บทวิจารณ์หนังสือ เรื่อง ทาง ๗ สาย ผู้แต่งหนังสือ : พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ป.ธ. ๙) บทวิจารณ์นี้เป็นส่วนหนึ่งของการสอบวัดคุณสมบัติ บทวิจารณ์หนังสือตามหลักสูตรปริญญาพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาพระพุทธศาสนา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
บทวิจารณห นังสือ เรื่อง “ทาง ๗ สาย” เขียนโดย พระธรรมธรี ราชมหามนุ ี (โชดก ป.ธ. ๙) พระมหาสเุ ทพ สวุ ฑฺฒโน (เหลาทอง) บทวจิ ารณน ้ีเปนสวนหนง่ึ ของการสอบวดั คณุ สมบัติบทวจิ ารณหนงั สือ ตามหลกั สูตรปรญิ ญาพุทธศาสตรดุษฎีบณั ฑิต สาขาวิชาพระพทุ ธศาสนา บณั ฑติ วทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั พทุ ธศักราช ๒๕๖๑ (ลิขสทิ ธ์ิเปนของมหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย)
บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย อนุมัติใหนับบทวิจารณ หนังสือเรื่อง “ทาง ๗ สาย” เปนสวนหน่ึงของการสอบวัดคุณสมบัติบทวิจารณหนังสือ ตามหลักสูตร ปรญิ ญาพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑติ สาขาวชิ าพระพทุ ธศาสนา ................................................................ (พระมหาสมบรู ณ วฑุ ฒฺ กิ โร, ดร.) คณบดีบัณฑิตวิทยาลยั คณะกรรมการตรวจสอบบทวิจารณห นงั สือ ....................................................... ประธานกรรมการ (พระมหาทวี มหาปโฺ ญ, ผศ.ดร.) ...................................................... กรรมการ (รศ.ดร. สมิทธพิ ล เนตรนมิ ิตร) ....................................................... กรรมการ (พระมหาอดเิ ดช สติวโร, ดร.) อาจารยทป่ี รกึ ษา พระมหาอดิเดช สตวิ โร, ดร. ช่อื ผเู ขียน ................................................... (พระมหาสุเทพ สุวฑฒฺ โน (เหลาทอง)
บทวจิ ารณหนังสอื เรื่อง “ทาง ๗ สาย”๑ เขียนโดย พระธรรมธรี ราชมหามนุ ี (โชดก ป. ธ. ๙) ๑. บทนํา หนังสือเร่ือง “ทาง ๗ สาย” เขียนโดย พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ป. ธ. ๙) เลมท่ี นําเสนอน้ี เปนการพิมพครั้งที่ ๖ พ.ศ. ๒๕๓๑ โดยคณะกรรมการวิปสสนาสาร วัดมหาธาตุยุวราช- รงั สฤษฎร์ิ าชวรมหาวหิ าร คณะ ๕ เปน ผเู ขียนคาํ นํา หนังสือทาง ๗ สาย นีม้ รี ูปเลมขนาดพอกเก็ตบุค (ขนาด เอหา - A5) จาํ นวนทัง้ สน้ิ ๗๙ หนา ไมมหี นา สารบัญ เมอื่ เริ่มเร่อื งไดเขาสูเนอื้ หาเก่ียวกับทาง ๗ สาย และอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับทาง ๗ สายไปตามลําดับจากสายที่ ๑ จนครบสายท่ี ๗ ตอจากน้ันไดอธิบายเกี่ยวกับวิปสสนากรรมฐานซึ่งเปนวิธีที่จะนําบุคคลไปสูทางสายท่ี ๗ ทางสาย สําคญั และเปนเปาหมายปลายทางท่ีแทจ ริงซ่งึ พทุ ธบรษิ ทั ควรมุงไปใหถึงตามคําสั่งสอนขององคสมเด็จ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา พระศาสดาของพระพุทธศาสนา ซ่ึงพุทธบริษัทสามารถเดินทางไปสูปลายทางน้ี ได น่ันคือ นิพพาน โดยการปฏิบัติวิปสสนากรรมฐาน ตามแนวทางที่พระศาสดาไดตรัสสอนไว แตถา ยังไมสามารถบรรลุเปาหมายปลายทางได คุณคาที่จะไดรับจากหนังสือน้ีในดานตาง ๆ มีดังตอไปน้ี ๑) ดานการดําเนินชีวิต ทําใหบุคคลรูจักวางแผนในการทําความดี เกรงกลัวตอบาป ๒) ดานการ ปฏิบตั ธิ รรม สง เสริมใหบ ุคคลรจู กั คณุ คา ในตนเอง สรางบุญกุศล ปฏบิ ัติธรรม เพื่อที่จะไมไปสูอบายภูมิ เชน ทางนรก ๓) ดานสภาพแวดลอม ทําใหรูวาในสังสารวัฏน้ี มีภพภูมิสัตวโลกอยูรวมกัน ไมใชแค มนุษยอยางเดียว ยังมีภพภูมิอ่ืน ๆ เชน สัตวเดรัจฉาน เปนตน ซึ่งการไมเบียดเบียนกัน ไมทํารายซึ่ง กนั และกนั เปน สิง่ ท่มี นุษยพงึ กระทําตอกัน และ ๔) ดานเปาหมายของชีวิต ทําใหเขาใจกระบวนการ ดาํ เนินชีวิต เห็นทางเลือกตาง ๆ ทง้ั ๗ ทาง และชวยใหเกิดปญญาญาณท่ีจะดําเนินชีวิตไปสูเปาหมาย ของตน ๒. โครงสรา งเนอื้ หา เน้ือหาที่สามารถพบไดเมื่อเปดเลมอานเนื้อหาคือการอธิบายเกี่ยวกับทางทั้ง ๗ สาย ในทันที โดยไมตองมีการกลาวนํา เพราะจะมีการอธิบายทางทั้ง ๗ ในรายละเอียดไปตามลําดับ ผูเขียนไดอธิบายถึงคําวา “ทาง” เพื่อใหเกิดความเขาใจตรงกันวา ในหนังสือเลมนี้ใชคําน้ีใน ความหมายวาอยางไร ๑ พระธรรมธรี ราชมหามุนี (โชดก ป. ธ. ๙), ทาง ๗ สาย, พมิ พคร้ังที่ ๖, (กรงุ เทพมหานคร: หจก. การพมิ พพระนคร, ๒๕๓๑).
๒ จากนั้นไดกลา วถงึ ทาง ๗ สาย วามีอะไรบาง ดงั น้ี ๑. ทางไปนรก ๒. ทางไปเปรตและอสูรกาย ๓. ทางไปเดียรฉาน ๔. ทางไปมนษุ ย ๕. ทางไปสวรรค ๖. ทางไปพรหมโลก ๗. ทางไปนพิ พาน จากนน้ั ผูเขียน ไดอธบิ ายถงึ ทางแตละสายในรายละเอยี ด สรุปไดดังนี้ ทางสายที่ ๑ ทางไปนรก ผูเ ขียนไดอธิบายคําวา นรก วาเปนอยางไร และกลาวถึงเหตุที่ จะนําบุคคลไปสูทางสายท่ี ๑ หรือท่ีเรียกวาตกนรกวา โดยสวนมาก ไดแก โทสะ โดยการอางอิง เนื้อหาในพระไตรปฎกประกอบ และมีคําตอบสําหรับคําถามท่ีเกิดข้ึนหรืออาจเกิดข้ึนวา นรกหรือ สวรรคมีจริงหรือไม น้ันไววา สามารถใชเครื่องมือท่ีเรียกวา ปญญา ซ่ึงปญญามีอยู ๓ ประเภท โดย ปญญาที่สามารถตรวจสอบความมีอยูหรือไมมีอยูของนรก (หรือสวรรค) ไดแก ปญญาประเภทที่ ๓ ไดแก ภาวนามยปญญา และผูท่ีสามารถตรวจสอบได ไดแก พระเสขบุคคล ๗ จําพวก นับตั้งแต บุคคลผตู ้ังอยใู นโสดาปตติมรรคขนึ้ ไป ทางสายที่ ๒ ทางไปเปรตและอสุรกาย ผูเขียนไดอธิบายคําวา เปรตและอสุรกายวาเปน อยางไรและมีลกั ษณะอยางไร และกลาวถึงเหตทุ ี่จะนาํ บุคคลไปสทู างสายท่ี ๒ หรือท่ีเรียกวาเกิดเปน เปรต-อสรุ กาย วาโดยสวนมาก ไดแก โลภะหรอื ตณั หา โดยมีการอา งอิงเนื้อหาในพระไตรปฎกรวมถึง เรื่องเลา ที่พบในประเทศไทยประกอบ ทางสายท่ี ๓ ทางไปเดียรฉาน ผูเขียนไดอธิบายถึง สัตวเดียรฉานวาไดแกสิ่งที่มีลักษณะ อยา งไร และกลาวถึงเหตุท่ีจะนําบุคคลไปสูทางสายที่ ๓ หรือท่ีเรียกวาเกิดเปนสัตวเดียรฉาน วาโดย สวนมาก ไดแก โมหะหรือความหลง โดยมกี ารอา งอิงเนอ้ื หาในพระไตรปฎกประกอบ ทางสายที่ ๔ ทางไปมนษุ ย ผูเขียนไดอธิบายถงึ ความหมายของคําวามนุษย และไดอธิบาย ถึงมนุษยวามี ๕ จําพวก ไดแก ๑) มนุษยสัตวนรก ๒) มนุษยเปรต ๓) มนุษยสัตวดิรัจฉาน ๔) มนษุ ยแท ๆ และ ๕) มนุษยเทวดา และไดอธบิ ายวามนุษยแตละจําพวกมีลักษณะหรือพฤติกรรมท่ี แสดงออกมาเปนอยางไร และกลาวถึงเหตุท่ีจะนําบุคคลไปสูทางสายที่ ๔ หรือท่ีเรียกวาเกิดเปน มนษุ ย โดยเฉพาะจําพวกที่ ๔ โดยสวนมาก ไดแก ศีล ๕ และเกิดเปนมนุษยจําพวกที่ ๕ ซึ่งนอกจาก ตองมีศีล ๕ อยางบริบูรณแลว ยังมีตองการบําเพ็ญกุศลเพื่อเพิ่มพูนบารมีอยางสมํ่าเสมอ โดยมีการ อางอิงเน้อื หาในพระไตรปฎ กประกอบ
๓ ทางสายที่ ๕ ทางไปสวรรค ผูเขียนไดอธิบายถึงความหมายของสวรรควาเปนอยางไรและ มลี กั ษณะอยางไร กลาวถงึ สวรรควา มี ๖ ชั้น ไดแก ๑) สวรรคช้ันจาตุมหาราช ๒) สวรรคชั้นดาวดึงส ๓) สวรรคช้ันยามา ๔) สวรรคชั้นดุสิต ๕) สวรรคชั้นนิมนรดี และ ๖) สวรรคชั้นปรนิมมิตวสวัตดี1๒ และกลาวถึงเหตุท่ีจะนําบุคคลไปสูทางสายที่ ๕ หรือที่เรียกวาเกิดในสวรรคชั้นใดชั้นหนึ่งใน ๖ ช้ัน ไดแก มหากุศล ๘ ผูเขียนระบุวามหากุศล ๘ ไดแก ๑) เวลาทําบุญมีความดีใจ ปรารถนานิพพาน ทําบุญเอง ๒) เวลาทําบุญมีความดีใจ ปรารถนานิพพาน มีผูชักชวนจึงทําบุญ ๓) เวลาทําบุญมีใจ เฉย ๆ ปรารถนานิพพาน ทําบุญเอง ๔) เวลาทําบุญมีใจเฉย ๆ ปรารถนานิพพาน มีผูชักชวนจึง ทําบุญ ๕) เวลาทําบุญมีความดีใจ ไมไดปรารถนานิพพาน ทําบุญเอง ๖) เวลาทําบุญมีความดีใจ ไมไดปรารถนานิพพาน มีผูชักชวนจึงทําบุญ ๗) เวลาทําบุญมีใจเฉย ๆ ไมไดปรารถนานิพพาน ทําบุญเอง และ ๘) เวลาทําบุญมีใจเฉย ๆ ไมไดปรารถนานิพพาน มีผูชักชวนจึงทําบุญ โดยมีการ อา งอิงเนื้อหาในพระไตรปฎกประกอบ ทางสายท่ี ๖ ทางไปพรหมโลก ผูเขียนกลาวถึงวาเปนทางไปสูพรหมโลกช้ันใดชั้นหนึ่ง และเหตทุ ี่จะนําบุคคลไปสูพรหมโลก ไดแก สมถกรรมฐาน อธิบายวา บุคคลท่ีเจริญสมถกรรมฐานจน สามารถบรรลุฌาน มีปฐมฌานเปนตน เมื่อตายจากความเปนมนุษยแลว จะไดไปเกิดในพรหมโลกชั้น ใด ๆ ตามสมควรแกฌานข้ันสงู สุดที่บคุ คลบรรลุ โดยมกี ารอา งองิ เนอื้ หาในพระไตรปฎกประกอบ ทางสายท่ี ๗ ทางไปนิพพาน ผูเขียนไดอธิบายถึงความหมายของนิพพานวาเปนอยางไร และมีลกั ษณะอยา งไร และเหตุที่จะนําบุคคลไปสนู ิพพาน ไดแ ก วปิ ส สนากรรมฐาน ทางท้ัง ๗ สายท่ีกลาวถึงน้ี ทางสายที่ ๑ ถึงทางสายท่ี ๖ เปนทางท่ีมีอยูแลวกอนการ ประกาศพระพุทธศาสนา แตยังคงนํามาอธิบายในพระพุทธศาสนา ซ่ึงอธิบายไดถึงการเวียนวายตาย เกิดในทาง ๖ สายแรกน้ีอยางไมมีวันจบสิ้น บางครั้งเกิดในพรหมโลก (ทางสายท่ี ๖) แตก็สามารถ กลบั มาเกดิ ในนรกได สลับกันไปมาเชน น้ี ดังนนั้ ทางสายทดี่ ีทส่ี ุดทท่ี รงคนพบโดยพระบรมศาสดาของ พระพุทธศาสนา ไดแก ทางสายที่ ๗ หรือทางไปนิพพาน ซ่ึงมีเหตุเดียวที่จะสามารถนําไปสูเสนทางน้ี ได น่ันคอื วิปสสนากรรมฐาน หลังจากนัน้ ผเู ขยี นไดอธิบายรายละเอียดการปฏิบัติเพื่อเปนเหตุนําใหบุคคลสามารถไปสู ทางสายที่ ๗ ได โดยอธบิ ายวาวิปส สนากรรมฐานเปนอยางไร มีวิธีปฏิบัติอยางไร และในสวนสุดทาย ของหนังสือไดก ลา วถึงอานิสงสห รอื ผลท่ไี ดร ับจากการเจริญวปิ ส สนาซึง่ มีถึง ๕๓ ขอ ผูเขียนอธิบายวาวิปสสนากรรมฐานเปนอุบายทําใจใหเกิดปญญารูแจงเห็นแจงตามความ เปนจริง เห็นปจจุบันธรรม เห็นรูปนาม เห็นพระไตรลักษณ เห็นมรรคผลนิพพาน โดยมีอารมณของ วิปสสนากรรมฐาน ไดแก ขันธ ๕ อายตนะ ๑๒ ธาตุ ๑๘ อินทรีย ๒๒ อริยสัจ ๔ ปฏิจจสมุปบาท ๒ มกี ลาวถงึ สวรรค ๖ ชน้ั ใน ข.ุ วิ. (ไทย) ๒๖/๑๓๙/๒๔.
๔ ๑๒ ยอ ใหส ัน้ คือรปู กบั นามหรือกายกับใจ โดยผูเขยี นไดอธบิ ายวาผูมุงปฏิบัติเพ่ือใหไดผลอันสูง ตองมี ครบู าอาจารยคอยสอนคอยสอบอารมณจนรูแนวทางปฏิบัติ แลวจึงนําไปปฏิบัติดวยตัวเองได ดังน้ัน ผูตองการปฏิบัติวิปสสนากรรมฐานจึงตองมีการสมาทานกรรมฐานกับพระอาจารยผูใหกรรมฐาน ซึ่ง ผูเขียนไดกลาวถึงวิธสี มาทานกรรมฐานวา ทาํ อยา งไร และอธิบายวิธีปฏิบัติวิปสสนากรรมฐานไวอยาง ละเอียดวา หลังจากสมาทานกรรมฐานแลว จะฝกการเจริญกรรมฐานในรูปแบบตาง ๆ ไดแก การเดิน จงกรม การนั่ง เมื่อเกิดเวทนา เมื่อจิตทํางาน เม่ือไดยินเสียงตาง ๆ หรือในเวลานอนนั้น ควรปฏิบัติ อยางไร โดยใชเวลาในการฝกอยางตอเนื่องไมนอยกวา ๓ วัน ผูเขียนไดกลาววาพระอาจารยผูให กรรมฐานจะมีการเทศนสอนใหผูปฏบิ ัติฟงเปนครง้ั คราวเกีย่ วกับความมงุ หมายของการฟงธรรม ลําดับ ญาณ ญาณ ๑๖ อริยสัจ ๔ วิสุทธิ ๗ กิเลส มรรค ผล นิพพาน คุณสมบัติของนักปฏิบัติ เปน ตัวอยาง ในสวนสุดทายของเนื้อหาและถือเปนการจบเน้ือหาท้ังหมดในเลม กลาวเสมือนวาเนื้อหา เรื่องทาง ๗ สายและอานิสงสแ หงการเจริญวิปส สนากรรมฐานในเลม นี้ทัง้ หมดเปนการบรรยายธรรม ๓. บทวจิ ารณ หนังสือเร่ือง “ทาง ๗ สาย” น้ี มีประเด็นที่ผูวิจารณตั้งขอสังเกตท่ีนาสนใจหลายประเด็น ดงั นี้ ๓.๑ จุดเดน ๑. พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทฺธิ) ผูเขียน จบเปรียญธรรม ๙ ประโยค ครง้ั เปนพระมหาโชดก ญาณสิทฺธิ ไดเดินทางไปศึกษาวิปสสนากรรมฐาน ณ สํานักวิปสสนากรรมฐาน วัดสาสนยิสสา ภายใตการปกครองของทานมหาสีสะยาดอ โสภณมหาเถระ ประเทศพมา เปนเวลา ประมาณ ๑ ป โดยมีทานอาสภเถระหรือภัททันตะ อาสภเถระ ปธานกัมมัฏฐานาจริยะ เปน พระอาจารยสอนและสอบอารมณวิปสสนากรรมฐานเปนประจํา สวนทานมหาสีสะยาดอ พระอาจารยใหญ นาน ๆ จึงจะสอนและสอบอารมณ หลังจากกลับมาประเทศไทยไดมีการสอน วิปสสนากรรมฐาน ณ วัดมหาธาตุยุวราษฎรรังสฤษฎ์ิ โดยมีทานอาสภเถระ มุลุธัมมัฏฐานาจริยะ ปธานกมั มัฏฐานาจรยิ ะ และทานอินทวงั สเถระ ธัมมาจรยิ ะ กัมมัฏฐานาจริยะ ซึ่งเดินทางจากประเทศ พมาพรอมกับพระมหาโชดก รวมเปนพระอาจารยชวยสอนวิปสสนากรรมฐานดวย2๓ การปฏิบัติ วิปสสนากรรมฐานในประเทศไทยจึงดํารงต้ังมั่นและมีความจริงจังจากกุศลจิตของสมเด็จ- ๓ พระธรรมธีรราชมหามนุ ี (โชดก ญาณสิทธฺ ิ ป.ธ. ๙), คาํ บรรยายวิปสสนากรรมฐาน, (กรงุ เทพมหานคร: ประยรู วงศพ รนิ้ ทต้ิง, ๒๕๕๐), หนา (๑๗)-(๑๙).
๕ พระพฒุ าจารย (อาจ อาสภเถระ)3๔ และพระมหาโชดก ป.ธ. ๙ จากประวัติความเปนมาในเบื้องตนนี้ ทาํ ใหก ลาวไดวา ผเู ขยี นมีความรูท้งั ปริยัตแิ ละมีความเชี่ยวชาญในทางปฏิบตั ิ ๒. ขอมูลเกี่ยวกับทาง ๗ สาย ซ่ึงผูเขียนอธิบายไวน้ี เปนเนื้อหาที่มีการรวบรวมไวนอย มาก ดังนั้น หนังสือเลมน้ีจึงมีความนาสนใจในสวนของเนื้อหาที่ผูเขียนไดนํามาอธิบายถึงปลายทาง ของมนุษยเม่ือสิ้นอายุขัยแลว วามีโอกาสจะไปสูเสนทางสายใดใน ๗ สายน้ัน ทั้งที่ทางสายที่ ๓ และ ทางสายท่ี ๔ เปนเร่ืองซ่ึงปรากฏใหบุคคลสามารถมองเห็นไดชัดเจน ไดแก สัตวชนิดตาง ๆ ท่ีปรากฏ อยูรอบ ๆ ตัวมนษุ ย ทเ่ี รียกวา สตั วดริ ัจฉานหรือเดียรฉาน กับมนุษยซ่ึงหมายรวมท้ังตัวเองและบุคคล อ่ืนรอบตัว กับทางสายอื่น ๆ ท่ีเหลือ ซึ่งเม่ือไปสูทางสายน้ัน ๆ แลว อาจเปนสัตวท่ีมีรูปราง แตไมใช มนษุ ยทุกคนจะสามารถสัมผัสได หรือเปนสัตวท่ีไมมีรูปรางบาง ซ่ึงมีเพียงผูเปนพระอริยบุคคลระดับ ตนขึ้นไปเทาน้ันที่สามารถสัมผัสได เพราะมีปญญาระดับท่ีสามารถใชเปนเครื่องมือในการสัมผัสสัตว ในทางสายอ่นื ๆ เหลาน้นั และสามารถบอกไดวาทางสายอ่ืน ๆ เหลาน้ันมีจริงหรือไม และสําหรับผูที่ ไมไดศึกษาเกี่ยวกับทาง ๗ สายนี้อยางลึกซึ้ง จะคิดวา เมื่อเกิดเปนมนุษยจะตองเกิดเปนมนุษยเสมอ หรอื เมื่อเกดิ เปนสัตวช นดิ ใด กจ็ ะตอ งเปนสตั วช นดิ น้นั ตลอดไป หรอื เกิดในสวรรค จะอยูในสวรรคเปน เทวดานางฟาตลอดไป จะไมมีการเปล่ียนแปลง และมักมีความปรารถนาเพียงแคการไปเกิดเปน เทวดาหรือนางฟาเทาน้ัน ซึ่งในความจริงแลว ทั้งพระพุทธศาสนาและศาสนาท่ีมีกําเนิดมากอน พระพุทธศาสนา เขาใจชัดเจนวา สรรพสัตวสามารถเกิดในทางสายใดก็ไดใน ๖ ทาง ไมจํากัดเฉพาะ ทางสายใดสายเดยี ว แตถาตองการพนไปจากทางท้ัง ๖ สายแลวน้ัน ตองปฏิบัติตามแนวทางหรือวิธีที่ กาํ หนดเพ่อื วันหน่ึงในอนาคตจะสามารถพน ไปจากเสนทางสายที่ ๑ ถึงสายท่ี ๖ ไปสูทางสายท่ี ๗ ได ซ่งึ แนวทางหรอื วธิ ีน้ีพระพทุ ธองคเ ปนผูท รงคนพบ อันจะชวยพาใหส รรพสัตวพน จากการเวียนวายตาย เกิดได หรือนิพพานนั่นเอง ๓. ในยุคปจจุบัน ซึ่งมีความเปนวิทยาศาสตร และเร่ืองราวตาง ๆ ตองสามารถพิสูจนได ดวยขอมูลหรือหลักฐานท่ีชัดเจน แตเรื่องโลกหนาเปนเร่ืองท่ีโลกวิทยาศาสตรจากอดีตจนถึงปจจุบัน ไมสามารถพิสูจนได ในทางพระพุทธศาสนาซึ่งมีกําเนิดและดํารงอยูมาไดยาวนานกวา ๒,๖๐๐ ป (และกําเนดิ มายาวนานกวา วิทยาศาสตรมาก) สามารถพิสูจนได เพียงแตการพิสูจนเหลานั้นตองใชตัว บุคคลและเครื่องมือท่ีบุคคลมีอยูในตัวของแตละคนเทานั้น ไมมีเคร่ืองมือหรืออุปกรณทาง วิทยาศาสตรใดท่ีสามารถหาหลักฐานในเชิงขอเท็จจริงใหเปนที่ปรากฏออกมาได เร่ืองทาง พระพุทธศาสนาเร่ืองน้ีเปนเรื่องท่ีรูไดเฉพาะตนและบุคคลท่ีมีระดับปญญาท่ีเทาเทียมกันหรือสูงกวา เทานั้นจึงจะสามารถรับรูได และนั่นทําใหในมุมหน่ึงของพระพุทธศาสนาเปนเร่ืองที่นาศึกษาและ คนควา เน่ืองจากไมมีใครสามารถยืนยันแกผูอ่ืนไดวาสิ่งนั้นมีจริงหรือสิ่งนั้นไมมีจริง ใครที่ตองการรู ๔ เรอ่ื งเดียวกัน, หนา (๑๓)-(๑๖).
๖ เร่อื งใด ตองลองปฏิบัติดวยตนเอง จนสามารถมีเครื่องมือพิสูจนเกิดขึ้นในตนเอง ดังน้ัน ถาผูหนึ่งผูใด ตองการพิสูจนเรื่องทางสายตาง ๆ นี้ ผูน้ันตองสรางเครื่องมือใหเกิดขึ้นในตัวเอง จึงสามารถพิสูจนถึง ทางทัง้ ๗ สายได เชนเดยี วกบั พระพุทธองคและพระอริยสาวกสามารถตรวจสอบไดดวยตนเองถึงการ มีอยขู องสงั สารวฏั (ทาง ๗ สาย) ๔. ประเด็นเก่ียวกับทางสายตาง ๆ ที่กลาวถึงในหนังสือน้ีนั้น ผูเขียนไดมีการอางอิง หลักฐานตามที่ปรากฏในพระไตรปฎกไวอยางชัดเจน ตัวอยางเชน พระไตรปฎกเลมที่ ๒๕ หนา ๒๑ นอกจากนี้ ผูท สี่ นใจสามารถศกึ ษาเพม่ิ เตมิ ดว ยตนเองในรายละเอียดเกย่ี วกบั ทางสายตา ง ๆ ท่ีปรากฏ ในพระไตรปฎก เชน ในพาลปณฑิตสูตร4๕ เทวทูตสูตร5๖ วิมานวัตถุ6๗ เปตวัตถุ7๘ ซึ่งกลาวถึงการ กระทาํ (พฤตกิ รรม) อันเปนเหตใุ หเม่ือตายไปแลวไปเกิดเปนอะไรไดบา ง ๕. ทาง ๗ สายที่ผูเขียนไดกลาวถึงไวแลวนั้น ไมเพียงแตบอกปลายทางเทาน้ัน แตได บอกถึงวิธีท่ีบุคคลจะเดินทางไปสูทางสายน้ัน ๆ ดวย น่ันแสดงใหเห็นวาไมเพียงมีปลายทางหรือ เปาหมายเทานั้น แตยังบอกวาบุคคลสามารถท่ีจะเลือกเสนทางของตนเองไดดวย วา เม่ือตนเองสิ้น อายุขัยหรือตายนั้น แตละบุคคลมีแนวโนมจะเปนอยางไร โดยบุคคลสามารถเลือกแสดงพฤติกรรม ตามท่ีทางแตละสายน้ันไดกลาวถึงไวอยางชัดเจนวาพฤติกรรมแบบใด นําไปสูเสนทางสายใด ซ่ึงใน มุมมองนี้ ทําใหมองเห็นไดวา บุคคลสามารถเลือกที่จะเปนหรือเลือกท่ีจะไปในเสนทางสายท่ีตนเอง ตองการได ถาบคุ คลไดท าํ เหตุของการเดินไปสูทางสายนั้นอยางเต็มท่ี จะมีอนุสัยท่ีจะติดตัวตอไปและ นาํ พาตนเองไปสทู างสายนนั้ ๆ ไดใ นทีส่ ุด ๓.๒ จดุ ออน ๑. เน้ือหาที่ปรากฏในหนังสือหลายแหงไมมีการตรวจสอบความถูกตองของคําหรือ เนื้อหาที่ใชในประเด็นหรือเรื่องเดียวกัน เชน มนุษยประเภทที่ ๓ (หนา ๑๖) เรียกวา มนุษยสัตว เทวดา แตในสวนคําอธิบาย (หนา ๑๗) เรียกวา มนุษยสัตวดิรัจฉาน ซ่ึงเม่ือเปรียบเทียบจากภาษา บาลีท่ียกมาไวคูกันแลว มนุษยสัตวดิรัจฉาน เปนคําที่นาจะถูกตองกวา อีกประเด็นท่ีพบคือในการ กลาวถึงประเภทมหากุศล ๘ (หนา ๒๕) ประเภทที่ ๗ ท่ีวา เวลาทําบุญมีความดีใจ ไมไดปรารถนา นิพพาน ทําบุญเอง แตในสวนคําอธิบาย (หนา ๒๘) กลาววา เวลาทําบุญมีใจเฉย ๆ ไมไดปรารถนา นิพพาน ทําบุญเอง ซ่ึงเมื่อเปรียบเทียบจากภาษาบาลีที่ยกมาไวคูกันและพิจารณาจากบริบทของ ๕ ดรู ายละเอียดใน ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๒๔๖-๒๖๐/๒๙๐-๓๐๙. ๖ ดรู ายละเอยี ดใน ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๒๖๑-๒๗๑/๓๐๙-๓๑๘. ๗ ดูรายละเอียดใน ข.ุ ว.ิ (ไทย) ๒๖/๑-๑๒๘๙/๑-๑๖๕. ๘ ดูรายละเอียดใน ขุ.เปต. (ไทย) ๒๖/๑-๘๑๔/๑๖๗-๓๐๒.
๗ เน้ือหานี้แลว มหากุศล ๘ ประเภทที่ ๗ นาจะไดแก เวลาทําบุญมีใจเฉย ๆ ไมไดปรารถนานิพพาน ทําบญุ เอง เปนตน ทาํ ใหเน้อื หาบางสวนขาดความสมบูรณและอาจทําใหผูอานเกิดความสับสนไดวา ขอมลู ที่ถูกตองนัน้ คือขอ มลู สวนใด ๒. แมจะมีการอางอิงถึงพระไตรปฎกในหลายสวน แตในบางประเด็นการอางอิงไมไดระบุ ไวอยางชัดเจนวาเปนฉบับภาษาบาลีหรือฉบับภาษาไทย จึงอาจทําใหเกิดความคลาดเคลื่อน และมี ความยุงยากตอการคนควาเพื่อทวนสอบความสอดคลอง เชน พระไตรปฎก เลมที่ ๒๕ หนา ๒๑ ซ่ึง ปรากฏจริงในฉบบั ภาษาบาลี และเมือ่ เปดในฉบับภาษาไทยจะมีพบวาปรากฏในเลมเดียวกัน ในหนา ๔๐8๙ หรือในเรื่องมหากุศล ๘ ที่ปรากฏ ในหนังสือ ไมมีการอางอิงถึงเนื้อหาวามาจากแหลงใด เปน ตน ๓. ในทาง ๗ สายที่ผูเขียนไดบรรยายไวนี้ เม่ือตรวจสอบกับพระไตรปฎกฉบับภาษาไทย จะพบวา มีการใชคํา (พยัญชนะ) ท่ีแตกตางกันแตความหมาย (อรรถะ) เปนไปในทางเดียวกัน และ ทาง ๗ สาย ท่ีกลาวถึงในเลมน้ี ยังมีความแตกตางจากท่ีปรากฏในพระไตรปฎกดวย เชน ในพระ สุตตันตปฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ ใชคําวาคติ หรือภพที่สัตวไปเกิด มี ๕ ไดแก นรก กําเนิด ดริ ัจฉาน เปรต มนุษย และสวรรค9๑๐ สว นท่ีตางกัน ไดแก ทางสายท่ี ๕ สวรรค ซ่ึงในหนังสือเลมนี้ ขยายเพิ่มเปนทางสายท่ี ๕ และสายที่ ๖ สวนสายท่ี ๗ เปนสายท่ีหลุดพนจากสังสารวัฏ ใน พระไตรปฎกไมไดนํามารวมเปนทางอีกสายหน่ึง ทําใหขอมูลในสวนน้ีนาจะเปนการอธิบายที่ผูเขียน นํามาสรปุ และเรยี บเรยี งข้นึ มาใหม ๔. ดังที่ไดกลาวขางตนแลววา ในหนาทายของเลม ไดกลาวเสมือนวา เนื้อหาท้ังหมดเปน การถอดคาํ บรรยาย เพียงแตไมไดระบุวาเปนการบรรยายท่ีใด เม่ือใด และแกใคร ทําใหเน้ือหาในเลม ขาดความสมบูรณใ นเรอื่ งของสถานท่ี เวลา และ/หรือกลุม ผฟู ง ๔. ความสรปุ หนังสอื เลม นี้ มีความนาสนใจตัง้ แตช ื่อเรือ่ งทใี่ ช ในประเด็นท่ีวา ทาง ๗ สายหมายถึงอะไร และเน้ือหากลาวถึงเรื่องอะไร และตัวเลมของหนังสือ ซ่ึงไมหนามากเกินไป สามารถอานจบไดใน เวลาไมนานและมีขนาดท่ีสามารถพกพาติดตัวไปได และเม่ือเห็นชื่อของผูเขียนซ่ึงเปนพระภิกษุ ก็ นา จะพอคาดเดาไดในระดับหน่ึงวาเนื้อหานาจะเกี่ยวของกับพระพุทธศาสนา แตจะแงมุมใดน้ัน ตอง มีการหยิบและเปดหนังสือเพ่ือดูเน้ือหาขางในวาเปนอยางไร โดยเฉพาะกับผูท่ีมีความสนใจเกี่ยวกับ เรื่องราวของพระพทุ ธศาสนาและการวิปสสนากรรมฐาน เนื่องจากผูเขียนเปนผูมีช่ือเสียงเก่ียวกับการ ๙ ดรู ายละเอียดใน ขุ.ธ. (บาล)ี ๒๕/๑๔/๒๑, ขุ.ธ. (ไทย) ๒๕/๔๔-๔๕/๔๐. ๑๐ ขุ.วิ. (ไทย) ๒๖/๑๔๑/๒๕.
๘ เจริญกรรมฐานมาเปนเวลาหลายสิบป และเมื่ออานเน้ือหาแลว ทําใหผูสนใจมีความเขาใจถึง เปาหมายปลายทางของตนเองเมื่อส้ินอายขุ ยั วาสามารถจะไปสทู ่ีใดบาง ตามการกระทําของตนเอง แต เม่ือวิเคราะหแลวและไมตองการเปนไปในเสนทางที่การกระทําของตนเองนําพาไป สามารถ ปรับเปลี่ยนการกระทําดวยตัวเองได ซึ่งผูเขียนไดอธิบายการไปสูเปาหมายปลายทางท่ีสูงข้ึนไป ตามลําดับ เพื่อใหผูสนใจสามารถปรับเปล่ียนการกระทํา (พฤติกรรม) ของตนเองไปตามปลายทางที่ ตนเองตองการได หนังสือเลมนี้จึงมีคุณคาเพราะใหขอมูลทั้งเปาหมายปลายทางและวิธีการไปถึง เปาหมายปลายทาง ท้ัง ๗ ทางดวย ซ่ึงขึ้นกับผูสนใจวาจะเลือกเปาหมายปลายทางเสนใดใหตนเอง ซึ่งทางสายที่ ๗ เปนทางสายท่ีพระบรมศาสดาเปนผูประกาศการคนพบเพื่อนําพุทธบริษัทหรือ พุทธศาสนิกชนผูเห็นภัยในสังสารวัฏเดินทางไปถึง เพ่ือส้ินสุดการเดินทางอันยาวนานในสังสารวัฏใน ท่สี ดุ บรรณานกุ รม พระธรรมธรี ราชมหามุนี (โชดก ป. ธ. ๙). ทาง ๗ สาย. พิมพคร้ังที่ ๖. กรงุ เทพมหานคร: หจก. การพิมพพระนคร, ๒๕๓๑. พระธรรมธีรราชมหามนุ ี (โชดก ญาณสทิ ธฺ ิ ป.ธ. ๙). คําบรรยายวิปสสนากรรมฐาน. กรุงเทพมหานคร: บจ. ประยรู วงศพ รน้ิ ทต ้ิง, ๒๕๕๐. มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. พระไตรปฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. กรงุ เทพมหานคร: โรงพิมพม หาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๙.
Search
Read the Text Version
- 1 - 11
Pages: