Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เล่ม 8 การจัดการศึกษาสำหรับบุคคลที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน

เล่ม 8 การจัดการศึกษาสำหรับบุคคลที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน

Published by boonsong kanankang, 2019-10-02 09:41:17

Description: การจัดการศึกษาสำหรับบุคคลที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน

Search

Read the Text Version

คำชีแ้ จง ชดุ เอกสารศึกษาด้วยตนเอง วิชาความรู้พ้ืนฐานด้านการจัดการศึกษาสาหรับคนพิการหรือผู้เรียนที่มี ความต้องการจาเป็นพิเศษ เรื่อง การจัดการศึกษาสาหรับบุคคลท่ีมีความบกพร่องทางการได้ยินเล่มนี้ ได้รวบรวม เน้ือหาจากเอกสาร บทความของนักการศึกษาท่ีเกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาสาหรับบุคคลที่มีความบกพร่อง ทางการได้ยิน ซึ่งมีเนื้อหาสาระท่ีครูและบุคลากรท่ีสนใจควรทราบ ได้แก่ ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับบุคคลท่ีมี ความบกพร่องทางการได้ยิน ความหมาย ประวัติความเป็นมาของการจัดการศึกษาเบ้ืองต้น สาเหตุปัญหา การคัดกรองการช่วยเหลือระยะแรกเร่ิมและเตรียมความพร้อม การส่ือภาษา และวัฒนธรรมของผู้ที่มี ความบกพร่องทางการได้ยิน การใช้ภาษามือ การอ่านริมฝีปาก การพูด การจัดการเรียนรู้สาหรับผู้เรียนท่ีมี ความ บกพร่องทางการได้ยินและส่ือ นวัตกรรม เทคโนโลยี สิ่งอานวยความสะดวก สาหรับบุคคลท่ีมีความ บกพร่องทางการได้ยิน เพื่อให้ครูและผู้สนใจนาความรู้ไปประยุกต์ใช้ในการจัดการเรียนการสอน รวมถึงการ พฒั นาศกั ยภาพของผเู้ รียนใหม้ ีประสิทธภิ าพสูงขึ้น พรอ้ มทั้งนาแนวทางความรู้แนะนาแก่ ผู้ปกครองต่อไป คณะทำงำน

สำรบัญ หน้า คำนำ คำชี้แจง แนวทำงกำรใช้ชดุ เอกสำรศึกษำด้วยตนเอง หน่วยท่ี 1 ความรู้ทว่ั ไปเกยี่ วกับบคุ คลทมี่ ีความบกพรอ่ งทางการไดย้ นิ …………………………….......... 1 ความหมาย................................................................................................................... 1 ประเภทของความบกพร่องทางการไดย้ ิน..................................................................... 2 ลักษณะของเดกทมี่ ีความบกพร่องทางการได้ยิน........................................................... 3 หน่วยท่ี 2 หลักการ เทคนิค วกี ารช่วยเหลือและการจัดการศกึ ษาสาหรับบุคคล ทมี่ คี วามบกพรอ่ งทางการไดย้ นิ ............................................................................ 7 การชว่ ยเหลอื ระยะแรกเรม่ิ และเตรยี มความพร้อม........................................................ 7 การส่อื สาร ภาษา และวัฒนธรรมของบุคคลท่ีมีความบกพร่องทางการไดย้ ิน................ 10 การจดั การเรียนรู้สาหรบั บุคคลที่มคี วามบกพร่องทางการได้ยนิ ................................ 19 นวตั กรรมและเทคโนโลยี สงิ่ อานวยความสะดวก ส่ือ บริการ และความช่วยเหลืออืน่ ใดทางการศึกษา........................................................................ 24 กรณีศกึ ษำ…………………………………………………………………………….…………………………………..……………………... 35 สรปุ สำระสำคัญ………………………………………………………………………………………………………….………….................. 37 แหลง่ ข้อมูลเพ่ิมเตมิ ท่ีต้องศึกษำ บรรณำนุกรม แบบทดสอบทำ้ ยบท แบบเขยี นสะท้อนคดิ ภำคผนวก

แนวทำงกำรใช้ชดุ เอกสำรศึกษำด้วยตนเอง ทำ่ นทศ่ี ึกษำเอกสำรควรปฏบิ ตั ดิ งั ต่อไปนี้ 1. ศกึ ษาขอบข่ายของเนอ้ื หา สาระสาคญั ของเอกสาร 2. ทาความเข้าใจเน้อื หาอยา่ งละเอยี ด 3. ศกึ ษาแหล่งความรเู้ พิ่มเติม 4. โปรดระลึกไว้เสมอว่าการศึกษาจากเอกสารด้วยตนเอง เป็นเพยี งส่วนหน่ึงของการพฒั นาความรู้ ดา้ นการศึกษาพิเศษเท่าน้นั ควรศึกษาค้นคว้าจากแหล่งความรู้อนื่ ๆ เพิ่มเตมิ

หน่วยท่ี 1 ความรูท้ ั่วไปเกยี่ วกบั บคุ คลทม่ี ีความบกพร่องทางการไดย้ นิ ความหมาย บุคคลท่ีมีความบกพรํองทางการได๎ยิน หมายถึง บุคคลที่สูญเสียการได๎ยิน การรับฟังเสียงตํางๆ ผิดปกติ อาจจะเปน็ คนหูตงึ หรือคนหหู นวก (ผดุง อารยะวิญญู:2539 , ศรยี า นิยมธรรม:2541) ซง่ึ ความหมายของบคุ คลทมี่ คี วามบกพรํองทางการไดย๎ นิ น้ัน มีอยํู 3 มุมมอง ดังนี้ 1. ทางการศึกษา 1.1 เด็กหูตึง หมายถึง เด็กที่มีการได๎ยินเหลืออยํูบ๎างสามารถรับฟังสียงได๎ (แตํไมํสู๎ดี หรอื ไมํชดั ) ไมํวาํ จะใสํเคร่อื งชํวยฟงั หรอื ไมํกต็ าม 1.2 เด็กหูหนวก หมายถึง เด็กท่ีสูญเสียการได๎ยินมากๆ ต้ังแตํ 90 เดซิเบลขึ้นไป ไมํได๎ยิน เสียงพูดดังๆ อาจรับรู๎เสียงบางเสียงจากการส่ันสะเทือน ถ๎าสูญเสียการได๎ยินระดับนี้มาแตํกําเนิดจะพูดไมํได๎ ถ๎าไมไํ ด๎รบั การสอนพิเศษ สวํ นมากเด็กจะใช๎ภาษามือในการติดตํอส่ือความหมาย 2. ทางการแพทย์ เด็กที่มีความบกพรํองทางการได๎ยิน หมายถึง เด็กที่บกพรํองหรือสูญเสียการได๎ยินเป็นเหตุให๎การรับ ฟังเสียงตํางๆไมํชัดเจน มี 2 ประเภท คอื 2.1 เดก็ หูตงึ (Hearing Loss) หมายถึง ผ๎ทู ่สี ูญเสยี การได๎ยินจนไมํสามารถเข๎าใจคําพูดและ การสนทนา ซึ่งจําแนกตามเกณฑ์การพิจารณาอัตราความพิการของหูของสมาคมโสต ศอ นาสิกแพทย์ ประเทศไทย ใชค๎ ําเฉล่ียการได๎ยนิ ที่ความถ่ี 500, 1000 และ 2000 เฮริ ตซ์ ในหูขา๎ งท่ีดีกวํามี 4 ระดบั คอื 2.1.1 หูตึงระดับท่ี 1 หูตึงน๎อย (Mild hearing loss) สูญเสียการได๎ยินระหวําง 26- 40 เดซเิ บล ไมสํ ามารถไดย๎ ินเสยี งกระซิบและเสียงมาจากที่ไกลๆ 2.1.2 หูตึงระดับที่ 2 หูตึงปานกลาง (Moderate hearing loss) สูญเสียการได๎ยิน ระหวําง 41-55 เดซิเบล สามารถพอจะเข๎าใจคาํ พูดในระดับความดังปกติ ในระยะ 3-5 ฟุต มีปัญหาในการพูด เชนํ พดู ไมชํ ัด พดู เสียงดังเกินไป หรือเบากวําปกติ ต๎องใช๎เครื่องชํวยฟัง บางรายต๎องเพิ่มการฝึกฟัง ฝึกพูดโดย นักแกไ๎ ขการพดู และการได๎ยนิ 2.1.3 หตู งึ ระดับท่ี 3 หูตึงมาก (Severe hearing loss) สูญเสยี การได๎ยนิ ระหวาํ ง 56-70 เดซิเบล มีปัญหาในการได๎ยินเสียงและใช๎คําพูดในชีวิตประจําวัน ต๎องใช๎เสียงมากจึงจะได๎ยิน ต๎องใช๎ เครอื่ งชวํ ยฟงั เสยี งและควรได๎รับบริการแกไ๎ ขการพดู 2.1.4 หูตึงระดับท่ี 4 หูตึงระดับรุนแรง (Profound hearing loss) สูญเสียการได๎ยิน ระหวําง 71-90 เดซเิ บล ไมไํ ดย๎ นิ เสียงพูดตามปกติ แม๎จะใช๎เครื่องชํวยฟังก็ตามมีปัญหาในการพูด เชํน พูดไมํ ชัด พดู ไมํได๎ ไมํเขา๎ ใจภาษา มีพฒั นาการทางภาษาพูดและเขยี นผิดจากเดก็ ปกติ บางครัง้ ต๎องการใช๎ภาษามือ 2.2 เด็กหูหนวก (Deaf) เด็กที่มีการสูญเสียการได๎ยินมากจนไมํสามารถเข๎าใจหรือใช๎ภาษา พูดได๎ หากไมํได๎รับการฝึกฝนเป็นพิเศษและถ๎าวัดระดับการได๎ยินท่ี 500, 1000 และ 2000 เฮิรตซ์ จะมีการ

2 ตอบสนองของหูข๎างที่ดีกวําตํอเสียงบริสุทธ์ิตั้งแตํ 90 เดซิเบลข้ึนไป(พูนพิศ อมาตยกุล, สุมาลี ดีจงกิจ และ พมิ พา ขจรธรรม (2555) 3. ทางมนุษยวิทยา (จติ ประภา ศรีอํอน,2551) 3.1 เด็กหูตึงหมายถึง ผู๎ที่สูญเสียการได๎ยินไมํวําอยํูในระดับหูตึงหรือหูหนวก ท่ีใช๎การสื่อสารด๎วย ภาษาพูด 3.2 เด็กหูหนวก หมายถึง ผ๎ูท่ีสูญเสียการได๎ยินไมํวําอยูํในระดับหูตึงหรือหูหนวก ที่ใช๎การสื่อสาร ด๎วยภาษามือ ความหมายของบุคคลท่ีมีความบกพรํองทางการได๎ยิน ตามประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง “กําหนดประเภทและหลักเกณฑข์ องคนพิการทางการศึกษา พ.ศ. 2552” ซึ่งอาศัยอํานาจตามความในมาตรา 3 และมาตรา 4 แหํงพระราชบัญญัติการจัดการศึกษาสําหรับคนพิการ พ.ศ. 2551 รัฐมนตรีวําการ กระทรวงศกึ ษาธกิ ารจงึ ออกประกาศกําหนดประเภทและหลกั เกณฑข์ องคนพิการทางการศึกษาไว๎ดังตํอไปนี้ 1. บคุ คลทม่ี ีความบกพรํองทางการเหน็ 2. บคุ คลทม่ี ีความบกพรํองทางการไดย๎ นิ 3. บคุ คลท่มี คี วามบกพรอํ งทางสตปิ ัญญา 4. บคุ คลทีม่ ีความบกพรอํ งทางราํ งกาย หรือการเคลอื่ นไหว หรอื สุขภาพ 5. บุคคลที่มคี วามบกพรอํ งทางการเรยี นรู๎ 6. บคุ คลทม่ี ีความบกพรํองทางการพูดและภาษา 7. บคุ คลทม่ี ีความบกพรอํ งทางพฤติกรรม หรืออารมณ์ 8. บุคคลออทสิ ตกิ 9. บุคคลพกิ ารซ๎อน ในสํวน ของขอ๎ ที่ 2.บุคคลท่มี คี วามบกพรํองทางการไดย๎ ิน ไดแ๎ กํ บุคคลท่ีสูญเสียการได๎ยินตั้งแตํระดับ หูตึงน๎อยจนถึงหหู นวก ซ่งึ แบงํ เป็น 2 ประเภท ดงั น้ี คนหหู นวก หมายถึง บุคคลทีส่ ญู เสียการไดย๎ ินมากจนไมํสามารถเข๎าใจการพูดผํานทางการได๎ยินไมํวํา จะใสํหรือไมใํ สํเครอื่ งชํวยฟงั ซ่งึ โดยทั่วไปหากตรวจการไดย๎ ินจะมีการสญู เสียการได๎ยิน 90 เดซเิ บลข้ึนไป คนหูตึง หมายถึง บุคคลท่ีมีการได๎ยินเหลืออยํูเพียงพอที่จะได๎ยินการพูดผํานทางการได๎ยิน โดยทั่วไป จะใสํเครื่องชํวยฟัง ซ่ึงหากตรวจวัดการได๎ยินจะมีการสูญเสียการได๎ยินน๎อยกวํา 90 เดซิเบลลงมาถึง 26 เดซิเบล ประเภทของความบกพร่องทางการได้ยิน การสญู เสียการได๎ยินหรือความบกพรํองทางการได๎ยิน แบํงเป็นประเภทได๎ตามลักษณะการทํางานใน แตลํ ะสวํ นดังน้ี (วชิ ติ ชีวเรอื งโรจน์ : 2550) 1. การสูญเสียการได๎ยินชนิดการนําเสียงบกพรํอง (Conductive hearing loss) เป็นภาวะการณ์นํา เสียงบกพรอํ ง ซึ่งเปน็ ผลจากโรคท่ีทําใหเ๎ กดิ ความผิดปกติท่ีหูช้ันนอกและหูชั้นกลาง นอกหน๎าตํางรูปไขํออกมา (Oval window) เปน็ ผลใหม๎ ีความผดิ ปกตขิ องกลไกการสงํ ผํานคล่ืนเสียงไปสหูํ ูชน้ั ใน

3 2. การสูญเสียการได๎ยินชนิดประสาทรับฟังเสียงบกพรํอง (Sensorineural hearing loss) เป็นภาวะ ทเี่ กิดจากความผิดปกติที่หูชั้นใน (Cochlea) หรือประสาทรับเสียง (Auditory nerve) ทําให๎มีความลําบากใน การรบั ฟังเสียง โดยเฉพาะเสียงสนทนา คือไดย๎ นิ แตฟํ ังไมรํ เ๎ู ร่ือง 3. การสูญเสียการได๎ยินชนิดการรับฟังเสียงบกพรํองแบบผสม (Mixed hearing loss) เป็นภาวะท่ี เกิดความผิดปกติในการนําเสียงรํวมกับประสาทรับฟังเสียงบกพรํอง พบในโรคที่มีความผิดปกติท่ีหูชั้นนอก และ/หรอื หชู ัน้ กลาง รํวมกบั ความผิดปกติของหูช้นั ใน 4. การรบั ฟงั เสยี งบกพรอํ งจากสมองสํวนกลาง (Central hearing loss) เป็นความบกพรํองของสมอง สํวนกลาง (Central hearing loss) เป็นความบกพรํองของสมองสํวนกลาง คือ ได๎ยินเสียงแตํไมํสามารถแปล สัญญาณเสียงน้ันได๎ ขณะเดียวกนั กไ็ มสํ ามารถโต๎ตอบสัญญาณนั้นกลับไปดว๎ ย 5. การรับฟังเสียงบกพรํองจากสภาวะทางจิตใจ (Functional หรือ Psychological hearing loss) เกดิ จากความผิดปกตทิ างจติ ใจ มิใชํจากสาเหตทุ างรํางกาย ลกั ษณะของเดก็ ทีม่ คี วามบกพรอ่ งทางการได้ยิน ผดงุ อารายะวญิ ญู (2542) 1. การพูด เดก็ ทม่ี ีความบกพรอํ งทางการไดย๎ ิน มปี ญั หาทางการพูด เด็กอาจพูดไมํได๎หรือพูดไมํชัด ซึ่ง ขึ้นกับระดบั การสูญเสยี การไดย๎ ินของเด็ก เด็กที่สูญเสียการได๎ยินเล็กน๎อยอาจพอพูดได๎ เด็กที่สูญเสียการได๎ยิน ระดับปานกลางสามารถพูดไดแ๎ ตํอาจไมชํ ัด สวํ นเด็กที่สูญเสียการได๎ยินมากหรือหูหนวก อาจพูดไมํได๎เลย หาก ไมํไดร๎ บั การสอนพดู ตัง้ แตํในวัยเด็ก นอกจากน้ีการพูดขึ้นอยูํกับอายุของเด็ก เมื่อสูญเสียการได๎ยินอีกด๎วย หาก เด็กสูญเสียการได๎ยินมากมาแตํกําเนิด ปัญหาในการพูดของเด็กนอกจากจะข้ึนอยํูกับความรุนแรงของระดับ การได๎ยินแลว๎ ยงั ข้นึ อยูํกับอายขุ องเด็กเม่อื เด็กสูญเสียการไดย๎ ินอกี ด๎วย 2. ภาษา เดก็ ทีม่ คี วามบกพรอํ งทางการไดย๎ นิ มีปญั หาเกีย่ วกบั ภาษา เชนํ มีความร๎ูเกี่ยวกับคําศัพท์ใน วงจํากัด เรียงคําเป็นประโยคที่ผิดหลักภาษา ปัญหาทางภาษาของเด็กคล๎ายคลึงกับปัญหาในการพูด คือ เด็ก ยิง่ สญู เสยี การได๎ยินมากเทําใดย่งิ มีปญั หาในทางภาษามากข้นึ เทํานน้ั 3. ความสามารถทางสติปัญญา ผ๎ูที่ไมํคุ๎นเคยกับเด็กท่ีมีความบกพรํองทางการได๎ยิน อาจคิดวําเด็ก ประเภทนเ้ี ป็นเดก็ ทมี่ ีสตปิ ญั ญาต่ํา ความจริงแล๎วไมเํ ปน็ เชํนน้นั เพราะวําทาํ นไมํอาจส่ือสารกับเขาได๎ หากทําน สามารถส่ือสารกับเขาได๎เป็นอยํางดีแล๎ว ทํานอาจเห็นวําเขาเป็นคนฉลาดก็ได๎ ความจริงแล๎วระดับสติปัญญา ของเด็กท่ีมีความบกพรํองทางการได๎ยิน จากรายงานเป็นจํานวนมากพบวํา มีการกระจายคล๎ายเด็กปกติ บาง คนอาจโงํ บางคนอาจฉลาด บางคนฉลาดถึงขั้นเป็นอัจฉริยะก็มี จึงอาจสรุปได๎วํา เด็กที่มีความบกพรํอง ทางการได๎ยนิ ไมใํ ชํเดก็ โงทํ กุ คน 4. ผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี น เดก็ ท่มี คี วามบกพรํองทางการได๎ยนิ จํานวนมากมีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน ตํา่ ทั้งน้ีอาจเป็นเพราะวําวิธีการเรียนการสอน ตลอดจนวิธีวัดผลที่ปฏิบัติกันอยํูในปัจจุบันเหมาะท่ีจะนํามาใช๎ ในเดก็ ปกตมิ ากกวํา วธิ ีการบางอยํางจึงไมํเหมาะสมกับเด็กที่มีความบกพรํองทางการได๎ยิน ยิ่งไปกวํานั้นเด็กท่ี มีความบกพรํองทางการได๎ยินมีปัญหาทางภาษาและทักษะทางภาษาจํากัด จึงเป็นอุปสรรคในการทําข๎อสอบ เพราะผทู๎ ี่จะทําขอ๎ สอบไดด๎ ีน้นั ต๎องมคี วามรท๎ู างภาษาเป็นอยาํ งดี ด๎วยเหตนุ ีเ้ ดก็ ที่มคี วามบกพรํองทางการได๎ยิน จงึ มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนท่ีคํอนข๎างตํ่ากวําเด็กปกติ

4 5. การปรับตัว เด็กที่มีความบกพรํองทางการได๎ยิน อาจมีปัญหาในการปรับตัว สาเหตุสํวนใหญํมา จากการส่ือสารกับผ๎ูอ่ืน หากเด็กสามารถส่ือสารได๎ดี ปัญหาทางอารมณ์อาจลดลงทําให๎เด็กสามารถปรับตัวได๎ แตํถ๎าเด็กไมํสามารถส่ือสารกับผ๎ูอื่นได๎ดี เด็กอาจเกิดความคับข๎องใจ ซ่ึงมีผลตํอพฤติกรรมของเด็ก เด็กท่ีมี ความบกพรํองทางการได๎ยินต๎องปรับตัวมากกวําเด็กปกติบางคนเสียอีก เด็กที่มีความฉลาดอาจปรับตัวได๎ดี สวํ นเด็กท่ีไมํฉลาดอาจมปี ญั หาในการปรบั ตัวได๎ ลักษณะเดก็ ทม่ี คี วามบกพรอ่ งทางการไดย้ นิ อาจสงั เกตไดจ๎ าก • ไมแํ สดงอาการไดย๎ ินเสียง แมจ๎ ะเกดิ เสียงดังใกลๆ๎ ตัว • ไมหํ ัดเลียนเสียงพูด และส่ิงแวดล๎อม • หัดพูดช๎ากวําเด็กปกติ หรอื อายุ 2 ขวบแลว๎ ยังพูดไมํได๎ • ไมคํ ํอยเข๎าใจคาํ พูด • พดู ไมชํ ดั หรือเสียงพดู ผิดปกติ • ชอบทําทาํ ทาง เพราะไมํสามารถบอกความตอ๎ งการโดยการพดู ได๎ • ไมํคอํ ยไดย๎ ินเสยี ง หรอื ได๎ยินเฉพาะเสียงทด่ี งั มากๆ • มีความร๎สู ึกไวตอํ การสมั ผัสและการเคลือ่ นไหวรอบตัว กลไกการไดย้ ิน หูประกอบดว๎ ยโครงสร๎าง 3 สวํ นได๎แกํ หชู ั้นนอก หชู น้ั กลางและหูช้ันใน 1. หชู ้นั นอก ทําหน๎าท่ีรวบรวมเสยี งจากภายนอก เข๎าสชูํ อํ งหแู ละ สงํ ผาํ นไปยังหชู น้ั กลาง 2. หชู ้นั กลาง รับพลงั งานเสียงทีส่ ํงผาํ นจากหชู ้นั นอก ทําให๎เยื่อแกว๎ หู และกระดกู หู 3 ชนิ้ ได๎แกํ กระดกู คอ๎ น กระดกู ทง่ั และกระดูกโกลน เกิดการสน่ั สะเทอื น 3. หชู ัน้ ในรบั การส่นั สะเทือนทีส่ ํงผํานมาจากหูชัน้ กลางมายงั คอเคลยี ทมี่ ีตัวรับสญั ญาณเสยี งเปน็ เซลล์ขนทาํ ใหเ๎ กดิ การเคลือ่ นไหว เปลยี่ นสัญญาณเสยี งให๎เป็นสัญญาณไฟฟูา 4. สญั ญาณไฟฟูาจะถูกสงํ ตอํ ไปยงั เสน๎ ประสาทการได๎ยินและสมอง เพื่อแปลความหมายของเสียงที่ได๎ ยิน

5 การตรวจวดั การได้ยิน การตรวจการได๎ยิน จะทําการตรวจวัดโดยนักโสตสัมผัสวิทยา ด๎วยเคร่ืองตรวจการได๎ยินไฟฟูา (Audiometer) ในหอ๎ งเงียบ (Sound Proof Room) ทําการวัดระดบั การได๎ยินด๎วยเสียงบริสุทธ์ิ (pure tone) ผํานการนําเสียงทางอากาศและการนําเสียงทางกระดูก รวมถึงการวัดระดับการได๎ยินด๎วยเสียงพูด (Speech reception threshold) และความสามารถในการแยกแยะคําพูด แสดงออกมาเป็นรูปกราฟการได๎ยิน (Audiogram) อาํ นผลออกมาเป็นตวั เลข บอกระดับของการสญู เสยี การไดย๎ นิ และประเภทของการสูญเสียการ ไดย๎ นิ ได๎ แสดงตัวอยํางดงั ภาพ ดงั นี้ ภาพที่ 1 การได๎ยนิ ปกติ ภาพที่ 2 มกี ารสญู เสยี การได๎ยินแบบ ประสาทหูเสอื่ มที่หูข๎างซา๎ ย ประวตั คิ วามเป็นมาในการจดั การศกึ ษาสาหรับบุคคลที่มีความบกพร่องทางการไดย้ ิน ประวัตคิ วามเป็นมาด๎านการศึกษาสาํ หรับบุคคลที่มีความบกพรํองทางการได๎ยินการศึกษาสําหรับเด็ก หูหนวกในประเทศไทย เร่ิมเม่ือปี พ.ศ. 2494 โดย ม.ร.ว.เสริมศรี เกษมศรี ซ่ึงสําเร็จการศึกษาจากวิทยาลัย กาลอเดท (Gallaudet College) ประเทศสหรัฐอเมริกา วิทยาลัยทางศิลปศาสตร์แหํงแรกและแหํงเดียว สําหรับคนหูหนวก ได๎เปิดหนํวยทดลองสอนคนหูหนวกข้ึนเป็นครั้งแรกที่โรงเรียนวัดโสมนัส การสอนคนหู หนวกในตอนนนั้ เป็นการสอนพูดโดยใชท๎ าํ ภาษามือประกอบ ตํอมาคณุ หญงิ กมลา ไกรฤกษ์ ไดส๎ ําเร็จการศึกษาจากวทิ ยาลัยเดียวกันมาเป็นครูใหญํโรงเรียนสอนคน หูหนวกดุสิต (ปัจจุบันคือโรงเรียนเศรษฐเสถียร) ภาษามือไทยจึงถูกรวบรวมและพัฒนามาจากภาษามือ อเมริกัน การสะกดนิ้วมือไทยประดิษฐ์มาจากการผสมผสานระหวํางการสะกดนิ้วมืออเมริกันและอักษรใน ภาษาไทย จากนน้ั ไดม๎ กี ารรวบรวมภาษามือเปน็ หนงั สือภาษามือไทยขึ้น เพื่อใช๎สอนคนหูหนวกในประเทศไทย การเรียนการสอนในตอนแรกใช๎การสอนพูดรวมกับการใช๎ภาษามือและการสะกดน้ิวมือรํวมกับการอําน และ การเขยี นตามปกติ โรงเรียนเศรษฐเสถียร เป็นโรงเรียนรัฐบาลสังกัดกองการศึกษาเพ่ือคนพิการ กระทรวงศึกษาธิการ (สมัยน้ัน) เป็นโรงเรียนสอนคนหูหนวกแหํงแรกของประเทศไทย พัฒนาขึ้นมาจากหนํวยทดลองสอนคนหู หนวกโรงเรียนเทศบาล 17 (วัดโสมนัสวรวิหาร) กรุงเทพมหานคร ซึ่งต้ังขึ้นเม่ือวันท่ี 10 ธันวาคม 2494

6 ตํอมาในวันท่ี 25 มีนาคม 2495 คุณหญิงโต๏ะ นรเนติบัญชากิจ ได๎มีจิตศรัทธาบริจาคทรัพย์สิน มีเงินสด ที่ดิน และบ๎านสํวนตัวของทําน ซ่ึงต้ังอยูํ ณ เลขท่ี 137 ถนนพระราม 5 ตําบลถนนนครไชยศรี อําเภอดุสิต จังหวัด พระนคร ตั้งเป็นมูลนิธิให๎ช่ือวํา \"มูลนิธิเศรษฐเสถียร\" เพื่อเป็นอนุสรณ์แหํงตระกูล \"เศรษฐบุตร\" อันเป็น ตระกูลของพระยานรเนติบัญชากิจ สามีของทําน กับตระกูล \"โชติกเสถียร\" ซึ่งเป็นตระกูลของคุณหญิงเอง มูลนิธิเศรษฐเสถียร มีวัตถุประสงค์ท่ีจะรํวมมือกับ กระทรวงศึกษาธิการ ในการจัดสร๎างโรงเรียนสอนคนหู หนวกขึน้ ในทีด่ นิ แหํงน้ี ในปี พ.ศ. 2496 กระทรวงศึกษาธิการได๎จัดสรรงบประมาณในการกํอสร๎างอาคารโรงเรียนสอนคนหู หนวกและงบประมาณสําหรับครุภัณฑ์และการดําเนินงานของโรงเรียน ในปีที่บรรจบครบรอบปีที่ 2 แหํงการ จัดการศึกษาสําหรับคนหูหนวกในประเทศไทย ซ่ึงตรงกับวันท่ี 10 ธันวาคม 2496 ซ่ึงเป็นวันสิทธิมนุษยชน แหงํ ชาติ ไดม๎ ีพธิ เี ปิดโรงเรียนสอนคนหูหนวกในประเทศไทยขนึ้ อยาํ งเป็นทางการ ในปี พ.ศ. 2504 โรงเรียนสอนคนหูหนวกแหํงน้ี ได๎เปลี่ยนชื่อเป็น โรงเรียนสอนคนหูหนวกดุสิต อัน เน่ืองมาจากกระทรวงศึกษาธิการ ได๎จัดตั้งโรงเรียนสอนคนหูหนวกแหํงใหมํขึ้นที่บริเวณอาคารสงเคราะห์ทํุง มหาเมฆ ในปี พ.ศ. 2518 กระทรวงศึกษาธิการได๎มีนโยบายให๎โรงเรียนสอนคนหูหนวกท่ัวประเทศ เปล่ียนชื่อ จากโรงเรียนสอนคนหูหนวก เป็นโรงเรียนโสตศึกษาจังหวัดตํางๆ คณะกรรมการมูลนิธิอนุเคราะห์คนหูหนวก ได๎เสนอเปล่ียนชื่อโรงเรียนสอนคนหูหนวกดุสิต เป็นโรงเรียนเศรษฐเสถียรเพ่ือเป็นอนุสรณ์แดํ มูลนิธิเศรษฐ เสถียร ที่ยุบเลิกไป จึงปรากฏช่ือโรงเรียนเศรษฐเสถียร ต้ังแตํ 1 มกราคม 2518 ตํอมาเมื่อวันท่ี 26 กันยายน 2545 สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกฎุ ราชกุมาร ทรงพระกรุณาโปรดเกล๎าฯ รับโรงเรียนเศรษฐเสถียร ไว๎ในพระราชูปถัมภ์ ซ่ึงเป็นโรงเรียนสอนคนหูหนวกแหํงแรกของประเทศไทยท่ีได๎รับพระราชทานพระ ราชปู ถัมภ์ ในวนั ที่ 17 สงิ หาคม พ.ศ. 2542 กระทรวงศึกษาธิการ ได๎ประกาศให๎ภาษามือไทยจัดวําเป็นภาษามือ ประจําชาติ(ของคนหูหนวกไทย) และได๎ให๎การรับรองให๎ใช๎ภาษามือไทยตามแบบหนังสือปทานุกรมภาษามือ ไทย เลํม1หนังสอื ปทานกุ รมภาษามือไทย ฉบับปรับปรุงและขยายเพ่ิมเติมของสมาคมคนหูหนวกแหํงประเทศ ไทยและแบบสะกดน้ิวมืออักษรไทย ประดิษฐ์โดยคุณหญิงกมลา ไกรฤกษ์ (ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ วนั ที่ 17 ส.ค. 2542) ในปัจจุบันการจัดการศึกษาสําหรับบุคคลท่ีมีความบกพรํองทางการได๎ยิน อยํูภายใต๎การดูแลของ สํานักบริหารงานการศึกษาพิเศษ สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน กระทรวงศึกษาธิการ ใน รูปแบบของศนู ย์การศึกษาพิเศษ โรงเรียนเฉพาะความพิการ โรงเรียนที่จัดการศึกษาแบบเรียนรํวม อีกท้ังยังมี การจดั การศึกษาและใหก๎ ารฟ้ืนฟู ในรูปแบบของหนํวยงาน โรงเรียนเอกชน โรงพยาบาล โรงเรียนอาชีวศึกษา มูลนิธิ สมาคม มหาวิทยาลัย รูปแบบการจัดการศึกษาท่ีจัดให๎กับผู๎ท่ีมีความบกพรํองทางการได๎ยิน ก็แตกตําง กันออกไป ข้ึนอยํูกับความสนใจ ความสมัครใจของผ๎ูปกครองและผ๎ูท่ีบกพรํองทางการได๎ยินเอง ระดับการได๎ ยนิ ท่ียงั หลงเหลอื อยฐูํ านะทางการเงิน ทสี่ ามารถจะเลือกวิธีฟื้นฟูและหนํวยงานตามความต๎องการได๎ (สามารถ ดูรายละเอียดได๎ที่เว็บไซต์ สํานักบริหารงานการศึกษาพิเศษ www.special.obec.go.th , เว็บไซต์ กระทรวง การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ www.m-society.go.th , เว็บไซต์ โลกของคนหูหนวก www.nadt.thport.com , มูลนิธิอนุเคราะห์ คนหูหนวกในพระบรมราชินูปถัมป์ www.deafthai.org.th )

หน่วยที่ 2 หลักการ เทคนิค วธิ กี ารช่วยเหลอื และการจดั การศกึ ษา สาหรบั บคุ คลท่มี คี วามบกพรอ่ งทางการไดย้ ิน การช่วยเหลือระยะแรกเร่ิมและการเตรยี มความพร้อม พฤติกรรมของบคุ คลท่ีมคี วามบกพร่องทางการได้ยนิ 1. พฤติกรรมการแสดงออกด้านภาษาของบุคคลที่มคี วามบกพร่องทางการไดย้ ิน 1.1 ไมตํ อบสนองเมื่อเรียก ไมพํ ูด มักแสดงทําทาง 1.2 มักตะแคงหูฟังเวลาฟังมักจะมองปากของผพ๎ู ูด หรอื จ๎องหน๎าผูพ๎ ดู 1.3 มักทําหน๎าทําตาเหมือนไมํรเู๎ รอื่ งเม่ือมีการพดู ดว๎ ย 1.4. พดู ไมํชดั พูดดว๎ ยเสียงผิดปกติ เสยี งต่ํา เสยี งสงู หรอื เสยี งท่ีดังเกินความจาํ เป็น 1.5 พดู ไมํถูกหลักไวยากรณภ์ าษาไทย 1.6 ไมสํ ามารถปฏิบตั ติ ามคาํ สัง่ ได๎ เชนํ ไมํตอบคาํ ถาม 1.7 มีความลําบากในการอํานและเขียนหนังสือ 2. พฤติกรรมการแสดงออกด้านอารมณ์และสังคมของบุคคลท่ีมีความบกพร่องทางการไดย้ ิน 2.1 ซน ไมํมสี มาธชิ อบเลํนแบบรนุ แรง หรอื ใชก๎ ําลังมาก 2.2 รูส๎ ึกไวตอํ การส่นั สะเทือน และการเคล่ือนไหวรอบตัวหรอื หวาดกลัวตํอเสยี งดัง 2.3 ชอบให๎ผ๎ูใหญํแสดงความรักโดยการสัมผัส เชนํ โอบกอด 2.4 อาจมปี ัญหาในการพฒั นาด๎านอารมณ์และสังคม วิธีชว่ ยเหลอื เบื้องต้นสาหรบั บุคคลที่มีความบกพร่องทางการไดย้ นิ (เม่ือพบความบกพร่อง) 1. แนะนําครอบครัวของบคุ คลท่ีมีความบกพรํองทางการได๎ยิน ในเรอื่ งตํอไปน้ี 1.1 ให๎พบกับครอบครัวที่มีลูกเป็นบุคคลท่ีมีความบกพรํองทางการได๎ยินเหมือนกันเพื่อ แลกเปลีย่ นประสบการณก์ ารเลย้ี งดูลกู 1.2 ให๎พบกับคนหูหนวกและคนหูตึงผู๎ใหญํท่ีเป็นต๎นแบบได๎ เพื่อให๎ผู๎ปกครองมองเห็น แนวทางในการเลี้ยงดลู ูก 1.3 ผลกระทบท่เี กดิ จากความบกพรํองทางการได๎ยินทจ่ี ะเกดิ กับเด็ก เชํน การรบั ร๎ู การสื่อสาร และพฒั นาการทางภาษาทลี่ าํ ช๎า 1.4 การเลยี้ งดลู ูกทมี่ ีความบกพรอํ งทางการไดย๎ ินอยํางไรจึงจะไมํทําให๎ลูกเปน็ คนพกิ าร 1.5 ความสําคัญของการได๎ยินที่เหลืออยํูของเด็ก การฝึกให๎เด็กได๎ใช๎การได๎ยินท่ีเหลืออยูํให๎ เกิดประโยชน์ การฝึกฟังตั้งแตํเดก็ อยาํ งสมาํ่ เสมอและตอํ เนื่อง 1.6 ความสาํ คัญของการเรียนร๎ู การส่ือสาร และภาษาท่มี ีตอํ พัฒนาการของเด็กทั้งพัฒนาการ ทางด๎านอารมณ์ จิตใจ พัฒนาการด๎านจิตวิทยา พัฒนาการทางด๎านภาษา และพัฒนาการทางด๎านสติปัญญา ใหเ๎ ลอื กใช๎ภาษาทเ่ี ดก็ สามารถเรียนร๎ูได๎ เชํน ภาษาทาํ ทางที่มาจากทาํ ทางธรรมชาติ ภาษาพดู และภาษามอื

8 1.7 บริการสื่อ ส่ิงอํานวยความสะดวก และความชํวยเหลืออ่ืนใด สําหรับบุคคลที่มีความ บกพรอํ งทางการได๎ยนิ เชํน เครอื่ งชํวยฟงั การฝังประสาทหเู ทยี ม ลํามภาษามือ ฯลฯ 1.8 การศกึ ษาทส่ี ามารถตอบสนองความตอ๎ งการจาํ เป็นและสอดคล๎องกบั วิถชี วี ิตของเด็ก 1.9 ภาษาและวัฒนธรรมของคนหหู นวก 2. การเตรยี มความพร๎อมใหก๎ ับเดก็ ในเรื่องตํางๆ ดังนี้ 2.1 การฝึกฟังและฝึกออกเสียง เพ่ือให๎เด็กสามารถใช๎การได๎ยินที่เหลืออยูํให๎เป็นประโยชน์ มากทสี่ ุด และฝกึ การออกเสียง เพ่ือเป็นพนื้ ฐานท่สี ําคญั ของการพดู ตํอไป 2.2 พัฒนาการทางด๎านภาษา เด็กท่ีมีความบกพรํองทางการได๎ยิน จะมีปัญหาเร่ืองการฟัง และการพูด แตํเด็กต๎องได๎รับการสํงเสริมให๎มีพัฒนาการทางภาษาที่เหมาะสมกับวัย การใช๎ทําทางธรรมชาติ ควบคํูกับการพูด จะทําให๎เด็กเรียนร๎ูโลกรอบตัว และมีพัฒนาการทางภาษาเหมือนเด็กท่ัวไป สํวนจะเลือกใช๎ ภาษาพูดหรือภาษามอื ใหด๎ คู วามสามารถในการสอ่ื สารของเดก็ เปน็ รายบุคคล 2.3 พฒั นาการทางดา๎ นจิตวิทยา เดก็ ที่มีความบกพรอํ งทางการได๎ยิน มักจะมีปัญหาเรื่องการ เรียนร๎ู การสอื่ สาร อารมณ์และจิตใจ ซ่ึงสํงผลตํอพัฒนาการด๎านจิตวิทยา เด็กไมํมีความเชื่อม่ันในตัวเอง ไมํมี ความภาคภูมิใจในตนเอง เนื่องจากไมํมีต๎นแบบในการดําเนินชีวิต การให๎เด็กได๎พบปะกับบุคคลที่มีความ บกพรํองทางการได๎ยินท่ีสามารถเป็นต๎นแบบที่ดี ได๎เติบโตทํามกลางกลุํมคนท่ีมีภาษาและวัฒนธรรม ท่ี สอดคล๎องกับวิถีชีวิตของตนเอง จะสํงเสริมพัฒนาการด๎านจิตวิทยาของเด็ก ทําให๎เด็กเติบโตเป็นผ๎ูใหญํ ที่มี อารมณ์ จิตใจท่ดี ี และสามารถอยรูํ ํวมกับสงั คมไดอ๎ ยาํ งมีความสุข 2.4 พฒั นาการทางการเรยี นรู๎ เดก็ ที่มคี วามบกพรํองทางการได๎ยิน ต๎องได๎เรียนร๎ูโลกรอบตัว เขา ท่ีมีความเหมาะสมกับวัย เหมือนกับเด็กท่ัวๆ ไป ซ่ึงการเรียนร๎ูโลก จะต๎องผํานการเรียนร๎ูท่ีตรงกับชํอง ทางการรับร๎ูของเด็ก ซึ่งใช๎สายตาเป็นชํองทางการรับร๎ู ฉะน้ันการใช๎ภาษาทําทางประกอบการพูด การส่ือสาร กับเด็กๆ เหมือนการพูดคุยกับเด็กปกติเป็นเรื่องสําคัญและจําเป็น ผู๎เล้ียงดูเด็กจะต๎องสื่อสารกับเด็กอยําง สมาํ่ เสมอ จะทาํ ใหเ๎ ดก็ มพี ฒั นาการทางการเรียนรู๎ ซงึ่ เป็นพน้ื ฐานสาํ คญั ของพฒั นาการทางดา๎ นสตปิ ญั ญาตอํ ไป หนา้ ที่ความรับผดิ ชอบ และบทบาทของผู้ปกครองตอ่ บคุ คลที่มีความบกพร่องทางการไดย้ ิน การพฒั นาด้านพฤติกรรมให้แกบ่ คุ คลท่ีมคี วามบกพร่องทางการได้ยิน 1. สงํ เสรมิ ให๎เดก็ ชํวยเหลือตนเองในชีวิตประจาํ วนั 2. เรยี นรขู๎ อ๎ มลู การสญู เสียการได๎ยนิ ของลูกเพือ่ ประกอบการตดั สนิ ใจเลอื กแนวทางการพัฒนา ทางด๎านภาษาและการเรยี นใหก๎ ับลกู ได๎อยาํ งเหมาะสม 3. ให๎การสนับสนนุ และปฏิบตั ิตามคาํ แนะนาํ ของโสต สอ นาสกิ แพทย์ นักแกไ๎ ขการไดย๎ ิน นกั แก๎ไข การพูดและครู หรือนกั วชิ าชีพทเ่ี กยี่ วข๎องในการดูแลเด็ก 4. ใหค๎ วามรกั ความอบอํนุ ความเมตตา ความเอาใจใสํ แตํต๎องไมํตามใจหรอื เครํงครดั เกินไปใหค๎ วาม เปน็ ธรรมเทําเทียมกนั ทัง้ ลูกที่มีความบกพรํองทางการไดย๎ ิน และลูกทมี่ ีความปกติจดั หนา๎ ทแ่ี ละความ รับผดิ ชอบไปตามความสามารถและอายุ พยายามให๎ลกู มีเหตผุ ลชมเม่ือควรชม และตําหนเิ ม่อื ต๎องตําหนิ มีความสามัคคชี วํ ยเหลือซงึ่ กันและกนั ในครอบครัวของบุคคลท่ีมีบกพรํองทางการได๎ยิน

9 5. วางระเบียบกฎเกณฑ์รวมทั้งข๎อมูลตํางๆให๎สมาชิกในครอบครัวทราบ และถือปฏิบัติตํอ เด็กท่ีมี ความบกพรํองทางการไดย๎ นิ เหมอื นกัน 6. แนะนําให๎ทุกคนในครอบครัวให๎ตระหนักวําจะไมํมีการพูดเปรียบเทียบระหวํางเด็กท่ีมีความ บกพรํองทางการได๎ยินกับเด็กท่ีปกติ ให๎เกิดความน๎อยใจ หมดกําลังใจ และท๎อแท๎แตํควรให๎กําลังใจและ ชี้ให๎เห็นทางออกท่ีจะสามารถแก๎ไขอุปสรรคตํางๆ ได๎เรียนร๎ูและใช๎ภาษาสื่อสารกับลูกที่มีความบกพรํอง ทางการไดย๎ นิ 7. พยายามบอกเลําให๎ลูกได๎รู๎ในเรื่องตํางๆตามอายุท่ีควรจะรู๎ เชํนเรื่องความบกพรํองทางการได๎ยิน การไมํได๎ยินเสยี ง ความร๎ูทางด๎านภาษาเคร่อื งชวํ ยฟัง จรยิ ธรรม คุณธรรม และวัฒนธรรมท่ีดีของสังคมที่เขาอยํู กฎหมายท่ีเก่ียวข๎องกับบุคคลที่มีความบกพรํองทางการได๎ยิน เพ่ือเขาจะได๎ตอบสนองตํอสังคม รอบด๎านได๎ ถูกต๎อง 8. จัดให๎ลูกมีสํวนรํวมในกิจกรรมชํวยเหลือสังคมหรือเด็กท่ีมีความบกพรํองทางการได๎ยินเหมือนกัน หรอื กลํมุ บคุ คลทม่ี คี วามบกพรํองด๎านอืน่ 9. จัดให๎มีเวลาสําหรับครอบครัว สําหรับลูกท่ีมีความบกพรํองทางการได๎ยิน เพื่อให๎มีบรรยากาศ ปรกึ ษาหารอื กนั ใหล๎ กู มีความไวใ๎ จในการเลาํ กิจกรรมตาํ งๆ ถ๎ามีกิจกรรม หรือมีปัญหาท่ีต๎องรํวมกันแก๎ไขควร แจ๎งใหล๎ ูกทม่ี ีความบกพรอํ งทางการได๎ยินทราบทกุ คร้ัง ในปัจจุบันนักแก๎ไขการได๎ยิน (audiologist) สามารถตรวจวินิจฉัยความผิดปกติของการได๎ยินในเด็ก เลก็ ๆไมํวําเด็กจะมีอายุน๎อยเพียงใดก็ตามหากวินิจฉัยได๎เร็วเทําไรก็จะเป็นผลดีตํอการฟื้นฟูสมรรถภาพการฟัง และการพูด การใช๎ภาษาในการส่ือสารได๎เร็วเทําน้ัน โดยเฉพาะในเด็กกลุํมเส่ียงตํอการสูญเสียการได๎ยิน เชํน เด็กคลอดกํอนกาํ หนดเด็กตัวเขียวหลงั คลอด เป็นต๎น หากผปู๎ กครองประสงค์จะให๎เด็กส่ือความหมาย ด๎วยการ ฟังและพูดจะต๎องให๎เด็กใสํเคร่ืองชํวยฟังท่ีเหมาะสมกับระดับการสูญเสียการได๎ยินและจะต๎องได๎รับการฟ้ืนฟู สมรรถภาพทางการได๎ยินและการพูดอยํางตํอเน่ือง ได๎แกํการฝึกฟัง เพื่อให๎เด็กใช๎การได๎ยินที่หลงเหลืออยํูให๎ เป็นประโยชน์มากท่ีสุดการกระต๎ุนให๎เด็กออกเสียงพูด การสอนให๎เด็กมีพัฒนาการทางภาษาและทัศนคติใน การโต๎ตอบส่ือความหมาย รวมทง้ั การแก๎ไขเสียงพูด อยาํ งไรกต็ ามกรณีท่ีหูสูญเสียการได๎ยินมากหรือมีอุปสรรค อยํางอ่ืนท่ีทําให๎เด็กไมํมีความก๎าวหน๎าในการฟังและการพูดหลังจากใสํเคร่ืองชํวยฟัง เด็กอาจจะต๎องเรียน ภาษามือหรือทําการผําตัดฝังประสาทหูเทียมเพื่อชํวยให๎เด็กรับฟังเสียงได๎ดีขึ้น ต๎องสํงเสริมให๎เด็กได๎รับ การศึกษาพัฒนาตนเองตามความถนัดและความสามารถของแตํละคนให๎มากที่สุด เพ่ือที่บุคคลท่ีมีความ บกพรํองทางการได๎ยินจะสามารถพัฒนาทักษะทางภาษาเพ่ือใช๎ในการเรียน และการส่ือสารในชีวิตประจําวัน ได๎ เชํน - ฝึกประสาทสมั ผัสการใชม๎ ือ การใช๎กล๎ามเนือ้ มดั เล็ก กล๎ามเนอ้ื มดั ใหญํ - ฝึกประสาทสัมผัสในการใช๎สายตา ให๎มีความสัมพันธ์กัน และจับความเคลื่อนไหวของส่ิงแวดล๎อม รอบตัวไดเ๎ รว็ ขึ้น - ฝึกประสาทสัมผัสให๎มีความสมั พันธก์ ับความคิด สามารถบอก แสดงออก หรือสื่อความหมายในการ สัมผัสได๎ เชํน สามารถบอกได๎วํา ส่ิงใดมีความร๎อน ความเย็น ความเหม็น ความหอม ความเจ็บ ความปวด ความแสบได๎

10 - ฝึกออกเสียง ครูควรคิดหาเทคนิคแปลกๆมาใช๎ในการสอนออกเสียงควรสอนเทคนิคการจดจําเสียง และสัญลักษณ์ตํางๆ มีการใช๎ส่ือประสมเข๎ามาชํวย โดยสอดแทรกอารมณ์ขันให๎สนุกสนานเพราะอารมณ์ ความรู๎สึกท่ีประทับใจจะชํวยให๎เรียนร๎ูได๎รวดเร็วย่ิงข้ึนและจําได๎ดีข้ึนเมื่อพบปัญหาการออกเสียงของนักเรียน ควรเลือกคํา หรือข๎อความ วิธีการออกเสียงที่ถูกต๎อง ให๎เหมาะกับปัญหาของแตํละคนแล๎วชํวยให๎เขาทําจน สําเรจ็ ซง่ึ นอกจากจะชวํ ยแก๎ปญั หาแล๎วยงั ชํวยสรา๎ งความเชอ่ื มัน่ ในตนเองและทําให๎เกิดทัศนคติตํอการเรียนอีก ด๎วย - ฝกึ ฟัง เชนํ เสียงแตรรถยนต์ เสียงเคร่ืองยนต์ เสียงฟูาร๎อง เสียงระฆัง เสียงกลอง เสียงตะโกน เสียง กระซบิ โดยฝกึ ทั้งทใี่ สํเครอ่ื งชํวยฟัง และตอนทีน่ ักเรยี นไมํใสํเครอ่ื งชํวยฟงั เพื่อให๎นักเรยี นเกิดการเปรียบเทียบ เสยี งได๎ ประโยชน์ของการฝึกฟงั กเ็ พอ่ื ไมํให๎บคุ คลทม่ี ีความบกพรํองทางการได๎ยินเกิดความตกใจเม่ือได๎ยินเสียง ท่ดี ังเกินไป สามารถแยกเสยี งแตํละประเภทได๎ และยังสามารถปอู งกนั อนั ตรายทีเ่ กิดจากส่งิ แวดล๎อมไดด๎ ๎วย - ฝึกคําศัพท์งํายๆ ในชีวิตประจําวัน เพ่ือใช๎ในการสื่อสารกับบุคคลอื่น ทั้งการพูด และการเขียน เชํน ไป กิน หวิ ปวดท๎อง สนทนา - ฝกึ ให๎อํานริมฝปี ากได๎ ถึงแมจ๎ ะไมํได๎ยนิ เสียง โดยเรมิ่ จากคาํ ศพั ทง์ าํ ยๆ ส้ันๆ กํอน - ฝึกให๎เด็กร๎ูจักสัญลักษณ์สากล เชํน ปูายบอกทิศทาง ซ๎าย ขวา ห๎องนํ้าหญิง ห๎องนํ้าชาย เขตอนั ตราย หา๎ มเข๎า - ฝึกการใช๎ภาษามือโดยเร่ิมจากคําศัพท์ในชีวิตประจําวัน อาจมีรูปภาพและการเขียนเข๎ามาชํวย เพ่ือให๎เกิดความจาํ ทถ่ี าวร - สํงเสริมความสามารถพิเศษ หรือสิ่งท่ีเด็กสนใจ เชํน กีฬา ดนตรี ศิลปะ การแสดง ให๎เต็มตาม ศักยภาพของเด็ก ทั้งน้ีส่ิงตํางๆ จะประสบความสําเร็จได๎ ต๎องได๎รับความรํวมมือจากครู ครอบครัว ผ๎ูปกครอง และ บุคคลท่ีมีความบกพรํองทางการได๎ยินเอง ท่ีต๎องมีความพยายามในการฝึกฝน มีความอดทน มีการให๎ความ รํวมมือกับสถานศึกษา เข๎ารํวมในการจัดทําแผนการศึกษาเฉพาะบุคคล (IEP) โดยจัดเตรียมข๎อมูลที่จําเป็น เก่ียวกับความต๎องการของเด็กสํงเสริมให๎เด็กมีความพยายาม และพึ่งตนเองให๎มากที่สุด ผ๎ูปกครองควรเรียนร๎ู ไปพร๎อมกบั เด็ก เพื่อที่จะสามารถกลับไปฝกึ ท่บี า๎ น และส่ือสารกบั เดก็ ได๎ เพอื่ เป็นแนวทางให๎กับเด็กในด๎านการ เรียนและการประกอบอาชีพในอนาคต การสอ่ื สาร ภาษา และวฒั นธรรมของบคุ คลทมี่ คี วามบกพรอ่ งทางการได้ยนิ ภาษามือ (Manual Language หรือ Sign Language) คือ ภาษาสําหรับคนหูหนวก (บุคคลที่มี ความบกพรํองทางการได๎ยิน) ใช๎มือ สีหน๎ากิริยาทําทางประกอบในการส่ือความหมายและถํายทอดอารมณ์ แทนการพดู ดว๎ ยเหตุที่คนหหู นวกไมไํ ด๎ยินเสียงพดู เหมือนคนปกติ จึงไมํสามารถพูดได๎แตํสายตาของเขาปกติ มองเห็นกิริยาอาการทําทางตําง ๆ ท่ีเคล่ือนไหวไปมาได๎ ภาพตํางๆที่แลเห็นน้ันเป็นส่ือที่ทําให๎คนหูหนวก เรียนร๎ูความหมายแม๎จะเข๎าใจได๎ไมํมากหรืออาจจะเข๎าใจได๎ไมํลึกซ้ึงนัก แตํก็เป็นสํวนหน่ึงที่มีอิทธิพลผลักดัน ให๎คนหูหนวกพยายามใช๎ ทําทางรํางกาย และสีหน๎าเพ่ือแสดงความรู๎สึกภายในของเขาที่มีอยูํให๎คนอื่นเข๎า ใจความต๎องการของเขาไดบ๎ ๎าง ทําทางท่ีแสดงนั้นเราจะสังเกตได๎วําเป็นทําทางท่ีเลียนแบบธรรมชาติมากที่สุด

11 และจากทาํ ทางธรรมชาตนิ ัน้ เอง ได๎มีการพัฒนาขึ้นโดยการใช๎มือทําทําทางตําง ๆเป็นสํวนใหญํ ทําให๎เกิดเป็น ทาํ ทางใชแ๎ ทนความหมายในคําพูดของคนปกตไิ ดเ๎ ราเรียกภาษาทาํ ทางท่ไี ดร๎ บั การพัฒนานนั้ วํา “ภาษามอื ” ภาษามือไทย เป็นภาษาที่นักการศึกษาทางด๎านการศึกษาของคนหูหนวกตกลง และยอมรับแล๎ววํา เปน็ ภาษาหน่งึ สาํ หรบั ใชต๎ ดิ ตํอสื่อสาร ระหวํางคนหูหนวกกับคนหูหนวก และคนหูดีกับคนหูหนวก คนหูตึงกับ คนหูหนวก ด๎วยกันได๎ รัฐบาลโดยกระทรวงศึกษาธิการ จึงได๎ประกาศให๎ “ภาษามือไทย” เป็นภาษาประจํา ชาติของคนหหู นวก เมื่อวันท่ี 17 สงิ หาคม 2542 และออกประกาศให๎ “ภาษาไทย (มอื )”เป็นวิชาบังคับสําหรับ โรงเรียนสอนคนหูหนวกตั้งแตํระดับช้ันประถมศึกษาถึงระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย และเป็นวิชาเลือกใน หมวดวิชาตาํ งประเทศสาํ หรบั โรงเรยี นทั่วไปในระดับช้ันมธั ยมศึกษาตอนปลาย ภาษามือของแตํละชาติมีความแตกตํางกันเชํนเดียวกับภาษาพูด ซึ่งจะแตกตํางกันตาม ขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรม ส่ิงแวดล๎อม และลักษณะภูมิศาสตร์ ของแตํละชาติ อยํางไรก็ตามคนหู หนวกที่อยํูในประเทศเดียวกันก็อาจมีภาษามือท๎องถ่ินในแตํละภูมิภาคเชํนเดียวกับภาษาพูดที่เป็นภาษาถิ่น ประจําภาคภาษามือของแตํละชาติมีคําศัพท์และไวยากรณ์ หรือกฎระเบียบการเรียงคําและคุณสมบัติอ่ืนๆ แตกตาํ งกัน 1. คําศัพท์ภาษามือสํวนใหญํกําหนดโดยบุคคล หรือชุมชนท่ีมีความบกพรํองทางการได๎ยินเพ่ือให๎ สามารถสอ่ื สารกันไดโ๎ ดยงาํ ยและกวา๎ งขวางเพื่อนําไปใช๎ในชีวิตประจําวัน เชํน การประกอบอาชีพชํางกํอสร๎าง กม็ ีคําวํา สี, ทาสี, อิฐ, ปูน ฯลฯ แตํศัพท์ภาษามือสํวนหนึ่งเป็นการใช๎ภาษารํางกายหรือการเคลื่อนไหวอวัยวะ ตํ า ง ๆ ข อ ง รํ า ง ก า ย ต า ม ธ ร ร ม ช า ติ ซึ่ ง ค น ท่ั ว ไ ป ท่ี มี ก า ร ไ ด๎ ยิ น ป ก ติ อ า จ เ ข๎ า ใ จ ค ว า ม ห ม า ย ไ ด๎ 2. จากนักวิจัยภาษามือ ซ่ึงเป็นกลํุมบุคคลท่ีมีความร๎ูเกี่ยวกับบุคคลท่ีมีความบกพรํองทางการได๎ยิน ทําหนา๎ ท่รี วบรวมคาํ ภาษามือจากบุคคลที่มคี วามบกพรํองทางการได๎ยินท่ัวประเทศ แล๎วนําคําท่ีได๎มาพิจารณา วําใช๎ตํางกันหรือเหมือนกัน ทํามือเหลําน้ีต๎องไมํขัดตํอประเพณี วัฒนธรรมของชาติ การวิจัยจําเป็นต๎องมีคน ปกติ และบุคคลที่มีความบกพรํองทางการได๎ยินที่มีความร๎ูเรื่องภาษามือ และภาษาไทยเป็นอยํางดี เป็นผู๎ชํวย เหลอื 3. จากครูโรงเรียนสอนบุคคลที่มีความบกพรํองทางการได๎ยิน เนื่องจากบุคคลที่มีความบกพรํอง ทางการได๎ยินต๎องศึกษา ครูต๎องทําหน๎าที่เป็นผ๎ูสอน ต๎องอยูํใกล๎ชิดนักเรียน การได๎สนทนาให๎คําปรึกษา ระหวาํ งครู-นกั เรียน-ผูป๎ กครอง ทําให๎ครูเข๎าใจภาษาทําทางของนักเรียนที่บกพรํองทางการได๎ยิน และนํามาใช๎ ในการเรยี นการสอนจนเกดิ ความชํานาญ คดิ คน๎ และกําหนดคาํ ศัพท์ภาษามือเพิ่มขึ้นอยํูเสมอโดยมักเทียบเคียง หรือใช๎ศัพท์ภาษาไทยเป็นฐาน เม่ือมีความรู๎ใหมํเกิดขึ้นก็ต๎องกําหนดศัพท์ภาษามือเพ่ิมขึ้นเพื่อให๎คนหูหนวกมี ศพั ท์ภาษามือเพียงพอท่ีจะสามารถเรียนร๎ูและสื่อสารกันไดใ๎ กลเ๎ คยี งกบั คนทั่วไปมากทส่ี ดุ ภาษามือธรรมชาติ (Sign language) คนหูหนวกเป็นผ๎ูสร๎างข้ึนและใช๎รํวมกันในแตํละชุมชนหรือใน แตลํ ะชาติ เชํน American Sign language, British Sign language , SwedishSign language ซ่ึงสํวนมาก เป็นทําเลยี นแบบธรรมชาตทิ จ่ี ะชํวยคนหูหนวกให๎มีพฒั นาการในภาษาประจาํ ชาตเิ ทําเทียมกับคนปกติ ภาษามือประดิษฐ์ (Singed) คือ ภาษามือที่ครู ผ๎ูปกครอง หรือญาติมิตรของคนหูหนวกคิดขึ้นแทนคํา ภาษาพูด และภาษาเขยี นประจาํ ชาตเิ พอ่ื ให๎มีคําใช๎ให๎เพียงพอในการศึกษา และสื่อความหมายโดยเฉพาะเร่ือง นามธรรม และรูปธรรม ภาษามือท่ีประดิษฐ์ข้ึนน้ี บางทีเรียกวํา ภาษามือในห๎องเรียนหรือภาษามือที่ใช๎ใน

12 การศึกษา ซึ่งเป็นภาษาทท่ี าํ คาํ แตลํ ะคําตามไวยากรณภ์ าษาพดู หรือภาษาเขียนของคนปกติภาษามือประดิษฐ์ มกั จะนาํ แบบสะกดน้ิวมอื (Finger Spelling) มาผสมดว๎ ยทงั้ น้ี คาํ ศัพท์อกั ษร ก-ฮ ก็จะใช๎ตามแบบอักษร A-Z ของประเทศสหรฐั อเมรกิ า เชนํ A=อ , B=บ , K=ก, L=ล, P=พ, F=ฟ, D=ด ตัวอยํางคาํ ศพั ท์ที่ใช๎แบบสะกดน้ิว มือเข๎ามาผสม เชนํ คาํ วํา กระทรวง กลัว ปูุ ยาํ ยาย ดารา ส๎ม เป็นต๎น โครงสร้างภาษามือมีองค์ประกอบ ดังน้ี 1. ท่ามือ (The handshape) ทาํ มือ คอื การทํามือเปน็ ทําตํางๆ เชนํ กํามือ = ชกมวย ข้ีเกยี จ อดทน พยายาม แบมอื = ทําตามใจ ห๎าม กางน้วิ = เลข5 ไมเํ ปน็ ไร รวมนิว้ = ทาํ ประชมุ จีบนิว้ = ทาํ แมว 2. ตาแหน่งของมือ (The position of the hand) ตําแหนํงของมือจะให๎ความหมาย แตกตํางกัน ถงึ แม๎วําทาํ มอื จะเป็นทาํ เดยี วกันเชนํ ฉนั = นว้ิ ช้ี ชี้ทห่ี นา๎ อกของตัวเอง เธอ = นิ้วช้ี ชอ้ี อกไปท่ีคสํู นทนา รู๎ = นวิ้ ชี้ ชที้ ข่ี มบั ตําแหนํงท่ีทําทํามือควรจะอยูํในรัศมีที่สายตาสามารถมองเห็นได๎งํายและชัดเจน คือ บริเวณศีรษะ และใกล๎ใบหน๎าไมํควรต่ําวําระดับเอว คําภาษามือท่ีแสดงความรู๎สึกตําง ๆ มักจะแสดงทํามือในตําแหนํง ใกล๎เคยี งกับความหมายของคาํ น้ัน ๆ เชนํ ทํามอื บรเิ วณศรี ษะ จะเกี่ยวกบั ความคิด เชนํ รู๎ ฝัน ฉลาด ทํามอื บริเวณอก จะเก่ียวกับความรสู๎ กึ เชนํ รกั เสียใจ ขอบคณุ ทาํ มือบรเิ วณลาํ ตัว จะเป็นคําทัว่ ๆ ไป เชนํ ลูก ซกั ผา๎ รองเท๎า 3. การเคลื่อนไหวของมือ (The movement of the hand) ทํามืออยํางเดียวกันแตํเคลื่อนไหว ตาํ งกนั ความหมายก็จะแตกตํางกัน เปิด = มือทัง้ สองขา๎ งตงั้ ขึ้น หัวแมํมือชดิ กนั แลว๎ เลื่อนออกหาํ ง ปิด = ต้ังมอื หํางกนั พอสมควรแล๎วเล่ือนใหห๎ ัวแมํมือชดิ กนั ยํา = ทําตัว ย หนั เขา๎ หาแกม๎ วน 1-2 รอบ ยาย = ทาํ ตวั ย หนั เข๎าหาแก๎ม เลือ่ นไปขา๎ งหน๎า 2 จังหวะ

13 4. ทิศทางของฝ่ามือ (The orientation of the palms in relationship to the body or toeach other) เป็นสํวนสําคัญอยํางหนึ่ง ซึ่งทําให๎ทํามือมีความหมายตํางกันทํามือทําเดียวกัน ตําแหนํงที่ เดยี วกันแตํทศิ ทางของฝุามอื ตาํ งกัน ความหมายจะตํางกนั ตวั อยาํ งเชนํ ของฉนั = หันฝุามือทาบที่หน๎าอก ของเขา = หนั ฝาุ มอื ออกจากกลางอกไปข๎างหนา๎ ทิศเหนือ = ตั้งฝาุ มือขน้ึ หันฝุามืออีกขา๎ งแตะทข่ี ๎อมือเลอื่ นข้ึน ทิศใต๎ = ต้งั ฝาุ มือขึน้ หันฝุามืออีกขา๎ งแตะทีข่ ๎อมอื เลือ่ นลง ภาษามือเป็นภาษาทําทางซ่ึงมีการเคล่ือนไหวของมือเป็นหลักและใช๎กิริยาอาการของหน๎าตาและ รํางกายสํวนหนึ่ง เป็นสํวนประกอบชํวยให๎เกิดความเข๎าใจ ทําภาษามือท่ีคนหูหนวกยอมรับ มักเป็นทําท่ีทํา งําย สะดวก รวดเรว็ มีความหมายใกล๎เคยี งธรรมชาตแิ ละเหมาะกับหลักสรีระศาสตร์ ทาํ ภาษามือควรทําอยําง มจี งั หวะ คอื มกี ารเวน๎ ระยะไมํทาํ ทําทางจนเรว็ เกนิ ไปและใหอ๎ ยํใู นรศั มที ี่สายตาสามารถมองเห็นได๎ชดั เจน 5. การแสดงสหี นา้ และการเคลอ่ื นไหวของใบหนา้ (The Facial Expression) เชนํ ควิ้ ปาก ตา เป็นสิง่ สาํ คญั ที่ชวํ ยให๎เขา๎ ใจความหมายในภาษามอื ชัดเจนย่งิ ขน้ึ ตัวอยาํ ง การสํายศรี ษะ หมายถงึ การปฏิเสธ การขมวดคว้ิ หมายถึง การแสดงความสงสยั เลิกค้ิว หมายถึง การแสดงคําถามทต่ี ๎องการคาํ ตอบ การแสดงสีหนา๎ และการเคลอื่ นไหวบนใบหนา๎ ประกอบทาํ มือ ควรทําแตํพองาม ให๎ดูสุภาพ ไมํแสดง มากเกนิ ไปจนดูนาํ เกลียดการทําทํามอื ถ๎าอยูํในระดับสายตามองเห็นได๎งําย เชํน บริเวณใบหน๎ามักจะทํามือ เดยี ว เชํน สวย อม่ิ แตํถ๎าระดับต่าํ กวาํ อกจะทาํ สองมือ เพ่อื ให๎เห็นชัดเจนยิ่งข้ึน เชํน กระโปรง ถ๎าทําทํา สองมอื จะต๎องเคลื่อนมือใดมอื หนง่ึ มือทถ่ี นดั จะเปน็ มอื ท่ีเคลื่อนไหว มือที่ไมํถนัดจะทํางํายกวําหรืออยํูน่ิง ๆ เป็นฐาน เพราะมนุษย์ไมํสามารถทํางานได๎พร๎อมกันทั้งมือซ๎ายและมือขวา ด๎วยทําทางท่ีแตกตํางกันในเวลา เดยี วกันไดโ๎ ดยงําย การทาํ ภาษามอื บางคนทําได๎สวยงาม บางคนทําได๎ไมํนําดู เชํนเดียวกับการแสดงกิริยามารยาทของ คนท่ัวไปน้ันเอง ทั้งหมดที่กลําวมานี้เป็นวิธีการท่ีเราจะใช๎ภาษามือในการส่ือสาร ดังนั้นภาษามือ เ ป็ น ภ า ษา สํ า ห รั บ คน หู ห น ว กท่ี ใ ช๎ ใ น กา ร ติ ด ตํ อสื่ อส า ร เ พื่ อใ ห๎ เ กิ ด คว า ม เ ข๎า ใ จ ต ร ง กัน แ ตํ ก็ต๎ อง คํา นึ ง ถึ ง สถานการณ์ท่ีกําลังสนทนากันถ๎าภาษามือเหมือนกันแตํคนละสถานการณ์ ความหมายก็อาจตํางกันได๎ ดังนั้น ควรท่ีจะร๎ูความหมายของทําภาษามือนั้นวําความหมายคืออะไร เพ่ือจะได๎เข๎าใจตรงกันทําให๎การสื่อสาร มปี ระสทิ ธิภาพมากข้นึ ความหมายของการสะกดตัวอักษรด้วยน้วิ มอื การสะกดตวั อักษรด๎วยนิว้ มอื คอื การสะกดตวั อกั ษรด๎วยน้ิวมือเปน็ วิธกี ารส่ือสารชนิดหนึง่ ท่ีใช๎ในหมํูผ๎ู ท่สี ูญเสยี การไดย๎ นิ หรอื คนหหู นวกหรอื บคุ คลปกติที่ต๎องการจะส่ือความเข๎าใจกับคนหูหนวก แทนตัวพยัญชนะ

14 สระวรรณยุกต์ตลอดจนสัญลักษณ์อื่นๆของภาษาประจําชาติเพื่อการสื่อสารหรือการเขียนในอากาศน่ันเอง โ ด ย ทั่ ว ไ ป แ ล๎ ว ตั ว อั ก ษ ร ท่ี ส ะ ก ด น้ิ ว มื อ ข อ ง ภ า ษ า ใ ด จ ะ มี จํ า น ว น เ ทํ า กั บ ตั ว อั ก ษ ร ข อ ง ภ า ษ า น้ั น ความเป็นมาของแบบสะกดน้ิวมือไทยคุณหญิงกมลา ไกรฤกษ์อดีตอาจารย์ใหญํในโรงเรียนเศรษฐ เสถียร (สอนคนหหู นวกดุสิต) ได๎กําหนดทําสําหรับสะกดอักษรไทยด๎วยนิ้วมือข้ึนใช๎ในประเทศไทยเป็นคนแรก ในปีพ.ศ.2496 โดยดัดแปลงมาจากตัวสะกดน้ิวมืออเมริกันและได๎ยึดหลักทางสัทศาสตร์ท้ังของภาษาไทยและ ภาษาอังกฤษคือพยัญชนะหรือเสียงสระในตัวใดในภาษาไทยที่ออกเสียงเหมือนหรือคล๎ายคลึงกั บเสียง พ ยั ญ ช น ะ ใ น ภ า ษ า อั ง ก ฤ ษ ก็ ใ ห๎ ใ ช๎ ทํ า ส ะ ก ด นิ้ ว มื อ เ ห มื อ น กั น เ ชํ น K=ก , L=ล , J=จ , p=w สํวนเสียงในภาษาไทยที่ไมํมีในภาษาอังกฤษเชํนเสียง (ป) ดัดแปลงเป็นทําพ+1 ซ่ึงไมํมีในแบบน้ิวมือ ของอเมริกันนอกจากนี้ได๎คํานึงถึงความถี่ของการใช๎ทําภาษามือแทนเสียงนั้นอีกด๎วยเชํนอักษรใดท่ีปรากฏใน พจนานุกรมวาํ ใชม๎ ากกใ็ ชท๎ าํ มืองํายสํวนอักษรไหนทคี่ วามถใ่ี นการใชน๎ อ๎ ยก็ใช๎ทํามือยาก(หลายทํามือ) เชํน “ส” ตามพจนานุกรมใช๎มากกวํา “ศ” และ “ษ” ตามลําดับจึงกําหนดให๎ “ส” ใช๎ทํา “ศ” ใช๎ทํา ศ+1,“ษ” ใช๎ทํา ส+2 หลกั การสะกดน้ิวมอื การสะกดน้ิวมือเป็นการเคลื่อนไหวของนิ้วมือต๎องทําทําทางให๎ชัดเจนในระดับสายตาเป็นจังหวะ สวยงามไมํยกมอื ข้นึ ๆลงๆเว๎นวรรคตอนให๎ถูกต๎องตามหลักภาษาพูดและภาษาเขียนการสะกดน้ิวมือต๎องสะกด เปน็ คําหนั ฝุามอื ไปสูผํ ด๎ู หู รอื ผ๎ูอํานพร๎อมกับเปลํงเสียงคาํ น้ันด๎วยนิยมทําที่ข๎างใบหน๎าหรือระดับอกในภาษาไทย นิยมสะกดพยัญชนะและสระบางตัวด๎วยมือท่ีถนัดสํวนมืออีกข๎างหนึ่งใช๎แสดงตําแหนํงของสระวรรณยุกต์และ เคร่ืองหมายอ่ืนๆในปี 2522 ได๎เพ่ิมตัวสะกดคือ ฏ = ต-5 และ “ๆ” “ฯ”การเรียงลําดับพยัญชนะสระ วรรณยกุ ตเ์ ชนํ เดยี วกับการพิมพ์ ตัวอย่างที่ 1 คําวาํ “ ม๎า ” ตอ๎ งสะกด

15 ตวั อย่างที่ 2 คําวาํ “ บ๎าน ” ต๎องสะกด บ - า น บา้ น = บ + ้ + า + น ตัวสะกดน้ิวมืออเมรกิ า (ASL Fingerspelling) ซึ่งเปน็ ฐานของแบบสะกดน้วิ มอื ไทย

16 การสะกดน้วิ มือไทยแบ่งออกเปน็ 3 ส่วน ดังน้ี สวํ นที่ 1 แบบสะกดตวั อกั ษร สวํ นที่ 2 แบบสะกดนิ้วมือ สระ วรรณยกุ ต์ และสัญลักษณ์อ่ืนๆ

17 สวํ นที่ 3 แบบสะกดตวั เลข การสอนพูด เป็นวิธีการสอนภาษาให๎แกํนักเรียนท่ีมีการสูญเสียการได๎ยินน๎อยกวํา 90 เดซิเบลหรือเด็กท่ีหูตึงแตํ กําเนิดไมํพูดหรือพูดช๎าสามารถจะฝึกให๎เด็กร๎ูจักฟังและรู๎จักพูดได๎ผู๎ที่ทําหน๎าท่ีนี้ต๎องได๎รับการศึกษาฝึกอบรม มาเป็นพเิ ศษ คือต๎องมกี ําลังใจ มีความอดทนและมีเวลาในการฝึกสอนซง่ึ อาจจะตอ๎ งใช๎เวลานับเป็นปีจึงจะสอน ให๎พูดได๎นอกจากน้ียังต๎องได๎รับความรํวมมือกับบุคคลอ่ืนๆ ท่ีเกี่ยวข๎องอีกมากมายนับต้ังแตํแพทย์ทางหูคอ จมูก นักตรวจการได๎ยินชํวยในการวินิจฉัยแยกโรคต้ังแตํระยะแรก ในระยะที่ฝึกพูดนั้นผู๎ปกครองต๎องชํวย ฝึกสอนท่ีบ๎านด๎วย ต๎องติดตํอกับครูหาโรงเรียนพิเศษให๎เพราะจะเข๎าเรียนในโรงเรียนตามปกติไมํได๎โดยมี ขั้นตอน ดงั น้ี 1. การฝึกฟัง (AuditoryTraining) เป็นวิธีการสอนเด็กท่ีมีความบกพรํองทางการได๎ยินให๎ร๎ูจักฟัง โดยมีเปาู หมายหลัก 3 ประการ คือ 1.1 ให๎ร๎ูจักเสียงท่ีฟัง ไมํวําจะเป็นเสียงอะไรก็ตาม รวมทั้งเสียงท่ีเป็นการพูดใน สง่ิ แวดล๎อมตาํ ง ๆ ของเด็ก 1.2 ใหแ๎ ยกเสียงทคี่ ละกนั ในส่งิ แวดล๎อมได๎ 1.3 ให๎แยกเสียงพูดได๎วาํ เป็นเสยี งเชนํ ไร หรือเสียงใคร 2. การฝกึ อ่านคาพูด (Speechreading) เปน็ การฝึกอาํ นริมฝีปาก หรอื การเคลื่อนไหวรมิ ฝีปากของ ผ๎ูพูดเพื่อใหเ๎ ข๎าใจความหมายตรงกัน

18 การบริหารปาก การบรหิ ารลิ้น การสอนเสียงสระ พยญั ชนะ วรรณยกุ ต์ การสอนคาํ วลแี ละประโยค การสอนระบบรวม การสื่อสารระบบรวม และทําแนะคําพูด (TotalCommunication and Cued Speech) เป็นการ สอนคนที่มีความบกพรํองทางการได๎ยินในปัจจุบัน ไมํได๎เน๎นการฝึกฟัง หรือภาษามืออยํางใดอยํางหนึ่ง โดยเฉพาะ แตพํ ยายามจะใชห๎ ลายๆ ระบบรวมกัน เชํน ภาษามือ ภาษาพูด การสะกดนิ้วมือ การอํานริมฝีปาก ทําแนะนําคําพูด รวมท้ังการอํานการเขียน ทั้งนี้การเลือกใช๎วิธีการสอนควรจัดให๎เหมาะสมกับความต๎องการ จําเป็นของผ๎เู รยี นแตํละบุคคล

19 การจดั การเรียนรู้สาหรับบคุ คลที่มีความบกพร่องทางการไดย้ นิ เด็กที่มีความบกพรํองทางการได๎ยินน้ันโดยทั่วไปเช่ือวํา มีชีวิตที่เสียเปรียบมากในสังคมท่ี ทุกอยําง ขึ้นอยํูกับภาษาและการสื่อสาร เด็กจะมีปัญหาทางภาษาและการพูดมากเนื่องจากสภาพการได๎ยินมีความ บกพรํอง การแสดงออกทางอารมณ์ของเด็กจะใช๎พฤตกิ รรมทางกายเป็นสอ่ื แสดงออกมา การเรียน การปรับตัว การสงั คม และผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นจะดอ๎ ยกวําเดก็ ปกติ เน่อื งจากไมํสามารถใช๎ประโยชน์จากการสื่อสารได๎ เหมือนคนอ่ืน เด็กท่ีพัฒนาการทางภาษาช๎า แตํความสามารถทางสติปัญญาเทําเด็กปกติทุกอยําง เพียงแตํมี ข๎อจํากัดทางภาษาจึงทําให๎ดูเหมือนวํา เด็กด๎อยกวําเด็กอื่นๆ ท่ัวไป การปรับตัวแตกตํางไปจากเด็กปกติ บางครั้งดูโดดเดี่ยว เหงาหงอย ดังน้ันในการจัดการศึกษาสําหรับเด็กท่ีมีความบกพรํองทางการได๎ยินควรมี ลักษณะของหลกั สูตรและการสอน ท่ีสามารถใช๎รํวมกับหลักสูตรของเด็กปกติได๎ แตํต๎องมีการปรับในเรื่องของ จุดประสงค์และการวดั ผลประเมนิ ผล สาํ หรบั การสอนเด็กทม่ี ีความบกพรํองทางการได๎ยินไมํวําจะเป็นประเภท หตู ึง หรือหูหนวกกต็ าม จําเป็นตอ๎ งสอนใหม๎ โี อกาสฝึกพูด เด็กทกุ คนต๎องได๎รบั การฟื้นฟูสมรรถภาพทางการพูด ดังน้ันในการสอนเด็กทม่ี ีความบกพรํองทางการได๎ยินควรครอบคลุมการฝกึ ฝนเดก็ ในทกุ ๆดา๎ น การจดั การศกึ ษาสาหรบั บคุ คลทม่ี คี วามบกพร่องทางการได้ยินในประเทศไทยมี 3 รูปแบบ คือ 1. การจัดการศกึ ษาพเิ ศษ ตามหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการต้งั แตํระดบั ช้ันเด็กเล็ก ประถมศึกษา และมัธยมศึกษาใช๎หลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการโดยมีการปรับปรุงให๎เหมาะสมเพียงเล็กน๎อย 2. จัดการเรียนรํวมกับคนปกติ จัดให๎เข๎าเรียนในโรงเรียนเดียวกับเด็กปกติโดยมีครูการศึกษาพิเศษ ลํามภาษามอื ตลอดจนการชวํ ยเหลอื ในดา๎ นภาษาและการสอื่ สารตามความเหมาะสม 3. การจัดการสอนแบบสองภาษาเปน็ การจดั การศึกษาท่ีตอบสนองความต๎องการและสอดคล๎องกับวิถี ชวี ิตของคนหหู นวกการสอนแบบสองภาษาเปน็ ปรัชญาทเ่ี รมิ่ ปรากฏขน้ึ ในปี พ.ศ. 2523 ท่ีประเทศสวีเดน และ อเมริกาเน่ืองจากไมํสมหวังกับผลที่ได๎จากวิธีสอนแบบระบบรวมวิธีสอนแบบน้ีเกิดขึ้นบนพ้ืนฐานของการวิจัย เก่ียวกับเร่ืองพัฒนาการทางภาษาจิตวิทยาการเรียนรู๎ และภาษาศาสตร์ภาษามือการวิจัยเหลํานั้นรายงานวํา เดก็ หหู นวกทมี่ ีพอํ แมํเป็นคนหูหนวกและได๎ใช๎ภาษามืออเมริกันตั้งแตํเป็นเด็กจะมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนการ อํานออกเขียนได๎การพัฒนาทางอารมณ์และสังคมดีกวําเด็กหูหนวกจากครอบครัวที่พํอแมํเป็นผู๎มีการได๎ยิน ท้ังนี้เพราะเด็กอยํูในสถานการณ์ท่ีใช๎สองภาษาตลอดเวลาปรัชญาการสอนแบบสองภาษาเกิดข้ึนบนพื้นฐาน ของความเข๎าใจวําเด็กหูหนวกเรียนรู๎ได๎ดีจากชํองทางท่ีไมํผิดปกติ คือ ทางตามากกวําชํองทางท่ีผิดปกติคือ การได๎ยินทางหู และภาษาท่ีใช๎ในการรับรู๎ด๎วยตาได๎ดีท่ีสุด คือภาษามือของคนหูหนวก การเรียนภาษามือของ คนหูหนวก จะทําให๎สมองมีการพัฒนาได๎ดีและมีความเชื่อมโยงตํอเน่ืองกับการเรียนภาษาท่ีสองทําให๎สามารถ เรยี นรู๎ความแตกตาํ งของภาษามือและภาษาเขียนได๎เปน็ อยาํ งดี การสอนแบบสองภาษาสาหรับคนหหู นวกคอื อะไร 1. การสอนภาษามือไทย เป็นภาษาแรก เพื่อเปิดโอกาสให๎เด็กได๎ใช๎ภาษามือในการคิดการแสดง ความร๎ูสึก การพูดคุย และการเรียนร๎ูโลก ทําให๎เด็กมีความรู๎สึกม่ันคงปลอดภัย ไมํถูกทอดทิ้ง และเป็นอิสระ 2. การสอนภาษาไทยเป็นภาษาที่สองเพื่อให๎เด็กอํานออกเขียนได๎และ/หรือพูดได๎ เพ่ือใช๎ในการติดตํอ กับคนทั่วไปและการรบั รเ๎ู ร่ืองราวตาํ งๆ จากการอําน

20 3.การเรียนการสอนแบบสองภาษาจะทําให๎คนหูหนวกมีการปรับตัวได๎ดีมีความสามารถในการใช๎ ภาษามอื ไทยและภาษาไทยได๎ดีท้ังการอาํ นการเขยี นและ/หรือการพดู ซงึ่ จะเปน็ ผลใหม๎ คี ุณภาพชวี ิตท่ดี ขี นึ้ การสอนแบบสองภาษาทาอยา่ งไร การสอนแบบสองภาษามีหลายรูปแบบสิ่งทสี่ ําคญั ของการสอนแบบน้ี คือ - สอนภาษามือไทยเป็นภาษาแรกจนเดก็ สามารถใช๎ภาษามือไทยได๎เปน็ อยาํ งดี - สอนภาษาไทยเปน็ ภาษาท่สี องในรูปของภาษาเขียน - สอนโดยครูสองคน คือ ครหู ูหนวกและครูที่มีการได๎ยนิ (ครูทง้ั สองคนต๎องรภ๎ู าษามือและภาษาไทย) - ใช๎ภาษามือไทยเปน็ ภาษาในการเรียนการสอน - สอนภาษามือไทยแยกจากภาษาไทย ทาไมจึงตอ้ งใช้ภาษามือไทย ภาษามอื ไทย : - เป็นภาษาธรรมชาติของคนหูหนวก มีฐานะเปน็ ภาษาภาษาหนึง่ ตามหลกั ของภาษาศาสตร์ เชนํ เดียวกบั ภาษาทว่ั ไปในโลก - มโี ครงสร๎างและไวยากรณเ์ ป็นของตัวเองซ่ึงไมเํ หมอื นกับโครงสร๎างและไวยากรณ์ของภาษาไทย - เป็นภาษาแรกของคนหูหนวกไทย - เป็นภาษาทีค่ นหูหนวกไทยใชใ๎ นการคิดการแสดงความร๎สู กึ การพูดคยุ และการรบั รเ๎ู ร่ืองราว ตาํ งๆผาํ นลํามภาษามอื ใช้ภาษามอื ไทยอยา่ งไร - ภาษามือไทยในฐานะเป็นวชิ า วิชาหนงึ่ - ภาษามือไทย เปน็ เครื่องมือในการเรียนรู๎ภาษาไทย - ภาษามือไทย เปน็ เครื่องมือในการเรียนการสอนวชิ าอ่นื ทาไมจึงตอ้ งใช้ครูสองคน - ครูหหู นวกเป็นต๎นแบบของการใชภ๎ าษามือไทย และเปน็ ผู๎ถาํ ยทอดวฒั นธรรมของคนหหู นวก - ครทู ีม่ ีการไดย๎ นิ เปน็ ตน๎ แบบของการใชภ๎ าษาไทยเปน็ ผ๎ถู ํายทอดและแลกเปลยี่ นวฒั นธรรมไทย กับวัฒนธรรมของคนหูหนวก วฒั นธรรมของคนหูหนวกคอื อะไร - วถิ ชี วี ิตของคนหหู นวก - การมองโลกของคนหูหนวกผาํ นการรบั รูด๎ ว๎ ยตาและภาษามือ - การพูดคุยด๎วยภาษามอื การตง้ั ช่ือภาษามือการเรยี กผ๎ูอนื่ ดว๎ ยการสมั ผัสแตะต๎องตวั เป็นต๎น ทาไมคนหูหนวกจึงมีวัฒนธรรมแตกตา่ งจากคนทว่ั ไป คนหหู นวกถํายทอดวัฒนธรรมกนั อยํางไร - คนหหู นวกสํวนใหญเํ กิดในครอบครัวท่ีพอํ แมมํ ีการไดย๎ นิ และใชภ๎ าษาพดู - คนหูหนวกใช๎ภาษามอื เข๎าใจภาษาพูดได๎น๎อยจึงไมํสามารถพดู คุยกับพอํ แมํไดม๎ ากเทาํ ท่ีควรจะ เปน็ ทาํ ให๎เกิดชํองวํางระหวาํ งคนหูหนวกกบั ครอบครวั ความร๎สู กึ ถกู ทอดท้ิงโดดเด่ียวไมมํ ีเพือ่ นและไมํมีคน

21 เข๎าใจผลกั ดันให๎คนหหู นวกเข๎ารวมกลุมํ กับคนหูหนวกด๎วยกัน - การรวมตวั ของคนหูหนวก เปน็ บํอเกิดของชมุ ชน และวฒั นธรรมคนหหู นวกที่ถาํ ยทอดสํงตํอ จากผู๎ใหญหํ หู นวกผํานการเลําเรือ่ งดว๎ ยภาษามือไปสํเู ดก็ หหู นวก วัฒนธรรมของคนหหู นวกมคี วามสาคัญต่อการจดั การศึกษาของคนหูหนวกอย่างไร - การจดั การศึกษาทตี่ อบสนองความต๎องการและสอดคล๎องกบั วิถชี ีวิตของคนหูหนวกจะทําให๎ คนหหู นวกสามารถเรียนร๎ูได๎ เชนํ เดียวกับคนทวั่ ไป เชนํ - การใช๎ภาษามอื ไทยเปน็ ภาษาในการเรยี นการสอน - การใช๎เทคนิควธิ ีสอนและสื่อทสี่ อดคล๎องกบั กระบวนการเรียนรข๎ู องเด็กหูหนวก - การใหเ๎ ด็กหหู นวกไดพ๎ บปะพูดคยุ กับเพื่อนเด็กหูหนวกและคนหูหนวกผู๎ใหญํเพื่อเรียนรภ๎ู าษา และวฒั นธรรมของคนหหู นวก - การสอนภาษามือไทยโดยครหู ูหนวกทีไ่ ด๎รับการฝึกอบรมวิธสี อนภาษามอื - การสอนโดยครูหหู นวกและครทู ม่ี กี ารไดย๎ นิ ท่ีใชภ๎ าษามือไทยไดด๎ ี - การจดั ช้นั เรยี นท่ีแตกตาํ งกับชนั้ เรียนทว่ั ไปเพื่อใหเ๎ ด็กได๎มองเห็นการใช๎ภาษามือของเพอ่ื นได๎ ชดั เจน ตัวอยา่ งภาพ การจัดห๎องเรยี น ของผทู๎ ่มี ีความบกพรํองทางการได๎ยิน หลักการจดั การศึกษาสาหรับบคุ คลท่ีมีความบกพร่องทางการได้ยิน การจัดการเรียนการสอนเร่ิมแรกของเด็กท่ีมีความบกพรํองทางการได๎ยิน เป็นการจัดการเรียนการ สอนโดยใชภ๎ าษามือเพียงอยาํ งเดียว จนกระทั่งปี พ.ศ. 2512 กรมการฝึกหัดครูได๎เริ่มโครงการฝึกและอบรมครู เพื่อการศึกษาพิเศษข้ึนและได๎มอบหมายให๎โรงเรียนอนุบาลละอออุทิศ วิทยาลัยครูสวนดุสิตเป็นผู๎ดําเนิน โครงการเพื่อเป็นการสาธิตการสอนเด็กท่ีมีความบกพรํองทาง การได๎ยินโดยเน๎นการสอนพูดและการอํานริม ฝีปากเปน็ หลกั ในการสอน ทําให๎เกิดแนวโนม๎ ใหม๎ กี ารเนน๎ เร่อื งการพูด และการอํานริมฝีปากมากข้ึน

22 ในการเรยี นการสอนเดก็ ทม่ี ีความบกพรํองทางการได๎ยินมีวัตถุประสงค์เพื่อให๎เด็กได๎รับการศึกษาและ สามารถปรับตัวอยํูได๎พอสมควรกับสังคมของคนปกติดังนั้นโรงเรียนอนุบาลละอออุทิศจึงประสานกับโรงเรียน พญาไทจัดให๎เด็กที่มีความบกพรํองทางการได๎ยิน ที่มีความสามารถในการพูดและอํานริมฝีปากได๎เรียนรํวมใน ช้นั เรียนกบั เดก็ ปกติเม่ือปีการศึกษา 2515 เป็นต๎นมา และแนะนําให๎เด็กท่ีสามารถพูดและอํานริมฝีปากได๎เกํง เข๎าเรียนในโรงเรียนปกติอืน่ ๆ ด๎วยหลกั การจดั การศึกษาสําหรับเด็กท่ีมีความบกพรํองทางการได๎ยินสามารถจัด ไดห๎ ลายรปู แบบขน้ึ อยกํู ับความแตกตาํ งระหวํางบคุ คลหรอื ความตอ๎ งการจาํ เปน็ เฉพาะบคุ คล ดังน้ี การศึกษาแบบองค์รวม (Holistic Education) คือกระบวนการเรียนร๎ูที่เช่ือมตัวเองเข๎ากับโลก ความสัมพันธ์นี้ครอบคลุมท้ังด๎านรํางกาย จิตใจ อารมณ์ ความรู๎สึกตลอดจน จิตวิญญาณต๎องเป็นการศึกษาท่ี ไมยํ ึดตดิ กับเทคนคิ หรอื หลักสตู รใดๆ สอนให๎เด็กเรียนร๎ูท่ีจะเช่ือมโยงโลกภายนอกกับตนเองและตนเองกับโลก ภายนอกครตู อ๎ งยอมรบั ศกั ยภาพท่ีแตกตํางกันของเด็กแตลํ ะคนตอ๎ งไมํพยายามใชม๎ าตรฐานใดมาตรฐานหน่ึงใน การตดั สนิ เด็ก การศึกษาตามมอนเตสเซอรี่ (Montessori) เป็นการจัดสิ่งแวดล๎อมและส่ือการเรียนให๎เหมาะสมเพื่อ กระตุ๎นให๎เด็กแสดงศักยภาพของตนเองออกมา เนน๎ สงํ เสรมิ ให๎เด็กมแี นวคิดเปน็ อสิ ระและมีทักษะในการเรียนรู๎ ที่ดี เนน๎ การใช๎สอื่ ทเี่ รยี บงาํ ยใกลช๎ ดิ ธรรมชาติ การจัดการศึกษาแบบซัมเมอร์ฮิล (Summer hill) คือ แนวคิดการศึกษาที่เน๎นให๎สิทธิเสรีภาพอยําง เต็มที่แกํผู๎เรียนท้ังด๎านการเรียนและการปกครองตนเองโดยให๎นักเรียนมีสํวนรํวมในกิจกรรมทุกอยําง การศึกษาแบบนี้มีความเช่ือวําเด็กเกิดมาพร๎อมกับความเฉลียวฉลาดโรงเรียนตามการศึกษาแบบน้ีจะจัด โครงสร๎างในโรงเรียนหลักสูตรการเรียนการสอนที่นักเรียนเป็นผ๎ูที่สามารถเลือกเรี ยนได๎ตามความสนใจ นักเรียนจะเป็นผ๎ูท่ีค๎นคว๎า แสวงหาความร๎ูด๎วยตนเองเด็กจะไมํถูกบังคับให๎เชื่อเร่ืองใดเรื่องหน่ึงหรือนับถือ ศาสนาใดศาสนาหนึ่งโดยเฉพาะ การปฏิบัติตํอกันเป็นเรื่องท่ีเด็กจะต๎องตัดสินใจหรือวางข๎อตกลงรํวมกันใน รปู แบบของคณะกรรมการรวํ ม การศึกษาตามแนวของวอลดอร์ฟ (Waldorf Education) คือ การจัดการศึกษาที่เน๎นการพัฒนาแบบ รอบด๎านโดยเด็กแตํละชํวงอายุจะมีพัฒนาการทางบุคลิกภาพท่ีแตกตํางกัน โดย เด็กอายุ 0-7 ปีจะเน๎นการ พัฒนาบุคลิกภาพด๎วยการเลียนแบบ เด็กอายุ 7-14 ปีจะเป็นการพัฒนาบุคลิกภาพด๎วยอารมณ์ความรู๎สึก เดก็ อายุ 14 ปีขน้ึ ไปจะเนน๎ กระบวนการคดิ และความมเี หตุผล กระบวนการเรียนการสอน ใชด๎ นตรี ศิลปะการเคล่ือนไหวรํางกาย ตลอดจนการให๎เด็กคิดค๎นส่ิงตํางๆ เองเปน็ ส่อื สาํ คัญในการสร๎างความเข๎าใจและยอมรับตนเองเป็นพ้ืนฐานสําคัญในการพัฒนาในทุกชํวงอายุสอน ใหม๎ นษุ ย์รจ๎ู ักจดุ ยนื ทสี่ มดุลของตนในโลกมนุษย์ ปรัชญาเน๎นความสําคัญของการสร๎าง ความสมดุลใน 3 วิถีทางในกิจกรรมของการเรียนการสอน เปน็ เร่ืองของการเลือกไมํใชกํ ารบงั คบั เพราะต๎องการใหเ๎ ดก็ มคี วามเปน็ ตัวของตวั เอง การจัดการคือผํานกิจกรรมทางกายผํานอารมณ์ความร๎ูสึก และผํานกระบวนการคิด เน๎นให๎เกิดความสมดุล สอดคล๎องกลมกลืนในแตํละชํวงวัยของเด็กเพ่ือที่เขาจะได๎เติบโตขึ้นมาพร๎อมกับศักยภาพสูงสุดและพร๎อม สําหรบั การเผชญิ กับสงิ่ ทา๎ ทายใหมํๆในโลกที่กว๎างใหญํครูผู๎สอนเป็นผู๎อํานวยความสะดวกให๎นักเรียนเรียนร๎ูส่ิง ตาํ งๆดว๎ ยความกระตอื รอื ร๎นใชป๎ ัญญาท่มี ีอยํูในตนเองใหเ๎ กดิ คุณภาพสูงสุด

23 กลยทุ ธใ์ นการสอนนกั เรยี นที่มคี วามบกพรอ่ งทางการได้ยิน การแสดงสหี นา๎ ทาํ ทาง และภาษามอื จะชํวยให๎เด็กเขา๎ ใจได๎ดขี ้นึ ให๎เรียกหรือทําให๎เด็กร๎ูวําเรากําลังจะพูดด๎วยกํอนเสมอ โดยการแตะไหลํ หรือแขนเบาๆ และตอ๎ งหันหน๎าไปทางเดก็ เวลาพูดกับเดก็ อยําตกใจ ถ๎าเด็กไมํเข๎าใจเรา หรือเราไมํเข๎าใจเด็ก เด็กกับเราจะคํอยๆพัฒนาความค๎ุนเคย เมอื่ เวลาผํานไป ใหส๎ อนคาํ ศพั ทใ์ หมํในบริบทตาํ งๆกันเพอื่ เปน็ การเสริม และความจําทถี่ าวร ให๎จัดลําดับหัวเร่ือง ความสําคัญ ของแผนการสอน ใช๎สื่อการสอนท่ีมีความสัมพันธ์กับสิ่งท่ี จะเรยี น และต๎องบอกโครงรํางของเน้ือเร่ืองหรอื แผนการสอน หรอื กจิ กรรมทจ่ี ะให๎นักเรียนทําลํวงหน๎า และส่ิง ทีค่ าดวําจะได๎รบั จากทํากจิ กรรมนน้ั การใช๎ภาพประกอบในการสอนจะเป็นประโยชน์อยํางมาก ซึ่งเด็กใช๎การมองเป็นวิธีหลักใน การรบั ข๎อมูล ถ๎าการบ๎านยากหรือกํากวม ให๎ผู๎ปกครองชํวยแจ๎งวําสิ่งที่ยากคืออะไร และครูควรแก๎ไข ให๎เขียน คําส่ัง การบ๎านหรือการเปลี่ยนแปลงในเร่ืองตํางๆ ที่เกิดขึ้นบนกระดานหรือปูาย ประกาศ และต๎องใช๎เป็นประจํา จนเด็กเกิดการเรียนรู๎วําการเขียนบนกระดานหรือขึ้นปูายประกาศ เป็นสิ่ง สําคัญทีต่ ๎องอาํ น ไมคํ วรพูดในขณะทเ่ี ขยี นกระดาน ควรเขียนให๎เรียบร๎อยกอํ นแลว๎ คอํ ยอธบิ าย ใหใ๎ ช๎สื่อทมี่ ีคําบรรยายรวํ มกบั เสียง เชนํ สื่อCAI วีดิทัศนภ์ าพยนตร์ ให๎ใช๎ลําม ถ๎าจําเป็น และลํามควรมีความรู๎ความสามารถในเร่ืองท่ีแปลเป็นอยํางดี อยําจับเด็กน่ังในท่ีๆ มีคนพลุกพลําน หรือส่ิงแวดล๎อมท่ีไมํเหมาะสม ควรหลีกเลี่ยงการใช๎ เสียงที่สั่นรัวหรือเสียงดังเกินไป จัดท่ีน่ังให๎เหมาะสมกับเด็กท่ีจะได๎ยิน มองเห็น และสามารถสื่อสารได๎ดีท่ีสุด ลดเสียงรบกวนเบื้องหลัง คนทั่วไปท่ีได๎ยินมักไมํคํอยคํานึงถึงเสียงรบกวนเทําไรนัก แตํคนท่ี ใช๎เคร่ืองชํวยฟังน้ันเสียงดังกลําวจะมีผลกระทบตํอเด็กเพราะเคร่ืองขยายเสียงในเครื่องชํวยฟังจะขยายเสียง ทง้ั หมดท่รี บั เข๎ามา ทาํ ให๎เด็กได๎รบั เสยี งรบกวนท่ดี ังไปด๎วย สร๎างระบบไว๎ในกรณีฉุกเฉิน เชํนข๎อตกลงในการซ๎อมหนีไฟ โดยคุณครูอาจจะเขียนไว๎บน กระดานวํา ซ๎อมหนีไฟ เมื่อไฟไหม๎ ให๎ออกไปประตูหลัง (ถ๎ามีเด็กท่ีใช๎ภาษามือ ให๎ครูเรียนภาษามือคําวํา “ฉุกเฉิน” “ไฟไหม”๎ “เดิน” เป็นต๎น ให๎ใช๎การเขียนในการสื่อสาร รํวมด๎วย เพื่อให๎เด็กมีความร๎ูทางด๎านการอํานและการเขียน ใหแ๎ ทนเสยี งออดเตอื นภัยด๎วยแสงไฟกระพริบ เปน็ ต๎น

24 นวัตกรรม และเทคโนโลยี ส่งิ อานวยความสะดวก สื่อ บริการและความช่วยเหลืออน่ื ใดทาง การศกึ ษา นวัตกรรม หมายถึงส่ิงใหมํที่กระทําซึ่งเกิดจากการใช๎ความรู๎ ใช๎ความคิดสร๎างสรรค์ สิ่งใหมํในที่น้ี อาจจะอยํูในรูปของผลิตภัณฑ์ แนวคิด หรือกระบวนการที่สามารถนําไปใช๎ให๎เกิดประโยชน์ในการพัฒนา เทคโนโลยี หมายถึง สิ่งที่มนุษย์พัฒนาขึ้น เพ่ือชํวยในการทํางานหรือแก๎ปัญหาตําง ๆ เชํน อุปกรณ์, เครื่องมือ, เครื่องจักร, วัสดุ หรือแม๎กระท่ังท่ีไมํได๎เป็นส่ิงของท่ีจับต๎องได๎ เชํน กระบวนการตําง ๆเทคโนโลยี เปน็ การประยกุ ต์ นาํ เอาความรูท๎ างวิทยาศาสตรม์ าใชใ๎ ห๎กอํ เกดิ ประโยชนส์ ูงสุด สอ่ื หมายถึงส่ิงท่ชี ํวยคนพกิ ารแตํละประเภทใหส๎ ามารถเขา๎ ถงึ ขอ๎ มูลขาํ วสาร สิ่งอานวยความสะดวก หมายถึงอปุ กรณ์เคร่ืองชวํ ยคนพกิ ารเคร่ืองมือเทคโนโลยีสารสนเทศและการ สื่อสารโครงสร๎างทางสถาปัตยกรรมสิ่งแวดล๎อมและบุคคลท่ีชํวยคนพิการแตํละประเภทให๎สามารถศึกษาและ พัฒนาการเรยี นร๎ูได๎โดยสะดวก บริการ หมายถึงกิจกรรมหรือกระบวนการท้ังในและนอกระบบการศึกษาที่สํงเสริมและสนับสนุน การศึกษาเพื่อคนพกิ ารแตลํ ะประเภทให๎มปี ระสทิ ธิภาพดีย่งิ ขนึ้ ความช่วยเหลืออืน่ ใด หมายถึงสิทธิประโยชน์ที่คนพิการแตํละประเภทพึงได๎รับนอกเหนือจากสื่อส่ิง อาํ นวยความสะดวกและบรกิ ารเพื่อพฒั นาการศึกษาและการเรยี นร๎ู การใช๎นวัตกรรม และเทคโนโลยี สื่อ ส่ิงอํานวยความสะดวก บริการ ความชํวยเหลืออื่นใดทาง การศึกษาสําหรบั บคุ คลท่ีมีความบกพรอํ งทางการไดย๎ นิ ดังนี้ 1. เครื่องช่วยฟัง(HearingAids) คือ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขนาดเล็กท่ีติดกับหูสามารถถอดใสํได๎ อยํางสะดวก เพื่อทาํ การขยายเสยี งให๎ดังข้ึน ซึ่งเหมาะสําหรับผู๎ท่ีมีปัญหาทางการได๎ยิน หรือได๎ยินไมํชัด จะทํา ใหร๎ ับรเ๎ู สียงไดด๎ ขี น้ึ โดยมีสํวนประกอบทีส่ ําคัญ คือ สว่ นประกอบเคร่ืองช่วยฟงั 1. ตวั ขยายเสียง หรือ Amplify 2. ไมโครโฟน หรือ Microphone 3. ลาํ โพง หรือ Receiver เครอื่ งชว่ ยฟังมี 3 ระบบ คอื 1. ระบบอนาล็อค (Analog) 2. ระบบกง่ึ ดิจิตอล 3. ระบบดจิ ติ อล (Digital)

25 รปู ลกั ษณะของเครือ่ งช่วยฟังแบง่ ได้ 3 แบบ ดังนี้ 1. แบบกลอ่ ง เป็นเครอ่ื งชวํ ยฟงั ระบบเกาํ หรือ ระบบอนาลอ็ ค ขนาดเทาํ กลํองไม๎ขีด และมักมสี ายตํอจากเครอ่ื งสหูํ ูของผู๎ฟงั สามารถเหนบ็ กระเป๋าเสอ้ื มีตวั ปรบั ความดัง (Volume) ผใ๎ู ชส๎ ามารถปรบั เพม่ิ และลด ความดังของเสียงไดต๎ ามตอ๎ งการ ใช๎ถาํ นอัลคาไลนช์ นดิ AA 2. แบบแขวนหลังหู ตวั เครื่องโค๎งคล๎ายกลว๎ ยหอม คลอ๎ งหรือเกี่ยวอยูดํ ๎านหลังใบหู มที งั้ ระบบอนาล็อค และระบบดจิ ติ อล โดยตอ๎ งใชค๎ ํูกับแบบพิมพห์ ู (Ear Mould) ท่ี ทําขน้ึ เฉพาะของใครของมัน จะชวํ ยลดปัญหาเรื่องเสียงว้ดี ไดด๎ ี และใช๎กับถาํ น สําหรับเครือ่ งชวํ ยฟงั เบอร์ 675 หรอื เบอร์ 13 3. แบบใสใ่ นชอ่ งหู เป็นเครอื่ งชวํ ยฟังชนิดทตี่ ๎องส่งั ทาํ โดยการหลํอแบบพิมพห์ ู เพื่อให๎ได๎ ขนาดของเครื่องเทํากับชํองหูของผใู๎ ช๎งาน ซง่ึ ประสิทธิภาพและราคาจะแตกตํางกนั ไป นักวิจยั บอกวาํ ในอดตี เครื่องชํวยฟังมกั เปน็ แบบอนาลอ็ ค แตปํ จั จุบนั ความก๎าวหน๎าของเทคโนโลยีไม โครชิป ทําให๎เครื่องชํวยฟังดิจิทัลมีขนาดเล็กและสามารถทัดหลังหูหรือ ใสํในรูหู เป็นที่นิยมมากข้ึนโดย หลกั การทาํ งานเครื่องชํวยฟงั ดจิ ทิ ัล จะเปลี่ยนสัญญาณเสียงที่ได๎รับผํานไมโครโฟน จากสัญญาณอนาล็อคตาม ธรรมชาติเป็นสัญญาณดิจิทัล (A/D) เพ่ือประมวลผล โดยใช๎อัลกอริท่ึมชั้นสูง (DigitalSignal Processing: DSP) รองรบั การคาํ นวนทางคณิตศาสตรช์ ัน้ สงู สามารถสร๎างวงจรขยายและกรองสัญญาณท่ีมีความซับซ๎อนสูง ไดก๎ ํอนทีจ่ ะถูกเปลี่ยนกลบั เปน็ สัญญาณเสยี งผาํ นReceiver อกี ครั้ง การใช้เครือ่ งช่วยฟงั 1. เปิดที่ใสถํ าํ น ใสํถํานให๎ชว้ั บวก (+) ของถาํ นตรงกับขวั้ บวกของท่ใี สถํ ําน แล๎วปิดชํองใสํถาํ นให๎สนิท 2. ใสพํ มิ พห์ โู ดยจับบริเวณฐานของพิมพห์ ขู ยับหรือดนั แบบพมิ พห์ ใู ห๎เขา๎ ไปพอดีกบั ชอํ งหูหลังจากนน้ั

26 ให๎คล๎องเครื่องไว๎ทีใ่ บหู (เครอ่ื งทัดหลังหู) ถ๎าเปน็ เคร่อื งแบบกลอํ งให๎เหน็บตวั เครือ่ งติดกระเปา๋ เสอ้ื 3. เปิดเครือ่ งโดยปรบั สวทิ ชไ์ ปท่ี “M” หรอื “+” แลว๎ หมนุ ปรับ ขณะปรับใหน๎ ับ 1-10 ใช๎เสยี งปกติ ปรบั จนได๎ยนิ เสียงตัวเองดังพอดี 4. เม่ือเลิกใช๎ปิดสวิทช์ไปท่ี “O” และถอดเครื่องออกโดยใช๎นิ้วหัวแมํมือและนิ้วชี้จับบริเวณใบหูของ แบบพิมพห์ แู ละดึงแบบพมิ พห์ ูออก 5. ถอดถาํ นออก เพอ่ื ปอู งกนั ถํานชื้นหรอื เปน็ สนิม 6. ใชผ๎ ๎าเชด็ ทําความสะอาดเคร่อื ง เพื่อลดปญั หาเรื่องความชนื้ 7. เกบ็ เครือ่ งใสํกลํอง จดั สายฟงั ไมํใหพ๎ ันกนั (แบบกลอํ ง) การเริม่ ใสํเคร่อื งชวํ ยฟัง การดแู ลรักษาเครอื่ งชว่ ยฟงั 1. ปดิ เครื่องทกุ ครงั้ หลงั เลิกใช๎งาน และควรเอาถาํ นออกจากตวั เครือ่ ง 2. ระวงั อยําใหเ๎ คร่ืองตก ควรเปล่ยี นถํานหรอื ทําความสะอาดเครื่องบนโต๏ะ 3. ระวงั อยําใหเ๎ ครือ่ งโดนนาํ้ น้าํ มนั ใสผํ ม เจล สเปรย์ฉดี ผม 4. ทําความสะอาดเคร่ืองโดยใช๎ผ๎าแห๎งเช็ด ห๎ามใช๎แอลกอฮอล์น้ํา หรือนํ้ามันทําความสะอาดเคร่ือง 5. ควรใช๎ถํานสําหรับเครื่องชํวยฟังโดยเฉพาะห๎ามนําถํานนาฬิกามาใช๎กับเครื่องเพราะเป็นสาเหตุทํา ให๎เครื่องเสียงําย 6. เก็บเคร่ืองชวํ ยฟังใหพ๎ น๎ มอื เด็กหรือสัตว์เลี้ยงและอยาํ วางเคร่ืองไวใ๎ นที่อับชื้นรอ๎ นหรอื เย็นเกนิ ไป เชนํ ในรถยนต์ทีจ่ อดตากแดด , ขา๎ งเตาไฟ , หลงั ตเู๎ ยน็ หรือบนเครื่องปรับอากาศ เปน็ ต๎น 7. เพอื่ เป็นการยดื อายุการใช๎งานของเครื่องชํวยฟงั ควรมีการเก็บใสํกลํองดดู ความช้นื สัปดาหล์ ะ 1 – 2 คร้งั (ถอดถาํ นออกกํอน) 8. ไมํควรซํอมเครื่องชํวยฟังเอง เม่ือเคร่ืองมีปัญหาควรนํากลับมาปรึกษาผ๎ูเช่ียวชาญที่โรงพยาบาล หรือบริษทั ทร่ี ับผิดชอบ 2. ประสาทหเู ทยี ม ประสาทหูเทียม (Cochlear implant) เทคโนโลยีใหมํลําสุด ที่ชํวยให๎ผ๎ูปุวยท่ีสูญเสียการได๎ยินอยํางรุนแรงหรือหูหนวกสามารถได๎ยินได๎ นั่นก็คือ การผําตัดฝังประสาทหูเทียม หลายทํานคงจะสงสัยวํา ประสาทหูเทียมคืออะไร กํอนอ่ืน ตอ๎ งกลําวถึงการทํางานของระบบการได๎ยินของคนเรากํอน เร่ิมจากหูช้ันนอกและใบหูท่ีรับเสียงท้ังหมดเข๎าไป ยังแก๎วหู ทําให๎แก๎วหู กระดูกหูชั้นกลาง และน้ําในหูชั้นในที่เรียกวําโคเคลีย (cochlea) เกิดการส่ันสะเทือน ตามลําดับ โดยภายในโคเคลียจะมีเซลล์ประสาทเล็กๆ ทําหน๎าที่รับเสียงที่มาในรูปแบบการส่ันสะเทือน จากนั้นก็จะแปลงเป็นสัญญาณไฟฟูาและสํงตํอไปตามเส๎นประสาทการได๎ยินสํูสมอง เพ่ือแปลความหมายของ เสียงนั้นๆ สดุ ทา๎ ยเราก็จะไดย๎ นิ และร๎ูวําเสยี งน้ันหมายความวําอะไร หรอื เป็นเสียงอะไรนนั่ เอง สํวนสําหรับผู๎ปุวยที่สูญเสียการได๎ยินอยํางรุนแรงหรือหูหนวก มีสาเหตุความผิดปกติจากสํวนโคเคลีย ท่ีไมํสามารถแปลงสัญญาณเสียงใหเ๎ ป็นสญั ญาณไฟฟาู ได๎ จงึ ทาํ ให๎สมองไมํได๎รับการกระต๎ุนจากเสียงจึงไมํได๎ยิน และปจั จุบันมีวิวัฒนาการใหมํโดยการผําตัดใสํประสาทหูเทียมท่ีทําหน๎าท่ีแทนเซลล์ประสาทในโคเคลียในการ แปลงสัญญาณเสียงเป็นสัญญาณไฟฟูาและสํงตํอไปยังสมอง ดังน้ันผ๎ูปุวยท่ีใช๎เคร่ืองชํวยฟังไมํได๎ผลหรือได๎ผล

27 น๎อย ไมํวําจะเป็นเด็กเล็กที่หูหนวกแตํกําเนิดหรือผู๎ที่เพิ่งมาสูญเสียการได๎ยินในภายหลัง เมื่อได๎รับการผําตัด และการฟน้ื ฟูท่ีถูกตอ๎ งภายหลงั การผําตดั จะมีโอกาสไดย๎ ินและมีพฒั นาการทีป่ กติได๎ ประสาทหเู ทยี ม (Cochlear implant) คอื อะไร ประสาทหูเทียมเป็นอุปกรณ์ทางอิเลคโทรนิคที่ทําหน๎าที่แทนเซลล์ประสาทในโคเคลีย (cochlea) ของหชู ั้นใน ในการแปลงพลงั งานเสยี งใหเ๎ ปน็ สญั ญาณไฟฟาู เพือ่ กระต๎นุ เส๎นประสาทการได๎ยินและสมองให๎รับร๎ู อุปกรณ์น้ีมีสํวนประกอบ 2 สํวน ได๎แกํ อุปกรณ์ภายนอกเป็นอุปกรณ์ประมวลสัญญาณเสียงเรียกวํา Sound processor และอุปกรณ์ภายในท่ีต๎องผําตัดฝังไว๎ในกะโหลกศีรษะ เรียกวํา Implant อุปกรณ์ภายนอก (Sound processor) ทําหน๎าท่ี รับสญั ญาณเสียงจากสง่ิ แวดลอ๎ มด๎วยไมโครโฟนและแปลงสัญญาณเสียงเปน็ ระบบดิจติ อล สํงสัญญาณเสียงท่ีถูกแปลงเป็นระบบดิจิตอลผํานไปยังอุปกรณ์นําเสียง (Transmitting antenna) และอุปกรณ์ติดศีรษะ (Headpiece) เพ่ือสํงเข๎าสํูอุปกรณ์ภายในอุปกรณ์ภายใน (Implant) ทํา หน๎าที่ รบั สัญญาณระบบดิจติ อลท่สี งํ มาจากอุปกรณ์ภายนอกและแปลงกลับเป็นสัญญาณไฟฟูา สํงสัญญาณไฟฟูาผํานทางสายอิเลคโทรด (Electrode array) ไปยังปุมอิเลคโทรด (Electrodes) ที่ผําตัดสอดฝังไว๎ตามความยาวของโคเคลีย (cochlea) ของหูช้ันใน สัญญาณไฟฟูาจะกระตุ๎น ปลายประสาทการได๎ยนิ และสํงสัญญาณตํอไปยังสมองเพ่ือแปลความหมายของเสียงท่ีได๎ยิน อุปกรณ์ภายนอก และอุปกรณ์ภายในยึดแนบติดกันด๎วยแมํเหล็กผํานหนังศีรษะบริเวณหลังใบหู โดยแมํเหล็กชิ้นนอกอยํูท่ี อุปกรณต์ ิดศีรษะ (Headpiece) และแมํเหลก็ ชิน้ ในอยํทู ่ี Implant ของอปุ กรณ์ภายในกะโหลกศรี ษะ ผู้ทีเ่ หมาะสมในการผา่ ตดั ฝงั ประสาทหเู ทยี ม 1. เดก็ เลก็ ทีส่ ูญเสยี การได๎ยนิ อยํางรนุ แรงแตํกาํ เนดิ โดยเฉพาะถา๎ ได๎รบั การผาํ ตดั กํอนอายุ 2 ขวบ จะได๎ผลดมี าก สามารถมพี ฒั นาการเทําเด็กปกตไิ ด๎ 2. ผ๎ูใหญํท่ีสูญเสียการได๎ยนิ อยํางรุนแรงทเี่ กดิ ขน้ึ ในภายหลงั และใช๎เคร่อื งชํวยฟงั ไมํได๎ผลหรือ ไดผ๎ ลนอ๎ ยมาก พบวาํ ประสาทหเู ทยี มจะชํวยในการสื่อสาร ชวํ ยทางดา๎ นอารมณ์ และสงั คมของผ๎ูปวุ ย 3. เด็กท่อี ายมุ ากกวํา 2 ขวบ ที่ประสาทหูพกิ ารมากกวํา 90 เดซิเบล ท่ไี ดพ๎ อรับประโยชน์

28 จากการใช๎เคร่ืองชํวยฟังบ๎าง ก็มีความเหมาะสมที่จะพิจารณาผําตัดเพราะจะชํวยให๎เด็กสามารถรับฟังดีขึ้น แตํตอ๎ งใชผ๎ ลการตรวจการไดย๎ นิ อน่ื ๆ มาประกอบการพจิ ารณาความเหมาะสมในการผาํ ตัด 4. ผ๎ทู ่จี ะเขา๎ รับการผาํ ตดั ต๎องผํานการตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CTscan) ของหูชัน้ ใน ตรวจเลอื ดและตรวจราํ งกายอื่นๆ เพอื่ พจิ ารณาความเหมาะสมในการผําตัด 5. การตรวจทางด๎านจิตวิทยา (Psychosocial) เป็นการประเมินโดยจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยาเพื่อดู ระดบั สติปัญญา ความปกตทิ างดา๎ นอารมณ์และสังคม ซึ่งเป็นปัจจัยสําคัญอันหนึ่งในการพิจารณาวําผ๎ูปุวยควร ได๎รับการผาํ ตดั หรอื ไมํ อยํางไรก็ตามแพทยจ์ ะทําการพิจารณาเป็นรายๆ ไปเน่ืองจากพบวําผ๎ูที่มีความบกพรํอง บางรายเมอ่ื ไดร๎ ับการผาํ ตดั ฝงั ประสาทหเู ทียมแล๎วอาจสามารถชํวยใหผ๎ ๎ปู ุวยมอี ารมณท์ ่ีดขี นึ้ ปจั จยั ทีเ่ กี่ยวข้องกบั พัฒนาการทางภาษาและการพูดหลังผา่ ตัดฝังประสาทหเู ทียม ลักษณะทางกายภาพ ศักยภาพทางการได๎ยิน และทัศนคติของผู๎ที่รับการผําตัดฝังประสาทหูเทียม รวมถึงครอบครัวของแตํละคนมีความหลากหลายแตกตํางกันไป ภายหลังผําตัดพัฒนาการทางการได๎ยินและ ความสามารถทางภาษาและการพดู ขน้ึ อยํูปัจจยั ตํางๆพอสรุปไดด๎ ังตํอไปน้ี - อายุทเ่ี รม่ิ มกี ารสูญเสียการได๎ยนิ - การไดย๎ ินท่เี หลอื อยํู (Residual hearing) - การสูญเสียการได๎ยนิ เกดิ ขนึ้ กํอนหรือหลงั มีพัฒนาการทางภาษาและการพดู - ระยะเวลาท่มี กี ารสูญเสยี การได๎ยนิ - อายทุ ีท่ าํ การผาํ ตดั ฝังประสาทหูเทียม - ภาษาท่ใี ช๎กํอนการผาํ ตัด เชนํ ใช๎การพดู ใชภ๎ าษามอื เปน็ ตน๎ - ความสมบูรณ์ของโครงสร๎างหชู ั้นใน และระบบประสาทการได๎ยิน - ความผดิ ปกตซิ ้ําซ๎อนอ่นื ๆ ท่นี อกเหนือจากการสญู เสียการไดย๎ ิน - ทัศนคตแิ ละความพรอ๎ มของครอบครวั - เทคโนโลยีของประสาทหูเทยี ม ปัจจัยตํางๆดังท่ีกลําวมาข๎างต๎น จะเป็นข๎อมูลท่ีชํวยเป็นแนวทางในการคาดหวังผลของการผําตัดให๎ ใกล๎เคียงกับความเป็นจริง และชํวยเป็นแนวทางในการวางแผนฟื้นฟูสมรรถภาพการได๎ยินให๎เหมาะสมกับผู๎ท่ี ผําตัดฝงั ประสาทหเู ทียมใหเ๎ หมาะสมกบั แตํละบุคคลตํอไป การฝึกฟังภายหลังผําตัดฝังประสาทหูเทียมเป็นสิ่งที่มีความสําคัญที่สุดสําหรับพัฒนาการทางภาษา และการพูด โดยเฉพาะในเด็กซึ่งต๎องอาศัยการฝึกฝนอยํางตํอเน่ืองเพ่ือชํวยให๎การรับร๎ูและการเข๎าใจ ความหมายของเสียงท่ีได๎ยินดีขึ้น เปรียบได๎กับนักกีฬาสามารถฝึกฝนเพื่อให๎กล๎ามเนื้อมีความแข็งแรงฉันใดผู๎ที่ ได๎รับการผําตดั ประสาทหูเทียมยํอมสามารถทีจ่ ะฝกึ ฝนสมองใหม๎ ีความสามารถในการรับฟังเสียงได๎ฉันนนั้ นอกจากปัจจัยดังที่กลําวมาข๎างต๎นและการฝึกฝนแล๎ว เทคโนโลยีท่ีก๎าวหน๎าของประสาทหูเทียมก็มี สํวนชํวยเพ่ิมศักยภาพของการได๎ยิน หลักการทํางานของประสาทหูเทียมสัญญาณเสียงจะสํงตรงไปกระตุ๎นท่ี เส๎นประสาทการได๎ยินโดยตรง ไมํผํานสํวนของเซลล์ขนในหูช้ันในที่มีความบกพรํองหรือเสียหาย ทําให๎ผ๎ูที่ สูญเสียการได๎ยินสามารถรับฟังเสียงได๎เต็มศักยภาพ ดีกวําการใสํเครื่องชํวยฟังท่ีเพียงแตํขยายเสียงให๎ดัง

29 ยิ่งเซลล์ขนในหูชั้นในบกพรํองหรือเสียหายมากความชัดเจนในการฟังเสียงและความสามารถในการฟังเข๎าใจ ความหมายของเสยี งก็ย่งิ ลดลง ประโยชน์ทไ่ี ด้รับจากการผ่าตดั ฝงั ประสาทหเู ทียม เช่น - รบั ร๎ูเสยี งตํางๆของสง่ิ แวดล๎อมในชีวิตประจําวนั เชํน เสียงออดประตู เสียงนกรอ๎ ง และเสียงคนดูแล - ตะหนักรเ๎ู สียงตํางๆ ในสิง่ แวดลอ๎ ม และเปน็ อสิ ระไมตํ ๎องพึง่ พาผอ๎ู น่ื - สามารถรบั ฟงั เสียงโทรศพั ท์ - จดจาํ เสียง และสอ่ื สารดว๎ ยเสียงพูด - สามารถในการฟงั และมีความประทับใจในการฟังดนตรี - สามารถรบั รเู๎ สียงที่มีความซับซ๎อน ขน้ั ตอนในการผา่ ตัดฝังประสาทหูเทยี ม ข้ันท่ี 1 ปรกึ ษาหาข้อมูล ผทู๎ ่เี หมาะสมจะไดร๎ ับการผาํ ตดั ฝังประสาทหูเทียมต๎องได๎รับคําปรึกษาหาข๎อมูลเบ้ืองต๎น และทําความ เข๎าใจกํอนการผําตัดเดก็ ทจี่ ะทําการผาํ ตดั ประสาทหเู ทยี ม 1. อายุ 12 เดือนข้ึนไปสูญเสียการได๎ยินระดับหูหนวก คําเฉล่ียการสูญเสียการได๎ยินมากกวําหรือ เทํากบั 90 เดซิเบล (การวนิ จิ ฉัยสน้ิ สดุ แล๎ว) 2. การใสํเคร่ืองชํวยฟังเด็กต๎องได๎รับการใสํเครื่องชํวยฟังท่ีมีกําลังขยายสูงอยํางเหมาะสมและได๎รับ การฟนื้ ฟูสมรรถภาพการได๎ยินมาอยาํ งน๎อย 3 เดอื น 3. ไมํมพี ัฒนาการทางภาษาและการพูด 4. สขุ ภาพแขง็ แรง ไมมํ กี ารเจ็บปุวยอยาํ งอื่นทจี่ ะสํงผลตํอการผําตดั 5. ครอบครัวมีความพร๎อมในการดูแลเดก็ หลังการผําตัด ผใ๎ู หญํที่จะทําการผําตัดประสาทหเู ทียม 1. อายุ 18 ปขี นึ้ ไป - มพี ฒั นาการดา๎ นภาษามากอํ นเรมิ่ มกี ารสญู เสยี การไดย๎ ิน - การสูญเสียการได๎ยินระดับรุนแรงถึงหูหนวกท้ัง 2 ข๎าง (คําเฉลี่ยการสูญเสียการได๎ยิน เทํากับหรอื มากกวํา 70 เดซิเบล) 2. ไมํได๎รับประโยชน์หรือได๎ประโยชน์น๎อยจากการใสํเครื่องชํวยฟังได๎รับการใสํเคร่ืองชํวยฟังที่มี กาํ ลังขยายอยาํ งเหมาะสม โดยความสามารถในการฟงั เข๎าใจนอ๎ ยกวํา 50 เปอร์เซน็ ตใ์ นหขู า๎ งดี ขั้นท่ี 2 การผา่ ตัดและหลังผา่ ตดั หลังการผําตัดเพื่อฝังประสาทหูเทียม อาจอยูํโรงพยาบาลประมาณ 2-3 วัน หรือถ๎าเร็วสุดอาจกลับ บ๎านไดใ๎ นวนั รํุงขึ้น ขน้ั 3 การเปดิ อปุ กรณ์ประมวลสัญญาณเสียง หลังผําตัด 3-6 สัปดาห์ เมื่อแผลจากการผําตัดหายดีแล๎วจะต๎องกลับมาพบนักแก๎ไขการได๎ยินเพ่ือ เปิดและปรับอุปกรณ์ประมวลสัญญาณเสียง ผ๎ูที่ทําผําตัดจะได๎ยินเสียงเป็นคร้ังแรกผํานทางประสาทหูเทียม สําหรับผู๎ใหญํต๎องบอกนักแก๎ไขการยินขณะปรับอุปกรณ์ประมวลสัญญาณเสียงวําเสียงที่ได๎ยินนั้นดังในระดับ

30 ดงั พอดี เบาหรือดังเกนิ ไป สวํ นในเดก็ อาจจะใช๎การเลนํ เกมส์เพื่อให๎เด็กบอกวําเมื่อไรได๎ยินดังพอดี ในชํวง 1 ปีแรกหลังผําตัด นักแก๎ไขการได๎ยินจะนัดปรับอุปกรณ์ประมวลสัญญาณเสียงเป็นระยะๆ เพื่อติดตามผล รวมถึงการทดสอบทางการได๎ยินการประเมินทางภาษาและการพูด ซ่ึงผลการทดสอบจะชํวยบอกถึง ความกา๎ วหน๎าของผ๎ปู วุ ยและเปน็ ข๎อมูลทีช่ วํ ยในการปรับอุปกรณ์รับเสยี งหชู ัน้ ในภายหลังการผําตัด 1 ปีการนัด การประเมนิ การได๎ยิน การประเมนิ ทางภาษาและการพดู รวมถึงการปรับอุปกรณ์ประมวลสัญญาณเสียงขึ้นอยํู กบั ผู๎ปวุ ยแตํละคน ในเด็กอาจจะทําการนัดตดิ ตามทกุ 3 เดอื น สวํ นในผ๎ใู หญทํ ุก 6 เดือนหรือ 1 ปี ขน้ั ที่ 4 เรียนรกู้ ารฟงั เสยี งผ่านประสาทหเู ทียม การฟ้นื ฟูสมรรถภาพการไดย๎ นิ มีความแตกตาํ งกนั ไปในแตลํ ะบุคคล อยาํ งไรตามการฟื้นฟูสมรรถภาพ ทางการพดู และการไดย๎ ินภายหลังการผาํ ตดั ฝงั ประสาทหูเทยี มถอื เปน็ กญุ แจสําคญั ทจ่ี ะบอกถงึ ความสําเร็จของ การผําตัดฝังประสาทหูเทียม พึงระลึกไว๎เสมอวําการผําตัดฝังประสาทหูเทียมไมํใชํการรักษาให๎หายจากการ สูญเสียการได๎ยิน ผ๎ูท่ีได๎รับการฝังประสาทหูเทียมจําเป็นต๎องฝึกฝนการฟังเสียงเพื่อให๎สามารถใช๎การได๎ยินได๎ อยํางเต็มศักยภาพ ในเด็กการฟื้นฟูสมรรถภาพทางการได๎ยินและการพูดผู๎ปกครองมีความสําคัญมากในการ ชวํ ยเหลือเด็กให๎มีพัฒนาการทางภาษาการพูด โดยนักแก๎ไขการได๎ยินหรือนักแก๎ไขการพูดจะชํวยวางแผนการ ฝกึ ให๎เหมาะสมกับผ๎ูทาํ ผําตัดฝงั ประสาทหูเทยี มแตํละบุคคล ปัจจัยทม่ี ีผลตอ่ ประสทิ ธภิ าพในการใช้ประสาทหูเทียม 1. การรับรู๎เสียงของตัวผ๎ูปุวยวําสามารถแยกแยะสียงพูด หรือเสียงตํางๆ ในส่ิงแวดล๎อมมากํอนได๎ หรือไมํ ซ่งึ ปจั จยั น้ีเป็นสิง่ สําคญั อันหนึ่งทที่ ําใหผ๎ ู๎ใชป๎ ระสาทหูเทยี มได๎รบั ประโยชน์แตกตํางกันในแตํละคน 2. สาเหตุของการสญู เสยี การได๎ยนิ ผท๎ู ี่สูญเสียการได๎ยินจากโรคบางชนิดอาจเป็นข๎อจํากัดในการผําตัด ไดแ๎ กํ ผ๎ทู ่ีสูญเสียการได๎ยนิ จากโรคเยื่อห๎ุมสมองอักเสบ (Meningitis) หรือเป็นการสูญเสียที่ประสาทสํวนกลาง และสมอง (Central Hearing Loss) 3. อายุที่เร่ิมมีการสูญเสียการได๎ยิน ถ๎าเป็นผู๎ปุวยที่เคยมีภาษามากํอนและมาสูญเสียการได๎ยิน ภายหลัง จะไดร๎ บั ประโยชน์จากประสาทหูเทยี มมากกวําผูท๎ ีไ่ มเํ คยมีภาษามาเลย 4. อายทุ ่ีไดร๎ บั การผาํ ตัดฝงั ประสาทหูเทยี ม ผูท๎ ีไ่ ดร๎ บั การผําตดั เมอื่ อายุน๎อยๆ จะได๎รับประโยชน์จาก ประสาทหูเทียมมากกวําเม่ือผําตัดเม่ืออายุมาก โดยเฉพาะในเด็กถ๎าทําการผําตัดกํอนอายุ 2 ขวบจะได๎รับ ประโยชนส์ งู สดุ 5. ระยะเวลาท่ีสูญเสยี การไดย๎ นิ การท่ไี ดร๎ บั การผําตดั หลงั มีการสญู เสียการไดย๎ ินโดยเร็วจะทําให๎ผู๎ปุวย สามารถฟื้นฟูการไดย๎ ินและการฟงั ไดด๎ ีกวาํ มากเน่ืองจากประสาทการได๎ยินและสมองสํวนท่ีแปลเสียงยังคงการ รับรูไ๎ ว๎อยํู 6. ระดับการสญู เสียการไดย๎ นิ ไมเํ ปน็ ปัจจัยที่สําคัญมากนัก เนื่องจากผ๎ูท่ีมีระดับการสูญเสียการได๎ยิน ในระดบั รนุ แรงหรอื หหู นวก จะได๎รับประโยชน์จากการผําตัดฝงั ประสาทหูเทียม 7. ชนิดของประสาทหเู ทียมประสาทหูเทียมแตํละย่ีห๎อแตํละรํุนมีเทคโนโลยีท่ีตํางกัน ท้ังเรื่องจํานวน ชํองของสญั ญาณรับเสียง วิธกี ารประมวลสัญญาณเสียง วิธีการสํงสัญญาณที่ประมวลแล๎วไปที่ประสาทหูเทียม ทีฝ่ ังอยูํภายในและการสงํ สญั ญาณไปกระต๎ุนประสาทการไดย๎ ินทางเลือกในการผําตัดฝังประสาทหูเทียมควรใช๎

31 ในรายทใ่ี ชเ๎ ครอื่ งชวํ ยฟงั แลว๎ ไมํได๎ผล หรือไดผ๎ ลนอ๎ ย แพทย์เฉพาะทางหู คอ จมูก รํวมกับนักแก๎ไขการได๎ยินจะ รวํ มการประเมินความเหมาะสมใหผ๎ ปู๎ วุ ยแตลํ ะราย ทํานลองพิจารณาข๎อดังตํอไปนี้วําเด็กของทําน ควรจะมาปรึกษาแพทย์หรือทีมผู๎เช่ียวชาญประสาท ดา๎ นหเู ทียมแล๎วหรือยัง 1. เด็กมกี ารสูญเสยี การไดย๎ ินระดบั รนุ แรงหรือไมํ 2. เดก็ มกี ารตอบสนองวําได๎ยินสียงในชีวิตประจาํ วัน เชํนเสียงสนุ ขั เหํา เสียงกระด่งิ หน๎าบา๎ นหรอื ไมํ 3. เด็กมพี ฒั นาการทางภาษาลําช๎ากวําวัยหรือไมํ 4. เดก็ ไดย๎ ินเมอ่ื เรยี กชอ่ื ตวั เองหรือไมํ 5. ทํานให๎ความสาํ คญั กับเดก็ เขา๎ เรยี นในโรงเรียนเดก็ ปกตหิ รอื เรยี นรํวมกับเด็กปกติหรอื ไมํ 6. ทํานให๎ความสําคัญในการชํวยให๎เด็กได๎ยินเสียงพูดในสิ่งแวดล๎อมท่ีมีเสียงรบกวนได๎ดีข้ึนหรือไมํถ๎า ทํานมีคําตอบวําใชํ ข๎อใดข๎อหนึ่ง ขอแนะนําให๎พบแพทย์และผู๎เชี่ยวชาญเพื่อประเมินหรือปรึกษาเร่ืองการ ผําตัดฝงั ประสาทหูเทยี ม ลา่ มภาษามือ ในปัจจุบัน ลํามภาษามือมีความรู๎ในการใช๎ภาษามือ มีความเป็นวิชาชีพ มีมาตรฐานและกฎหมาย รองรับมากข้ึน ทําให๎บุคคลท่ีมีความบกพรํองทางการได๎ยิน สามารถรับร๎ูข๎อมูลขําวสารได๎อยํางถูกต๎อง และ สามารถขอใช๎บริการลํามภาษามือ ในกิจกรรมตํางๆ ได๎ เชํน การอบรม สัมมนา ศาล โรงพยาบาล สถานี ตาํ รวจ (ดูรายละเอียดได๎ท่ีwww.m-society.go.th) 1. หนงั สอื ภาษามือและส่ือเทคโนโลยสี ารสนเทศ

32 2. เครอ่ื งส่อื สารระบบ TTRS 3. โทรศัพท์สําหรบั บุคคลท่ีมีความบกพรอํ งทางการไดย๎ ิน 4. รายการโทรทัศน์สาํ หรับคนหูหนวก

33 5. การจดข้นึ ทะเบยี นเปน็ บุคคลทีม่ ีความบกพรอํ งทางการได๎ยนิ ตวั อยํางสมดุ /บัตรประจําตัวคนพกิ าร 6. โทรศพั ท์เคลื่อนที่ ,เเทบเลต, ไอโฟน ฯลฯ สทิ ธปิ ระโยชนข์ องบตั รประจาตัวคนพกิ าร 1. เบย้ี ความพิการ 500 บาทตอํ เดือน 2. ฟรีใชบ๎ รกิ ารรถไฟฟาู บที ี เอส (BTS) ทุกสถานี [โทร.02-6177340] 3. ฟรีใชบ๎ รกิ ารรถไฟฟูาใตด๎ ิน (MRT) ทุกสถานี [โทร.02-6245200] 4. ฟรใี ชบ๎ ริการรถเมล์ BRT [โทร.02-6438855] 5. ฟรเี ครอ่ื งชํวยฟัง (ใชส๎ ิทธบ์ ัตรทอง สทิ ธยิ์ ํอยคนพิการขอรับท่ีโรงพยาบาลของรัฐ)

34 6. ลดราคาตั๋วรถทวั รบ์ ขส. และบริษัทรถทวั รบ์ างแหงํ 7. ลด 50 % ราคาตั๋วการบนิ ไทยภายในประเทศ (โทร.02-3561111) 8. บตั รทองสทิ ธคิ นพกิ ารรักษาฟรีทกุ โรงพยาบาลของรัฐ (โทร.1330) 9. ก๎ยู ืมเงินประกอบอาชีพไมํเกนิ 40,000 บาท ข้นึ อยํูกบั ดุลยพินิจของคณะกรรมการและความ เปน็ ไปได๎ในการประกอบอาชีพผอํ น 5 ปี ไมํมดี อกเบ้ีย 10. ฟรใี ช๎บริการรถไฟฟูา แอร์พอร์ต เรล ลิงค์ ธรรมดา CITY LINE (โทร.02-3085600 ตอํ 2906, 2907) 11. ลดคร่ึงราคาราคาคําโดยสารรถประจาํ ทาง (รถเมล์) 12. ฟรีใชบ๎ รกิ ารเรือดวํ นเจ๎าพระยา (ธงธรรมดา ธงดวํ นพเิ ศษส๎ม ธงดวํ นพิเศษเหลือง), เรือโดยสาร คลองแสนแสบ, เรอื ขา๎ มฟาก หลกั สูตรสาหรบั บคุ คลทม่ี ีความบกพร่องทางการไดย้ นิ ในปจั จบุ นั ใช้หลักสตู ร ดังน้ี 1. ใช้หลักสตู รเดียวกับเด็กปกติ คือ หลกั สูตรการศกึ ษาระดบั ปฐมวยั ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. 2546 หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พนื้ ฐาน พ.ศ. 2551 โดยมกี ารปรับปรุง เปล่ยี นแปลง ให๎สอดคล๎องกับความต๎องการและความสามารถของบุคคลที่มีความ บกพรอํ งทางการได๎ยิน 2. หลกั สูตรกิจกรรมบาบัดทางการศกึ ษา เป็นหลักสูตรเพ่ือบําบัดฟ้ืนฟู เตรียมความพร๎อมทางด๎านรํางกาย การเข๎าถึงด๎านการเรียนรู๎ เชํน การฝึกฟงั และพดู การใช๎ภาษามอื การอํานริมฝีปากเปน็ ตน๎ 3. หลักสตู รอาชพี เพ่อื การมงี านทา เพื่อเป็นการเตรียมความพร๎อมด๎านการประกอบอาชีพให๎กับบุคคลท่ีมีความบกพรํองทางการได๎ยิน ภายหลงั จบการศกึ ษาแลว๎ การประเมินผล เป็นกระบวนการวัดผลความก๎าวหน๎าทางด๎านการเรียนการสอนตามหลักสูตร โดยปรับให๎เหมาะกับ ความสามารถทางการเรยี นร๎ขู องบุคคลท่ีมีความบกพรํองทางการได๎ยิน การวัดผลตามหลักสูตรกิจกรรมบําบัด ทางการศึกษา เชํน การฝึกพูด การใช๎ภาษามือ เพ่ือเป็นการประเมินผลตามหลักสูตรกิจกรรมงานวิชาชีพ รวมท้ังการวัดผลจากแผนจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล (IEP) เพื่อประโยชน์ในการตรวจสอบพฤติกรรมตํางๆ ในทกุ ด๎านของเดก็ และชวํ ยเหลือพฒั นาเด็กตอํ ไปได๎ถกู ต๎อง

35 กรณศี กึ ษา 1. เผยผลสาเรจ็ งานวิจัยเพ่ือคนหหู นวก ให้สามารถประกอบวิชาชีพชา่ งอตุ สาหกรรมได้ นางนาตยา แก๎วใส นักศึกษาปริญญาเอก สาขาวิจัยและพัฒนาการสอนเทคนิคศึกษา ภาควิชาครุ ศาสตรอ์ ุตสาหกรรม บัณฑติ วทิ ยาลยั มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล๎าพระนครเหนือ เปิดเผยถึงงานวิจัย “รูปแบบการพฒั นาคนหหู นวกเพอื่ การประกอบอาชีพชาํ งอตุ สาหกรรม” วาํ งานวิจัยดังกลําวเป็นวิทยานิพนธ์ระดับดุษฎีบัณฑิต (Dissertation) ท่ีได๎จัดทําข้ึน โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อเปิดโอกาสให๎คนหูหนวกสามารถประกอบอาชีพชํางเช่ือมได๎ ด๎วยการเรียนร๎ูอยํางเป็นระบบผํานสื่อและ รูปแบบการเรียนการสอนแบบใหมํที่จะทําให๎คนหูหนวกสามารถเรียนรู๎งานชํางเชื่อมตามมาตรฐานสากลและ สามารถฝึกฝนทักษะเพิ่มเติม เพ่ือสร๎างความชํานาญทางอาชีพ จนสามารถประกอบอาชีพชํางเช่ือมในงาน อตุ สาหกรรมท่ีต๎องการได๎อยํางมีประสิทธิภาพ โดยงานวิจัยนี้เกิดขึ้นจากปัญหาความต๎องการตลาดแรงงานใน ประเทศไทยซ่ึงพบวํามีแนวโน๎มความต๎องการแรงงานชํางสูงมาก โดยเฉพาะชํางเชื่อมและพบวําคนหูหนวกมี ความต๎องการและพร๎อมรับการพัฒนาศักยภาพตนเองให๎สามารถประกอบอาชีพนี้ได๎ เพียงขาดโอกาสที่จะ เรียนร๎ูในสาขาอาชีพดังกลําว ในสํวนของการเตรียมคนหูหนวกให๎เป็นชํางเช่ือมเป็นที่นํายินดีท่ีได๎รับการ สนบั สนนุ จากหนวํ ยงานตํางๆ ท้งั ภาครัฐและเอกชน ไมํวาํ จะเปน็ ภาควชิ าเทคโนโลยีวิศวกรรมการเชื่อม มจพ. สมาคมคนหูหนวกแหํงประเทศไทย โรงเรียนโสตศึกษาจังหวัดนครปฐม สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงานภาค 2 สุพรรณบุรี และภาค 10 ลําปาง บริษัท เอ็มบีเค จํากัด มหาชน โดยเฉพาะอยํางยิ่งบริษัท ที่นอนดาร์ลิ่ง ขอนแกํน จํากดั และบริษัท โตวํองไว จํากัด ท่ีให๎การสนับสนุนเงินทุนสําหรับการเตรียมคนหูหนวกให๎เป็นชําง เช่อื มในคร้งั น้ี 2. การวิจัยและพัฒนารูปแบบบทเรียนวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ เรื่อง \"สุริยุปราคาและจันทรุปราคาบนเว็บ สาหรับคนหูหนวก\" ชื่อนักวิจัย : ผ๎ชู ํวยศาสตราจารย์เบญจพร ศักดิ์ศริ ิ และ พฤหัส ศภุ จรรยา บทคัดยอํ การวิจัยน้ีมีจุดมุํงหมายเพ่ือการออกแบบและสร๎างบทเรียนวิทยาศาสตร์ธรรมชาติต๎นแบบ ให๎คน หู หนวกสามารถเขา๎ ถึงองค์ความรท๎ู างด๎านวิทยาศาสตร์ได๎ โดยกระบวนการวิจัยและพัฒนาเร่ิมจากการวิเคราะห์ ลักษณะการเรียนรู๎ของคนหูหนวก กําหนดวัตถุประสงค์และออกแบบโครงสร๎างของบทเรียน มีการออกแบบ สื่อภาพเคลื่อนไหวด๎วยโปรแกรม Macromedia Flash ใช๎โปรแกรม Adobe Photoshop ตกแตํงรูปภาพ ตัวอักษรและปุมตํางๆ ออกแบบและสร๎างแบบทดสอบเน้ือหา ออกแบบแบบประเมินผลรูปแบบบทเรียน โดยจัดเก็บเป็นฐานข๎อมูลด๎วยโปรแกรม PHP สร๎างบทเรียนด๎วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ Macromedia Dreamweaver สร๎างวีดิทศั นภ์ าษามือประกอบการบรรยาย และสุดท๎ายเป็นการทดสอบบทเรียนท่ีพัฒนาข้ึน โดยให๎คนหูหนวกท่ีมีความสามารถในการใช๎อินเตอร์เน็ตทดลองใช๎บทเรียนดังกลําว นําข๎อมูลที่ได๎จากปัญหา การเข๎าถึงข๎อมูลในลักษณะตํางๆ และข๎อเสนอแนะจากผู๎ใช๎มาทําการปรับปรุงแก๎ไขจนได๎รูปแบบบทเรียนที่ เหมาะสม หลังจากน้ันจึงนําบทเรียนที่ได๎ไปทําการวิจัยเพ่ือหาประสิทธิภาพของบทเรียนตํอไป ผลการวิจัยทํา ให๎ได๎รูปแบบบทเรียนวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ เร่ือง สุริยุปราคาและจันทรุปราคาบนเว็บสําหรับคนหูหนวกที่

36 เหมาะสมสําหรับการเรียนรู๎ของคนหูหนวก โดยทําการประมวลผลจากการทําแบบทดสอบและแบบประเมิน ความคดิ เห็นของคนหูหนวกทมี่ ีตอํ บทเรียนบนเว็บเพจ ซึ่งพบวาํ โดยเฉลี่ยแล๎วผูเ๎ รยี นมีความพึงพอใจตํอรูปแบบ บทเรียนวทิ ยาศาสตรธ์ รรมชาตนิ ี้อยูํในระดับดี

37 สรปุ สาระสาคญั บุคคลท่ีมีความบกพรอํ งทางการได๎ยิน เป็นบุคคลที่ควรได๎รับการบริการทางการศึกษาเชํนเดียวกับคน ทั่วไป ผูบ๎ ริหาร ครแู ละบุคลากรที่เก่ียวข๎องควรมีความรู๎พ้ืนฐานเก่ียวกับบุคคลท่ีมีความบกพรํองทางการได๎ยิน เพ่ือนําไปเป็นแนวทางในการวางแผนการจัดการศึกษาให๎แกํบุคคลที่มีความบกพรํองทางการได๎ยิน ใน สถานศึกษาได๎อยาํ งเต็มศกั ยภาพ และเหมาะสม

38 แหล่งข้อมลู เพมิ่ เติมทต่ี อ้ งศึกษา สําหรับผ๎ูที่ศึกษาข๎อมูลบุคคลท่ีมีความบกพรํองทางการได๎ยิน นอกจากหนังสือ ชุดการศึกษาด๎วย ตนเองแล๎ว ผ๎ูศึกษาเองน้ันควรหาข๎อมูลความรู๎เพ่ิมเติม เพ่ือให๎เข๎าใจ และมีความร๎ูเก่ียวกับบุคคลที่บกพรํอง ทางการได๎ยินให๎ครบในทุกๆ ด๎าน ไมํวําจะเป็นลักษณะของบุคคลท่ีมีความบกพรํองทางการได๎ยิน การฟ้ืนฟู สมรรถภาพทางรํางกาย จติ ใจ การจัดการเรยี นการสอน การใชส๎ ่ือ และเทคโนโลยีในการชํวยสอน การใช๎ภาษา มือ การฝึกพูด ฯลฯ เพราะในปัจจุบัน การศึกษาของผ๎ูที่มีความบกพรํองทางการได๎ยิน ได๎มีการพัฒนาองค์ ความรู๎ทางดา๎ นตํางๆ ไปมาก ผูท๎ ่ศี กึ ษาจงึ ควรหาความรูเ๎ พิ่มเตมิ เพ่ือให๎ทันตํอเหตุการณ์ในปัจจุบัน แหลํงข๎อมูล เพมิ่ เตมิ ท่ตี อ๎ งศกึ ษา เชนํ 1. พระราชบญั ญัตกิ ารศกึ ษาแหงํ ชาติ 2542 2. พระราชบญั ญตั ิการจัดการศกึ ษาสําหรบั คนพกิ าร พ.ศ. 2551 3. เว็บไซต์ สาํ นักบรหิ ารงานการศึกษาพิเศษ www.special.obec.go.th 4. เว็บไซต์ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมน่ั คงของมนษุ ย์ www.m-society.go.th 5. เว็บไซต์ วิทยาลัยราชสุดา มหาวิทยาลยั มหิดล www.rs.mahidol.ac.th 6. เวบ็ ไซต์ ภาควชิ าการศกึ ษาพเิ ศษ มหาวทิ ยาลัยศรีนครรนิ ทรวิโรฒ www.special.edu.swu.ac.th 7. เวบ็ ไซต์ฝุายบริการสนับสนนุ นักศกึ ษาพกิ ารเรยี นรวํ ม(DSS) มหาวิทยาลยั ราชภัฎสวนดสุ ิต www.dssdusit.com 8. เว็บไซต์โลกของคนหูหนวก www.nadt.thport.com 9. เว็บไซต์ มลู นิธิอนุเคราะห์คนหูหนวกในพระบรมราชินปู ถมั ภ์ www.deafthai@foundation4deaf. ซ่งึ หนังสอื และเวบ็ ไซตเ์ หลําน้ีจะสามารถหาขอ๎ มลู เกย่ี วกบั บคุ คลทม่ี คี วามบกพรอํ งทางการได๎ยนิ ดงั นี้ - ขอ๎ มูลสาํ คัญทางด๎านตาํ งๆ เก่ียวกับบุคคลทม่ี คี วามบกพรอํ งทางการไดย๎ ิน - กฎหมายที่เกยี่ วข๎องกบั บุคคลท่มี ีความบกพรอํ งทางการได๎ยิน - หนํวยงานและสถานศึกษาเก่ียวขอ๎ งกับบุคคลทมี่ คี วามบกพรํองทางการได๎ยนิ - องค์กรท่เี ก่ยี วข๎องกับบุคคลทีม่ คี วามบกพรํองทางการได๎ยนิ - วฒั นธรรมของบุคคลที่มีความบกพรอํ งทางการไดย๎ นิ - บริษทั ทจี่ าํ หนาํ ยเคร่ืองชํวยฟัง - หนังสือภาษามอื ไทย

39 หนังสอื ทน่ี ่าสนใจเกี่ยวกบั บุคคลทมี่ ีความบกพรอ่ งทางการได้ยิน เชน่ - หนังสือ ชื่อ “นางนวลในโลกเงยี บ” นางนวลในโลกเงียบ / เอ็มมานูแอล ลาบอริ (เขยี น) / งามพรรณ เวชชาชวี ะ (แปล) จดั พิมพโ์ ดยสํานกั พิมพส์ รุ ิวงศ์บ๏คุ เซน็ เตอร์ ความหนา 230 หนา๎ ISBN 9747047845 ราคา 120 บาท ผู๎หญิงหหู นวกเขยี นหนังสือเลํมนีจ้ ากประสบการณช์ วี ติ ความพิการกบั ทุกปัญหาท่ีต๎องเผชญิ เธอไมํร๎จู ะสือ่ สาร กับโลกนี้อยํางไรลองจินตนาการดวู าํ ถ๎าเราตกอยใูํ นสภาพเดยี วกบั เธอชวี ิตเราจะเปน็ เชํนไร - มํานฟูา...อญั มณีแหํงโลกเงียบ (หวั ใจสง่ั ไมํให๎หนวก) /กาํ พลสวุ รรณรัต ถํายทอดจากประสบการณข์ องคุณกําพล สวุ รรณรตั และเรียบเรยี งโดย พ.สวสั ดพ์ิ ร เปน็ หนงั สือชวี ประวตั ิของคุณมํานฟูา สุวรรณรตั คชูํ วี ติ ของคุณกําพลเธอเปน็ ตวั อยํางของนักตอํ ส๎ูเพื่อคนพิการความพกิ ารทางหแู ละการท่เี กดิ มาเปน็ ผู๎หญิงไมํไดเ๎ ป็นอุปสรรค สําหรับนักตอํ ส๎ูคนนีเ้ ลยและยังเป็นเพชรเม็ดงามในใจของคนหูหนวกดว๎ ย จดั พิมพ์โดยมุลนธิ ิสํงเสรมิ และพฒั นาคนหหู นวกไทย ความหนา 168 หนา๎ ISBN 974-93773-7-0 ราคา 199 บาท

บรรณานุกรม กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. (2525). คู่มอื ครกู ารศึกษาพเิ ศษ เล่ม 1. กรุงเทพฯ: ทิพยอ์ กั ษรการพิมพ.์ กระทรวงศึกษาธิการ. (2542). การรับรองภาษามอื ไทยเป็นภาษาประจาชาตขิ องคนหูหนวก ประกาศ กระทรวงศึกษาธิการ. ลงวันท่ี 17 สิงหาคมพ.ศ. 2542. กระทรวงศึกษาธิการ. (2552). กาหนดประเภทและหลักเกณฑ์ของคนพิการทางการศึกษา ประกาศ กระทรวงศึกษาธกิ าร:46. ปรดี า จันทรเุ บกษา. (2525). การบรหิ ารโรงเรียนในโครงการเรียนรว่ ม.กรงุ เทพมหานคร : โรงเรียนพิบูลประชาสรรค์. พูนพิศ อมาตยกุล, สมุ าลดี ี จงกิจและพิมพา ขจรธรรม. (2550). ความรทู้ ่วั ไปเร่ืองความพกิ ารและ คนพิการ. นครปฐม : วทิ ยาลยั ราชสดุ า. ผดงุ อารยะวญิ ญู. (2539). การศกึ ษาสาหรบั เด็กทมี่ คี วามตอ้ งการพิเศษ.กรุงเทพฯ:สานักพิมพแ์ ว่นแก้ว. ผดงุ อารายะวญิ ญู. (2542). การศึกษาสาหรบั เดก็ ท่ีมคี วามตอ้ งการพิเศษ ( พิมพ์ครง้ั ที่ 2). กรุงเทพฯ : สานักพมิ พ์แวน่ แกว้ . ผดาชไม รศั มทิ ตั . (2540). ทักษะการใช้ภาษามอื .กรุงเทพฯ: โรงเรยี นโสตศึกษาทงุ่ มหาเมฆ: มลิวัลย์ ธรรมแสง. (2519). การสอนคนหูหนวกโดยใช้ระบบรวม.ใน 25 ปีแห่งการจัดการศึกษาของคน หหู นวกในประเทศไทย: โรงพมิ พเ์ จริญกจิ . ศรียา นิยมธรรม. (2538). ความบกพร่องทางการได้ยินผลกระทบทางจิตวิทยาการศึกษาและสังคม. กรุงเทพฯ : มหาวทิ ยาลัยศรีนครินทรวิโรฒประสานมติ ร. จิตประภา ศรีอ่อน. (2543). คู่มือการใช้ล่ามภาษามือไทยในห้องเรียน. นครปฐม: วิทยาลัยราชสุดา มหาวทิ ยาลัยมหิดล. จิตประภา ศรีอ่อน และคณะ. (2544). การศึกษาวิจัยการรับรู้ข้อมูลด้านสุขภาพของกลุ่มผู้พิการทางการได้ ยนิ . นครปฐม : วทิ ยาลัยราชสุดามหาวิทยาลัยมหดิ ล. จิตประภาศรีอ่อน. (2551). รายงานผลการวิจัยเบื้องต้นโครงการวิจัยและพัฒนาการผลิตสื่อวิดีทัศน์สาหรับ คนหูหนวกเรื่องการสอนคอมพิวเตอร์สาหรับคนหูหนวก.นครปฐม: วิทยาลัยราชสุดา มหาวิทยาลยั มหิดล. นพ.มานตั อทุ ุมพฤกษพ์ ร(2556).เครือ่ งช่วยฟงั . ค้นเมือ่ 23 พฤษภาคม 2556,จาก http://www.eartone.co.th/instrument_types_th.html.23พฤษภาคม 2556.



แบบทดสอบท้ายบท ชดุ เอกสารศกึ ษาด้วยตนเอง วชิ า ความรู้พน้ื ฐานด้านการจดั การศึกษาสาหรบั คนพกิ ารหรอื ผเู้ รยี นท่ีมีความต้องการจาเปน็ พเิ ศษ เลม่ 8 การจัดการศึกษาสาหรบั บคุ คลที่มีความบกพร่องทางการไดย้ ิน 1. ความหมายของบุคคลทมี่ ีความบกพร่องทางการไดย้ นิ ข้อใดถูกต้อง ก. บคุ คลท่สี ูญเสียการได้ยินและการเคล่ือนไหว ข. บุคคลท่ีสญู เสยี การได้ยินและการมองเห็น ค. บุคคลที่สูญเสียการไดย้ นิ การรบั ฟังเสียงตา่ งๆผิดปกติอาจจะเป็นคนหตู ึงหรือคนหหู นวก ง. บุคคลทส่ี ญุ เสยี การไดย้ ินและทรงตวั 2. ทางการศึกษาได้ให้ความหมาย ของคนหหู นวก คือคนท่ีสญู เสียการไดย้ ินตั้งแตก่ ่ีเดซิเบลขึ้นไป ก. 85 เดซิเบล ข. 90 เดซเิ บล ค. 75 เดซิเบล ง. 20 เดซิเบล 3. ขอ้ ใดไมใ่ ช่ลกั ษณะของเด็กท่ีมคี วามบกพร่องทางการไดย้ ิน ก. พูดไมช่ ดั หรือเสียงพูดผดิ ปกติ ข. ไม่แสดงอาการไดย้ นิ แมจ้ ะเกดิ เสียงใกล้ๆตัว ค. พดู ช้ากว่าเดก็ ปกติ หรือ อาย2ุ ขวบแลว้ ยังพูดไม่ได้ ง. กล้ามเนื้อแขนขาเกรง็ น้าลายไหล สามารถพูดคยุ ได้ 4. หปู ระกอบดว้ ยโครงสรา้ ง 3 ส่วนคือ ก. หชู น้ั นอก หูช้ันกลาง หูชั้นใน ข. หชู ้นั นอก หูช้นั กลาง แก้วหู ค. หูช้ันนอก น้าในหู แก้วหู ง. ใบหู ข้ีหู แก้วหู 5. ผู้ที่จดั ตง้ั และเปดิ หนว่ ยทดลองสอนคนหูหนวกขนึ้ เปน็ คร้ังแรกคือใคร ก. ม.ร.ว.คกึ ฤทธิ์ ปราโมช ข. ม.ร.ว.สุขมุ พันธ์ุ บรพิ ัตร ค. ม.ร.ว.เสรมิ ศรี เกษมศรี ง. ม.ร.ว. กมลา ไกรฤกษ์

6. โรงเรียนทเ่ี ปน็ หนว่ ยทดลองสอนคนหหู นวกแหง่ แรก คือทใี่ ด ก. โรงเรยี นเศรษฐเสถียร ข. โรงเรียนโสตศกึ ษาท่งุ มหาเมฆ ค. โรงเรียนวดั โสมนัสวรวหิ าร ง. โรงเรยี นโสตศึกษานนทบุรี 7. การสอนแบบระบบรวมมีช่ือเรยี กวา่ ก. (Total Communication) ข. (Montessori Communication) ค. (Summer Communication) ง. (Waldorf Communication) 8. การสอนแบบสองภาษาสา้ หรับเดก็ ท่ีมีความบกพร่องทางการไดย้ ิน มรี ูปแบบอย่างไร ก. สอนโดยใชค้ รสู องคน สอนภาษาไทยเปน็ ภาษาแรก ภาษาอังกฤษเปน็ ภาษาที่สอง ข. สอนโดยใช้ครูสองคน สอนภาษามอื ไทยเปน็ ภาษาแรก ภาษาอังกฤษเปน็ ภาษาที่สอง ค. สอนโดยใชค้ รสู องคน สอนภาษาไทยเปน็ ภาษาแรก สอนภาษามอื ไทยเปน็ ภาษาทสี่ อง ง. สอนโดยใช้ครสู องคน สอนภาษามือไทยเป็นภาษาแรก ภาษาไทยเป็นภาษาที่สองในรูปแบบการเขยี น 9. ขอ้ ใด ไมใ่ ช่ ระบบของเคร่ืองช่วยฟัง ก. ระบบอนาล็อค ข. ระบบสัมผัส ค. ระบบก่งึ ดจิ ติ อล ง. ระบบดจิ ติ อล 10. การผ่าตัดฝงั ประสาทหูเทียมในกลุ่มทีพ่ ิการตง้ั แต่กา้ เนดิ จะได้ผลดีท่ีสุดต้องผา่ ตดั กอ่ นอายุเท่าไหร่ ก. 2 ขวบ ข. 7 ขวบ ค. 10 ขวบ ง. 12 ขวบ 11. ขอ้ ใดไม่ใชส่ ่งิ อา้ นวยความสะดวกส้าหรับผูบ้ กพรอ่ งทางการได้ยนิ ก. ลา่ มภาษามอื ข. ตบู้ รกิ าร TTRS ค. เมนูอาหารชดุ รูปภาพ ง. ไม้เทา้ ขาว

12. การตรวจวดั การไดย้ นิ ทม่ี ีคณุ ภาพต้องตรวจวดั โดยผเู้ ช่ยี วชาญเฉพาะทางในขอ้ ใด ก. นักอรรถบ้าบัด ข. นกั โสตสมั ผัสวิทยา ค. นกั กิจกรรมบ้าบัด ง. นักกายภาพบา้ บัด 13. ผู้ท่สี ามารถตรวจวินจิ ฉัยความผิดปกติทางการได้ยนิ คือ ก. นักโสตสัมผสั วิทยา ข. นกั อรรถบ้าบัด ค. นกั แก้ไขการไดย้ นิ (audiologist) ง. นกั แก้ไขการพูด 14. เดก็ ในข้อใดท่ีเสยี่ งตอ่ การสญู เสยี การได้ยิน ก. เดก็ ท่คี ลอดก่อนก้าหนด ข. เด็กท่ีมนี ้าหนักเกนิ มาตรฐาน ค. เดก็ ทม่ี ีภาวะปากแหวง่ เพดานโหว่ ง. เด็กท่มี โี รคหวั ใจต้งั แต่ก้าเนิด 15. ใครเป็นผ้คู ดิ คน้ สรา้ ง ภาษามือ ธรรมชาติ ก. คนท่มี กี ารได้ยนิ ทว่ั ไป เปน็ ผคู้ ิดค้นใหค้ นหูหนวก ข. คนหูหนวกเปน็ ผู้คิดค้นสรา้ งและใชร้ ่วมกนั ในชมุ ชนท่ีอาศัยอยตู่ ามลกั ษณะภูมภิ าค วฒั นธรรม ประเพณี วถิ ชี วี ติ ค. คนหหู นวกเปน็ ผคู้ ดิ คน้ สรา้ ง เพอ่ื ใช้คุยกบั คนหหู นวกด้วยกันเทา่ นน้ั เพือ่ เปน็ การรักษาความลับ ง. คนทีม่ ีการไดย้ นิ กับนักวจิ ัยเป็นผคู้ ดิ ค้นสรา้ งให้คนหูหนวกไว้ใช้สือ่ สารกบั คนท่วั ไป 16. ลกั ษณะของภาษามอื ประดิษฐ์ คอื ก. ภาษามอื ที่ครู ผูป้ กครอง ญาตมิ ติ รของคนหูหนวกคดิ ขึ้นแทนภาษาพดู และภาษาเขียน ข. ภาษามอื ที่คนหหู นวกคิดไว้สื่อสารแบบลบั ๆ ค. ภาษามอื ที่คนที่มกี ารไดย้ นิ คิดไวส้ อื่ สารกับญาติคนหหู นวก ง. ภาษามือท่ีคนหูหนวกคดิ ไวใ้ ช้ส่ือสารกับเพื่อนตา่ งชาติเท่านน้ั 17. ภาษาแรกของคนหูหนวกคอื ภาษาใด ก. ภาษาพูด ข. ภาษาเขียน ค. ภาษาไทย ง. ภาษามือ

18. หลักในการสะกดนิ้วมือท่ีถกู ต้องควรทา้ อย่างไร ก. สะกดได้ทั้งสองมือสลับไปมา ข. สะกดเฉพาะมือขา้ งทถ่ี นัดเท่านน้ั ค. สะกดมือขา้ งท่ีถนัดเปน็ ตัวอักษร สระและวรรณยุกตใ์ ชม้ ืออีกข้าง สะกดอยุ่ในระดับสายตาผู้มอง เปน็ จังหวะ เว้นวรรคตอนตามภาษาเขยี น ง. สะกดตามความถนดั ของผู้ปฏบิ ัติ เนน้ ความรวดเรว็ ว่องไว 19. ทา่ มือในภาพตรงกับจ้านวนนับตวั เลขใด ก. เลข 2 ข. เลข 5 ค. เลข 4 ง. เลข 3 20. ทา่ มอื ตัวสะกดนว้ิ มือไทย ในภาพตรงกับข้อใด ก. ท่ามอื ส ข. ทา่ มือ ข ค. ทา่ มือ ก ง. ทา่ มือ ร