Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เล่ม 2 หลักการพื้นฐานการศึกษาพิเศษ

เล่ม 2 หลักการพื้นฐานการศึกษาพิเศษ

Published by boonsong kanankang, 2019-10-01 04:05:46

Description: เล่ม 2 หลักการพื้นฐานการศึกษาพิเศษ

Search

Read the Text Version

คำชีแ้ จง เอกสารชดุ ศึกษาด้วยตนเอง วชิ าความรูพ้ ืน้ ฐานด้านการจัดการศึกษาสาหรับคนพิการหรือผู้เรียน ท่ีมีความต้องการจาเป็นพิเศษ เรื่อง หลักการพ้ืนฐานทางการศึกษาพิเศษ เล่มนี้ ได้รวบรวมเนื้อหาจาก เอกสาร บทความ ของนักการศึกษาท่ีเก่ียวข้องกับการศึกษาพิเศษ ซ่ึงมีเน้ือหาสาระที่ครูและบุคลากร ท่ีสนใจควรทราบ ได้แก่ ความรู้พื้นฐานทางการศึกษาพิเศษ กฎหมายท่ีเกี่ยวข้องกับการศึกษาพิเศษ การจาแนกประเภทความพิการ เพ่ือการพัฒนาเด็กท่ีมีความต้องการจาเป็นพิเศษ การวัดและประเมินผล สาหรับคนพิการหรือผู้เรียนที่มีความต้องการจาเป็นพิเศษ การประกันคุณภาพการศึกษาพิเศษ เพื่อให้ครู และผู้สนใจนาความรไู้ ปประยกุ ตใ์ ช้ในการจัดการเรียนการสอน รวมถึงการพัฒนาศักยภาพของผู้เรียนให้มี ประสทิ ธิภาพสงู ข้ึน พร้อมทั้งนาแนวทางความรแู้ นะนาแกผ่ ู้ปกครองต่อไป คณะทางาน

สำรบัญ หน้า คำนำ คำช้ีแจง สำรบญั แนวทำงกำรใช้ชดุ เอกสำรศกึ ษำดว้ ยตนเอง หน่วยที่ 1 ความรูพ้ ้นื ฐานทางการศกึ ษาพิเศษ………………………………………………………..…………………. 1 ความหมายของการศึกษาพเิ ศษ…………………………………………….………………………………….….. 1 หลักการจดั การศึกษาพเิ ศษ......………………………………………………………….……………………… 2 ปรัชญาการศึกษาพเิ ศษ............…………………………………………………………………………………… 2 เหตผุ ลความจาเปน็ และสภาพปัจจบุ ันของการจัดการศึกษาสาหรับคนพิการ..........………....... 3 การจาแนกประเภทความพกิ ารทางการศึกษา ตามประกาศกระทรวงศึกษาธกิ าร เรือ่ ง กาหนดประเภทและหลักเกณฑ์ของคนพิการทางการศึกษา พ.ศ. 2552………..……....... 6 หนว่ ยที่ 2 กฎหมายท่เี กย่ี วข้องกับการจดั การศึกษาสาหรับคนพิการ รฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศักราช 2560............................................................. 8 พระราชบญั ญัตกิ ารศกึ ษาแห่งชาติ พ.ศ.2542………………………………………………………… 8 พระราชบัญญตั ิการจดั การศึกษาสาหรบั คนพกิ าร พ.ศ. 2551และที่แก้ไขเพ่ิมเติม (ฉบบั ที่ 2) พ.ศ. 2556………………………………………………………………………..…....……..……. 9 พระราชบญั ญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวติ คนพิการ พ.ศ. 2550 และทแี่ ก้ไขเพ่ิมเตมิ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2556……………………………………………………………………………............….. 11 หนว่ ยที่ 3 จติ วทิ ยาการศึกษาเพือ่ การพฒั นาเด็กท่มี ีความต้องการจาเป็นพิเศษ................................. 17 จิตวทิ ยาพฒั นาการ………………………………………………………………………………………………….. 17 พฒั นาการของมนษุ ย์……………………………………………………………………………………………….. 18 ทฤษฎี แนวคดิ หลักการเกยี่ วกับจิตวิทยาการเรยี นรู้........................................................... 22 หน่วยที่ 4 การวัดและประเมินผลสาหรับคนพกิ ารหรือผู้เรยี นท่ีมีความตอ้ งการจาเปน็ พิเศษ…………. 28 การประเมินผลตามแผนการจดั การศกึ ษาเฉพาะบุคคล………….………………………….……… 28 แนวทางการวัดประเมินผลผเู้ รียนเรยี นรวม…………………………….…………………….………… 29 หนว่ ยที่ 5 การประกันคุณภาพการศกึ ษาพิเศษ……………………………………………………….…………… 32 มาตรฐานการศกึ ษาศูนยก์ ารศึกษาพิเศษ……………………………………………………….…..….. 32 มาตรฐานการศกึ ษาโรงเรียนเฉพาะความพกิ าร…………………………………………………..…… 33 สรปุ สำระสำคัญ…………………………………………………..……………………………………..……………………. 35

สำรบัญ (ตอ่ ) หน้า แหล่งข้อมลู เพ่มิ เติมท่ตี อ้ งศกึ ษำ บรรณำนุกรม แบบทดสอบทำ้ ยบท แบบเขียนสะทอ้ นคิด

แนวทำงกำรใชช้ ุดกำรศึกษำดว้ ยตนเอง ทำ่ นทีศ่ ึกษำเอกสำรควรปฏบิ ตั ดิ งั ตอ่ ไปน้ี 1. ศกึ ษาขอบข่ายของเน้ือหา สาระสาคัญ และจดุ ประสงค์ 2. ศึกษาขอบข่ายของเนอ้ื หาและทาความเข้าใจเน้ือหาอย่างละเอยี ด 3. ศกึ ษาแหล่งความรู้เพิม่ เติม 4. โปรดระลึกไว้เสมอว่าการศึกษาจากเอกสารด้วยตนเองเป็นเพียงส่วนหน่ึงของการพัฒนาความรู้ ด้านการศึกษาพิเศษเทา่ น้นั ควรศกึ ษาค้นควา้ และหาประสบการณ์ตรงจากแหล่งความรอู้ ่นื ๆ เพม่ิ เติม

1 หนว่ ยท่ี 1 ความรู้พ้ืนฐานทางการศึกษาพิเศษ ความหมายของการศึกษาพิเศษ ความหมายของการศึกษาพิเศษ มผี ูใ้ หค้ วามหมายไว้หลากหลาย ดังนี้ การศึกษาพิเศษ (Special Education) หมายถึง การให้การศึกษาแก่ผู้เรียนเป็นพิเศษท้ังโดยวิธี การสอน การจัดดาเนินการวิธีการสอน และการให้บริการ ทั้งนี้เพราะบุคคลเหล่านี้เป็นผู้ด้อยโอกาสและ ขาดความเสมอภาคในการได้รับสิทธิตามที่รัฐจัดการศึกษาภาคบังคับให้แก่เด็กในวัยเรียนโดยท่ัว ไปซึ่งสาเหตุ แห่งความด้อยโอกาสน้ัน เป็นผลมาจากสภาพความบกพร่องทางร่างกาย สติปัญญา และอารมณ์ นอกจากน้ี ยังรวมถึงการจัดการศึกษาให้แก่เด็กปัญญาเลิศ ซ่ึงเป็นเด็กท่ีมีระดับสติปัญญาสูงกว่าเด็กปกติ (ศรียา นิยมธรรม. 2533 อ้างใน พิมพพ์ รรณ เทพสเุ มธานนท์. 2553) การศึกษาพิเศษ หมายถึง การศึกษาท่ีจัดขึ้นสาหรับเด็กท่ีบกพร่องทางสติปัญญา เด็กท่ีบกพร่องทาง สายตา เด็กที่บกพร่องทางการได้ยิน เด็กที่บกพร่องทางร่างกายและสุขภาพ เด็กที่บกพร่องทางอารมณ์และ พฤติกรรม เด็กที่บกพร่องทางการเรียน เด็กพิการซ้าซ้อน รวมถึงการจัดการศึกษาสาหรับเด็กปัญญาเลิศและ เด็กท่ีมีความสามารถพิเศษ ซึ่งเด็กเหล่าน้ีไม่อาจได้รับประโยชน์เต็มท่ีจากการศึกษาที่จัดให้ปกติ ดังน้ัน การศึกษาพิเศษจึงแตกต่างไปจากการศึกษาสาหรับเด็กปกติในด้านเกี่ยวกับวิธีการสอน ขบวนการเนื้อหาวิชา หลักสูตร เครื่องมือ และอุปกรณ์การสอนที่จาเป็นการศึกษาพิเศษควรจัดให้สนองความต้องการและ ความสามารถของแต่ละบุคคล (ผดงุ อารยะวญิ ญู. 2542 อา้ งใน พมิ พพ์ รรณ เทพสเุ มธานนท์. 2553) การศึกษาพิเศษ หมายถึง การรักษา และป้องกัน การรักษามีลักษณะเป็นการบาบัดรักษา ความบกพร่อง ความไร้ความสามารถในการเรียนรู้ออกไป จัดหาวิธีการเรียนแบบอื่นมาทดแทนหรือชดเชย การป้องกันโดยการจัดการบริการเพื่อสนองความต้องการพิเศษของเด็กต้ังแต่ก่อนวัยเรียน ใช้ความพยายาม ในการจัดการศึกษาเพ่ือป้องกัน การไร้ความสามารถไม่ให้ขยายมากขึ้นรุนแรงมากขึ้น (พิมพ์พรรณ วรชุตินธร. 2545 อา้ งใน พิมพพ์ รรณ เทพสเุ มธานนท์. 2553) จากความหมายดังกล่าวข้างต้น สรุปได้ว่าการศึกษาพิเศษ คือ การจัดการศึกษาเพ่ือพัฒนาการเรียนรู้ ส่งเสริมศักยภาพ ฟื้นฟู บาบัด และชดเชยความบกพร่อง ให้แก่บุคคลซึ่งมีความบกพร่องทางร่างกาย จิตใจ สติปัญญา อารมณ์ สังคม การส่ือสารและการเรียนรู้ หรือมีร่างกายพิการหรือทุพพลภาพหรือบุคคล ซ่ึงไม่ สามารถพ่งึ ตนเองได้ หรือดอ้ ยโอกาส ด้วยรูปแบบท่หี ลากหลาย เปน็ พิเศษ หลักการจัดการศึกษาพิเศษ (พมิ พ์พรรณ เทพสุเมธานนท์, สวุ พิชชา ประสิทธธิ ัญกจิ , 2553) เด็กพิเศษทุกคนควรได้รับการศึกษาอย่างเพียงพอ เพ่ือพัฒนาสมรรถภาพของตนให้ถึงขั้นสูงสุด การศึกษาพิเศษจะต้องเน้นถึงความสามารถและศักยภาพของเด็กพิเศษ โดยไม่ตอกย้าความพิการของเขา แต่ ในเวลาเดยี วกนั การศึกษาพเิ ศษจะต้องปรับเปลีย่ นตามความตอ้ งการและจาเป็นของเด็กด้วย ซ่ึงหมายความว่า นกั การศกึ ษาจะต้องไมม่ องขา้ มความพกิ ารของเดก็ เหลา่ น้ัน หลกั การสาคญั ท่เี กย่ี วกับการศกึ ษาพิเศษ ได้แก่

2 1. การจดั บรกิ ารพเิ ศษต้องกระทาอยา่ งฉับพลนั ทันที ท่คี ้นพบความต้องการและจาเป็นพเิ ศษของเด็ก 2. ความพกิ ารบางประเภทควรถอื วา่ เป็นเพยี งอาการ มากกวา่ ทีจ่ ะเปน็ ความผิดปกติทางภายภาพ และ อาจปรากฏอยู่เพยี งชว่ งเวลาหน่ึงเท่านน้ั 3. เดก็ พิการคนใดคนหน่ึง อาจตอ้ งการรูปแบบการจัดการศกึ ษาพิเศษ ทีแ่ ตกต่างกันไปตามช่วงเวลาใด ชว่ งเวลาหนงึ่ ของชีวิต 4. การจดั บริการสาหรับเดก็ พเิ ศษต้องครอบคลมุ ต้ังแต่ก่อนวัยเรยี นจนถึงระดบั มัธยมศึกษา 5. การจัดการศกึ ษาพเิ ศษในสภาพแวดล้อมทจี่ ากัดน้อยที่สุด ตามความเหมาะสมย่อมเป็นการช่วยเหลือ สนับสนุนเด็กพิเศษได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย การจัดการศึกษาดังกล่าวจะต้องประสานความสามารถของครู ปกตแิ ละครกู ารศึกษาพิเศษอยา่ งมีประสิทธผิ ล ปรชั ญาการศกึ ษาพเิ ศษ จากหลักการจัดการศกึ ษาพเิ ศษข้างตน้ ก่อใหเ้ กดิ ปรัชญาการศึกษาพิเศษขึน้ ดังนี้ 1. ปรัชญาทั่วไปท่เี ป็นหลกั ฐานในการจดั การศกึ ษาพิเศษคือ 1.1 ทุกคนมีโอกาสเท่าเทียมกันในการที่จะได้รับบริการทางการศึกษา ไม่ว่าจะเป็นคนพิการหรือ คนทั่วไป เมื่อรัฐจัดการศึกษาให้แก่เด็กปกติแล้วก็ควรจัดการศึกษาให้แก่เด็กพิเศษด้วย หากเด็กพิเศษ ไม่สามารถเรียนในโปรแกรมการศึกษาท่ีรัฐจัดให้เด็กทั่วไปได้ ก็เป็นหน้าท่ีของรัฐท่ีจะจัดการศึกษาให้สนองต่อ ความตอ้ งการของเดก็ พเิ ศษเหล่านั้น 1.2 เด็กพิเศษควรได้รับการศึกษาควบคู่ไปกับการบาบัด การฟ้ืนฟูสมรรถภาพทุกด้านโดยเร็วท่ีสุด ในทันทีที่ทราบว่าเด็กมีความต้องการจาเป็นพิเศษ ท้ังนี้เพื่อเป็นการเตรียมเด็กให้มีความพร้อมที่จะเรียนต่อไป และมีพัฒนาการทกุ ดา้ นถึงขดี สูงสดุ 1.3 การจัดการศึกษาพิเศษ ควรคานึงถึงการอยู่ร่วมสังคมกับคนท่ัวไปได้อย่างมีประสิทธิภาพการ จัดการเรียนการสอนสาหรับเด็กเหล่านี้จึงควรให้เรียนร่วมกับเด็กทั่วไปให้มากท่ีสุดเท่าที่จะทาได้ เว้นแต่ เด็กพิเศษผู้น้ันมีสภาพความพิการหรือความบกพร่องในข้ันรุนแรงไม่อาจเรียนร่วมได้ อย่างไรก็ตาม เด็กพิเศษ ควรได้สมั ผัสกับสงั คมคนทัว่ ไป 1.4 การจัดการศึกษาพิเศษต้องปรับให้เหมาะกับสภาพความเสียเปรียบของเด็กพิเศษแต่ละ ประเภทโดยใชแ้ นวการจดั การศกึ ษาของเด็กทัว่ ไป 1.5 การจัดการศึกษาพิเศษและการฟ้ืนฟูบาบัดทุกด้าน ควรจัดเป็นโปรแกรมให้เป็นรายบุคคล ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนบางอย่าง อาจจัดกลุ่มเล็กสาหรับเด็กท่ีมีความบกพร่องหรือความต้องการ คล้ายคลงึ กนั และอยู่ในระดบั ความสามารถทใี่ กล้เคยี งกัน 1.6.การจัดโปรแกรมการสอนเด็กพิเศษ ควรเน้นท่ีความสามารถของเด็กและให้เด็กมีโอกาส ประสบความสาเรจ็ มากกว่าที่จะคานึงถึงความพกิ ารหรือความบกพร่องเพ่ือทาให้เด็กมีความม่ันใจว่าแม้ตนจะมี ความบกพรอ่ งก็ยังมคี วามสามารถเทา่ เทียมกับเด็กทว่ั ไปซ่งึ ชว่ ยใหเ้ ด็กสามารถปรับตวั ได้ดขี นึ้ 1.7 การศกึ ษาพิเศษควรให้เด็กมีความเข้าใจยอมรับตนเอง มีความเช่ือมั่น มีสัจการแห่งตน และมุ่ง ให้ช่วยตนไดต้ ลอดจนมคี วามรบั ผิดชอบตอ่ ตนเองและสังคม

3 1.8 การศกึ ษาพิเศษควรจดั ทาอย่างต่อเนื่อง เริ่มตั้งแต่แรกเกิดเร่ือยไป ขาดตอนไม่ได้ และควรเน้น ถึงเรื่องอาชพี ด้วย 2. ปรชั ญาเฉพาะในการจดั การศกึ ษาพเิ ศษต้งั อยู่บนรากฐานท่วี า่ 2.1 เดก็ แต่ละคนมคี วามแตกตา่ งทัง้ ดา้ นร่างกาย สติปัญญา อารมณ์ และสงั คม 2.2 เดก็ แตล่ ะคนมีพื้นฐานทีแ่ ตกต่างกันแต่ละคนจะต้องเรยี นรเู้ พอื่ ปรบั ตวั เขา้ หากนั และให้ทนั กับโลกที่กาลงั เปลยี่ นแปลง 2.3 เด็กแต่ละคนยอ่ มมีความสามารถตา่ งกัน การศกึ ษาจะชว่ ยใหค้ วามสามารถของเด็กปรากฏเด่นชัด 2.4 ในสงั คมมนษุ ยย์ ่อมมีทัง้ คนท่ัวไปและคนพิการ ซงึ่ ไมส่ ามารถแยกคนพิการออกจากคนทั่วไปได้ ควรให้เขามโี อกาสเรยี นร่วมกับเดก็ ปกติใหม้ ากทีส่ ุดเท่าที่จะทาได้ 2.5 เดก็ ที่มีความต้องการพเิ ศษจะมีความต้องการและความสามารถทางการศึกษา แตกตา่ งกบั เด็กท่วั ไป ดังนนั้ การให้การศึกษาควรมีรูปแบบและวธิ ีที่แตกตา่ งจากเด็กทัว่ ไปเพ่ือใหเ้ ด็กพัฒนาศักยภาพ ในการเรยี นรูไ้ ด้อย่างเต็มท่ี จะเห็นได้ว่าในการจัดการศึกษาพิเศษให้กับเด็กพิเศษนั้น ด้วยแนวคิดและปรัชญาที่ว่าเด็กพิการ ทุกคนมีโอกาสและสามารถเรียนรู้หรือได้รับการฝึกฝน ได้รับการบาบัด การฟ้ืนฟูสมรรถภาพให้เกิดแก่ตนเอง ครอบครวั และสังคม แตเ่ นอ่ื งจากเด็กพเิ ศษแต่ละคนแต่ละประเภทมีระดับของความต้องการแตกต่างกัน ดังนั้น การจัดการศึกษาพิเศษควรจัดให้เด็กได้พัฒนาตนเองให้เร็วท่ีสุดและมากท่ีสุดเท่าที่เป็นไปได้ (พิมพ์พรรณ เทพสเุ มธานนท์. 2553) เหตุผลความจาเป็นและสภาพปจั จบุ ันของการจัดการศกึ ษาสาหรับคนพกิ าร ทรัพยากรมนุษย์นับเป็นทุนท่ีสาคัญในการพัฒนาประเทศ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ซึ่งเป็นแผนพัฒนาประเทศ มุ่งเน้นให้ “คน” เป็นศูนย์กลางของพัฒนาประเทศโดยเครื่องมือท่ีสาคัญในการ พัฒนาทรัพยากรมนุษย์คือ “การศึกษา” ท้ังนี้เนื่องจากการศึกษาเป็นกระบวนการช่วยให้คนมีความรู้ สติปัญญา เกดิ การพัฒนาตนเองในด้านต่าง ๆ อยา่ งมคี ณุ ภาพและประสทิ ธภิ าพ ดังนน้ั รัฐบาลไทยจึงตระหนักและเล็งเห็น ความสาคัญในการส่งเสริมให้คนในประเทศได้รับการศึกษา โดยพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 กาหนดให้คนไทยทุกคนมีสิทธิและโอกาสในการเข้าถึงการศึกษาข้ันพื้นฐานไม่น้อยกว่าสิบสองปีที่รัฐต้องจัดให้ อยา่ งท่ัวถึงและมีคณุ ภาพโดยไมเ่ กบ็ ค่าใชจ้ ่าย สิทธิทางการศึกษาของคนพิการได้กาหนดไว้ในมาตรา 10 วรรคสองแห่งพระราชบัญญัติการศึกษา แห่งชาติ พ.ศ. 2542 และท่ีแก้ไขเพ่ิมเติม (ฉบับท่ี 2) พ.ศ. 2545 คนพิการมีสิทธิและโอกาสได้รับการศึกษา ข้ันพ้ืนฐานเป็นพิเศษ ให้จัดตั้งแต่แรกเกิดหรือพบความพิการโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย และให้คนพิการมีสิทธิได้รับ สง่ิ อานวยความสะดวก ส่อื บริการ และความช่วยเหลืออื่นใดทางการศึกษาตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กาหนด ในกฎกระทรวง และมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติการจัดการศึกษาสาหรับคนพิการ พ.ศ. 2551 กาหนดให้ คนพิการมีสิทธิได้รับการศึกษาโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย รวมทั้งการได้รับส่ิงอานวยความสะดวก ส่ือ บริการ และ ความช่วยเหลืออ่ืนใดทางการศึกษา โดยจัดให้อย่างท่ัวถึงและมีคุณภาพที่เหมาะสมสอดคล้องกับความต้องการ จาเปน็ พิเศษของแต่ประเภทและบุคคล

4 หนว่ ยงาน องค์กร หรือบุคคลทม่ี ีบทบาทในการจัดการศกึ ษาสาหรับคนพิการมหี ลายกลุ่มด้วยกัน ไดแ้ ก่ 1. หน่วยงานรัฐ โดยมีกระทรวงการศึกษาธิการเป็นหน่วยงานหลักในการส่งเสริมสนับสนุนให้คนพิการ ได้รับการศึกษาท่ีมีคุณภาพตามมาตรฐานทางการศึกษาของแต่ละประเภทความพิการทั้งในระบบ นอกระบบ รปู แบบการจัดมที ้งั การศกึ ษาตามอธั ยาศยั การศึกษาแบบเรียนร่วม การจดั การศึกษาพิเศษ เฉพาะความพิการ 2. ชุมชน องค์กรเอกชน ได้แก่ มูลนิธิ สมาคมหรือชมรมต่าง ๆ มีบทบาทสาคัญในการจัดการศึกษา ให้คนพิการมาโดยตลอดเช่นกัน ซึ่งมีระบบ รูปแบบ และแนวทางในการจัดกิจกรรมส่งเสริมการศึกษาและ การเรียนรู้ให้แก่คนพิการท่ีแตกต่างหลากหลายตามกลุ่มเป้าหมายแต่ละประเภทความพิการ เช่น จัดบริการ ช่วยเหลอื ระยะแรกเริ่มแก่เดก็ พกิ ารและครอบครัว จัดศูนย์เด็กเล็กเพ่ือเตรียมความพร้อมของเด็กพิการ จัดการ เรยี นการสอนในรปู แบบศูนยก์ ารเรียนของครอบครัวหรอื องค์กร เปน็ ตน้ 3. ครอบครัวหรือผู้ปกครองคนพิการ มีบทบาทสาคัญในการส่งเสริมและกระตุ้นพัฒนาการ ทางการศึกษาใหแ้ กค่ นพกิ ารทงั้ การเตรียมความพร้อมการฝกึ การส่งเสริมการเรียนรู้ การฟ้ืนฟูสมรรถภาพ ตาม ความจาเป็นเหมาะสม จะเห็นวา่ การจัดบริการทางการศึกษาให้แก่คนพิการจะมีผู้เกี่ยวข้องหลายกลุ่ม (stakeholders) และมี รูปแบบการจัดบริการท่ีหลากหลาย แต่ทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานรัฐ ชุมชน องค์กรเอกชน ครอบครัว หรือผู้ปกครองคนพิการ ต่างมเี ปา้ หมายเดียวกัน คอื ต้องการให้คนพิการได้รบั การศกึ ษาที่มีคุณภาพในทุกระดับ โดยท่วั ถงึ และเทา่ เทียมกบั คนทว่ั ไป เพื่อใหค้ นพกิ ารสามารถพฒั นาตนเองอยา่ งต่อเนื่อง การจัดการศึกษาสาหรับคนพิการ ได้พิจารณาจากการดาเนินงานขององค์กรทั้งภาครัฐและเอกชน หลายแห่ง ซ่ึงร่วมกันจัดการศึกษาในหลายรูปแบบ ท้ังการศึกษาในระบบการศึกษานอกระบบและการศึกษา ตามอัธยาศัย เพื่อสนองเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และท่ีแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับท่ี 2) พ.ศ. 2545 มาตรา 10 “การจัดการศึกษาต้องจัดให้บุคคลมีสิทธิและโอกาสเสมอกันในการรับ การศึกษาข้ันพื้นฐานไม่น้อยกว่าสิบสองปี ที่รัฐต้องจัดให้อย่างทั่วถึงและมีคุณภาพโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย การจดั การศกึ ษาสาหรับบุคคลซึ่งมีความบกพร่องทางร่างกาย จิตใจ สติปัญญา อารมณ์ สังคม การสื่อสารและ การเรียนรู้ หรือผู้มีร่างกายพิการ หรือทุพพลภาพ หรือบุคคลซ่ึงไม่สามารถพ่ึงตนเองได้ หรือไม่มีผู้ดูแล หรือ ด้อยโอกาสต้องจัดให้บุคคลดังกล่าวมีสิทธิและโอกาสได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐานเป็นพิเศษ ดังนั้น การศึกษา สาหรับคนพิการในวรรคสองได้จัดการศึกษาให้ตั้งแต่แรกเกิดหรือพบความพิการโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย และให้ บุคคลดังกล่าวมีสิทธิได้รับสิ่งอานวยความสะดวก ส่ือ บริการ และความช่วยเหลืออ่ืนใดทางการศึกษาตาม หลักเกณฑ์และวิธีการที่กาหนดในกฎกระทรวง” เพ่ือให้คนพิการได้รับบริการทางการศึกษาตรงตาม ความต้องการจาเป็นพิเศษเฉพาะบุคคล และสามารถดารงชีวิตอิสระ (Independent Living: IL) ได้ในทุกบริบท ของสงั คมภายใตน้ โยบายสังคมไทยไม่ทอดท้ิงกัน กระทรวงศกึ ษาธกิ ารแบ่งโครงสร้างการบริหารออกเป็น 5 องค์กรหลัก คือ 1) สานักงานปลัดกระทรวง ศึกษาธิการ 2) สานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา 3) สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน 4) สานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา 5) สานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา ซึ่งมีบทบาทภารกิจ ท่ีเก่ียวข้องกับการจัดการศึกษาทุกระดับและทุกประเภทการศึกษา ตามประกาศของกระทรวงศึกษาธิการ

5 รวมทงั้ การจดั การศกึ ษาสาหรบั คนพิการทุกประเภท ซ่ึงครอบคลุมการให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเร่ิม (Early Intervention : EI) การเตรียมความพร้อมและประสานส่งต่อจนถึงวัยเรียนในระดับการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน 12 ปี ระดับอาชีวศึกษา ระดับอุดมศึกษา รวมท้ังการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยด้วยรูปแบบวิธีการ ตา่ ง ๆ ตามความเหมาะสมสาหรบั คนพิการทกุ ประเภท ในปี พ.ศ. 2556-2559 ให้บริการการศึกษาสาหรับคนพิการในทุกระบบและทุกระดับการศึกษา ได้จานวนท้ังส้ิน 1,445,177 คน ซึ่งจาแนกเป็นปี 2556 จานวน 356,520 คน, ปี 2557 จานวน 404,706 คน, ปี 2558 จานวน 262,701 คน, ปี 2559 จานวน 421,250 คน (แผนการจัดการศึกษาสาหรับคนพิการ ฉบับท่ี 3 (พ.ศ.2560 – 2564) กระทรวงศึกษาธิการ, 2561) โดยครอบคลุมจานวนคนพิการทั้ง 9 ประเภทความพิการ ตามประกาศกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงศึกษาธิการได้จัดบริการการศึกษาสาหรับคนพิการทุกประเภท ความพิการ ด้วยรูปแบบการจัดการศึกษาท่ีหลากหลายและประสบผลสาเร็จในเชิงคุณภาพของการให้บริการ การศกึ ษาสาหรบั คนพกิ าร คอื 1.-หน่วยงานทเ่ี ก่ียวข้องได้มกี ารพัฒนาระบบและจัดทาฐานข้อมลู คนพิการดา้ นการศึกษา 2. คนพิการได้รับการคัดกรอง การฟื้นฟูสมรรถภาพ และได้รับการให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเริ่ม ผ่านหน่วยงานต่าง ๆ 3. มีการพัฒนารูปแบบการจัดการศึกษาที่หลากหลายท้ังในระบบ นอกระบบ ตามอัธยาศัย และ การศกึ ษาทางเลือก โดยเฉพาะศูนยก์ ารเรยี นเฉพาะความพิการ 4. ส่งเสริมสนับสนุนการจัดการศึกษาสาหรับบุคคลที่มีความต้องการจาเป็นพิเศษในรูปแบบการเรียน รวมกระจายในทุกสานักงานเขตพน้ื ทก่ี ารศึกษา เพือ่ รองรับคนพิการทุกคนให้ได้รับสิทธิและโอกาสในการศึกษา อยา่ งเสมอภาคกัน และไดม้ โี อกาสเรยี นรวมกบั นกั เรียนทัว่ ไปในโรงเรียนใกล้บา้ น 5. มีการพัฒนาหลักสูตร กระบวนการจัดการเรียนรู้ การวัดและประเมินผล ให้เหมาะสมกับความ ต้องการจาเปน็ พเิ ศษของคนพิการ 6. มีการส่งเสริมการจัดการศึกษาระบบทวิภาคีและมีสถานประกอบการท่ีรับนักเรียนนักศึกษาพิการ เข้าฝึกงานตามกฎหมายทวิภาคีโดยคนพกิ ารจะมรี ายได้ตลอดเวลาทเี่ ข้าฝกึ งานในสถานประกอบการ 7..พัฒนาครูและบุคลากรที่เกี่ยวข้องให้มีองค์ความรู้ในการจัดการศึกษาสา หรับคนพิการได้อย่าง มคี ณุ ภาพ 8. พัฒนาสถานศึกษา และแหล่งเรียนรู้สาหรับคนพิการ ให้มีสภาพแวดล้อมที่คนพิการสามารถเข้าถึง และใชป้ ระโยชนไ์ ดอ้ ย่างท่ัวถึงและเท่าเทียมเสมอภาค 9. สนับสนุนการจัดตง้ั ศนู ย์บริการนักศึกษาพกิ าร (Disability Support Services : DSS Center) 10. สนบั สนุนการเรียนการสอนตลอดจนบริการเทคโนโลยี พร้อมท้ังพัฒนาการผลิตสื่อให้กับครูผู้สอน คนพกิ ารเพ่อื นาไปจัดกระบวนการเรียนการสอนใหก้ บั คนพิการ 11. ส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาสาหรับคนพิการ โดยการพัฒนากลไกการประสานงาน เครอื ข่ายในการจดั การศกึ ษาสาหรบั คนพิการท้ังในระดับจงั หวดั อาเภอ และตาบล

6 การจาแนกประเภทความพกิ ารทางการศึกษา ตามประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง กาหนดประเภทและหลักเกณฑ์ของคนพิการทางการศึกษา พ.ศ. 2552 อาศัยอานาจตามความในมาตรา 3 และมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติการจัดการศึกษาสาหรับ คนพิการ พ.ศ. 2551 รฐั มนตรวี า่ การกระทรวง ศกึ ษาธกิ าร จงึ ออกประกาศกาหนดประเภทและหลักเกณฑ์ของ คนพิการทางการศึกษา ไวด้ ังต่อไปนี้ ข้อ 1 ประกาศนี้เรียกว่า “ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง กาหนดประเภทและหลักเกณฑ์ของ คนพิการทางการศกึ ษา พ.ศ. 2552” ขอ้ 2 ประเภทของคนพกิ าร มดี งั ตอ่ ไปน้ี (1) บุคคลทม่ี คี วามบกพร่องทางการเห็น (2) บุคคลทมี่ ีความบกพรอ่ งทางการได้ยิน (3) บุคคลที่มีความบกพร่องทางสติปญั ญา (4) บุคคลทม่ี ีความบกพรอ่ งทางร่างกาย หรือการเคลอ่ื นไหว หรอื สุขภาพ (5) บุคคลทม่ี คี วามบกพร่องทางการเรยี นรู้ (6) บคุ คลทมี่ ีความบกพร่องทางการพดู และภาษา (7) บคุ คลท่ีมคี วามบกพรอ่ งทางพฤติกรรม หรืออารมณ์ (8) บุคคลออทิสตกิ (9) บุคคลพกิ ารซ้อน ขอ้ 3 การพิจารณาบคุ คลท่ีมคี วามบกพร่องเพอื่ จัดประเภทของคนพิการ ใหม้ ีหลกั เกณฑ์ดงั ตอ่ ไปน้ี (1) บุคคลท่ีมีความบกพร่องทางการเห็น ได้แก่ บุคคลท่ีสูญเสียการเห็นตั้งแต่ระดับเล็กน้อย จนถึงตาบอดสนทิ ซึ่งแบ่งเป็น 2 ประเภทดังนี้ (1.1) คนตาบอด หมายถึง บคุ คลทสี่ ญู เสยี การเห็นมาก จนต้องใช้สื่อสัมผัสและส่ือเสียง หาก ตรวจวัดความชัดของสายตาข้างดีเมื่อแก้ไขแล้ว อยู่ในระดับ 6 ส่วน 60 เมตร (6/60) หรือ 20 ส่วน 200 ฟุต (20/200) จนถงึ ไม่สามารถรบั ร้เู รือ่ งแสง (1.2) คนเห็นเลือนราง หมายถึง บุคคลท่ีสูญเสียการเห็นแต่ยังสามารถอ่านอักษร ตัวพิมพ์ ขยายใหญ่ ด้วยอุปกรณ์เคร่ืองช่วยความพิการ หรือเทคโนโลยีส่ิงอานวยความสะดวก หากวัดความชัดเจน ของสายตาขา้ งดีเมือ่ แกไ้ ขแลว้ อยู่ในระดบั 6 ส่วน 18 เมตร (6/18) หรือ 20 ส่วน 70 ฟุต (20/70) (2) บุคคลท่ีมีความบกพร่องทางการได้ยิน ได้แก่ บุคคลที่สูญเสียการได้ยินต้ังแต่ระดับหูตึงน้อย จนถงึ หหู นวก ซงึ่ แบง่ เป็น 2 ประเภท ดังนี้ (2.1) คนหูหนวก หมายถึง บุคคลที่สูญเสียการได้ยินมากจนไม่สามารถเข้าใจการพูดผ่าน ทางการไดย้ นิ ไม่ว่าจะใส่หรือไม่ใส่เคร่ืองช่วยฟัง ซ่ึงโดยทั่วไปหากตรวจการได้ยินจะมีการสูญเสียการได้ยิน 90 เดซิเบลขนึ้ ไป (2.2) คนหูตึง หมายถึง บุคคลที่มีการได้ยินเหลืออยู่เพียงพอท่ีจะได้ยินการพูดผ่านทางการ

7 ได้ยิน โดยทั่วไปจะใส่เครื่องช่วยฟัง ซ่ึงหากตรวจวัดการได้ยินจะมีการสูญเสียการได้ยินน้อยกว่า 90 เดซิเบล ลงมา ถึง 26 เดซิเบล (3) บุคคลท่ีมีความบกพร่องทางสติปัญญา ได้แก่ บุคคลท่ีมีความจากัดอย่างชัดเจนในการปฏิบัติตน (Functioning) ในปัจจุบัน ซึ่งมีลักษณะเฉพาะคือ ความสามารถทางสติปัญญาต่ากว่าเกณฑ์เฉลี่ยอย่างมีนัยสาคัญ ร่วมกับความจากัดของทักษะการปรับตัวอีกอย่างน้อย 2 ทักษะจาก 10 ทักษะ ได้แก่ การสื่อความหมาย การ ดแู ลตนเอง การดารงชีวิตภายในบ้านทักษะทางสังคม/การมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อ่ืน การรู้จักใช้ทรัพยากรในชุมชน การรจู้ กั ดแู ลควบคุมตนเอง การนาความรู้มาใช้ในชีวิตประจาวัน การทางาน การใช้เวลาว่าง การรักษาสุขภาพ อนามยั และความปลอดภยั ทงั้ น้ีไดแ้ สดงอาการดงั กลา่ วก่อนอายุ 18 ปี (4) บคุ คลทม่ี คี วามบกพรอ่ งทางรา่ งกาย หรอื การเคลอ่ื นไหว หรือสุขภาพ ซ่งึ แบง่ เปน็ 2 ประเภท ดงั นี้ (4.1).บุคคลท่ีมีความบกพร่องทางร่างกายหรือการเคลื่อนไหว ได้แก่ บุคคลที่มีอวัยวะ ไมส่ มส่วน หรอื ขาดหายไป กระดูกหรอื กล้ามเนื้อผดิ ปกติ มีอุปสรรคในการเคล่ือนไหวความบกพร่อง ดังกล่าวอาจ เกิดจากโรคทางระบบประสาท โรคของระบบกล้ามเนื้อและกระดูกการไม่สมประกอบมาแต่กาเนิด อุบัติเหตุ และโรคตดิ ต่อ (4.2) บุคคลท่ีมีความบกพร่องทางสุขภาพ ได้แก่ บุคคลท่ีมีความเจ็บป่วยเร้ือรังหรือ มีโรคประจาตัวซึ่งจาเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง และเป็นอุปสรรคต่อการศึกษา ซึ่งมีผลทาให้เกิด ความจาเปน็ ตอ้ งไดร้ บั การศึกษาพเิ ศษ (5) บุคคลที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ ได้แก่ บุคคลท่ีมีความผิดปกติในการทางานของ สมองบางส่วน ท่ีแสดงถึงความบกพร่องในกระบวนการเรียนรู้ท่ีอาจเกิดข้ึนเฉพาะความสามารถด้านใด ด้านหน่ึง หรือหลายด้าน คือ การอ่าน การเขียน การคิดคานวณ ซึ่งไม่สามารถเรียนรู้ในด้านที่บกพร่องได้ ทง้ั ที่มีระดับสตปิ ัญญาปกติ (6) บุคคลที่มีความบกพร่องทางการพูดและภาษา ได้แก่ บุคคลที่มีความบกพร่องในการ เปล่งเสียงพูด เช่น เสียงผิดปกติ อัตราความเร็วและจังหวะการพูดผิดปกติ หรือบุคคลที่มีความบกพร่อง ในเร่ืองความเข้าใจหรือการใช้ภาษาพูด การเขียนหรือระบบสัญลักษณ์อื่นท่ีใช้ในการติดต่อสื่อสาร ซ่ึงอาจ เก่ียวกับรปู แบบ เนือ้ หา และหนา้ ท่ขี องภาษา (7) บุคคลท่ีมีความบกพร่องทางพฤติกรรมหรืออารมณ์ ได้แก่ บุคคลท่ีมีพฤติกรรมเบี่ยงเบนไป จากปกติเป็นอย่างมาก และปัญหาทางพฤติกรรมน้ันเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลจากความบกพร่องหรือ ความผิดปกติทางจิตใจหรือสมองในส่วนของการรับรู้ อารมณ์ หรือความคิด เช่น โรคจิตเภท โรคซึมเศร้า โรคสมองเส่อื ม เป็นตน้ (8) บุคคลออทิสติก ได้แก่ บุคคลท่ีมีความผิดปกติของระบบการทางานของสมองบางส่วน ซงึ่ ส่งผลต่อความบกพร่องทางพัฒนาการด้านภาษา ด้านสังคมและการปฏิสัมพันธ์ทางสังคม และมีข้อจากัดด้าน พฤติกรรม หรอื มคี วามสนใจจากัดเฉพาะเร่ืองใดเรอ่ื งหนึ่ง โดยความผิดปกตนิ ัน้ ค้นพบได้ก่อนอายุ 30 เดือน (9).บคุ คลพิการซ้อน ได้แก่ บคุ คลท่ีมีสภาพความบกพร่องหรือความพิการมากกว่าหน่ึงประเภท ในบคุ คลเดียวกัน (กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. 2556)

หนว่ ยท่ี 2 กฎหมายทเี่ กย่ี วข้องกบั การจัดการศึกษาสาหรับคนพิการ ในเอกสารชดุ ศึกษาด้วยตนเองเลม่ น้ี จะกลา่ วถงึ กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาสาหรบั คนพิการ ดงั น้ี รัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย พทุ ธศักราช 2560 มาตรา ๕๔ รัฐต้องดาเนินการใหเ้ ด็กทกุ คนได้รับการศึกษาเป็นเวลาสิบสองปี ต้ังแต่ก่อนวัยเรียนจนจบ การศึกษาภาคบังคบั อยา่ งมีคณุ ภาพโดยไมเ่ ก็บค่าใช้จ่าย รัฐต้องดาเนินการให้เด็กเล็กได้รับการดูแลและพัฒนาก่อนเข้ารับการศึกษาตามวรรคหนึ่ง เพ่ือพัฒนา ร่างกาย จิตใจ วินัย อารมณ์ สังคม และสติปัญญาให้สมกับวัย โดยส่งเสริมและสนับสนุนให้องค์กรปกครอง สว่ นทอ้ งถ่นิ และภาคเอกชนเขา้ มสี ่วนรว่ มในการดาเนินการด้วย รัฐต้องดาเนินการให้ประชาชนได้รับการศึกษา ตามความตอ้ งการในระบบตา่ งๆ รวมท้ังส่งเสรมิ ให้มกี ารเรยี นรู้ตลอดชีวิต และจัดให้มีการร่วมมือกันระหว่างรัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน และภาคเอกชนในการจัดการศึกษาทุกระดับ โดยรัฐมีหน้าท่ีดาเนินการ กากับ ส่งเสริม และสนับสนุนให้การจัดการศึกษาดังกล่าวมีคุณภาพและได้มาตรฐานสากล ท้ังนี้ ตามกฎหมายว่าด้วย การศึกษาแห่งชาติซึ่งอย่างน้อยต้องมีบทบัญญัติเกี่ยวกับการจัดทาแผนการศึกษาแห่งชาติ และการดาเนินการ และตรวจสอบการดาเนินการให้เป็นไปตามแผนการศึกษาแห่งชาติด้วย การศึกษาท้ังปวงต้องมุ่งพัฒนาผู้เรียนให้เป็นคนดี มีวินัย ภูมิใจในชาติ สามารถเชี่ยวชาญได้ตามความ ถนดั ของตน และมีความรับผิดชอบต่อครอบครัว ชมุ ชน สังคม และประเทศชาติ ในการดาเนินการให้เด็กเล็กได้รับการดูแลและพัฒนาตามวรรคสอง หรือให้ประชาชนได้รับการศึกษา ตามวรรคสาม รัฐต้องดาเนินการให้ผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์ได้รับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการศึกษาตามความ ถนัดของตน ให้จัดต้ังกองทุนเพ่ือใช้ในการช่วยเหลือผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์ เพ่ือลดความเหลื่อมล้าในการศึกษาและ เพื่อเสริมสร้างและพัฒนาคุณภาพและประสิทธิภาพครู โดยให้รัฐจัดสรรงบประมาณให้แก่กองทุนหรือ ใชม้ าตรการหรอื กลไกทางภาษีรวมทง้ั การให้ผู้บริจาคทรัพยส์ นิ เข้ากองทุนได้รับประโยชน์ในการลดหย่อนภาษี ด้วย ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ ซ่ึงกฎหมายดังกล่าวอย่างน้อยต้องกาหนดให้การบริหารจัดการกองทุน เป็นอสิ ระและกาหนดใหม้ ีการใช้จ่ายเงนิ กองทนุ เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าว พระราชบัญญัตกิ ารศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และที่แกไ้ ขเพิม่ เติม (ฉบบั ที่ 2) พ.ศ. 2545 ไดก้ ล่าวถงึ สิทธทิ างการศกึ ษาของคนพกิ ารไว้ดงั นี้ มาตรา 10 การจัดการศึกษาสาหรับบุคคลซ่ึงมีความบกพร่องทางร่างกาย จิตใจ สติปัญญา อารมณ์ สังคม การส่ือสารและการเรียนรู้ หรือมีร่างกายพิการหรือทุพพลภาพหรือบุคคล ซึ่งไม่สามารถพ่ึงตนเองได้ หรือไม่มีผูด้ แู ลหรือดอ้ ยโอกาส ต้องจดั ใหบ้ ุคคลดังกล่าวมสี ิทธแิ ละโอกาสไดร้ ับการศึกษาขั้นพน้ื ฐานเป็นพเิ ศษ การศึกษาสาหรับคนพิการในวรรคสองให้จัดตั้งแต่แรกเกิดหรือพบความพิการ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย และให้บุคคลดังกล่าวมีสิทธิได้รับสิ่งอานวยความสะดวก ส่ือ บริการ และความช่วยเหลืออ่ืนใดทางการศึกษา

ตามหลักเกณฑ์และวิธีการทก่ี าหนดในกฎกระทรวง การจัดการศึกษาสาหรับบุคคลซ่ึงมีความสามารถพิเศษ ต้องจัดด้วยรูปแบบท่ีเหมาะสม โดยคานึงถึง ความสามารถของบคุ คลนน้ั มาตรา 22 หลักการจดั การศึกษา ต้องยึดหลักว่าผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเอง ได้ และถือว่าผู้เรียนมีความสาคัญท่ีสุด กระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนา ตามธรรมชาติและเต็มศักยภาพ มาตรา 24 กระบวนการเรียนรู้ ต้องจัดเนื้อหาสาระและกิจกรรมให้สอดคลอ้ งกับความสนใจ ความถนัด และความแตกต่างของผเู้ รียน มาตรา 26 การประเมินผลการเรียนรู้ พิจารณาจากพัฒนาการของผู้เรียน ความประพฤติ สังเกต พฤติกรรมการเรียน การร่วมกิจกรรม และการทดสอบควบคู่กันไปตามความเหมาะสมของแต่ละระดับและ รูปแบบการศึกษา และให้นาผลการประเมินดังกล่าวมาใช้ประกอบการพิจารณาในการจัดสรรโอกาส การเข้าศึกษาตอ่ โดยใช้วิธีการที่หลากหลาย พระราชบัญญัตกิ ารจัดการศึกษาสาหรับคนพิการ พ.ศ. 2551 และทแ่ี ก้ไขเพม่ิ เติม (ฉบบั ที่ 2) พ.ศ. 2556 มาตรา 3 ในพระราชบญั ญตั นิ ้ี “คนพิการ” หมายความวา่ บุคคลซงึ่ มขี ้อจากัดในการปฏบิ ัติกิจกรรมในชีวิตประจาวันหรือเข้าไปมีส่วน ร่วมทางสงั คม เนื่องจากมีความบกพร่องทางการเห็น การได้ยิน การเคลื่อนไหว การส่ือสาร จิตใจ อารมณ์ พฤติกรรม สติปัญญา การเรียนรู้ หรือความบกพร่องอ่ืนใดประกอบกับมีอุปสรรคในด้านต่าง ๆ และมีความ ต้องการจาเป็นพิเศษทางการศึกษาที่จะต้องได้รับความช่วยเหลือด้านหนึ่งด้านใด เพื่อให้สามารถปฏิบัติ กิจกรรมในชวี ิตประจาวนั หรอื เข้าไปมีส่วนรว่ มทางสังคมได้อย่างบุคคลท่ัวไป ท้ังนี้ ตามประเภทและหลักเกณฑ์ ท่ีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศกึ ษาธกิ ารประกาศกาหนด “ผดู้ แู ลคนพิการ” หมายความว่า บิดา มารดา ผปู้ กครอง บุตร สามี ภรรยา ญาติ พีน่ ้องหรอื บุคคลอ่ืน ใดที่รบั ดแู ลหรือรับอุปการะคนพิการ “แผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล” หมายความว่า แผนซึ่งกาหนดแนวทางการจัดการศึกษา ทส่ี อดคลอ้ งกบั ความต้องการจาเปน็ พิเศษของคนพกิ าร ตลอดจนกาหนดเทคโนโลยี สิ่งอานวยความสะดวก ส่ือ บริการ และความช่วยเหลืออ่นื ใดทางการศึกษาเฉพาะบคุ คล “เทคโนโลยีสิ่งอานวยความสะดวก” หมายความว่า เคร่ืองมือ อุปกรณ์ ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์หรือ บริการที่ใช้สาหรับคนพิการโดยเฉพาะ หรือที่มีการดัดแปลงหรือปรับใช้ให้ตรงกับความต้องการจาเป็นพิเศษ ของคนพิการแต่ละบุคคล เพื่อเพ่ิม รักษา คงไว้ หรือพัฒนาความสามารถและศักยภาพท่ีจะเข้าถึงข้อมูล ข่าวสาร การส่ือสาร รวมถงึ กจิ กรรมอ่นื ใดในชีวติ ประจาวนั เพื่อการดารงชีวิตอสิ ระ “ครูการศึกษาพิเศษ” หมายความว่า ครูที่มีวุฒิทางการศึกษาพิเศษสูงกว่าระดับปริญญาตรีขึ้นไปหรือ ครูท่ีมีวุฒิทางการศึกษาพิเศษระดับปริญญาตรีท่ีผ่านการประเมินทักษะการสอนคนพิการตา มท่ีคณะกรรมการ ส่งเสริมการจัดการศึกษาสาหรับคนพิการกาหนด และปฏิบัติหน้าท่ีสอน จัดการศึกษา นิเทศหรือหน้าท่ีอื่น เก่ียวกบั การจดั การศึกษาสาหรับคนพกิ ารในสถานศึกษาทัง้ ของรัฐและเอกชน”

“การเรียนร่วม” หมายความวา่ การจัดให้คนพิการได้เข้าศึกษาในระบบการศึกษาทั่วไปทุกระดับ และ หลากหลายรูปแบบ รวมถึงการจัดการศึกษา ให้สามารถรองรับการเรียนการสอนสาหรับคนทุกกลุ่ม รวมทั้ง คนพกิ าร “สถานศกึ ษาเฉพาะความพิการ” หมายความว่า สถานศึกษาของรัฐหรือเอกชนที่จัดการศึกษา สาหรับ คนพกิ ารโดยเฉพาะ ทัง้ ในลกั ษณะอยูป่ ระจา ไป-กลับ และรบั บรกิ ารท่บี า้ น “ศูนย์การศึกษาพิเศษ” หมายความว่า สถานศึกษาของรัฐท่ีจัดการศึกษานอกระบบหรือตามอัธยาศัย แกค่ นพกิ าร ตงั้ แตแ่ รกเกิดหรือแรกพบความพกิ ารจนตลอดชีวิต และจัดการศึกษาอบรมแก่ผู้ดูแล คนพิการ ครู บุคลากรและชุมชน รวมท้ังการจัดส่ือ เทคโนโลยี ส่ิงอานวยความสะดวก บริการและความช่วยเหลืออื่นใด ตลอดจนปฏิบัตหิ น้าท่อี ่นื ตามที่กาหนดในประกาศกระทรวง “ศูนย์การเรียนเฉพาะความพิการ” หมายความว่า สถานศึกษาที่จัดการศึกษานอกระบบ หรือ ตามอัธยาศัยแก่คนพิการโดยเฉพาะ โดยหน่วยงานการศึกษานอกโรงเรียน บุคคล ครอบครัว ชุมชน องค์กร เอกชน องคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถิ่น องคก์ รวิชาชพี สถาบันศาสนา สถานประกอบการโรงพยาบาล สถาบันทาง การแพทย์ สถานสงเคราะห์และสถาบันทางสังคมอื่นเป็นผู้จัด ตั้งแต่ระดับการศึกษาปฐมวัย การศึกษา ข้นั พน้ื ฐาน อาชีวศึกษา อุดมศึกษาและหลกั สตู รระยะส้ัน มาตรา 5 คนพิการมสี ทิ ธิทางการศกึ ษา (1) ไดร้ บั การศึกษาโดยไม่เสยี คา่ ใชจ้ ่ายต้ังแต่แรกเกิดหรือพบความพิการจนตลอดชีวิต พร้อมทั้ง ได้รับ เทคโนโลยี ส่งิ อานวยความสะดวก ส่อื บรกิ ารและความชว่ ยเหลอื อื่นใดทางการศึกษา (2).เลือกบริการทางการศึกษา ระบบและรูปแบบการศึกษา โดยคานึงถึงความสามารถ ความสนใจ ความถนดั และความตอ้ งการจาเปน็ พิเศษของบคุ คลนัน้ (3) ได้รบั การศึกษาทม่ี ีมาตรฐานและประกันคุณภาพการศึกษา รวมการจัดหลักสูตรกระบวนการเรียนรู้ การทดสอบ ทางการศึกษาที่เหมาะสมสอดคล้องกับความต้องการจาเป็นพิเศษของคนพิการแต่ละประเภทและ บคุ คล มาตรา 7 ให้สถานศึกษาของรัฐและเอกชนที่จัดการเรียนร่วม สถานศึกษาเอกชนการกุศลที่จัด การการศึกษาสาหรับคนพิการโดยเฉพาะ และศูนย์การเรียนเฉพาะความพิการ ที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน ไดร้ ับเงนิ อุดหนุนและความชว่ ยเหลือเปน็ พิเศษจากรฐั หลักเกณฑ์และวิธีการในการรับเงินอุดหนุนและความช่วยเหลือเป็นพิเศษ ให้เป็นไปตามที่ คณะกรรมการกาหนด มาตรา 8 ให้สถานศึกษาในทุกสังกัดจัดทาแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล โดยให้สอดคล้องกับ ความต้องการจาเป็นพิเศษของคนพิการ และต้องมีการปรับปรุงแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคลอย่างน้อย ปีละหนึ่งครง้ั ตามหลกั เกณฑแ์ ละวธิ กี ารทก่ี าหนดในประกาศกระทรวง สถานศึกษาในทุกสั งกัดและศูนย์การเรียนเฉพาะความพิการอาจจัดการศึกษา สาหรับคนพิการ ทั้งในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัย ในรูปแบบท่ีหลากหลายทั้งการเรียนร่วม การจัดการศึกษาเฉพาะ ความพิการ รวมถึงการใหบ้ ริการฟื้นฟูสมรรถภาพ การพัฒนาศักยภาพในการดารงชีวิตอิสระ การพัฒนาทักษะ

พ้นื ฐานทจ่ี าเปน็ การฝกึ อาชพี หรอื การบรกิ ารอน่ื ใด ให้สถานศึกษาในทุกสังกัดจัดสภาพแวดล้อม ระบบสนับสนุนการเรียนการสอน ตลอดจนบริการ เทคโนโลยี สิ่งอานวยความสะดวก ส่ือ บริการและความช่วยเหลืออื่นใดทางการศึกษา ที่คนพิการสามารถ เขา้ ถงึ และใช้ประโยชนไ์ ด้ ให้สถานศึกษาระดับอุดมศึกษาในทุกสังกัด มีหน้าที่รับคนพิการเข้าศึกษาในสัดส่วนหรือจานวน ทเี่ หมาะสม ทั้งน้ี ให้เป็นไปตามหลกั เกณฑแ์ ละวธิ กี ารทคี่ ณะกรรมการกาหนด สถานศึกษาใดปฏิเสธไม่รบั คนพิการเข้าศกึ ษา ใหถ้ อื เปน็ การเลอื กปฏบิ ัติโดยไมเ่ ป็นธรรมตามกฎหมาย ให้สถานศึกษาหรอื หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสนับสนุนผู้ดูแลคนพิการและประสานความร่วมมือจากชุมชน หรอื นกั วิชาชีพเพือ่ ใหค้ นพกิ ารได้รบั การศกึ ษาทกุ ระดับ หรือบริการทางการศึกษาท่ีสอดคล้องกับความต้องการ จาเปน็ พิเศษของคนพกิ าร พระราชบญั ญัตสิ ง่ เสริมและพฒั นาคุณภาพชวี ิตคนพกิ าร พ.ศ. 2550 และท่แี ก้ไขเพ่มิ เตมิ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2556 มีสาระสาคัญดงั นี้ “คนพิการ” หมายความว่า บุคคลซึ่งมีข้อจากัดในการปฏิบัติกิจกรรมในชีวิตประจาวัน หรือเข้าไปมี ส่วนร่วมทางสงั คม เน่ืองจากมคี วามบกพร่องทางการเห็น การได้ยิน การเคล่ือนไหว การสื่อสาร จิตใจ อารมณ์ พฤติกรรม สติปัญญา การเรียนรู้หรือความบกพร่องอื่นใด ประกอบกับมีอุปสรรคในด้านต่าง ๆ และมีความ จาเป็นเป็นพิเศษทจ่ี ะต้องไดร้ บั ความช่วยเหลือด้านหนึ่งด้านใด เพื่อให้สามารถปฏิบัติกิจกรรมในชีวิตประจาวัน หรือเขา้ ไปมีส่วนร่วมทางสังคมไดอ้ ยา่ งบคุ คลทั่วไป ทั้งน้ีตามประเภทและหลักเกณฑ์ท่ีรัฐมนตรีว่าการกระทรวง การพฒั นาสงั คมและความมัน่ คงของมนษุ ย์ประกาศกาหนด “การฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการ” หมายความว่า การเสริมสร้างสมรรถภาพหรือความสามารถ ของคนพิการให้มีสภาพท่ีดีขึ้น หรือดารงสมรรถภาพหรือความสามารถที่มีอยู่เดิมไว้ โดยอาศัยกระบวนการ ทางการแพทย์ การศาสนา การศึกษา สังคม อาชีพ หรือกระบวนการอื่นใด เพื่อให้คนพิการได้มีโอกาสทางาน หรือดารงชวี ิตในสงั คมอย่างเตม็ ศักยภาพ “การส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิต” หมายความว่า การฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการ การจัดสวัสดิการ การส่งเสริมและพิทักษ์สิทธิ การสนับสนุนให้คนพิการสามารถดารงชีวิตอิสระ มีศักด์ิศรีแห่งความเป็นมนุษย์ และเสมอภาคกับบุคคลท่ัวไป มีส่วนร่วมทางสังคมอย่างเต็มท่ีและมีประสิทธิภาพภายใต้สภาพแวดล้อมที่ คนพกิ ารสามารถเขา้ ถึงและใชป้ ระโยชน์ได้ “ผู้ดูแลคนพิการ” หมายความว่า บิดา มารดา บุตร สามี ภรรยา ญาติ พ่ีน้อง หรือบุคคลอ่ืนใดที่รับ ดูแลหรืออุปการะคนพิการ “ผู้ช่วยคนพิการ” หมายความว่า บุคคลซึ่งให้ความช่วยเหลือคนพิการเฉพาะบุคคลเพื่อให้สามารถ ปฏบิ ตั ิกจิ วัตรท่ีสาคัญในการดารงชวี ิต ทั้งน้ี ตามระเบยี บที่คณะกรรมการกาหนด มาตรา 16 คนพิการท่ีได้รับหรือจะได้รับความเสียหายจากการกระทาในลักษณะที่เป็นการเลือกปฏิบัติ โดยไม่เป็นธรรมต่อคนพิการตามมาตรา 15 มีสิทธิร้องขอต่อคณะกรรมการให้มีคาส่ังเพิกถอนการกระทาหรือ ห้ามมิให้กระทาการนนั้ ได้ คาส่งั ของคณะกรรมการใหเ้ ปน็ ทีส่ ุด

การร้องขอตามวรรคหนึ่ง ไม่เป็นการตัดสิทธิผู้ร้องในอันที่จะฟูองเรียกค่าเสียหายฐานละเมิดต่อศาล ที่มเี ขตอานาจ โดยให้ศาลมอี านาจกาหนดค่าเสยี หายอยา่ งอน่ื อนั มใิ ชต่ วั เงนิ ใหแ้ ก่คนพกิ ารท่ีถูกเลือกปฏิบัติโดย ไม่เป็นธรรมได้ และหากการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อคนพิการนั้นเป็นการกระทาโดยจงใจหรือประมาท เลินเล่ออยา่ งร้ายแรง ศาลจะกาหนดคา่ เสียหายในเชงิ ลงโทษให้แก่คนพิการไม่เกินส่ีเท่าของค่าเสียหายท่ีแท้จริง ด้วยก็ได้ หลักเกณฑ์วิธีการและเงื่อนไขในการร้องขอการรวบรวมพยานหลักฐาน การไกล่เกลี่ยและการวินิจฉัย ตามวรรคหน่ึง ให้เป็นไปตามระเบียบท่ีคณะกรรมการกาหนด ซ่ึงคณะกรรมการอาจจัดให้มีคณะอนุกรรมการ ขจัดการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อคนพิการปฏิบัติหน้าท่ีแทนได้ ทั้งน้ี องค์ประกอบ คุณสมบัติและ ลักษณะต้องห้าม การดารงตาแหน่งและการพ้นจากตาแหน่ง อานาจหน้าท่ีและค่าตอบแทนของ คณะอนกุ รรมการหรอื ผูไ้ กลเ่ กลยี่ ให้เปน็ ไปตามที่คณะกรรมการกาหนด มาตรา 19 เพื่อประโยชน์ในการได้รับสิทธิตามมาตรา 20 คนพิการอาจยื่นคาขอมีบัตรประจาตัว คนพกิ ารต่อนายทะเบียนกลางหรือนายทะเบยี นจังหวัด ณ สานักงานทะเบียนกลาง สานักงานทะเบียน จังหวัด หรอื สถานที่อ่นื ตามระเบยี บท่ีคณะกรรมการกาหนด ในกรณีท่ีคนพิการเป็นผู้เยาว์ คนเสมือนไร้ความสามารถหรือคนไร้ความสามารถหรือในกรณี ที่คนพิการมีสภาพความพิการถึงข้ันไม่สามารถไปย่ืนคาขอด้วยตนเองได้ ผู้ปกครอง ผู้พิทักษ์ ผู้อนุบาลหรือ ผู้ดูแลคนพิการ แล้วแต่กรณี จะยื่นคาขอแทนก็ได้ แต่ต้องนาหลักฐานว่าเป็นคนพิการไปแสดงต่อนายทะเบียน กลางหรอื นายทะเบยี นจังหวดั แล้วแตก่ รณี ด้วย การยื่นคาขอมีบัตรประจาตัวคนพิการ การออกบัตร การกาหนดเจ้าหน้าท่ีผู้มีอานาจออกบัตร ประจาตัวคนพิการ การกาหนดสิทธิหรือการเปล่ียนแปลงสิทธิการขอสละสิทธิของคนพิการและอายุบัตร ประจาตวั คนพกิ าร ใหเ้ ปน็ ไปตามหลกั เกณฑว์ ธิ กี าร และเงอื่ นไขตามระเบยี บทค่ี ณะกรรมการกาหนด ในกรณีท่ีบัตรประจาตัวประชาชนสามารถบรรจุข้อมูลคนพิการได้ครบถ้วนตามพระราชบัญญัตินี้ ใหใ้ ช้บตั รประจาตัวประชาชนแทนบัตรประจาตวั คนพกิ าร มาตรา 19/1 คนพกิ ารซงึ่ ไมม่ ีสถานะการทะเบยี นราษฎรตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎร อาจ ได้รับความช่วยเหลือท่ีเหมาะสมตามหลักศักด์ิศรีความเป็นมนุษย์จากรัฐ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์วิธีการ และเงื่อนไขทีค่ ณะกรรมการกาหนดในระเบยี บ มาตรา 20 คนพิการมีสิทธิเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้จากส่ิงอานวยความสะดวกอันเป็นสาธารณะ ตลอดจนสวัสดกิ ารและความชว่ ยเหลืออน่ื จากรฐั ดังตอ่ ไปน้ี (1) การบริการฟ้ืนฟูสมรรถภาพโดยกระบวนการทางการแพทย์และค่าใช้จ่ายในการ รักษาพยาบาลค่าอุปกรณ์ เครื่องช่วยความพิการ และสื่อส่งเสริมพัฒนาการ เพื่อปรับสภาพทางร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคมพฤติกรรม สติปัญญา การเรียนรู้ หรือเสริมสร้างสมรรถภาพให้ดีข้ึน ตามท่ีรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงสาธารณสุขประกาศกาหนด (2). ก า ร ศึ ก ษ า ต า ม ก ฎ ห ม า ย ว่ า ด้ ว ย ก า ร ศึ ก ษ า แ ห่ ง ช า ติ ห รื อ แ ผ น ก า ร ศึ ก ษ า แ ห่ ง ช า ติ ตามความเหมาะสมในสถานศึกษาเฉพาะหรือในสถานศึกษาท่ัวไป หรือการศึกษาทางเลือก หรือการศึกษานอก

ระบบโดยให้หน่วยงานที่รับผิดชอบเก่ียวกับสิ่งอานวยความสะดวกส่ือ บริการ และความช่วยเหลืออื่นใด ทางการศกึ ษาสาหรบั คนพิการใหก้ ารสนับสนุนตามความเหมาะสม (3) การฟ้ืนฟูสมรรถภาพด้านอาชีพ การให้บริการท่ีมีมาตรฐาน การคุ้มครองแรงงาน มาตรการเพื่อการมีงานทา ตลอดจนได้รับการส่งเสริมการประกอบอาชีพอิสระ และบริการส่ือ ส่ิงอานวยความ สะดวกเทคโนโลยีหรือความช่วยเหลืออื่นใด เพ่ือการทางานและประกอบอาชีพของคนพิการ ตามหลักเกณฑ์ วธิ กี าร และเงอ่ื นไขท่ีรัฐมนตรวี า่ การกระทรวงแรงงานประกาศกาหนด (4) การยอมรับและมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางสังคม เศรษฐกิจและการเมืองอย่างเต็มท่ี และ มีประสทิ ธภิ าพบนพ้ืนฐานแห่งความเทา่ เทียมกับบคุ คลท่ัวไป ตลอดจนได้รับส่ิงอานวยความสะดวก และบริการ ตา่ ง ๆ ทจ่ี าเป็นสาหรับคนพกิ าร (5) การช่วยเหลือให้เข้าถึงนโยบาย แผนงาน โครงการ กิจกรรม การพัฒนาและบริการ อันเป็นสาธารณะ ผลิตภัณฑ์ที่มีความจาเป็นต่อการดารงชีวิต การช่วยเหลือทางกฎหมายและการจัดหา ทนายความวา่ ตา่ งแก้ต่างคดี ให้เปน็ ไปตามระเบียบท่คี ณะกรรมการกาหนด (6) ข้อมูลข่าวสาร การสื่อสาร บริการโทรคมนาคม เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และเทคโนโลยีสงิ่ อานวยความสะดวกเพ่ือการสือ่ สารสาหรบั คนพิการทกุ ประเภทตลอดจนบริการสื่อ สาธารณะ จากหน่วยงานของรัฐหรือเอกชนที่ได้รับงบประมาณสนับสนุนจากรัฐ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการและ เงื่อนไข ทร่ี ัฐมนตรวี ่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสารกาหนดในกฎกระทรวง (7) บรกิ ารล่ามภาษามือตามระเบยี บทค่ี ณะกรรมการกาหนด (8) สิทธิท่ีจะนาสัตว์นาทาง เครื่องมือหรืออุปกรณ์นาทาง หรือเครื่องช่วยความพิการใด ๆ ติดตัวไปในยานพาหนะหรือสถานท่ีใด ๆ เพื่อประโยชน์ในการเดินทาง และการได้รับสิ่งอานวยความสะดวก อันเป็นสาธารณะ โดยได้รับการยกเว้นค่าบริการ ค่าธรรมเนียม และค่าเช่าเพ่ิมเติมสาหรับสัตว์ เคร่ืองมือ อุปกรณ์ หรือเครอื่ งชว่ ยความพกิ ารดังกล่าว (9) การจัดสวัสดิการเบี้ยความพิการ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการท่ีคณะกรรมการกาหนด ในระเบยี บ (10) การปรับสภาพแวดล้อมท่ีอยู่อาศัย การมีผู้ช่วยคนพิการ หรือการจัดให้มีสวัสดิการอื่น ตามหลกั เกณฑ์และวธิ กี ารที่คณะกรรมการกาหนดในระเบียบ ผู้ช่วยคนพิการ ให้มีสิทธิได้รับการลดหย่อนหรือยกเว้นค่าบริการ ค่าธรรมเนียมตามระเบียบ ที่คณะกรรมการกาหนด คนพิการทไี่ มม่ ผี ูด้ แู ลคนพิการ มีสทิ ธิได้รบั การจัดสวัสดิการด้านที่อยู่อาศัยและการเลี้ยงดูจาก หน่วยงานของรัฐ ในกรณีที่มีสถานสงเคราะห์เอกชนจัดท่ีอยู่อาศัยและสวัสดิการให้แล้ว รัฐต้องจัดเงินอุดหนุน ใหแ้ กส่ ถานสงเคราะหเ์ อกชนนน้ั ตามหลักเกณฑ์และวธิ กี ารที่คณะกรรมการกาหนดในระเบียบ ผู้ดูแลคนพิการมีสิทธิได้รับบริการให้คาปรึกษา แนะนา ฝึกอบรมทักษะ การเล้ียงดู การจัดการศึกษาการส่งเสริมอาชีพและการมีงานทา ตลอดจนความช่วยเหลืออื่นใด เพื่อให้พ่ึงตนเองได้ ตามหลกั เกณฑแ์ ละวธิ กี ารทีค่ ณะกรรมการกาหนดในระเบียบ

คนพิการและผู้ดูแลคนพิการมีสิทธิได้รับการลดหย่อนภาษีหรือยกเว้นภาษีตามที่กฎหมาย กาหนด องค์กรเอกชนทจี่ ัดให้คนพิการได้รับสิทธิประโยชน์ตามมาตราน้ีมีสิทธิได้รับการลดหย่อนภาษี หรอื ยกเว้นภาษเี ปน็ ร้อยละของจานวนเงนิ ค่าใชจ้ า่ ยตามท่กี ฎหมายกาหนด มาตรา 20/1 เพ่ือประโยชนใ์ นการใชส้ ิทธิตามพระราชบัญญตั ินคี้ นพกิ ารอาจดาเนินการ ดังต่อไปนี้ (1) เสนอแนะต่อคณะกรรมการ สานักงานหรือหน่วยงานของรัฐ เพ่ือกาหนดมาตรการ ให้คนพกิ ารได้รับสิทธติ ามที่กฎหมายกาหนด (2) ร้องขอให้หน่วยงานของรัฐหรือเอกชนท่ีเก่ียวข้องจัดให้มีสนับสนุน อานวยความสะดวก หรือ ปฏิบตั อิ ยา่ งหนง่ึ อยา่ งใด เพ่อื ใหค้ นพิการสามารถใช้สิทธไิ ด้ตามท่ีกฎหมายกาหนด (3) รอ้ งขอใหห้ นว่ ยงานของรฐั หรือเอกชนพิจารณาแก้ไขปัญหาที่เก่ียวกับการเลือกปฏิบัติโดย ไม่เปน็ ธรรมตอ่ คนพิการ (4) ร้องขอให้หน่วยงานของรัฐหรือเอกชนที่ได้รับงบประมาณสนับสนุนจากรัฐช้ีแจง รายละเอียดและอานวยความสะดวกแก่คนพิการ เพื่อใหค้ นพิการเขา้ ถึงและใช้ประโยชน์จากข้อมูลข่าวสารหรือ ใช้สิทธิประโยชนข์ องตนได้ (5) ร้องขอใหห้ น่วยงานของรัฐหรือเอกชนดาเนินการแก้ไขกฎหรือระเบียบ แผนงานโครงการ หรือกิจกรรม แลว้ แต่กรณเี พอ่ื ใหค้ นพกิ ารไดร้ ับสทิ ธิตามทกี่ ฎหมายกาหนด ใน ก ร ณี ที่ ค น พิ กา ร ไม่ ส า ม า ร ถด า เ นิ น ก า ร ด้ว ย ต น เ อง ได้ ให้ ผู้ ดู แ ล ค น พิ กา ร ห รื ออง ค์ ก ร ด้านคนพิการทเ่ี กีย่ วขอ้ งเปน็ ผ้ดู าเนินการแทนได้ ในกรณีหน่วยงานของรัฐหรือเอกชนที่เกี่ยวข้องมิได้ดาเนินการภายในระยะเวลาอันสมควร ตามท่ีมีการร้องขอ ให้คนพิการ ผู้ดูแลคนพิการหรือองค์กรด้านคนพิการมีสิทธิร้องขอให้สานักงานดาเนินการ ตามมาตรา 13/1 ได้ มาตรา 20/2 ให้องค์กรด้านคนพิการหรือองค์กรอื่นใดที่ให้บริการแก่คนพิการท่ีได้รับการรับรอง มาตรฐานจากคณะกรรมการตามมาตรา 6 (10) มีสทิ ธิดาเนนิ การ ดังตอ่ ไปนี้ (1) เสนอแนะตอ่ คณะกรรมการหรอื สานกั งาน เพือ่ ปรับปรงุ สทิ ธิประโยชนแ์ กค่ นพกิ ารเพ่มิ ขน้ึ (2) เสนอแนะต่อหน่วยงานของรัฐที่มีอานาจหน้าที่รับผิดชอบ เพ่ือส่งเสริมหรือให้บริการแก่ คนพกิ ารใหไ้ ดร้ บั สทิ ธอิ ย่างครบถว้ น (3) เรียกรอ้ งแทนคนพกิ ารใหไ้ ด้รบั สิทธิสาหรบั คนพกิ ารตามพระราชบัญญตั นิ ้ี (4) ใหค้ วามชว่ ยเหลือคนพิการเพอ่ื ให้สามารถเขา้ ถงึ และใช้ประโยชน์ได้ตามพระราชบัญญัติน้ี (5) ให้บรกิ ารจัดหางานและส่งเสรมิ การมีงานทาให้แก่คนพิการ โดยอาจได้รับเงินอุดหนุนจาก กองทนุ (6).ให้บริการหรือจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมการกีฬาหรือนันทนาการสาหรับคนพิการ โดยอาจ ไดร้ ับการสนับสนุนจากรัฐ

(7) ประสานงานเกี่ยวกับงานอันมีลิขสิทธิ์ของบุคคลอ่ืนเพ่ือประโยชน์แก่คนพิการ ท้ังน้ี ตามกฎหมายว่าด้วยลิขสทิ ธิ์ (8) ขอใช้ท่ีราชพัสดุหรือทรัพย์สินอ่ืนของทางราชการเพื่อประโยชน์ในการส่งเสริมและพัฒนา คณุ ภาพชีวิตคนพกิ าร และอาจไดร้ ับยกเวน้ ค่าธรรมเนียมและคา่ ใช้จ่ายอืน่ ตามกฎหมายวา่ ด้วยการน้ัน (9) ดาเนินการตามทีส่ านักงานมอบหมายเพือ่ ให้เป็นไปตามพระราชบัญญตั ิน้ี การดาเนินการตามวรรคหน่ึง (3) ถึง (9) ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์วิธีการ และเง่ือนไข ที่คณะกรรมการกาหนดในระเบียบ มาตรา 20/3 ให้จัดตั้งศูนย์บริการคนพิการ เพื่อประโยชน์ในการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิต คนพกิ ารตามพระราชบญั ญัตินี้ ราชการสว่ นท้องถน่ิ อาจจัดตงั้ ศนู ยบ์ รกิ ารคนพกิ ารตามวรรคหน่งึ ไดโ้ ดยใชง้ บประมาณของตนเอง การจัดตั้งและการยกเลิก การกาหนดประเภทองค์กร มาตรฐานการดาเนินการ และคุณสมบัติของ ผู้ดาเนินการศูนย์บริการคนพิการ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์วิธีการ และเงื่อนไขทีคณะกรรมการกาหนด ท้ังนี้ ให้ศูนย์บริการคนพิการได้รับการสนับสนุนด้านการเงินหรือด้านอ่ืนตามระเบียบท่ีรัฐมนตรีว่าการกระทรวง การพัฒนาสังคมและความม่ันคงของมนุษย์กาหนด หรือได้รับเงินสนับสนุนจากกองทุน ตามหลักเกณฑ์ ที่คณะกรรมการกาหนด มาตรา 20/4 ให้ศนู ยบ์ รกิ ารคนพิการมอี านาจหนา้ ที่ดงั ตอ่ ไปน้ี (1) สารวจ ตดิ ตามสภาพปัญหาคนพิการ และจัดทาระบบขอ้ มูลการใหบ้ ริการในเขตพื้นที่ท่รี ับผิดชอบ (2) ให้บริการข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์สวัสดิการ และความช่วยเหลือตามที่คนพิการ ร้องขอ และตามท่ีหน่วยงานของรัฐกาหนด รวมท้ังการให้คาปรึกษาหรือช่วยดาเนินการเก่ียวกับการขอใช้สิทธิ ประโยชน์แก่คนพกิ าร (3) เรยี กร้องแทนคนพิการใหไ้ ด้รับสิทธิประโยชน์สาหรบั คนพิการตามพระราชบัญญตั นิ ้ี (4) ให้ความช่วยเหลือในการดารงชีวิตข้ันพ้ืนฐาน การฟ้ืนฟูสมรรถภาพด้านอาชีพ การฝึกอาชีพ และ การจัดหางานให้แกค่ นพกิ าร (5) ให้ความช่วยเหลือคนพิการให้ได้รับเครื่องมือหรืออุปกรณ์ตามความต้องการจาเป็นพิเศษเฉพาะ บุคคล (6).ประสาน คดั กรอง สง่ ต่อ และใหค้ วามช่วยเหลือคนพิการหรือผู้ท่ีมีแนวโน้มว่าจะพิการให้ได้รับการ ดูแลรักษาพยาบาลที่เหมาะสม (7) ประสานความช่วยเหลือกับหน่วยงานของรัฐท่ีมีอานาจหน้าที่รับผิดชอบเพื่อให้ความช่วยเหลือ คนพกิ ารตามประเภทความพิการ (8) ติดตามและประเมินผล และรายงานเกี่ยวกับการได้รับสิทธิประโยชน์ตามพระราชบัญญัตินี้และ การดารงชวี ติ ของคนพกิ าร (9) ปฏบิ ัติหน้าทอ่ี ืน่ ตามทก่ี าหนดไว้ในพระราชบัญญัตินี้หรือกฎหมายอื่น หรือตามท่ีคณะกรรมการหรือ สานักงานมอบหมาย

การให้บริการแกค่ นพิการ ให้ศนู ย์บรกิ ารคนพกิ ารปฏิบตั ิตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการกาหนด เม่ือไดร้ ับการร้องขอจากศูนยบ์ รกิ ารคนพิการ ให้หนว่ ยงานของรัฐที่มีอานาจหน้าท่ีรับผิดชอบพิจารณา และดาเนนิ การตามอานาจหน้าท่ี โดยคานึงถึงการคุ้มครองคนพกิ ารเปน็ สาคัญ ในกรณีที่มีปัญหาการดาเนินการ ให้ศูนย์บริการคนพิการรายงานต่อสานักงานเพื่อนาเสนอคณะกรรมการพิจารณาวินิจฉัยหรือดาเนินการอ่ืนใด ตามอานาจหนา้ ท่ี การกาหนดอานาจหน้าท่ีของศูนย์บริการคนพิการแต่ละประเภท การดาเนินงานและการให้บริการ แก่คนพกิ ารของศูนย์บริการคนพิการ ใหเ้ ป็นไปตามหลกั เกณฑ์ทค่ี ณะกรรมการกาหนดในระเบียบ มาตรา 21 เพื่อประโยชน์ในการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ให้ราชการส่วนท้องถิ่นออก ขอ้ บญั ญัตเิ ทศบัญญัติขอ้ กาหนด ระเบียบหรือประกาศ แล้วแตก่ รณีใหเ้ ปน็ ไปตามพระราชบัญญัตินี้ ในการดาเนินการตามวรรคหน่ึง ราชการส่วนท้องถิ่นอาจจัดสรรงบประมาณของตนเองเพ่ือตั้งเป็น กองทนุ ส่งเสรมิ และพฒั นาคุณภาพชีวติ คนพิการส่วนทอ้ งถน่ิ ได้ ท้งั นก้ี ารบรหิ ารกองทุน การจัดการกองทุน และ การอนุมตั ิการจ่ายเงิน ราชการสว่ นท้องถิน่ อาจนาระเบยี บท่ีคณะกรรมการกาหนดมาใชบ้ ังคบั โดยอนุโลมก็ได้ นอกจากนยี้ ังมีกฎ ระเบียบ ประกาศ ทเ่ี ก่ยี วข้องอืน่ ๆ อาทเิ ช่น 1. กฎกระทรวง กาหนดหลักเกณฑและวิธกี ารใหคนพิการมีสิทธไิ ดรบั ส่ิงอานวยความสะดวก ส่ือ บรกิ าร และความชวยเหลืออื่นใดทางการศึกษา พ.ศ. 2550 2. ประกาศคณะกรรมการพจิ ารณาให้คนพิการไดร้ บั สทิ ธชิ ่วยเหลือทางการศึกษา เรอ่ื ง กาหนด หลกั เกณฑแ์ ละวิธกี าร การรบั รองบุคคลของสถานศึกษาว่าเป็นคนพิการ 3. ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรือ่ ง กาหนดประเภทและหลกั เกณฑของคนพิการทางการศึกษา พ.ศ. 2552 4. ประกาศกระทรวงศึกษาธกิ าร เรอ่ื งหลกั เกณฑและวธิ กี ารจดทาแผนการจดการศึกษาเฉพาะบุคคล ระดับการศึกษาขั้นพน้ื ฐาน พ.ศ. 2552 5. ประกาศคณะกรรมการส่งเสริมการจดั การศกึ ษาสาหรบั คนพิการ เรื่อง หลักเกณฑก์ ารให้ครู การศึกษาพิเศษ ไดร้ บั การสง่ เสริมและพฒั นาศักยภาพในการจดั การศึกษาสาหรบั คนพกิ าร พ.ศ. 2552

หน่วยที่ 3 จิตวิทยาการศกึ ษาเพ่ือการพัฒนาเดก็ ท่ีมีความตอ้ งการจาเป็นพิเศษ การศึกษาพิเศษ เป็นการจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ ส่งเสริมศักยภาพ ฟ้ืนฟู บาบัด และชดเชย ความบกพร่อง ให้แก่บุคคลซึ่งมีความบกพร่องทางร่างกาย จิตใจ สติปัญญา อารมณ์ สังคม การสื่อสารและ การเรียนรู้ หรือมีร่างกายพิการหรือทุพพลภาพหรือบุคคล ซ่ึงไม่สามารถพึ่งตนเองได้ หรือด้อยโอกาส ด้วยรปู แบบที่หลากหลายเป็นพเิ ศษ ผูท้ ี่ปฏิบัติงานการจดั การศึกษากลุ่มบคุ คลดงั กลา่ วข้างต้น อาจเป็นครูผู้สอน นักสหวิชาชีพ ผู้ปกครอง หรือบุคคลอื่นที่เก่ียวข้องจาเป็นต้องเข้าใจหลักจิตวิทยาเบ้ืองต้นเพื่อให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ ระดับความสามารถ การแสดงออกทางพฤติกรรม อารมณ์ สังคมในแต่ละช่วงอายุพัฒนาการ และ นาไปใช้พัฒนา ส่งเสริมศักยภาพและจัดการเรียนรู้ให้คนพิการได้อย่างเหมาะสมสอดคล้องกับอายุ พัฒนาการ ความตอ้ งการจาเปน็ พเิ ศษ ในทน่ี ี้จะขอกลา่ วถงึ แนวคิด หลกั ารจติ วิทยาพ้นื ฐานท่ีควรศึกษา ดังน้ี จติ วิทยาพฒั นาการ จิตวิทยาพัฒนาการ ( Developmental psychology) เป็นจิตวิทยาที่ศึกษาการเปลี่ยนแปลงของ มนษุ ย์ตลอดช่วงอายุ ในระยะแรกนนั้ เน้นศกึ ษาไปท่ีทารกและเด็ก ในระยะเวลาต่อมาจึงได้ขยายไปศึกษาวัยรุ่น วัยผู้ใหญ่ วัยสูงอายุและตลอดทั้งชีวิต โดยศาสตร์ของจิตวิทยาพัฒนาการน้ีจะเน้นศึกษาทักษะการเคล่ือนไหว และสรีระร่างกาย การพัฒนาทางสติปัญญาทั้งในด้านการแก้ไขปัญหาและความเข้าใจทางด้านศีลธรรม การเข้าใจมโนทัศน์ นอกจากนี้ยังศึกษาในด้านของการพัฒนาทักษะทางภาษา สังคมและอารมณ์ รวมไปถึง ความเข้าใจในตนเอง (McLeod, 2017) มัณฑรา ธรรมบศุ ย์ (N.D.) กลา่ วถงึ จดุ มุ่งหมายการศึกษาพฒั นาการของมนษุ ย์ ดงั น้ี 1. เพื่อให้เกิดแรงจูงใจในการที่จะเข้าใจลักษณะของพัฒนาการในระยะเวลาต่าง ๆ ว่าเป็นอย่างไร และจะมีส่วนช่วยในการแก้ไขและเข้าใจปัญหาท่ีเกิดข้ึน ตามความเหมาะสมของแต่ละอายุ ท้ังนี้เพราะว่า ในการท่ีเราจะเข้าใจลักษณะต่าง ๆ ได้น้ันจะต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่างช่วยกัน เช่น ประสบการณ์ในชีวิต การได้มโี อกาสพบปะพูดคุยกับบุคคลตา่ ง ๆ 2. เพ่ือให้สามารถปรับตัวให้เข้ากับความยากลาบากของการพัฒนาการในแต่ละช่วงอายุว่ามี ความแตกต่างกันได้เป็นอย่างดี เช่น ในวัยชรา คนชราจะได้รับอิทธิพลและปัญหาต่างๆ หล่อหลอมบุคลิกภาพ ความรู้สึกนึกคิด มาต้ังแต่แรกเกิด ดังนั้นประสบการณ์ที่แต่ละคนได้รับน้ันจะแตกต่างกันออกไป สิ่งสาคัญยิ่ง คือ ประสบการณ์ท่ีแต่ละคนได้รับจะเป็นตัวหล่อหลอมให้บุคคลน้ันมีบุคลิกภาพและความเป็นเอกลักษณ์เป็น ของตนเองและจะไม่เหมอื นบุคคลอ่ืน ซ่ึงจัดว่าการท่บี คุ คลมีการยอมรับและเข้าใจตนเอง (Self actualization) นนั้ ยอ่ มมคี วามแตกตา่ งกนั การศึกษาจิตวิทยาพัฒนาการของมนุษย์จึงมีความสาคัญที่ช่วยให้ผู้ศึกษาเกิดความเข้าใจบุคคล แต่ละช่วงอายุพัฒนาการในลักษณะองค์รวมท้ังท่ีเป็นส่วนบุคคลและการอยู่รวมกันเป็นกลุ่มสังคม โดยเฉพาะ อย่างยิ่งพื้นฐานพัฒนาการของเด็กที่มีความต้องการจาเป็นพิเศษซ่ึงแต่ละบุคคลมีศักยภาพ พัฒนาการและ ความต้องการจาเปน็ พิเศษท่แี ตกต่างกัน

พฒั นาการของมนษุ ย์ สุชา จนั ทร์เอม (2540) ไดก้ ลา่ วถึงพฒั นาการของมนุษยแ์ บง่ ตามช่วงอายไุ ด้เป็น 8 ระยะ ดังน้ี 1. ระยะก่อนเกดิ )Prenatal stage) คอื ตงั้ แตเ่ ริ่มปฏสิ นธิจนถงึ ระยะคลอด 2. วัยทารก เริม่ ตัง้ แต่เกิดจนถงึ อายุ 2 ปี 3. วัยเด็ก เรม่ิ ตัง้ แต่อายุ 2 – 12 ปี 4. วัยยา่ งเข้าสู่วยั ร่นุ ปกตหิ ญิงเฉลี่ยมีอายุ 12 ปี ชายเฉลยี่ มีอายุ 14 ปี 5. วยั รนุ่ ต้งั แตอ่ ายุ 14 – 21 ปี 6. วัยผใู้ หญ่ ต้ังแต่อายุ 21 – 40 ปี 7. วัยกลางคน ตั้งแต่อายุ 40 – 60 ปี 8. วยั สงู อายุ ตง้ั แตอ่ ายุ 60 ปีข้ึนไป ระยะก่อนเกดิ (Prenatal stage) คอื ตง้ั แต่เรมิ่ ปฏิสนธจิ นถึงระยะคลอด พัฒนาการในระหว่างการตัง้ ครรภ์แบง่ ไดเ้ ปน็ 3 ระยะ ดังนี้ 1. ระยะไซโกตหรือระยะที่ไข่ผสมแล้ว (period of the zygote or ovum) นับเริ่มต้ังแต่การปฏิสนธิ จนถึงสปั ดาห์ท่ี 2 ปกติการฝังตวั จะเกิดขน้ึ ภายใน 10 วันนบั ต้งั แตเ่ ร่ิมปฏิสนธิ 2. ระยะตัวอ่อน (the embryo) เริ่มตั้งแต่ zygote เคล่ือนตัวมาเกาะที่ผนังมดลูก ประมาณสัปดาห์ท่ี 2 จนกระทั่งถึงสัปดาห์ท่ี 8 ระยะน้ีถือเป็นระยะสาคัญที่สุดของทารกในครรภ์ ตัวอ่อนจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่าง รวดเร็วและชัดเจน อวัยวะและระบบการทางานในร่างกายจะพัฒนาข้ึน เช่น ระบบประสาท ระบบหายใจ ระบบทางเดนิ อาหาร และอวยั วะตา่ ง ๆ 3. ระยะชวี ิตใหม่หรือระยะท่ีเป็นตัวเด็ก (fetus period) เร่ิมต้ังแต่สัปดาห์ท่ี 8 จนกระท่ังคลอด ระยะน้ี เปน็ ระยะทเี่ ปลี่ยนจากตวั ออ่ น (embryo) มาเป็นทารก (fetus) มารดาจะรู้สึกว่ามีทารกอยู่ในครรภ์ โดยจะเริ่ม รู้สึกว่าทารกมีการเคลื่อนไหวในสัปดาห์ที่ 16 เป็นระยะที่ใช้เวลานานที่สุด สัดส่วนโครงสร้างของร่างกาย อวัยวะและระบบต่าง ๆ ของร่างกายสมบูรณ์ยิ่งข้ึน การเจริญเติบโตจะเป็นไปอย่างรวดเร็วประมาณ 20 เท่า ของตอนเป็นตัวอ่อน เรม่ิ มีการสรา้ งขน ผม เล็บ และอวยั วะสืบพนั ธุ์ภายนอก กระดูกจะแข็งแรงขน้ึ วัยทารก เริ่มตั้งแตเ่ กดิ จนถึงอายุ ปป 2 วัยทารกเป็นวัยที่สาคัญอย่างยิ่งสาหรับการวางรากฐานของชีวิต วัยนี้เร่ิมต้ังแต่คลอดออกจากครรภ์ มารดาจนถงึ ประมาณ 2 ปแี รกของชีวติ หลงั จากที่คลอดออกมาจากครรภ์มารดาแล้ว ทารกจะต้องปรับตัวให้ เขา้ กบั สภาพแวดลอ้ มใหมเ่ พอ่ื จะไดด้ ารงชวี ิตอยู่ตอ่ ไปให้ได้ พัฒนาการด้านร่างกาย วัยทารกจะมีการเปลี่ยนแปล¬งทางด้านโครงสร้างของร่างกายและการรู้จัก ใช้อวัยวะต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว ทางการเคล่ือนไหว การใช้กล้ามเน้ือและประสาทสัมผัส ทารกที่อยู่ในช่วงนี้จึง ไมค่ อ่ ยจะอยนู่ ิง่ ชอบสารวจสง่ิ แวดลอ้ ม

พัฒนาการทางสติปัญญา สิ่งที่มีอิทธิพลต่อการพัฒนาสติปัญญาในวัยน้ี ได้แก่ โอกาสท่ีเด็กจะได้เล่น เพราะการเลน่ เป็นการสง่ เสรมิ ความเข้าใจส่ิงแวดล้อม ความสามารถที่จะเข้าใจภาษาและใช้ภาษาที่ทาให้ผู้อ่ืน เข้าใจ พัฒนาการของกล้ามเน้ือและประสาทสัมผัส เพราะระยะน้ีเด็กเรียนรู้สิ่งต่างๆ โดยอาศัยกล้ามเน้ือและ ประสาทสัมผัสเป็นสื่อเป็นส่วนใหญ่ การที่เด็กได้มีโอกาสจับ เห็น ได้ยิน ส่ิงเหล่านี้จะช่วยพัฒนาสติปัญญา อยา่ งมาก พฒั นาการทางอารมณ์ อารมณข์ องเด็กในวัยนี้จะเปล่ียนแปลงง่ายรวดเร็วข้ึนอยู่กับสิ่งเร้า อารมณ์โกรธ มีมากกว่าอารมณ์อื่น ๆ เพราะเป็นระยะที่เด็กพัฒนาความเป็นตัวของตัวเอง พยายามฝึกฝนตนเองเพื่อให้ สามารถช่วยตนเอง อารมณ์กลัวเกิดมากเป็นอันดับสองรองจากอารมณ์โกรธอารมณ์อยากรู้อยากเห็นเป็นอีก อารมณห์ นึ่งที่มีคอ่ นขา้ งมากเกิดจากความต้องการรู้จักส่ิงแวดล้อม อารมณ์ประเภทน้ีมีประโยชน์ต่อการพัฒนา สตปิ ญั ญา ถา้ บดิ ามารดาสง่ เสริมให้ถกู วธิ จี ะชว่ ยส่งเสริมการพัฒนาทางดา้ นสติปัญญาได้ พัฒนาการทางสังคม หมายถึง พฤติกรรมท่ีเด็กสร้างความสัมพันธ์กับบุคคลต่างๆ ตั้งแต่ บิดามารดา หรือผู้เล้ียงดู ขยายออกไปยังสมาชิกคนอื่น ๆ ในครอบครัว บุคคลอื่น ๆ ในชุมชน ในโรงเรียนและในสังคม ท่ีตนเองเป็นสมาชิก พฤติกรรมทางสังคมของแต่ละบุคคลจะแสดงออกมาอย่างไร ขึ้นอยู่กับอิทธิพลต่าง ๆ หลายประการท่ีบุคคลเรียนรู้และได้รับในวัยทารก เช่น ความรู้สึกท่ีเกิดขึ้นขณะท่ีเด็กได้รับอาหารการได้รับ อาหารเป็นเรื่องท่ีสาคัญมากสาหรับเด็กในวัยนี้ ฟรอยด์เชื่อว่าความสุขของคนในระยะนี้อยู่ที่การได้กินอาหาร ดังน้ันถ้าเด็กไม่มีความสุขอย่างเพียงพอเกี่ยวกับการกินอาหารจะส่งผล กระทบไปถึงการพัฒนาการทางสังคม และพัฒนาการทางอารมณ์ด้วย ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลต่างๆ ภายในบ้าน ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ในบ้านท้ังในแงด่ แี ละไม่ดีจะเปน็ รอยประทบั ไวใ้ นจิตใจของเดก็ โดยท่ีเด็กไม่ร้สู ึกตัว เด็กจะเรียนรู้และเลียนแบบ ความสัมพันธ์เหล่าน้ีไปปฏิบัติในชีวิตอนาคต การฝึกหัดให้เด็กรู้สึกเคารพระเบียบกฎเกณฑ์ต่างๆ เป็นรากฐาน ที่สาคัญของพฤตกิ รรมทางสงั คมในการอยรู่ ่วมกบั บุคคลอื่น พัฒนาการทางภาษา ทารกแรกเกิดใช้การร้องไห้การทาเสียงที่ยังไม่เป็นภาษาเป็นเครื่องสื่อ ความหมาย การฝึกในการพูดภาษาของเด็กอาศยั การเรยี นรู้และการเลียนแบบ วยั เด็ก เริ่มตั้งแต่อายุ 2 – ปป 22 แบ่งออกเปน็ 2 ช่วงอายุ ไดแ้ ก่ 1. วยั เดก็ ตอนต้นหรือระยะวัยเด็กกอ่ นเขา้ โรงเรียน เรมิ่ ต้นตัง้ แตอ่ ายุ 2 ขวบ จนถงึ 6 ขวบ พัฒนาการทางร่างกาย ในช่วงวัยนี้จะมีพัฒนาการค่อนข้างช้าเมื่อเทียบกับระยะวัยทารกสัดส่วนของ ร่างกายจะค่อย ๆ เปลี่ยนไป ฉะน้ันจึงเป็นระยะที่เหมาะที่สุดที่จะฝึกได้เล่นกีฬาประเภทเคลื่อนไหวต่าง ๆ ท่เี หมาะกับกาลงั ของเดก็ ซ่ึงจะชว่ ยการเรยี นรแู้ ละพัฒนาพฤตกิ รรมดา้ นอารมณ์ สงั คม และสตปิ ญั ญา พัฒนาการทางอารมณ์ เด็กในวัยนี้จะมีอารมณ์หงุดหงิดง่ายกว่าเด็กในวัยทารก ดื้อรั้นเอาแต่ใจ เจา้ อารมณ์ในระยะนเี้ ด็กโกรธง่ายเนอื่ งจากอยากเป็นตัวของตวั เอง ความสาเร็จในการเป็นตัวของตวั เองได้สมใจ พฒั นาการทางภาษา ในระยะนเ้ี ดก็ ใช้ภาษาพูดไดแ้ ลว้ แต่ยังไมถ่ ูกต้องสมบูรณ์ดีเท่าผู้ใหญ่ เด็กจะพัฒนา ความสามารถในการใช้ภาษาจนใช้งานได้ดีในช่วงระยะวัยเด็กตอนต้น เม่ือสิ้นสุดระยะน้ีไม่ว่าเด็กชาติไหน สามารถพูดภาษาแม่ของตนได้ดีเท่าผู้ใหญ่ วัย 6 ขวบเป็นระยะสุดท้ายของพัฒนาการ ภาษาพูด

(Speech) นอกจากภาษาพูดแลว้ เดก็ บางคนเรมิ่ พฒั นาภาษาเขียนและเริ่มอา่ นหนงั สือ พัฒนาการทางสังคม เด็กจะเร่ิมรู้จักเข้าหาผู้อื่น เร่ิมแสวงหาเพื่อนร่วมวัยเดียวกัน เด็กหญิงและ เด็กชายเริ่มมองเห็นความแตกต่างระหว่างเพศ (Sex Difference) เร่ิมตระหนักว่าตนเป็นเพศหญิงหรือ ชาย และควรจะประพฤติตนอย่างไรจึงจะสมกับเป็นผู้หญิงหรือสมกับเป็นผู้ชาย (Sexual Typing) การเรียนรู้ เหลา่ นี้ นอกจากเดก็ จะเรียนดว้ ยอาศยั การสังเกตและการเลยี นแบบแล้วยังถูกอบรมแนะนาจากผู้ใหญ่ด้วย พัฒนาการทางศีลธรรมจรรยาและค่านิยม ความนึกคิดเก่ียวกับอะไรถูกผิด เด็กยังคิดเห็นเป็นเหตุผล ดว้ ยตนเองไมไ่ ด้ ยงั ต้องอาศยั ผู้อบรมเล้ียงดูให้คาแนะนาแต่ท่ีสาคัญยิ่งกว่าคาแนะนาก็คือการทาเป็นแบบอย่าง เพ่ือใหเ้ ด็กเลยี นแบบ 2. วัยเด็กตอนต้นหรอื ระยะวัยเด็กก่อนเขา้ โรงเรียน เรมิ่ ต้นตง้ั แต่อายุ 6 ขวบ จนถงึ 12 ขวบ พัฒนาการทางร่างกาย เป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป ในระหว่างนี้เป็นระยะท่ีเด็กหญิงโตเร็วกว่าเด็กชาย วยั เดียวกันในด้านความสงู และนา้ หนกั ลักษณะเช่นนี้ยงั คงดารงต่อไปจนกระท่งั ย่างเขา้ สู่ระยะวัยรุ่นตอนปลาย เดก็ ชายจะโตทนั เด็กหญงิ และล้าหน้าเดก็ หญิง เดก็ ในวัยน้ไี มช่ อบอยู่น่ิงชอบเล่นและทากิจกรรมต่าง ๆ พัฒนาการทางสังคม มีลักษณะพัฒนาการทางสังคมที่เด่นชัด คือ เด็กเริ่มออกจากบ้านไปสู่หน่วยสังคม อื่น จุดศูนย์กลางสังคมของเด็กคือโรงเรียน เด็กจะเรียนรู้บทบาทใหม่คือการเป็นสมาชิกของกลุ่มเพ่ือนรุ่นราว คราวเดยี วกนั เด็กจะไดร้ ับการเรียนรู้ระเบยี บกฎเกณฑ์ ความประพฤตทิ ตี่ ้องปฏิบตั ใิ นสงั คม พัฒนาการทางอารมณ์ เด็กรู้จักกลัวสิ่งที่สมเหตุสมผลมากกว่าวัยก่อน เพราะความสามารถในการใช้ เหตผุ ลของเดก็ พัฒนาขน้ึ มคี วามรสู้ ึกสงสารและเหน็ อกเห็นใจ เขา้ ใจความรสู้ ึกของบคุ คลอื่นมากขน้ึ พฒั นาการทางสตปิ ัญญา เดก็ วยั นี้สามารถคิด วิเคราะห์ และแก้ปัญหาได้ชัดเจนมากขึ้น รู้จักให้เหตุผล ในการแก้ปัญหา รับผิดชอบและตัดสินใจได้ด้วยตนเองรับฟังคนอ่ืนมากข้ึน กระตือรือร้นในการแสวงหาความรู้ ชอบสร้างสรรคส์ ่งิ ใหม่ๆ เด็กวัยนจี้ ะสนใจในเร่ืองของธรรมชาติ การท่องเที่ยวสถานที่ต่างๆ โดยท่ัวไปเด็กผู้ชาย จะสนใจเรือ่ งการพสิ จู น์ ทดลอง ส่วนเด็กผูห้ ญิงจะสนใจเร่อื งการทาอาหาร เย็บปกั ถกั ร้อย การอา่ นหนงั สอื ต่าง ๆ พัฒนาการทางภาษา เด็กจะเรียนรู้คาศัพท์เพ่ิมมากขึ้น ใช้ภาษาพูดแสดงความคิดความรู้สึกได้อย่างดี ความรูส้ ึกทางด้านจริยธรรมเร่ิมพัฒนาการในระยะนี้ มีความรับผดิ ชอบมากขน้ึ เริ่มสนใจสิ่งถูกสง่ิ ผดิ วัยยา่ งเข้าสวู่ ัยรนุ่ ปกตหิ ญิงเฉล่ียมีอายุ 12 ปป ชายเฉล่ียมีอายุ 14 ปป พัฒนาการทางร่างกาย เจริญเติบโตถึงขีดสมบูรณ์ (Maturation) เพื่อทาหน้าที่อย่างเต็มท่ีโครงสร้าง กระดูกแข็งแรงขึ้น การผลิตเซลล์สืบพันธุ์ในเด็กชาย การมีประจาเดือนของเด็กหญิงสุขภาพโดยทั่วไปของเด็ก ในวยั นดี้ ีกว่าวยั ที่ผ่านมา พัฒนาการทางสังคม เด็กให้ความสาคัญกับเพ่ือนร่วมวัยมากกว่าในระยะเด็กตอนปลาย และผูกพันกับ เพื่อนในกลุ่มมากข้ึน กลุ่มของเด็กไม่มีเฉพาะเพื่อนเพศเดียวกันเท่านั้นแต่เร่ิมมีเพื่อนต่างเพศ ระยะน้ีจึงเร่ิมต้น ชีวิตกลุ่มท่ีแท้จริง (Gang Age) ส่วนสัมพันธภาพระหว่างเด็กชายเด็กหญิงเปล่ียนไปจากวัยเด็กตอนปลาย เด็กชายและเด็กหญิงเร่ิมสนใจซึ่งกันและกันและมีความพอใจในการพบปะสังสรรค์กัน ร่วมเล่น เรียน ทางาน พูดคยุ แลกเปลีย่ นความคิดเห็น

พัฒนาการทางอารมณ์ เด็กมีอารมณ์เปลี่ยนแปลงง่าย สับสน อ่อนไหว เด็กแต่ละคนเร่ิมแสดงบุคลิก อารมณ์ประจาตัวออกมาให้ผู้อ่ืนทราบได้บ้างแล้ว เช่น อามรณ์ร้อน อารมณ์ข้ีวิตกกังวล อารมณ์อ่อนไหว ง่าย เจ้าอารมณ์ ข้ีอิจฉาฯลฯ เด็กสามารถรับรู้ลักษณะเด่นด้อยเก่ียวกับตนเอง พัฒนาการทางความคิด พัฒนาการทางความคิดของเด็กอายุประมาณ 11 ขวบข้ึนไป มีช่ือเรียกรวมว่า รู้คิดถูกระบบ (Formal operation) เด็กพยายามคิดให้เหมือนผู้ใหญ่แต่ว่าด้อยกว่าผู้ใหญ่ในเชิงประสบการณ์และความชานิชานาญ ในการรู้คิด รู้จักคิดเป็นเหตุเป็นผลไม่เชื่ออะไรง่าย ๆ ต้องการคิดนึกด้วยตัวเอง ระยะนี้เด็กจึงรู้สึกชิงชังคาส่ัง บังคับ คาสัง่ ให้เชื่อและตอ้ งคลอ้ ยตาม รูจ้ กั คิดด้วยภาพความคิดในใจ (Mental images) ทาให้สามารถคิดเร่ือง นามธรรมยาก ๆ ได้ วัยร่นุ ตัง้ แต่อายุ 21 – ปป 22 ลกั ษณะอารมณ์ ลกั ษณะของอารมณส์ บื เนื่องมาจากอารมณ์ของเด็กวัยแรกรุ่น จึงคลา้ ยคลึงกนั มาก พฤติกรรมสังคม สังคมวัยรุ่นเป็นกลุ่มของเพื่อนร่วมวัย ประกอบด้วยเพ่ือนทั้ง 2 เพศ เด็กรู้สึก ปลอดโปร่ง สบายใจ ในการทากิจกรรมต่าง ๆ กับเพ่ือนร่วมวัยมากกว่ากับเพื่อนต่างวัย สัมพันธภาพกับเพ่ือน ร่วมวัยถึงความเข้มข้นสูงสุดประมาณระยะตอนกลางของวัยรุ่น การคบเพ่ือนร่วมวัยเป็นพฤติกรรมสังคมที่มี ความสาคัญต่อจติ ใจของวัยรุ่น แต่การคบเพื่อนก็ย่อมมีท้ังคุณและโทษ กลุ่มมีอิทธิพลต่อวัยรุ่น ถ้าคบเพื่อนไม่ดี ก็อาจนาไปสู่พฤตกิ รรมท่เี ป็นปญั หาได้ การเลือกอาชีพ เด็กโตพอท่ีจะรู้ถึงความสาคัญของอาชีพ เช่น อาชีพนามาซ่ึงสถานทางเศรษฐกิจสังคม เป็นตัวบ่งชี้ถึงการเจริญเติบโตเป็นผู้ใหญ่แต่เด็กยังสับสนวุ่นวายใจเนื่องจากยังไม่รู้จักตัวเองดีพอในด้าน บุคลกิ ภาพ ความถนดั ความสนใจ ความสนใจ ความสนใจมีขอบข่ายกว้างขวาง สนใจหลายอย่างแต่ไม่ลึกซึ้งมาก เพราะเด็กยังไม่เข้าใจ เร่ืองตัวเอง ยังเป็นระยะลองผิดลองถูก ความสนใจของเด็กวัยรุ่นส่วนใหญ่ ได้แก่ การนับถือวีรบุรุษ (Heroic Worship) ความต้องการเลียนแบบผู้ท่ีตนนิยมชมชอบมีมาก่อนแล้วตั้งแต่วัยเด็กก่อนวัยรุ่น แต่ความต้องการ ประเภทน้ีแรงขึ้นในระยะวัยรุ่นเพราะ ความต้องการรู้จักตนเอง การยกบุคคลมาเป็นแบบให้นับถือและ เลียนแบบช่วยลดความไม่รู้จักหรือความไม่เข้าใจตนเอง แสวงหาแบบอย่างเพื่อดาเนินรอยตามแนวทางที่ถูก ท่ีควรเพื่อดาเนนิ ชีวิตอยา่ งผใู้ หญ่ วยั ผใู้ หญ่ ตั้งแต่อายุ 22 – ปป 14 วัยผู้ใหญ่ตอนต้นเป็นระยะที่ความเจริญเติบโตทางการพัฒนาเต็มท่ีสมบูรณ์ อวัยวะทุกส่วนทางานอย่าง มีประสิทธิภาพ โดยทั่วไปบุคคลมักมีกายแข็งแรง ในด้านอารมณ์น้ันผู้ที่จะเข้าถึงภาวะอารมณ์แบบผู้ใหญ่ มีความคับข้องใจน้อย ควบคุมอามรณ์ได้ดีข้ึนมีความแน่ใจและมีความมั่นคงทางจิตใจดีกว่าในระยะวัยรุ่น ส่วนด้านความสัมพันธ์กับผู้อื่นหรือลักษณะพัฒนาการทางสังคมน้ัน ระยะนี้การให้ความสัมพันธ์กับกลุ่ม (Peer Group) เริ่มลดน้อยลง เปล่ียนมาสู่การมีสัมพันธภาพและผูกพันกับเพื่อนต่างเพศแบบคู่ชีวิตจุดศูนย์กลาง ของสัมพนั ธภาพคอื ครอบครัว ส่วนผ้ใู หญ่ทย่ี งั ไมม่ ีคคู่ รองและครอบครัว ยังคงให้ความสาคัญต่อกลุ่มเพื่อนร่วมวัย แต่ความเข้มของความผกู พนั และภกั ดีเริ่มลดนอ้ ยลงจานวนสมาชกิ ของกล่มุ มักจะน้อยลง

วยั กลางคน ตงั้ แตอ่ ายุ 14 – ปป 64 สมรรถภาพทางกายเปน็ ไปในทางเส่ือมถอยการเปลี่ยนแปลงทางกายเช่นน้ี มีผลสัมพันธ์กับอารมณ์จิตใจ และสัมพันธภาพกบั บุคคลอ่ืน ทัง้ หญิงและชายวัยกลางคนต้องปรับตัวต่อสภาพเหล่าน้ีการปรับตัวท่ีสาคัญ เช่น การปรับตัวทางอาชีพ การปรับตัวในบทบาทของสามีภรรยา การปรับตัวต่อการตายของคู่สมรสและความเป็นหม้าย การปรับตัวในชีวิตทางเพศและการเปล่ียนวัยของชาย การปรับตัวต่อภาวะวิกฤติวัยกลางคนของหญิง ในด้าน ความสัมพันธ์ของคนกลางคนต่อบุตรน้ันก็ต้องเปลี่ยนไป ระยะน้ีคนวัยกลางคนมีความสัมพันธ์กับบุตรวัยรุ่น วยั ผใู้ หญ่ เขย สะใภ้ วิธีสมั พันธน์ น้ั ต้องมีลักษณะแตกต่างไปจากเมื่อลูกยังเป็นเด็กเล็ก แต่วิธีใดจะเหมาะสมนั้น แตกต่างกันไปในแตล่ ะบคุ คลและครอบครวั คนวัยกลางคนตอ้ งให้ความโอบอุ้มดแู ลพ่อแมข่ องตนซึ่งเข้าสู่วัยชรา อารมณป์ ระจาวยั มีหลายประการทีส่ าคัญ เชน่ อารมณ์อยากกลับเปน็ หนมุ่ สาวอารมณเ์ ศร้าและลักษณะอารมณ์ ของหญงิ กลางคนเมื่อหมดระดู คนวยั กลางคนควรมกี จิ กรรมท่ีเป็นงานอดิเรกเพ่ือผ่อนคลายความตึงเครียดและ เตรยี มตวั เตรยี มใจเพ่ือเข้าสูว่ ยั ชราดว้ ยความสขุ สงบในด้านต่าง ๆ เช่น การดแู ลรักษาสุขภาพ การจัดสวน เปน็ ต้น วัยสูงอายุ ต้งั แต่อายุ ปปขึ้นไป 64 วัยชราเป็นระยะสุดท้ายของชีวิตลักษณะพัฒนาการในวัยชราตรงกันข้ามกับระยะวัยเด็กคือเป็นความ เสื่อมโทรม (Deterioration) และซ่อมแซมส่วนท่ีสึกหรอมิใช่การเจริญงอกงาม วัยชราเป็นระยะสุดท้ายของ พัฒนาการของคน วัยชรามีความเสื่อมทางร่างกายอย่างเห็นได้ชัดความเส่ือมดังกล่าวส่งผลกระทบต่องาน อาชีพ ลักษณะอารมณ์ ลักษณะสัมพันธภาพกับบุคคลในครอบครัวในสังคม แม้เป็นระยะแห่งความเส่ือม แต่ บุคคลก็อาจใช้ชวี ิตวัยชราไดอ้ ย่างมีความสุขคอื ตอ้ งมกี ารเตรยี มตัวเตรยี มใจที่จะเผชิญกับความชรา รู้จักปรับตัว ทางดา้ นรา่ งกาย อาชีพและสมั พันธภาพกับผู้อื่น สังคมและครอบครัวจะมีส่วนช่วยให้ความสุขแก่คนชรา แม้ว่า คนชราจะไรค้ วามสามารถดา้ นพละกาลังแตค่ นชรายงั มีค่าต่อคนหนุ่มสาว เพราะมากไปด้วยประสบการณ์และ บทเรียนชีวิต มนุษย์แต่ละคนควรต้ังความหวังความปรารถนาและเตรียมตัวเพ่ือจะใช้ชีวิตยามบ้ันปลายระยะ วัยชราอยา่ งมีความสขุ (สชุ า จนั ทรเ์ อม, 2540) จากความรู้พัฒนาการมนุษย์ดังกล่าวเห็นได้ว่ามนุษย์แต่ละช่วงวัยมีพัฒนาการ ลักษณะ พฤติกรรม ความตอ้ งการที่แตกตา่ งกัน หากผูท้ ่ปี ฏบิ ัติงานกับเด็กที่มีความต้องการจาเป็นพิเศษมีความรู้ความเข้าใจจะช่วย ให้มกี ารจดั กระบวนการเรียนรู้ สง่ เสริมศกั ยภาพได้เหมาะสมสอดคล้องกับความต้องการจาเป็นพิเศษของแต่ละ บคุ คลได้อย่างเหมาะสมและมปี ระสิทธิภาพ ทฤษฎี แนวคิด หลักการเกียวกับจิตวิทยาการเรยี นรู้ การเรียนรู้คือกระบวนการท่ีทาให้คนเปล่ียนแปลงพฤติกรรม ความคิด คนสามารถเรียนได้จาก การได้ยิน การสมั ผัส การอา่ น การใช้เทคโนโลยี การเรียนรู้ของเด็กและผู้ใหญ่จะต่างกัน เด็กจะเรียนรู้ด้วยการ เรียนในห้อง การซักถาม ผู้ใหญ่มักเรียนรู้ด้วยประสบการณ์ท่ีมีอยู่ แต่การเรียนรู้จะเกิดขึ้นจากประสบการณ์ ที่ผู้สอนนาเสนอ โดยการปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้สอนและผู้เรียน ผู้สอนจะเป็นผู้ท่ีสร้างบรรยากาศทางจิตวิทยา ท่ีเอ้ืออานวยต่อการเรียนรู้ ท่ีจะให้เกิดข้ึนเป็นรูปแบบใดก็ได้เช่น ความเป็นกันเอง ความเข้มงวดกวดขัน หรือ

ความไม่มรี ะเบียบวนิ ยั สง่ิ เหลา่ นผ้ี ูส้ อนจะเป็นผู้สรา้ งเง่ือนไข และสถานการณ์เรียนรู้ให้กับผู้เรียน ดังน้ัน ผู้สอน จะต้องพิจารณาเลือกรูปแบบการสอน รวมท้ังการสร้างปฏิสัมพันธ์กับผู้เรียน. (จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี https://th.wikipedia.org/wiki/ทฤษฎกี ารเรยี นร)ู้ นกั จติ วิทยาหลายทา่ นให้ความหมายของการเรยี นรู้ไว้ เช่น คิมเบิล ( Kimble , 1964 ) “การเรียนรู้ เป็นการเปล่ียนแปลงคอ่ นขา้ งถาวรในพฤติกรรมอันเปน็ ผล มาจากการฝกึ ที่ไดร้ บั การเสริมแรง” คอนบาค ( Cronbach ) “การเรียนรู้ เปน็ การแสดงให้เหน็ ถึงพฤติกรรมทีม่ ีการเปลีย่ นแปลง อันเป็นผลเนื่องมาจากประสบการณ์ท่ีแต่ละบุคคลประสบมา” พจนานกุ รมของเวบสเตอร์ (Webster 's Third New International Dictionary) “การเรียนรู้ คอื กระบวนการเพิ่มพนู และปรุงแต่งระบบความรู้ ทักษะ นิสัย หรอื การแสดงออกตา่ งๆ อนั มผี ลมาจากสิง่ กระตุ้นอนิ ทรยี โ์ ดยผ่านประสบการณ์ การปฏบิ ตั ิ หรือการฝึกฝน\" จดุ ม่งุ หมายของการเรียนรู้ พฤติกรรมการเรียนรู้ตามจุดมุ่งหมายของนักการศึกษาซ่ึงกาหนดโดย บลูม และคณะ (Bloom and Others ) มุง่ พฒั นาผเู้ รยี นใน 3 ด้าน ดังนี้ 1. ด้านพทุ ธพิ สิ ยั (Cognitive Domain) คือ ผลของการเรียนรทู้ เ่ี ป็นความสามารถทางสมอง ครอบคลุม พฤติกรรมประเภทความจา ความเข้าใจ การนาไปใช้การวิเคราะห์ การสังเคราะหแ์ ละประเมินผล 2. ด้านเจตพิสัย (Affective Domain ) คือ ผลของการเรยี นรทู้ ีเ่ ปลยี่ นแปลงดา้ นความรู้สึก ครอบคลุม พฤติกรรมประเภท ความรสู้ กึ ความสนใจ ทศั นคติ การประเมนิ ค่าและค่านยิ ม 3. ด้านทักษะพิสัย (Psychomotor Domain) คือ ผลของการเรียนรู้ท่ีเปน็ ความสามารถดา้ นการปฏิบัติ ครอบคลุมพฤติกรรมประเภทการเคลื่อนไหว การกระทา การปฏิบัตงิ าน การมีทักษะและความชานาญ ธรรมชาติของการเรยี นรู้ การเรียนรูเ้ ป็นกระบวนการ การเกิดการเรียนรู้ของบุคคลจะมกี ระบวนการของการเรียนรู้จากการไม่รู้ ไปสู่การเรียนรู้ 5 ขน้ั ตอน คือ 1. มีสิง่ เร้ามากระตุน้ บคุ คล 2. บุคคลสมั ผสั ส่งิ เร้าด้วยประสาททง้ั 5 3. บุคคลแปลความหมายหรือรบั รสู้ งิ่ เร้า 4. บคุ คลมีปฏกิ ิริยาตอบสนองอย่างใดอยา่ งหน่ึงตอ่ สงิ่ เรา้ ตามท่รี บั รู้ 5. บคุ คลประเมนิ ผลท่ีเกดิ จากการตอบสนองตอ่ ส่งิ เร้า ทฤษฎีการเรียนรู้ (Theory of Learning) ทฤษฎกี ารเรยี นรมู้ อี ิทธิพลตอ่ การจดั การเรียนการสอนมาก เพราะจะเป็นแนวทางในการกาหนดปรัชญา การศึกษาและการจดัประสบการณ์ เนื่องจากทฤษฎีการเรียนรู้เป็นสิ่งที่อธิบายถึงกระบวนการ วิธีการและ เง่อื นไขทจี่ ะทาใหเ้ กิดการเรียนรูแ้ ละตรวจสอบว่าพฤติกรรมของมนุษย์ มีการเปล่ยี นแปลงได้อยา่ งไร

ทฤษฎีการเรยี นรู้ท่สี าคญั แบ่งออกได้ 2 กลมุ่ ใหญ่ๆ คอื 1. ทฤษฎีกลมุ่ สมั พนั ธ์ต่อเนื่อง (Associative Theories) 2. ทฤษฎีกลุม่ ความรู้ความเข้าใจ (Cognitive Theories) ทฤษฎกี ารเรียนรกู้ ลมุ่ สัมพนั ธต์ อ่ เนื่อง ทฤษฎีน้ีเห็นว่าการเรียนรู้เกิดจากการเชื่อมโยงระหว่างส่ิงเร้า (Stimulus) และการตอบสนอง (Response) ปัจจุบันเรียกนักทฤษฎีกลุ่มนี้ว่า \"พฤติกรรมนิยม\" (Behaviorism) ซึ่งเน้นเกี่ยวกับกระบวนการ เปล่ียนแปลง พฤติกรรมที่มองเห็น และสังเกตได้มากกว่ากระบวนการคิด และปฏิกิริยาภายในของผู้เรียน ทฤษฎกี ารเรียนรกู้ ลุ่มน้แี บ่งเป็นกล่มุ ยอ่ ยได้ ดงั นี้ 1. ทฤษฎกี ารวางเง่ือนไข (Conditioning Theories) 1.1 ทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบคลาสสคิ (Classical Conditioning Theories) 1.2 ทฤษฎกี ารวางเงือ่ นไขแบบการกระทา (Operant Conditioning Theory) 2. ทฤษฎสี ัมพันธ์เชอื่ มโยง (Connectionism Theories) 2.1 ทฤษฎสี ัมพันธเ์ ชอ่ื มโยง (Connectionism Theory) 2.2 ทฤษฎสี ัมพันธ์ตอ่ เนื่อง (S-R Contiguity Theory) ทฤษฎีกลุ่มความร้คู วามเขา้ ใจ (Cognitive Theories) ทฤษฎีการเรียนรู้ท่ีมองเห็นความสาคัญของกระบวนการคิดซึ่งเกิดข้ึนภายในตัวบุคคลในระหว่างการ เรียนรู้มากกว่าสิ่งเร้าและการตอบสนอง นักทฤษฎีกลุ่มนี้เชื่อว่า พฤติกรรมหรือการตอบสนองใด ๆ ที่บุคคล แสดง ออกมานนั้ ตอ้ งผ่านกระบวนการคดิ ท่เี กิดข้นึ ระหว่างทีม่ สี ิ่งเรา้ และการตอบสนอง ซ่ึงหมายถึงการหย่ังเห็น (Insight) คือความรู้ความเข้าใจในการแก้ปัญหา โดยการจัดระบบการรับรู้แล้วเชื่อมโยงกับประสบการณ์เดิม ทฤษฎีการเรียนรกู้ ลมุ่ น้ยี งั แบง่ ยอ่ ยไดอ้ กี ดังน้ี 1. ทฤษฎกี ลุม่ เกสตลั ท์ (Gestalt's Theory) 2. ทฤษฎีสนามของเลวิน ( Lewin's Field Theory) ทฤษฎีการเรียนรู้เหล่านี้ผู้ศึกษาสามารถศึกษาค้นคว้าจากแหล่งเรียนรู้ท่ัวไปได้ ในที่นี้จะขอกล่าวเพียง ทฤษฎีการวางเง่ือนไข (Conditioning Theories) คือทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบคลาสสิค (Classical Conditioning Theories) และทฤษฎกี ารวางเงอื่ นไขแบบการกระทา (Operant Conditioning Theory) ทฤษฎกี ารวางเง่ือนไขแบบคลาสสคิ ทฤษฎีการวางเง่ือนไขแบบคลาสสิค เป็นทฤษฎีอธิบายถึงการเรียนรู้ที่เกิดจากการเชื่อมโยงระหว่าง ส่ิงเร้าตามธรรมชาติ และส่ิงเร้าที่วางเง่ือนไขกับการ ตอบสนอง พฤติกรรมหรือการตอบสนองท่ีเก่ียวข้องมักจะ เป็นพฤติกรรมที่เป็นปฏิกิริยาสะท้อน (Reflex) หรือพฤติกรรมท่ีเก่ียวข้องอารมณ์ ความรู้สึก บุคคลสาคัญของ ทฤษฎนี ้ี ไดแ้ ก่ Pavlov, Watson, Wolpe etc. Ivan P. Pavlov

หลกั การเกิดการเรยี นรทู้ ี่เกดิ ขึ้น คอื การตอบสนองทเ่ี กิดจากการวางเง่ือนไข (CR) เกดิ จากการนาเอาส่งิ เรา้ ทว่ี างเงอื่ นไข (CS) มาเข้าคูก่ ับส่งิ เร้าที่ไม่ได้วางเง่ือนไข (UCS) ซา้ กนั หลาย ๆ ครัง้ ตอ่ มาเพยี งแตใ่ หส้ ง่ิ เรา้ ที่ วางเง่ือนไข (CS) เพยี งอยา่ งเดียวกม็ ผี ลทาใหเ้ กิดการตอบสนองในแบบเดยี วกัน ผลจากการทดลอง Pavlov สรปุ หลกั เกณฑข์ องการเรยี นรไู้ ด้ 4 ประการ คอื 1. การดับสูญหรือการลดภาวะ (Extinction) เมื่อให้ CR นาน ๆ โดยไม่ให้ UCS เลย การตอบสนอง ทีม่ เี งอ่ื นไข (CR) จะคอ่ ย ๆ ลดลงและหมดไป 2. การฟ้ืนกลับหรือการคืนสภาพ (Spontaneous Recovery) เมื่อเกิดการดับสูญของการตอบสนอง (Extinction) แล้วเว้นระยะการวางเงื่อนไขไปสักระยะหนึง่ เมื่อให้ CS จะเกดิ CR โดยอตั โนมตั ิ 3. การแผข่ ยาย หรอื การสรุปความ (Generalization) หลังจากเกิดการตอบสนองที่มีเง่ือนไข (CR) แล้ว เม่ือใหส้ ง่ิ เร้าทวี่ างเง่ือนไข (CS) ท่คี ล้ายคลึงกนั จะเกดิ การตอบสนองแบบเดียวกนั 4. การจาแนกความแตกต่าง (Discrimination) เมื่อให้ส่ิงเร้าใหม่ท่ีแตกต่างจากสิ่งเร้าที่วางเงื่อนไข จะมี การจาแนกความแตกตา่ งของส่ิงเร้า และมีการตอบสนองทแี่ ตกต่างกันด้วย ทฤษฎีการวางเงอ่ื นไขแบบการกระทา (Operant Conditioning Theory) B.F. Skinner (1904 - 1990) นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน ได้ทาการทดลองด้านจิตวิทยาการศึกษาและ วิเคราะห์สถานการณ์การเรียนรู้ที่มีการตอบสนองแบบแสดงการกระทา (Operant Behavior) สกินเนอร์ ไดแ้ บง่ พฤติกรรมของสิ่งมีชวี ิตไว้ 2 แบบ คอื 1. Respondent Behavior พฤติกรรมหรือการตอบสนองที่เกิดข้ึนโดยอัตโนมัติ หรือเป็นปฏิกิริยา สะทอ้น (Reflex) ซึ่งสิ่งมีชีวิตไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ เช่น การกระพริบตา น้าลายไหล หรือ การเกิด อารมณ์ ความรู้สกึ ต่าง ๆ 2. Operant Behavior พฤติกรรมท่ีเกดิ จากสิ่งมชี ีวติ เป็นผู้กาหนดหรือเลือกท่ีจะแสดงออกมา ส่วนใหญ่ จะเปน็ พฤตกิ รรมท่ีบคุ คลแสดงออกในชวี ิตประจาวนั เช่น กิน นอน พูด เดิน ทางาน ขบั รถ ฯลฯ การเรียนรู้ตามแนวคิดของสกินเนอร์ เกิดจากการเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้ากับการตอบสนองเช่นเดียวกัน แต่สกินเนอร์ให้ความสาคัญต่อการตอบสนองมากกว่าส่ิงเร้า จึงมีคนเรียกว่าเป็นทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบ Type R นอกจากน้ีสกินเนอร์ให้ความสาคัญต่อการเสริมแรง (Reinforcement) ว่ามีผลทาให้เกิดการเรียนรู้ ท่ีคงทน ถาวร ย่ิงขึ้นด้วย สกินเนอร์ได้สรุปไว้ว่า อัตราการเกิดพฤติกรรมหรือการตอบสนองขึ้นอยู่กับผลของ การกระทา คอื การเสรมิ แรง หรือการลงโทษ ทัง้ ทางบวกและทางลบ การนาหลกั การมาประยกุ ตใ์ ช้ 1. การเสรมิ แรง และ การลงโทษ 2. การปรบั พฤตกิ รรม และ การแต่งพฤติกรรม 3. การสร้างบทเรียนสา เร็จรปู (จากศูนยต์ วิ สอบ : ธีรภทั ร ตวเิ ตอร์ : www.tw-tutor.com จาก file:///E:/จติ วิทยาเด็กพเิ ศษ/ leanning.pdf)

แนวคดิ หลักการเรยี นรู้ของนักการศึกษา นักการศึกษาหลายท่านได้กล่าวถึงแนวและคิดหลักการเรียนรู้ไว้อย่างน่าสนใจซึ่งสามารถนามา ประยุกตใ์ ช้ในการจดั การเรยี นการสอนใหเ้ หมาะสมกบั ผูเ้ รียน อาทิ Bloom ได้แบง่ การเรียนรู้เปน็ 6 ระดับ  ความร้ทู ี่เกิดจากความจา (knowledge) ซึ่งเป็นระดับลา่ งสดุ  ความเขา้ ใจ (Comprehend)  การประยุกต์ (Application)  การวเิ คราะห์ (Analysis) สามารถแกป้ ัญหา ตรวจสอบได้  การสงั เคราะห์ (Synthesis) สามารถนาสว่ นต่างๆ มาประกอบเป็นรูปแบบใหม่ไดใ้ หแ้ ตกตา่ ง จากรูปเดมิ เน้นโครงสรา้ งใหม่  การประเมนิ ค่า (Evaluation) วัดได้ และตัดสนิ ไดว้ า่ อะไรถูกหรือผดิ ประกอบการตัดสินใจ บนพ้นื ฐานของเหตผุ ลและเกณฑ์ที่แนช่ ดั กาเย่ (Gagne) ไดก้ ล่าวถงึ องคป์ ระกอบทสี่ าคญั ท่ีก่อให้เกิดการเรยี นรู้ ดงั น้ี  ผ้เู รยี น (Learner) มีระบบสัมผัสและ ระบบประสาทในการรับรู้  สิ่งเรา้ (Stimulus) คือ สถานการณต์ ่าง ๆ ทเ่ี ปน็ ส่งิ เร้าให้ผ้เู รยี นเกดิ การเรยี นรู้  การตอบสนอง (Response) คอื พฤตกิ รรมทเ่ี กิดข้ึนจากการเรยี นร้กู ารสอนดว้ ยส่อื ตามแนวคิด ของกาเย่ (Gagne)  เรา้ ความสนใจ มโี ปรแกรมท่ีกระต้นุ ความสนใจของผ้เู รียน เช่น ใช้ การต์ ูน หรอื กราฟกิ ท่ีดงึ ดูด สายตา  ความอยากรู้อยากเหน็ จะเป็นแรงจูงใจใหผ้ ้เู รียนสนใจในบทเรียน การตง้ั คาถามกเ็ ปน็ อีกสงิ่ หนึง่  บอกวัตถปุ ระสงค์ ผเู้ รยี นควรทราบถึงวตั ถปุ ระสงค์ ให้ผู้เรียนสนใจในบทเรียนเพ่ือให้ทราบว่า บทเรียนเก่ยี วกบั อะไร  กระตุ้นความจาผ้เู รยี น สรา้ งความสมั พันธใ์ นการโยงข้อมูลกบั ความรู้ที่มอี ยู่ก่อน เพราะสิ่งนี้สามารถ ทาให้เกิดความทรงจาในระยะยาวได้เมอ่ื ไดโ้ ยงถึงประสบการณผ์ ู้เรยี น โดยการต้งั คาถาม เก่ียวกบั แนวคิด หรอื เนอื้ หานนั้ ๆ  เสนอเน้อื หา ขน้ั ตอนนจ้ี ะเป็นการอธิบายเน้ือหาให้กับผเู้ รียน โดยใชส้ ่อื ชนดิ ตา่ ง ๆ ในรูปกราฟิก หรอื เสียง วดิ โี อ  การยกตวั อย่าง การยกตวั อย่างสามารถทาไดโ้ ดยยกกรณีศึกษา การเปรยี บเทียบ เพอ่ื ให้เข้าใจได้ ซาบซึง้  การฝกึ ปฏบิ ตั ิ เพอื่ ใหเ้ กดิ ทกั ษะหรือพฤตกิ รรม เป็นการวดั ความเขา้ ใจว่าผู้เรยี นไดเ้ รยี นถูกตอ้ ง เพอ่ื ใหเ้ กิดการอธบิ ายซ้าเม่ือรบั สิง่ ที่ผิด  การใหค้ าแนะนาเพ่มิ เติม เช่น การทาแบบฝึกหดั โดยมีคาแนะนา  การสอบ เพ่ือวัดระดับความเขา้ ใจ

 การนาไปใช้กับงานที่ทาในการทาส่อื ควรมี เนื้อหาเพ่ิมเติม หรอื หวั ข้อต่างๆ ทค่ี วรจะรู้เพิ่มเติม บรเู นอร์ (Bruner) มแี นวคดิ เก่ียวกบั การเรยี นรู้ ดังนี้  ความรถู้ ูกสร้างหรือหล่อหลอมโดยประสบการณ์  ผู้เรียนมีบทบาทรับผดิ ชอบในการเรียน  ผเู้ รียนเป็นผสู้ รา้ งความหมายขึ้นมาจากแง่มุมตา่ งๆ  ผ้เู รียนอยู่ในสภาพแวดลอ้ มท่เี ป็นจริง  ผู้เรียนเลอื กเน้ือหาและกิจกรรมเอง  เนอ้ื หาควรถูกสร้างในภาพรวม (จากวิกพิ ีเดยี สารานกุ รมเสรี https://th.wikipedia.org/wiki/ทฤษฎีการเรียนรู้) แนวคิด หลักการและทฤษฎีจิตวิทยาพัฒนาการและจิตวิทยาการเรียนรู้มีความสาคัญที่ครูผู้สอน ผูป้ กครองและบคุ คลท่ีเก่ียวขอ้ งควรศึกษาให้มีความรู้ ความเข้าใจเพื่อนเป็นแนวทางนามาปรับใช้ในการพัฒนา ศกั ยภาพคนพกิ ารหรือผเู้ รยี นทม่ี ีความตอ้ งการจาเป็นพิเศษ

หน่วยท่ี 4 การวัดและประเมนิ ผลสาหรบั คนพิการหรือผเู้ รียนท่มี ีความต้องการจาเป็นพเิ ศษ การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียนต้องอยู่บนหลักการพื้นฐานสองประการ คือ การประเมิน เพ่ือพัฒนาผู้เรียนและตัดสินผลการเรียนในการพัฒนาคุณภาพการเรียนรู้ของผู้เรียนให้ประสบผล สาเร็จน้ัน ผู้เรียนจะต้องได้รับการพัฒนาและประเมินตามพัฒนาการที่คาดหวังให้สอดคล้องกับ หลักสูตรเพ่ือสะท้อน คุณลักษณะอันพึงประสงค์ของผู้เรียนซ่ึงเป็นเป้าหมายหลักในการวัดและประเมินผล การเรียนรู้ การวัดและ ประเมินผลการเรยี นรู้ เป็นกระบวนการพัฒนาคุณภาพผู้เรียนโดยใช้ผลการประเมิน เป็นข้อมูลและสารสนเทศ ที่แสดงพัฒนาการความก้าวหน้า และความสาเร็จทางการเรียนของผู้เรียน ตลอดจนข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อ การส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดการพัฒนาและเรียนรู้อย่างเต็มศักยภาพ ซ่ึงสามารถปรับให้เหมาะสมตามประเภท ของผูเ้ รยี นโดยมรี ายละเอียด ดงั น้ี 1. การประเมนิ กอ่ นการใหบ้ ริการ 1.1 การประเมินอายุพฒั นาการเดก็ 1.2 การประเมินความสามารถพนื้ ฐาน เปน็ การประเมินพัฒนาการทคี่ าดหวงั ในแต่ละทักษะ ก่อนทา แผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล 2. การประเมินระหว่างการให้บริการเป็นการประเมินผลจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม หรือเป้าหมาย ระยะสั้นในแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล ระหว่างการใช้แผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล อย่างน้อยภาค เรยี นละ 1 ครั้ง 3. การประเมินหลงั การใหบ้ รกิ าร 3.1 การประเมินจุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม หรอื เปา้ หมายระยะสั้นทั้งหมดตามแผนการจัดการศึกษา เฉพาะบุคคล เพื่อตัดสินผลสัมฤทธิ์ของพัฒนาการและเตรียมวางแผนการพัฒนาให้มีศักยภาพที่สูงขึ้น หรอื การสง่ ต่อ 3.2 การประเมนิ ความกา้ วหนา้ ของอายุพฒั นาการเด็ก 3.3 การประเมนิ ความสามารถพ้นื ฐานหลังการให้บริการเพอ่ื เปรยี บเทียบความกา้ วหน้า การประเมนิ ผลตามแผนการจดั การศกึ ษาเฉพาะบคุ คล คณะกรรมการจัดทาแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคลประชุมเพื่อประเมิน ทบทวน และปรับแผนพร้อม จดั ทารายงานผลการเรยี นรอู้ ยา่ งนอ้ ยปกี ารศกึ ษาละ 2 ครั้ง โดยประเมนิ ตามขน้ั ตอน ดังนี้ 1. การประเมินผลตามแผนการสอนเฉพาะบุคคล การประเมินตามแผนการสอนเฉพาะบุคคล (Individual Implementation Plan : IIP) คือ การ ประเมินผลการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน เป็นการประเมินเพ่ือให้ทราบว่าผู้เรียนมีพัฒนาการ ตามที่ระบุไว้ในแผนการสอนเฉพาะบุคคลฉบับน้ันหรือไม่ โดยประเมินตามวิธีการ เคร่ืองมือ และเกณฑ์การ ประเมินท่ีระบุไว้ในแผนการสอนเฉพาะบุคคล แต่เนื่องจากแผนการสอนเฉพาะบุคคลหน่ึงฉบับอาจจะต้อง นามาใชใ้ นการจดั กจิ กรรมการเรียนการสอนหลายคร้ัง จึงต้องมีการประเมินผลการเรียนรู้แต่ละคร้ัง เพื่อตัดสิน

สรุปผลการประเมินว่าผู้เรียนผ่านหรือไม่ผ่านแผนการสอนเฉพาะบุคคลฉบับนั้น ตามแบบบันทึก หลังการสอน ของแผนการสอนเฉพาะบุคคล 2. การประเมนิ จดุ ประสงค์เชงิ พฤตกิ รรม (เป้าหมายระยะสั้น) การประเมินจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม ทาได้โดยประมวลผลการผ่านแผนการสอนเฉพาะบุคคล และนามาเทยี บกบั เกณฑก์ ารผ่านจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมที่กาหนดไว้ในแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล 3. การประเมินเป้าหมายระยะยาว 1 ปป การประเมินเป้าหมายระยะยาว 1 ปี ทาได้โดยประมวลผลการผ่านจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม และ นามาเทยี บเกณฑก์ ารผ่านเป้าหมายระยะยาว 1 ปที ก่ี าหนดไว้ในแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล 4. การประเมินแผนการจัดการศกึ ษาเฉพาะบุคคล การประเมินแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล ทาได้โดยประมวลผลการผ่านเป้าหมายระยะยาว 1 ปี และนามาเทียบเกณฑก์ ารผ่านตามท่สี ถานศึกษากาหนด 5. การตัดสนิ ระดบั ผลการเรยี นรู้ การตัดสินระดับผลการเรียนรู้ ทาได้โดยนาผลการประเมินแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้/ทักษะการ เรียนรู้ทีก่ าหนดในแผนการจดั การศึกษาเฉพาะบุคคล มาเทยี บเคยี งกับระดับผลการเรียนตามทสี่ ถานศึกษากาหนด ในกรณีท่ีผู้เรียนมีพัฒนาการ หรือการเรียนรู้ต่ากว่าเกณฑ์ที่กาหนดไว้ สามารถทบทวน และปรับ แผนการสอนเฉพาะบุคคล จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม เป้าหมายระยะยาว 1 ปีให้เหมาะสม เพื่อให้บรรลุ ตามแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล หากผู้เรียนมีพัฒนาการหรือการเรียนรู้สูงกว่าเกณฑ์ท่ีกาหนด สามารถ ทบทวนและปรับแผนการสอนเฉพาะบุคคล จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม เป้าหมายระยะยาว 1 ปี ให้เหมาะสม เพ่อื ให้ผเู้ รียนได้รับการพฒั นาเตม็ ศักยภาพ (สานกั บรหิ ารงานการศึกษาพิเศษ. 2555) แนวทางการวัดประเมินผลผู้เรยี นเรียนรวม การวดั และประเมินผลการเรียนรู้เป็นเครื่องมือสาคัญในการพัฒนาและกากับติดตามการจัดการศึกษา ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 ซ่ึงได้กาหนดคุณภาพที่ต้องการ ให้เกิดขึ้น แก่ผู้เรียนในระดับการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน ครอบคลุมมาตรฐานและตัวชี้วัด 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ การอ่าน คิด วิเคราะห์ และเขียน และคุณลักษณะท่ีพึงประสงค์ กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน กับผู้เรียนในระดับการศึกษา ข้ันพื้นฐานทุกคน รวมทั้งกลุ่มผู้เรียนที่เป็นกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ แต่การวัดและประเมินผล จะต้องคานึงถึง ปัจจัยความแตกต่างของผู้เรียน อาทิ ผู้เรียนที่พิการอาจต้องมีการปรับการประเมินผลท่ีเอื้อ ต่อสภาพผู้เรียน ทั้งวธิ ีการและเคร่อื งมือท่ีใช้ หรอื กลมุ่ ผูเ้ รียนทม่ี จี ุดเน้นเฉพาะด้าน เชน่ เน้นด้านอาชพี นาฏศิลป์ พลศึกษา ฯลฯ อาจกาหนดสัดส่วนน้าหนักคะแนนและวิธีการประเมินที่ให้ความสาคัญแก่ทักษะ ด้านการปฏิบัติ นอกจากน้ัน การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ควรอยู่บนหลักการพื้นฐาน คือ การประเมิน เพ่ือพัฒนาการเรียนรู้ และการ ประเมินเพ่ือตัดสินผลการเรียน โดยเฉพาะการประเมินเพื่อการพัฒนาน้ัน เป็นสิ่งสาคัญอย่างยิ่ง ควรมีการ ประเมินเป็นระยะสม่าเสมอเพื่อให้ได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในการปรับปรุง การเรียนการสอนและแก้ไข ข้อบกพร่องต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง สาหรับการประเมินเพ่ือตัดสินผลการเรียนน้ันเป็นการตรวจสอบแล้วตัดสินว่า ผู้เรียนมีการพัฒนาอันเกิดจากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้หรือไม่ และใช้เป็นข้อมูลในการปรับปรุงการเรียนรู้

ต่อไป ส่ิงสาคัญอีกประการหน่ึงที่มีผลอย่างย่ิงต่อประสิทธิภาพและ ความน่าเช่ือถือของการวัดและประเมินผล ได้แก่ วิธีการและเคร่ืองมือท่ีใช้ในการประเมินครูผู้สอนควรให้ความสาคัญแก่การประเมินตามสภาพจริงด้วย วิธีการที่หลากหลาย เช่น การพูดคุยและใช้คาถาม การสังเกต การเขียนสะท้อนการเรียนรู้ การประเมินการ ปฏบิ ตั ิ การตรวจการบ้าน การแสดงออกในการ ปฏิบัติงาน การแสดงกิริยาอาการต่าง ๆ การประเมินด้วยแฟ้ม สะสมงาน แบบทดสอบ การประเมินตนเอง ฯลฯ ของผู้เรียนตลอดเวลาท่ีจัดกิจกรรม เพ่ือได้ทราบว่าผู้เรียน บรรลุมาตรฐาน/ตัวช้ีวัดหรือมีแนวโน้มว่าจะบรรลุตัวช้ีวัดเพียงใด และส่ิงเหล่าน้ีควรพิจารณาให้เหมาะสมกับ ผเู้ รียนแต่ละกลมุ่ เพอื่ ใหก้ ารวดั และ ประเมนิ ผลเกดิ ประสทิ ธิภาพสูงสดุ การประเมิน ทดสอบ ผู้เรียนท่ีมีความต้องการพิเศษให้สอดคล้องกับหลักการจัดการศึกษาพิเศษ สาหรับบุคคลพิการและข้อกาหนดในกฎหมาย ผู้ดาเนินการทดสอบต้องจัดให้บริการช่วยเหลือและอานวย ความสะดวกด้านการประเมินผลให้สอดคล้องกับความต้องการจาเป็นพิเศษของคนพิการแต่ละประเภท และ บคุ คลของผเู้ รียน สาหรับประเภทและความช่วยเหลอื และอานวยความสะดวก โดยทั่วไป อาจเป็น ดงั น้ี 1. การช่วยเหลือและอานวยความสะดวกด้านรูปแบบของข้อสอบ (Presentation Accommodations) เป็นการปรับเปลี่ยนรูปแบบของแบบทดสอบ หรือคาสั่งในการทาแบบทดสอบ เช่น ตัวพิมพ์ที่มีขนาดใหญ่ พมิ พด์ ้วยอกั ษรเบรลล์ มีการแปลเป็นภาษามือ หรอื การอา่ นให้ฟัง 2. การช่วยเหลือและอานวยความสะดวกด้านวิธีการตอบข้อสอบ (Response Accommodations) เป็นการปรบั เปลยี่ นวธิ กี ารในการตอบคาถามในแบบทดสอบ หรือการกระตุน้ เตือน เชน่ การอนุญาตให้นักเรียน ระบุคาตอบโดยการชี้หรือการใช้ภาษาท่าทาง (gesturing) หรือให้มีเจ้าหน้าท่ี ช่วยเขียนคาตอบ (scride) การบันทึกคาตอบโดยใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ 3. การช่วยเหลือและอานวยความสะดวกด้านการจัดสภาพแวดล้อม (Setting Accommodations) เป็นการปรับสภาพแวดล้อม สถานที่หรือรูปแบบของการสอบ เช่น การจัดการสอบเป็นกลุ่มเล็ก ๆ การสอบ เปน็ รายบคุ คลหรือแมก้ ระทงั่ ทบ่ี า้ นของนักเรียน 4. การช่วยเหลือและอานวยความสะดวกด้านการกาหนดเวลาสอบและตารางสอบ (Timing and Scheduling Accommodation) เป็นการปรับเปล่ียนเก่ียวกับเวลาการสอบ หรือตารางสอบ เช่น ขยายเวลา ในการทาแบบทดสอบให้มากขน้ึ หรอื อนญุ าตให้มกี ารหยดุ พกั (break) ในระหว่างการทาแบบทดสอบ หลกั การในการให้ความช่วยเหลือและอานวยความสะดวกด้านการสอนและการประเมนิ ผล 1. การชว่ ยเหลืออานวยความสะดวก เป็นการส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้เรียนพิการหรือบกพร่อง สามารถ เขา้ ถึงการเรยี นการสอนหรอื การสอบ แต่ตอ้ งไม่เปน็ การเอื้อประโยชนไ์ ม่เปน็ ธรรมแกผ่ เู้ รยี น ดงั กล่าว 2. การชว่ ยเหลือและอานวยความสะดวกเป็นการเปล่ียนแปลงวิธีการในการเข้าถึงการเรียนการสอน และ การประเมินผลการเรียนของผู้เรียน โดยไม่เปล่ียนแปลงมาตรฐานในการปฏิบัติงานหรือการสอบของผู้เรียน เป้าหมายสาคัญ คือหาวิธีการที่เหมาะสมในการสร้างความเท่าเทียมในการเข้าถึงการเรียนการสอน และการ สอบ โดยไมป่ รับมาตรฐาน 3. การช่วยเหลือและอานวยความสะดวกท้ังหมดท่ีร้องขอ เพ่ือใช้สาหรับผู้เรียนในการทดสอบ ระดับประเทศ ต้องมีการบันทึกไว้ในแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล (Individualized Education Program:

IEP) ท่ีใช้อยู่ในปัจจุบันของผู้เรียน และต้องเป็นส่ิงที่ปรากฏอยู่ในรายการของการช่วยเหลือและอานวย ความสะดวกทีไ่ ด้รบั อนญุ าตให้ใช้ได้ 4. ผู้เรียนที่ต้องการบริการด้านการเอื้อตามสภาพผู้เรียน มีความต้องการโอกาสในการเรียนรู้ การใช้การเอ้ือตามสภาพผู้เรียนในบริบทของห้องเรียนและมีความต้องการจาเป็นในการเอ้ือตามสภาพผู้เรียน ในการทดสอบ โดยเง่ือนไขหรือข้อกาหนดในการทดสอบในห้องเรียนควรใกล้เคียงกับการสอบในระดับชาติ มากทสี่ ดุ เทา่ ท่ีจะมากได้ เพอื่ ช่วยเพ่มิ ความสบายใจใหก้ บั ผเู้ รยี น ซึ่งจะส่งผลต่อการทาแบบทดสอบของผู้เรยี น 5. สิ่งสาคัญประการหนึ่งที่พึงระลึกถึง คือการช่วยเหลืออานวยความสะดวกอย่างเดียวกันท่ีใช้ ในการเรียนการสอนหรือการทดสอบในช้ันเรียน อาจไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้ในการทดสอบระดับชาติ (การปรบั เปล่ยี นหลักสตู รในการจัดการเรียนรวม. 2556)

หน่วยท่ี 5 การประกันคุณภาพการศึกษาพิเศษ ระบบการประกันคุณภาพการศึกษาเป็นกลไกสาคัญในการพัฒนาคุณภาพและมาตรฐาน การศึกษา ของไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยเหตุน้ีพระราชบัญญัติการจัดการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และที่แก้ไข เพิม่ เติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 มาตรา 9 (3) ได้กาหนดการจัดระบบ โครงสร้าง และกระบวนการจัดการศึกษา ให้ยึดหลักที่สาคัญข้อหนึ่ง คือ มีการกาหนดมาตรฐานการศึกษา และจัดระบบประกันคุณภาพการศึกษา ทุกระดับและประเภทการศึกษา โดยมาตรา 31 ให้กระทรวงมีอานาจหน้าท่ีกากับดูแลการศึกษาทุกระดับและ ประเภท กาหนดนโยบาย แผนและมาตรฐานการศึกษา และมาตรา 48 ให้หน่วยงานต้นสังกัดและสถานศึกษา จัดให้มีระบบการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา และให้ถือว่าการประกันคุณภาพภายในเป็นส่วนหนึ่งของ การบริหารการศึกษา ท่ีต้องดาเนินการอย่างต่อเน่ือง โดยมีการจัดทารายงานประจาปีเสนอต่อหน่วยงาน ต้นสังกัด หนว่ ยงานที่เกี่ยวข้อง และเปิดเผยต่อสาธารณชน เพื่อนาไปสู่การพัฒนาคุณภาพมาตรฐานการศึกษา และเพื่อรองรับการประกันคุณภาพภายนอก และพระราชบัญญัติการจัดการศึกษาแก่คนพิการ พ.ศ. 2551 มาตรา 5 คนพิการมีสทิ ธริ บั การศกึ ษา (3) ไดร้ ับการศึกษาที่มีมาตรฐานและประกันคุณภาพการศึกษา รวมการ จัดหลกั สูตรกระบวนการเรียนรู้ การทดสอบทางการศึกษาท่ีเหมาะสมสอดคล้องกับความต้องการ จาเป็นพิเศษ ของคนพิการแต่ละประเภทและบุคคล ประกอบกับประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง ให้ใช้มาตรฐาน การศึกษาขั้นพ้ืนฐาน เพื่อการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา สานักบริหารงานการศึกษาพิเศษ จึงประกาศให้ใช้มาตรฐานการศึกษาศูนย์การศึกษาพิเศษ และมาตรฐานการศึกษาโรงเรียนเฉพาะความพิการ เพ่ือการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา สาหรับเป็นหลักในการเทียบเคียงสาหรับสถานศึกษา หน่วยงานต้นสังกัด ในการพัฒนา ส่งเสริม สนับสนุน กากับดูแล และติดตามตรวจสอบคุณภาพการศึกษา สาหรับคนพกิ าร ดังนี้ มาตรฐานการศึกษาศนู ยก์ ารศกึ ษาพเิ ศษ แนบท้ายประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง ให้ใช้มาตรฐานการศึกษา ระดับปฐมวัย ระดับการศึกษาข้ัน พ้นื ฐาน และระดับการศกึ ษาขัน้ พนื้ ฐานศนู ย์การศกึ ษาพิเศษ ฉบับลงวนั ท่ี 6 สิงหาคม พ.ศ. 2561 มาตรฐานการศึกษา ระดับการศกึ ษาขั้นพน้ื ฐานศูนยก์ ารศึกษาพิเศษ พ.ศ. 2561 มีจานวน 3 มาตรฐาน ไดแ้ ก่ มาตรฐานท่ี 1 คุณภาพของผเู้ รียน 1.1 ผลการพฒั นาผู้เรียน 1.2 คณุ ลกั ษณะทีพ่ งึ ประสงค์ของผูเ้ รียน มาตรฐานที่ 2 กระบวนการบรหิ ารและการจัดการ มาตรฐานที่ 3 กระบวนการจัดการเรียนการสอนทเ่ี นน้ ผู้เรียนเปน็ สาคญั แต่ละมาตรฐานมีรายละเอียดดังนี้

มาตรฐานท่ี 2 คุณภาพของผูเ้ รยี น 1.1 ผลการพฒั นาผเู้ รียน 1) มีพัฒนาการตามศักยภาพของแต่ละบุคคล ท่ีแสดงออกถึงความรู้ ความสามารถ ทกั ษะ ตามทร่ี ะบไุ วใ้ นแผนการจดั การศึกษาเฉพาะบุคคล หรือ แผนการใหบ้ รกิ ารช่วยเหลือเฉพาะครอบครวั 2) มีความพร้อมสามารถเข้าสู่บริการช่วงเชื่อมต่อหรือการส่งต่อเข้าสู่การศึกษาในระดับท่ี สูงขึ้น หรอื การอาชีพหรอื การดาเนินชวี ิตในสงั คมไดต้ ามศักยภาพของแตล่ ะบคุ คล 1.2 คณุ ลักษณะทพี่ ึงประสงค์ของผูเ้ รียน 1) มคี ณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์ตามท่สี ถานศึกษากาหนด 2) มีความภาคภมู ิใจในท้องถน่ิ และความเปน็ ไทย ตามศักยภาพของผู้เรียนแตล่ ะบคุ คล มาตรฐานท่ี 2 กระบวนการบรหิ ารและการจัดการ 2.1 มเี ป้าหมายวสิ ัยทัศน์และพนั ธกิจท่ีสถานศกึ ษากาหนดชดั เจน 2.2 มรี ะบบบริหารจดั การคณุ ภาพของสถานศกึ ษา 2.3 ดาเนนิ งานพัฒนาวิชาการที่เนน้ คุณภาพผ้เู รียนรอบด้านตามหลักสตู รสถานศึกษา และทกุ กลุ่มเปา้ หมาย 2.4 พฒั นาครแู ละบุคลากรใหม้ คี วามเช่ียวชาญทางวชิ าชีพ 2.5 จดั สภาพแวดลอ้ มทางกายภาพและสังคมท่ีเอ้ือต่อการจดั การเรยี นรู้อยา่ งมคี ณุ ภาพ 2.6 จดั ระบบเทคโนโลยสี ารสนเทศเพือ่ สนับสนนุ การบรหิ ารจัดการและการจัดการเรียนรู้ มาตรฐานที่ 3 กระบวนการจัดการเรียนการสอนทีเ่ น้นผู้เรียนเป็นสาคญั 3.1 จดั การเรียนรู้ผา่ นกระบวนการคิดและปฏบิ ัติจรงิ และสามารถนาไปประยกุ ตใ์ ช้ในชวี ติ ได้ 3.2 ใชส้ ือ่ เทคโนโลยีสารสนเทศ และแหล่งเรยี นรู้ที่เออื้ ต่อการเรียนรู้ 3.3 มกี ารบรหิ ารจัดการชั้นเรียนเชิงบวก 3.4 ตรวจสอบและประเมนิ ผูเ้ รียนอยา่ งเป็นระบบ และนาผลมาพฒั นาผู้เรยี น 3.5 มีการแลกเปล่ียนเรียนรู้และใหข้ ้อมูลสะท้อนกลบั เพ่ือพัฒนาและปรบั ปรงุ การจดั การเรยี นรู้ มาตรฐานโรงเรียนเฉพาะความพกิ าร แนบท้ายประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง ให้ใช้มาตรฐานการศึกษา ระดับปฐมวัย ระดับการศึกษาข้ัน พืน้ ฐาน และระดับการศกึ ษาขนั้ พนื้ ฐานศนู ยก์ ารศึกษาพเิ ศษ ฉบบั ลงวันที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2562 มาตรฐานการศกึ ษา ระดับการศึกษาขนั้ พนื้ ฐาน พ.ศ. 2562 มีจานวน 3 มาตรฐาน ไดแ้ ก่ มาตรฐานท่ี 1 คณุ ภาพของผู้เรยี น 1.1 ผลสมั ฤทธิท์ างวิชาการของผู้เรยี น 1.2 คุณลกั ษณะท่พี ึงประสงค์ของผู้เรียน มาตรฐานท่ี 2 กระบวนการบรหิ ารและการจดั การ มาตรฐานที่ 3 กระบวนการจัดการเรยี นการสอนที่เนน้ ผู้เรียนเปน็ สาคญั

แตล่ ะมาตรฐานมีรายละเอยี ดดังนี้ มาตรฐานท่ี 2 คุณภาพของผู้เรยี น 1.1 ผลสมั ฤทธิ์ทางวิชาการของผู้เรยี น 1) มคี วามสามารถในการอา่ น การเขียน การสือ่ สาร และการคดิ คานวณ 2) มคี วามสามารถในการคิดวเิ คราะห์ คิดอยา่ งมีวิจารณญาณ อภิปรายแลกเปล่ยี น ความคดิ เห็น และแกป้ ญั หา 3) มคี วามสามารถในการสร้างนวัตกรรม 4) มีความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศและการส่อื สาร 5) มีผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นตามหลกั สูตรสถานศกึ ษา 6) มีความรู้ ทกั ษะพน้ื ฐาน และเจตคติทดี่ ีต่องานอาชพี 1.2 คุณลกั ษณะที่พงึ ประสงคข์ องผู้เรียน 1) การมีคุณลักษณะและคา่ นิยมทด่ี ีตามทีส่ ถานศึกษากาหนด 2) ความภูมใิ จในทอ้ งถน่ิ และความเป็นไทย 3) การยอมรบั ทจี่ ะอย่รู ่วมกนั บนความแตกตา่ งและหลากหลาย 4) สขุ ภาวะทางรา่ งกาย และจิตสังคม มาตรฐานที่ 2 กระบวนการบริหารและการจัดการ 2.1 มเี ปา้ หมายวิสยั ทศั นแ์ ละพนั ธกจิ ทส่ี ถานศึกษากาหนดชัดเจน 2.2 มรี ะบบบริหารจดั การคณุ ภาพของสถานศึกษา 2.3 ดาเนนิ งานพัฒนาวิชาการท่ีเนน้ คณุ ภาพผู้เรยี นรอบดา้ นตามหลักสูตรสถานศกึ ษา และทุกกล่มุ เปา้ หมาย 2.4 พัฒนาครูและบุคลากรให้มคี วามเชยี่ วชาญทางวิชาชีพ 2.5 จดั สภาพแวดล้อมทางกายภาพและสังคมทเ่ี อื้อต่อการจัดการเรียนรู้อย่างมีคณุ ภาพ 2.6 จดั ระบบเทคโนโลยสี ารสนเทศเพอื่ สนับสนนุ การบรหิ ารจัดการและการจัดการเรียนรู้ มาตรฐานท่ี 3 กระบวนการจัดการเรียนการสอนท่ีเนน้ ผเู้ รยี นเปน็ สาคญั 3.1 จดั การเรียนรู้ผา่ นกระบวนการคดิ และปฏบิ ตั จิ ริง และสามารถนาไปประยกุ ต์ใชใ้ นชีวิตได้ 3.2 ใชส้ อ่ื เทคโนโลยสี ารสนเทศ และแหล่งเรียนรูท้ ีเ่ อ้อื ตอ่ การเรยี นรู้ 3.3 มกี ารบริหารจดั การชน้ั เรียนเชงิ บวก 3.4 ตรวจสอบและประเมนิ ผเู้ รียนอยา่ งเปน็ ระบบ และนาผลมาพัฒนาผูเ้ รยี น

สรปุ สาระสาคัญ การศกึ ษาพิเศษ คือการจัดการศึกษาเพ่ือฟ้ืนฟูบาบัดและชดเชยความบกพร่อง รวมท้ังส่งเสริมศักยภาพ ใหแ้ กเ่ ดก็ ท่ีมคี วามบกพร่องทางร่างกาย จิตใจ สติปัญญา อารมณ์ สังคม การสื่อสารและการเรียนรู้ รวมถึงการ จัดการศึกษาสาหรับเดก็ ปญั ญาเลิศและเดก็ ทมี่ คี วามสามารถพิเศษ สทิ ธิทางการศึกษาของคนพิการได้กาหนดไว้ ในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับท่ี 2) พ.ศ. 2545 คนพิการมีสิทธิ และโอกาสได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐานเป็นพิเศษ ให้จัดตั้งแต่แรกเกิดหรือพบความพิการ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย และให้คนพิการมีสิทธิได้รับส่ิงอานวยความสะดวก สื่อ บริการ และความช่วยเหลืออ่ืนใดทางการศึกษา ตามหลักเกณฑ์และวิธีการท่ีกาหนดในกฎกระทรวง และพระราชบัญญัติการจัดการศึกษาสาหรับคนพิการ พ.ศ. 2551 และท่ีแก้ไขเพ่ิมเติม (ฉบับท่ี 2) พ.ศ. 2556 กาหนดให้คนพิการมีสิทธิได้รับการศึกษาโดยไม่เสีย ค่าใช้จ่าย รวมท้ังการได้รับสิ่งอานวยความสะดวก ส่ือ บริการ และความช่วยเหลืออื่นใดทางการศึกษา โดยจัด ใหอ้ ยา่ งทวั่ ถึงและมีคุณภาพท่ีเหมาะสมสอดคล้องกับความต้องการจาเปน็ พเิ ศษของแตป่ ระเภทและบุคคล การจาแนกประเภทความพิการทางการศึกษา ตามประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง กาหนดประเภท และหลักเกณฑ์ของคนพิการทางการศึกษา พ.ศ. 2552 ได้กาหนดประเภทของคนพิการ (1) บุคคลที่มีความ บกพร่องทางการเห็น (2) บุคคลท่ีมีความบกพร่องทางการได้ยิน (3) บุคคลท่ีมีความบกพร่องทางสติปัญญา (4) บุคคลท่ีมีความบกพร่องทางร่างกาย หรือการเคลื่อนไหว หรือสุขภาพ (5) บุคคลท่ีมีความบกพร่องทาง การเรยี นรู้ (6) บุคคลทมี่ ีความบกพร่องทางการพูดและภาษา (7) บุคคลที่มี ความบกพร่องทางพฤติกรรม หรือ อารมณ์ (8) บุคคลออทสิ ติก และ (9) บคุ คลพิการซอ้ น จติ วิทยาการศึกษาช่วยให้ครไู ดเ้ ขา้ ใจปญั หาทางด้านการศึกษา มวี ิธีการท่ีเหมาะสมทจี่ ะนาไปใช้ ในการ เรียนการสอน ทาให้เข้าใจลักษณะการเจริญเติบโตและพัฒนาการเรียนรู้ สามารถจัดการเรียนการสอน ให้เหมาะสมกับความสามารถ ความถนัดของผู้เรียน มีความมุ่งหมายท่ีจะให้ครูมีเจตคติ ความเข้าใจผู้เรียน ช่วยให้ผู้เรียนได้มีโอกาสพัฒนาความสามารถของตนเอง ช่วยให้ครูเข้าใจความแตกต่างระหว่างบุคคล โดยเฉพาะตัวผู้เรียน และครูจะต้องเข้าใจว่าครูเองมีบทบาทสาคัญ เป็นส่วนหน่ึงของส่ิงแวดล้อมที่มีอิทธิพล ตอ่ ผ้เู รยี นและการเปล่ยี นแปลงพฤติกรรมของผเู้ รียน การประกันคุณภาพการศึกษาเป็นกลไกสาคัญในการพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาของไทย ได้อย่างมีประสิทธิภาพ พระราชบัญญัติการจัดการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพ่ิมเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 จึงกาหนดให้มีการกาหนดมาตรฐานการศึกษา และจัดระบบประกันคุณภาพการศึกษาทุกระดับ และประเภทการศึกษา ให้หน่วยงานต้นสังกัดและสถานศึกษาจัดให้มีระบบการประกันคุณภาพภายใน โดยให้ ถือว่าการประกันคุณภาพภายในเป็นส่วนหนึ่งของการบริหารการศึกษา ที่ต้องดาเนินการอย่างต่อเน่ือง โดยมี การจัดทารายงานประจาปีเสนอต่อหน่วยงานต้นสังกัด หน่วยงานท่ีเกี่ยวข้อง และเปิดเผยต่อสาธารณชน เพื่อ นาไปสูก่ ารพัฒนาคณุ ภาพมาตรฐานการศึกษาและเพ่ือรองรับการประกนั คุณภาพภายนอก และพระราชบัญญัติ การจัดการศึกษาแก่คนพิการ พ.ศ. 2551 มาตรา 5 คนพิการมีสิทธิรับการศึกษา (3) ได้รับการศึกษาที่มี มาตรฐานและประกันคุณภาพการศึกษา รวมการจัดหลักสูตรกระบวนการเรียนรู้ การทดสอบทางการศึกษา

ท่ีเหมาะสมสอดคล้องกับความต้องการ จาเป็นพิเศษของคนพิการแต่ละประเภทและบุคคล ประกอบกับ ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เร่ือง ให้ใช้มาตรฐานการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน เพื่อการประกันคุณภาพภายในของ สถานศึกษา สาหรับเป็นหลักในการเทียบเคียงสาหรับสถานศึกษา หน่วยงานต้นสังกัด ในการพัฒนา ส่งเสริม สนับสนุน กากับดูแล และติดตาม ตรวจสอบคุณภาพการศึกษา สานักบริหารงานการศึกษาพิเศษ ซึ่งมี สถานศึกษาท่ีจัดการศึกษาสาหรับคนพิการในสังกัด จึงประกาศให้ใช้มาตรฐานการศึกษาศูนย์การศึกษาพิเศษ และมาตรฐานการศกึ ษาโรงเรียนเฉพาะความพิการ เพ่อื การประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา มีจานวน 3 มาตรฐาน ได้แก่ มาตรฐานท่ี 1 คุณภาพของผู้เรียน มาตรฐานท่ี 2 กระบวนการบริหารและการจัดการ มาตรฐานที่ 3 กระบวนการจัดการเรยี นการสอนทเ่ี น้นผ้เู รียนเปน็ สาคญั

แหล่งข้อมูลเพิม่ เตมิ ทต่ี ้องศึกษา สาหรับผู้ท่ีศึกษาข้อมูลพื้นฐานทางการศึกษาพิเศษ นอกจากหนังสือ ชุดการศึกษาด้วยตนเองแล้ว ผ้ศู ึกษาเองนัน้ ควรหาข้อมูลความรู้เพิ่มเติม เพื่อให้เข้าใจและมีความรู้เก่ียวกับการจัดการศึกษาสาหรับ บุคคลที่ มีความต้องการจาเปน็ พเิ ศษ ในด้านกฎหมายต่าง ๆ ท่ีเก่ียวข้องกับการจัดการศึกษา การจัดการ เรียนการสอน การใช้จิตวิทยาการศึกษา กระบวนการวัดและประเมินผลสาหรับผู้เรียน เพราะปัจจุบัน การศึกษาสาหรับคน พิการได้มีการพัฒนาองค์ความรู้ด้านต่าง ๆ ไปมาก ผู้ศึกษาจึงควรหาความรู้เพ่ิมเติม เพื่อให้ทันต่อเหตุการณ์ แหลง่ ขอ้ มลู เพิ่มเติมทต่ี ้องศกึ ษา เชน่ 1. พระราชบัญญตั ิการจดั การศกึ ษาสาหรับคนพิการ พ.ศ. 2551 และทแ่ี กไ้ ขเพ่มิ เติม (ฉบบั ท่ี 2) พ.ศ. 2556 2. เวบ็ ไซต์ สานักบริหารงานการศึกษาพิเศษ http://special.obec.go.th/special 3. เว็บไซต์ กระทรวงศกึ ษาธิการ www.moe.go.th 4. เว็บไซต์ คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ www.edu.ku.ac.th 5. เวบ็ ไซต์ คณะครศุ าสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภัฏสวนดุสิต http://education.dusit.ac.th ซ่ึงหนังสือและเว็บไซต์เหล่านี้จะสามารถหาข้อมูลเกี่ยวกับการจัดการศึกษาสาหรับบุคคลที่มีความ บกพรอ่ ง ดงั น้ี ขอ้ มูลสาคญั เกย่ี วกับบคุ คลทีม่ ีความบกพร่อง การจัดการศึกษา การจดั การเรียนการสอน กฎหมายที่เกีย่ วข้องกับการจดั การศกึ ษาสาหรับคนพิการ หน่วยงานและสถานศกึ ษาทเ่ี ก่ยี วข้องกบั การจัดการศึกษาสาหรับคนพิการ

หนงั สือที่นา่ สนใจเกย่ี วกับการจัดการศึกษาพิเศษ ช่ือหนงั สือ รอ้ ยประเมินหรือจะสู้...ครคู นหนึ่ง ผเู้ ขียน เฮเดน ทอรี่ (แปลโดย ประเสริฐ ตันสกลุ ) ปีท่พี มิ พ์ พ.ศ. 2556 รายละเอียด: หนงั สอื ร้อยประเมนิ หรอื จะสู้...ครูคนหนึ่ง คอื รูปแบบแห่งแรงบันดาลใจของความเปน็ ครู ด้วยจิตวิญญาณ ที่ผู้เขียนถ่ายทอดจากประสบการณ์ในการสอนเด็กท่ีมีความต้องการพิเศษ และนามา เรียบ เรียงถ่ายทอดให้อ่านกันอย่างซาบซึ้ง และเป็นประโยชน์อย่างมากโดยเฉพาะผู้ท่ีมีอาชีพครูการศึกษาพิเศษ ครูหรือ ผทู้ ่ีกาลังจะเปน็ ครู คุณค่าหนังสือเล่มนค้ี ือแสงสวา่ งแหง่ แรงบันดาลใจอย่างแท้จรงิ ในการพฒั นาเดก็ ทุกคน ช่ือหนงั สือ การสอนเดก็ ที่มีความต้องการพเิ ศษ ผู้เขยี น รองศาสตราจารย์ ดร.ดารณี ศกั ดศิ์ ิรผิ ล คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั ศรีนครินทรวิโรฒ สถาบันวจิ ัยและพฒั นาการศกึ ษาพิเศษ ปทป พี่ มิ พ์ 2552

บรรณานุกรม การปรับเปลี่ยนหลกั สตู รในการจัดการเรยี นรวม. (2556). (ออนไลน)์ . แหล่งทมี่ า :www.secondary33.go.th/.../1938_9.) 27 สิงหาคม 2556. จันทรช์ ลี มาพุทธ. (2555). หลักและพืน้ ฐานการศึกษาข้นั สงู . มหาวทิ ยาลัยบรู พา. พระราชบัญญตั ิการจัดการศึกษาสาหรับคนพิการ พ.ศ. 2551. (2551, 5 กมุ ภาพันธ)์ . ราชกิจจานเุ บกษา เลม 125 ตอนที่ 28 ก. หน้า 1-13. พระราชบัญญตั ิการจัดการศกึ ษาสาหรบั คนพิการ (ฉบับท่ี 2) พ.ศ. 2556. (2556, 17 พฤษภาคม). ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 130 ตอนที่ 42 ก. หนา้ 1-3. พระราชบัญญัตกิ ารศกึ ษาแหง่ ชาติ พ.ศ. 2542 และทีแ่ ก้ไขเพิม่ เติม (ฉบับท่ี 2) พ.ศ. 2545. (ออนไลน)์ . แหล่งท่ีมา: https://www.bic.moe.go.th/images/stories/Porrorbor2542.pdf. 3 กมุ ภาพนั ธ์ 2562. สานกั งานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ สานักนายกรัฐมนตรี. พมิ พพ์ รรณ เทพสุเมธานนท์ และ สุวพิชชา ประสิทธธิ ัญกจิ . (2553). ความร้ทู ว่ั ไปดา้ นการศกึ ษาพเิ ศษ. ภาควิชาพ้ืนฐานการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคาแหง. สานักพิมพ์มหาวิทยาลัย รามคาแหง. ประกาศกระทรวงศกึ ษาธิการ เรือ่ ง กาหนดประเภทและหลักเกณฑ์ของคนพิการทางการศึกษา พ.ศ. 2552. (2552, 8 มิถุนายน). ราชกิจจานุเบกษา เลม 126 ตอนพเิ ศษ 80 ง. หน้า 45-47. ประกาศกระทรวงศกึ ษาธกิ าร เรอื่ ง ใหใ้ ชม้ าตรฐานการศึกษา ระดับปฐมวยั ระดับการศกึ ษาขนั้ พนื้ ฐาน และระดบั การศกึ ษาขน้ั พ้นื ฐานศนู ย์การศึกษาพิเศษ. (ออนไลน์). แหล่งทีม่ า : http://www.isat.or.th/sites/default/files/4.%20มาตรฐานการศกึ ษา%202561.pdf สานกั บริหารงานการศกึ ษาพเิ ศษ. (2555). หลกั สูตรการจัดการศกึ ษาระยะแรกเรมิ่ สาหรับเดก็ พิการ ศูนย์การศึกษาพิเศษ พทุ ธศกั ราช 2555. สานักบรหิ ารงานการศึกษาพิเศษ.(2556).คู่มือการตดิ ตามตรวจสอบคุณภาพการศึกษาตามระบบ การประกนั คณุ ภาพภายใน. สานกั บริหารงานการศกึ ษาพิเศษ สานกั งานคณะกรรมการการศึกษา ขัน้ พืน้ ฐานกระทรวงศึกษาธกิ าร. สานกั บริหารงานการศกึ ษาพิเศษ. (2556). ประกาศคณะกรรมการการพิจาณาให้คนพิการไดร้ ับสิทธิ ช่วยเหลอื ทางการศกึ ษา เร่อื ง กาหนดหลกั เกณฑแ์ ละวิธกี ารการรบั รองบุคคลของสถานศึกษา วา่ เปน็ คนพิการ.(ออนไลน์). แหลง่ ทีม่ า : http://special.obec.go.th/special/News/26.8.56_KST.pdf.29.) สิงหาคม 2556. สภาคนพกิ ารทกุ ประเภทแหง่ ประเทศไทย.(2555). รายงานผลการสมั มนา “การพัฒนาแนวทางสนับสนนุ การจดั การศึกษาสาหรบั คนพกิ าร.

แบบทดสอบท้ายบท ชุดศกึ ษาดว้ ยตนเอง วชิ าความรพู้ ืน้ ฐานดา้ นการจัดการศกึ ษาสาหรับคนพิการหรือผเู้ รยี นที่มีความต้องการจาเป็นพเิ ศษ เล่ม 2 หลักการพ้ืนฐานทางการศกึ ษาพิเศษ 1. ข้อใดไมใ่ ชก่ ลุ่มเปา้ หมายของการศกึ ษาพเิ ศษ ก. เด็กท่มี ีความบกพร่องทางร่างกาย จติ ใจ สตปิ ญั ญา ข. เดก็ ทีฉ่ ลาด มีความสามารถพิเศษ ค. เดก็ ที่รา่ งกายพิการหรือทพุ พลภาพ ง. บคุ คลซง่ึ ไมส่ ามารถพงึ่ ตนเองได้หรือด้อยโอกาส 2. ขอ้ ใดไม่ใชห่ ลักการจัดการศึกษาพิเศษ ก. ต้องดาเนนิ การทนั ทีท่ีคน้ พบความต้องการจาเปน็ พิเศษ ข. เด็กพิเศษคนหน่ึงอาจต้องการรปู แบบการจดั การศึกษาพเิ ศษท่ีแตกต่างกันไปตามช่วงเวลา ค. เปน็ การจดั การศกึ ษาเพื่อส่งเสริมความสามารถพิเศษให้สูงสดุ ง. การจัดบริการสาหรับเดก็ พิเศษต้องครอบคลมุ ตงั้ แต่กอ่ นวยั เรยี นจนถึงระดับมธั ยมศกึ ษา 3. ขอ้ ใดกล่าวไม่ถูกต้องตามแนวคิดและปรชั ญาของการจดั การศกึ ษาพิเศษ ก. ควรจดั ใหเ้ ด็กได้พฒั นาตนเองใหเ้ รว็ ท่ีสดุ และมากท่สี ดุ ข. ทุกคนมโี อกาสเท่าเทียมกนั ที่จะไดร้ บั บรกิ ารทางการศกึ ษา ค. ควรคานึงถึงการอยรู่ ว่ มกนั ทางสังคมกบั เด็กปกติใหม้ ากท่ีสดุ เทา่ ท่จี ะทาได้ ง. ควรจัดใหเ้ ด็กได้พฒั นาตามความสามารถพเิ ศษอย่างสงู สุด 4. เหตุผลจาเปน็ ของการจัดการศึกษาสาหรับคนพิการได้กล่าวถึงในกฎหมายใดบา้ ง ก. มาตรา 10 พรบ. การศกึ ษาแหง่ ชาติ พ.ศ. 2542 ข. มาตรา 10 รฐั ธรรมนูญ พ.ศ. 2540 ค. มาตรา 10 พรบ.การจดั การศึกษาเพ่ือคนพกิ าร พ.ศ. 2542 ง. มาตรา 10 พรบ. สทิ ธทิ างการศึกษา พ.ศ. 2542 5. ข้อใดกลา่ วถกู ต้อง ก. คนพิการ หมายความว่า บุคคลทมี่ สี ภาพร่างกาย จิตใจ สติอารมณ์ การเรียนรู้ ไมป่ กติหรือบกพร่อง ข. ผู้ดแู ลคนพกิ ารคอื บุคคลท่ีใกล้ชดิ ทด่ี แู ลหรอื อปุ การะคนพกิ าร ค. ครกู ารศึกษาพิเศษ หมายความว่า ครทู ม่ี หี น้าท่จี ัดการเรียนรู้ให้แกเ่ ด็กพิเศษ ง. สถานศึกษาเฉพาะความพิการ หมายความว่า สถานศกึ ษาที่จดั การศึกษาสาหรบั คนพิการท้งั ของรัฐ และเอกชนแต่ไมร่ วมถงึ การจัดการเรยี นท่บี า้ น

6. คนพกิ ารมีสิทธิทางการศกึ ษา ยกเวน้ ขอ้ ใด ก. ได้รับการศึกษาโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายต้งั แต่แรกเกิดหรือแรกพบความพิการ จนตลอดชีวิต ข. เลอื กทางานไดต้ ามความต้องการ เหมือนบุคคลทัว่ ไป โดยรัฐต้องจัดให้ตามความต้องการ ค. เลอื กระบบและรูปแบบการจดั การศกึ ษา ได้ตามความสนใจและความถนัด ง. ได้รบั การศึกษาทมี่ มี าตรฐานและประกนั คุณภาพ 7. ข้อใดไม่ใชส่ ถานศกึ ษาเฉพาะความพกิ าร ก. โรงเรียนโสตศึกษาจงั หวัดพงั งา ข. โรงเรียนสอนดนตรีสาหรับคนตาบอด ค. โรงเรียนเพชรบุรีปญั ญานุกูล ง. โรงเรยี นเศรษฐเสถยี ร 8. การจัดทาแผนการจัดการเรียนรู้ สาหรบั คนพิการ ข้อใดกลา่ วถูกต้อง ก. ให้สถานศึกษาในทุกสังกัด จดั ทาแผนการจดั การศึกษาเฉพาะบุคคลสอดคลอ้ งกบั ความพกิ าร ของแตล่ ะบุคคล ข. ใหจ้ ดั ทาแผนการศึกษาเฉพาะบุคคล ตามกลุ่มประเภทของความพิการ ค. ให้จัดทาแผนการศกึ ษาเฉพาะบุคคล เฉพาะบคุ คลท่ีมีความจาเป็นต้องจดั ทา ง. ถกู ทกุ ข้อ 9. ขอ้ ใดเปน็ การกระทาท่ีผิดกฎหมาย ก. โรงเรยี นบา้ นพวงชมพู สพป.เลย ปฏิเสธการรับเด็กบกพรอ่ งทางการเรยี นรู้เข้าเรยี น ในโรงเรียน เพราะไม่มีครเู ฉพาะทาง ข. โรงเรียนกีฬาจงั หวัดขอนแก่น ปฏิเสธการรบั เด็กแขนขาอ่อนแรง เข้าเรียน ค. โรงเรียนนราสกิ ขาลยั แยกนักเรยี นเรยี นร้ชู ้า มาสอนแยกกลุ่มจากนักเรียนปกติ ง. โรงเรียนจฬุ าภรณ์ราชวทิ ยาลยั ปฏิเสธการรับนกั เรยี นบกพร่องทางสตปิ ัญญา เขา้ เรยี น 10. คนพกิ ารยนื่ คาขอมบี ัตรประจาตัวคนพิการ ได้ท่ไี หน ก. ศนู ยก์ ารศึกษาพิเศษประจาจังหวดั นนั้ ๆ ข. มูลนิธิช่วยเหลอื คนพกิ ารทุกท่ี ค. สานักงานทะเบียนจังหวัด ง. ยน่ื ไดท้ ุกท่ีในข้อ ก,ข,ค

11. ขอ้ ใดไมใ่ ช่อานาจหน้าที่ของศูนย์บริการคนพิการ ก. จดั ทาบตั รประจาตัวคนพิการ และรวบรวมข้นึ ทะเบยี น ข. ให้ความชว่ ยเหลือในการดาเนินชวี ิตขั้นพื้นฐาน ค. เรยี กร้องแทนคนพกิ ารให้ได้รับสิทธปิ ระโยชน์ สาหรบั คนพิการ ง. ประสาน คดั กรอง ส่งตอ่ และให้ความช่วยเหลือคนพกิ ารให้ได้รับการดูแลรักษาพยาบาลทเี่ หมาะสม 12. การแบ่งช่วงอายุตามพัฒนาการของมนุษย์ ข้อใดกลา่ วไม่ถูกต้อง ก. ระยะก่อนเกดิ เริม่ จากปฏสิ นธิจนถึงคลอด ข. วยั เดก็ ตั้งแต่อายุ 1-11 ปี ค. วยั ร่นุ ตง้ั แต่ 14-21ปี ง. วัยผูใ้ หญ่ ตัง้ แต่ 21-40 ปี 13. วัยท่สี าคญั อยา่ งยิ่งสาหรับการวางรากฐานของชีวิต คือวัยใด ก. ระยะก่อนเกิด ข. วยั ทารก ค. วยั เด็ก ง. วัยยา่ งเขา้ สู่วัยร่นุ 14. การนับถือวีรบุรุษ (Heroic Worship) จะมคี วามรสู้ กึ แรงข้นึ ในวยั ใด ก. วัยเด็ก ข. วัยรนุ่ ค. วยั ผใู้ หญ่ ง. ขอ้ ก และ ข ถูก 15. ทาไมผู้เก่ียวขอ้ งทางการศึกษาและดูแลคนพิการ ตอ้ งเรยี นรู้พัฒนาการของมนุษย์ในแต่ละระยะแตล่ ะวยั ก. เพือ่ ช่วยลดความพิการ ข. เพือ่ ประกอบการแกไ้ ข รักษาพยาบาล ค. เพือ่ ประกอบการอธบิ าย ช้แี จงผเู้ กี่ยวข้อง ง. เพอื่ การจดั กระบวนการเรียนรู้ 16. ขอ้ ใดเปน็ ผลการเรยี นรดู้ ้านเจตพสิ ยั (Affective Domain) ก. การเต้นราประกอบจังหวะ ข. การเลน่ กฬี าได้เก่ง ค. การรอ้ งเพลงได้ไพเราะถูกต้อง ง. การชอบดอกไมส้ วยงาม

17. การชว่ ยเหลือ ดา้ นการประเมิน ทดสอบ สาหรบั ผ้เู รยี นทม่ี คี วามต้องการพิเศษ ข้อใดไม่เหมาะสม ก. ปรบั รปู แบบของแบบทดสอบใหเ้ หมาะสมกบั ความต้องการ เช่น เป็นอักษรเบรลล์,เปน็ ภาษามือ ข. ชว่ ยอานวยความสะดวกดา้ นวธิ กี ารตอบข้อสอบ เช่น ให้มเี จ้าหนา้ ที่ชว่ ยเขยี นคาตอบ ค. ให้มีเจา้ หนา้ ทชี่ ว่ ยเหลือในการทาข้อสอบ ง. ช่วยปรบั ขยายเวลาทาการสอบให้มากขึน้ 18. คากล่าวใด ไม่สอดคล้องกบั กระบวนการวดั และประเมินผลสาหรับคนพกิ าร ก. ใช้ระเบยี บการวัดผลทีแ่ ตกตา่ งจากนกั เรยี นทัว่ ไป ข. มีการเทยี บโอนประสบการณ์ได้ ค. มีการบูรณาการ การวัดได้หลากหลายวิธี ง. มีวิธีการวดั ทเ่ี หมาะสมตามความพิการ 19. มาตรฐานการศึกษาศูนย์การศึกษาพเิ ศษ มีกมี่ าตรฐาน ก. 3 มาตรฐาน ได้แก่ ด้านคณุ ภาพผูเ้ รยี น,คณุ ภาพด้านการบรหิ ารจดั การ, ดา้ นครูและบคุ ลากร ข. 4 มาตรฐาน ได้แก่ ด้านคุณภาพผู้เรียน,คณุ ภาพด้านการบริหารจัดการ, คุณภาพดา้ นสถานศกึ ษา, คุณภาพด้านการจัดการเรียนรู้ ค. 3 มาตรฐาน ไดแ้ ก่ ดา้ นคุณภาพผเู้ รยี น,กระบวนการบริหารและการจัดการ, กระบวนการจดั การ โดยการสอนทเี่ นน้ ผูเ้ รียนเปน็ สาคัญ ง. 4 มาตรฐาน ไดแ้ ก่ ดา้ นคณุ ภาพผเู้ รยี น,ด้านการจดั การเรียนรู้,ด้านการบริหารจัดการ, ด้านผลสัมฤทธิ์ 20. การจดั การศึกษาสาหรับคนพิการ ข้อใดกลา่ วไมถ่ ูกต้อง ก. คนพิการมีสิทธทิ จี่ ะไดร้ บั การศึกษาและรับบริการมากเป็นพเิ ศษกวา่ คนปกติ ข. คนพิการมีสิทธิทางการศึกษาเท่าเทียมกับนกั เรียนทั่วไป ค. คนพิการมีสทิ ธิท่ีจะไดร้ บั ส่ิงอานวยความสะดวกโดยรัฐเปน็ ผู้จดั ให้ ง. คนพิการ มสี ิทธิทจ่ี ะเลอื กทเี่ รยี น เลือกประกอบอาชพี ได้ตามความถนดั และความต้องการ

เฉลยแบบทดสอบท้ายบท ข้อ 1 ข. ขอ้ 11 ก. ขอ้ 2 ค. ข้อ 12 ข. ข้อ 3 ง. ข้อ 13 ข. ขอ้ 4 ก. ขอ้ 14 ข. ข้อ 5 ข. ข้อ 15 ง. ข้อ 6 ข. ข้อ 16 ง. ขอ้ 7 ข. ข้อ 17 ค. ขอ้ 8 ก. ข้อ 18 ก. ขอ้ 9 ก. ข้อ 19 ค. ข้อ 10 ค. ข้อ 20 ก.


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook