึงความไพเราะและเกดิ จนิ ตนาภาพ คำครุ คือ พยางค์ที่มีเสียงหนัก ได้แก่ พยางค์ท่ีประกอบด้วย สระเสียงยาว สระเกิน และพยางค์ ท่ีมตี วั สะกด เช่น ตา, ดา, หัด, เรยี น เป็นต้น คำลหุ คือ พยางค์ที่มีเสียงเบา ได้แก่ พยางค์ที่ประกอบด้วย สระส้ัน และพยางค์ไม่มีตัวสะกด เช่น พระ, จะ, มิ, ดุ เปน็ ตน้ ๓. กำรเล่นคำ คือ การสรรคามาเรียงร้อยในบทประพันธ์ โดยพลิกแพลงให้เกิดความหมายพิเศษ และแปลกออกไปจากท่ใี ชค้ ู่กนั อยู่ โดยแบง่ ออกเป็น การเลน่ คาพอ้ ง การเล่นคาซา้ การเล่นคาเชิงถาม เป็นต้น ๓.๑ กำรเลน่ คำพอ้ ง คอื การนาคาพ้องมาใชค้ ู่กันใหเ้ กิดความหมายทสี่ ัมพนั ธ์กนั เช่น “เบญจวรรณจับวลั ย์มาลี เหมอื นวนั เจ้าวอนพ่ีใหต้ ามกวาง” มกี ารเล่นคาพอ้ งเสียง “วัน” ๓ คา วรรณ-วลั ย-์ วัน
หน่วยท่ี ๑ เร่อื ง พนิ ิจคุณคำ่ วรรณคดี | ๒๑ ๓.๒ กำรเล่นคำซ้ำ คือ การนาคาเดียวกันมาใช้ซ้า ๆ ในท่ีใกล้ ๆ กัน เพื่อย้าความหมาย ของขอ้ ความให้หนกั แนน่ ขนึ้ เช่น หวั ลิงหมากเรยี วไม้ ลางลงิ ลางลิงหูลงิ ลงิ หลอกชู้ ลิงไตก่ ะไดลิง ลิงห่ม ลิงโลดฉวยชมผู้ ฉีกคว้าประสาลิง (กำพยห์ ่อโคลงประพำสธำรทองแดง : เจ้ำฟำ้ ธรรมธเิ บศร) มีการเล่นคาวา่ “ลงิ ” ๓.๓ กำรเล่นคำเชงิ ถำม คือ การเรียงถ้อยคาให้เป็นประโยคเชิงถาม แต่เจตนา ที่แท้จริงไม่ได้ ถาม เพราะไม่ตอ้ งการคาตอบ แต่ตอ้ งการเนน้ ให้ข้อความมีน้าหนักดงึ ดูดความสนใจ และใหผ้ ู้ฟังติดตาม เชน่ “เม่ือลม้ กลง้ิ ใครหนอว่งิ เขา้ มาช่วย แล้วปลอบดว้ ยนิทานกลอ่ มขวัญให้” ใครหนอ เปน็ คาถาม ๔. กำรเลียนเสียงธรรมชำติ คือ วิธีการสร้างคาอย่างหน่ึงของกวีได้ทาให้สามารถสื่อให้เกิดภาพ และเกดิ ความร้สู ึก โดยการใชค้ าบง่ บอกหรือเลียนเสียงท่ีเกิดขึ้น ซ่ึงอาจจะเป็นเสียงร้องของ คน สัตว์ เสียงจาก ปรากฏการณ์ธรรมชาติต่าง ๆ หรือเสียงที่เกิดจากวัตถุ คาชนิดนี้จะบอกความหมายของธรรมชาติของสิ่ง ๆ นัน้ ได้อย่างชดั เจน เพราะเป็นส่ิงที่เราไดย้ ินจนคนุ้ หอู ยู่แลว้ ตัวอย่ำง กลองทองตคี รมุ่ คร้ึม เดิรเรยี ง จ่าตะเตงิ เตงิ เสยี ง ครุม่ ครึ้ม เสยี งป่รี ีเ่ ร่อื ยเพยี ง การเวก แตรน้ แตรน่ แตรฝร่ังขึ้น หวูห่ วู้เสยี งสงั ข์ (กำพยห์ ่อโคลงประพำสธำรทองแดง : เจำ้ ฟ้ำธรรมำธิเบศร) เป็นกำรเลยี นเสียงกลอง เสียงแตร และเสยี งสังข์
หน่วยท่ี ๑ เร่ือง พนิ จิ คุณค่ำวรรณคดี | ๒๒ กำรสรำ้ งอำรมณ์ ความงามด้านอารมณ์ เม่ืออ่านวรรณคดี จะเห็นว่ามีความรู้สึกอารมณ์ร่วมไปกันเร่ืองตอนน้ัน ๆ เช่น สงสาร โกรธ ชิงชัง นั้นหมายถึงกวีได้มีการสร้างอารมณ์ให้เรามีความรู้สึกคล้อยตาม ซึ่งเป็นความงาม อย่างหน่ึงในวรรณคดี โดยกวีมีการสอดแทรกความคิดออกมาในรูปแบบของความรัก ความภาคภูมิใจ ความเศร้าสลดใจ และมีการเลือกสรรคาประพันธ์ให้เหมาะสมกับเน้ือเร่ือง การท่ีกวีใช้ถ้อยคาให้เกิดอารมณ์ ทาใหเ้ ราไดร้ ับรสวรรณคดตี า่ ง ๆ ซ่งึ แบ่งออกเปน็ สุนทรยี ลลี า และสุนทรียรส ดังน้ี สุนทรียะ คือ ความงาม ความซาบซึ้งในคุณค่าของคาประพันธ์ อันเป็นเคร่ืองยังให้เกิดความสะเทือน อารมณ์ ได้แก่ ความสขุ ความเบิกบานใจ ความพอใจ และความอ่ิมเอมใจแก่ผู้อ่าน ในระดับนี้จะขอกล่าวเพียง ๒ ประการ คือ ๑. สุนทรียลีลำ หรือกระบวนการพรรณนาทเี่ หมาะสม ๒. สุนทรียรส หรืออารมณ์สะเทือนใจทีเ่ หมาะสม ๑. สนุ ทรยี ลีลำ ได้แก่ ความงามในดา้ นการพรรณนาขอกวี มีอยู่ ๔ กระบวน คอื ๑.๑ เสำวรจนี กระบวนการชม ๑.๒ นำรีปรำโมทย์ กระบวนการเล้าโลม เกีย้ ว ๑.๓ พโิ รธวำทงั กระบวนการตดั พ้อ ๑.๔ สลั ลำปังคพิสยั กระบวนกาครา่ ครวญ ๑.๑ เสำวรจนี คือ การเล่าชมความงามของตัวละครในเรื่อง ซ่ึงอาจเป็นตัวละคร ชมความเก่งกล้า ของกษัตริย์ ความงามของปราสาทราชวงั หรือความเจรญิ รงุ่ เรืองของบ้านเมือง เช่น พระสรุ ัสวดเี สน่หา ถงึ โฉมองค์อัครลกั ษมี จะเอาเปรียบไม่เทียบกนั สน้ิ ท้ังไตรภพจบโลกา ๑.๒ นำรีปรำโมทย์ คือ การกล่าวข้อความแสดงความรัก ท้ังท่ีเป็นการพบกันในระยะแรก ๆ และในการโอ้โลมปฏิโลมด้วย เชน่ ถึงม้วยดนิ สิ้นฟา้ มหาสมทุ ร ไม่สน้ิ สุดความรกั สมัครสมาน แม้นเกดิ ในใต้ฟ้าสุธาธาร ขอพบพานพิศวาสไมค่ ลาดคลา แม้นเนอื้ เยน็ เปน็ ห้วงมหรรณพ พข่ี อพบศรสี วสั ดิเ์ ป็นมัจฉา แมน้ เปน็ บวั ตัวพีเ่ ป็นภุมรา เชยผกาโกสุมปทมุ ทอง เจ้าเป็นถา้ อาไพขอใหพ้ ี่ เป็นราชสีหล์ มสเู่ ปน็ คูส่ อง จะตดิ ตามทรวงสงวนนวลละออง เปน็ คคู่ รองพิศวาสทุกชาติไป
หนว่ ยที่ ๑ เร่ือง พินจิ คุณคำ่ วรรณคดี | ๒๓ ๑.๓ พิโรธวำทัง คือ การกล่าวข้อความอารมณ์ไม่พอใจ ตั้งแต่น้อยไปจนมากจึงเร่ิมต้ังแต่ไม่พอใจ โกรธ ตดั พ้อ ประชดประชนั กระทบกระเทยี บเปรียบเปรย เสียดสี และด่าวา่ อยา่ งรุนแรง เชน่ ฤๅรอยโศกรรู้ ้างจางหาย จะเจ็บจาไปถึงปรโลก อยา่ หมายว่าจะใหห้ วั ใจฯ จะเกดิ กีฟ่ า้ มาตรมตาย ๑.๔ สลั ลำปังคพสิ ัย คือ การกลา่ วขอ้ ความแสดงอารมณโ์ ศกเศร้า อาลยั รกั เชน่ ไม่โปรดเกศแกข่ ้าบทศรี พระองคผ์ ู้ทรงศักดาเดช ทลู พลางโศกรี าพันฯ กรรมเวรส่ิงใดดัง่ น้ี ๒. สุนทรียรส คือ กระบวนการพรรณนาและอารมณ์ในการแต่งคาประพันธ์ ซ่ึงปรากฏอยู่ในคัมภีร์ สุโพธาลังการ มที งั้ หมด ๙ รส คือ ๑. สงิ คำรรส หรือ ศฤงคำรรส หมายถึง รสรัก ๒. หัสรส หรอื หำสยรส หมายถงึ รสขบขนั ๓. กรุณำรส หมายถงึ รสโศก ๔. รทุ ธรส หรอื เรำทรรส หมายถึง รสโกรธ ๕. วีรรส หมายถงึ รสแห่งความกลา้ หาญ ๖. ภยำนกรส หมายถึง รสแหง่ ความกลวั ๗. พภี ตั สรส หมายถงึ รสแห่งความขยะแขยง ๘. อัทภตุ รส หมายถึง รสแหง่ ความพิศวงงงงวย ๙. ศำนตรส หมายถงึ รสแห่งความสงบ ๓. กำรพิจำรณำวรรณคดีมรดกดำ้ นสงั คม สังคม คือ ชนชาติและชุมชนท่ีอยู่ร่วมกันภายใต้การปกครองในกรอบวัฒนธรรมเดียวกัน วรรณคดีเป็นเหมือนกระจกเงาที่สะท้อนให้ผู้อ่านสามารถดูเห็นชีวิตความเป็นอยู่ ค่านิยมและจริยธรรมของคน ในสังคมท่ีวรรณคดไี ด้สะทอ้ นภาพทาให้เขา้ ใจชีวติ เหน็ ใจความทกุ ขย์ ากของเพอื่ นมนุษยด์ ้วยกันชดั เจนขน้ึ ดังน้ัน การพิจารณาวรรณคดีด้านสังคมจะต้องมีเน้ือหา ภูมิปัญญาท่ีเกี่ยวกับวัฒนธรรมหรือ จริยธรรมของสังคมให้มีส่วนกระตุ้นจิตใจของผู้อ่านให้เข้ามามีช่วยช่วยเหลือ ในการจรรโลงหรือพัฒนา สงั คมไทยร่วมกนั โดยพิจารณาตามหวั ขอ้ ดงั น้ี ๑. การแสดงออกถงึ ภูมปิ ญั ญาและวัฒนธรรมของชาติ ๒. สะทอ้ นภาพความเปน็ อยู่ ความเชื่อ คา่ นยิ มในสงั คม ๓. ไดค้ วามรู้ ความบันเทงิ เพลิดเพลนิ อารมณไ์ ปพรอ้ มกนั ๔. เน้ือเรื่องและสาระให้แง่คิดทั้งคุณธรรมและจริยธรรมในด้านการจรรโลงสังคม ยกระดับจติ ใจเห็นแบบอยา่ งการกระทาของตวั ละครท้งั ข้อดีและข้อควรแก้ไข
หนว่ ยที่ ๑ เร่ือง พนิ ิจคณุ ค่ำวรรณคดี | ๒๔ ๕. การนาไปใช้ในชีวิตประจาวัน เพื่อให้ผู้อ่านได้ประจักษ์ในคุณค่าของชีวิตได้ ความคดิ และประสบการณ์จากเรื่องที่อ่าน และนาไปใช้ในการดาเนินชีวิต นาไปเป็นแนวทางปฏิบัติหรือปัญหา รอบ ๆ ตวั ได้ จากการพิจารณาตามหัวข้อข้างต้นนี้แล้ว การพิจารณาคุณค่าวรรณคดีด้านสังคม ให้พิจารณาโดยแบ่งออกได้ ๒ ลักษณะ ดังน้ี ๑. ดำ้ นนำมธรรม ได้แก่ ความชว่ั ความดี ค่านยิ ม จริยธรรมของคนในสังคม ๒. ด้ำนรปู ธรรม ได้แก่ สภาพความเป็นอยู่ วถิ ีชีวติ การแตง่ การและการกอ่ สร้างทางวัตถุ
หนว่ ยที่ ๑ เรือ่ ง พินจิ คุณคำ่ วรรณคดี | ๒๕ กำรวจิ ำรณว์ รรณคดี ควำมหมำยของคำว่ำกำรวิจำรณ์วรรณคดี และนิยำมกำรวจิ ำรณ์วรรณคดี Earytopeedle Brianica (เล่ม ๖ หน้า ๗๘๐) ให้ความหมายว่า “การอภิปราย เร่ืองศิลปะอย่าง มีเหตุผล และอย่างมีระบบ การอภิปรายน้ันเป็นการอธิบาย หรือประเมิน ค่าทั้งในทางเทคนิคและท่ีเกี่ยวกับ ศิลปะช้นิ น้ันโดยตรง\" ศำสตรำจำรย์คุณรัญจวน อินทรกำแหง กล่าวว่า การวิจารณ์ คือ การพิจารณาเพ่ือดูว่ามีข้อเด่น อะไรบ้าง ข้อบกพร่องอะไรบ้าง แล้วนามาบอกให้ผู้อ่านได้ทราบข้อดีข้อเสียน้ัน อาจบอกเป็นคาพูด หรือ คาเขียนก็ได้ เสถียรโกเศศ (พระยำอนุมำนรำชธน,ศำสตรำจำรย์) กล่าวว่าการวิจารณ์ คือ “หลักความเห็น พจิ ารณาว่า สงิ่ ใดเปน็ ศิลปกรรมดหี รือเลวอย่างไร ทา่ นเรยี กว่า วจิ ารณ์” กำรวิจำรณ์วรรณคดี คือ การอธบิ ายลกั ษณะของวรรณคดที ่นี ามาวิจารณ์ในแง่มุมต่างๆ อย่างละเอียด และตัดสนิ ใจประเมนิ ค่าวรรณคดเี รื่องน้ันโดยปราศจากอคติ ขั้นตอนการวจิ ารณ์วรรณคดี มดี ังน้ี ๑. วิเครำะห์ หมายถึง การแยกองคป์ ระกอบตา่ ง ๆ ของวรรณคดี มาพจิ ารณาอย่างละเอียด ๒. วนิ ิจสำร หมายถึง การตีความสาระสาคญั และขอ้ คดิ ของเรอ่ื ง ๓. วิจำรณ์ หมายถึง การอธิบายเนื้อหาองค์ประกอบของวรรณคดีและกลวิธีการแต่งท่ีได้วิเคราะห์ และวนิ จิ สารแล้ว ๔. วิพำกษ์ หมายถึง การแสดงความรู้สึกอย่างมีเหตุผลว่าชอบหรือไม่ชอบวรรณคดีเรื่องนี้ เพราะอะไร วรรณคดีน้ีดีหรือไมอ่ ยา่ งไร คุณสมบตั ิของนักวิจำรณว์ รรณคดี ๑. เปน็ ผมู้ ีนิสัยรักการอา่ น และมีประสบการณ์การอ่านหนังสอื อย่างหลากหลาย ๒. เป็นผูม้ คี วามสามารถในภาษาเขยี นและภาษาพดู ๓. มีความเท่ยี งตรง ปราศจากอคติในการวิจารณ์ ๔. มีความรใู้ นศาสตร์การวิจารณ์แบบต่างๆ เชน่ การวิจารณ์แนวสนุ ทรยี ศาสตร์ การวิจารณ์แนวจิตวิทยา การวจิ ารณแ์ นวสงั คมวิทยา การวิจารณแ์ นวประวัติศาสตร์ การวจิ ารณ์แนวภาษาศาสตร์ เปน็ ต้น จรรยำบรรณของนักวจิ ำรณว์ รรณคดี ๑. มคี วามเคารพผลงานของนักเขียน ๒. มคี วามเทีย่ งธรรม ๓. มีความนอบนอ้ มถอ่ มตน
หนว่ ยที่ ๑ เร่ือง พินจิ คณุ ค่ำวรรณคดี | ๒๖ กำรเขียนบทวิจำรณ์วรรณคดี บทวิจารณ์วรรณคดีต้องใช้ศิลปะในการเขียน เสนอความคิดเห็นอย่างเที่ยงตรงให้ข้อเสนอแนะ แกผ่ ้เู ขียน และใหค้ วามรักกบั ผอู้ า่ น นอกจากน้คี วรวิจารณแ์ ละใชภ้ าษาในเชิงสรา้ งสรรค์ หลกั กำรวจิ ำรณว์ รรณคดี การวจิ ารณว์ รรณคดี กำรวจิ ำรณว์ รรณคดรี ้อยกรอง ควรพจิ ารณาองค์ประกอบต่อไปน้ี ๑. รูปแบบคำประพันธ์ หมายถึง มีลักษณะร่วมของงานประพันธ์ โดยท่ีกวีจะเลือกใช้ให้ เหมาะสมกับเน้อื หาได้ดงั นี้ ๒. เน้อื หำ คอื สาระสาคญั เป็นส่วนประกอบของแก่นเร่ือง พิจารณาจากดังน้ี ๒.๑ แกน่ เรื่องหรอื แนวคิด คอื สาระความคดิ เห็นหรอื ความตง้ั ใจของกวที ่ี ต้องการจะส่ือมายงั ผู้อ่าน ๒.๒ โครงเร่อื ง คอื การลาดบั เหตกุ ารณ์ทผ่ี ูแ้ ตง่ วางจดุ มงุ่ หมายไว้ ๒.๓ ตัวละคร คือ ผมู้ ีบทบาทในเน้ือเร่ือง มีการแสดงออกดา้ นอารมณ์ และดา้ นศีลธรรม ๒.๔ ฉาก กวีจะใช้ฉากท่ีเป็นบ้านเมือง สภาพความเป็นอยู่ ขนบธรรมเนียมประเพณีรวมท้ัง ธรรมชาตติ า่ งๆ มาสรา้ งเปน็ เหตุการณใ์ นเรือ่ ง ๓. กลวิธีกำรแต่ง กวีจะใช้กลวิธีการแต่งต่างๆ เพื่อทาให้วรรณคดีนั้นๆมีคุณค่า น่าสนใจหรือ ชวนให้ผ้อู ่านอยากติดตามอ่าน เกดิ ความประทับใจ กำรวิจำรณ์วรรณคดี ต้องพิจารณาสานวนโวหารถ้อยคาท่ีผู้เขียนใช้เพื่อถ่ายทอดเร่ืองราวว่ามีความถูกต้องชัดเจน สื่อความคิดให้เห็นเด่นชัดหรือไม่ ภาษาที่ใช้แนบเนียน สอดคล้องกับเหตุการณ์หรือพฤติกรรมตัวละครได้ดี เพียงใด
พนิ ิจคณุ ค่ำวรรณคดี | ๒๗ บรรณำนุกรม กุหลาบ มลั ลิกะมาส. ความรูท้ ั่วไปเก่ยี วกับวรรณคดีไทย. พมิ พค์ รั้งที่ ๑๔. กรงุ เทพฯ : มหาวทิ ยาลัยรามคาแหง, ๒๕๔๗. กุหลาบ มลั ลิกะมาส. วรรณคดีวจิ ารณ.์ พิมพค์ รงั้ ที่ ๑๔. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลยั รามคาแหง, ๒๕๕๒. ขจร สขุ พานิช. ประวตั ศิ าสตรไ์ ทย พ.ศ.๑๖๐๐-๒๓๑๐. กรงุ เทพฯ : ศกิ ษติ สยาม, ๒๕๒๑. ธนติ อยู่โพธ์ิ. เจา้ ฟา้ ธรรมธเิ บศร์. พระประวตั แิ ละพระนิพนธ์ร้อยกรอง. กรงุ เทพฯ : ศิลปาบรรณา คาร, ๒๕๑๓. รัญจวน อินทรกาแหง. การเลือกหนงั สือและโสตนทศั นวัสดุ. กรงเทพฯ : มหาวทิ ยาลยั รามคาแหง, ๒๕๑๕. ราชบัณฑติ ยสถาน. พจนานกุ รมศัพท์วรรณกรรม : ภาพพจนโ์ วหารและกลการประพนั ธ์. กรงุ เทพฯ : ราชบณั ฑติ ยสถาน, ๒๕๓๙. รืน่ ฤทัย สัจจพนั ธ.์ สุนทรียรสแหง่ วรรณคด.ี กรงุ เทพฯ : ณ เพชร, ๒๕๔๙. ลา ลูแบร์. ราชอาณาจกั รสยาม.แปลโดยสนั ต์ ท.โกมลบตุ ร.พระนคร : กา้ วหนา้ , ๒๕๑๐. วทิ ย์ ศิวศริ ยิ านนท.์ วรรณคดีและวรรณคดวี จิ ารณ.์ กรุงเทพฯ : สมาคมภาษาและหนังสือแห่ง ประเทศไทย, ๒๕๑๔. วภิ า กงกะนันทน์. วรรณคดีศกึ ษา. กรงุ เทพฯ : ไทยวัฒนาพานิช, ๒๕๒๒. สง่า วงค์ไชย. ภูมิปัญญำทำงภำษำกับกำรสอน. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยรามคาแหง, ๒๕๕๕. (เอกสารอัด สาเนา). สมศกั ด์ิ อัมพรวิสทิ ธ์โิ สภา และธัญลักษณ์ จยุ้ เรอื ง. ฉันทลักษณ์ ม. ๑-๒-๓. กรุงเทพฯ : ภมู ิบณั ฑติ , ๒๕๕๗. สนั ต์ สุวทันพรกูลและคณะ. วรรณคดสี มยั รัตนโกสนิ ทร.์ กรงุ เทพฯ : พัฒนาวิชาการ, ๒๕๕๓. ศิลปากร, กรม. วรรณกรรมสมยั กรุงศรอี ยุธยา เลม่ ๒. กรงุ เทพฯ : สานักวรรณกรรมและ ประวัตศิ าสตร์, ๒๕๔๕. ศลิ ปากร, กรม. ศลิ าจารกึ สโุ ขทัยหลกั ท่ี ๑. พิมพ์ครงั้ ท่ี ๑๕. กรุงเทพฯ : สานักพิมพ์มหาวิทยาลยั รามคาแหง, ๒๕๔๗. สิทธา พนิ ิจภวู ดล. วรรณกรรมสุโขทยั . กรงุ เทพฯ : โรงพิมพม์ หาวิทยาลยั รามคาแหง, ๒๕๑๕. เสถยี ร โกเศศ (พระยาอนมุ านราชธน). การศกึ ษาวรรณคดตี ามแนววรรณศลิ ป์. กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พ์รุ่งพัฒนา, ๒๕๑๕.
Search
Read the Text Version
- 1 - 33
Pages: