Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เล่ม 12 การจัดการศึกษาสำหรับบุคคลที่มีความบกพร่องทางการพูดและภาษา

เล่ม 12 การจัดการศึกษาสำหรับบุคคลที่มีความบกพร่องทางการพูดและภาษา

Published by boonsong kanankang, 2019-10-03 11:24:43

Description: การจัดการศึกษาสำหรับบุคคลที่มีความบกพร่องทางการพูดและภาษา

Search

Read the Text Version

คำชแ้ี จง เอกสารชุดศึกษาด้วยตนเอง วิชาความรู้พื้นฐานด้านการจัดการศึกษาสาหรับคนพิการและผู้เรียนที่มี ความต้องการจาเป็นพิเศษ เรื่อง การจัดการศึกษาสาหรับบุคคลที่มีความบกพร่องทางการพูดและภาษาเล่มน้ี ได้รวบรวมเน้ือหาจากเอกสาร บทความของนักการศึกษาที่ เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาสาหรับบุคคลท่ีมี ความบกพร่องทางการพูดและภาษา ซึ่งมีเน้ือหาสาระที่ครูและบุคลากรท่ีสนใจควรทราบ ได้แก่ ความรู้ท่ัวไป เกี่ยวกับบุคคลท่ีมีความบกพร่องทางการพูดและภาษา ความหมาย การพูด ภาษา หลักการเทคนิค วิธีการ ช่วยเหลือและการจัดการศึกษาสาหรับบุคคลที่มีความบกพร่องทางการพูดและภาษา ปัจจัยที่มีต่อการพัฒนา ภาษาและการพูด การประเมินและการวินิจฉัย หลักการสอน เพ่ือให้ครูและผู้สนใจนาความรู้ไปประยุกต์ใช้ ในการจดั การเรียนการสอน รวมถงึ การพัฒนาศกั ยภาพของผู้เรียนให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น พร้อมทั้งนาแนวทาง ความรู้แนะนาแกผ่ ปู้ กครองตอ่ ไป คณะทางาน

สำรบัญ หน้ำ คำนำ คำชแี้ จง แนวทำงกำรใชช้ ดุ เอกสำรศกึ ษำด้วยตนเอง หน่วยที่ 1 ความร้ทู วั่ ไปเกยี่ วกับบคุ คลท่ีมคี วามบกพร่องทางการพูดและภาษา ความหมาย………………………………………………………………………………….………………….…… 1 การพูด....................................................................................................................... ....... 1 ภาษา................................................................................................................................ 5 หน่วยที่ 2 หลักการ เทคนิค วธิ ีการช่วยเหลอื และการจัดการศึกษา สาหรบั บคุ คลทมี่ ีความบกพร่องทางการพดู และภาษา...................................................... 8 ปัจจัยทีม่ ตี ่อการพัฒนาภาษาและการพดู .......................................................................... 8 การประเมินและการวินจิ ฉยั .............................................................................................. 10 หลักการสอน.................................................................................................................... 15 กรณศี ึกษำ ............................................................................................................................. ............ 17 สรุปสำระสำคัญ……………………………………………………………………………………………………………………… 20 แหล่งข้อมูลเพิ่มเตมิ ที่ต้องศกึ ษำ บรรณำนกุ รม แบบทดสอบทำ้ ยบท แบบเขียนสะทอ้ นคดิ ภำคผนวก

แนวทำงกำรใชช้ ดุ เอกสำรศึกษำดว้ ยตนเอง ท่ำนทศ่ี ึกษำเอกสำรควรปฏิบตั ดิ งั ตอ่ ไปนี้ 1. ศกึ ษาขอบข่ายของเนื้อหา สาระสาคัญ และจดุ ประสงค์ 2. ศึกษาขอบข่ายของเน้ือหาและทาความเข้าใจเน้ือหาอย่างละเอยี ด 3. ศึกษาแหลง่ ความรู้เพิ่มเตมิ 4. โปรดระลึกไว้เสมอว่าการศึกษาจากเอกสารด้วยตนเองเป็นเพียงสว่ นหนง่ึ ของการพัฒนาความรู้ ดา้ นการศึกษาพเิ ศษเท่าน้นั ควรศึกษาคน้ คว้าและหาประสบการณต์ รงจากแหล่งความรู้อน่ื ๆ เพ่มิ เติม

1 หนว่ ยท่ี 1 ความรทู้ ว่ั ไปเก่ียวกบั บคุ คลทม่ี ีความบกพรอ่ งทางการพดู และภาษา ความหมาย บุคคลท่ีมีความบกพร่องทางการพูดและภาษา หมายถึง บุคคลที่มีความบกพร่องในการเปล่งเสียงพูด เช่น เสียงผิดปกติ อัตราความเร็วและจังหวะการพูดผิดปกติ หรือบุคคลที่มีความบกพร่องในเร่ืองความเข้าใจ หรอื การใชภ้ าษาพดู การเขียน หรอื ระบบสญั ลักษณอ์ ่นื ท่ีใชใ้ นการติดต่อส่ือสาร ซึ่งอาจเก่ียวกับรูปแบบ เน้ือหา และหน้าท่ีของภาษา (ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่องการกาหนดประเภทและหลักเกณฑ์ของคนพิการ ทางการศกึ ษา พ.ศ. 2552) การพูด (Speech) การพูด คือ การส่ือความหมายโดยวิธีการเปล่งเสียงซ่ึงเป็นหนทางที่อิสระและสะดวกท่ีสุดและ มีประสิทธิภาพสูง การท่ีจะพูดเป็นคาหรือประโยคเพ่ือสื่อความหมายต้องมีการวางแผนและการควบคุมการ ทางานของระบบประสาทท่แี ม่นยาและทางานอย่างประสานกันตามลาดับข้ันตอนตามแผนที่วางไว้ เพื่อออกมา เป็นคาพูดที่ต้องการ คาพูดแต่ละคาจะมีหน่วยเสียงเฉพาะการรวมกันของเสียงต่าง ๆ จะเป็นลักษณะเฉพาะ ของภาษาน้ัน ๆ นอกจากน้ันคาพูดยังมีส่วนประกอบอื่น ๆ เช่น คุณภาพของเสียง ทานองเสียง และอัตราเร็ว ของการพูด สว่ นประกอบเหลา่ นช้ี ว่ ยเพิม่ ความหมายของขอ้ มลู ท่ตี ้องการสอื่ (สมุ าลี ดีจงกิจ : 2554) ประเภทของความบกพรอ่ งทางการพูด ความบกพรอ่ งทางการพูดแบ่งได้ 3 ประเภท คอื 1. พดู ไม่ชัด (articulation disorders) เป็นความผดิ ปกตทิ างการพูดท่ีเกยี่ วกับการเปล่งเสียงสระ และพยญั ชนะ เชน่ ออกเสยี ง /อ/ แทน /ก/ สาเหตุของการพูดไมช่ ดั แบ่งเป็น 2 กล่มุ คือ 1. ความผิดปกติของโครงสร้างและการทางานของอวัยวะที่ใช้ในการพูดหรือการฟังเสียง การ ทางานของอวยั วะท่มี ีส่วนทาให้มีอาการพูดไม่ชัด ได้แก่ ล้ินไก่ เพดานอ่อน เพดานแข็ง ปุ่มเหงือก ฟัน ปาก ล้ิน และโพรงจมกู ความผดิ ปกทีพ่ บ เช่น 1.1 ความผิดปกตขิ องระบบประสาทควบคุมการพูด เกิดจากความผิดปกติของเส้นเลือดที่ไปเลี้ยง สมอง ได้แก่ เส้นเลือดสมองตีบ ตันหรือแตก หรืออุบัติเหตุท่ีกระทบกระเทือนสมอง มีผลให้ไม่สามารถควบคุม การพูด มีท้ังแบบที่มีอาการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อ เช่น ปากเบ้ียว ปากปิดไม่สนิทมีน้าลายไหลยืด ล้ินเฉ หรือ สาลกั งา่ ย 1.2 ความผิดปกติทางการได้ยิน ผู้ท่ีมีภาวะหูตึง ไม่สามารถพูดได้ชัดเจนเนื่องจากได้ยินเสียงของ ผูอ้ นื่ ไม่ชัด เสยี งทพี่ ูดออกมาจงึ ผิดเพย้ี นไปตามเสียงที่ตัวเองได้ยิน อีกท้ังในขณะท่ีพูดก็ได้ยินเสียงพูดของตัวเอง

2 ไมช่ ดั ด้วย จงึ ทาให้ไม่สามารถแก้ไขการพูดของตัวเองได้ ยิ่งมีอาการหูตึงรุนแรงมากเท่าใด การพูดไม่ชัดมากข้ึน เทา่ นนั้ ถ้ามภี าวะหูหนวกแต่กาเนิด ก็จะพูดไมไ่ ดห้ ากไมไ่ ด้รับการฝกึ พดู 1.3 ความผดิ ปกติของอวัยวะในช่องปาก เชน่ - เอ็นยึดใต้ล้ินส้ัน ทดสอบโดยการให้แลบล้ิน ถ้าเอ็นยึดใต้ลิ้นส้ัน จะแลบล้ินออกมาไม่พ้น ริมฝีปาก หรือแลบลิ้นแตะมุมปากซ้าย-ขวา ไม่ถึงมุมปาก ถ้าเอ็นยึดใต้ลิ้นส้ันมาก จะไม่สามารถม้วนลิ้นแตะ เพดานบนได้ และทาให้เด็กพดู ไมช่ ดั เพราะไม่สามารถเคล่ือนไหวลนิ้ ไปถึงตาแหนง่ ตา่ ง ๆ ที่ถูกต้อง ในขณะพดู - ปากแหว่ง-เพดานโหว่ ทาให้มีลมร่ัวออกจมูก ฟังอู้อ้ีมีเสียงขึ้นจมูก เช่น เม่ือให้พูด “สาวสวย ใส่เส้ือสีแสด” อาจพูดเป็น “อ๋าวอ๋วยไอ่เอ้ืออ๋ีแอด” หรือ “หนาวหนวยไหน่เหนื้อหนีแหนด” และ ถึงแม้ว่าจะ ได้รบั การผา่ ตดั ซ่อมเสรมิ แลว้ บางคนก็ยงั มีปญั หาในการพดู ไมช่ ดั และพดู ผดิ ปกติในลกั ษณะอ่นื ๆ รว่ มดว้ ย 2. การเรียนรู้นิสัยการพูดที่ไม่ถูก เป็นสาเหตุของการพูดไม่ชัดท่ีพบได้บ่อยในเด็กซ่ึงอาจเกิดปัจจัย ตา่ ง ๆ ดงั น้ี 2.1 ขาดการส่งเสริมการพูดให้ถูก พบในกรณีท่ีเด็กเล็กพูดไม่ชัดแล้วผู้ใหญ่ไม่แก้ไข กลับแสดง ความเอ็นดู หรือหัวเราะขบขัน ทาให้เด็กเข้าใจว่าการพูดไม่ชัดเป็นสิ่งที่น่ารัก น่าเอ็นดู เด็กจึงคงการพูดแบบนี้ ไวจ้ นตดิ เป็นนิสัย โดยไม่พยายามหัดพดู ใหช้ ัดตามวยั ทีเ่ พม่ิ ข้ึน 2.2 เด็กใช้การพูดไม่ชัดเพื่อเรียกร้องความสนใจจากผู้ใหญ่ มักพบในครอบครัวท่ีมีลูกเล็ก ๆ ตดิ ๆ กนั โดยพซี่ งึ่ อาจพูดไดช้ ดั แล้ว แต่เมื่อเห็นพ่อแม่ดูแลเอาใจใส่น้องเล็กมากกว่า จึงเลียนแบบการพูดไม่ชัด ของนอ้ งเพ่อื เรียกร้องความสนใจจากพ่อแม่ 2.3 ขาดแบบอย่างการพูดท่ีถูก พบในกรณีที่เด็กอยู่ในครอบครัวท่ีมีคนพูดไม่ชัด รวมถึงพี่เล้ียงเด็ก เด็กจึงเลียนแบบการพูดไม่ชัดของคนที่อยู่ใกล้ชิด หรือเกิดจากการที่ผู้ใหญ่ขาดความระมัดระวังในการออก เสียงพูดท่ีชัดเจนให้เด็กฟงั เด็กจึงขาดโอกาสในการฟังเสียงท่ีถูกต้องและขาดทกั ษะในการฝึกออกเสียงเหลา่ น้ี 2.4 มีการเคลือ่ นไหวอวัยวะที่ใช้ในการพูดไม่ถูก เด็กบางคนพูดไม่ชัดเพราะเด็กเคลื่อนไหวอวัยวะ ทีใ่ ช้ในการพดู ไมถ่ กู หรือมีการเคลื่อนไหวท่ีไมต่ ่อเน่ืองตามหลักเกณฑ์ของการออกเสยี ง คาศัพทน์ น้ั ๆ เช่น พูด “ตา” เป็น “กา” เพราะไมเ่ คล่อื นไหวลนิ้ ขณะออกเสียง พูด “แม”่ เป็น “แอ้” เพราะไม่ปดิ ริมฝีปากให้สนทิ ก่อนออกเสยี ง พดู “สาม” เป็น “สา” เพราะไม่หุบปากเม่อื ออกเสียงจบ ความผดิ ปกติท่ีพบ ลกั ษณะของการพูดไม่ชดั พบได้ 4 แบบ คอื 1. การพูดโดยใช้เสยี งพยัญชนะ สระ หรือวรรณยกุ ต์อื่นแทนเสียงท่ีถูกต้อง 1.1 การพูดไม่ชดั เสียงพยัญชนะตน้ เชน่ พูดคาว่า “พ่อ” เป็น “ป้อ” 1.2 การพูดไม่ชดั เสยี งพยญั ชนะท้ายคา เชน่ พดู คาวา่ “เจด็ ” เป็น “เจ็บ” 1.3 การพูดไมช่ ัดเสียงสระ เชน่ พูดคาว่า “เอา” เป็น “ออ” 1.4 การพูดไมช่ ัดเสียงวรรณยุกต์ เชน่ พดู คาวา่ “หมา” เป็น “มา” 2. การพูดโดยเว้นไม่ออกเสียงบางเสียงใน มักพบในคาควบกล้า เช่น พูดคาว่า “ครู” เป็น “คู” “ปลา” เป็น “ปา” หรือมีการละไมอ่ อกเสียงพยัญชนะทา้ ยคา เช่น “สิบ” เป็น “ส”ิ

3 3. การพูดโดยเติมเสยี งอื่นเขา้ ไปในคาน้นั อาจเพ่ิมเสียงพยัญชนะหรือสระก็ได้ เช่น พูดคาว่า “ปลา” เป็น “ปะลา” 4. การพูดเสยี งเพี้ยนไป จนฟงั ไมอ่ อกว่าเปน็ เสยี งพยญั ชนะหรอื สระใด เมื่อพบว่าเด็กพูดไม่ชัด ควรให้เด็กได้รับการแก้ไขในทันที เพราะหากปล่อยท้ิงไว้อาจทาให้เกิดความ เคยชนิ ต่อการพูดทไ่ี มถ่ ูกจนตดิ เปน็ นสิ ัย ทาให้แกไ้ ขได้ยากรวมทัง้ ยังเกดิ ผลเสียอนื่ ๆ ตามมาด้วย เช่น 1. เกิดปญั หาในการอา่ น เด็กท่พี ูดไม่ชัดจะอ่านออกเสียงไม่ชัดด้วย ทาให้แยกไม่ออกว่าเด็กอ่านคา ๆ นั้นไม่ได้ หรอื เป็นเพราะพดู ไมช่ ัดทาให้อ่านออกเสยี งผิด 2. เกิดปัญหาในการเขียนสะกดคา เด็กท่ีพูดไม่ชัดมักจะเขียนสะกดคาตามลักษณะการพูดไม่ชัด ของตน เช่น เม่ือพูด “กบ” เป็น “ตบ” เมื่อครูให้เขียนคาว่า “กบ” เด็กก็จะเขียนเป็น “ตบ” แทน ทาให้ได้ คะแนนในดา้ นการเขยี นตา่ 3. ผลการเรียนไม่ดีเท่าที่ควร เน่ืองมาจากผลเสียในข้อท่ี 1 และ 2 ซ่ึงทาให้เด็กได้คะแนนต่าแล้ว เด็กท่ีพดู ไมช่ ดั มกั จะเปน็ เด็กท่คี ่อนข้างเก็บตัว ไม่คุยกับเพ่ือน ไม่กล้าถามคาถามครูหรือเพื่อนเมื่อเรียนไม่เข้าใจ เพราะอายการพูดไมช่ ัดของตนหรือกลัวเพ่ือนลอ้ เลียน ดังนน้ั จงึ ทาให้เดก็ เรียนหนงั สือไดไ้ ม่ดีเท่าท่คี วร 4. มีปัญหาในการสมัครงาน ในอนาคตอาจพลาดโอกาสการเข้าทางาน เพราะสอบสัมภาษณ์ ไม่ผ่าน (ลินดา ปน้ั ทอง : 2550) เกณฑ์การพิจารณาการพูดไมช่ ดั การพูดไม่ชัดที่พบในระยะแรกเม่ือเด็กเร่ิมหัดพูด ถือว่าเป็นการพูดไม่ชัดที่เป็นไปตามพัฒนาการตาม ธรรมชาติ เนอ่ื งจากโครงสรา้ งและการทางานของอวัยวะท่ีใช้ในการพูดยังทางานได้ไม่สมบูรณ์เต็มท่ี แต่เมื่อเด็ก มีอายุมากข้ึน สามารถควบคุมการเคลื่อนไหวของอวัยวะท่ีใช้ในการพูด เช่น ปาก ล้ิน และขากรรไกร ได้ดีขึ้น ร่วมกับการท่ีเด็กรู้จักฟังและเลียนแบบการออกเสียงที่ถูกต้องจากบุคคลท่ีอยู่รอบข้าง จะช่วยให้เด็กเรียนรู้ วิธีการออกเสียงและพัฒนาการพูดของตนเองให้ชัดเจนขึ้นตามประสบการณ์และอายุที่เพิ่มข้ึนได้ การที่จะ ตัดสินใจว่าเดก็ คนใดมีการพูดไม่ชดั ท่ีจาเปน็ ต้องไดร้ ับการแก้ไข อาจใชเ้ กณฑต์ อ่ ไปน้ี 1. อายมุ ากกวา่ 3 ปีแล้ว ยงั ไมส่ ามารถออกเสียงสระและยงั ผนั วรรณยกุ ต์ไทยไมค่ รบทกุ เสยี ง 2. อายุมากกวา่ 3 ปี 5 เดอื นแล้ว ยังไมส่ ามารถออกเสยี งพยญั ชนะท้ายคา (ตัวสะกด) ทุกเสียงได้อย่าง ถกู ตอ้ ง เช่น พดู “ผดั ” เป็น “ผัก” หรอื “ช้าง” เปน็ “ชา้ น” 3. การออกเสียงพยญั ชนะไม่ไดต้ ามเกณฑ์ ดงั แสดงไว้ในตาราง อายุ (ปี/เดือน) เสยี งท่ีพดู ได้ชดั 2/0 – 2/6 มนหยคอ 2/6 – 3/0 เพ่ิมเสยี ง ว บ ก ป 3/0 – 3/6 เพมิ่ เสียง ฟ ต ท ด ล จ ง 3/6 – 4/0 เพิม่ เสียง พ ช ส อายุ 7 ปขี นึ้ ไป เพม่ิ เสยี ง ร

4 2. พูดเสียงผิดปกติ (voice disorders) หมายถึง การเปล่งเสียงท่ีผิดปกติ ไม่เหมาะสมกับเพศ และ วัย เช่น ผู้ชายพูดเสียงแหลมเหมือนผู้หญิง เด็กพูดเสียงต่า หรือผู้หญิงพูดเสียงต่าแบบเสียงผู้ชาย หรือการพูด เสียงเบาหรือดังเกินไปอย่างไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ หรือพูดเสียงแตกพร่า แหบ ลมแทรก เสียงขาดเป็น ชว่ ง ๆ พดู เสียงอยู่ในคอ เป็นต้น (สุมาลี ดีจงกจิ , 2554) การพจิ ารณาว่าเสยี งผดิ ปกตหิ รอื ไม่มากน้อยเพียงใด พิจารณาจาก ระดับเสียง เดก็ จะมีระดับเสียงสูง พอเขา้ สวู่ ัยรุ่นระดับเสียงจะทุม้ ขึน้ ผู้ชายจะมรี ะดับเสียงทมุ้ มากกว่าผหู้ ญิง ความดังของเสียง ในการพูดแต่ละครั้งความดังของเสียงจะต้องเหมาะสมกับสถานการณ์ท่ีพูด และ ขน้ึ อยกู่ ับสถานท่ี ลกั ษณะของห้องท่ีพูด และจานวนของผู้ฟังด้วย คุณภาพของเสียง ปกตคิ ุณภาพของเสียงจะใส ฟังแลว้ สบายหู เหมาะสมกับเพศและวัย คุณภาพเสียงท่ี ผิดปกติ ได้แก่ เสียงห้าว เสยี งลมแทรก เสียงแหบ เสียงขึน้ จมกู เสียงกระซิบ 3. พูดจังหวะผิดปกติ (fluency disorders) เป็นความผิดปกติเกี่ยวกับความคล่องและจังหวะ ในการพูด อาการพดู ผดิ ปกติท่พี บมาก คอื การพูดติดอา่ ง ซึ่งมีลักษณะดงั ตอ่ ไปน้ี - พูดซา้ คา เช่น “แม่ แม่ แม่ แม่ จะไปไหนต่อ” เป็นการพูดซา้ ๆ คาเดมิ มากกว่า 3 ครัง้ ขึ้นไป - พดู ซา้ เสยี งหรือซา้ พยางค์ เชน่ “ม-ม-ม-ม-ไมใ่ ช่” - พดู ลากเสยี ง เช่น “สสสสสเส้อื ของเขา” - พดู ตดิ แบบไม่มเี สียงออกมา เช่น “.....เปดิ ประตูใหห้ น่อย” - พดู และหยุดอย่างไมเ่ หมาะสม เชน่ “เสอื้ ของ....เขา” - พดู และหยุดระหว่างพยางค์ในคาที่ตอ้ งการพูด เช่น “ฉนั จะไปโรงพ....ยาบาล” บางคนจะแสดงพฤติกรรมร่วมอื่นๆ เพื่อขจัดความเครียดและต่อสู้ด้ินรนท่ีจะพูดออกมาให้ได้ พฤติกรรมดังกลา่ ว ได้แก่ 1. ขมวดควิ้ กระพรบิ ตาถี่ ๆ ไม่มองสบตาค่สู นทนา กระทบื เท้า 2. อาการอ้าปากค้าง เม้มปาก เกร็งที่ปาก ลิ้น คอ และหน้าอก หรือมีอาการสั่นกระตุกท่ีกล้ามเนื้อ บริเวณปาก 3. อาย โกรธ ประหมา่ กลวั เครียด คับข้องใจ มีปมด้อย ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง และมักหลีกเลี่ยง การเข้าสงั คม เน่ืองจากการมีประสบการณ์พดู ที่ไมด่ ี 4. หลีกเลี่ยงคา หรือสถานการณ์ที่คาดว่าจะพูดติดอ่าง อาจจะไม่พูดนกว่าจะม่ันใจว่าจะพูดได้คล่อง หรอื ใชค้ าอ่นื แทนคาทตี่ อ้ งการจะพูด (พรจิต จติ รถเวช, 2550) สาเหตุของการพูดติดอ่าง สาเหตุที่แทจ้ รงิ ของอาการติดอ่างยังไม่แน่ชัด อาจจัดอยู่ในพวกไม่ทราบสาเหตุท่ีแท้จริง ส่วนหน่ึงเช่ือว่า อาจเก่ียวข้องกับพันธุกรรม ขณะเดียวกัน การเรียนรู้วิธีการพูดอย่างผิด ๆ ตั้งแต่เด็กก็มีส่วนที่ทาให้พูดติดอ่าง ได้เชน่ กัน ตัวอย่างเชน่ หากอวัยวะท่ีใช้สาหรับพูดในตัวเด็กยังทางานไม่ประสานกัน แล้วเด็กถูกผู้ใหญ่เร่งรัดให้ พดู คาตา่ ง ๆ มากเกนิ ไป จะทาให้เดก็ พูดไม่ชดั พดู ซา้ ๆ หรือนกึ คาศัพท์ไม่ออก ย่ิงหากผู้ใหญ่ตาหนิ จะยิ่งทาให้ เดก็ เกดิ ความเครียด ไม่มนั่ ใจ อาย หลีกเล่ียงทจ่ี ะพูด ซึ่งจะกระตุ้นให้เดก็ ตดิ อา่ งมากข้ึน

5 ภาษา (Language) ภาษา คือ รหัสที่คนในสังคมใช้ร่วมกันอย่างเป็นระบบ เป็นส่ิงท่ีแทนความคิดของมนุษย์โดยการใช้ สัญลักษณ์ต่าง ๆ ท่ีสร้างโดยเจ้าของภาษาท่ีมีกฎเกณฑ์หรือไวยากรณ์ที่ควบคุมกาหนดการใช้ภาษาน้ันๆ สิ่งสาคัญของภาษาคือผู้ส่งภาษาต้องใช้รหัสร่วมกับผู้รับภาษาได้ การสื่อความหมายจึงจะเกิดข้ึน ตัวอย่างเช่น ถา้ เด็กออกเสียง “อา คา อา ดา” เราไมเ่ รียกว่าเป็นภาษา เพราะรหัสที่เด็กแสดงออกมาไม่สามารถใช้เป็น รหัส รว่ มในสังคมได้ (สุมาลี ดจี งกิจ : 2554) ความผดิ ปกติของภาษา ความผิดปกตทิ ่ีเกย่ี วข้องกบั พัฒนาการทางภาษา ความบกพรอ่ งด้านความเขา้ ใจ และการใช้ภาษา แบ่ง ออกเปน็ 2 ประเภท คือ 1. ความผิดปกติของภาษาช่วงวัยพัฒนา เป็นความผิดปกติที่เก่ียวข้องกับพัฒนาการทางด้านภาษา และการพดู ในชว่ งท่เี ด็กมีพฒั นาการด้านภาษาอย่างต่อเนอื่ ง เช่น เด็กเริ่มพูดช้ามีลักษณะความบกพร่องท่ีสังเกต ได้ คือ เด็กไม่ค่อยเข้าใจคาพูดของผู้อื่นทาให้ตอบสนองต่อคาพูดของผู้อื่นไม่ถูก เร่ิมพูดคาท่ีมีความหมายได้ ล่าช้ากว่าเด็กคนอื่นๆ ที่อยู่ในวัยเดียวกัน พูดได้ไม่สมอายุ ส่ือสารกับผู้อ่ืนด้วยคาพูดไม่ได้ หรือถ้าพูดก็ไม่ สามารถเล่าเรื่องต่อเน่ืองกันได้ หรือพูดได้ไม่เหมาะสม หรือตรงกับสถานการณ์ท่ีกาลังพูดอยู่ (สุมาลี ดีจงกิจ, 2554) เกณฑ์ท่ีใช้ระบุว่าเด็กพูดช้า พิจารณาจากอายุที่เด็กเร่ิมพูด จานวนคาศัพท์และประเภทของคาศัพท์ที่ เด็กรู้จกั และพดู ได้ ดังนี้ 1) อายุที่แสดงออกให้รู้ว่าฟังเข้าใจภาษาและเริ่มต้นพูด เด็กอายุ 1 ปี ถึง 1 ปี 6 เดือน ท่ียังไม่เข้าใจ คาพูดและไม่เร่ิมพูดเป็นคา ๆ เป็นเด็กที่มีความโน้มเอียงท่ีจะพูดช้า ถ้าอายุ 2 ปี แล้วยังไม่พูดเป็นคาท่ีมี ความหมายถอื ว่าเด็กนัน้ พูดชา้ ผิดปกติ 2) จานวนคาศัพท์ เด็กอายุ 1 ปี ท่ีเข้าใจคาพูดน้อยกว่า 10 คา อายุ 2 ปี รู้จักและพูดน้อยได้น้อยกว่า 200 คา และอายุ 3 ปี รจู้ ักและพดู น้อยกว่า 900 คา เป็นข้อบ่งชีว้ ่าพูดช้าผดิ ปกติ 3) ประเภทของคาศัพท์ เด็กอายุ 2-3 ปี จะเข้าใจและพูดคาศัพท์ได้หลากหลาย ได้แก่ คานาม สรรพ นาม กริยา คณุ ศัพท์ วิเศษณ์ บพุ บท สันธาน อทุ าน เชน่ ช่ือคน สัตว์ ส่ิงของ อวัยวะของร่างกาย พืช ผัก ผลไม้ อาหาร สี คาบอกความรู้สึก สถานที่ ทิศทาง เวลา ขนาด จานวน ระยะทาง เป็นต้น ถ้าเด็กเข้าใจและพูด คาศัพท์ได้เฉพาะบางประเภท หรือมีคาศัพท์แต่ละประเภทน้อยเม่ือมีอายุเพ่ิมขึ้น แสดงว่ามีการพูดช้าผิดปกติ (รชั นี สภุ วตั รจรยิ ากุล, 2550) เดก็ พูดช้ามสี าเหตุจากปัญหาตา่ ง ๆ ต่อไปนี้ 1. ประสาทหพู ิการ 2. ปญั ญาอ่อน 3. สมองพกิ าร 4. ออทสิ ตกิ

6 5. ขาดการกระตุ้นทางภาษาและการพูดท่ีเหมาะสม ได้แก่ เด็กท่ีถูกทอดท้ิง เช่น ถูกเลี้ยงในสถาน สงเคราะห์ การปล่อยให้เด็กดูโทรทัศน์หรือเล่นคนเดียว มีสภาพท่ีอยู่แออัด พ่อแม่ดูแลไม่ทั่วถึง เด็กที่ขาด โอกาส เช่น เด็กเจ็บป่วยเร้ือรัง ผู้เลี้ยงขาดความรู้และประสบการณ์ในการเลี้ยงเด็ก และเด็กที่ถูกเล้ียงดูอย่าง ผิด ๆ เชน่ ไดร้ ับการดูแลเอาอกเอาใจมากเกนิ ไป พฤติกรรมเฉพาะของเด็กท่ีมีการพัฒนาภาษาและการพูดล่าชา้ สรุปได้ ดงั นี้ 1. พฤติกรรมเฉพาะของเดก็ ท่มี ีความบกพรอ่ งทางการไดย้ นิ - ไม่พดู หรือพดู ไม่ชดั ความรุนแรงข้ึนอยกู่ บั ระดับการไดย้ ิน - ไม่ตอบสนองต่อเสียงท่เี บากว่าระดับการได้ยนิ ที่มีอยู่ - ไมเ่ ล่นเสยี งตามวัย แต่จะใช้การส่งเลยี งไม่เปน็ ภาษาเพ่อื เรียกความสนใจตอ่ ผู้อน่ื - ใชท้ า่ ทางในการสอ่ื ความหมาย - จอ้ งหน้าจอ้ งตาค่สู นทนา - มีการแสดงออกทางสีหน้าทา่ ทาง - ไวต่อการเคล่ือนไหว การมองเห็นและการสัน่ สะเทอื น - การพัฒนารา่ งกายอยใู่ นเกณฑ์ปกติ อาจมอี ารมณก์ า้ วรา้ วไดบ้ ้าง 2. พฤติกรรมเฉพาะของเดก็ ที่มคี วามบกพร่องทางสตปิ ญั ญา - การพฒั นาการทกุ ดา้ นช้ากวา่ ปกติ แตพ่ ฒั นาเป็นไปตามขั้นตอนปกติ และการพัฒนาแต่ละด้านจะ อยใู่ นระดบั อายสุ มองท่ีใกล้เคยี งกนั โดยข้นึ อยกู่ ับระดับสตปิ ญั ญาของเดก็ - การตอบสนองต่อเสียงไม่สม่าเสมอ จะตอบสนองเฉพาะเสียงท่ีง่าย คุ้นเคยและเข้าใจโดยไม่ ขึน้ อยกู่ บั ระดับความดงั ของเสียงทยี่ นิ - ใช้ท่าทางในการส่อื ความหมายบา้ งแตจ่ ะเร่มิ ใช้ชา้ กว่าปกติ - แสดงความรู้สึกทางใบหน้าได้แต่ไม่สนใจการแสดงออกทางใบหน้าของผู้อื่นเป็นพิเศษ เพราะ ไม่เขา้ ใจ 3. พฤติกรรมเฉพาะของเด็กสมองพิการ (brain damage) - ไมพ่ ดู หรือพูดตามได้บ้าง - มปี ญั หาในการเคลื่อนไหว (motor disturbance) - บางรายมีพฤติกรรมเฉพาะ เช่น ซนอยู่น่ิงไม่ได้ (hyperactivity) ว่อกแว่กง่าย (distractibility) ทาอะไรซา้ ๆ แบบยับย้งั ตวั เองไม่ได้ (perseveration) ช่วงความสนใจสน้ั (short attention span) - การตอบสนองต่อเสียง พบว่าเด็กที่มีปัญหาด้านความเข้าใจภาษา (receptive aphasia) จะ ตอบสนองตอ่ เสียงไมส่ มา่ เสมอ เน่ืองจากไดย้ นิ เสยงทุกเสยี งแต่ไม่เขา้ ใจความหมาย จึงตอบสนอง เฉพาะเสียงท่ี เขาคุ้นเคยหรือเขา้ ใจโดยไม่ข้ึนอยู่กบั ความดังของเสยี ง สว่ นเด็กทม่ี ปี ญั หาการแสดงออกทางภาษา (expressive aphasia) จะตอบสนองต่อเสยี งสมา่ เสมอเน่ืองจากได้ยนิ และเข้าใจเสียงทุกเสยี งทีไ่ ดย้ นิ - การยิ้ม หัวเราะไม่สัมพันธ์กับเหตุการณ์ อาจจะพบว่าเด็กยิ้มหรือหัวเราะเมื่อเหนื่อย (over fatigue) หรือไดร้ บั การกระตนุ้ มากเกนิ ไป (over stimulation)

7 - การพัฒนาทางอารมณ์จะช้ากว่าวัย (immature emotion) เน่ืองจากไม่สามารถสื่อความหมาย กบั โลกภายนอกได้ โดยเฉพาะเด็กทมี่ ีปญั หาดา้ นความเข้าใจภาษา (receptive aphasia) 4. พฤติกรรมเฉพาะของเดก็ ออทิสติก - ไม่พดู (mute) หรอื พูดตามแบบไม่มคี วามหมาย (echolalia) หรอื อาจพูดแล้วหยดุ ไปไม่พดู อีก - เรียนรสู้ ิง่ ต่างๆ ยากและไม่สามารถนาไปใชก้ บั เหตุการณ์อื่นๆ ได้ - มักไม่สบตาคสู่ นทนา (no eye contact) ไมแ่ สดงออกทางสหี น้าท่าทาง (mask like face) และ ไม่สนใจต่อการแสดงออกทางสีหนา้ ทา่ ทางของผู้อน่ื จึงไมส่ ามารถรับร้ทู างสงั คม (social perception) - ตอบสนองตอ่ เสียงไม่สม่าเสมอ ตอบสนองเฉพาะเสยี งที่เขาสนใจโดยไมข่ ้ึนอยู่กบั ความดงั ของเสียง 5. พฤติกรรมเฉพาะของเดก็ ที่ขาดการกระตุ้นจากสง่ิ แวดลอ้ ม (inadequate environment) เด็กเหลา่ นจ้ี ะมกี ารพฒั นาทุกด้านปกติแตไ่ มพ่ ดู หรือพดู ช้า มกั ใชท้ า่ ทางและเสียงท่ไี มม่ คี วามหมาย ในการ บอกความต้องการของตัวเอง 2. ภาวะเสียการส่ือความ (Aphasia) เป็นความบกพร่องทางภาษาเนื่องจากการมีพยาธิสภาพของ สมองส่วนที่ควบคุมภาษา ทาให้มีปัญหาทางการส่ือความหมาย ด้านการฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายอย่างรวมกัน เช่น เด็กไม่เคยพูดหรือใช้ภาษาเลย หรือเด็กเคยพูดหรือใช้ภาษามา ก่อนแต่สูญเสีย ความสามารถดังกล่าวในเวลาต่อมา เด็กอาจจะเป็น Motor aphasia คือ ไม่อาจจะพูดสื่อ ความหมายได้ หรอื เปน็ Sensory aphasia คือ ไม่สามารถเขา้ ใจภาษาพดู ได้ สาเหตุของ Aphasia 1. ความผิดปกติของระบบเส้นเลอื ดในสมอง (Cerebrovascular Accident - CVA or Stroke) เป็น สาเหตใุ ห้เกิดอะเฟเชยี ไดบ้ ่อยท่ีสดุ ซึง่ ทาให้สมองส่วนท่ีควบคุมภาษาขาดเลอื ดไปเลีย้ งและตายไป ภาวะดงั กลา่ ว มดี งั น้ี 1.1 ภาวการณแ์ ข็งตัวของหลอดเลอื ด (Thrombosis) 1.2 ภาวการณ์อุดตันของเส้นเลอื ด (Embolism) 1.3 ภาวะเลือดออกในสมอง (Cerebral hemorrhage) 2. สาเหตอุ ่นื ๆ ได้แก่ 2.1 การเกิดอุบัติเหตุทางสมอง (Head injury) เซ่น ศีรษะได้รับความกระทบกระเทือน จากรถชน ถกู ตี ถูกแทง เปน็ ต้น 2.2 การมโี รคในสมอง เช่น เน้ืองอกในสมอง ซึ่งจะกดทับเนื้อสมองให้ตายไป สมองอักเสบจากเชื้อ ไวรัส เปน็ ตน้

หนว่ ยท่ี 2 หลักการ เทคนิค วิธีการชว่ ยเหลือ และการจดั การศึกษา สาหรบั บุคคลทีม่ คี วามบกพร่องทางการพดู และภาษา การส่ือสารให้ผู้อื่นเข้าใจความคิด ความรู้สึก หรือความต้องการของคนเรานั้น จะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อ ผู้รับและผู้ส่งสารมีความเข้าใจต่อกัน เช่น การสื่อภาษาด้วยการพูด ผู้รับต้องฟังผู้พูดได้เข้าใจ และผู้ส่งก็ต้องมี ความสามารถในการพูดภาษาเดยี วกับผ้ฟู งั บคุ คลทมี่ ีความตอ้ งการพิเศษมักมีปัญหาเร่ืองภาษา และการสื่อสาร ในรูปแบบต่าง ๆ กนั การพจิ ารณาปัญหากต็ ้องวนิ จิ ฉัยให้ได้ว่าปัญหาอยู่ทกี่ ารส่งหรือการรบั สาร ปัจจัยท่ีมผี ลต่อการพัฒนาภาษาและการพดู การพัฒนาภาษาและการพูดจะมีความก้าวหน้าได้ตามปกติหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ (เบญจมาศ พระธานี : 2554) ได้แก่ 1. พัฒนาการด้านร่างกาย เด็กท่ีมีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ ไม่มีความพิการทางร่างกาย สามารถ เคลื่อนไหวในส่ิงแวดล้อมได้ด้วยตัวเอง จะมีโอกาสพบปะพูดคุย เพิ่มพูนประสบการณ์และเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ในชวี ติ ประจาวันมาก เด็กจึงมีความก้าวหน้าของภาษาและการพูดได้มากกว่าเด็กที่มีสุขภาพอ่อนแอหรือพิการ ไม่แข็งแรง เจ็บป่วยบ่อย ๆ เด็กเหล่าน้ีจะต้องอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่จากัด ขาดความกระตือรือร้นและความสนใจ ในสงิ่ ตา่ ง ๆ รอบตัว จึงขาดประสบการณ์และโอกาสในการเรียนรู้ทาให้ความก้าวหน้าของภาษาและการพูดช้า ได้ โดยเฉพาะในช่วง 2 ปีแรกของชีวิต ซ่ึงเป็นระยะสาคัญของการพัฒนาภาษาและการพูด ถ้าเด็กมีสุขภาพ ท่ีไมด่ ี เจบ็ ป่วยบ่อย ๆ จะทาให้ความกา้ วหน้าดา้ นน้หี ยดุ ชะงัก หรือชา้ ได้ 2. เพศ มีผู้ศึกษาเก่ียวกับความแตกต่างระหว่างเพศ กับการพัฒนาภาษาหลายด้าน ซึ่งผลการศึกษา แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่พบว่าเด็กหญิงมีการพัฒนาภาษาดีกว่าเด็กชายอาจเป็นเพราะว่าเด็กหญิงจะ เลียนแบบบทบาทต่าง ๆ รวมท้ังการพูดจากแม่ ซึ่งส่วนใหญ่แม่จะเป็นผู้ท่ีมีบทบาทในการเลี้ยงดูหรือคลุกคลี กับลูกมากกว่าพ่อ และแม่จะพูดอธิบายสิ่งต่าง ๆ ขณะท่ีทาอยู่ (parallel activity) ตลอดเวลา เด็กหญิงจึงมี โอกาสในการเลียนแบบบทบาทตา่ ง ๆ และการพูดจากแม่มากกว่าเด็กชาย ซ่ึงจะเลียนแบบบทบาทต่าง ๆ จาก พ่อ นอกจากน้ีของเล่นของเด็กหญิงมีส่วนช่วยส่งเสริมความก้าวหน้าทางภาษาอีกด้วย เช่น ตุ๊กตา อุปกรณ์การ ประกอบอาหาร เป็นต้น ขณะเล่นเด็กหญิงจะใช้คาพูดท่ีเคยได้ยินจากแม่พูดไปด้วย ส่วนของเล่นของเด็กชาย มักเป็นพวกท่ีไม่ส่งเสริมการพูด เช่น รถยนต์ หุ่นยนต์ เป็นต้น ซึ่งเด็กชายจะส่งเสียงตามเสียงของเล่นมากกว่า เสียงพูด เช่น บึนบึน แป๊นแป้น ฯลฯ และกิจกรรมการเล่นส่วนใหญ่จะเป็น การแสดงความเป็นผู้ชายหรือ ใช้กาลัง ได้แก่ การเล่นฟุตบอล การเล่นปีนป่าย การต่อสู้ เป็นต้น ซ่ึง กิจกรรมเหล่าน้ีจะมีโอกาสใช้คาพูดน้อย กว่ากิจกรรมของเด็กหญิง สาหรับผลการศึกษาอีกกลุ่มหนึ่งพบว่า เด็กหญิงและเด็กชายมีการพัฒนาภาษา ไม่แตกตา่ งกนั กลมุ่ นเ้ี ชอ่ื วา่ ความแตกตา่ งในการเรียนรู้ของเด็กหญิงและเด็กชายมีแนวโน้มจะลดลง โดยเฉพาะ เมื่อเด็กอายุมากข้ึน เพราะว่าความเจริญด้านเทคโนโลยีของการส่ือสาร เช่น ความเจริญด้านเทคนิคการ เผยแพร่ภาพทางโทรทัศน์ อปุ กรณก์ ารสอ่ื สาร ต่างๆ การพฒั นารปู แบบการสอนในชัน้ เรียน เปน็ ต้น จะส่งผลให้ เดก็ มีโอกาสในการเรียนรูภ้ าษามากขนึ้ และเทา่ เทยี มกนั

3. อายุ การพัฒนาภาษาและการพดู เร่มิ ต้นท่อี ายุใกล้เคียงกัน ซึ่งการพัฒนาภาษาจะมีมากขึ้นตามอายุ เพราะเม่ือเด็กมีอายุมากขึ้น จะมีโอกาสพบปะพูดคุยและเพิ่มพูนประสบการณ์มากขึ้น จึงทาให้มีการพัฒนา ภาษาและการพูดเพ่ิมขึ้นไปด้วย โดยเฉพาะช่วงท่ีเด็กเร่ิมเข้าโรงเรียนจะมีความก้าวหน้าทางภาษาและการพูด ขน้ึ มาก เพราะเดก็ ไดร้ ับประสบการณ์ใหม่ ๆ ท้งั ทางตรงและทางอ้อม 4. สติปัญญา ความสามารถด้านสติปัญญาและการพัฒนาภาษาและการพูด เป็นเครื่องบ่งชี้ซึ่งกัน และกัน หรือกล่าวอีกนัยหน่ึงว่าการพัฒนาภาษาและการพูดจะเพ่ิมขึ้นตามอายุสมอง เพราะว่าสมองส่วนที่ สาคัญทส่ี ดุ ในการส่ือภาษาและสติปัญญาเป็นสมองส่วนเดียวกัน เด็กที่ความจากัดการด้านสติปัญญาจึงมีความ บกพร่องทางภาษาและการพูดด้วยสมอ ปจั จัยต่าง ๆ ท่กี ล่าวมามผี ลโดยตรงตอ่ การพฒั นาภาษาและการพดู สาหรบั ปัจจยั อื่น ๆ ทีม่ ีผลโดยอ้อม ไดแ้ ก่ - สภาพเศรษฐกจิ ทางสังคม - ขนาดของครอบครัว - จานวนภาษาทใี่ ช้ในครอบครัว - อาชีพของพ่อแม่ - ลาดับของการเกดิ ของเดก็ - จานวนเด็กทเ่ี กิดในคราวเดียวกัน (เด็กแฝดหรือเด็กคนเดียว) ฯลฯ การที่จะเข้าใจถึงผลกระทบของความบกพร่องทางการพูดและภาษาว่า มีผลต่อการเรียนรู้ของเด็กที่มี ความบกพร่องทางการพูดและภาษาอย่างไรน้ัน พ่อแม่ ผู้ปกครอง ครู หรือบุคคลท่ีเก่ียวข้องจาเป็นอย่างยิ่ง ท่ตี ้องเข้าใจและยอมรบั ข้อเท็จจรงิ เก่ียวกบั เดก็ ทมี่ ีความบกพรอ่ งทางการพดู และภาษาว่า 1. มคี วามเป็นไปไดเ้ สมอที่เด็กทอ่ี อกสียงได้ รคู้ าศัพทแ์ ละพูดได้ จะพดู ไม่ร้เู รือ่ ง อย่างไรกต็ าม เด็กที่มี ความบกพรอ่ งทางภาษามักมีความบกพรอ่ งทางการพดู ด้วย 2. เด็กท่ีมีความบกพร่องทางการพูดและภาษา มีจานวนไม่น้อยที่มีพัฒนาการทางสติปัญญา สังคม และทางอารมณเ์ ป็นปกติ 3. แม้ผลการวิจัยจะชี้ให้เห็นว่าข้ันตอนการพัฒนาทางภาษาเป็น อย่างไรก็ตาม เราก็ยังไม่รู้ว่าเด็ก เรียนรู้ภาษาไดอ้ ย่างไรกนั แน่ 4. การพูดติดอ่างเกิดขึ้นได้กับเด็กทุกระดับสติปัญญา เด็กบางคนที่ติดอ่างอาจพูดติดอ่างไปจน เป็นผู้ใหญ่ แต่ส่วนใหญ่แล้วจะหยุดติดอ่างเม่ือเด็กเข้าสู่วัยรุ่น หรือก่อนวัยรุ่นเล็กน้อย การพูดติดอ่างส่วนใหญ่ จะพบในเด็กและจะพบในเด็กชายมากกวา่ เด็กหญงิ 5.-เด็กที่เพดานโหว่อาจมีหรือไม่มีความบกพร่องทางการพูดก็ได้ ขึ้นอยู่กับขนาดและลักษณะของ รอยโหว่เปน็ เชน่ ไร ขึน้ อยู่กับการรกั ษาทางการแพทย์ และข้ึนอยู่กับองค์ประกอบอ่ืนๆ เช่น ลักษณะทางจิตวิทยา และการแก้ไขการพูด เป็นตน้ 6. ความบกพรอ่ งทางการพดู และภาษาทกุ ชนิดมกั เกิดขึ้นในกลุม่ คนทีม่ ีความสามารถทาง สติปัญญาต่า แตก่ ็สามารถพบในกลมุ่ คนทีม่ ีระดับสตปิ ญั ญาสูงไดเ้ ชน่ กนั

หากพิจารณาแล้วจะพบว่า การพูดและภาษามีผลต่อความสาเร็จในการเรียนรู้ของคนเรา ซ่ึง ความสามารถทางการพูดและภาษาน้ันจะมีมากหรือน้อยเพียงไรขึ้นอยู่กับโอกาสที่เด็กจะได้รับจากสิ่งแวดล้อม ความสาคัญของส่ิงแวดล้อมนี้เห็นได้ชัดเจน เช่น การที่เด็กมาจากครอบครัวซึ่งอยู่ในสภาพขาดแคลน ห่างไกล จากชุนชน หรืออยู่ในวัฒนธรรมท่ีไม่ได้ฝึกใช้ภาษาตั้งแต่เยาว์วัย ทาให้มีปัญหาเมื่อเริ่มเรียน เพราะขาดภาษา หรือมีความล่าช้าด้านพัฒนาการทางภาษา การพูด ดังน้ัน หากเด็กมีความบกพร่องทางการพูดและภาษาแล้ว การเรียนรใู้ นด้านต่าง ๆ กจ็ ะบกพร่องตามไปด้วย (อรวรรณ นิ่มตลงุ : 2551) การประเมนิ และการวนิ จิ ฉัย การประเมนิ ผลเด็กที่เข้าข่ายว่าเป็นเดก็ ที่มีความบกพร่องทางการสอ่ื สารและการวินิจฉัยความ บกพร่องเหล่านั้น อาศัยข้ันตอนตอ่ ไปนี้ 1. ไดร้ ับอนญุ าต/การยนิ ยอมจากผูป้ กครองก่อนทีจ่ ะทดสอบเด็ก 2. ศกึ ษาประวัตติ า่ ง ๆ ของเด็ก เช่น ทะเบียนประวตั ิความสามารถต่าง ๆ ทีเ่ ดก็ ทาได้และไม่ได้ รวมท้ัง ประวตั ิตา่ งๆ ต่อไปน้ี - ดา้ นพัฒนาการ - ด้านสขุ ภาพ - ขอ้ มลู เกีย่ วกบั ครอบครวั - ความสามารถทางดา้ นการเรียน 3. การประเมนิ ความบกพร่องทางการพูดและภาษาอยา่ งเป็นทางการและไมเ่ ปน็ ทางการ 4. การประเมนิ ด้านอน่ื ๆ เชน่ ความสามารถทางด้านสติปญั ญา ซ่ึงประเมนิ โดยแบบทดสอบทาง จิตวทิ ยาที่ใช้ช้ีบง่ ความแตกตา่ งของความสามารถทางด้านการพูด และไมใ่ ช่การพดู 5. วินจิ ฉยั โดยผู้เชย่ี วชาญ การใหค้ วามช่วยเหลือบุคคลท่ีมคี วามบกพร่องทางการพูดและภาษา การฝกึ พดู มวี ัตถปุ ระสงคใ์ ห้ผู้มีปัญหาภาษาและการพูดสามารถส่อื ความหมายได้ โดยใช้ความ สามารถ ท่ีเหลืออยู่อย่างเต็มศักยภาพ เพ่ือให้สามารถพึ่งตัวเองและดารงชีวิตอยู่ในสังคมได้ ในกรณีที่ความผิดปกติมี สาเหตุมาจากความบกพร่องของอวัยวะหรือความพิการทางร่างกาย จาเป็นต้องได้รับการรักษาจากแพทย์ ผู้เช่ียวชาญ เช่น การผ่าตัดแก้ไขความพิการ หรือความบกพร่องของอวัยวะท่ีใช้ในการพูดก่อนการแก้ไข หรือ ฟ้ืนฟูสมรรถภาพของการส่ือความหมาย สาหรับในรายท่ีแก้ไขทางด้านการแพทย์ไม่ได้ หรือไม่มีความบกพร่อง ด้านร่างกาย สามารถรบั การแก้ไขได้เลย มวี ธิ กี ารฝกึ หลายวิธีข้ึนอยกู่ บั ปัญหา ดงั นี้ การพูดไม่ชัด แก้ไขการพูดโดยฝึกให้เด็กออกเสียงสระ หรือพยัญชนะแต่ละเสียงโดยฝึกให้รู้จักวาง อวัยวะท่ีใช้ในการพูดให้ถูกตาแหน่ง ฝึกให้รู้จักคุณลักษณะของเสียงแต่ละเสียง และฝึกให้รู้จักฟังเปรียบเทียบ เสยี งของคาตา่ ง ๆ การฝึกจะฝึกจากเสียงทงี่ า่ ยไปยาก เช่น ฝึกออกเสียงสระ พยัญชนะก่อน แล้วจึงฝึกในระดับ พยางค์ คา วลี ประโยค สนทนา และฝึกในระดบั ทส่ี ามารถนาไปใช้ในชีวติ ประจาวนั ไดถ้ กู ต้อง

การพูดเสียงผิดปกติ การฝึกแก้ไขการพูดขึ้นอยู่กับปัญหาของการใช้เสียงที่ไม่เหมาะสม แบ่งออกเป็น 2 กรณคี ือ กรณแี รกเปน็ การท่เี สน้ เสียงและอวัยวะที่เก่ียวกับการออกเสียงทางานมากเกินไป (hyperfunction) ส่วนใหญ่มักเกิดในกรณีที่มีนิสัยการใช้เสียงไม่ถูกต้อง มีหลักการฝึกเสียงคือ ฝึกให้มีความตระหนักรู้ถึงการใช้ เสียงอย่างถูกวิธี โดยหลีกเลี่ยงการใช้เสียงที่ไม่ถูกต้อง เช่น ตะโกนแข่งกับเสียงในส่ิงแวดล้อม พูดเค้นเสียงพูด มากเกินไป ไอหรือกระแอมแรงๆ เปน็ ต้น นอกจากนี้ยงั ต้องฝึกฟงั แยกเสียงท่ี ปกติและที่ผิดปกติ และแยกความ แตกต่างของลักษณะการใช้เสียงท่ีถูกต้องและการใช้เสียงท่ีผิด ฝึกใช้ระดับเสียงที่เหมาะสม ฝึกใช้ความดังของ เสียงทเี่ หมาะสมกับสถานการณ์ ฝึกการผอ่ นคลายกลา้ มเนอื้ เป็นต้น ส่วนอีกกรณีคือ การที่เส้นเสียงทางานน้อย เกินไป (hypofunction) จนไม่สามารถปิดหรือเปิดได้ อย่างเหมาะสมในขณะต้องการออกเสียง ต้องฝึกให้เส้น เสียงทางานอยา่ งพอดแี ละเหมาะสม เพอื่ ใหส้ ามารถเปล่งเสยี งดงั หรอื เบา และมีคุณภาพเสียงตามความต้องการ ของผู้พดู ได้ การพูดติดอ่าง การแก้ไขการพูดติดอ่างข้ึนอยู่กับความรุนแรง อายุ และความวิตกกังวลของแต่ละ บุคคล หลักการโดยท่ัวไป คือ การปรับพฤติกรรมการพูดโดยฝึกพูดให้คล่องขึ้น พูดออกเสียงอย่างง่าย ๆ ราบเรียบ ไม่สะดุด ไม่เกร็ง หรือด้ินรน ให้มีจังหวะการพูดที่เหมาะสม ฝึกให้ผ่อนคลายในขณะพูด สร้างความ มั่นใจ ลดความกลัวและความวิตกกังวล โดยผู้ใกล้ชิดให้กาลังใจและเข้าใจปัญหาและร่วมมือการสร้าง สง่ิ แวดลอ้ มทเ่ี หมาะสมในการฝกึ สาหรับปัญหา ความผิดปกติด้านภาษา น้ัน วิธีการฝึกข้ึนอยู่กับประเภทและความรุนแรงของ ความบกพร่องของแต่ละบุคคล การฝึกมีหลักการ คือ ฝึกจากง่ายไปยาก คือ ฝึกความเข้าใจภาษาก่อน แล้วจึง ฝึกการใช้ภาษา ฝึกคาศัพท์ท่ีเป็นรูปธรรมก่อนนามธรรม ฝึกระดับวลี ประโยคง่าย ๆ ก่อนประโยคท่ีซับซ้อน มากขน้ึ ในกรณที ีม่ ีปัญหาการสอ่ื ความหมายระดับรุนแรง หรือปญั หาซบั ซ้อนอาจใชเ้ ทคนิคการเสริมการพูดเพื่อ ส่ือความหมาย (augmentative communication) หรือใช้วิธีการ เครื่องมือ กลยุทธ์ หรือเทคนิคต่าง ๆ แทน การพดู (alternative communication) ได้ เพือ่ ใหบ้ คุ คลผู้นั้นสามารถพ่ึงตัวเอง และดารงชีวิตอยู่ในสังคมได้ ใกล้เคยี งกบั ปกติทส่ี ดุ (สุมาลี ดจี งกิจ : 2554) หลกั ในการฝกึ พดู 1. คานึงถึงอารมณ์ และความพร้อมของเด็กในการสอนพูด อารมณ์และความพร้อมของเด็กเป็น สง่ิ สาคญั ที่ตอ้ งคานึงถงึ เป็นอยา่ งมาก ถ้าเด็กหงุดหงิด อารมณ์เสีย หรือร้องไห้ เด็กก็ไม่พร้อมท่ีจะรับการเรียนรู้ ในเรือ่ งใด ๆ 2. สอนความเข้าใจก่อนสอนการพูด ในการสอนคาศัพท์ต่าง ๆ พึงระลึกไว้ว่า ความเข้าใจต้องมาก่อน เสมอ ซ่ึงจะทราบว่าเด็กเข้าใจคาศัพท์ที่เราสอนได้จากการสังเกตว่า เด็กมองดู ช้ี หยิบ หรือแสดงท่าทางตามท่ี กาหนดได้ จากนนั้ จงึ สอนให้พดู คาศัพทน์ ัน้ ๆ 3. ใหโ้ อกาสเดก็ ได้เปลง่ เสียงออกมาบ้าง ขณะที่พูดกับเด็ก ผู้สอนควรเว้นระยะให้เด็กตอบบ้าง เพ่ือให้ เดก็ ไดม้ ีโอกาสคิดท่จี ะออกเสียง อยา่ รบี แย่งเด็กพูด และแม้ว่าเด็กจะออกเสียงไม่เป็นคา พยายามเดาว่าเด็กพูด อะไร และพูดตอบในเร่ืองนั้น เพื่อให้เด็กเกิดความมั่นใจในการเปล่งเสียง ในกรณีท่ีเด็กเร่ิมแสดงการเบ่ือหน่าย

ควรหยุดการฝึกไว้ก่อน เพราะถ้าเร้าให้เด็กออกเสียงมากเกินไป จะทาให้เด็กไม่ต้องการส่งเสียงกับผู้ฝึกในครั้ง ต่อไป 4. สอนพดู คาเดย่ี ว และเลือกคาท่ีออกเสยี งได้ง่ายก่อน ในการสอนพูดควรเริ่มจากการสอนคาเดย่ี ว ๆ และมองเห็นรปู ปากไดซ้ ัดเจน เพ่ือใหเ้ ด็กสามารถมองเห็นและเลียนแบบได้ จะชว่ ยใหอ้ อกเสียงได้ง่ายข้นึ เช่น คาทขี่ น้ึ ต้นดว้ ยเสียง พยัญชนะ ม ไดแ้ ก่ แม่ มา้ หมา เสยี งพยัญชนะ ป ไดแ้ ก่ ปู ปลา ปาก เสียงพยัญชนะ ว ไดแ้ ก่ วัว หวี เป็นต้น 5. สอนเดก็ ใหพ้ ดู โดยใชค้ านามที่มองเหน็ เป็นรูปธรรม จดจาได้ง่าย คุ้นเคยและอยู่ใกล้ตัวเด็ก จะทาให้ เด็กรับรู้ เข้าใจ และเรียนรู้ได้ดี ต่อมาจึงสอนให้พูดคากิริยาง่าย ๆ พร้อมทั้งสอนให้เด็กปฏิบัติตามไปด้วย รวมท้ังสอนร่วมไปกับการทากิจวัตรในชีวิตประจาวัน เพื่อให้เด็กสามารถเช่ือมโยงคากับประสบการณ์ และ นาไปใช้ในเหตกุ ารณ์จริงได้ตอ่ ไป 6. ผฝู้ กึ เปน็ แบบอย่างในการพูดที่ดี เนื่องจากขณะที่เด็กพูด เด็กจะลอกเลียนแบบจากผู้ท่ีพูด ผู้ฝึกจะต้อง พูดใหช้ ดั เจนและถกู ตอ้ ง ถา้ พบว่าเดก็ พดู ไม่ชัดไม่ควรแสดงความเอน็ ดหู รอื พดู ไมช่ ัดตามเด็ก เพราะจะทาให้เด็ก พูดไม่ชัดและติดไปจนโต แต่ไม่จาเป็นต้องเคี่ยวเข็ญให้เด็กพูดชัดในขณะนั้น เพราะเด็กไม่สามารถพูดให้ชัดได้ ในทันที เน่ืองจากยังขาดทักษะการเคล่ือนไหวของ ปาก ล้ิน ในการออกเสียง ควรรอให้เด็กสามารถพูดสื่อสาร ให้ได้มากพอก่อน เพราะการรีบแกไ้ ขใหเ้ ด็กพูดชดั หรือตาหนิเด็กบอ่ ย ๆ จะทาให้เดก็ โกรธและอาจหยุดพดู ไป เครื่องมือและอุปกรณ์การสอน เครอื่ งมอื และอุปกรณ์การสอนเพ่ือแก้ไขการพดู ไดแ้ ก่ 1. กระจกเงา 2. เครื่องบันทึกเสียง 3. บัตรคา 4. เคร่อื งฝกึ จงั หวะการพูด 5. คอมพวิ เตอรช์ ่วยสอน เทคนคิ การชว่ ยเหลือในการฝกึ พดู เมอ่ื เด็กมคี วามเขา้ ใจ จงึ เริ่มสอนพูด โดยใชเ้ ทคนิคชว่ ยใหเ้ ด็กสามารถนึกคาตอบได้ ดงั น้ี 1. การพูดตาม โดยในระยะแรกผู้สอนจะเป็นผู้ถามตอบเอง หลงั จากนนั้ จงึ เป็นผ้สู อนถามเดก็ แลว้ ตอบนาให้เด็กตอบตาม ตัวอยา่ ง ขั้นท่ี 1 ผ้สู อนถาม “นี่อะไร” ผสู้ อนตอบ “หมา” ขน้ั ท่ี 2 ผสู้ อนถาม “น่อี ะไร” ผสู้ อนตอบ “หมา” เดก็ พดู ตาม “หมา” 2. การพดู ต่อคา โดยผูส้ อนถามแลว้ ตอบนาท้ังคา แล้วกระตุ้นใหเ้ ดก็ ตอบตาม หลงั จากนั้นจงึ ถามซา้ แล้วตอบคาแรกนา เว้นชว่ งให้เด็กพดู ต่อคาให้สมบรู ณ์

ตวั อย่าง ข้ันที่ 1 ผสู้ อนถาม “นอ่ี ะไร” ผู้สอนตอบนา “แตงโม” เดก็ พูดตาม “แตงโม” ขั้นท่ี 2 ผ้สู อนถาม “นี่อะไร” ผู้สอนตอบนาคาแรก “แตง...” เว้นระยะใหเ้ ด็กตอบ “...โม” (หมายเหตุ เทคนิคน้ีใช้ได้เฉพาะกับการพดู คาที่มี 2 พยางคข์ ึน้ ไป) 3. การพดู ต่อเสียง โดยผู้สอนถามแล้วตอบนาทั้งคา แล้วกระตุ้นใหเ้ ด็กตอบตาม หลงั จากนน้ั จงึ ถามซา้ แลว้ ทาเสยี งของคาตอบนา เวน้ ระยะใหเ้ ดก็ ต่อเสียงให้เปน็ คาที่สมบรู ณ์ ตัวอย่าง ขน้ั ท่ี 1 ผู้สอนถาม “นีอ่ ะไร” ผสู้ อนตอบนา “หมา” เดก็ พูดตาม “หมา\" ขั้นท่ี 2 ผู้สอนถาม “นอ่ี ะไร” ผสู้ อนทาเสยี งตอบนาเสยี ง “อมึ ” (ลากเสยี ง) เว้นระยะ ใหเ้ ดก็ ต่อเสียงเปน็ คา“หมา” (หมายเหตุ เทคนคิ นใี้ ช้ได้เฉพาะคาทส่ี ามารถลากเสยี งพยัญชนะตน้ ของคาแรกได้) 4. การเดาจากรูปปาก โดยผู้สอนถามแลว้ ตอบนาในขณะทเี่ ดก็ มองปากผสู้ อน หลังจากน้นั จงึ ถามซา้ แล้วทารูปปากใหเ้ ด็กดู โดยไม่ออกเสยี ง เว้นระยะให้เด็กตอบ ตวั อย่าง ขน้ั ที่ 1 ผสู้ อนถาม “นี่อะไร” ผูส้ อนตอบนา “ววั ” เดก็ พดู ตาม “วัว” ขั้นท่ี 2 ผู้สอนถาม “นี่อะไร” ผสู้ อนทาปากจู๋ขณะทเ่ี ด็กมองปาก เวน้ ระยะ ใหเ้ ดก็ ตอบ “วัว” ลาดับขน้ั ตอนของการกระต้นุ ใหเ้ ดก็ พูดตอบได้เอง จะเร่ิมต้นจากข้อ 1 ไป จนถงึ ข้อ 4 ตามลาดบั การสอนข้นึ กบั ระดบั ความสามารถของเด็ก ถ้าเด็กไม่สามารถทาได้ในข้อใด ใหย้ ้อนกลับไปสอนยังข้อ กอ่ นหน้าที่เดก็ สามารถทาได้ จนเดก็ สามารถพดู ตอบได้เองโดยไม่ต้องมกี ารนาใด ๆ (สถาบนั ราชานกุ ลู กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสขุ : 2552) เทคนิคการส่งเสริมให้เดก็ เรยี นรู้ภาษาพดู ผใู้ หญช่ ว่ ยให้เดก็ เรียนรภู้ าษาพูดได้อย่างง่ายขึน้ โดย สังเกตวา่ เดก็ พยายามท่ีจะสื่อความหมายกับผู้ใหญ่ และแนใ่ จว่ามีการตอบสนองต่อเด็กอย่างชัดเจน และเหมาะสมทุกครั้ง เปลีย่ นความสนใจและส่ิงทีจ่ ะสอนตามเด็กมากกวา่ จะยืนกรานทจี่ ะทาในสิ่งที่คุณต้องการ ถ้าเด็กไม่กระตือรือร้นในการเรียนรู้การพูด กระตุ้นให้เด็กมีส่วนร่วมในกิจกรรมท่ีนาเสนอ แต่เปลี่ยน ไปสอนสง่ิ ที่เดก็ สนใจตามเด็กและเมอื่ เด็กสามารถรว่ มสนุกได้ หรอื เริ่มร่วมเลน่ แลว้ ควรร่วมในการสนทนาทุกครั้ง ใหบ้ อ่ ยท่สี ดุ เทา่ ที่จะทาได้ในสถานการณ์ตา่ งๆ

เทคนิคทีช่ ่วยส่งเสรมิ การพดู คอื - ส่งเสริมให้เด็กมีส่วนร่วมในการทากิจกรรมที่เด็กทาเป็นประจา การเรียนรู้ภาษาระยะแรกเกิดจาก การทากจิ กรรมทคี่ ้นุ เคยซา้ ๆ เป็นประจา รวมถึงการมีส่วนร่วมและการผลัดกันเล่น เช่น การเล่นจ๊ะเอ๋ การพูด สวัสดีกับคนในครอบครวั เป็นตน้ - พูดอธิบายในส่งิ ที่เดก็ ทา (parallel talk) ใช้การพูดเป็นคา วลีและประโยคง่ายๆ - พูดอธบิ ายสง่ิ ท่ีผู้ใหญ่กาลงั ทา (self talk) ตามระดบั ของภาษาของแต่ละคน - สนบั สนนุ การพูดของเด็ก ใหค้ วามสนใจและตอบสนองต่อสิ่งทเ่ี ดก็ กาลังพูด - การชวนสนทนาโตต้ อบในสงิ่ ท่เี ดก็ กาลังทาอยู่ - ผ้สู อนอยา่ พดู มากเกนิ ไป เพราะจะทาใหเ้ ด็กมีโอกาสในการพูดนอ้ ยลง - พูดชา้ และชดั เจน จะทาใหเ้ ดก็ เข้าใจงา่ ยขน้ึ - ใช้คาพดู งา่ ย ๆ ในการอธบิ ายส่ิงของ และกจิ กรรมท่เี ด็กทาอยู่ในชวี ติ ประจาวัน - อย่าใชค้ าถามหรอื คาสั่งมากเกนิ ไป - เลอื กระดบั ภาษาที่เหมาะสมกบั เด็ก - เลอื กกิจกรรมที่เด็กสนใจมาก ๆ มาสอนกอ่ น - ถ้าเด็กไมส่ นใจทากิจกรรมหรือไมส่ ามารถน่ังเล่นเกมได้ ควรจะเปล่ยี นกจิ กรรมเปน็ ส่ิงอนื่ ทเ่ี ด็กชอบ หรือเปล่ยี นเปน็ กิจกรรมทีง่ ่ายขึ้น - พยายามกระตนุ้ ให้เกิดการพูดคาแรกจากประสบการณ์ในชวี ิตประจาวนั โดยไม่บงั คับ - ต้องสรา้ งปฏิสัมพนั ธร์ ะหว่างเด็กกบั ผู้เลย้ี งดูหลักหรอื ผูส้ อนอย่างสมา่ เสมอ เพอ่ื เปน็ สะพานเชื่อม ไปสูก่ ารเลน่ และการสอนพูด - หลีกเล่ียงการเผชิญหนา้ หรอื การบงั คับให้เด็กพูด ใหค้ ่อยๆ ฝกึ อย่างเป็นธรรมชาติ - ต้องฝึกให้เด็กเขา้ ใจก่อนจงึ สอนให้พูด - เน้นการใชป้ ระสาทสมั ผสั ทุกดา้ น ได้แก่ การมองเห็น การได้ยิน การสัมผสั การดมกลิ่น และการล้ิมรส ในการสอนพูด เพอื่ ให้เขา้ ใจความหมายของคา - สอนพูดโดยใชภ้ าษาหนง่ึ ภาษาใดเป็นหลัก ไมค่ วรสอนหลาย ๆ ภาษาในเด็กทีพ่ ัฒนาภาษาและการ พดู ลา่ ชา้ เดก็ ต้องการโอกาสมากในการเขา้ ร่วมการสนทนา และต้องการตอบสนอง ความสนใจ ผู้ใหญ่สามารถ ชว่ ยเหลือใหเ้ ด็กมสี ่วนรว่ มในกิจกรรมทมี่ ีโอกาสใช้ท่าทาง การทาเสียง การพูดเป็นประจา หรือประโยค เด็กจะ เรยี นรูก้ ารพดู ผ่านการสนทนา ความสัมพันธใ์ นการสนทนาระหวา่ งเดก็ และผใู้ หญ่ (เบญจมาศ พระธานี : 2554) http://www.ser01.com/page/discom.htm http://blog.eduzones.com/moobo/96231

การจัดการศกึ ษาสาหรับบคุ คลทีม่ คี วามบกพร่องทางการพดู และภาษา การศึกษาของเด็กในวัยเรียน ครูที่มีการสังเกต จะทาการส่งต่อเด็กท่ีมีทักษะการส่ือความหมายท่ีไม่ดี ไปรับความชว่ ยเหลือพิเศษ เม่ือเด็กถูกคัดแยกว่ามีความบกพร่องทางการพูดหรือภาษา และได้รับบริการพิเศษ จากนักแก้ไขการพูดแล้ว ครูควรทางานและให้ความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับนักแก้ไขการพูด นักแก้ไขการพูด สามารถให้การแนะแนวและคาแนะนาท่สี ามารถนาไปปฏิบัติได้จริงไปใช้ในช้ันเรียนปกติ ตัวอย่างเช่น นักแก้ไข การพูดอาจจะแนะนาหนทางที่ครูสามารถเพิ่มพูนภาษาพูดของเด็กคือการเป็นผู้ฟังที่สนใจ ให้โอกาสเด็กได้พูด ถึงส่ิงท่ีสนใจมากขึ้น ถามคาถามปลายเปิดที่สนับสนุนให้เด็กพูดคุยมากข้ึน นักแก้ไขการพูดและครูสามารถทา การสอนเป็นคณะในหน่วยการเรียนเฉพาะซ่ึงบูรณาการการเรียนการสอน ภาษาเข้าไปในหลักสูตรปกติ ตัวอย่างเช่น หน่วยการเรียนเกี่ยวกับส่ิงแวดล้อมในท้องถิ่นซ่ึงอาจจะได้ผลลัพธ์เป็นรายงานการเขียนเร่ืองสั้น ของเดก็ การสง่ จดหมายถึงบรรณาธิการของหนงั สือพิมพท์ ้องถิ่น การอภิปรายโดยคณะวิทยากรหรือการโต้วาที เป็นต้น หลักการสอน ครูสามารถปรบั ปรุงการสอนของตนเองและปรบั สิ่งแวดลอ้ มทางภาษาในช้ันเรยี นเพือ่ ใหเ้ หมาะสมกับ เด็กทีม่ ีความบกพร่องทางการพดู และภาษาได้โดยใชห้ ลกั การและวิธกี ารสอน ดังนี้ 1. พดู ให้ชา้ ลง 2. จัดส่งิ แวดลอ้ มการสื่อความหมายทีผ่ อ่ นคลาย โดยใชก้ ารหยดุ เปน็ ชว่ งสน้ั ๆ ระหว่างการโต้ตอบ 3. จัดรปู แบบของภาษาท่ีดีดว้ ยการปรับใหง้ ่ายและเหมาะสม 4. ยอมรับสิง่ ทเี่ ด็กต้องพดู มากกว่าพดู อยา่ งไร โดยเฉพาะเด็กตดิ อ่าง 5. จดั วางหลักการสนทนาทด่ี ี โดยทไ่ี มม่ ีการขัดการสนทนา จะเป็นการสลับการพดู 6. ฟังนักเรียนพูดอยา่ งเอาใจใส่ 7. จดั ให้มีครูสอนพิเศษ 8. ให้การชมเชยแก่เด็กสาหรับความพยายาม 9. ประเมนิ ผลงานจากผลลพั ธ์ไมใ่ ชร่ ะดับการเรยี นรเู้ ฉพาะ 10. จัดกจิ กรรมทห่ี ลากหลายเพือ่ วา่ เด็กจะได้สามารถทาได้ดี อยา่ งน้อยกบ็ างงานในหลายวชิ า ของ ภาคเรียนหรือของปีการศกึ ษา ลกั ษณะการจัดการเรยี นการสอน 1. เดก็ ท่ีมีความบกพรอ่ งทางการพดู และภาษา ควรเข้าเรยี นร่วมในชั้นเรยี นปกติมากทสี่ ุดเทา่ ทจ่ี ะ มากได้ 2. หลักสตู รที่ใช้ คอื หลกั สูตรปกติ 3. อาจปรับกิจกรรมพเิ ศษในหลกั สูตรเป็นการสอนเพอ่ื แก้ไขการพดู โดยครปู ระจeช้นั ในกรณีที่เด็ก

มคี วามผดิ ปกติไม่มากนัก และมีครเู ดินสอนซึง่ มคี วามชานาญในการสอนเพ่ือแก้ไขการพูดเวยี นมาสอนเดก็ ในกรณีท่เี ด็กมีความผิดปกติรุนแรง 4. การแก้ไขการพูดควรให้บริการแก่เด็กเร็วท่ีสุดเท่าที่จะเร็วได้ตั้งแต่เริ่มค้นพบความผิดปกติ ก่อนที่ ความผิดปกตินั้นจะเพิ่มความรนุ แรงมากขน้ึ 5. การแก้ไขการพดู ควรให้บริการควบคู่กันไปกับการศกึ ษาปกติในโรงเรยี น ส่อื การเรยี นการสอน สื่อการเรียนการสอนโดยทั่วไปเหมือนกับของเด็กปกติ โดยครูปรับให้เหมาะสมกับกิจกรรมการสอน เด็กท่ีมีความบกพร่องทางการพูดหรือภาษา หนังสือเก่ียวกับวรรณคดีสeหรับเด็กอาจจะเป็นหนังสืออ่านง่าย นิทาน หนังสือเล่มใหญ่ เหมาะสาหรับการสอนภาษาและการพูดของเด็ก เกมต่าง ๆ ท่ีอาจใช้บัตรคาหรือภาพ ประกอบการเล่นบัตรคา และภาพควรจะเริ่มขนาดและสีสันที่เหมาะสม ปลอดภัย และจูงใจเด็ก เป็นต้น โดย พิจารณาให้เหมาะสมกบั วุฒิภาวะ ระดับชนั้ เรยี น และระดับความสามารถของเดก็ การใหค้ วามช่วยเหลือและส่ิงอ านวยความสะดวก โรงเรยี นควรจัดใหม้ ตี ารางเวลาสาหรบั เด็กที่มีความบกพร่องทางการพูดหรือภาษาไดฝ้ กึ พดู แก้ไขการ พูดท่ีบกพร่องกบั นักแก้ไขการพดู สง่ ครเู ข้าอบรมวิธีการสอนเด็กประเภทนี้ จัดสิง่ แวดล้อมท้ังในหอ้ งเรยี นและ รอบบริเวณโรงเรยี น รวมทงั้ กิจกรรมการเรยี นการสอนและกจิ กรรมร่วมหลักสตู รทสี่ นับสนุนการพดู และการใช้ ภาษาของเดก็ บรรยากาศในการสอน 1. ห้องเรียนหรือสถานที่สอนพูดสาหรับเด็กท่ีมีความบกพร่องทางการพูดและภาษาควรเงียบ ไม่มี เสียงรบกวน ท้งั ตอ้ งไมพ่ ลุกพลา่ น เพราะจะทาให้สมาธขิ องผสู้ อนและเดก็ ทรี่ บั การฝกึ เสยี ไป 2. แสงสวา่ งต้องมีพอ จะชว่ ยลดความเครยี ดของเด็กลงไปได้ อากาศถา่ ยเทได้ดี มแี สงสวา่ ง การประเมินผลการเรียน เน่ืองจากการเรยี นการสอนเด็กทีม่ ีความบกพร่องทางการพูดและภาษาใช้หลกั สตู รปกติ จงึ ประเมินผล ตามระเบียบการประเมินผลตามหลักสตู ร โดยเน้นการประเมินผลที่ผลลัพธ์การเรียนรู้ (พิมพ์พรรณ เทพสุเมธานนท์, สวุ พชิ ชา ประสทิ ธิธญั กจิ , 2549) การกระทา การแสดงออกของเด็กหลาย ๆ ดา้ น ตามสภาพความเปน็ จรงิ มี การใชข้ อ้ มูลและวิธีการทห่ี ลากหลายในการประเมนิ เชน่ การสงั เกต การตรวจงาน และการประเมินโดยใช้ แฟม้ สะสมผลงาน เปน็ ต้น

กรณศี กึ ษา แมค่ รบั ...ผมพดู ติดอ่าง บูมเป็นเด็กชายอายุ 7 ปี เริ่มพูดติดอ่างต้ังแต่อายุ 4 ปี ระยะหลังเริ่มมากข้ึนเรื่อย ๆ คุณพ่อคุณแม่ สงั เกตเห็นว่าบูมมักจะพูดติดอ่าง เวลาตื่นเต้นหรือรีบ ๆ พูด นอกจากน้ีท่ีบ้านจะมีคุณอาคนหน่ึง ชอบล้อเลียน และหัวเราะเป็นประจา คุณพ่อคุณแม่เคยเตือนแล้วคุณอาก็ยังไม่ให้ความร่วมมือ แต่ปัญหาใหญ่ที่สุดก็คือ เหตุการณ์ที่โรงเรียนเมื่อ 1 สัปดาห์ก่อน โดยบูมต้องพูดรายงานหน้าช้ันให้เพ่ือน ๆ และคุณครูฟัง บูมต่ืนเต้น มากย่ิงทาให้พูดติดอ่างมากกว่าปกติ จนเพ่ือน ๆ หัวเราะกันทั้งห้อง บูมอายเพ่ือน ๆ มาก และไม่ม่ันใจในการ พดู ในท่สี าธารณะอีกต่อไป คุณพ่อคุณแม่จึงพาบูมไปพบแพทย์ ขณะนี้บูมก็กาลังฝึกพูด ฝึกออกเสียงใหม่เพ่ือให้ พูดตดิ น้อยลง โดยท่ัวไปแล้วเด็ก อายุ 2 - 5 ปี อาจมีการพูดติดอ่างเหมือนบูมได้บ้าง ถือเป็นปกติ แต่ต้องพิจารณา ลักษณะของการพูดติดอ่างด้วยนะครับ ลักษณะการพูดติดแบบซ้าคา เช่น “ไม่...ไม่...ไม่เอา” หาก เป็นในเด็ก อายุน้อยกว่า 4 ปี และพูดติดไม่เกินร้อยละ 80 ของคาพูดทั้งหมด ก็ถือว่าพอรับได้ แต่หากเป็นการพูดติดอ่าง ที่ผิดปกติเช่นพูด “อะ...อะ...อะ...อ่าน” แม้ว่าอายุน้อยกว่า 4 ปี ก็ควรได้รับคาปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญครับ สิ่งสาคัญท่ีสุดไม่ว่าเป็นจะการที่เด็กพูดไม่ชัดหรือพูดติดอ่างดังกรณีของบูม ไม่ควรดุว่า ลงโทษ หรือล้อเลียน ทั้งท่ีบ้านและโรงเรียน โดยเด็ดขาดครับ เพราะจะย่ิงทาให้เด็กเครียด มีอาการมากขึ้นและท่ีสาคัญท่ีสุดคืออาจ สูญเสียความมั่นใจในการพูดของตัวเองไปเลยกเ็ ป็นได้ ขอขอบคุณ ขอ้ มูลจากโรงพยาบาลกรุงเทพ เร่ือง : แมค่ รบั ...ผมพูดติดอ่าง น.พ. กมล แสงทองศรีกมล กุมารแพทย์ จิตแพทยเ์ ดก็ และวยั รุ่น [email protected]

ตวั อย่างปญั หาทางภาษาและการพูดทพี่ บในเดก็ ออทิสติก รายที่ 1 แก้วอายุ 4 ปี แก้วเป็นเด็กท่ีตื่นกลัวง่าย มีหลายส่ิงที่ทาให้แก้วกลัวท้ังที่ของสิ่งนั้นไม่น่ากลัว เช่น ถุงเท้า สาลี เป็นต้น เม่ือเห็นสิ่งเหล่านี้แก้วจะกรีดร้องและไม่ฟังผู้อ่ืน นักแก้ไขการพูดประเมิน ความสามารถทางภาษาและการพูดพบว่า ความสามารถด้านความเข้าใจภาษาของแก้วเท่ากับเด็กอายุ 3 ปี 3 เดือน และความสามารถในการแสดงออกทางภาษาเท่ากับเด็กอายุ 3 ปี โดยถ้าคนท่ัวไปได้คุยกับแก้วจะ เข้าใจว่าแก้วเป็นเด็กท่ีเก่ง เพราะแก้วรู้จักพยัญชนะไทยทัง 44 ตัว ท่อง A-Z ได้ บอกตัวเลขได้ถูกต้อง นอกจากน้ี แก้วยังแสดงความสามารถถึงความรอบรู้ด้านวิชาการ ได้แก่ อธิบายลักษณะของสัตว์ต่าง ๆ ได้ดี เช่น กบเป็นสัตว์คร่ึงบกครึ่งน้า มี 4 เท้า ชอบกินแมลง กบมีรูปร่างคล้ายคางคก หลังจากที่นักแก้ไขการพูด ยน่ื ภาพ “กบ” เพ่ือใหเ้ ด็กตอบคาถามว่า “ตัวอะไร” แก้วสามารถต่อเลโก้เป็นบ้าน เป็นรถถังได้สวยงาม แต่เม่ือ แก้วอยู่ในกลุ่มเพ่ือน แก้วไม่สามารถเป็นผู้เริ่มต้นการสนทนา และไม่รู้จักวิธีชวนเพ่ือนให้ไปเล่นด้วยกัน เวลา แก้วพดู กบั เพือ่ น ๆ จะพดู ถึงตวั เลข และพยัญชนะต่าง ๆ รายท่ี 2 จุกอายุ 4 ปี ชน ไม่อยู่นิ่ง มีพัฒนาการทางภาษาและการพูดล่าช้า ยังไม่ทาตามคาสั่งง่าย ๆ และไม่ตอบคาถาม “อะไร” แต่พูดตามโฆษณาในโทรทัศน์ เช่น เห็น ภาพ “หม้อ” เด็กจะตอบ “โตชิบา นาสิ่ง ท่ีดสี ู่ชวี ิต” เห็นภาพ “รถ” เด็กจะตอบว่า “ทุกชีวิตปลอดภัยในวอลโว่” เด็กชอบหนังสือและคอมพิวเตอร์มาก จุกจะทาร้ายตนเองเมื่อไม่พอใจ ส่งเสียงกร๊ีด ไม่เล่นกับผู้อื่น แสดงความต้องการโดยการจูงมือผู้ใกล้ชิดให้หยิบ สิง่ ของให้ แต่ไมม่ องสบตา รายท่ี 3 โก๊ะ อายุ 4 ปี ค่อนข้างเฉื่อย ไม่สนใจของเล่น ไม่สนใจผู้อ่ืน ต้องการอะไรจะใช้วิธีดึงมือ ผู้เล้ียงดู ไม่มองสบตา ยังไม่พูด ไม่เล่นเสียง ไม่เลียนแบบ และทาตามคาส่ังไม่ได้ ชอบเล่นของเล่นหรือมอง อะไรทีห่ มุนได้ เช่น ยกจักรยานใหห้ งายทอ้ งแล้วหมุนล้อดู มปี ญั หาการนอน จากข้อมูลของเด็กออทิสติกทั้งสามรายพบว่า เด็กท้ังสามคนมีความบกพร่องของพัฒนาการทั้งด้าน สังคม ด้านภาษาและการพูด ด้านพฤติกรรมและอารมณ์ ซ่ึงความบกพร่องเหล่าน้ี จะมีต้ังแต่ระดับเล็กน้อย จนถงึ ข้นั รุนแรง เห็นได้ว่าความบกพร่องของพัฒนาการทางด้านสังคมและภาษาของแก้วอยู่ในระดับปานกลาง แตแ่ ก้วมคี วามบกพร่องของพฤติกรรมและอารมณ์อยู่ในระดับรุนแรง ขณะที่จุกมีความบกพร่องของพัฒนาการ ทางสังคม ด้านภาษาและการพูดอยู่ในระดับค่อนข้างรุนแรง ปัญหาด้านพฤติกรรม และอารมณ์อยู่ในระดับ รุนแรง ส่วนโก๊ะมีความบกพรอ่ งของพัฒนาการทั้งสามดา้ นอยูใ่ นระดับรนุ แรง เมื่อพิจารณาถึงความผิดปกติทางภาษาและการพูดของเด็กท้ังสามพบว่ามีลักษณะของความผิดปกติ ที่แตกต่างกัน โดยนักแก้ไขการพูดแบ่งลักษณะของความผิดปกติด้านภาษาและการพูดท่ีพบในเด็กออทิสติก แบ่งได้เป็น 2 ดา้ นใหญ่ ๆ คือ 1. ดา้ นความเข้าใจภาษา 2. ด้านการแสดงออกทางภาษา

ตัวอยา่ งกิจกรรมการแกไ้ ขเรือ่ งปัญหาดา้ นความเข้าใจภาษา เอกอายุ 2 ปี 5 เดอื น ซนไม่อยู่น่ิง ยังไม่พูดเป็นคามีความหมาย มองสบตาน้อยมาก เม่ือต้องการอะไร จะใช้วิธีจูงมือผู้ปกครองให้ไปหยิบ แต่ไม่มีการมองสบตากับผู้ท่ีเอกขอความช่วยเหลือ เด็กเลียนแบบท่าทาง ตามทีส่ อนได้ แตไ่ มท่ าตามคาสง่ั และไมร่ ้จู กั ชือ่ ตนเอง เป้าหมาย : ใหเ้ ด็กเขา้ ใจความหมายของคาศัพท์ตา่ ง ๆ หรือยา้ ความเข้าใจคาศัพท์ : เพ่มิ ความสามารถในการปรับตัวตอ่ กจิ กรรมและตอบสนองไดอ้ ย่างถูกตอ้ ง : ให้มคี วามยืดหยนุ่ สามารถเรียนร้เู งือ่ นไข กฎเกณฑข์ องสังคมได้ กจิ กรรม ทาท่าทางเคล่ือนไหวตามคาสั่ง วัตถุประสงค์ ใหเ้ ดก็ รู้จักคากริยา สามารถทาทา่ ทาง และการเคลื่อนไหวต่าง ๆ ตามคาสัง่ ไดถ้ ูกต้อง วิธกี าร ผู้ฝึกและเดก็ น่ังหันหน้าเข้าหากัน ตวั อยา่ งทา่ ทางท่ีใชใ้ นการฝกึ “ตบมือ” 1. ดึงความสนใจของเด็กให้เด็กมองผูฝ้ กึ เมื่อเดก็ มอง ผู้ฝกึ พูด “(ชื่อเด็ก)..ตบมอื ” ถ้าเด็ก ทาได้กใ็ ห้รางวัลทนั ที 2. ถ้าเด็กยงั ไม่เขา้ ใจวา่ ผู้ฝกึ ให้ทาอะไร ใหผ้ ู้ฝึกชว่ ยโดยการแตะข้อศอกทั้ง 2 ข้างของเดก็ เพอ่ื ชว่ ยใหเ้ ดก็ ตบมือ ขณะพูด “ตบมือ” ให้รางวลั ทกุ คร้งั ที่เด็กพยายามตบมอื ด้วย ตนเอง แลว้ ค่อย ๆ ลดการชว่ ยลง ตวั อย่างกจิ กรรมท่นี าเกมมาใช้ในการสอน เปา้ หมาย : เพ่ือใหเ้ ด็กเรยี นรกู้ ารมีปฏิสัมพันธก์ บั ผู้อนื่ : เพิ่มความสามารถในการปรับตัวตอ่ กิจกรรมและตอบสนองไดอ้ ย่างถูกต้อง : ใหเ้ ด็กมคี วามยืดหยุน่ สามารถเรียนรู้เงื่อนไข กฎเกณฑ์ของสงั คมได้ กจิ กรรมที่ 2 วิ่งไล่จบั วัตถุประสงค์ ให้เดก็ รูจ้ กั การสลบั บทบาทเมื่อเลน่ กับผอู้ น่ื วธิ กี าร สมาชกิ ในครอบครัว และเด็ก วิธกี าร 1. สมาชิกในครอบครัวทจี่ ะเล่นกับเด็ก ยืนอย่ขู ้างหน้าของเด็ก 2. กาหนดใหแ้ ม่เป็นผู้กากับเด็ก โดยให้แม่ยนื ข้างหลังเด็ก และจบั ขอ้ ศอกทงั้ สองข้างของ เด็กไว้ โดยแม่ตอ้ งโน้มตวั ไปข้างหน้าเพ่ือสบตากบั เด็ก 3. แม่พดู กับเด็กว่า “ถ้าแมน่ ับ 1 2 3 เอกต้องวิ่งนะ” 4. แม่เร่ิมนับและพดู “1 2 3 เอกว่งิ ” พร้อมกับดันตัวของเดก็ ไปขา้ งหน้าเพ่อื ไล่จับคนอื่น 5. ถา้ เดก็ ไมว่ ิง่ หรอื ไมเ่ ขา้ ใจ แม่ต้องจบั ตวั เดก็ และพาเด็กวิ่งไล่จบั ผู้อืน่ 6. สลบั ใหค้ นที่ถกู จับ เปน็ ผู้ไล่จับบ้าง ใหฟ้ ังคาส่ังเชน่ เดยี วกัน และแม่เปน็ คนพาเดก็ หนี ใน กรณที เี่ ด็กวิ่งหนีไมเ่ ปน็ 7. ทาซา้ ๆ จนกวา่ เด็กจะเลน่ เองเปน็

สรปุ สาระสาคญั สาเหตุของความบกพร่องทางการพูดและภาษา 1. ความผิดปกติของร่างกาย เช่น โครงสร้าง ระบบประสาท สติปัญญาต่างจากคนทั่วไป หรือป่วย เป็นโรคตา่ ง ๆ 2. การสื่อความหมายบกพร่อง ท้ัง ๆ ที่ร่างกายปกติ แต่เกิดจากการเรียนรู้ทางภาษาที่ไม่ถูกต้อง จากประสบการณแ์ ละส่งิ แวดล้อมรอบ ๆ ตวั การช่วยเหลือและส่งเสรมิ พัฒนาการทางภาษาและการพดู การฝกึ พูดและการแก้ไขการพูด จะช่วยให้บุคคลที่มีความบกพร่องทางการพูดและภาษาสามารถสื่อสาร กับผู้อื่นด้วยตนเองได้ โดยใช้ความสามารถที่เหลืออยู่อย่างเต็มศักยภาพ ในบางรายความบกพร่อง เกิดจาก ความผิดปกติของร่างกายหรือเกิดจากความพิการทางร่างกาย ต้องได้รับการรักษาจากแพทย์ ผู้เช่ียวชาญก่อน การฝึกพูดหรือการแก้ไขการพูด เช่น ปากแหว่งเพดานโหว่ นอกจากนั้น พ่อแม่ ผู้ปกครอง และผู้ที่เกี่ยวข้อง กบั เด็ก ก็มีส่วนในการช่วยเหลือและส่งเสริมพัฒนาการทางภาษาและการพูดด้วย โดยการ ให้ความสนใจ และ สนองตอบต่อคาพดู ของเดก็ ไม่ลอ้ เลียน และเป็นแบบอย่างท่ีดีในการพดู และการใช้ภาษาที่ถูกต้อง การจัดการเรียนรูส้ าหรบั บุคคลทมี่ คี วามบกพร่องทางการพดู และภาษา 1) การจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ในสว่ นของพอ่ แม่ ผ้ปู กครอง ใหส้ อนพูดกับลูกตั้งแต่เล็ก สง่ เสรมิ ให้เดก็ ไดส้ อ่ื สารกับบุคคลอน่ื ๆ ส่ือสารกับเด็กอยา่ งสม่าเสมอ เอาใจใส่ในดา้ นการแสดงพฤติกรรมหรอื อารมณ์ของเด็ก ท่มี ตี อ่ เด็กอ่นื และใชเ้ วลาและกจิ กรรมในการฝึกให้เด็กใช้ภาษาให้เร็วทส่ี ดุ 2) การเรียนรู้ด้วยกิจกรรมต่าง ๆ เพ่ือพัฒนาทางด้านภาษา โดยใช้เกม การเล่น การเล่นเสียง การ เลียนเสียง การฝึกต้ังคาถาม ฝึกผสมคาให้มีความหมายโดยเร่ิมจาก 2 พยางค์แล้วค่อย ๆ เพิ่มพยางค์ จนเป็น ประโยคทีม่ คี วามหมาย รวมถงึ การฝึกความแข็งแรงของอวัยวะในการพดู เชน่ ฝกึ การเป่า การดดู การกลืน การ แลบลน้ิ เปน็ ตน้ สิ่งอานวยความสะดวก สอื่ บรกิ ารและความช่วยเหลืออ่ืนใดทางการศึกษา โรงเรียนควรจัดสภาพแวดล้อม ห้องเรียน การจัดการเรียนการสอนและกิจกรรมต่าง ๆ ท่ีสนับสนุน การพูดและการใช้ภาษาให้กับบุคคลท่ีมีความบกพร่องทางการพูดและภาษา ครูสามารถเลือกหรือปรับใช้ส่ือ การเรยี นการสอนให้เหมาะสมกับระดับพัฒนาการ/ความสามารถ และความแตกต่างระหว่างบุคคลของผู้เรียน รวมทั้งจดั ใหเ้ ดก็ ไดร้ บั การฝกึ พดู เพือ่ แกไ้ ขความบกพรอ่ งและพัฒนาการพูดและการใช้ภาษาเพ่ือช่วยให้สามารถ ส่ือสารกบั ผอู้ นื่ ได้ การวดั และประเมนิ ผล ประเมนิ ผลตามหลกั สูตร โดยเนน้ การประเมนิ ผลที่ผลลพั ธ์การเรยี นรู้ และสภาพจรงิ ท่ีเดก็ ทาได้ มีการ ใชข้ ้อมลู และวธิ ีการทีห่ ลากหลายในการประเมิน

แหลง่ ข้อมูลเพม่ิ เติมทตี่ ้องศึกษา สาหรับผู้ท่ีศึกษาข้อมูลบุคคลท่ีมีความบกพร่องทางการพูดและภาษา นอกจากหนังสือ ชุดการศึกษา ดว้ ยตนเองแล้ว ผศู้ ึกษาเองน้ันควรหาข้อมลู ความร้เู พม่ิ เตมิ เพ่อื ใหเ้ ขา้ ใจและมคี วามรู้เกี่ยวกับ การจัดการศึกษา สาหรับบุคคลที่มีความบกพร่องทางการพูดและภาษา ในเรื่องของลักษณะของบุคคลท่ีมีความบกพร่องทาง การพูดและภาษา วิธีการช่วยเหลือและการจัดการศึกษาสาหรับบุคคลท่ีมีความบกพร่องทางการพูดและภาษา เพราะปัจจุบันการศึกษาได้มีการพัฒนาองค์ความรู้ด้านต่าง ๆ ไปมาก ผู้ศึกษาจึงควรหาความรู้เพิ่มเติมเพื่อให้ ทันต่อเหตกุ ารณ์ แหล่งข้อมูลเพิม่ เตมิ ที่ต้องศกึ ษา เชน่ 1. พระราชบัญญัติการจัดการศกึ ษาสาหรบั คนพิการ พ.ศ. 2551 2. เว็บไซต์ สานักบรหิ ารงานการศึกษาพิเศษ http://special.obec.go.th/special 3. เว็บไซต์ วทิ ยาลยั ราชสดุ า มหาวทิ ยาลยั มหดิ ล www.rss.mahidol.ac.th 4. เวบ็ ไซต์ ภาควชิ าวิทยาศาสตร์สื่อความหมายและความผดิ ปกติของการสื่อความหมาย มหาวิทยาลัยมหิดล http://med.mahidol.ac.th/commdis/th/department/management_structure_th 5. เว็บไซต์ โรงพยาบาลยุวประสาทไวทโยปถัมถ์ www.yuwaprasart.com 6. เวบ็ ไซต์ สถาบนั ราชานุกูล www.rajanukul.com ซ่ึงหนังสือและเวบ็ ไซตเ์ หลา่ น้ีจะสามารถหาข้อมลู เกีย่ วกบั การจัดการศึกษาสาหรบั บุคคลท่ีมีความ บกพร่องทางการพดู และภาษา ดงั นี้ ข้อมลู สาคัญเกีย่ วกบั บคุ คลท่ีมคี วามบกพร่อง การจัดการศกึ ษา การจดั การเรยี นการสอน การฟ้ืนฟสู มรรถภาพ หนว่ ยงานและสถานศึกษาที่เก่ียวขอ้ งกบั การจัดการศึกษาสาหรับคนพกิ าร หนังสือทน่ี ่าสนใจเกี่ยวกบั บุคคลทมี่ ีความบกพร่องทางการพดู และภาษา ชอ่ื หนงั สอื คู่มอื การฝกึ พูดเบ้ืองตน้ ผูเ้ ขียน สถาบนั ราชานุกลู กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสขุ ปที ีพ่ ิมพ์ พ.ศ. 2552 รายละเอยี ด: หนงั สือเล่มน้มี ีเนื้อหาท่เี ป็นแนวทางหน่งึ ในการช่วยเหลือและสนบั สนนุ ให้ผทู้ ่เี กี่ยวข้อง สามารถฝึกพูดเบื้องต้นให้กบั เดก็ ที่มปี ัญหาทางพฒั นาการทางภาษา เพื่อชว่ ยส่งเสริมพัฒนาการและการ เตรยี ม ความพร้อมท่ีจะพฒั นาในการเรยี นรู้ในระดบั ที่ซับซ้อนต่อไป

บรรณานุกรม ดารณี ศักดิ์สิริผล. (2552). วิธิสอนพิด. กรุงเทพฯ : ศูนย์การพิมพ์ สานักสื่อและเทคโนโลยีการศึกษา มหาวิทยาลัยศรนี ครนิ ทรวิโรฒ. นติ ยา เกษมโกสินทร์. (2547). ปัญหาทางภาษาและการพดท่พบในเด็กออทสตกและวธแกไ้ ขใน : ลินดา ปั้นทอง. ความริ้ในเรืิองการฝิกพิดสาหริบเด็ิกออทิสติก. เชียงใหม่ : คณะแพทยศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยเชยี งใหม่. เบญจมาศ พระธานี. (2538). ความผดปกตทางการพดและภาษา. ขอนแกน่ : ภาควชิ าโสต ศอ นาสกิ วิทยา คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยขอนแกน่ . เบญจมาศ พระธานี. (2554). ออทิสซิม: การสอนพิดและการริกษาบาบิด แบบสหสาขาวิทยาการ. ขอนแกน่ : โรงพมิ พ์มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น. ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ. (2552). การกาหนดประเภทและหลิกเกณฑิของคนพิการทางการศิกษา พ.ศ. 2552. ปริญญา หลวงพิทกั ษช์ มุ พล. (2545). เดก็ เรม่ หดพดชา้ . กรุงเทพฯ: โรงพมิ พแ์ ห่งจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย. พมิ พ์พรรณ เทพสเุ มธานนท์, สุวพชิ ชา ประสทิ ธธญั กิจ. (2549). การวนจฉยคดแยกเดิ็กท่มิความต้อิ งการิ พิเศษ. กรุงเทพฯ: สานกั พมิ พ์มหาวทิ ยาลัยรามคาแหง. ลินดา ป้ันทอง. (2550). การพดไมชด. ชุดเผยแพร่ความรคู้ วามผิดปกติของการสื่อความหมาย สมาคม โสตสมั ผัสวทิ ยาและการแก้ไขการพูดแห่งประเทศไทย. สถาบนั ราชานกุ ลู กรมสุขภาพจติ กระทรวงสาธารณสุข. (2552). คมือการฝึกพดเบือ้ งต้นิพมพครง้ ท่ิ 2. กรงุ เทพฯ: โรงพมิ พ์ชมุ นุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย. สุมาลี จงดีกิจ. (2554). การแก้ไขความผดปกตของการส่ือความหมาย. สารานุกรมศึกษาศาสตร์ ฉบบั พิเศษ 60 ปี 60 คา ศรนี ครนิ ทรวิโรฒ. นนทบรุ ี: บริษทั สหมิตรพริ้นตงิ้ แอนด์พลับลิสซง่ิ จากดั . อรวรรณ น่มิ ตลุง. (2551). การศิกษาพิเศษแบบเรยนรวม. สกลนคร: มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏสกลนคร. อรนชุ ลมิ ตศริ ิ. (2553). การสอนเดก็ พิเศษ. กรุงเทพฯ: สานกั พิมพ์มหาวิทยาลยั รามคาแหง.

แบบทดสอบท้ายบท ชดุ เอกสารศกึ ษาด้วยตนเอง วชิ าความรูพ้ ืน้ ฐานด้านการจัดการศึกษาสาหรบั คนพกิ ารหรอื ผูเ้ รียนท่ีมีความตอ้ งการจาเป็นพิเศษ เล่ม 12 การจัดการศึกษาสาหรบั เดก็ ที่มีความบกพร่องทางการพูดและภาษา 1. ขอ้ ใดไม่ใช่ความหมายของเด็กทม่ี ีความบกพร่องทางการพดู และภาษา ก. บคุ คลที่มีความบกพร่องในการเปล่งเสยี งพูด ข. บุคคลที่มีความบกพรอ่ งในเรอ่ื งความเข้าใจการใชภ้ าษาพดู ค. บคุ คลทมี่ ีความบกพร่องในการเขยี นหรือระบบสญั ญาณอ่ืนทใี่ ชใ้ นการตดิ ต่อสอื่ สาร ง. บุคคลท่มี ีความบกพรอ่ งในการยบั ย้งั ในการพดู 2. ข้อใดคือการพูด ก. การสือ่ ความหมายโดยวธิ กี ารเปล่งเสียง ข. การใช้ท่าทางอธบิ ายสงิ่ ที่ต้องการสื่อสาร ค. การใชอ้ วจั นภาษา ง. การใชส้ ัญลกั ษณภ์ าษา 3. ความบกพร่องทางการพูดแบ่งได้กป่ี ระเภท ก. 1 ประเภท ข. 2 ประเภท ค. 3 ประเภท ง. 4 ประเภท 4. ความผิดปกตขิ องระบบประสาทควบคุมการพดู เกิดจากสาเหตุใด ก. เกิดจากความผิดปกติของเสน้ เลอื ดที่ไปเลี้ยงสมอง ข. เกิดจากความผิดปกติของทอ่ เสียง ค. เกดิ จากความผดิ ปกติของลนิ้ ไก่ ง. เกดิ จากความผิดปกตขิ องอวยั วะในช่องปาก 5. ข้อใดเปน็ ความผดิ ปกติทางการได้ยินของผู้ท่มี ภี าวะหูตงึ ท่ีทาให้พูดเสียงผดิ เพี้ยน ก. ไม่สามารถพดู ไดช้ ดั เจนเนื่องจากได้ยินเสยี งของผู้อื่นไม่ชดั ข. ไม่สามารถพูดได้ชดั เจนเนื่องจากไม่ไดย้ นิ เสียง ค. ไม่สามารถพูดได้ชัดเจนเนื่องจากความผิดปกติของระบบประสาท ง. ไม่สามารถพูดได้ชัดเจนเนอ่ื งจากความผิดปกตขิ องอวยั วะในชอ่ งปาก

6. การทดสอบเพื่อตรวจว่าเอ็นยดึ ใตล้ ิ้นสนั้ สามารถทดสอบดว้ ยวิธีใด ก. การอ้าปาก ข. การแลบลิ้น ค. ทดสอบการออกเสยี ง ง. การทดสอบการรับประทานอาหารโดยใช้ช้อน 7. การพูดไมช่ ดั ของเด็ก“ปากแหวง่ เพดานโหว่”เกิดจากสาเหตใุ ด ก. ขาดการสง่ เสรมิ การพูดให้ถูก ข. มกี ารเคลื่อนไหวอวยั วะทีใ่ ชใ้ นการพูดไมถ่ ูกต้อง ค. มลี มร่วั ออกจมกู ง. ขาดแบบอยา่ งการพดู ที่ถูกตอ้ ง 8. การพูดไมถ่ ูกต้องโดยการพูดออกเสยี ง “แม่ เปน็ แอ้” เกิดจากสาเหตใุ ด ก. ไม่เคล่ือนไหวลนิ้ ขณะออกเสียง ข. ไม่ปดิ รมิ ฝปี ากใหส้ นิทก่อนออกเสยี ง ค. ไม่หบุ ปากเม่อื ออกเสียงจบ ง. พดู โดยเวน้ ไม่ออกเสียงบางเสยี ง 9. ข้อใดไม่ใชค่ วามผิดปกตทิ ่ีพบในลักษณะการพดู ไม่ชดั ก. การพูดไม่ชดั เสยี งพยัญชนะต้น เช่น พดู คาวา่ “พ่อ เปน็ ป้อ” ข. การพดู ไม่ชดั เสยี งพยัญชนะท้ายคา เช่น พูดคาว่า “เจ็ด เปน็ เจบ็ ” ค. การพูดไมช่ ัดสียงสระ เช่น พดู คาว่า “เอา เป็น ออ” ง. การพูดไม่ชัดนา้ หนักเสยี งเช่น พดู คาวา่ “มา เป็น มะ” 10. การพดู คาว่า “ตา เป็น ตะ ตา” เปน็ ลักษณะการพูดไม่ชัดแบบใด ก. การพดู โดยใชเ้ สียงพยัญชนะ สระ หรอื วรรณยุกต์อ่นื แทนเสียงทถ่ี กู ต้อง ข. การพูดโดยเว้นเสยี งไม่ออกเสียงบางเสียง ค. การพดู โดยเตมิ เสียงอ่นื เข้าไปในคานัน้ ง. การพดุ เสยี งเพ้ียนไป 11. เมือ่ พบวา่ เด็กพดู ไมช่ ัดหากไม่ไดร้ ับการแก้ไข ข้อใดไม่ใช่ผลเสียที่ตามมา ก. ทาให้เกดิ ปญั หาในการอา่ น ข. ทาให้เกดิ ปัญหาในการเขียนสะกดคา ค. ทาให้ผลการเรียนไมด่ เี ท่าทค่ี วร ง. ทาให้ไมส่ ามารถใชช้ ีวิตประจาวันรว่ มกับผู้อ่ืนได้

12. การพูดติดอ่าง เปน็ ความผดิ ปกติของการพูดแบบใด ก. พูดไมช่ ดั ข. พดู เสียงผิดปกติ ค. พดู จงั หวะผิดปกติ ง. พดู ความดังของเสียงผดิ ปกติ 13. การที่ปล่อยใหเ้ ดก็ ดโู ทรทัศน์หรอื เลน่ คนเดียวทาให้เด็กพูดช้า เปน็ ปญั หาทีเ่ กดิ จากสาเหตใุ ด ก. ประสาทหพู ิการ ข. ออทิสติก ค. ขาดการกระตุ้นทางภาษาและการพูดท่ีเหมาะสม ง. ถูกทอดทง้ิ หรือพ่อแม่ดูแลไม่ทวั่ ถงึ 14. ข้อใดเป็นพฤติกรรมเฉพาะของเด็กท่มี ีความบกพรอ่ งทางสติปญั ญาท่ีมีพฒั นาการทางภาษา และการพูดล่าช้า ก. ใชท้ า่ ทางในการสอ่ื ความหมาย ข. ไวตอ่ การเคลื่อนไหว การมองเหน็ และการสนั่ สะเทือน ค. แสดงความรูส้ กึ ทางใบหนา้ ได้ แตไ่ มส่ นใจการแสดงออกทางใบหน้าของผู้อื่นเป็นพิเศษ เพราะไม่เขา้ ใจ ง. ไม่สง่ เสียงตามวยั แตจ่ ะใช้การสง่ เสียงไม่เปน็ ภาษาเพอ่ื เรียกร้องความสนใจตอ่ ผู้อน่ื 15. ขอ้ ใดเป็นขั้นตอนการประเมนิ และวินิจฉัยเด็กทม่ี ีความบกพร่องทางการสื่อสาร ก. ไดร้ ับอนุญาต/การยนิ ยอมจากผ้ปู กครองก่อนทดสอบ-ศึกษาประวัติตา่ งๆ-ประเมนิ ความบกพร่อง ทางการพูด-ประเมนิ ด้านอน่ื ๆ-วินจิ ฉัยโดยผู้เชย่ี วชาญ ข. ศึกษาประวตั ิตา่ งๆ-ได้รบั อนุญาต/การยินยอมจากผปู้ กครองก่อนทดสอบ-วินิจฉยั โดยผูเ้ ชีย่ วชาญ- ประเมินความบกพรอ่ งทางการพดู -ประเมินด้านอืน่ ๆ ค. วินิจฉยั โดยผเู้ ชี่ยวชาญ-ศกึ ษาประวัตติ ่างๆ-ได้รับอนุญาต/การยินยอมจากผ้ปู กครองก่อนทดสอบ- ประเมินความบกพร่องทางการพดู -ประเมนิ ด้านอนื่ ๆ ง. วินิจฉยั โดยผเู้ ชีย่ วชาญ-ศึกษาประวัตติ ่างๆ-ประเมนิ ความบกพร่องทางการพดู -ไดร้ บั อนุญาต/ การยินยอมจากผูป้ กครองก่อนทดสอบ-ประเมนิ ด้านอ่ืนๆ

16. ในการสอนพูดควรเรม่ิ จากการสอนพดู แบบใด ก. สอนคาเด่ยี วๆและมองเหน็ รูปปากได้ชัดเจน ข. สอนพดู ประโยคสั้นๆและมีรปู ภาพประกอบ ค. สอนร้องเพลงที่เด็กชอบและมีเนื้อเพลงประกอบ ง. สอนใหเ้ ด็กพูดโดยใชค้ านามท่มี องเห็นเป็นรูปธรรม 17. ขอ้ ใดไมใ่ ชเ่ ครอ่ื งมอื และอุปกรณก์ ารสอนเพือ่ แกไ้ ขการพดู ทัง้ หมด ก. กระจกเงา,เครอื่ งบนั ทึกเสียง,บตั รคา ข. กระจกเงา,บัตรคา,คอมพิวเตอรช์ ว่ ยสอน ค. บตั รคา,เคร่อื งฝึกจงั หวะการพดู ,กระจกเงา ง. กระจกเงา,คอมพวิ เตอรช์ ่วยสอน,เคร่อื งแก้ไขการพดู 18. การสอนโดยผสู้ อนถามแลว้ ตอบนาทงั้ คา แลว้ กระตนุ้ ใหเ้ ดก็ ตอบตามหลงั จากน้ันจึงถามซ้าแลว้ ตอบคาแรก นาเวน้ ชว่ งให้เดก็ พดู คาใหส้ มบรู ณ์ เปน็ เทคนิคการช่วยเหลือในการฝึกพูดแบบใด ก. การพูดตาม ข. การพดู ต่อคา ค. การพูดต่อเสยี ง ง. การเดาจากรูปปาก 19. ข้อใดไมใ่ ช่การให้ความช่วยเหลอื เดก็ ท่ีมคี วามบกพร่องทางการพดู และภาษา ก สง่ ครูเข้าอบรมวธิ กี ารสอนเดก็ ทีม่ ีความบกพร่องทางการพดู และภาษา ข. จดั สิง่ แวดลอ้ มทง้ั ในห้องเรียนและรอบบรเิ วณโรงเรยี น ค. จดั กิจกรรมทส่ี นบั สนุนการพูดและการใช้ภาษาของเดก็ ง. สนบั สนุนให้เด็กดทู ีวี 20. ขอ้ ใดไม่ใช่วธิ ีการประเมินผลการเรียนของเด็กท่ีมคี วามบกพร่องทางการพูดและภาษา ก. การสังเกตุ ข. การคาดคะเน ค. การใช้แฟม้ สะสมงาน ง. การตรวจงาน

เฉลยแบบทดสอบท้ายบท ข้อ 1 ง. ขอ้ 11 ข. ขอ้ 2 ก. ข้อ 12 ค. ข้อ 3 ค. ข้อ 13 ค. ขอ้ 4 ก. ขอ้ 14 ค. ข้อ 5 ก. ข้อ 15 ก. ข้อ 6 ข. ข้อ 16 ก. ขอ้ 7 ค. ข้อ 17 ง. ขอ้ 8 ข. ข้อ 18 ข. ขอ้ 9 ง. ข้อ 19 ง. ข้อ 10 ค. ข้อ 20 ข.

แบบเขียนสะท้อนคดิ (Reflection Paper) ----------------------------------------- คำชแ้ี จง : โปรดใช้คำถำมต่อไปนี้ในกำรเขยี นสะท้อนคดิ จำกกำรศึกษำด้วยตนเอง ไม่เกิน 2 หนำ้ กระดำษ 1. ท่ำนไดท้ รำบอะไรจำกกำรศึกษำชุดเอกสำรศกึ ษำด้วยตนเองฉบับน้ี? 2. หำกทำ่ นได้รบั ผิดชอบจดั กำรเรียนกำรสอนแก่บุคคลท่มี ีควำมบกพร่องทำงกำรพดู และภำษำ ในห้องเรียน ทำ่ นจะนำควำมรทู้ ไี่ ด้ ไปประยกุ ต์ใชอ้ ย่ำงไร 3. ท่ำนเคยมปี ระสบกำรณ์หรือมคี วำมรู้ควำมเข้ำใจเกีย่ วกับกำรจดั กำรศกึ ษำสำหรบั บคุ คลทีม่ ีควำม บกพร่องทำงกำรพูดและภำษำ อย่ำงไร 4. ท่ำนวำงแผนจะนำควำมร้เู ก่ียวกับกำรจัดกำรศึกษำสำหรับบุคคลทม่ี ีควำมบกพร่องทำงกำรพูดและ ภำษำ ไปปฏบิ ตั ิอย่ำงไร ในอนำคต

ภาคผนวก