Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore บทวิจารณ์หนังสือเรื่อง ทาง ๗ สาย

บทวิจารณ์หนังสือเรื่อง ทาง ๗ สาย

Published by Thep Nonnarai, 2022-01-04 11:51:48

Description: บทวิจารณ์หนังสือเรื่อง ทาง ๗ สาย แต่งโดย : พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ป.ธ.๙)

Search

Read the Text Version

บทวิจารณ์หนังสือ เรื่อง ทาง ๗ สาย ผู้แต่งหนังสือ : พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ป.ธ. ๙) บทวิจารณ์นี้เป็นส่วนหนึ่งของการสอบวัดคุณสมบัติ บทวิจารณ์หนังสือตามหลักสูตรปริญญาพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาพระพุทธศาสนา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

บทวิจารณห นังสือ เรื่อง “ทาง ๗ สาย” เขียนโดย พระธรรมธรี ราชมหามนุ ี (โชดก ป.ธ. ๙) พระมหาสเุ ทพ สวุ ฑฺฒโน (เหลาทอง) บทวจิ ารณน ้ีเปนสวนหนง่ึ ของการสอบวดั คณุ สมบัติบทวจิ ารณหนงั สือ ตามหลกั สูตรปรญิ ญาพุทธศาสตรดุษฎีบณั ฑิต สาขาวิชาพระพทุ ธศาสนา บณั ฑติ วทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั พทุ ธศักราช ๒๕๖๑ (ลิขสทิ ธ์ิเปนของมหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย)

บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย อนุมัติใหนับบทวิจารณ หนังสือเรื่อง “ทาง ๗ สาย” เปนสวนหน่ึงของการสอบวัดคุณสมบัติบทวิจารณหนังสือ ตามหลักสูตร ปรญิ ญาพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑติ สาขาวชิ าพระพทุ ธศาสนา ................................................................ (พระมหาสมบรู ณ วฑุ ฒฺ กิ โร, ดร.) คณบดีบัณฑิตวิทยาลยั คณะกรรมการตรวจสอบบทวิจารณห นงั สือ ....................................................... ประธานกรรมการ (พระมหาทวี มหาปโฺ ญ, ผศ.ดร.) ...................................................... กรรมการ (รศ.ดร. สมิทธพิ ล เนตรนมิ ิตร) ....................................................... กรรมการ (พระมหาอดเิ ดช สติวโร, ดร.) อาจารยทป่ี รกึ ษา พระมหาอดิเดช สตวิ โร, ดร. ช่อื ผเู ขียน ................................................... (พระมหาสุเทพ สุวฑฒฺ โน (เหลาทอง)

บทวจิ ารณหนังสอื เรื่อง “ทาง ๗ สาย”๑ เขียนโดย พระธรรมธรี ราชมหามนุ ี (โชดก ป. ธ. ๙) ๑. บทนํา หนังสือเร่ือง “ทาง ๗ สาย” เขียนโดย พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ป. ธ. ๙) เลมท่ี นําเสนอน้ี เปนการพิมพครั้งที่ ๖ พ.ศ. ๒๕๓๑ โดยคณะกรรมการวิปสสนาสาร วัดมหาธาตุยุวราช- รงั สฤษฎร์ิ าชวรมหาวหิ าร คณะ ๕ เปน ผเู ขียนคาํ นํา หนังสือทาง ๗ สาย นีม้ รี ูปเลมขนาดพอกเก็ตบุค (ขนาด เอหา - A5) จาํ นวนทัง้ สน้ิ ๗๙ หนา ไมมหี นา สารบัญ เมอื่ เริ่มเร่อื งไดเขาสูเนอื้ หาเก่ียวกับทาง ๗ สาย และอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับทาง ๗ สายไปตามลําดับจากสายที่ ๑ จนครบสายท่ี ๗ ตอจากน้ันไดอธิบายเกี่ยวกับวิปสสนากรรมฐานซึ่งเปนวิธีที่จะนําบุคคลไปสูทางสายท่ี ๗ ทางสาย สําคญั และเปนเปาหมายปลายทางท่ีแทจ ริงซ่งึ พทุ ธบรษิ ทั ควรมุงไปใหถึงตามคําสั่งสอนขององคสมเด็จ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา พระศาสดาของพระพุทธศาสนา ซ่ึงพุทธบริษัทสามารถเดินทางไปสูปลายทางน้ี ได น่ันคือ นิพพาน โดยการปฏิบัติวิปสสนากรรมฐาน ตามแนวทางที่พระศาสดาไดตรัสสอนไว แตถา ยังไมสามารถบรรลุเปาหมายปลายทางได คุณคาที่จะไดรับจากหนังสือน้ีในดานตาง ๆ มีดังตอไปน้ี ๑) ดานการดําเนินชีวิต ทําใหบุคคลรูจักวางแผนในการทําความดี เกรงกลัวตอบาป ๒) ดานการ ปฏิบตั ธิ รรม สง เสริมใหบ ุคคลรจู กั คณุ คา ในตนเอง สรางบุญกุศล ปฏบิ ัติธรรม เพื่อที่จะไมไปสูอบายภูมิ เชน ทางนรก ๓) ดานสภาพแวดลอม ทําใหรูวาในสังสารวัฏน้ี มีภพภูมิสัตวโลกอยูรวมกัน ไมใชแค มนุษยอยางเดียว ยังมีภพภูมิอ่ืน ๆ เชน สัตวเดรัจฉาน เปนตน ซึ่งการไมเบียดเบียนกัน ไมทํารายซึ่ง กนั และกนั เปน สิง่ ท่มี นุษยพงึ กระทําตอกัน และ ๔) ดานเปาหมายของชีวิต ทําใหเขาใจกระบวนการ ดาํ เนินชีวิต เห็นทางเลือกตาง ๆ ทง้ั ๗ ทาง และชวยใหเกิดปญญาญาณท่ีจะดําเนินชีวิตไปสูเปาหมาย ของตน ๒. โครงสรา งเนอื้ หา เน้ือหาที่สามารถพบไดเมื่อเปดเลมอานเนื้อหาคือการอธิบายเกี่ยวกับทางทั้ง ๗ สาย ในทันที โดยไมตองมีการกลาวนํา เพราะจะมีการอธิบายทางทั้ง ๗ ในรายละเอียดไปตามลําดับ ผูเขียนไดอธิบายถึงคําวา “ทาง” เพื่อใหเกิดความเขาใจตรงกันวา ในหนังสือเลมนี้ใชคําน้ีใน ความหมายวาอยางไร ๑ พระธรรมธรี ราชมหามุนี (โชดก ป. ธ. ๙), ทาง ๗ สาย, พมิ พคร้ังที่ ๖, (กรงุ เทพมหานคร: หจก. การพมิ พพระนคร, ๒๕๓๑).

๒ จากนั้นไดกลา วถงึ ทาง ๗ สาย วามีอะไรบาง ดงั น้ี ๑. ทางไปนรก ๒. ทางไปเปรตและอสูรกาย ๓. ทางไปเดียรฉาน ๔. ทางไปมนษุ ย ๕. ทางไปสวรรค ๖. ทางไปพรหมโลก ๗. ทางไปนพิ พาน จากนน้ั ผูเขียน ไดอธบิ ายถงึ ทางแตละสายในรายละเอยี ด สรุปไดดังนี้ ทางสายที่ ๑ ทางไปนรก ผูเ ขียนไดอธิบายคําวา นรก วาเปนอยางไร และกลาวถึงเหตุที่ จะนําบุคคลไปสูทางสายท่ี ๑ หรือท่ีเรียกวาตกนรกวา โดยสวนมาก ไดแก โทสะ โดยการอางอิง เนื้อหาในพระไตรปฎกประกอบ และมีคําตอบสําหรับคําถามท่ีเกิดข้ึนหรืออาจเกิดข้ึนวา นรกหรือ สวรรคมีจริงหรือไม น้ันไววา สามารถใชเครื่องมือท่ีเรียกวา ปญญา ซ่ึงปญญามีอยู ๓ ประเภท โดย ปญญาที่สามารถตรวจสอบความมีอยูหรือไมมีอยูของนรก (หรือสวรรค) ไดแก ปญญาประเภทที่ ๓ ไดแก ภาวนามยปญญา และผูท่ีสามารถตรวจสอบได ไดแก พระเสขบุคคล ๗ จําพวก นับตั้งแต บุคคลผตู ้ังอยใู นโสดาปตติมรรคขนึ้ ไป ทางสายที่ ๒ ทางไปเปรตและอสุรกาย ผูเขียนไดอธิบายคําวา เปรตและอสุรกายวาเปน อยางไรและมีลกั ษณะอยางไร และกลาวถึงเหตทุ ี่จะนาํ บุคคลไปสทู างสายท่ี ๒ หรือท่ีเรียกวาเกิดเปน เปรต-อสรุ กาย วาโดยสวนมาก ไดแก โลภะหรอื ตณั หา โดยมีการอา งอิงเนื้อหาในพระไตรปฎกรวมถึง เรื่องเลา ที่พบในประเทศไทยประกอบ ทางสายท่ี ๓ ทางไปเดียรฉาน ผูเขียนไดอธิบายถึง สัตวเดียรฉานวาไดแกสิ่งที่มีลักษณะ อยา งไร และกลาวถึงเหตุท่ีจะนําบุคคลไปสูทางสายที่ ๓ หรือท่ีเรียกวาเกิดเปนสัตวเดียรฉาน วาโดย สวนมาก ไดแก โมหะหรือความหลง โดยมกี ารอา งอิงเนอ้ื หาในพระไตรปฎกประกอบ ทางสายที่ ๔ ทางไปมนษุ ย ผูเขียนไดอธิบายถงึ ความหมายของคําวามนุษย และไดอธิบาย ถึงมนุษยวามี ๕ จําพวก ไดแก ๑) มนุษยสัตวนรก ๒) มนุษยเปรต ๓) มนุษยสัตวดิรัจฉาน ๔) มนษุ ยแท ๆ และ ๕) มนุษยเทวดา และไดอธบิ ายวามนุษยแตละจําพวกมีลักษณะหรือพฤติกรรมท่ี แสดงออกมาเปนอยางไร และกลาวถึงเหตุท่ีจะนําบุคคลไปสูทางสายที่ ๔ หรือท่ีเรียกวาเกิดเปน มนษุ ย โดยเฉพาะจําพวกที่ ๔ โดยสวนมาก ไดแก ศีล ๕ และเกิดเปนมนุษยจําพวกที่ ๕ ซึ่งนอกจาก ตองมีศีล ๕ อยางบริบูรณแลว ยังมีตองการบําเพ็ญกุศลเพื่อเพิ่มพูนบารมีอยางสมํ่าเสมอ โดยมีการ อางอิงเน้อื หาในพระไตรปฎ กประกอบ

๓ ทางสายที่ ๕ ทางไปสวรรค ผูเขียนไดอธิบายถึงความหมายของสวรรควาเปนอยางไรและ มลี กั ษณะอยางไร กลาวถงึ สวรรควา มี ๖ ชั้น ไดแก ๑) สวรรคช้ันจาตุมหาราช ๒) สวรรคชั้นดาวดึงส ๓) สวรรคช้ันยามา ๔) สวรรคชั้นดุสิต ๕) สวรรคชั้นนิมนรดี และ ๖) สวรรคชั้นปรนิมมิตวสวัตดี1๒ และกลาวถึงเหตุท่ีจะนําบุคคลไปสูทางสายที่ ๕ หรือที่เรียกวาเกิดในสวรรคชั้นใดชั้นหนึ่งใน ๖ ช้ัน ไดแก มหากุศล ๘ ผูเขียนระบุวามหากุศล ๘ ไดแก ๑) เวลาทําบุญมีความดีใจ ปรารถนานิพพาน ทําบุญเอง ๒) เวลาทําบุญมีความดีใจ ปรารถนานิพพาน มีผูชักชวนจึงทําบุญ ๓) เวลาทําบุญมีใจ เฉย ๆ ปรารถนานิพพาน ทําบุญเอง ๔) เวลาทําบุญมีใจเฉย ๆ ปรารถนานิพพาน มีผูชักชวนจึง ทําบุญ ๕) เวลาทําบุญมีความดีใจ ไมไดปรารถนานิพพาน ทําบุญเอง ๖) เวลาทําบุญมีความดีใจ ไมไดปรารถนานิพพาน มีผูชักชวนจึงทําบุญ ๗) เวลาทําบุญมีใจเฉย ๆ ไมไดปรารถนานิพพาน ทําบุญเอง และ ๘) เวลาทําบุญมีใจเฉย ๆ ไมไดปรารถนานิพพาน มีผูชักชวนจึงทําบุญ โดยมีการ อา งอิงเนื้อหาในพระไตรปฎกประกอบ ทางสายท่ี ๖ ทางไปพรหมโลก ผูเขียนกลาวถึงวาเปนทางไปสูพรหมโลกช้ันใดชั้นหนึ่ง และเหตทุ ี่จะนําบุคคลไปสูพรหมโลก ไดแก สมถกรรมฐาน อธิบายวา บุคคลท่ีเจริญสมถกรรมฐานจน สามารถบรรลุฌาน มีปฐมฌานเปนตน เมื่อตายจากความเปนมนุษยแลว จะไดไปเกิดในพรหมโลกชั้น ใด ๆ ตามสมควรแกฌานข้ันสงู สุดที่บคุ คลบรรลุ โดยมกี ารอา งองิ เนอื้ หาในพระไตรปฎกประกอบ ทางสายท่ี ๗ ทางไปนิพพาน ผูเขียนไดอธิบายถึงความหมายของนิพพานวาเปนอยางไร และมีลกั ษณะอยา งไร และเหตุที่จะนําบุคคลไปสนู ิพพาน ไดแ ก วปิ ส สนากรรมฐาน ทางท้ัง ๗ สายท่ีกลาวถึงน้ี ทางสายที่ ๑ ถึงทางสายท่ี ๖ เปนทางท่ีมีอยูแลวกอนการ ประกาศพระพุทธศาสนา แตยังคงนํามาอธิบายในพระพุทธศาสนา ซ่ึงอธิบายไดถึงการเวียนวายตาย เกิดในทาง ๖ สายแรกน้ีอยางไมมีวันจบสิ้น บางครั้งเกิดในพรหมโลก (ทางสายท่ี ๖) แตก็สามารถ กลบั มาเกดิ ในนรกได สลับกันไปมาเชน น้ี ดังนนั้ ทางสายทดี่ ีทส่ี ุดทท่ี รงคนพบโดยพระบรมศาสดาของ พระพุทธศาสนา ไดแก ทางสายที่ ๗ หรือทางไปนิพพาน ซ่ึงมีเหตุเดียวที่จะสามารถนําไปสูเสนทางน้ี ได น่ันคอื วิปสสนากรรมฐาน หลังจากนัน้ ผเู ขยี นไดอธิบายรายละเอียดการปฏิบัติเพื่อเปนเหตุนําใหบุคคลสามารถไปสู ทางสายที่ ๗ ได โดยอธบิ ายวาวิปส สนากรรมฐานเปนอยางไร มีวิธีปฏิบัติอยางไร และในสวนสุดทาย ของหนังสือไดก ลา วถึงอานิสงสห รอื ผลท่ไี ดร ับจากการเจริญวปิ ส สนาซึง่ มีถึง ๕๓ ขอ ผูเขียนอธิบายวาวิปสสนากรรมฐานเปนอุบายทําใจใหเกิดปญญารูแจงเห็นแจงตามความ เปนจริง เห็นปจจุบันธรรม เห็นรูปนาม เห็นพระไตรลักษณ เห็นมรรคผลนิพพาน โดยมีอารมณของ วิปสสนากรรมฐาน ไดแก ขันธ ๕ อายตนะ ๑๒ ธาตุ ๑๘ อินทรีย ๒๒ อริยสัจ ๔ ปฏิจจสมุปบาท ๒ มกี ลาวถงึ สวรรค ๖ ชน้ั ใน ข.ุ วิ. (ไทย) ๒๖/๑๓๙/๒๔.

๔ ๑๒ ยอ ใหส ัน้ คือรปู กบั นามหรือกายกับใจ โดยผูเขยี นไดอธบิ ายวาผูมุงปฏิบัติเพ่ือใหไดผลอันสูง ตองมี ครบู าอาจารยคอยสอนคอยสอบอารมณจนรูแนวทางปฏิบัติ แลวจึงนําไปปฏิบัติดวยตัวเองได ดังน้ัน ผูตองการปฏิบัติวิปสสนากรรมฐานจึงตองมีการสมาทานกรรมฐานกับพระอาจารยผูใหกรรมฐาน ซึ่ง ผูเขียนไดกลาวถึงวิธสี มาทานกรรมฐานวา ทาํ อยา งไร และอธิบายวิธีปฏิบัติวิปสสนากรรมฐานไวอยาง ละเอียดวา หลังจากสมาทานกรรมฐานแลว จะฝกการเจริญกรรมฐานในรูปแบบตาง ๆ ไดแก การเดิน จงกรม การนั่ง เมื่อเกิดเวทนา เมื่อจิตทํางาน เม่ือไดยินเสียงตาง ๆ หรือในเวลานอนนั้น ควรปฏิบัติ อยางไร โดยใชเวลาในการฝกอยางตอเนื่องไมนอยกวา ๓ วัน ผูเขียนไดกลาววาพระอาจารยผูให กรรมฐานจะมีการเทศนสอนใหผูปฏบิ ัติฟงเปนครง้ั คราวเกีย่ วกับความมงุ หมายของการฟงธรรม ลําดับ ญาณ ญาณ ๑๖ อริยสัจ ๔ วิสุทธิ ๗ กิเลส มรรค ผล นิพพาน คุณสมบัติของนักปฏิบัติ เปน ตัวอยาง ในสวนสุดทายของเนื้อหาและถือเปนการจบเน้ือหาท้ังหมดในเลม กลาวเสมือนวาเนื้อหา เรื่องทาง ๗ สายและอานิสงสแ หงการเจริญวิปส สนากรรมฐานในเลม นี้ทัง้ หมดเปนการบรรยายธรรม ๓. บทวจิ ารณ หนังสือเร่ือง “ทาง ๗ สาย” น้ี มีประเด็นที่ผูวิจารณตั้งขอสังเกตท่ีนาสนใจหลายประเด็น ดงั นี้ ๓.๑ จุดเดน ๑. พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทฺธิ) ผูเขียน จบเปรียญธรรม ๙ ประโยค ครง้ั เปนพระมหาโชดก ญาณสิทฺธิ ไดเดินทางไปศึกษาวิปสสนากรรมฐาน ณ สํานักวิปสสนากรรมฐาน วัดสาสนยิสสา ภายใตการปกครองของทานมหาสีสะยาดอ โสภณมหาเถระ ประเทศพมา เปนเวลา ประมาณ ๑ ป โดยมีทานอาสภเถระหรือภัททันตะ อาสภเถระ ปธานกัมมัฏฐานาจริยะ เปน พระอาจารยสอนและสอบอารมณวิปสสนากรรมฐานเปนประจํา สวนทานมหาสีสะยาดอ พระอาจารยใหญ นาน ๆ จึงจะสอนและสอบอารมณ หลังจากกลับมาประเทศไทยไดมีการสอน วิปสสนากรรมฐาน ณ วัดมหาธาตุยุวราษฎรรังสฤษฎ์ิ โดยมีทานอาสภเถระ มุลุธัมมัฏฐานาจริยะ ปธานกมั มัฏฐานาจรยิ ะ และทานอินทวงั สเถระ ธัมมาจรยิ ะ กัมมัฏฐานาจริยะ ซึ่งเดินทางจากประเทศ พมาพรอมกับพระมหาโชดก รวมเปนพระอาจารยชวยสอนวิปสสนากรรมฐานดวย2๓ การปฏิบัติ วิปสสนากรรมฐานในประเทศไทยจึงดํารงต้ังมั่นและมีความจริงจังจากกุศลจิตของสมเด็จ- ๓ พระธรรมธีรราชมหามนุ ี (โชดก ญาณสิทธฺ ิ ป.ธ. ๙), คาํ บรรยายวิปสสนากรรมฐาน, (กรงุ เทพมหานคร: ประยรู วงศพ รนิ้ ทต้ิง, ๒๕๕๐), หนา (๑๗)-(๑๙).

๕ พระพฒุ าจารย (อาจ อาสภเถระ)3๔ และพระมหาโชดก ป.ธ. ๙ จากประวัติความเปนมาในเบื้องตนนี้ ทาํ ใหก ลาวไดวา ผเู ขยี นมีความรูท้งั ปริยัตแิ ละมีความเชี่ยวชาญในทางปฏิบตั ิ ๒. ขอมูลเกี่ยวกับทาง ๗ สาย ซ่ึงผูเขียนอธิบายไวน้ี เปนเนื้อหาที่มีการรวบรวมไวนอย มาก ดังนั้น หนังสือเลมน้ีจึงมีความนาสนใจในสวนของเนื้อหาที่ผูเขียนไดนํามาอธิบายถึงปลายทาง ของมนุษยเม่ือสิ้นอายุขัยแลว วามีโอกาสจะไปสูเสนทางสายใดใน ๗ สายน้ัน ทั้งที่ทางสายที่ ๓ และ ทางสายท่ี ๔ เปนเร่ืองซ่ึงปรากฏใหบุคคลสามารถมองเห็นไดชัดเจน ไดแก สัตวชนิดตาง ๆ ท่ีปรากฏ อยูรอบ ๆ ตัวมนษุ ย ทเ่ี รียกวา สตั วดริ ัจฉานหรือเดียรฉาน กับมนุษยซ่ึงหมายรวมท้ังตัวเองและบุคคล อ่ืนรอบตัว กับทางสายอื่น ๆ ท่ีเหลือ ซึ่งเม่ือไปสูทางสายน้ัน ๆ แลว อาจเปนสัตวท่ีมีรูปราง แตไมใช มนษุ ยทุกคนจะสามารถสัมผัสได หรือเปนสัตวท่ีไมมีรูปรางบาง ซ่ึงมีเพียงผูเปนพระอริยบุคคลระดับ ตนขึ้นไปเทาน้ันที่สามารถสัมผัสได เพราะมีปญญาระดับท่ีสามารถใชเปนเครื่องมือในการสัมผัสสัตว ในทางสายอ่นื ๆ เหลาน้นั และสามารถบอกไดวาทางสายอ่ืน ๆ เหลาน้ันมีจริงหรือไม และสําหรับผูที่ ไมไดศึกษาเกี่ยวกับทาง ๗ สายนี้อยางลึกซึ้ง จะคิดวา เมื่อเกิดเปนมนุษยจะตองเกิดเปนมนุษยเสมอ หรอื เมื่อเกดิ เปนสัตวช นดิ ใด กจ็ ะตอ งเปนสตั วช นดิ น้นั ตลอดไป หรอื เกิดในสวรรค จะอยูในสวรรคเปน เทวดานางฟาตลอดไป จะไมมีการเปล่ียนแปลง และมักมีความปรารถนาเพียงแคการไปเกิดเปน เทวดาหรือนางฟาเทาน้ัน ซึ่งในความจริงแลว ทั้งพระพุทธศาสนาและศาสนาท่ีมีกําเนิดมากอน พระพุทธศาสนา เขาใจชัดเจนวา สรรพสัตวสามารถเกิดในทางสายใดก็ไดใน ๖ ทาง ไมจํากัดเฉพาะ ทางสายใดสายเดยี ว แตถาตองการพนไปจากทางท้ัง ๖ สายแลวน้ัน ตองปฏิบัติตามแนวทางหรือวิธีที่ กาํ หนดเพ่อื วันหน่ึงในอนาคตจะสามารถพน ไปจากเสนทางสายที่ ๑ ถึงสายท่ี ๖ ไปสูทางสายท่ี ๗ ได ซ่งึ แนวทางหรอื วธิ ีน้ีพระพทุ ธองคเ ปนผูท รงคนพบ อันจะชวยพาใหส รรพสัตวพน จากการเวียนวายตาย เกิดได หรือนิพพานนั่นเอง ๓. ในยุคปจจุบัน ซึ่งมีความเปนวิทยาศาสตร และเร่ืองราวตาง ๆ ตองสามารถพิสูจนได ดวยขอมูลหรือหลักฐานท่ีชัดเจน แตเรื่องโลกหนาเปนเร่ืองท่ีโลกวิทยาศาสตรจากอดีตจนถึงปจจุบัน ไมสามารถพิสูจนได ในทางพระพุทธศาสนาซึ่งมีกําเนิดและดํารงอยูมาไดยาวนานกวา ๒,๖๐๐ ป (และกําเนดิ มายาวนานกวา วิทยาศาสตรมาก) สามารถพิสูจนได เพียงแตการพิสูจนเหลานั้นตองใชตัว บุคคลและเครื่องมือท่ีบุคคลมีอยูในตัวของแตละคนเทานั้น ไมมีเคร่ืองมือหรืออุปกรณทาง วิทยาศาสตรใดท่ีสามารถหาหลักฐานในเชิงขอเท็จจริงใหเปนที่ปรากฏออกมาได เร่ืองทาง พระพุทธศาสนาเร่ืองน้ีเปนเรื่องท่ีรูไดเฉพาะตนและบุคคลท่ีมีระดับปญญาท่ีเทาเทียมกันหรือสูงกวา เทานั้นจึงจะสามารถรับรูได และนั่นทําใหในมุมหน่ึงของพระพุทธศาสนาเปนเร่ืองที่นาศึกษาและ คนควา เน่ืองจากไมมีใครสามารถยืนยันแกผูอ่ืนไดวาสิ่งนั้นมีจริงหรือสิ่งนั้นไมมีจริง ใครที่ตองการรู ๔ เรอ่ื งเดียวกัน, หนา (๑๓)-(๑๖).

๖ เร่อื งใด ตองลองปฏิบัติดวยตนเอง จนสามารถมีเครื่องมือพิสูจนเกิดขึ้นในตนเอง ดังน้ัน ถาผูหนึ่งผูใด ตองการพิสูจนเรื่องทางสายตาง ๆ นี้ ผูน้ันตองสรางเครื่องมือใหเกิดขึ้นในตัวเอง จึงสามารถพิสูจนถึง ทางทัง้ ๗ สายได เชนเดยี วกบั พระพุทธองคและพระอริยสาวกสามารถตรวจสอบไดดวยตนเองถึงการ มีอยขู องสงั สารวฏั (ทาง ๗ สาย) ๔. ประเด็นเก่ียวกับทางสายตาง ๆ ที่กลาวถึงในหนังสือน้ีนั้น ผูเขียนไดมีการอางอิง หลักฐานตามที่ปรากฏในพระไตรปฎกไวอยางชัดเจน ตัวอยางเชน พระไตรปฎกเลมที่ ๒๕ หนา ๒๑ นอกจากนี้ ผูท สี่ นใจสามารถศกึ ษาเพม่ิ เตมิ ดว ยตนเองในรายละเอียดเกย่ี วกบั ทางสายตา ง ๆ ท่ีปรากฏ ในพระไตรปฎก เชน ในพาลปณฑิตสูตร4๕ เทวทูตสูตร5๖ วิมานวัตถุ6๗ เปตวัตถุ7๘ ซึ่งกลาวถึงการ กระทาํ (พฤตกิ รรม) อันเปนเหตใุ หเม่ือตายไปแลวไปเกิดเปนอะไรไดบา ง ๕. ทาง ๗ สายที่ผูเขียนไดกลาวถึงไวแลวนั้น ไมเพียงแตบอกปลายทางเทาน้ัน แตได บอกถึงวิธีท่ีบุคคลจะเดินทางไปสูทางสายน้ัน ๆ ดวย น่ันแสดงใหเห็นวาไมเพียงมีปลายทางหรือ เปาหมายเทานั้น แตยังบอกวาบุคคลสามารถท่ีจะเลือกเสนทางของตนเองไดดวย วา เม่ือตนเองสิ้น อายุขัยหรือตายนั้น แตละบุคคลมีแนวโนมจะเปนอยางไร โดยบุคคลสามารถเลือกแสดงพฤติกรรม ตามท่ีทางแตละสายน้ันไดกลาวถึงไวอยางชัดเจนวาพฤติกรรมแบบใด นําไปสูเสนทางสายใด ซ่ึงใน มุมมองนี้ ทําใหมองเห็นไดวา บุคคลสามารถเลือกที่จะเปนหรือเลือกท่ีจะไปในเสนทางสายท่ีตนเอง ตองการได ถาบคุ คลไดท าํ เหตุของการเดินไปสูทางสายนั้นอยางเต็มท่ี จะมีอนุสัยท่ีจะติดตัวตอไปและ นาํ พาตนเองไปสทู างสายนนั้ ๆ ไดใ นทีส่ ุด ๓.๒ จดุ ออน ๑. เน้ือหาที่ปรากฏในหนังสือหลายแหงไมมีการตรวจสอบความถูกตองของคําหรือ เนื้อหาที่ใชในประเด็นหรือเรื่องเดียวกัน เชน มนุษยประเภทที่ ๓ (หนา ๑๖) เรียกวา มนุษยสัตว เทวดา แตในสวนคําอธิบาย (หนา ๑๗) เรียกวา มนุษยสัตวดิรัจฉาน ซ่ึงเม่ือเปรียบเทียบจากภาษา บาลีท่ียกมาไวคูกันแลว มนุษยสัตวดิรัจฉาน เปนคําที่นาจะถูกตองกวา อีกประเด็นท่ีพบคือในการ กลาวถึงประเภทมหากุศล ๘ (หนา ๒๕) ประเภทที่ ๗ ท่ีวา เวลาทําบุญมีความดีใจ ไมไดปรารถนา นิพพาน ทําบุญเอง แตในสวนคําอธิบาย (หนา ๒๘) กลาววา เวลาทําบุญมีใจเฉย ๆ ไมไดปรารถนา นิพพาน ทําบุญเอง ซ่ึงเมื่อเปรียบเทียบจากภาษาบาลีที่ยกมาไวคูกันและพิจารณาจากบริบทของ ๕ ดรู ายละเอียดใน ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๒๔๖-๒๖๐/๒๙๐-๓๐๙. ๖ ดรู ายละเอยี ดใน ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๒๖๑-๒๗๑/๓๐๙-๓๑๘. ๗ ดูรายละเอียดใน ข.ุ ว.ิ (ไทย) ๒๖/๑-๑๒๘๙/๑-๑๖๕. ๘ ดูรายละเอียดใน ขุ.เปต. (ไทย) ๒๖/๑-๘๑๔/๑๖๗-๓๐๒.

๗ เน้ือหานี้แลว มหากุศล ๘ ประเภทที่ ๗ นาจะไดแก เวลาทําบุญมีใจเฉย ๆ ไมไดปรารถนานิพพาน ทําบญุ เอง เปนตน ทาํ ใหเน้อื หาบางสวนขาดความสมบูรณและอาจทําใหผูอานเกิดความสับสนไดวา ขอมลู ที่ถูกตองนัน้ คือขอ มลู สวนใด ๒. แมจะมีการอางอิงถึงพระไตรปฎกในหลายสวน แตในบางประเด็นการอางอิงไมไดระบุ ไวอยางชัดเจนวาเปนฉบับภาษาบาลีหรือฉบับภาษาไทย จึงอาจทําใหเกิดความคลาดเคลื่อน และมี ความยุงยากตอการคนควาเพื่อทวนสอบความสอดคลอง เชน พระไตรปฎก เลมที่ ๒๕ หนา ๒๑ ซ่ึง ปรากฏจริงในฉบบั ภาษาบาลี และเมือ่ เปดในฉบับภาษาไทยจะมีพบวาปรากฏในเลมเดียวกัน ในหนา ๔๐8๙ หรือในเรื่องมหากุศล ๘ ที่ปรากฏ ในหนังสือ ไมมีการอางอิงถึงเนื้อหาวามาจากแหลงใด เปน ตน ๓. ในทาง ๗ สายที่ผูเขียนไดบรรยายไวนี้ เม่ือตรวจสอบกับพระไตรปฎกฉบับภาษาไทย จะพบวา มีการใชคํา (พยัญชนะ) ท่ีแตกตางกันแตความหมาย (อรรถะ) เปนไปในทางเดียวกัน และ ทาง ๗ สาย ท่ีกลาวถึงในเลมน้ี ยังมีความแตกตางจากท่ีปรากฏในพระไตรปฎกดวย เชน ในพระ สุตตันตปฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ ใชคําวาคติ หรือภพที่สัตวไปเกิด มี ๕ ไดแก นรก กําเนิด ดริ ัจฉาน เปรต มนุษย และสวรรค9๑๐ สว นท่ีตางกัน ไดแก ทางสายท่ี ๕ สวรรค ซ่ึงในหนังสือเลมนี้ ขยายเพิ่มเปนทางสายท่ี ๕ และสายที่ ๖ สวนสายท่ี ๗ เปนสายท่ีหลุดพนจากสังสารวัฏ ใน พระไตรปฎกไมไดนํามารวมเปนทางอีกสายหน่ึง ทําใหขอมูลในสวนน้ีนาจะเปนการอธิบายที่ผูเขียน นํามาสรปุ และเรยี บเรยี งข้นึ มาใหม ๔. ดังที่ไดกลาวขางตนแลววา ในหนาทายของเลม ไดกลาวเสมือนวา เนื้อหาท้ังหมดเปน การถอดคาํ บรรยาย เพียงแตไมไดระบุวาเปนการบรรยายท่ีใด เม่ือใด และแกใคร ทําใหเน้ือหาในเลม ขาดความสมบูรณใ นเรอื่ งของสถานท่ี เวลา และ/หรือกลุม ผฟู ง ๔. ความสรปุ หนังสอื เลม นี้ มีความนาสนใจตัง้ แตช ื่อเรือ่ งทใี่ ช ในประเด็นท่ีวา ทาง ๗ สายหมายถึงอะไร และเน้ือหากลาวถึงเรื่องอะไร และตัวเลมของหนังสือ ซ่ึงไมหนามากเกินไป สามารถอานจบไดใน เวลาไมนานและมีขนาดท่ีสามารถพกพาติดตัวไปได และเม่ือเห็นชื่อของผูเขียนซ่ึงเปนพระภิกษุ ก็ นา จะพอคาดเดาไดในระดับหน่ึงวาเนื้อหานาจะเกี่ยวของกับพระพุทธศาสนา แตจะแงมุมใดน้ัน ตอง มีการหยิบและเปดหนังสือเพ่ือดูเน้ือหาขางในวาเปนอยางไร โดยเฉพาะกับผูท่ีมีความสนใจเกี่ยวกับ เรื่องราวของพระพทุ ธศาสนาและการวิปสสนากรรมฐาน เนื่องจากผูเขียนเปนผูมีช่ือเสียงเก่ียวกับการ ๙ ดรู ายละเอียดใน ขุ.ธ. (บาล)ี ๒๕/๑๔/๒๑, ขุ.ธ. (ไทย) ๒๕/๔๔-๔๕/๔๐. ๑๐ ขุ.วิ. (ไทย) ๒๖/๑๔๑/๒๕.

๘ เจริญกรรมฐานมาเปนเวลาหลายสิบป และเมื่ออานเน้ือหาแลว ทําใหผูสนใจมีความเขาใจถึง เปาหมายปลายทางของตนเองเมื่อส้ินอายขุ ยั วาสามารถจะไปสทู ่ีใดบาง ตามการกระทําของตนเอง แต เม่ือวิเคราะหแลวและไมตองการเปนไปในเสนทางที่การกระทําของตนเองนําพาไป สามารถ ปรับเปลี่ยนการกระทําดวยตัวเองได ซึ่งผูเขียนไดอธิบายการไปสูเปาหมายปลายทางท่ีสูงข้ึนไป ตามลําดับ เพื่อใหผูสนใจสามารถปรับเปล่ียนการกระทํา (พฤติกรรม) ของตนเองไปตามปลายทางที่ ตนเองตองการได หนังสือเลมนี้จึงมีคุณคาเพราะใหขอมูลทั้งเปาหมายปลายทางและวิธีการไปถึง เปาหมายปลายทาง ท้ัง ๗ ทางดวย ซ่ึงขึ้นกับผูสนใจวาจะเลือกเปาหมายปลายทางเสนใดใหตนเอง ซึ่งทางสายที่ ๗ เปนทางสายท่ีพระบรมศาสดาเปนผูประกาศการคนพบเพื่อนําพุทธบริษัทหรือ พุทธศาสนิกชนผูเห็นภัยในสังสารวัฏเดินทางไปถึง เพ่ือส้ินสุดการเดินทางอันยาวนานในสังสารวัฏใน ท่สี ดุ บรรณานกุ รม พระธรรมธรี ราชมหามุนี (โชดก ป. ธ. ๙). ทาง ๗ สาย. พิมพคร้ังที่ ๖. กรงุ เทพมหานคร: หจก. การพิมพพระนคร, ๒๕๓๑. พระธรรมธีรราชมหามนุ ี (โชดก ญาณสทิ ธฺ ิ ป.ธ. ๙). คําบรรยายวิปสสนากรรมฐาน. กรุงเทพมหานคร: บจ. ประยรู วงศพ รน้ิ ทต ้ิง, ๒๕๕๐. มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. พระไตรปฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. กรงุ เทพมหานคร: โรงพิมพม หาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๙.


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook