Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore มรดกไทยในสมัยรัตนโกสินทร์

มรดกไทยในสมัยรัตนโกสินทร์

Published by ktb74110, 2022-03-28 14:16:10

Description: มรดกไทยในสมัยรัตนโกสินทร์

Keywords: มรดกไทย

Search

Read the Text Version

มรดกไทยสมยั รัตนโกสินทร์ ศิลปกรรมสมัยรัตนโกสนิ ทรต์ อนตน้ เป็นการสบื ทอดและสรา้ งเลยี นแบบสมยั กรงุ ศรอี ยธุ ยาทงั้ ประตมิ ากรรม สถาปัตยกรรม จิตรกรรม หตั ถศลิ ป์ การฟืน้ ฟงู านศิลปะประเภทตา่ ง ๆ โดยเฉพาะใน สมัยรชั กาลท่ี 2 ถงึ รัชกาลที่ 3 มกี ารนาศลิ ปะจีนเขา้ มาผสมผสานในงานศิลปกรรม ตัง้ แตส่ มยั รชั กาลท่ี 4 เป็นต้นมา วัฒนธรรมตะวนั ตกก็ไดเ้ ขา้ มามอี ทิ ธิพลต่อลักษณะของการสรา้ งสรรคผ์ ลงานทัศนศลิ ป์ ของไทยดว้ ย ส่งผลให้งานศิลปะแบบดง้ั เดมิ เส่อื มความนยิ มลง แต่ในปจั จุบันไดร้ ับการรอ้ื ฟื้นใหมใ่ นรปู ของงานศลิ ปาชพี ศิลปะประจาชาติ ตลอดจนงานภูมปิ ัญญาท้องถน่ิ ตา่ ง ๆ 1. ดา้ นสถาปตั ยกรรม สถาปตั ยกรรมทางศาสนา ไดแ้ ก่ 1.1 วัด ในยคุ รัตนโกสนิ ทรต์ อนตน้ มีรูปแบบการดาเนนิ รอยตามแบบสถาปตั ยกรรมสมัยกรงุ ศรอี ยธุ ยา เช่น การสร้างโบสถ์วหิ ารให้มีฐานโค้ง การสรา้ งหอไตรหรือหอพระไตรปิฎกกลางน้า เป็นตน้ ต่อมาเมอ่ื มี การทามาค้าขายกบั ต่างชาตมิ ากขึ้น จงึ ได้รบั อิทธพิ ล ที่เหน็ ไดช้ ัด คอื ในสมยั รัชกาลท่ี 3 ที่ได้รบั อทิ ธพิ ลจากจีนการเปลีย่ นแปลงวดั ทเ่ี ห็นไดช้ ดั เชน่ การนาชอ่ ฟา้ ใบระกา หางหงส์ ออกจากหลังคา โบสถ์ วหิ าร แล้วเปลยี่ นมาเปน็ ก่ออฐิ ถือปูนโดยการใชล้ วดลายดินเผาเคลือบประดบั หน้าแทนการใชไ้ ม้ สลักแบบเดมิ นิยมใชเ้ สาเปน็ สี่เหล่ียมทึบ ไม่มีเสาบวั วดั ทมี่ ีการผสมผสานสถาปตั ยกรรมตะวันตก เชน่ วดั นิเวศธรรมประวตั ิราชวรวิหารในจงั หวัดพระนครศรีอยธุ ยา ทเี่ ปน็ ศลิ ปะแบบกอธคิ 1.2 วงั พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจฬุ าโลกมหาราช โปรดเกลา้ ฯ ใหส้ รา้ งพระราชวงั ตามแบบกรงุ ศรี อยธุ ยา 3 แหง่ คือ พระบรมมหาราชวงั พระราชวังบวรสถานมงคล พระราชวังบวรสถานพมิ ขุ โดยท้งั ตาแหนง่ ทีต่ ง้ั น้ันยึดหลักยุทธศาสตรเ์ ป็นสาคญั ตามตาราพิชัยสงคราม คอื “มีแมน่ ้าโอบล้อมภูเขาหรอื หากไมม่ ีภูเขา มีแมน่ า้ เพยี งอย่างเดียวก็ได้ เรยี กวา่ นาคนาม”ทีอ่ ย่อู าศัย ของพระมหากษัตรยิ ์ พระบรมวงศานวุ งศ์ และขนุ นางไทยผสู้ ูงศกั ดใิ์ นสมัยนน้ั เรยี กขานตามแต่

บรรดาศกั ดิ์ ให้เห็นถึงบรรดาศกั ดิ์ท่ชี ัดเจน อาทิ พระตาหนัก พระทน่ี ง่ั พระวิมานหรอื พระมหา ปราสาท โดยเฉพาะพระวมิ านและพระมหาปราสาท ใชเ้ ฉพาะเรอื นที่มีเจา้ ของเป็นพระมหากษัตรยิ ์ เท่านน้ั ลักษณะของปราสาท พระราชวงั พระบรมมหาราชวัง ของพระมหากษตั ริยพ์ ระบรมวงศานุวงศ์ และขุนนาง แบง่ ไดเ้ ป็น 3 สมัย คอื สมัยตน้ (รัชกาลท่ี 1 - 3) เป็นยคุ สบื ทอดสถาปตั ยกรรมแบบกรงุ ศรีอยธุ ยาตอนปลาย สมยั กลาง (รชั กาลท่ี 4 - 6) ซึง่ ประเทศไทยได้รบั อทิ ธิพลสถาปัตยกรรมตะวันตก และสมยั หลงั (รชั กาลท่ี 7 - ปัจจบุ นั ) เป็นยุคแห่งสถาปัตยกรรมรว่ มสมัย 1.3 ทพ่ี กั อาศยั ในสมัยรตั นโกสนิ ทรต์ อนต้น (รชั กาลท่ี 1 – รัชกาลที่ 3 ) หลงั จากทพ่ี ระบาทสมเด็จพระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลกมหาราชสถาปนากรงุ เทพมหานครขึ้นเปน็ เมืองหลวงแหง่ กรงุ รตั นโกสินทร์ พระองคม์ พี ระราช ประสงคท์ จ่ี ะทาใหก้ รงุ รตั นโกสินทรเ์ ป็นเหมอื นกรุงศรีอยุธยาแหง่ ท่ีสอง มกี ารสร้างสถาปัตยกรรมท่ี สาคญั เลยี นแบบกรุงศรอี ยธุ ยา ส่วนบา้ นพกั อาศยั เรือนไทยทค่ี งเหลือจากสงครามกถ็ กู ถอดและนามา ประกอบใหม่ สมัยรัชกาลที่ 4 เริม่ มีการตดิ ตอ่ กบั ชาติตะวนั ตกมากขึน้ มีการสรา้ งอาคารรูปแบบตา่ ง ๆ เพอื่ รองรับกจิ กรรมทางธรุ กิจนอกเหนือจากทอี่ ยอู่ าศัย และวัดวาอารามในอดีต ไดแ้ ก่ โรงงาน โรงสี โรงเลือ่ ย ห้างร้านและท่พี กั อาศยั ของชาวตะวนั ตก นอกจากนก้ี ารสรา้ งอาคารของทางราชการ กระทรวงต่าง ๆ และพระราชวังทม่ี ีรูปแบบตะวนั ตกผสมผสานกบั สถาปตั ยกรรมไทยในรูปแบบ นโี อคลาสสคิ เชน่ พระทน่ี ั่งจกั รีมหาปราสาท พระท่นี ง่ั อนันตสมาคม ได้วิวัฒนาการเป็นเรอื นมะนลิ า ในบางสว่ นอาจเป็นหลงั คาปน้ั หยา แตเ่ ปิดบางสว่ นให้มีหนา้ จั่ว หลงั จากน้ันก็มีเรือนขนมปงั ขงิ ซงึ่ ไดร้ ับอิทธิพลจากเรอื นขนมปงั ขงิ สมัยโบราณของตะวนั ตก เปน็ ศลิ ปะฉลลุ ายทเ่ี ฟื่องฟมู ากในสมยั รัชกาลที่ 5 - รัชกาลที่ 6 ในปจั จุบนั สถาปัตยกรรมโดยเฉพาะในเมอื งหลวงหรอื ตามเมืองใหญ่ ๆ แทบไมห่ ลงเหลือรปู แบบสถาปตั ยกรรมไทยในอดตี สถาปัตยกรรมในยุคหลังอุตสาหกรรม ได้เนน้ การ สรา้ งความงามจากโครงสร้าง วัสดุ การออกแบบโครงสรา้ งให้มคี วามสวยงามในตัว เชน่ ใชเ้ หลก็ ใช้ กระจกมากข้ึน ผนงั ใช้อฐิ และปนู นอ้ ยลง ใชโ้ ครงสรา้ งเหล็กมากขน้ึ ออกแบบรูปทรงให้เปน็ กล่องมผี นัง เป็นกระจกโลง่ เป็นต้น

2. ดา้ นประติมากรรม ประตมิ ากรรมไทยสมยั รตั นโกสินทร์ ประตมิ ากรรมไทยสมัยรตั นโกสินทร์แบ่งออกได้เป็น 3 ระยะ คือ ประตมิ ากรรมแบบด้งั เดิม ประตมิ ากรรมระยะปรบั ตัว และประติมากรรมรว่ มสมัย ประตมิ ากรรมแบบดั้งเดิมในสมยั รัชกาลที่ 1 ถงึ รัชกาลที่ 3 การสรา้ งงานประติมากรรมแบบดัง้ เดิม รัชกาลท่ี 1 เปน็ ยุคท่ีเร่มิ สถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ เปน็ ชว่ งเวลาแห่งการสรา้ งบา้ นเมอื งใหม่ จึง มกี ารสร้างพระพุทธรปู น้อยมาก พระประธานท่ีสรา้ งในสมยั น้ที ส่ี าคญั คือ พระประธานท่ีพระอุโบสถ และพระวหิ าร วดั มหาธาตุยุวราชรังสฤษฎริ์ าชวรมหาวิหาร ฝีมอื พระยาเทวารังสรรคเ์ ปน็ พระพทุ ธรูป ที่มขี นาดใหญ่ จนดเู กอื บคับอาคาร มีฐานชกุ ชีเตย้ี เปน็ ผลในการแสดงอานาจราชศักดิ์ พระพุทธรูป ส่วนใหญเ่ คลื่อนยา้ ยมาจากสุโขทยั และจังหวัดทางภาคกลางที่องค์พระพทุ ธรปู เหลา่ นี้ ถูกทอดท้งิ อยู่ ตามโบราณสถานท่ีปรกั หกั พัง ต้องกราแดด กราฝน นามาบูรณะใหมก่ วา่ 1,200 องค์และส่งไปเป็น พระประธานตามวดั ตา่ ง ๆ ในกรุงเทพฯ ที่เหลอื นามาประดิษฐานไว้ ณ ระเบยี งวดั พระเชตุพนวิมลมัง คลารามราชวรมหาวหิ าร พนั กวา่ องค์ ท้ังชั้นนอก และชนั้ ใน ประติมากรรมอน่ื ๆท่ีสาคัญ คอื หวั นาค และเศียรนาคจาแลง และยกั ษ์ทวารสาริดปิดทอง ประจาประตูทางเข้าพระมณฑป หอพระไตรปฎิ ก หลังปราสาทพระเทพบดิ ร วัดพระศรีรตั นศาสดาราม ฝมี ือครดู าช่างปั้นเอก สมัยรชั กาลที่ 1 รชั กาลที่ 2 พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลิศหล้านภาลัย โปรดเกลา้ ฯ ให้บูรณะศิลปสถาน และ งานศิลปะอืน่ ๆ โดยเฉพาะดา้ นประตมิ ากรรมเป็นพเิ ศษ เช่น ทรงป้นั หุ่นพระยารักใหญ่ รักนอ้ ย และ รปู พระลกั ษณ์ พระราม ซ่ึงเป็นหนุ่ หลวงที่สวยงามมาก ปจั จุบนั อยูใ่ นพิพธิ ภณั ฑ์สถานแห่งชาติ ทรงป้นั หุ่นพระพักตร์ พระพุทธประธาน 2 องค์ คอื พระพุทธจฬุ ารกั ษ์ พระประธานพระอุโบสถวดั ราชสิทธา รามราชวรวหิ าร และพระพุทธธรรมศิ รราชโลกธาตุดลิ ก พระประธานพระอุโบสถวดั อรณุ ราชวราราม ราชวรมหาวิหาร งานช้นิ ทีส่ าคัญอีกชน้ิ หน่งึ คอื ทรงร่วมสลักบานประตพู ระวหิ ารหลวงวัดสุทศั น เทพวรารามราชวรมหาวหิ าร รปู พรรณพฤกษาซอ้ น 3 ช้นั มภี าพสัตว์ ประเภทนก และกระตา่ ย ประกอบ

รชั กาลที่ 3 ในรชั กาลนี้มกี ารสร้างหล่อพระประธานขนาดใหญ่ ตามวัดที่สร้างใหมเ่ ชน่ 1.“พระพทุ ธตรีโลกเชษฐ์” พระประธานพระอุโบสถวดั สุทศั นเทพวรารามราชวรมหาวิหาร 2.“พระพทุ ธเสฏฐมนุ ี” พระประธานในศาลาการเปรียญวดั สุทศั นเทพวรารามราชวรมหาวิหาร 3.“พระเสฏฐตมมนุ ี” พระประธานพระอโุ บสถวัดราชนดั ดารามวรวหิ าร 4.“พระพุทธมหาโลกาภนิ นั ทปฏิมา” พระประธานพระอโุ บสถวดั เฉลมิ พระเกยี รติวรวหิ าร นอกจากนีย้ ังทรงสร้างพระพทุ ธไสยาสน์ ยาว 90 ศอก ทวี่ ัดพระเชตุพนวมิ ลมงั คลารามราช วรมหาวหิ าร และพระพทุ ธรูปยืนทรงเคร่อื งกษัตรยิ าธิราชเจ้า 2 องค์ เพอ่ื เปน็ ราชอนุสรณ์แดพ่ ระ อัยกา และพระราชบิดาของพระองค์ ถวายพระนามวา่ “พระพุทธยอดฟ้าจฬุ าโลก”และ “พระพทุ ธ เลิศหล้านภาลยั ” ประดิษฐานในพระอุโบสถวดั พระศรรี ตั นศาสดาราม การสรา้ งพระพทุ ธรูปยนื ทรงเครื่องปางห้ามญาติขนาดใหญน่ ี้ นยิ มสรา้ งไวเ้ ปน็ จานวนมาก ถือเปน็ พระราชนิยมของ พระบาทสมเด็จพระนงั่ เกลา้ เจา้ อยู่หวั รชั กาลท่ี 4 ถึงรัชกาลท่ี 5 เป็นยุคสมัยของการปรบั ตวั เปิดประเทศ ยอมรบั อิทธิพล ตะวันตก ยอมรับความคิดใหมม่ าเปล่ยี นแปลงสังคม ระเบยี บประเพณี เพือ่ ประคองใหป้ ระเทศรอด พน้ จากภัยสงคราม หรือจากลทั ธลิ ่าอาณานคิ มตะวนั ตก ซ่งึ หลายประเทศในซีกโลกเอเชยี ยุคนนั้ ประสบอยู่ การสร้างงานศลิ ปกรรมทกุ สาขา รวมท้ังประตมิ ากรรมก็ถกู กระแสการเมืองน้ดี ว้ ย พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มพี ระราชดาริปั้นรปู เหมือนแบบตะวันตกข้ึนเปน็ ครัง้ แรกใน ประเทศไทย จึงโปรดเกลา้ ฯ ใหห้ ลวงเทพรจนา (พลับ) ซง่ึ ตอ่ มาเปน็ พระยาจนิ ดารังสรรคป์ นั้ ถวาย โดยปน้ั จากพระองค์จริง และเลยี นแบบรปู ป้นั ของพระองค์ ที่ฝรั่งปนั้ จากรูปพระฉายที่ส่งมาถวายแต่ ไมเ่ หมอื น เมือ่ ทอดพระเนตรเห็นพระรูปที่หลวงเทพรจนาปน้ั ข้นึ ใหมก่ ท็ รงโปรด ตอ่ มานาพระรูปองคน์ ้ี ประดษิ ฐานไว้ ณ พระทนี่ ง่ั เวชยนั ต์วเิ ชียรปราสาทในพระนครครี ี จังหวดั เพชรบรุ ี ปัจจุบันมกี ารหลอ่ ไว้ หลายองค์ ประดิษฐานทพ่ี ระตาหนักเพชร วัดบวรนิเวศวหิ าร กรุงเทพฯ และหอพระจอมวัดราช ประดษิ ฐส์ ถติ มหาสมี ารามราชวรวิหาร กรุงเทพฯ จากพระรปู องค์นี้ นับเปน็ การเปลยี่ นศักราช ประตมิ ากรรมไทย ท่ีเดิมปั้นรปู ราชานสุ รณ์ โดยใชก้ ารสรา้ งพระพทุ ธรปู หรอื เทวรูปแทน มาสู่การปนั้ รูปราชานุสรณ์เหมือนรปู คนจรงิ ขน้ึ และจากจดุ น้เี องส่งผลให้มกี ารปรับตวั ทางประติมากรรมระยะ ปรับตัวไปสู่ประตมิ ากรรมสมัยใหม่ การปน้ั หล่อพระพุทธรูปในยคุ น้ี ไมใ่ หญโ่ ตเทา่ สมัยรชั กาลท่ี 3 มี

พทุ ธลกั ษณะทเ่ี ปน็ แบบฉบบั ของตนเอง มีลักษณะโดยสว่ นรวมใกลค้ วามเปน็ มนุษย์ มกี ารป้ันจวี รเปน็ รว้ิ บนพระเศยี ร ไม่มตี อ่ มพระเมาลี พระพทุ ธรปู ทส่ี าคัญเหลา่ นี้ คือ พระสัมพุทธพรรณี พระนิรนั ตราย และพระพุทธสิหงั คปฏมิ า พระประธาน ในพระอุโบสถวัดราชประดิษฐ์สถติ มหาสีมารามราชวรวิหาร ในรัชสมัยนี้ มีการสรา้ งพระพทุ ธรูปยนื ปางหา้ มญาตเิ ชน่ กนั แตจ่ ีวรพระสมยั น้เี ป็นริว้ ใกลเ้ คียง ธรรมชาตมิ ากขึน้ ประตมิ ากรรมที่สาคญั อกี ช้ินหนงึ่ คือ “พระสยามเทวาธิราช” เปน็ เทวรูปขนาดเล็ก หล่อดว้ ยทองคาทงั้ องคส์ ูง 8 นิว้ ฟุต ลกั ษณะงดงามมาก เปน็ ฝีพระหัตถ์ของพระองค์เจา้ ประดิษฐวรการ สมัยรชั กาลที่ 6 ศิลปะตะวนั ตกเข้ามาสชู่ ีวิตความเป็นอยู่ของคนไทย และกาลงั ฝังรากลกึ ลงไปในสังคม และวฒั นธรรมไทย การตกแต่งวงั เจ้านาย อาคารราชการ อาคารพาณชิ ยส์ วนสาธารณะ และอาคาร บ้านเรือนของคนสามญั เรมิ่ ตกแต่งงานจติ รกรรม และงานประตมิ ากรรมภาพเหมอื นมากขึน้ งาน ประตมิ ากรรมไทยทที่ าข้ึนเพ่อื ศาสนา เชน่ การสร้างศาสนสถาน ปั้นพระพทุ ธรูปที่เคยกระทากันมาก็ ถงึ จุดเสื่อมโทรมลง แมจ้ ะมีการทากนั อยู่ก็เปน็ ระดบั พืน้ บ้าน ท่พี ยายามลอกเลียนสงิ่ ดีงามในยุคเก่า ๆ ท่ตี นนยิ ม ขาดอารมณค์ วามรู้สึกทางการสรา้ งสรรค์ และไมม่ ีรูปลักษณะท่ีเป็นแบบแผนเฉพาะยคุ สมยั พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกลา้ เจา้ อยหู่ ัว ทรงหนั มาสง่ เสรมิ ศิลปะการช่างสมยั ใหมโ่ ดยตั้งโรงเรียน เพาะชา่ งขนึ้ เมื่อ พ.ศ. 2456 จัดสอน ศิลปะการชา่ งท้งั แบบตะวันตก และแบบไทยการสร้างงานศลิ ปะ ระดบั ชาติ ได้จ้างฝร่ังมาออกแบบ ตกแตง่ พระบรมมหาราชวงั หรอื พระทีน่ ัง่ ทรงเหน็ ความจาเปน็ ที่ ต้องใช้ชา่ งทารปู ปนั้ ต่าง ๆ เชน่ เหรียญตรา และอนสุ าวรยี ์ ซงึ่ ช่างไทยยงั ไมช่ านาญงานภาพเหมอื น ขนาดใหญ่ จึงส่ังช่างปั้นมาจากประเทศอติ าลี ผูไ้ ดร้ บั เลือก คือศาสตราจารย์ คอราโด เฟโรจี เขา้ รบั ราชการเปน็ ประติมากร กรมศลิ ปากร กระทรวงวัง เมอ่ื วนั ที่14 มกราคม พ.ศ. 2466 ตอ่ มาโปรดเกลา้ ฯ ให้ศาสตราจารยค์ อราโด เฟโรจี เขา้ ไปปัน้ พระบรมรปู ของพระองค์โดยใกลช้ ดิ เปน็ พระบรมรูปเท่า พระองคจ์ ริง ปจั จบุ ันประดษิ ฐานในปราสาทพระเทพบิดร นับเปน็ งานภาพเหมอื นที่สาคัญในรัชกาลนี้ ตอ่ มาศาสตราจารย์คอราโด เฟโรจี ได้โอนสัญชาติ และเปลย่ี นชือ่ เปน็ ไทยวา่ ศลิ ป พีระศรี ท่านผูน้ ้ี ต่อมามีความสาคัญตอ่ วงการศิลปกรรมไทยสมยั ใหมท่ ุกสาขาอย่างทส่ี ดุ

รชั กาลท่ี 7 - รัชกาลปัจจบุ ัน ระยะแรกศาสตราจารยศ์ ลิ ป พรี ะศรี เป็นช่างป้ันทีส่ าคัญแตผ่ เู้ ดยี วในยุค นัน้ ไดด้ าเนนิ การป้ันรปู อนุสาวรยี ์พระปฐมบรมราชานสุ รณ์เป็นภาพเหมือนขนาดใหญ่ 3 เท่าคนจริง เปน็ ครงั้ แรกในเมอื งไทย ส่งไปหล่อทองแดงทป่ี ระเทศอิตาลี เสร็จทนั มาติดต้ังท่ีเชงิ สะพานพทุ ธยอดฟา้ เพ่ือเปิดสะพาน และฉลองกรุงครบ 150 ปี เมอ่ื พ.ศ. 2475 หลังจากการฉลองกรงุ ไมก่ ่ีวันกเ็ กิดการเปลยี่ นแปลงการปกครองข้ึนในประเทศไทย โดยคณะทหาร และพลเรอื น อา นาจการปกครองและการบรหิ ารประเทศ จงึ ไม่ตกอยู่กับพระมหากษตั ริยอ์ กี ต่อไป การสร้างงานศลิ ปกรรม ซ่ึงแต่เดมิ อยู่ในความดูแลของราชสานกั ซง่ึ มพี ระมหากษัตริย์ทรงสง่ เสรมิ ก็ ส้ินสดุ ลง วิถีการดาเนินชีวิต ความร้สู กึ นึกคิดของประชาชนเปล่ียนแปลงไป คณะรัฐบาลมุ่งพฒั นา ประเทศทางดา้ นวตั ถุมากกว่าการพฒั นาดา้ นจิตใจโดยเฉพาะทางศลิ ปะ การสรา้ งงานศลิ ปกรรมยุค ตอ่ มา ล้วนตอ้ งต่อส้ดู น้ิ รนอยใู่ นวงแคบ ๆแต่กระน้ันการต่อสดู้ ิน้ รน เพอ่ื ให้สงั คมเหน็ คุณคา่ ในงาน ศิลปะ ยงั ดาเนนิ ต่อไป โดยมศี าสตราจารย์ศลิ ป พีระศรี เปน็ ผนู้ า เพอื่ ทาให้ผนู้ าประเทศและคนท่ัวไป เหน็ คุณคา่ ท่านต้องทางานอยา่ งหนกั กล่าวคือ นอกจากงานปั้นอนุสาวรียท์ ่ีสาคัญแล้ว ท่านยังได้วาง แนวทางการศึกษาศิลปะ โดยหาทางจัดตง้ั โรงเรียนประณตี ศลิ ปกรรมข้ึน เมอ่ื พ.ศ. 2477 ซึง่ ต่อมา ขยายตวั ขน้ึ เปน็ มหาวิทยาลยั ศิลปากรเม่ือ พ.ศ. 2486 จัดให้มกี ารเรียนการสอนท้งั ด้านจติ รกรรม และ ประตมิ ากรรม ซงึ่ การศกึ ษาและการสรา้ งงานประติมากรรม ตอ่ มาเปลย่ี นไปตามการพฒั นาวัฒนธรรม ของสังคม ท่ีต้องการพงึ่ พาพลังงานใหม่ ๆ ภายใตอ้ ทิ ธิพลทางวทิ ยาศาสตร์ เศรษฐกจิ การเมอื ง และ อื่น ๆ ซึ่งเปน็ การกา้ วหน้าแห่งยคุ โดยเฉพาะในรชั กาลปจั จบุ ัน การส่อื สาร และการคมนาคมเป็นไป อย่างรวดเร็ว ท่วั ถึงเกือบทุกมุมโลก มลี ทั ธิทางศิลปะเกิดขนึ้ มากมาย ท้งั ในยุโรป และสหรัฐอเมริกา และไดแ้ พร่หลายเขา้ มามีบทบาทในประเทศไทยด้วย ประตมิ ากรรมจึงเขา้ ส่รู ูปแบบของศิลปะรว่ มสมยั เป็นการแสดงออกทางดา้ นการสร้างสรรค์ที่มีอิสระ ทัง้ ความคิด เนอ้ื หาสาระ และเทคนคิ การสรา้ งงาน สดุ แตศ่ ิลปนิ จะใฝ่หา งานศิลปะท่ีแสดงออกมานน้ั จึงเปน็ สัญลกั ษณ์สาคัญที่สะท้อนถึงเอกลกั ษณใ์ หม่ ของวัฒนธรรมไทยอกี รปู แบบหนงึ่

3. ด้านจิตรกรรม งานจติ รกรรมในสมยั รัตนโกสนิ ทรม์ ที ั้งศิลปะไทยประเพณี ศลิ ปะไทยประยกุ ตแ์ ละศลิ ปะแบบตะวันตก สมัยรัตนโกสินทร์ตอนตน้ สกลุ ช่างสมัยน้พี ฒั นามาจากสกุลช่างธนบรุ ีและอยธุ ยาใชส้ ีหนักเปน็ พ้ืนหลัง ส่วนใหญ่จะใช้สโี ทนเย็น นยิ มการปิดทองบนภาพมากขนึ้ โดยเฉพาะสถานที่และบุคคลสาคัญ ตวั ละคร ใชส้ ีแสดงฐานะทางสงั คม สมัยรัชกาลท่ี 1 มีแบบแผนการวางภาพทน่ี ิยมกัน คอื ลวดลายเพดาน นิยมทาดว้ ยไมจ้ าหลัก ลงรัก ปดิ ทอง ประดับดว้ ยกระจก เป็นลายดาวจงกล หรอื ลายดาวดอกใหญ่อยู่ตรงกลาง บานประตหู นา้ ต่าง ดา้ นในมักเป็นรูปดอกไม้รว่ ง ดอกไมป้ ระดิษฐห์ รือเคร่ืองแขวน รัชกาลที่ 3 งานจิตรกรรมฝาผนงั มคี วามเปลยี่ นแปลงทเ่ี กิดข้นึ อย่างเห็นไดช้ ัดสอดคลอ้ งกับความ เปลย่ี นแปลงในดา้ นสถาปตั ยกรรม คอื อทิ ธิพลจากศิลปะจีน ลักษณะการใชส้ ีมดื เป็นสพี ้ืนมีการใชค้ ู่สี ระหว่างสเี ขียวกับสีแดงใหโ้ ดดเดน่ และเป็นค่สู ีหลักกบั การระบายพ้ืนดว้ ยสีมดื เปน็ เอกลกั ษณ์ เชน่ จิตรกรรมเครอ่ื งมงคลอย่างจีนหรือเคร่อื งต้ังในพระอโุ บสถวัดราชโอรสารามราชวรวหิ าร วดั นาคปรก กับลกั ษณะงานทีย่ ังสืบทอดแบบประเพณี เชน่ วัดสุวรรณารามราชวรวหิ ารชา่ งเขียนจติ รกรรมฝาผนัง ตอ้ งเขยี นภาพอิงความสมจรงิ ตามไปดว้ ย ไม่ว่าจะเป็นความหลากหลายของผคู้ น เช้ือชาติ และอาชพี ท่ี เปน็ ความเปลี่ยนแปลงทเี่ กิดข้ึนจรงิ ในสงั คมขณะน้ันหรอื อาคารบา้ นเรือนทั้งแบบจนี และฝรัง่ ที่เริ่มมี การกาหนดแสงเงาและใช้ลักษณะการถา่ ยทอดทแี่ สดงความสมจริงของสว่ นประกอบในฉาก เชน่ ตน้ ไม้ นา้ ทะเล ผสมลงไป รัชกาลที่ 4 เริ่มมีอิทธพิ ลของตะวันตกเข้ามาผ่านผลงานจิตรกรรม คอื ภาพเขยี น เป็นภาพ 3 มิติ มีการใชส้ ี แสง - เงา และแสดงทศั นียภาพในระยะใกล้ - ไกล จติ รกรคนสาคัญ คอื ขรวั อินโขง่ ซึ่งเปน็ ผูว้ าดภาพปริศนาธรรมที่วดั บวรนิเวศราชวรวิหารและวัดบรมนิวาสราชวรวหิ าร รชั กาลท่ี 5 มีการวาดภาพพระราชประวัตเิ ขียนแบบจิตรกรรมประเพณีผสมกับทางตะวนั ตก และภาพเหมอื นบคุ คลไว้ที่ผนงั พระที่นงั่ ทรงผนวช อยทู่ ว่ี ัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามราชวรวหิ าร

รชั กาลท่ี 5 โปรดเกลา้ ฯ ใหจ้ ิตรกรชาวยุโรปวาดพระบรมสาทศิ ลักษณ์พระมหากษัตรยิ ์แห่งราชวงศ์ จักรที กุ พระองค์ และพระบรมวงศานวุ งศท์ สี่ าคัญในรชั สมัยของพระองค์ ประดษิ ฐานทีพ่ ระทนี่ ่ังจักรี มหาปราสาทและพระทน่ี ง่ั ในพระราชวังตา่ ง ๆ รัชกาลท่ี 6 นิยมการถ่ายภาพ ทาให้เกิดการบนั ทึกภาพบคุ คลบา้ นเมอื งและเหตกุ ารณด์ ว้ ย เทคโนโลยแี บบใหม่เพมิ่ ข้นึ อย่างรวดเร็ว ดังปรากฏจากพระบรมฉายาลกั ษณพ์ ระฉายาลกั ษณ์และ ภาพถ่ายต่าง ๆ จานวนมาก เป็นหลกั ฐานประวัตศิ าสตรท์ ่สี าคัญ รัชกาลท่ี 9 - รชั กาลปัจจบุ นั ในปัจจุบันภาพจติ รกรรมมไิ ด้จากดั จะมอี ยแู่ คใ่ นเฉพาะวัดกับวงั เหมือน ในอดีตทผ่ี า่ นมา แต่ไดม้ กี ารนาไปประดับตกแตง่ อาคารสถานที่เพื่อใช้ในการสื่อสารโฆษณา ประชาสมั พันธ์อย่างแพร่หลายผา่ นสอื่ ต่าง ๆ ภาพจิตรกรรมที่นาเสนอออกมา นอกจากจะเปน็ ภาพ เก่ียวกบั ศาสนาและเอกลักษณไ์ ทยแลว้ ยังเสนอภาพทมี่ แี นวคดิ สะท้อนสังคม หรอื มีเรื่องราวทีศ่ ิลปินมี ความประทับใจ เชน่ ธรรมชาติ ส่งิ แวดลอ้ ม บุคคล สถานท่ี จินตนาการภาพนามธรรม (Abstract) ตลอดจนเทคนิคในการสร้างสรรคง์ านจติ รกรรมก็มีความหลากหลายกว่าเดิมและนาเอาเทคโนโลยี สมยั ใหมม่ าใช้ในการนาเสนอผลงานดว้ ย

4. ดา้ นวรรณกรรม รชั กาลที่ 1 วรรณคดีที่มีชอื่ เสียงในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ได้แก่ 1. พระบาทสมเด็จพระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลก ได้แก่ เพลงยาวรบพม่าท่ที ่าดินแดงบทละครเรือ่ งอณุ รทุ บทละครเรอื่ งรามเกียรต์ิ กฎหมายตราสามดวง บทละครเร่ืองดาหลงั และอิเหนา 2. เจา้ พระยาพระคลงั (หน) ได้แก่ สามก๊ก ราชาธิราช บทมโหรี เรื่องกากี ลลิ ิต-ศรีวชิ ยั ชาดก ลลิ ติ พยุ หยาตราเพชรทอง รา่ ยยาวมหาเวสสันดรชาดกกณั ฑ์กุมารและกัณฑ์มัทรี 3. พระยาธรรมปรชี า (แกว้ ) ได้แก่ ไตรภมู โิ ลกวนิ ิจฉยั พระไตรปฎิ ก 4. พระเทพโมลี (กลิ่น) ได้แก่ รา่ ยยาวมหาเวสสันดรกณั ฑม์ หาพน นิราศตลาดเกรียบโคลงกระทู้ เบด็ เตลด็ 5. กรมพระราชวงั หลัง ไดแ้ ก่ ไซฮ่ ่นั รชั กาลท่ี 2 นบั เป็นยุควรรณกรรมที่รงุ่ เรอื งท่ีสุด ราชสานักได้ฟ้นื ฟูวรรณคดีทั้งเกา่ และใหม่ไว้ เป็นมรดกสาคญั ทรงนพิ นธ์บทละครไวห้ ลายเรอ่ื ง แต่ที่ไดร้ ับการยกยอ่ งมากทีส่ ุดคือ บทละครเรอ่ื ง อเิ หนา กวเี อกสมยั นี้ คือ สุนทรภู่ ซึ่งมผี ลงานหลายประเภทดว้ ยกัน มที ัง้ บทละครเสภา นิราศ บทเห่ และกลอน เช่น เสภาเรอ่ื งขุนชา้ งขุนแผน นิราศภเู ขาทอง กลอนสุภาษิตสอนหญิง ฯลฯ นอกจากน้ี สนุ ทรภู่ยงั ไดน้ ากลอนเพลงยาวมาแตง่ นยิ าย คือ พระอภัยมณี ซึง่ เปน็ ผลงานชนิ้ เอกนับเป็นเรื่องแรก ของวรรณคดไี ทยทเ่ี ป็นการผกู เรือ่ งเอง แทนที่จะแต่งเป็นสานวนใหม่จากตน้ เรอื่ งทเี่ ปน็ นิทาน นยิ าย หรอื พงศาวดาร รชั กาลท่ี 3 - รชั กาลที่ 5 งานวรรณกรรมเรม่ิ กระจายไปสูป่ ระชาชน วรรณกรรมสมัยน้ี สอดคล้องกบั นโยบายการพัฒนาบ้านเมอื งให้ทันสมยั จึงเริม่ มงี านประพนั ธด์ ้านรอ้ ยแก้ว อนง่ึ ได้มีการ จัดตง้ั หอสมุดแบบพระนคร “หอสมดุ วชิรญาณ” รวบรวมรกั ษาเอกสารสาคัญของชาติ ผลงานสาคัญมี ทั้งของรชั กาลท่ี 4 รัชกาลที่ 5 สมเด็จพระเจา้ บรมวงศ์เธอกรมพระยาดารงราชานุภาพ ฯลฯ รชั กาลท่ี 6 นับเป็นยุคทองของงานวรรณกรรมแบบใหม่ เรม่ิ มีการเปล่ียนแปลงเปน็ แบบ ตะวันตกมากขน้ึ จากการเขียนแนวรอ้ ยกรองมาเปน็ รอ้ ยแก้ว ซ่ึงมรี ปู แบบเนอ้ื หา แนวคิด มกี ารจัดวาง

มาตรฐานของผลงาน โดยจดั ตัง้ วรรณคดีสโมสร วรรณกรรมในยคุ น้เี ปน็ วรรณกรรมแปลและแปลงเปน็ ส่วนใหญ่ จนสามารถกล่าวไดว้ า่ วรรณคดีและวรรณกรรมปจั จบุ นั เร่ิมตน้ จากสมยั น้ี และยงั เป็นยคุ เริม่ ของแนวการเขยี นนวนยิ าย และเร่อื งสนั้ อีกด้วย นอกจากน้ี ยงั มผี ลงานของพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรม พระนราธิปประพนั ธพ์ งศ์ นายชติ บรุ ทัตพระราชวรวงศ์เธอกรมหมน่ื พทิ ยาลงกรณ์ (น.ม.ส.) เจ้าพระยาธรรมศกั ด์มิ นตรี เสถียรโกเศศและนาคะประทีป สมัยรชั กาลท่ี 7 วรรณกรรมในยุคน้ีจึงเรมิ่ เป็นของคนไทยมากข้นึ วรรณกรรมแปลและแปลง นอ้ ยลง หนมุ่ สาวหันมาสนใจงานเขยี นมากขึ้น กลา้ แสดงความคดิ เห็นมากข้ึน งานเขียนมีทั้ง วรรณกรรมสรา้ งสรรค์และผลงานท่ัวไปเปน็ ร้อยแกว้ เนือ้ หามีหลากหลาย ท้งั ด้านการเมอื งอดุ มการณ์ บทวิเคราะหส์ ถานการณ์ ตาราวชิ าการ นิยายสะท้อนการเปลยี่ นแปลงในสงั คม เรือ่ งแปล นิทาน นานาชาติ วรรณกรรมสาหรับเดก็ ฯลฯ โดยเฉพาะสบิ ปแี รกหลงั การเปลีย่ นแปลงการปกครองจะเน้น ในเร่ืองชาตินยิ ม วงการวรรณกรรมพยายามยกระดบั คุณภาพงานเขยี น

นาฏศลิ ปไ์ ทยานดนตรีและนาฏศลิ ป์ 1) ดนตรีไทย การแสดงดนตรไี ทยในสมยั รัตนโกสินทร์ ถือเป็นยคุ สมยั ของการก่อสร้างบ้านเมืองให้ม่ันคงเปน็ ปึกแผน่ อกี ทง้ั ยงั มีการส่งเสริมและฟ้ืนฟูศลิ ปวัฒนธรรมของชาตใิ นทุกแขนงใหเ้ จริญร่งุ เรอื ง โดยเฉพาะดนตรี ไทยในสมัยรัตนโกสินทร์ได้มกี ารเปล่ียนแปลงไปตามลาดับช่วงเวลาในรชั กาลต่าง ๆ ดังนี้ รัชกาลท่ี 1 ดนตรไี ทยในสมยั น้ยี ังคงยดึ ถือรปู แบบและลกั ษณะมาจากสมัยกรงุ ศรอี ยธุ ยา แต่ได้มี การเปล่ยี นแปลงเครอ่ื งดนตรใี นวงป่พี าทย์และวงมโหรี โดยมีการเพมิ่ กลองทัดอีก 1 ลูก เขา้ ไปในวงปี่ พาทย์ ส่วนวงมโหรกี ็ไดเ้ พ่มิ ระนาดเขา้ ไปอกี 1 ราง รชั กาลที่ 2 เป็นยุคสมยั ที่การดนตรีไทยมีความเจรญิ รุง่ เรอื งอย่างมากสืบเนอ่ื งมาจาก พระบาทสมเดจ็ พระพุทธเลิศหลา้ นภาลัยทรงสนพระทยั ในเรือ่ งดนตรีไทย อกี ทั้งพระองคย์ ังทรงพระ ปรีชาสามารถเป็นอย่างยิ่งในดา้ นดนตรีไทย นอกจากนใี้ นสมัยรชั กาลที่ 2วงปี่พาทยไ์ ด้นาไปใชบ้ รรเลง ประกอบการขับเสภาเป็นคร้งั แรก รวมท้ังได้มกี ารนาเอา “เปิงมาง”เขา้ มาไวใ้ นวงปพี่ าทย์ เพื่อตี ประกอบจงั หวะในการบรรเลงดนตรขี บั เสภาวงมโหรกี ไ็ ด้เพ่ิม “ฆอ้ งวง”เขา้ เปน็ เคร่อื งดนตรีภายในวง อกี ชนดิ หนึ่งดว้ ย รชั กาลท่ี 3 วงป่พี าทยไ์ ด้เปลี่ยนไปเป็น “วงป่พี าทยเ์ ครอื่ งคู่” เพราะมผี ู้คดิ ประดษิ ฐ์ระนาดเพมิ่ เขา้ มาในวงอกี 1 ราง ซ่งึ มขี นาดใหญก่ วา่ ระนาดแบบเดมิ และตดี ว้ ยไม้นวมให้เสยี งทตี่ ่ากว่าน่นั คือ “ระนาดทมุ้ ” นอกจากน้ียงั สรา้ งฆ้องวงทีม่ ขี นาดเล็กและให้เสียงสงู เรียกวา่ “ฆอ้ งวงเล็ก” รวมทั้งการ นาเอาปนี่ อกเข้ามาผสมในวงปี่พาทยด์ ว้ ย ดังนน้ั เครื่องดนตรใี นวงปี่พาทยเ์ ครอื่ งหา้ ทีป่ ระกอบไปด้วย ป่ใี น ฆ้องวง ตะโพน กลองทัดระนาด และฉงิ่ จงึ เปล่ยี นไปเปน็ วงปพ่ี าทย์เคร่ืองคู่ ซึ่งมเี ครอ่ื งดนตรใี น วง ดังตอ่ ไปนี้ ระนาดเอกระนาดทุม้ ฆอ้ งวงใหญ่ ฆอ้ งวงเล็ก ป่ีใน ป่ีนอก ตะโพน กลองทัด ฉง่ิ ฉาบเล็ก ฉาบใหญ่ โหมง่ กลองสองหน้า

รชั กาลท่ี 4 “วงปี่พาทย์เครอื่ งใหญ่” ซ่งึ เปน็ แบบแผนของวงปพี่ าทย์ทใ่ี ช้มาจนปจั จุบัน สบื เนื่อง จากรชั กาลท่ี 4 ไดท้ รงสร้าง “ระนาดท้มุ เหลก็ ” และ “ระนาดเอกเหลก็ ” เพม่ิ เข้าไปในวงปี่พาทย์ เครือ่ งคู่ จึงทาใหว้ งปีพ่ าทย์เคร่อื งคูม่ วี วิ ฒั นาการไปเป็นวงปพี่ าทยเ์ ครอื่ งใหญ่ประกอบไปด้วย เคร่ือง ดนตรีชนดิ ต่าง ๆ ดงั น้ี คือ ปีใ่ น ป่ีนอก ระนาดเอก ระนาดท้มุ ระนาดเอกเหล็กระนาดทมุ้ เหล็ก ฆ้อง วงใหญ่ ฆอ้ งวงเล็ก ตะโพน กลองทัด ฉงิ่ ฉาบเลก็ ฉาบใหญ่ โหม่ง รัชกาลที่ 5 สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศ์เธอเจ้าฟา้ กรมพระยานรศิ รานุวัดตวิ งศ์ ทรงคดิ ประดษิ ฐ์วงป่ี พาทย์ขึน้ มาในอีกรูปแบบหนึง่ เพื่อใชบ้ รรเลงประกอบการเล่นละครเรยี กว่า “วงปีพ่ าทยด์ ึกดาบรรพ์” พระองคท์ รงนาเอาฆ้องชยั หรือ “ฆ้องหุ่ย” จานวน 7 ลกู เพิ่มเขา้ มา นอกจากน้พี ระองคย์ งั ทรงตดั เคร่ืองดนตรที ่มี เี สยี งแหลมเสียงสงู และเสียงที่ดงั มาก ๆ ออกไป ส่วนระนาดกใ็ หต้ ดี ว้ ยไมน้ วม ดังนัน้ วง ปพี่ าทย์ดึกดาบรรพจ์ งึ มีเฉพาะเคร่อื งดนตรีท่ีบรรเลงแล้วมีเสียงเบา ไพเราะนมุ่ นวลแตกต่างไปจากวงปี่ พาทย์อน่ื ๆ โดยเครอ่ื งดนตรีในวงป่ีพาทย์ดึกดาบรรพ์ ประกอบด้วยระนาดเอก ระนาดทุ้ม ระนาดทุ้ม เหล็ก ฆอ้ งวงใหญ่ ซออู้ ขลุย่ อู้ ขลยุ่ เพยี งออ ฉิ่ง ฆอ้ งชยั หรือฆ้องหยุ่ ตะโพน กลองตะโพน รชั กาลท่ี 6 พระบาทสมเด็จพระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยหู่ ัว ทรงสนพระทัยดนตรไี ทยเปน็ อยา่ งยงิ่ อกี ท้งั ยงั ทรงทานบุ ารงุ และรกั ษาการดนตรไี ทยอยา่ งมุ่งมัน่ จริงจัง โดยพระองค์ทรงใหต้ งั้ กรมมหรสพ ข้ึนมา ประกอบไปดว้ ยกรมบญั ชาการ กรมโขนหลวง กรมพณิ พาทย์หลวงกองเครื่องสายฝรั่งหลวงและ กรมชา่ งมหาดเล็ก เพื่อสร้าง ซ่อมแซม และรกั ษาสงิ่ ท่เี ป็นศลิ ปะท้ังหมดนับว่ายคุ สมยั นดี้ นตรไี ทยมี ความเจริญรุ่งเรอื งเป็นอย่างมากและถอื ไดว้ า่ เปน็ ยคุ ทองของดนตรีไทยอกี ยุคหนง่ึ เชน่ กนั รัชกาลท่ี 7 พระบาทสมเดจ็ พระปกเกลา้ เจา้ อยู่หวั ทรงสนพระทัยดนตรีไทยเป็นอนั มาก และ พระองค์ทรงตง้ั วงเครือ่ งสายสว่ นพระองคท์ ่สี มบูรณ์ท่ีสุดวงหนงึ่ ขน้ึ มา โดยพระองคท์ รงสซี อด้วง สว่ น สมเดจ็ พระนางเจ้าราไพพรรณี พระบรมราชนิ ี ทรงสซี ออู้ นอกจากนยี้ งั มีเจ้านายอีกหลายพระองค์ท่ี เปน็ สมาชิกในวงเครอื่ งสายน้ีดว้ ย ตอ่ มาในปี พ.ศ. 2475 ได้มีการเปลย่ี นแปลงการปกครองจาก ระบอบสมบูรณาญาสทิ ธิราชย์ไปเปน็ การปกครองในระบอบประชาธิปไตย ดนตรไี ทยได้รับผลกระทบ จากการเปลีย่ นแปลงในครัง้ นี้ ดนตรีไทยคอ่ ย ๆ เสอ่ื มถอยลงเปน็ ลาดบั จนแทบสูญสิ้นไป แต่ภายหลัง

จากสงครามโลกครง้ั ท่ี 2ส้นิ สดุ ลง การฟนื้ ฟดู นตรีไทยจงึ ได้เร่ิมตน้ ข้ึนใหมอ่ กี ครง้ั และมีการพฒั นา ดนตรไี ทยใหเ้ จริญก้าวหนา้ อยา่ งตอ่ เนอ่ื งมาจนถงึ ยุคสมยั ปัจจุบนั 2) โขน การแสดงโขน เปน็ การแสดงทา่ รา เตน้ มดี นตรีประกอบการแสดง มบี ทพากยแ์ ละเจรจาตัวละคร ประกอบดว้ ยยกั ษ์ ลงิ มนษุ ย์ เทวดา ผแู้ สดงสวมหัวโขนจะไม่ร้อง และเจรจาเองแต่ปจั จุบันผแู้ สดง เปน็ มนุษยเ์ ทวดาจะไมส่ วมหวั โขน การแต่งกายแตง่ แบบยนื เครอื่ งเหมอื นละครในตามลกั ษณะตัว ละคร ไดแ้ ก่ ตวั พระ ตัวนาง ยักษ์ ลิง และตัวประกอบ ศีรษะโขน ไดแ้ ก่ ศรี ษะเทพเจ้า ศีรษะมนษุ ย์ ศีรษะยักษ์ ศรี ษะลิง และศีรษะสัตว์ต่าง ๆ โขนสมยั กรงุ รัตนโกสินทร์ แบง่ ได้เปน็ 3 ยุค คอื ยุคท่ี 1 เป็นโขน ในรชั สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟา้ จุฬาโลกมหาราช ถงึ รชั สมัยพระบาทสมเดจ็ พระ จุลจอมเกล้าเจา้ อยูห่ ัว ยคุ ที่ 2 เป็นโขน ในรัชสมัยพระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยู่หัว ยคุ ที่ 3 เปน็ โขน ในสมัยเปลี่ยนแปลงการปกครอง 3) ละคร ต้งั แต่การสถาปนากรงุ รตั นโกสินทรเ์ ป็นราชธานไี ทย เมือ่ พ.ศ. 2325 จนถงึ ปัจจบุ นั (พ.ศ. 2542) เปน็ เวลา 217 ปี กวไี ทยไดส้ ร้างสรรค์วรรณคดีทส่ี มควรรกั ษาเป็นมรดกไทยไว้จานวนมากซึ่งเป็น วรรณกรรมทง้ั ดา้ นร้อยแกว้ ได้แก่ สามกก๊ โคลนติดลอ้ และ ดา้ นรอ้ ยกรอง ไดแ้ ก่ บทละครเรือ่ ง รามเกียรติ์ พระราชนพิ นธ์ในรัชกาลท่ี 1 บทละครเรอ่ื งอเิ หนา พระราชนพิ นธใ์ นรชั กาลที่ 2 บทเสภา เรอื่ งขุนช้างขนุ แผน ลลิ ติ ตะเลงพา่ ย เปน็ ตน้ 4) ราและระบา สมัยรตั นโกสินทร์ ระบา และรา มคี วามสาคญั ต่อราชพธิ ีต่าง ๆ ในรปู แบบของพธิ กี รรมโดยถอื ปฏบิ ตั ิ เป็นกฎมณเฑียรบาลมาจนถึงสมัยรตั นโกสนิ ทร์ตอนต้น (สมัยรัชกาลท่ี 1 - รัชกาลท่ี 4) รชั กาลที่ 1 โปรดรวบรวมตาราฟ้อนรา และเขยี นภาพท่าราแม่บทบันทกึ ไว้เป็นหลักฐาน มกี าร พฒั นาโขนเป็นรูปแบบละครใน มีการปรับปรุงระบาสบี่ ท ซง่ึ เปน็ ระบามาตรฐานตัง้ แตส่ ุโขทยั ในสมัย นีไ้ ดเ้ กิดนาฏศิลป์ขึ้นมาหลายชดุ เชน่ ระบาเมขลา - รามสรู ในราชนิพนธ์รามเกยี รติ์

รชั กาลที่ 2 เป็นยคุ ของนาฏศลิ ปไ์ ทย เนื่องจากพระมหากษตั ริยท์ รงโปรดละครรา ทา่ รางดงาม ตามประณีตแบบราชสานกั มีการฝกึ หดั ท้ังโขนละครใน ละครนอก โดยได้ฝึกผหู้ ญิงให้แสดงละครนอก ของหลวงและมีการปรับปรงุ เครื่องแตง่ กายยนื เครือ่ งแบบละครใน รัชกาลท่ี 3 โปรดให้ยกเลิกละครหลวง ทาให้นาฏศิลป์ไทยเปน็ ทีน่ ิยมแพรห่ ลายในหมู่ ประชาชน และเกิดการแสดงของเอกชนข้ึนหลายคณะศลิ ปินท่มี ีความสามารถไดส้ ืบทอดการแสดง นาฏศลิ ป์ไทยท่ีเป็นแบบแผนกันต่อมา รชั กาลที่ 4 โปรดใหม้ ลี ะครรา ผู้หญิงในราชสานกั ตามเดิมและในเอกชนมกี ารแสดงละครผหู้ ญงิ และผชู้ าย ในสมยั นม้ี บี รมครูทางนาฏศิลป์ ไดช้ าระพธิ ีโขนละคร ทูลเกล้าถวายตราไว้เปน็ ฉบบั หลวง และมกี ารดัดแปลงการราเบกิ โรงชดุ ประเริง มาเป็น ราดอกไม้เงินทอง รัชกาลที่ 5 ในสมยั น้มี ีทง้ั การอนรุ ักษ์และพฒั นานาฏศลิ ปไ์ ทยเพอ่ื ให้มคี วามทนั สมยั เชน่ มีการ พฒั นาละครในละครดกึ ดาบรรพ์ พฒั นาละครราทม่ี ีอยู่เดมิ มาเปน็ ละครพนั ทางและละครเสภา และได้ กาหนดนาฏศลิ ปเ์ ป็นทบี่ ทระบาแทรกอยใู่ นละครเรื่องตา่ ง ๆ เช่น ระบาเทวดา - นางฟา้ ในเรอ่ื งกรงุ พาณชมทวปี ระบาตอนนางบุษบากบั นางกานันชมสารในเรอื่ งอเิ หนา ระบาไก่ เปน็ ตน้ รัชกาลที่ 6 เป็นศลิ ปะด้านนาฎศลิ ปเ์ จริญรุ่งเรืองมาก พระองคโ์ ปรดให้ตง้ั กรมมหรสพข้ึน มี การทานุบารุงศลิ ปะทางโขน ละคร และดนตรีป่พี าทย์ ทาให้ศลิ ปะมีการฝึกหดั อย่างมรี ะเบยี บแบบ แผน และโปรดต้งั โรงเรียนฝกึ หัดนาฏศลิ ปใ์ นกรมมหรสพ นอกจากนี้ ยงั ไดม้ ีการปรบั ปรุงวธิ กี ารแสดง โขนเป็นละครดึกดาบรรพ์ เรอ่ื งรามเกยี รต์ิ และได้เกดิ โขนบรรดาศักดิ์ที่มหาดเลก็ แสดงคู่กับโขนเชลย ศักดิท์ เี่ อกชนแสดง รชั กาลที่ 7 โปรดให้มีการจดั ตง้ั ศลิ ปากรข้นึ แทนกรมมหรสพท่ถี ูกยุบไป ทาให้ศิลปะโขน ละคร ระบา รา ฟอ้ น ยังคงปรากฏอยู่ เพ่ือเป็นแนวทางในการอนุรกั ษแ์ ละพัฒนาสืบตอ่ ไป รัชกาลที่ 8 หลวงวจิ ิตรวาทการ อธิบดีของกรมศลิ ปากร ได้กอ่ ตงั้ โรงเรยี นนาฏดรุ ยิ างคศาสตร์ ขน้ึ มา เพือ่ ป้องกันไม่ให้ศิลปะทางด้านนาฏศิลปส์ ูญหายไป ในสมยั นี้ไดเ้ กดิ ละครวจิ ติ ร ซ่งึ เปน็ ละคร ปลกุ ใจให้รกั ชาติ และเป็นการสร้างแรงจงู ใจให้คนไทยหนั มาสนใจนาฏศิลปไ์ ทย และได้มีการตัง้

โรงเรียนนาฏศิลปแ์ ทนโรงเรียนนาฏดุริยางคศาสตร์ ซึง่ ถูกทาลายตอนสงครามโลกครงั้ ที่ 2 เพื่อเป็น สถานศึกษานาฏศลิ ปแ์ ละดรุ ิยางคศิลปข์ องทางราชการ และเป็นการทานุบารงุ เผยแพรน่ าฏศลิ ปไ์ ทย ใหเ้ ป็นทยี่ กยอ่ งนานาอารยประเทศ รัชกาลท่ี 9 นาฏศลิ ป์ ละคร ฟอ้ น รา ได้อยใู่ นความรับผิดชอบของรัฐบาล ได้มกี ารสง่ เสริม ให้ผเู้ ชยี่ วชาญนาฏศลิ ปไ์ ทยคิดประดิษฐ์ทา่ รา ระบาชดุ ใหม่ ได้แก่ ระบาพม่าไทยอธษิ ฐาน ปัจจบุ ันไดม้ ี การนานาฏศิลปน์ านาชาตมิ าประยุกต์ใชใ้ นการประดิษฐท์ า่ รา รปู แบบของการแสดง มีการนาเทคนิค แสงสี เสยี ง เข้ามาเปน็ องค์ประกอบในการแสดงชุดต่าง ๆ ปรับปรงุ ลลี าทา่ ราใหเ้ หมาะสมกบั ฉาก บน เวทีการแสดงมีการตดิ ต้ังอปุ กรณท์ ่ที ันสมยั ทัง้ ระบบม่าน ฉาก แสง ควบคมุ ด้วยระบบคอมพวิ เตอร์มี ระบบเสียงทสี่ มบูรณ์ มเี คร่อื งฉายภาพยนตร์ประกอบการแสดงและเผยแพร่ศิลปกรรมทุกสาขา นาฏศลิ ป์ และสรา้ งนกั วิชาการและนักวจิ ัยในระบบสงู โดยมกี ารเปดิ สอนนาฏศลิ ปไ์ ทยในระดับ ปรญิ ญาเอกอีกหลายแหง่ 5) การแสดงพนื้ เมือง การแสดงพนื้ เมอื งที่เกิดขึน้ ในสมยั รตั นโกสินทร์ เป็นศิลปะการรา่ ยรา หรอื การละเลน่ ทเ่ี ป็นเอกลักษณ์ ของกลมุ่ ชนตามวฒั นธรรมในแตล่ ะภูมิภาค สามารถแบง่ ได้ตามภูมิภาคได้ ดงั น้ี 5.1 การแสดงพนื้ เมืองภาคเหนือ การแสดงพ้นื เมืองทางภาคเหนือ เปน็ ศิลปะการราและการละเลน่ นยิ มเรยี กกันทัว่ ไปวา่ “ฟอ้ น” การ ฟอ้ นเป็นวัฒนธรรมของชาวล้านนา และกล่มุ ชนเผา่ ต่าง ๆ เชน่ ชาวไต ชาวลื้อ ชาวยอง ชาวเขิน เป็น ต้น ลักษณะของการฟอ้ น มีลีลา ทา่ ราทีง่ ดงามออ่ นชอ้ ย มีการแต่งกายตามวฒั นธรรมท้องถ่ิน โอกาส ท่แี สดงมกั เล่นในงานประเพณี ตอ้ นรับแขกบา้ นแขกเมือง ได้แก่ ฟ้อนเล็บฟอ้ นเทยี น ฟ้อนครัวทาน ฟอ้ นสาวไหม และฟ้อนเจิง การฟ้อนแบบพนื้ บา้ นดั้งเดิมในกลุ่มน้ใี นเวลาตอ่ มาเมอื่ ราชสานกั สยาม เขา้ ปกครองราชอาณาจักรล้านนาไทยในสมัยรัชกาลท่ี 5 ชาวล้านนาจงึ ได้รับอทิ ธพิ ลทางวฒั นธรรม จากราชสานัก โดยเอาแบบแผนการราของภาคกลางมาปรับปรงุ การฟอ้ นแบบดั้งเดมิ ตง้ั แตล่ ลี าการรา กระบวนการจัดแถวรา การเดนิ สลับแถวและการใช้ดนตรปี ระกอบการฟ้อน

5.2 การแสดงพืน้ เมืองภาคกลาง การแสดงพนื้ เมืองภาคกลาง เปน็ ศลิ ปะการรา่ ยราและการละเลน่ ของชาวภาคกลางสว่ นใหญจ่ ะมี ความเกี่ยวข้องและสอดคล้องกับวถิ ีชีวิตทางด้านเกษตรกรรม และยังส่งผลตอ่ ความบนั เทิง สนกุ สนาน เปน็ การพกั ผ่อนหยอ่ นใจจากการทางาน หรือเมื่อเสรจ็ จากฤดูเกบ็ เกี่ยว เช่น การแสดงเพลงเก่ียวข้าว เต้นการาเคยี ว ราโทน หรือ ราวง ราเถิดเทงิ รากลองยาว มกี ารแต่งกายตามวฒั นธรรมทอ้ งถ่ิน โดยใช้ เครื่องดนตรีพ้นื บ้าน เชน่ กลองยาว กลองโทน ฉ่งิ ฉาบ กรับ และโหมง่ ศลิ ปะการเลน่ กลองยาว เรม่ิ ปรากฏในเมืองไทยอยา่ งมีแบบแผนในสมยั รัชกาลท่ี 4ในการแสดงละคร เรอ่ื งพระอภัยมณี โดยรว่ ม แสดงผสมผสานกบั วฒั นธรรมหลวงเป็นคร้ังแรก 5.3 การแสดงพนื้ เมืองภาคอสี าน การแสดงพน้ื เมอื งภาคอีสาน เปน็ ศิลปะการราและการละเลน่ ของชาวพื้นบา้ นภาคอีสานหรอื ภาค ตะวันออกเฉยี งเหนือของไทย เพอื่ ตอบสนองผลทางจติ ใจท่ีมตี อ่ การนบั ถือลทั ธิความเชอ่ื ตา่ ง ๆ และ การนับถอื พุทธศาสนา ดงั น้นั การแสดงศิลปะในภมู ภิ าคนี้จึงเนน้ ทก่ี ารระบา ราฟ้อนเพอื่ การบวงสรวง สิง่ ศักดสิ์ ิทธิ์ และการเฉลมิ ฉลองเทศกาลอันเกี่ยวข้องกบั พทุ ธศาสนา ซ่งึ แบบแผนด้ังเดิมของการรา ฟอ้ น ไดแ้ ก่ ฟ้อนผไู้ ทย หรือราซ่วยมือ เซิง้ บงั้ ไฟ เครอื่ งดนตรีท่ใี ช้บรรเลงประกอบการรา ไดแ้ ก่ แคน และกลองหาง เป็นหลัก นอกจากน้ยี ังมี พิณ กลองตุม้ (ตะโพน) หมากกล้ิงกลอ่ ม (โปงลาง) สิง่ (ฉ่ิง) แสง (ฉาบ) หมากกับ๊ แกบ็ (กรับ) ฆอ้ งโหม่งและพงั ฮาด (ฆอ้ งโบราณไม่มีปมุ่ ) ผบู้ รรเลงดนตรเี ปน็ ชาย นอกจากนี้ศลิ ปะการแสดงท่ีจัดเปน็ การละเลน่ ดั้งเดิมของชาวอีสานท่ีไดร้ บั ความนิยมและเปน็ ทรี่ ู้จกั อยา่ งแพรห่ ลายในสมัยรัชกาลที่ 5 คอื หมอลา และหนังตะลงุ อีสาน ซง่ึ ใชเ้ ครื่องดนตรพี ้ืนบา้ น ประกอบ ไดแ้ ก่ ระนาดเอก ซออู้ แคน กลองทัด ตะโพน ฉงิ่ ฉาบ

5.4 การแสดงพื้นเมืองภาคใต้ การแสดงพืน้ เมอื งภาคใต้ มคี วามแตกต่างไปจากภาคอืน่ ๆ เนอ่ื งจากสภาพภูมศิ าสตร์ เศรษฐกิจและ สังคม กอ่ ให้เกิดการแสดงอารมณ์อยา่ งเรียบงา่ ย ประสมประสานไปกบั ภาพสะท้อนของการทางาน และการต่อส้ใู นชวี ิต การละเล่นจึงมีความเด่นในดา้ นการสือ่ ความคิดการใชภ้ าษาท่ีขับร้องด้วยบท กลอน เน้นท่ีลานาและจงั หวะ เครอ่ื งดนตรีที่ใชป้ ระกอบการละเล่นไม่เน้นเครือ่ งดีด สี เหมอื นภาคอน่ื ๆ ลีลาการร่ายรามีจงั หวะฉบั ไว การราและการละเลน่ ของชาวพ้ืนบ้านภาคใต้ เปน็ การผสมผสาน ระหวา่ งวฒั นธรรมแบ่งได้ 2 กลมุ่ คือ วฒั นธรรมไทยพทุ ธ ไดแ้ ก่ การแสดงโนรา หนังตะลงุ เพลงบอก เพลงนาและวัฒนธรรมไทยมสุ ลิม ไดแ้ ก่ รองเง็ง ซาแปง มะโย่ง (การแสดงละคร) ลเิ กฮลู ู (คล้ายลเิ ก ภาคกลาง)และสิละ มเี ครื่องดนตรีประกอบที่สาคัญ เช่น กลองโนรา กลองโพน กลองปดื โทน ทบั กรับพวง โหม่งปีก่ าหลอ ปีไ่ หน รามะนา ไวโอลนิ อคั คอรเ์ ดียน 6. 6.การแต่งกาย การแตง่ กายไทยในสมยั รตั นโกสนิ ทรน์ น้ั แบง่ ได้ตามสมยั ในชว่ งรัชกาลตา่ ง ๆ ได้ดงั ต่อไปน้ี รัชกาลที่ 1 - รชั กาลที่ 3 การแตง่ กายของผู้หญิง : ผู้หญงิ จะนงุ่ ผ้าจีบ ห่มสไบเฉยี ง ตัดผมไว้ปกี ประบา่ กันไรผมวงหนา้ โค้งหาก เป็นชาวบ้านอาจนุ่งผ้าถงุ หรอื โจงกระเบน สวมเส้อื รดั รปู แขนกระบอก ห่มตะเบงมานหรอื ผา้ แถบคาด รัดอก แลว้ ห่มสไบเฉยี ง การแต่งกายของผู้ชาย : ผู้ชายจะนุ่งผ้าม่วง โจงกระเบน สวมเสื้อนอกคอเปิด ผ่าอกกระดมุ 5 เมด็ แขนยาวหากเปน็ ชาวบ้านจะไมส่ วมเสือ้ การแต่งกายของชาววังและชาวบ้านจะไม่แตกต่างกนั มากจะมี แตกตา่ งกนั ก็ตรงสว่ นของเนื้อผา้ ท่ีสวมใสซ่ ึง่ หากเปน็ ชาววังแล้วจะห่มผ้าไหมอยา่ งดี ทอเนอ้ื ละเอียด เลน่ ลวดลายสอดด้ินเงิน - ดนิ้ ทอง สว่ นชาวบ้านทวั่ ไปจะนุ่งผา้ พนื้ เมอื ง หรือผ้าลายเนอื้ เรียบ ๆ หาก เปน็ ราษฎรท่ัวไปทมี่ อี าชพี เกษตรกร ทาไร่ ทานาแลว้ จะน่งุ ผ้าในลักษณะถกเขมร คือ จะนงุ่ เป็นโจง กระเบนแตจ่ ะถกสั้นขึ้นมาเหนือเขา่ เพ่อื ความสะดวก ไม่สวมเส้ือหากอยูบ่ ้านจะน่งุ ลอยชาย หรือโสร่ง แลว้ มีผ้าคาดพงุ แตถ่ ้าแต่งกายไปงานเทศกาลต่าง ๆ มกั นงุ่ โจงกระเบนด้วยผ้าแพรสีต่าง ๆ และห่มผ้า คลอ้ งคอปล่อยชายทั้งสองยาวไวด้ ้านหนา้ การตดั ผมของสตรสี าวจะตัดผมทรงดอกกระทุม่ ปลอ่ ยทา้ ย

ทอยยาวถึงบา่ หากเปน็ ผูใ้ หญ่แลว้ จะตัดผมปกี แบบโกนท้ายทอยสัน้ รัชกาลท่ี 4 เน่อื งจากสมยั โบราณคนไทยไม่นิยมสวมเสือ้ แม้แต่เวลาเขา้ เฝา้ ในสมัยรัชกาลท่ี 4 พระบาทสมเด็จพระ จอมเกลา้ เจ้าอยหู่ วั จึงประกาศใหข้ ้าราชการสวมเสือ้ เขา้ เฝา้ และทรงสนบั สนนุ ใหม้ กี ารศึกษา ภาษาอังกฤษ จึงทาให้มกี ารรบั วฒั นธรรมตะวนั ตกเข้ามา การแตง่ กายของสตรีจงึ มีการเปลีย่ นแปลงไป การแตง่ กายของผูห้ ญิง : ผ้หู ญิงจะนุ่งผ้าลายโจงกระเบน หรือนุง่ ผา้ จบี ใส่เส้อื แขนยาวผา่ อก ปกคอ ตงั้ เตยี้ ๆ (เสอ้ื กระบอก) แลว้ หม่ ผา้ แพรสไบจบี เฉยี งทบั บนเสื้อ ตัดผมไวป้ กี เชน่ เดมิ แตไ่ ม่ยาวประบา่ การแต่งกายของผู้ชาย : ผู้ชายจะนงุ่ ผา้ ม่วงแพรโจงกระเบน สวมเสอ้ื เปิดอกคอเปดิ หรอื เปน็ เสอื้ กระบอกแขนยาว เร่อื งของทรงผมผู้ชายยังไว้ทรงมหาดไทยอยู่ ส่วนรัชกาลที่ 4 จะไม่ทรงไวท้ รง มหาดไทย รัชกาลที่ 5 ในสมยั รัชกาลที่ 5 นี้ ถอื เปน็ ยคุ แหง่ การเปลย่ี นแปลงการแต่งกายของคนไทยเน่ืองจากรัชกาลท่ี 5 ทรงเสด็จประพาสยุโรปและมีการนาแบบอย่างการแตง่ กายของชาวยโุ รปกลบั มาประยกุ ต์ใช้ใน ประเทศไทยอีก ท้ังในสมัยน้ียังมกี าเนิดชุดชน้ั ในรุน่ แรกทดี่ ัดแปลงจากเส้อื พรน้ิ เซส ซึ่งต่อมาได้พัฒนา ใหเ้ ปน็ เส้อื ชุดช้นั ในทเ่ี รยี กว่า เสื้อคอกระเชา้ ท่ียงั คงเป็นทรี่ ู้จักกนั ในปจั จบุ นั นี้ การแต่งกายของหญิง : ผูห้ ญิงจะนงุ่ ผ้าลายโจงกระเบน เส้อื กระบอก แขนยาว ผ่าอก ห่มผา้ แพร จบี ตามขวางสไบเฉยี งทับบนเส้ืออีกชนั้ หน่ึง ถา้ อย่บู า้ นจะห่มแต่สไบ ไม่สวมเสื้อ เมือ่ มีงานพธิ ีจะน่งุ หม่ ผา้ ตาด เลกิ ไวผ้ มปี และหันมาไวผ้ มยาวประบา่ การแต่งกายของชาย : ผ้ชู ายจะน่งุ ผ้ามว่ งโจงกระเบน สวมเสือ้ ราชปะแตน สวมหมวกหางนกยูง ถือ ไมเ้ ทา้ และไว้ผมรองทรง หากไปงานพธิ ีจะสวมถุงเทา้ และรองเทา้ ดว้ ยการสวมเสอ้ื แพรสีจะสวมตาม กระทรวงและหมวดต่าง ๆ ดงั น้ี 1) ชน้ั เจ้านาย สวมเสอ้ื สไี พล 2) ช้ันขนุ นางกระทรวงมหาดไทยสวมเสื้อแพรสีเขยี วแก่

3) ช้นั ขุนนางกระทรวงกลาโหมสวมเส้อื แพรสลี ูกหวา้ 4) ชั้นขุนนางกรมทา่ (กระทรวงต่างประเทศ) เส้ือแพรสนี ้าเงนิ (สีกรมท่า) 5) ช้นั มหาดเล็กสวมเส้ือแพรสเี หลก็ 6) พลเรอื น สวมเสอ้ื ปีก เปน็ เสอ้ื คอปิดมีชายไมย่ าวมาก คาดเขม็ ขัดไวน้ อกเสื้อ รชั กาลท่ี 6 การแต่งกายของหญิง : ผูห้ ญงิ เรม่ิ มกี ารน่งุ ผา้ ซ่ินตามพระราชนยิ ม สวมเสื้อแพร โปรง่ บาง หรอื ผา้ พมิ พ์ดอกคอกว้างข้ึน หรือแขนเสอ้ื สนั้ ประมาณต้นแขน ไม่มีการสะพายแพร ส่วนทรงผมจะไว้ยาว เสมอต้นคอ ตดั เปน็ ลอน หรอื เรียกว่า ผมบ๊อบมีการดัดผมดา้ นหลงั ใหโ้ ค้งเขา้ หาตน้ คอเลก็ นอ้ ยนิยม คาดผมดว้ ยผ้าหรอื ไขม่ กุ การแต่งกายของชาย : ผู้ชายยังคงนุ่งผ้ามว่ งโจงกระเบน สวมเสื้อราชปะแตน แต่เรม่ิ มกี ารนุ่งกางเกง แบบชาวตะวันตกในภายหลงั แต่ประชาชนธรรมดาจะน่งุ กางเกงผา้ แพรของจนี สวมเสื้อคอกลมสขี าว (ผา้ บาง) รชั กาลท่ี 7 การแตง่ กายของหญิง : ผ้หู ญงิ เลกิ นุ่งโจงกระเบน แต่จะนุ่งเป็นผา้ ซน่ิ แคเ่ ข่า สวมเส้อื ทรงกระบอก ไม่ มแี ขนไวผ้ มสนั้ ดัดลอน ซง่ึ จะดัดลอนมากข้นึ การแตง่ กายของชาย : ผูช้ ายจะนงุ่ กางเกงเป็นสตี ่าง ๆ แตข่ า้ ราชการจะนงุ่ ผา้ ม่วงหรือสนี า้ เงนิ สวม เสือ้ ราชปะแตน สวมถุงเทา้ และรองเท้า แต่ในปี พ.ศ. 2475 มกี ารเปลย่ี นแปลงระบอบการปกครอง เปน็ ระบอบประชาธปิ ไตย ทาใหอ้ ารยธรรมตะวนั ตกมอี ทิ ธพลต่อการแต่งกายของคนไทยมากข้ึน ผู้ชายจึงจะมกี ารนงุ่ กางเกงขายาวแทนการนุง่ ผ้าม่วง แต่ถึงอยา่ งไรสามญั ชนท่วั ไปยงั คงแต่งกาย แบบเดมิ คอื ผู้ชายสวมกางเกงแพรหรอื กางเกงไทยสวมเส้ือธรรมดา ไมส่ วมรองเทา้ สว่ นผหู้ ญงิ สวม เสื้อคอกระเชา้ เก็บชายไวใ้ นผา้ ซิ่นหรอื โจงกระเบนเวลาออกนอกบ้านจึงแต่งกายสุภาพ

รัชกาลที่ 8 โดยสรุปแล้วในสมยั นจ้ี ะมกี ารแตง่ กายทเ่ี ปน็ สากลมากย่งิ ข้นึ อกี ทง้ั ยังเป็นยคุ รัฐนยิ มซ่ึงจอมพล ป. พบิ ลู สงคราม ได้กาหนดเคร่อื งแตง่ กายออกเป็น 3 ประเภท 1) ใชใ้ นทชี่ มุ ชน 2) ใชท้ างาน 3) ใชต้ ามโอกาส ผหู้ ญิงจะสวมเส้อื แบบไหนกไ็ ด้ แต่ตอ้ งคลุมไหล่มกี ารนงุ่ ผ้าถงุ แต่ต่อมาจะเริ่มนุง่ กระโปรง หรอื ผา้ ถุง สาเร็จสวมรองเทา้ สวมหมวกและเลกิ กนิ หมาก ส่วนผูช้ ายจะสวมเสอ้ื มแี ขน คอปดิ หรอื จะเปิดกไ็ ด้ สมยั รชั กาลท่ี 9 ถึงปัจจุบัน ผ้าไทยแม้จะเส่อื มความนิยมไปบา้ งในบางเวลา แต่ก็ยงั เปน็ ท่นี ิยมอยใู่ นปจั จบุ นั กลา่ วได้ว่า ด้วยพระมหากรุณาธคิ ณุ ของสมเดจ็ พระนางเจา้ สิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ (ในรชั กาลท่ี 9)ทท่ี รงสน พระราชหฤทัยสนบั สนนุ การทอผ้าพืน้ เมอื ง โดยเฉพาะการทอผ้ามัดหมข่ี องภาคตะวันออกเฉยี งเหนือ ใหแ้ พรห่ ลาย เปน็ ทรี่ ูจ้ ักอยา่ งมาก ทัง้ ในประเทศ และตา่ งประเทศ เปน็ ผลใหเ้ กิดการตื่นตวั ทจ่ี ะ อนุรักษ์ และพัฒนาการทอผ้าพื้นเมืองในภูมภิ าคอ่นื ๆ ของไทยเราใหเ้ จรญิ ก้าวหนา้ ยงิ่ ขึ้น เปน็ ที่นยิ ม ของคนไทย ซอื้ หานามาใช้โดยทั่วไปอีกด้วยสมเดจ็ พระนางเจ้าสิรกิ ิต์พิ ระบรมราชนิ นี าถในรัชกาลที่ 9 ทรงสนพระราชหฤทยั สนับสนุนการทอผา้ พื้นเมอื งโดยเฉพาะผ้ามดั หมข่ี องภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ ใหเ้ ป็นทร่ี จู้ ักกันอยา่ งแพร่หลาย ชุดไทยแบบดงั้ เดมิ น้นั แทบจะสญู หายไป ชดุ ไทยพระราชนิยมเกิด จากพระราชเสาวนยี ์ของสมเด็จพระนางเจา้ สิรกิ ติ ติ์พระบรมราชนิ ีนาถ (ในรัชกาลท่ี 9) เพอื่ หาแบบชดุ ไทยทร่ี ่วมสมยั เพอ่ื ทรงในระหวา่ งเสดจ็ ประพาสยโุ รป โดยศึกษาค้นคว้าจากภาพถา่ ยเก่าและออกแบบ ปรับปรุงให้เขา้ กบั สมยั นิยมมที ง้ั ส้ิน 8 แบบ ดงั น้ี 1) ไทยเรอื นต้น ใช้แต่งในงานที่ไมเ่ ปน็ พธิ ี และตอ้ งการความสบาย เช่น ไปเทีย่ ว 2) ไทยจติ รลดา เป็นชุดไทยพธิ ีกลางวัน ใช้รับประมุขต่างประเทศเปน็ ทางการหรืองานสวนสนาม 3) ไทยอมรินทร์ สาหรับงานเล้ียงรบั รองตอนหัวคา่ อนุโลมไม่คาดเขม็ ขัดได้ 4) ไทยบรมพมิ าน ชดุ ไทยพิธตี อนค่า คาดเข็มขัด 5) ไทยจกั รี คือ ชุดไทยสไบ

6) ไทยดุสิต สาหรับงานพธิ ตี อนคา่ จัดให้สะดวกสาหรับสวมสายสะพาย 7) ไทยจกั รพรรดิ เป็นแบบไทยแท้ 8) ไทยศวิ าลัย เหมาะสาหรบั เมอื่ อากาศเย็น อาหารในสมยั รตั นโกสนิ ทร์ อาหารไทยมีจุดกาเนดิ พรอ้ มกบั การตง้ั ชนชาตไิ ทย และมีการพฒั นาอย่างตอ่ เนื่องสมัยรัตนโกสินทร์มี การจาแนกความเป็นมาของอาหารไทยเปน็ 2 ยคุ คอื ยุคสมยั รัชกาลที่ 1 จนถึงรัชกาลที่ 3 และยุค สมยั รชั กาลท่ี 4 จนถงึ ปัจจบุ ัน สมยั รัตนโกสินทร์ ยุคท่ี 1 (พ.ศ. 2325 - พ.ศ. 2394) อาหารไทยในยคุ ต้นรัตนโกสินทร์ มลี ักษณะเดียวกบั ยุคสมยั ธนบุรี คอื นอกจากมอี าหารคาว และ อาหารหวานแลว้ ยังมีอาหารวา่ ง เป็นอาหารทเ่ี กดิ ขึ้นจากอิทธพิ ลทางวฒั นธรรมอาหารของประเทศ จีน ตอ่ มามีการปรับเปลี่ยนดดั แปลงจนกลายเป็นอาหารไทย นอกจากนี้ จดหมายความทรงจาของ กรมหลวงรินทรเทวี ได้กลา่ วถึงเครอ่ื งตงั้ สารับคาวหวานของพระสงฆ์ในงานสมโภชพระพุทธมณีรัตนม หาปฏมิ ากร (พระแกว้ มรกต) แสดงให้เหน็ วา่ รายการอาหารในยุคน้ี นอกจากจะมีอาหารไทย เช่น ผกั น้าพริก ปลาแหง้ และหนอ่ ไม้ผัด แลว้ ยงั มอี าหารที่ปรุงดว้ ยเครือ่ งเทศแบบอิสลาม มีอาหารจีนซึง่ ใช้ เน้ือหมูในการประกอบอาหาร สาหรบั อาหารประเภทผดั ผกั ท่ใี ช้ไฟแรงทุกชนดิ คนไทยรบั วฒั นธรรม การปรุงอาหารมาจากชาวจีน ทอี่ พยพเขา้ มาอาศยั หรอื เดินทางมาค้าขายในประเทศไทย ในสมยั ตน้ รตั นโกสนิ ทร์ โดยคนไทยสามารถหาซ้ือกระทะเหล็กได้จากคนจนี ท่นี าสินค้ามาขายในประเทศไทยทาง เรือ (สาเภาจีน) นอกจากนี้ การเผยแพรว่ ัฒนธรรมการรับประทานอาหารจากชาวตะวันตกทเ่ี ขา้ มา เผยแพรศ่ าสนา กท็ าให้คนไทยเริ่มรับประทานอาหารตะวันตก เช่น ขนมปัง ไข่ เน้ือ เนย และนม เป็น ตน้ บทพระราชนิพนธ์ “กาพยเ์ หเ่ รอื ชมเครื่องคาวหวาน” ของพระบาทสมเดจ็ พระพุทธเลิศหล้านภาลยั ไดท้ รงกลา่ วถึงอาหารคาวและอาหารหวานหลายชนิด ซง่ึ สะท้อนภาพของอาหารไทยในราชสานักได้ อย่างชดั เจนที่สุด และสามารถแสดงให้เห็นถึงลักษณะของอาหารไทยในราชสานัก ทมี่ กี ารปรุงกลิ่น

และรสอย่างประณตี โดยใหค้ วามสาคัญกบั รสชาติอาหารมากเปน็ พิเศษและถือว่าเปน็ ยุคสมัยท่มี ี ศิลปะการประกอบอาหารท่ีค่อนขา้ งโดดเด่นท่ีสุด ทัง้ ในด้านรปู รส กล่ิน สี และการตกแต่งใหเ้ กิด ความสวยงาม รวมท้งั มกี ารพฒั นาอาหารนานาชาติ ใหเ้ ปน็ อาหารไทยตัวอย่างอาหารคาว เช่น แกง ชนดิ ต่าง ๆ เครือ่ งจิม้ และยาทกุ ประเภท ตัวอย่างอาหารว่างคาว เช่น หมแู นม ลา่ เตยี ง หรมุ่ รงั นก และอาหารว่างหวาน เช่น ขนมดอกลาเจยี ก และขนมผิง รวมทั้งขนมทร่ี บั ประทานกบั นา้ หวานและ กะทเิ จอื อยู่ด้วย เช่น ซ่าหร่มิ และบัวลอย เปน็ ต้น


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook