Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore กระบวนการทางวิทยาศาสตร์

กระบวนการทางวิทยาศาสตร์

Published by innualk, 2019-09-18 10:05:46

Description: กระบวนการทางวิทยาศาสตร์

Keywords: กระบวนการวิทย์,วิทยาลัยเทคนิคสุราษฎร์ธานี

Search

Read the Text Version

วิทยาศาสตร์เพอื่ พัฒนาทกั ษะชวี ติ โกศล อนิ นวล วิทยาศาสตร์เพื่อพฒั นาทักษะชีวิต (2000-1301) [เลือกวันท่ี]

วทิ ยาศาสตร์เพอื่ พัฒนาทักษะชีวิต หน่วยที่ 1 กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ สาระการเรยี นรู้ 1. ความหมายของวทิ ยาศาสตร์ 2. วิธีการทางวทิ ยาศาสตร์ 3. ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ 4. เจตคติทางวทิ ยาศาสตร์ 5. โครงงานวิทยาศาสตร์ จุดประสงค์ทวั่ ไป มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ สามารถนํากระบวนการ ทางวิทยาศาสตร์ไปใชใ้ นการแสวงหาความรทู้ างวิทยาศาสตร์และแกป้ ญั หาในชวี ติ ประจาํ วันได้ จุดประสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรม 1. บอกความหมายของวิทยาศาสตร์ได้ 2. บอกขัน้ ตอนของวธิ กี ารทางวิทยาศาสตรไ์ ด้ 3. แสดงความรู้ใหเ้ ห็นไดว้ ่าเกิดทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ข้ันพนื้ ฐาน 4. แสดงความรู้ให้เหน็ ได้ว่าเกดิ ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตรข์ ้นั บูรณาการ 5. บอกคณุ ลักษณะของบุคคลท่มี ีเจตคตทิ างวทิ ยาศาสตรไ์ ด้ 6. อธบิ ายความหมายของโครงงานวทิ ยาศาสตร์ได้ 7. บอกจุดมุง่ หมายของการทําโครงงานวิทยาศาสตร์ได้ 8. ระบปุ ระเภทของโครงงานวทิ ยาศาสตร์จากข้อมูลทก่ี ําหนดให้ได้ 9. บอกขัน้ ตอนในการทําโครงงานวิทยาศาสตร์ได้ 10. เขยี นรายงานผลการทาํ โครงงานวทิ ยาศาสตร์ได้ครอบคลมุ ทุกหัวข้อและถูกตอ้ ง โกศล อินนวล วิทยาศาสตรเ์ พ่ือพฒั นาทักษะชวี ติ (2000-1301)

วิทยาศาสตร์เพอื่ พัฒนาทกั ษะชวี ติ สาระสาคัญ วิทยาศาสตร์เป็นเรอื่ งของการเรยี นรู้เกี่ยวกบั ธรรมชาติ ท่ีได้ใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ในการหาคําตอบแลว้ นํามาจัดรวบรวมให้เป็นระบบ ตั้งขึ้นเป็นทฤษฎี กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ประกอบด้วย วิธีการทางวิทยาศาสตร์ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และเจตคติทางวิทยาศาสตร์ วิธกี ารทางวทิ ยาศาสตรป์ ระกอบดว้ ยข้นั ตอนตา่ ง ๆ 5 ข้นั ตอน คอื การระบุปัญหา การตั้งสมมติฐาน การทดลอง การวเิ คราะห์ขอ้ มูล และการสรปุ ผลการทดลอง ส่วนทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เป็นการสร้างความชํานาญในการศึกษาหาความรู้หรือค้นหาคําตอบของปัญหาทางวิทยาศาสตร์ แบ่งออกเป็นทักษะขั้นพ้ืนฐาน 8 ทักษะ ได้แก่ ทักษะการสังเกต ทักษะการวัด ทักษะการคํานวณ ทักษะการจําแนกประเภท ทักษะการหาความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกับสเปสและสเปสกับเวลา ทักษะการจัดกระทําและส่ือความหมายของข้อมูล ทักษะการลงความเห็นจากข้อมูล และ ทักษะการพยากรณ์ ทักษะขั้นบูรณาการ 5 ทักษะ ได้แก่ ทักษะการกําหนดและควบคุมตัวแปร ทักษะการตั้งสมมติฐาน ทักษะการกําหนดนิยามเชิงปฏิบัติการ ทักษะการทดลอง และทักษะ การตีความหมายข้อมูลและการลงข้อสรุป อันจะนําไปสู่การคิดเป็น ทําเป็น และแก้ปัญหาเป็น ทบ่ี ุคคลนัน้ จะตอ้ งมีเจตคตทิ างวิทยาศาสตร์ ได้แก่ มีความอยากรู้อยากเห็น มีใจกว้าง มีความซื่อสัตย์ และมีใจเป็นกลาง มีความเพียรพยายาม มีเหตุผล มีความละเอียดรอบคอบ ซ่ึงเป็นคุณลักษณะที่ ก่อให้เกิดประโยชนใ์ นการแสวงหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ กิจกรรมท่ีสําคัญในการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ คือโครงงานวิทยาศาสตร์ มีอยู่ 4 ประเภท ได้แก่ โครงงานประเภททดลอง โครงงานประเภท สง่ิ ประดิษฐ์ โครงงานประเภทสํารวจ และโครงงานประเภททฤษฎี โกศล อินนวล วิทยาศาสตร์เพอื่ พัฒนาทกั ษะชวี ติ (2000-1301)

วิทยาศาสตร์เพ่ือพัฒนาทักษะชีวติ แบบทดสอบกอ่ นเรียนหนว่ ยท่ี 1 กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ คาส่งั จงเลือกคําตอบที่ถูกทีส่ ุดเพียงคาํ ตอบเดยี ว แลว้ กาเครอ่ื งหมายกากบาท (X) ลงในช่อง  ในกระดาษคาํ ตอบ 1. ขอ้ ใดกล่าวถึงความหมายของวิทยาศาสตร์ไม่ถูกต้อง ก. ความร้ตู า่ ง ๆ ทอี่ ยู่ในธรรมชาติ ข. การศึกษาค้นควา้ เพ่อื หาคําตอบที่สงสยั ค. องค์ความรู้ทมี่ ีระบบและจัดไวอ้ ยา่ งมีระบบ ง. เทคโนโลยตี า่ ง ๆ ที่มนษุ ย์ได้คิดคน้ และประดษิ ฐ์ข้นึ มา 2. ข้อใดเปน็ ขน้ั ตอนแรกของวิธีการทางวทิ ยาศาสตร์ ก. การทดลอง ข. การตั้งปญั หา ค. การตัง้ สมมติฐาน ง. การวิเคราะห์ข้อมลู 3. “ต้นบอระเพด็ เป็นไมเ้ ถาเล้อื ย มีลกั ษณะเถากลมมีขนาดใหญ่เป็นปุ่มปม สีเทาอมดํา มรี สขม ใบสเี ขยี ว แผน่ ใบเรียบ” ประสาทสมั ผสั ทีใ่ ช้ในการสังเกตตามขอ้ ความขา้ งตน้ คือข้อใด ก. มือ ตา ปาก ข. ตา ผวิ กาย ลิน้ ค. ตา ฟนั ผวิ กาย ง. ผวิ กาย ตา ปาก 4. ในร่างกายคนเรามีนาํ้ เปน็ องค์ประกอบอยู่ 2 ใน 3 ของน้ําหนักตัว ถ้าวชั รมี นี ้ําหนักตัว 54 กโิ ลกรมั เขาจะมีนํา้ อย่ใู นร่างกายประมาณเท่าใด ก. 18 กิโลกรมั ข. 27 กโิ ลกรมั ค. 36 กโิ ลกรัม ง. 54 กิโลกรัม โกศล อินนวล วิทยาศาสตร์เพื่อพฒั นาทักษะชีวติ (2000-1301)

วิทยาศาสตร์เพ่ือพฒั นาทักษะชีวติ 5. วตั ถขุ อ้ ใดมีมิตทิ ่ีแตกต่างจากพวก ก. รปู ภาพ ข. หนังสอื ค. ปากกา ง. แปรงลบกระดาน 6. ต้นมะละกอเมื่อได้รับน้ํามากเกินไปเป็นระยะเวลาหลายวันติดต่อกันรากจะเน่า ใน 2-3 วันนี้ ฝนตกนํา้ ทว่ มขงั ตน้ มะละกอทบี่ ้านต้องตายแน่ ข้อความที่ขีดเสน้ ใต้เปน็ การใช้ทักษะกระบวนการ ทางวิทยาศาสตร์ข้อใด ก. ทักษะการสังเกต ข. ทกั ษะการพยากรณ์ ค. ทักษะการตง้ั สมมตฐิ าน ง. ทักษะการลงความเหน็ จากขอ้ มูล 7. ดอกบวั จะหบุ ในเวลาที่ไม่มแี สง (ข้อความท่ี 1) แสดงว่าแสงเปน็ ปจั จัยในการหบุ บานของดอกบวั (ข้อความท่ี 2) ข้อความท่ี 1 และท่ี 2 เปน็ การนาํ ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ขอ้ ใดมาใช้ ก. การสงั เกต การลงขอ้ สรุป ข. การสงั เกต การลงความเห็น ค. การทดลอง การลงความเห็น ง. การพยากรณ์ การตคี วามหมาย 8. จากผลการทดลองการตม้ นํา้ พบว่าอณุ หภูมิของนํ้าเป็นดงั นี้ เวลา (นาที) 1 2 3 4 5 อุณหภมู ิ ( ํc) 20 24 27 31 - ในนาทีที่ 5 อุณหภมู ิของนาํ้ จะเป็นเท่าไร ก. 28 ํC ข. 31 ํC ค. 34 ํC ง. 36 ํC โกศล อนิ นวล วิทยาศาสตร์เพอ่ื พฒั นาทกั ษะชวี ติ (2000-1301)

วทิ ยาศาสตร์เพือ่ พฒั นาทกั ษะชีวติ 9. ถ้าใสใ่ บพืชทม่ี กี ล่ินฉนุ ตา่ ง ๆ ในถงั ขา้ วสารจะทําใหม้ อดในถังข้าวสารลดลงหรอื ไม่ จากปัญหา ข้อใดคือตวั แปรตน้ ก. ปริมาณมอด ข. ปรมิ าณข้าวสาร ค. ถงั ใส่ข้าวสาร ง. ใบพชื ทม่ี กี ลิ่นฉนุ ชนดิ ต่าง ๆ 10. นา้ํ จะระเหยเรว็ ข้ึน ถา้ พื้นผิวหนา้ ของนา้ํ สัมผัสอากาศมากข้นึ จากสมมติฐานขอ้ ใดคือตัวแปรตาม ก. ความรอ้ น ข. ปริมาณนํ้า ค. อัตราการระเหยของนํา้ ง. พ้ืนทผ่ี ิวของนา้ํ ทส่ี ัมผัสกับอากาศ 11. \"นาํ้ ผงซักฟอกมีผลต่อการเจรญิ เตบิ โตของผักตบชวาหรอื ไม\"่ จากปัญหาจะต้ังสมมตฐิ าน ว่าอย่างไร ก. นาํ้ ผงซกั ฟอกมผี ลต่อการเจริญเตบิ โตของผักตบชวา ข. ผักตบชวาจะเจริญเติบโตหรือไม่ถ้าขาดนาํ้ ผงซกั ฟอก ค. นาํ้ ผงซกั ฟอกมสี ารฟอสเฟตทําให้ผักตบชวาเจริญเตบิ โตดี ง. ปริมาณสารฟอสเฟตในผงซักฟอกมผี ลต่อการเจรญิ เตบิ โตของผักตบชวา 12. จงพิจารณาข้อความต่อไปนวี้ ่า ขอ้ ความใดเป็นนยิ ามเชิงปฏบิ ัตกิ ารที่เหมาะสม ก. น้ําปนู ใส คือสารเคมีที่มีคุณสมบัตเิ ป็นเบส ข. ฝน คอื หยดนาํ้ ทีต่ กลงมาจากก้อนเมฆบนท้องฟ้า ค. กรด คือสารทีเ่ ปลีย่ นสกี ระดาษลติ มัสจากสนี ้าํ เงินเป็นสีแดง ง. ดา่ งทับทมิ คือสารท่ีมลี ักษณะเป็นเกลด็ สมี ่วงสามารถฆ่าเชือ้ ในน้าํ ได้ 13. ถ้าตอ้ งการทราบวา่ นํ้าร้อนหรือน้าํ เยน็ ใช้สกัดสจี ากพชื ไดด้ กี ว่ากัน จะออกแบบทดลองได้อย่างไร ก. ใช้พืชชนิดเดียวกนั ปรมิ าณเท่ากัน ปริมาณน้ําเทา่ กนั และอุณหภูมิของน้ําตา่ งกัน ข. ใช้พชื ชนิดเดียวกันปรมิ าณตา่ งกนั ปริมาณนาํ้ ต่างกันและอณุ หภมู ิของนาํ้ เท่ากนั ค. ใช้พชื ตา่ งชนดิ กนั ปรมิ าณตา่ งกนั ปรมิ าณนา้ํ เทา่ กนั และอณุ หภมู ิของนํ้าเทา่ กัน ง. ใชพ้ ืชต่างชนดิ กนั ปริมาณเท่ากนั ปริมาณน้ําเทา่ กันและอณุ หภูมขิ องน้ําต่างกัน โกศล อินนวล วิทยาศาสตรเ์ พื่อพัฒนาทักษะชีวติ (2000-1301)

วิทยาศาสตรเ์ พ่ือพฒั นาทกั ษะชีวิต 14. จากการทดลองเม่ือเอาสาร A ไปละลายนํา้ ท่ีอณุ หภูมติ า่ ง ๆ ผลการทดลองปรากฏ ดังตารางต่อไปนี้ อุณหภมู นิ ้ํา (๐C) ปรมิ าณสาร A ทล่ี ะลายในน้ํา (g) 60 23 70 31 80 39 90 47 ข้อใดลงข้อสรปุ ได้ถูกต้องทสี่ ุด ก. เม่อื อุณหภูมิสงู ขน้ึ 10 ๐C สาร A จะละลายได้มากข้ึน 8 g ข. สาร A จะละลายน้าํ ท่ีมีอุณหภมู ิสงู ได้มากกวา่ นํา้ ท่ีมีอุณหภูมิตํา่ ค. นาํ้ ทีม่ อี ณุ หภูมิตั้งแต่ 60 - 90 ๐C สาร A จะละลายนํ้าไดท้ งั้ หมด 24 g ง. การละลายของสาร A จะเพิ่มข้นึ อยา่ งสมํ่าเสมอเมื่อนํ้าที่มีอุณหภูมิสูงขน้ึ 15. พฤติกรรมในข้อใดแสดงว่าเปน็ ผู้มีความอยากรู้อยากเหน็ ก. แอนทํางานทไี่ ด้รับมอบหมายตามกาํ หนดและตรงตอ่ เวลา ข. เอชอบสนทนา ซกั ถาม ฟังอ่าน เพื่อให้ไดร้ บั ความรู้เพมิ่ ขึ้น ค. ออรวบรวมขอ้ มลู ยา่ งเพียงพอกอ่ นและลงข้อสรุปเรื่องราวตา่ ง ๆ ง. เอกรับฟงั ความคิดเห็นทต่ี ัวเองไม่เข้าใจและพร้อมที่จะทําความเข้าใจ 16. ขอ้ ใดไมใ่ ชก่ จิ กรรมทเี่ ป็นโครงงานวิทยาศาสตร์ ก. กิจกรรมท่เี น้นการใช้เทคโนโลยสี มยั ใหม่ ข. กิจกรรมทเี่ กยี่ วกบั วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ค. กจิ กรรมท่ีมีการใช้วทิ ยาศาสตร์เข้ามาช่วยในการศกึ ษา ง. กจิ กรรมทใ่ี หผ้ เู้ รยี นร้จู กั วางแผน ปฏบิ ตั ิ ทดลอง สรุปด้วยตนเอง 17. ข้อใดไมใ่ ชจ่ ุดมุ่งหมายของการทําโครงงานวิทยาศาสตร์ ก. ไดศ้ กึ ษาคน้ คว้าหาความรู้จากแหลง่ เรียนร้ตู า่ ง ๆ ดว้ ยตนเอง ข. ได้แสดงออกซง่ึ ความคิดริเร่ิมสรา้ งสรรค์และมจี ิตวิทยาศาสตร์ ค. เพ่ือใช้ความรู้และประสบการณเ์ ลอื กทําโครงงานตามความสนใจ ง. เพอ่ื การแข่งขัน คัดเลอื กโครงงานวทิ ยาศาสตรท์ ่สี มบรู ณแ์ ละถูกต้องทีส่ ดุ โกศล อินนวล วิทยาศาสตร์เพือ่ พัฒนาทักษะชวี ติ (2000-1301)

วิทยาศาสตรเ์ พอ่ื พฒั นาทักษะชีวติ 18. การยอ้ มสีผ้าด้วยใบหูกวาง เป็นโครงงานวิทยาศาสตร์ประเภทใด ก. ทฤษฎี ข. การสํารวจ ค. การทดลอง ง. สิง่ ประดษิ ฐ์ 19. ข้อใดเปน็ ขั้นตอนแรกของการทาํ โครงงานวิทยาศาสตร์ ก. การทดลอง ข. การคิดหวั ขอ้ เร่ือง ค. การจัดหาวสั ดุอุปกรณ์ ง. การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู 20. การเขยี นรายงานข้อใดครอบคลุมทุกหวั ข้อ ก. บทคัดยอ่ บทนํา วธิ ดี ําเนินการ ผลการทดลอง สรุปผลการทดลอง ข. บทนาํ เอกสารท่ีเกีย่ วข้อง วิธีดําเนนิ การ ผลการทดลอง สรปุ ผลการทดลอง ค. บทคัดย่อ วธิ ดี าํ เนนิ การ เอกสารท่เี ก่ยี วขอ้ ง ผลการทดลอง สรุปผลการทดลอง ง. บทนํา บทคดั ยอ่ เอกสารทเ่ี กีย่ วข้อง วธิ ดี ําเนินการ ผลการทดลอง สรปุ ผลการทดลอง โกศล อนิ นวล วิทยาศาสตรเ์ พือ่ พฒั นาทักษะชวี ิต (2000-1301)

วิทยาศาสตรเ์ พอื่ พฒั นาทักษะชีวติ กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ การแสวงหาความรทู้ างวทิ ยาศาสตร์เพื่อคน้ หาข้อเท็จจรงิ ตา่ ง ๆ จากปรากฏการณ์ธรรมชาติ และสิง่ แวดลอ้ มรอบตัวจากธรรมชาติได้อยา่ งเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ จําเป็นต้องใช้กระบวนการ ทางวทิ ยาศาสตร์ในการแสวงหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ซ่ึงประกอบด้วย วิธีการทางวิทยาศาสตร์ ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ และเจตคติทางวทิ ยาศาสตร์ 1. ความหมายของวิทยาศาสตร์ วทิ ยาศาสตร์เป็นความรูท้ ไ่ี ดโ้ ดยการสงั เกต และคน้ คว้าเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ ในธรรมชาติท้ังท่ีมี ชีวิตและไมม่ ชี ีวติ ทสี่ ามารถแสดงหรือพิสูจน์ได้วา่ ถูกตอ้ งและเป็นความจริงโดยใช้กระบวนการแสวงหา ความรทู้ างวทิ ยาศาสตร์แล้วจัดความรู้น้ันเข้าเปน็ ระเบียบเปน็ หมวดหมู่ วิทยาศาสตร์ (science) หมายถึง ศาสตร์หรือวิชาที่ว่าด้วยการศึกษาความจริงที่เกิดจาก ปรากฏการณ์ธรรมชาติจากการสังเกต จดบันทึก จําแนกความจริง เพื่อสรุปเป็นกฎเกณฑ์ ทฤษฎีต่าง ๆ ขึ้น และพิสูจน์ความจริงเหล่านั้นได้ ดังนั้นวิทยาศาสตร์จึงเป็นศาสตร์แห่งความ เป็นจริง ไมว่ า่ บคุ คลใดจะพสิ จู นผ์ ลทอ่ี อกมาจะเป็นความจริงน้ันเสมอ 2. วิธีการทางวทิ ยาศาสตร์ วิธีการทางวิทยาศาสตร์ (scientific method) คือ วิธีการแสวงหาความรู้ที่มีระเบียบแบบ แผนเป็นไปตามขน้ั ตอนอยา่ งมีเหตุผล นําไปใชใ้ นการค้นหาความรู้ใหม่ หรือใช้ในการทดสอบความรู้ เดิมท่ีได้มาแลว้ ตลอดจนนําไปใช้ในการแก้ปัญหาให้สําเร็จ วิธีการทางวิทยาศาสตร์เป็นระบบและมี ลําดบั ขั้นตอนแน่นอน ดงั น้ี การระบุปญั หา การตง้ั สมมติฐาน การทดลอง สรปุ ผลการทดลอง การวิเคราะห์ขอ้ มลู โกศล อินนวล วิทยาศาสตรเ์ พือ่ พัฒนาทักษะชวี ติ (2000-1301)

วทิ ยาศาสตรเ์ พอื่ พฒั นาทกั ษะชวี ติ 2.1 การระบุปัญหา (science the problem) เป็นการบอกปัญหาจากส่ิงท่ีสังเกตพบและ เกิดขอ้ สงสยั อยากค้นหาคําตอบของสิ่งทพี่ บเหน็ ทาํ ใหเ้ กิดปัญหาขึ้น เช่น ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า วัตถุที่จม และลอยนา้ํ การเกิดสนิมของเหล็ก ว่าปรากฏการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไรที่มีการบันทึกข้อมูล อย่างมีระบบ 2.2 การตั้งสมมติฐาน (making the hypothesis) เป็นการคาดคะเนคําตอบของปัญหา ที่สนใจศึกษาล่วงหน้าที่อาจเป็นไปได้ ว่าควรเป็นอย่างไร โดยการสังเกตข้อเท็จจริงต่าง ๆ ที่มีอยู่ ใช้ความรู้และประสบการณ์ที่ได้ศึกษาเรื่องที่เกี่ยวข้องกับปัญหามาช่วยในการคาดคะเนคําตอบ การต้ังสมมติฐานสามารถตั้งได้มากกว่า 1 ประเด็น แล้วเลือกประเด็นท่ีดีที่สุดมาทําการทดสอบก่อน สมมติฐานทด่ี ีนน้ั จะต้องสมั พันธ์กับปัญหาและแนวทางในการพิสจู นท์ ดลอง 2.3 การตรวจสอบสมมติฐานหรือการทดลอง (experimental) เปน็ กระบวนการปฏิบัติการ หรือลงมือทําการทดลองเพื่อตรวจสอบสมมติฐานท่ีตั้งไว้ว่าเป็นจริงหรือไม่ ประกอบด้วย การออกแบบ การทดลอง การปฏบิ ตั กิ ารทดลอง และการบันทกึ ผลการทดลอง อยา่ งเป็นขัน้ ตอน 2.4 การวิเคราะห์ข้อมูล (analysis of data) เป็นการนําข้อมูลที่ได้จากการทดลองหรือ รวบรวมขอ้ มูลมาทําการวิเคราะหผ์ ล อธิบายความหมายของข้อมลู แลว้ นําไปเปรียบเทียบกับสมมติฐาน ทตี่ ้งั ไวว้ า่ สอดคลอ้ งกันหรือไม่ 2.5 การสรุปผลการทดลอง (conclusion) เป็นการนาํ ข้อมูลจากการวิเคราะห์มา ลงความคดิ เหน็ เปน็ ขอ้ สรปุ และเขียนรายงานผลการศึกษาทดลอง ซ่ึงการสรุปผลอาจเป็นส่วนท่ีทําให้ เกิดหลักการ กฎ ทฤษฎี ท่ีจะใช้เป็นแนวทางสําหรับอธิบายปรากฏการณ์อ่ืน ๆ ท่ีคล้ายกันและ นําไปใชป้ รบั ปรงุ ชีวติ ความเปน็ อยขู่ องมนษุ ย์ให้ดีข้ึนหรอื เป็นแนวทางในการคน้ ควา้ หาความรเู้ พ่มิ เติม 3. ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (science process skills) หมายถึง ความสามารถ ในการใช้การคิดและกระบวนการคิดเพ่อื แสวงหาความรู้ใหม่ รวมท้ังการแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้อง คล่องแคล่วและแม่นยํา ซึ่งสถาบันส่งเสริมการสอนทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ได้แบ่งไว้ 13 ทักษะ ประกอบด้วย ทักษะขั้นพื้นฐาน 8 ทักษะ และทักษะขั้นบูรณาการ 5 ทักษะ ดงั น้ี 3.1 ทักษะขน้ั พ้นื ฐาน มี 8 ทกั ษะ ประกอบด้วย 3.1.1 ทักษะการสังเกต (observation) หมายถึง ความสามารถในการใช้ประสาท สมั ผสั อย่างใดอยา่ งหนงึ่ หรือหลายอยา่ งรว่ มกนั ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น และผิวกาย เพ่ือหาข้อมูล หรือรายละเอียดของสิ่งต่าง ๆ ที่ถูกต้อง ตรงกับความเป็นจริงโดยไม่เพิ่มความคิดเห็นของผู้สังเกต โกศล อนิ นวล วิทยาศาสตร์เพ่ือพฒั นาทักษะชีวติ (2000-1301)

วิทยาศาสตรเ์ พือ่ พัฒนาทักษะชีวิต ลงไป ความละเอียดถถ่ี ว้ นในการสงั เกตซึง่ บางครง้ั อาจใชเ้ ครอื่ งมอื เชน่ แว่นขยาย กล้องจุลทรรศน์ มาชว่ ยในการสงั เกตเพ่อื ให้เกิดความแนช่ ดั และม่นั ใจไดม้ ากขนึ้ ลักษณะการสังเกต ดังนี้ - การมองเห็น เป็นการสังเกตที่ใช้ตา ช่วยในการสังเกตลักษณะและสมบัติ ของวัตถุ เชน่ ขนาด รปู รา่ ง สขี องวตั ถุ และสงั เกตว่าวตั ถุเหลา่ นน้ั อาจมีปฏิสมั พันธ์กันอยา่ งไร - การได้ยิน เป็นการสังเกตท่ีใช้หู ช่วยในการสังเกตลักษณะและสมบัติของวัตถุ เช่น ความดัง ระดับเสียง และจังหวะของเสียง - การได้กล่ิน เป็นการสังเกตท่ีใช้จมูก ช่วยในการสังเกตความสัมพันธ์ของวัตถุ กับกลน่ิ ทไี่ ด้พบนั้นวา่ มกี ล่ินหรือไม่ หอม เหม็น หรือฉุน แต่เน่ืองจากการบรรยายเก่ียวกับกล่ินเป็น เร่อื งยากจึงมักบอกในลักษณะที่แสดงความสัมพันธ์ของกล่ินที่ได้รับน้ันกับกลิ่นของวัตถุที่คุ้นเคย เช่น กล่นิ กล้วยหอม กลนิ่ มะนาว กลนิ่ ชา และกลิน่ กาแฟ - การชิม เป็นการสังเกตที่ใช้ลิ้น ช่วยในการสังเกตสมบัติของสิ่งนั้นว่ามีรสชาติ เผ็ด เคม็ เปรยี้ ว หวาน ขม หรือฝาดเป็นอยา่ งไรซง่ึ ต้องแนใ่ จวา่ สง่ิ นน้ั ไม่เปน็ อันตราย - การสัมผสั เปน็ การสังเกตท่ใี ช้ผวิ กาย ช่วยในการสังเกตโดยการสัมผัสเพื่อบอก อณุ หภูมิ ลกั ษณะผิว หยาบ ละเอียด เรยี บ ลืน่ ความเปยี กชื้น ความแห้งของส่ิงน้ัน ข้อมูลท่ีได้จากการสังเกต แบง่ ออกเปน็ 3 ประเภท 1) ข้อมูลเชิงคุณภาพ เป็นข้อมูลที่บอกรูปร่าง ลักษณะ และสมบัติของส่ิงที่ สังเกต เช่น สี รูปร่าง ลักษณะผิว กลิ่น รส เสียง ตัวอย่างเช่น ลักษณะของลูกปิงปองมีสีขาว ผิวเรียบและมีรอยตอ่ เปน็ ทรงกลม มะพร้าวตน้ นใ้ี ห้นํา้ มีรสหวาน 2) ข้อมลู เชงิ ปรมิ าณ เปน็ ขอ้ มูลเกี่ยวกับการกะประมาณที่บอกปริมาณหรือขนาด ของส่งิ ทไ่ี ดจ้ ากการสังเกตและมหี น่วยกํากับ โดยเฉพาะการบอกปริมาณที่เก่ียวข้องกับความยาว มวล ปริมาตรและคา่ ตา่ ง ๆ ทเี่ ป็นตัวเลข ตวั อยา่ งเช่น น้ําตาลทรายใส่ถุงขนาด 6 x 8 นิ้ว จนเต็มจะมี มวลประมาณ 1 กิโลกรมั ถุงทรายถุงนี้มมี วลประมาณ 500 กรัม 3) ข้อมูลท่ีได้จากการเปล่ียนแปลง เป็นข้อมูลที่บอกลักษณะหรือผลการ เปลี่ยนแปลงที่สังเกตได้ ข้อมูลประเภทนี้บางครั้งเกิดจากการกระทําของผู้สังเกตจึงจะเห็นการ เปลยี่ นแปลงได้ ตัวอย่างเช่น เม่ือนําลกู เหมน็ ไปตงั้ ไวท้ ีอ่ ณุ หภูมิห้องสามารถระเหิดได้ เม่ือจุดไม้ขีดไฟ หัวไมข้ ีดไฟจะเป็นสีดาํ 3.1.2 ทักษะการวัด (measurement) หมายถึง ความสามารถในการเลือกใช้ เครื่องมือมาทําการวัดหาปริมาณของสิ่งต่าง ๆ ออกมาเป็นตัวเลขที่แน่นอน และมีหน่วยกํากับ ตวั เลขทไี่ ด้จากการวัดได้อย่างเหมาะสมและถูกต้อง เช่น การวัดปริมาตรของน้ํา 1 แก้ว จะเลือกใช้ กระบอกตวงมากกว่าที่จะใช้บิกเกอร์ เนื่องจากสามารถวัดได้ถึงระดับ 1 ลูกบาศก์เซนติเมตร โกศล อินนวล วิทยาศาสตร์เพอื่ พฒั นาทักษะชวี ติ (2000-1301)

วิทยาศาสตร์เพ่อื พัฒนาทกั ษะชีวติ และเลือกกระบอกตวงที่มีขนาดปริมาตร 300 ลูกบาศก์เซนติเมตร ซึ่งมีปริมาตรใกล้เคียงกับ ปรมิ าตรนํา้ 1 แก้ว (ประมาณ 250 ลกู บาศกเ์ ซนตเิ มตร) 3.1.3 ทักษะการคานวณ (using number) หมายถึง ความสามารถในการนับ จํานวนที่ได้จากการสังเกต การวัด การทดลองและจากแหล่งอื่น ๆ มาคิดคํานวณให้เกิดค่าใหม่ โดยการบวก ลบ คณู หาร การหาคา่ เฉล่ีย การยกกาํ ลัง การแก้สมการ เป็นต้น ใช้ในการสรุปผล การทดลอง การอธิบายและทดสอบสมมติฐาน ค่าใหม่ที่ได้จากการคํานวณจะทําให้สื่อความหมาย ชดั เจนและเหมาะสมยงิ่ ขน้ึ กิจกรรมที่ 1.1 การสงั เกต การวัด และการคํานวณ (ใช้เวลา 10 นาที) จดุ ประสงค์ 1. บันทกึ ผลการสงั เกตไดถ้ ูกตอ้ ง 2. บอกประสาทสัมผสั ทใี่ ช้ในการสังเกตได้ถูกตอ้ ง 3. บอกชนิดของข้อมูลที่ไดจ้ ากการสังเกตได้ถูกต้อง 4. ระบุการใช้ทักษะการสังเกต ทกั ษะการวัด ทักษะการคํานวณได้ 5. คาํ นวณหาค่าเฉลีย่ จากข้อมูลท่กี ําหนดให้ได้ถูกต้อง 1. จงทําเคร่ืองหมายถูก () หน้าข้อความที่บันทึกการสังเกตได้ถูกต้องและทําเครื่องหมายผิด () หน้าขอ้ ความทบ่ี ันทึกการสงั เกตไม่ถกู ตอ้ ง พรอ้ มทั้งบอกประสาทสัมผัสที่ใช้ในการสังเกตและประเภท ของข้อมลู ทไ่ี ดจ้ ากการสังเกต ข้อความ ประสาทสัมผัสท่ใี ช้ ประเภทของข้อมูล …....1. เมอื่ จดุ ประทัดจะเกิดเสียงดงั “ปัง” …....2. ผ้าไหมสฟี ้าผนื นี้มีเนื้อนุ่มมาก …....3. คนื นท้ี อ้ งฟ้ามดี าวหลายรอ้ ยดวง …....4. มะมว่ งสเี หลอื งผลน้ีมรี สหวาน …....5. วนั นมี้ ีเมฆคร้มึ ฝนตกแน่ ๆ …....6. เม่ือบบี มะนาวลงไปในชาทําให้ชามีสีซดี …....7. สบู่สเี ขยี วก้อนน้ีมีกลิ่นหอม …....8. น้าํ แก้วนี้มีอุณหภมู ิประมาณ 25 0C …....9. ดา่ งทับทมิ ทําให้ผกั สะอาด …....10. แปง้ ข้าวโพดถุงนีม้ ีเนื้อละเอยี ด โกศล อนิ นวล วิทยาศาสตรเ์ พ่อื พัฒนาทกั ษะชีวติ (2000-1301)

วิทยาศาสตร์เพ่อื พฒั นาทักษะชีวติ 2. ในการทดลองต้องใช้สารแอมโมเนีย ซ่ึงมีลักษณะเป็นของเหลวสีเหลืองและมีกล่ินฉุน ต้องใช้ หลอดฉีดยาดูดสารคร้ังละ 30 ลูกบาศก์เซนติเมตร ไปใส่ในหลอดทดลองขนาดใหญ่ 4 หลอด ดังนั้นผู้ทดลองตอ้ งเตรยี มสารแอมโมเนียไวส้ าํ หรบั การทดลอง 120 ลูกบาศก์เซนติเมตร 2.1 จากข้อความในสถานการณ์ทก่ี าํ หนดให้ช่วงใดเปน็ การใช้ทักษะการสังเกต ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ 2.2 ในการทดลองชว่ งใดที่มกี ารใชท้ กั ษะการวดั ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ 2.3 จากขอ้ ความในสถานการณท์ ี่กาํ หนดให้ช่วงใดเปน็ การใชท้ ักษะการคาํ นวณ ................................................................................................................................................................ .......................................................................................................................................... ...................... 3. ในการทําข้อสอบวิชาวทิ ยาศาสตร์เพอ่ื พัฒนาทักษะชวี ติ จาํ นวน 60 ขอ้ ของนักเรียนระดับชั้น ปวช. จาํ นวน 30 คน ทําคะแนนสอบได้ ดังน้ี คะแนนทไ่ี ด้ จาํ นวนนกั เรยี น(คน) 54 5 52 6 45 10 38 6 30 3 คะแนนเฉล่ียในการการทําข้อสอบวิชาวิทยาศาสตร์เพื่อพัฒนาทักษะชีวิต ของนักเรียนชั้น ปวช. มีค่าเท่าใด จงแสดงขั้นตอนในการหาค่าเฉล่ียของคะแนน ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ .......................................................................................................................................................... ...... 3.1.4 ทักษะการจาแนกประเภท (classification) หมายถึง ความสามารถในการ จําแนกหรือจัดจําพวกวัตถุหรือเหตุการณ์ออกเป็นประเภทต่าง ๆ โดยมีเกณฑ์ที่ใช้พิจารณาจาก โกศล อนิ นวล วิทยาศาสตร์เพอื่ พฒั นาทักษะชีวิต (2000-1301)

วทิ ยาศาสตรเ์ พ่ือพฒั นาทกั ษะชีวติ ลักษณะหรือสมบัติบางประการที่เหมือนกัน แตกต่างกัน หรือสัมพันธ์กันอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น การจําแนกประเภทสาร การแบ่งประเภทของส่ิงมีชีวิต การจําแนกประเภทของพลังงาน ซึ่งการ จําแนกประเภทสิ่งต่าง ๆ ออกเป็นหมวดหมูช่วยให้เกิดความสะดวกในการศึกษาค้นคว้า สาร สารเนื้อเดียว สารเนือ้ ผสม ผสมว สารละลาย สารบริสุทธ์ิ ดียว ดยี ว ธาตุ สารประกอบ ดยี ว ภาพท่ี 1.1 การจําแนกสารโดยใช้เนอื้ สารเป็นเกณฑ์ 3.1.5 ทักษะการหาความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกับสเปสและสเปสกับเวลา (space/space relationship and space time relationship) สเปสของวัตถุ หมายถึง ที่ว่างที่วัตถุนั้นครอบครองอยู่ซึ่งจะมีรูปร่างและลักษณะ เชน่ เดยี วกบั วตั ถุ โดยท่วั ไปสเปสของวัตถจุ ะมี 1 มิติ (ความยาว) 2 มติ ิ (ความกว้าง และความยาว) และ 3 มติ ิ (ความกว้าง ความยาว และความสูง) ความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกับสเปสของวัตถุ ได้แก่ ความสัมพันธ์ระหว่าง 3 มิติ กบั 2 มิติ หรอื ความสมั พนั ธ์ระหว่างตาํ แหนง่ ที่อยูข่ องวตั ถหุ น่ึงกับอีกวตั ถุหนึง่ ความสัมพันธ์ระหว่างสเปสของวัตถุกับเวลา ได้แก่ ความสัมพันธ์ระหว่างการเปลี่ยน ตําแหน่งทอ่ี ย่ขู องวตั ถุกับเวลา หรือความสัมพันธร์ ะหวา่ งสเปสของวัตถุทเ่ี ปลยี่ นไปกับเวลา ทักษะการหาความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกับสเปสและสเปสกับเวลา หมายถึง ความสามารถในการสังเกตรูปร่างของวัตถุ โดยการเปรียบเทียบกับตําแหน่งของผู้สังเกตกับการมอง ในทิศทางต่าง ๆ กัน โดยการเคลื่อนที่ การผ่า การหมุน การตัดวัตถุ ผลที่เกิดขึ้นจากการ เปล่ียนแปลงได้ สังเกตการเคลื่อนไหวของวัตถุโดยสามารถนึกเห็นและจัดกระทํากับวัตถุ และ โกศล อินนวล วิทยาศาสตรเ์ พื่อพัฒนาทักษะชวี ติ (2000-1301) C ด้านบน สารเนือ้ ผสม

วิทยาศาสตร์เพ่อื พฒั นาทักษะชีวิต เหตุการณ์เกี่ยวกับรูปร่าง เวลา ระยะทาง ความเร็ว ทิศทาง และการเคลื่อนไหว เพื่อบอก ความสัมพันธ์ของมิตแิ ละภาวะการณน์ ัน้ ตัวอย่างเช่น การเขียนรูปฉากของรูปสามมิติใด ๆ สําหรับ พน้ื ฐานการเขียนแบบ AB C 3.1.6 ทักษะการจัดกระทาและสื่อความหมายข้อมูล (organizing data and communication) หมายถงึ ความสามารถในการนําข้อมูลที่ได้จากการสังเกต การวัด การทดลอง หรือจากแหล่งอ่ืน ๆ มาจัดกระทําใหม่อย่างเป็นระบบด้วยใช้วิธีการต่าง ๆ เช่น การจัดเรียงลําดับ การแยกประเภท การหาความถ่ี หรือคํานวณหาค่าอื่น ๆ เพิ่มเติม เพ่ือให้ข้อมูลมีความชัดเจนและ เกดิ ความเข้าใจทต่ี รงกนั ของผูศ้ ึกษา โดยเลือกรูปแบบท่ีเหมาะสมกบั ลักษณะของข้อมูล เช่น ตาราง กราฟ แผนภมู ิ แผนภาพ สมการ วงจร หรือสรา้ งส่ืออนื่ ๆ ประกอบการพูดหรือการเขียนบรรยาย เพ่ือให้ผอู้ ื่นเขา้ ใจสง่ิ ท่ีต้องการสอื่ ไดช้ ัดเจนถูกต้องรวดเร็วและง่ายต่อการแปลความหมาย ตัวอย่างเช่น การจะอธบิ ายเก่ยี วกบั ส่วนประกอบของถ่านไฟฉาย ถ้าจะเขียนบรรยายเป็นข้อความอาจทําให้เข้าใจยาก จึงต้องจัดกระทํากับขอ้ มลู ใหม่เพ่ือสอื่ ความหมายใหเ้ ขา้ ใจงา่ ยข้นึ ในรูปของแผนภาพ ดังภาพท่ี 1.3 ขวั้ บวก แทง่ ถา่ นโลหะสังกะสี โกศล อินนวล แอมโมเนยี มคลอไรด์ + แมงกานีสไดออกไซด์ + ผงถ่าน ขว้ั ลบ ภาพที่ 1.3 สว่ นประกอบของถา่ นไฟฉาย ทมี่ า : http://www.myfirstbrain.com วิทยาศาสตร์เพอื่ พัฒนาทกั ษะชวี ิต (2000-1301)

วทิ ยาศาสตร์เพ่อื พฒั นาทกั ษะชีวิต จากผลการทดลองวัดปริมาณน้ําฝนที่ตกในแต่ละวัน ตั้งแต่วันที่ 1 ถึงวันที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2556 ดังน้ี วนั ที่ 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 ปริมาณนํ้าฝน (mm3) 20 60 24 30 11 15 60 30 18 40 สามารถเสนอในรูปกราฟเสน้ เพือ่ ง่ายและรวดเร็วตอ่ การทําความเข้าใจ ข้อมูลมีความต่อเนื่อง และเห็นการเปลย่ี นแปลงของข้อมูลทีช่ ัดเจน ดังภาพที่ 1.4 ปริมาณนํา้ ฝน (mm3) วนั ท่ี 70 60 50 40 30 20 10 0 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 ภาพท่ี 1.4 กราฟแสดงปริมาณนํา้ ฝนที่ตกในแต่ละวนั ต้งั แตว่ นั ที่ 1-10 สงิ หาคม 2556 3.1.7 ทักษะการลงความเห็นจากข้อมูล (inferring) หมายถึง ความสามารถในการ อธิบายข้อมูลที่มีอยู่อย่างมีเหตุผล โดยใช้ความรู้หรือประสบการณ์เดิมมาช่วยในการอธิบายให้ มาสมั พันธก์ บั ข้อมลู ทตี่ นเองมอี ยู่ ขอ้ มลู ท่ีมีอยูอ่ าจไดม้ าจากการสังเกต การวดั การทดลอง ขอ้ มูลจากการสังเกต การลงความเห็นส่วนตวั (ใชป้ ระสาทสมั ผัสทัง้ 5) (ใช้ความรแู้ ละประสบการณเ์ ดิม) โกศล อินนวล ลงความเหน็ จากข้อมูล วิทยาศาสตรเ์ พือ่ พฒั นาทกั ษะชวี ิต (2000-1301)

วทิ ยาศาสตรเ์ พ่อื พฒั นาทักษะชวี ิต การลงความเห็นของแต่ละคนอาจแตกต่างกัน ฉะนั้นในข้อมูลชุดเดียวกันการลงความเห็น ของคน 2 คน อาจแตกตา่ งกนั ตัวอย่างเชน่ ข้อมลู จาการสงั เกต การลงความเหน็ จากข้อมูล 1. มรี ถ 2 คนั 1. รถคันสีแดง ลากรถคันสีขาว 2. รถคันสีแดง ลากรถคันสีขาว เพราะรถคันสีขาวน้าํ มันหมด 2. รถคนั สีแดง ลากรถคนั สขี าว เพราะรถคนั สขี าวเสีย 3.1.8 ทักษะการการพยากรณ์ (prediction) หมายถึง ความสามารถในการทํานาย หรือคาดคะเนคาํ ตอบล่วงหน้าก่อนการทดลอง โดยอาศัยปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นซํ้า ๆ โดยใช้ข้อมูล ท่ีเป็นหลกั การ กฎ หรือทฤษฎีท่ีมีอยู่แล้วในเรื่องนั้นมาช่วยในการสรุป เช่น การพยาการณ์อากาศ ของกรมอตุ ุนิยมวทิ ยาจะเก็บข้อมลู จากสถานตี รวจอากาศท่ีได้วัดปริมาณฝน ความเร็วและทิศทางลม อณุ หภมู ิ ความกดอากาศ ฯลฯ แลว้ นํามาหาความสัมพันธ์ของลักษณะอากาศในวันนั้นเพื่อพยากรณ์ ลักษณะอากาศในวนั ตอ่ ไป การพยากรณ์มี 2 ทาง คือ การพยากรณ์ภายในขอบเขตข้อมูลท่ีมีอยู่และการพยากรณ์ ภายนอกขอบเขตข้อมูลท่ีมีอยู่ ตัวอย่างการพยากรณ์จากข้อมูลการทดลองหาระยะเวลาที่ใช้ ในการหลอมเหลวนา้ํ แขง็ ในปริมาณต่าง ๆ ไดผ้ ลการทดลอง ดงั ในตารางที่ 1.1 ตารางที่ 1.1 เวลาทใ่ี ช้ในการหลอมเหลวนํา้ แข็งในปริมาณต่าง ๆ ปริมาณน้าํ แข็ง (กรมั ) เวลาหลอมเหลว(นาที) 100 5 150 10 200 15 250 20 300 25 จากข้อมูลในตารางท่ี 1.1 สามารถพยากรณ์ได้ว่าปริมาณนํ้าแข็ง 125 กรัม ใช้เวลาในการ หลอมเหลว 7.5 นาที ซึ่งเปน็ การพยากรณ์ภายในขอบเขตข้อมูล ส่วนการพยากรณ์นอกขอบเขต ข้อมูลในตารางที่มีอยู่ เช่น ปริมาณน้ําแข็ง 500 กรัม ใช้เวลาในการหลอมเหลว 45 นาที โกศล อินนวล วิทยาศาสตรเ์ พอ่ื พฒั นาทกั ษะชีวติ (2000-1301)

วทิ ยาศาสตรเ์ พอื่ พัฒนาทกั ษะชีวติ จากข้อมูลในตารางจะเห็นว่ามีการทดลองที่ปริมาณน้ําแข็งมากที่สุด 300 กรัม การพยากรณ์ ท่ปี ริมาณน้าํ แขง็ 500 กรมั จึงเปน็ การพยากรณน์ อกขอบเขตข้อมูล 3.2 ทักษะขั้นบรู ณาการ มี 5 ทักษะ ประกอบด้วย 3.2.1 ทักษะการกาหนดและควบคุมตัวแปร (identifying and controlling variables) หมายถึง ความสามารถในการชี้บ่งตัวแปรต้น ตัวแปรตาม และตัวแปรที่ต้องควบคุม ในสมมติฐานหนึ่ง ๆ การทดลองทางวิทยาศาสตร์เป็นการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร แบ่งออกเป็น 3 ชนิด ดังนี้ 1) ตวั แปรตน้ หรือตัวแปรอสิ ระ คอื สงิ่ ท่เี ปน็ สาเหตุที่ทําให้เกิดผลต่าง ๆ หรือสิ่งท่ี เราต้องการศึกษาทดลองดูว่าเป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดผลเช่นนั้นจริงหรือไม่ เป็นตัวแปรที่เรากาํ หนด ข้ึนมาไม่อย่ใู นความควบคุมของตัวแปรใด ๆ 2) ตัวแปรตาม คือ ส่ิงท่ีเป็นผลต่อเนื่องมาจากตัวแปรต้น เป็นตัวแปรที่ไม่มี ความเปน็ อสิ ระในตัวมนั เองเปล่ียนแปลงไปตามตวั แปรต้นเพราะเปน็ ผลของตวั แปรต้น 3) ตวั แปรควบคมุ คอื สงิ่ อ่นื ๆ ท่ีอยู่นอกเหนือจากตัวแปรต้น ซ่ึงอาจมีอิทธิพล ต่อตวั แปรตามทท่ี าํ ให้ผลการทดลองคลาดเคลื่อนไดแ้ ละต้องควบคมุ ให้เหมือน ๆ กนั ตัวอย่างเช่น จากปัญหา “ผ้าสีใดที่สามารถดูดความร้อนได้น้อยที่สุดเมื่อนําไปวางไว้ กลางแดด” ตัวแปรต้น ไดแ้ ก่ ผ้าสตี า่ ง ๆ ตัวแปรตาม ไดแ้ ก่ อุณหภูมิของผ้าที่เพิม่ ข้ึน ตัวแปรควบคุม ได้แก่ ชนิดของผ้า ขนาดของผ้า วิธีการห่อเทอร์มอมิเตอร์ด้วยผ้า สถานท่ีวางผ้า ระยะเวลาที่วางกลางแดด 3.2.2 ทักษะการตัง้ สมมติฐาน (formulation hypothesis) หมายถึง ความสามารถ คดิ หาคาํ ตอบล่วงหนา้ กอ่ นการทดลอง โดยอาศัยการสังเกต ความรู้และประสบการณ์เดิมท่ีมีเหตุผล เปน็ พนื้ ฐานคําตอบทคี่ ดิ ลว่ งหน้าซง่ึ ยงั ไมท่ ราบหรือยงั ไม่เป็นหลักการ กฎ หรือทฤษฎที ่ีมีมากอ่ น ในการต้ังสมมติฐานแต่ละคร้ังของการทดลอง ต้องหาสาเหตุของปัญหานั้นเสียก่อนหรือ วิเคราะห์ว่ามีตัวแปรต้นอะไรบ้างท่ีมีผลต่อตัวแปรตามแล้วเลือกตัวแปรต้น (สาเหตุ) ที่เป็นไปได้มาก ท่ีสุดมาคร้ังละตัวเพ่ือใช้ต้ังสมมติฐาน การตั้งสมมติฐานมักกล่าวไว้เป็นข้อความที่บอกความสัมพันธ์ ระหว่างตัวแปรตน้ กับตัวแปรตาม สมมติฐานทด่ี ชี ว่ ยทําให้การออกแบบและดําเนินการทดลองเพื่อหา คําตอบได้อย่างมีประสทิ ธิภาพ สมมตฐิ านทตี่ งั้ ไวอ้ าจถูกหรือผดิ กไ็ ดซ้ งึ่ จะทราบได้หลังจากการทดลอง หาคําตอบเพอ่ื สนบั สนุนหรอื คัดคา้ นสมมตฐิ านท่ตี งั้ ไว้ โกศล อนิ นวล วิทยาศาสตรเ์ พือ่ พัฒนาทกั ษะชีวติ (2000-1301)

วทิ ยาศาสตรเ์ พือ่ พัฒนาทักษะชีวติ ตวั อย่างเช่น นักเรยี นคนหนง่ึ ตอ้ งการจะทราบว่า น้ําหมักจากพืชแห้งชนิดใดเม่ือนํามาเลี้ยง ปลากดั แล้วจะทาํ ให้ปลากัดมสี เี ข้มขนึ้ เขาจึงนําพืชแห้งชนิดต่าง ๆ ได้แก่ ฟางข้าว ใบตอง ใบฝร่ัง และใบหูกวาง ในปริมาณที่เท่ากันมาหมักเลี้ยงปลากัด ในการศึกษาครั้งนี้เขาตั้งสมมติฐานว่า “น้าํ หมกั จากพืชแห้งแตล่ ะชนดิ มผี ลตอ่ ความเข้มของสีปลากัด” การตั้งสมมติฐานอาจใช้คําว่า ถ้า......(ตัวแปรต้น)......มีผลต่อ......(ตัวแปรตาม) ดังนั้น...... (ตัวแปรต้น).....ต่างกัน.....(ตัวแปรตาม).....จะแตกต่างกัน เช่น ถ้านาํ้ หมักจากพืชแห้งแต่ละชนิด มีผลต่อความเข้มของสีปลากัด ดังนั้นปลากัดที่เลี้ยงด้วยนํ้าหมักจากจากพืชแห้งต่างชนิดกัน ความเข้มของสีปลากัดจะแตกต่างกัน กิจกรรมที่ 1.2 การกาํ หนดและควบคุมตัวแปร การตัง้ สมมติฐาน (ใช้เวลา 10 นาที) จุดประสงค์ บอกตัวแปรต้น ตัวแปรตาม ตัวแปรควบคุม และตั้งสมมติฐานได้ คาช้แี จง ให้นักเรียนพิจารณาปัญหา ตัวแปร และสมมติฐานจากตัวอย่างต่อไปนี้ แล้วตอบคําถามจากปัญหาที่กําหนดให้ ปัญหา “สารช่วยย้อมแตล่ ะชนิดมีผลตอ่ การตกสขี องผ้าท่ียอ้ มดว้ ยใบหูกวางหรอื ไม่” ตัวแปรต้น ไดแ้ ก่ ชนดิ ของสารช่วยยอ้ ม ตัวแปรตาม ไดแ้ ก่ การตกสีของผ้าที่ได้จากการยอ้ มดว้ ยใบหูกวาง ตวั แปรควบคุม ได้แก่ ปริมาณสารชว่ ยย้อม เวลาในการยอ้ ม ขนาดของผ้า ชนิดของผ้า สมมติฐาน ชนิดของสารชว่ ยยอ้ มมผี ลต่อการตกสีของผา้ ที่ได้จากการย้อมด้วยใบหูกวาง 1. การเก็บผลไม้ไว้ในท่ีอณุ หภูมิสูงจะทาํ ให้ผลไม้สุกเรว็ ข้ึน ตวั แปรต้น.......................................................................................................................................... ตวั แปรตาม........................................................................................................................................ ตวั แปรควบคมุ ................................................................................................................................... สมมตฐิ าน.......................................................................................................................................... 2. ฮอรโ์ มนมีผลต่อสีของปลาสวยงามหรือไม่ ตวั แปรต้น.................................................................................................................... ...................... ตวั แปรตาม.................................................................................................................... .................... ตัวแปรควบคุม................................................................................................ ................................... สมมตฐิ าน..................................................................................................................... ..................... โกศล อนิ นวล วิทยาศาสตร์เพือ่ พัฒนาทักษะชีวติ (2000-1301)

วทิ ยาศาสตรเ์ พือ่ พัฒนาทักษะชีวิต 3. สารสกดั จากพชื แต่ละชนดิ มผี ลตอ่ การกาํ จัดลูกนาํ้ ยงุ ลายหรือไม่ ตวั แปรตน้ .................................................................................................................... ...................... ตวั แปรตาม........................................................................................................................................ ตวั แปรควบคุม................................................................................................................................... สมมตฐิ าน..................................................................................................................... ..................... 4. อตั ราสว่ นของดอกอญั ชนั ผวิ มะกรูดและน้าํ มผี ลต่อประสทิ ธภิ าพในการขจัดคราบสกปรก บนกระจกหรือไม่ ตัวแปรตน้ .................................................................................................................... ...................... ตัวแปรตาม.................................................................................................. ...................................... ตวั แปรควบคุม................................................................................................................................... สมมตฐิ าน.......................................................................................................................................... 5. สีสกรีนผ้าทท่ี าํ จากน้าํ ยางพาราจะมคี วามคงทนต่อความรอ้ นได้ดกี วา่ สสี กรีนผ้าทวั่ ไปหรอื ไม่ ตัวแปรตน้ .................................................................................................................... ...................... ตัวแปรตาม.................................................................................................. ...................................... ตวั แปรควบคมุ ................................................................................................................................... สมมติฐาน.......................................................................................................................................... 3.2.3 ทักษะการกาหนดนิยามเชิงปฏิบัติการ (defining operationally) หมายถึง ความสามารถในการกาํ หนดความหมายและขอบเขตของคําหรือตัวแปรต่าง ๆ ให้เข้าใจตรงกัน และ สามารถสังเกตและวดั ได้ คํานยิ ามเชิงปฏิบัติการเป็นความหมายของคําศัพท์เฉพาะ เป็นภาษาง่าย ๆ ชัดเจน ไม่กาํ กวม ระบุส่ิงที่สังเกตได้และระบุการกระทําซึ่งอาจเป็นการวัด การทดสอบ การทดลองไว้ด้วย การกําหนดนิยามเชิงปฏิบัติการจะแตกต่างจากการกําหนดนิยามทั่ว ๆ ไป เพราะการ กาํ หนดนิยามท่ัว ๆ ไป เป็นการให้ความหมายของคาํ หรือข้อความอย่างกว้าง ๆ ส่วนการกําหนด นยิ ามเชงิ ปฏบิ ัติการ เป็นการกําหนดความหมายให้เข้าใจตรงกันสามารถสังเกตและวัดได้ในสถานการณ์ นั้น ๆ เชน่ การใหน้ ยิ ามของแกส๊ ออกซเิ จน นิยามท่วั ๆ ไป ออกซเิ จนเป็นแก๊สที่มีเลขอะตอมเท่ากบั 8 และมวลอะตอมเท่ากบั 16 (ทกุ คนเขา้ ใจตรงกันแตส่ ังเกตและวดั ไม่ได)้ นยิ ามเชงิ ปฏิบตั กิ าร โกศล อนิ นวล วิทยาศาสตรเ์ พ่ือพฒั นาทกั ษะชีวติ (2000-1301)

วิทยาศาสตร์เพอ่ื พัฒนาทักษะชวี ิต ออกซิเจนเปน็ แก๊สทชี่ ว่ ยในการติดไฟของสาร เม่ือนําก้อนถ่านท่ีคุแดงแหย่ลงไปในแก๊ส นัน้ แล้วกอ้ นถา่ นน้ันจะลกุ เป็นเปลวไฟ (ทุกคนเขา้ ใจตรงกนั สงั เกตและวัดได)้ ตวั อยา่ งเช่น การศึกษาประสทิ ธภิ าพของกบั ดักแมลงวนั 3 ชนิด โดยทดลองวางกับดกั แมลงวันทงั้ 3 ชนิด ไวใ้ นบริเวณเดียวกนั แลว้ นบั จาํ นวนแมลงวันทเ่ี ข้ามาตดิ กับดักในแต่ละวนั เป็นเวลา 3 วัน สามารถกาํ หนดนิยามเชิงปฏิบัติการของ “ประสิทธิภาพของกับดักแมลงวัน” คือ ความสามารถในการล่อแมลงวันเข้ามาติดกับดัก วัดได้จากจาํ นวนแมลงวันท่ีเข้ามาติดกับดัก ในระยะเวลา 1 วัน ต่อจํานวนแมลงวันท่ีบินผ่าน 3.2.4 ทกั ษะการทดลอง (experimenting) หมายถึง กระบวนการปฏิบัติการเพ่ือหา คําตอบหรือทดสอบสมมติฐานท่ีตั้งไว้ ในการดําเนินการทดลองผู้ทดลองจะต้องนาํ เอากระบวนการ ข้ันอื่น ๆ มาใช้ประกอบกัน ความสําเร็จของการทดลองจึงข้ึนอยู่กับองค์ประกอบหลายประการ ด้วยกัน ในการทดลองประกอบดว้ ยกจิ กรรม 3 ข้นั ตอน คอื 1) การออกแบบการทดลอง หมายถงึ การวางแผนการทดลองก่อนลงมือทดลอง จริง การออกแบบการทดลองจะต้องสัมพันธ์กับสมมติฐานท่ีจะตรวจสอบ ซ่ึงจะต้องกําหนดตัวแปร จัดหาวัสดุอปุ กรณ์ และกาํ หนดขั้นตอนการทดลอง 2) การปฏิบัติการทดลอง หมายถึง การลงมือปฏิบัติการทดลองจริงและใช้ อุปกรณ์ทจ่ี ดั เตรียมไวอ้ ย่างถกู ต้องเหมาะสม 3) การบันทึกผลการทดลอง หมายถึง การจดบันทึกข้อมูลที่ได้จากการทดลอง ซ่ึงอาจเป็นผลของการสังเกต การวัด บันทึกลงในตารางหรือกราฟของความสัมพันธ์ของตัวแปรต้น และตัวแปรตามไดถ้ กู ต้องเที่ยงตรง กจิ กรรมที่ 1.3 การทดลอง (ใชเ้ วลา 15 นาที) จุดประสงค์ ออกแบบการทดลอง ปฏิบัติการทดลอง และบันทึกผลการทดลองได้ คาช้ีแจง ให้นักเรียนออกแบบการทดลอง ปฏิบัติการทดลอง และบันทึกผลการทดลอง จากสมมติฐานที่กําหนดให้ สมมตฐิ าน : พื้นทีผ่ ิวของสารมีผลต่ออัตราการเกดิ ปฏิกริ ยิ าเคมี ตัวแปรต้น : …………………………………………………………………………………………………………………….. ตัวแปรตาม : …………………………………………………………………………………………………………………….. โกศล อนิ นวล วิทยาศาสตรเ์ พ่ือพัฒนาทักษะชวี ิต (2000-1301)

วทิ ยาศาสตร์เพื่อพฒั นาทักษะชีวิต ตัวแปรควบคมุ : …………………………………………………………………………………………………………………….. วัสดอุ ุปกรณแ์ ละสารเคมี ................................................................................................................................................................ ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… วิธีการทดลอง ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ............................................................................................................................. ................................... ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ผลการทดลอง ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ............................................................................................................................. ................................... ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ............................................................................................................................. ................................... ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… 3.2.5 ทักษะการตีความหมายข้อมูลและลงข้อสรุป (interpreting data and conclusion) โกศล อนิ นวล วิทยาศาสตรเ์ พื่อพฒั นาทกั ษะชวี ิต (2000-1301)

วิทยาศาสตรเ์ พ่ือพฒั นาทักษะชีวติ การตีความหมายขอ้ มลู หมายถงึ การแปลความหมายหรือบรรยายลักษณะของข้อมูล ซึง่ เปน็ ผลทีไ่ ด้จากการทดลองทไี่ ดจ้ ัดกระทาํ และอยใู่ นรปู แบบท่ีใช้ในการสื่อความหมายแล้ว ซึ่งอาจ อยู่ในรปู ตาราง กราฟ หรอื แผนภมู ติ ่าง ๆ เพ่ือให้ผู้อ่ืนทราบว่าการทดลองเร่ืองนั้นได้ผลเป็นอย่างไร เปน็ ไปตามสมมติฐานท่ีตงั้ ไวห้ รือไม่ การลงข้อสรุป เป็นการสรุปความสัมพันธ์ของข้อมูลทั้งหมด ท่ีอธิบายความสัมพันธ์ ระหวา่ งตวั แปรต้นกับตวั แปรตามภายในขอบเขตของการทดลองนน้ั ๆ ตัวอย่าง ตารางแสดงการละลายสาร A ในของเหลว B จํานวน 100 cm3 ท่ีอุณหภูมิ ของของเหลวตา่ ง ๆ กนั อณุ หภูมิของเหลว A (oC) ปรมิ าณสาร B ที่ละลายในของเหลว A (กรัม) 20 10 40 16 60 26 80 45 การตคี วามหมายข้อมลู  ทอ่ี ุณหภูมิ 20 oC สาร B ละลายในของเหลว A ได้ 10 กรัม  ทอี่ ุณหภูมิ 40 oC สาร B ละลายในของเหลว A ได้ 16 กรัม  ที่อณุ หภูมิ 60 oC สาร B ละลายในของเหลว A ได้ 26 กรมั  ทอ่ี ณุ หภมู ิ 80 oC สาร B ละลายในของเหลว A ได้ 45 กรมั การลงขอ้ สรุป  เมือ่ อณุ หภมู ิของของเหลว A เพิ่มขึ้น สาร B ละลายใน ของเหลว A ไดม้ ากขึน้  อณุ หภูมิของของเหลว A มผี ลต่อปรมิ าณการละลายของสาร B จากกราฟ ภาพท่ี 1.4 แสดงปริมาณนา้ํ ฝนทตี่ กในแต่ละวัน ตั้งแต่วนั ท่ี 1-10 สิงหาคม 2556 ปริมาณนาํ้ ฝน (mm3) 70 60 50 40 30 20 โกศล อนิ นวล 10 วิทยาศาสตรเ์ พ่ือพฒั นาทกั ษะชีวิต (2000-1301) 0 วนั ที่ 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10

วิทยาศาสตร์เพ่อื พฒั นาทกั ษะชวี ิต การตีความหมายข้อมลู  วันท่ี 1 มีปริมาณนาํ้ ฝน 20 mm3 การลงข้อสรปุ  วันท่ี 2 มีปริมาณน้ําฝน 60 mm3  วนั ท่ี 3 มีปริมาณน้ําฝน 24 mm3  วนั ท่ี 4 มีปรมิ าณนาํ้ ฝน 30 mm3  วันท่ี 5 มปี รมิ าณนาํ้ ฝน 11 mm3  วันที่ 6 มปี รมิ าณนาํ้ ฝน 15 mm3  วนั ที่ 7 มปี รมิ าณนาํ้ ฝน 60 mm3  วนั ที่ 8 มปี รมิ าณนาํ้ ฝน 30 mm3  วนั ที่ 9 มีปริมาณน้ําฝน 18 mm3  วนั ที่ 10 มีปริมาณน้ําฝน 40 mm3  ในแตล่ ะวนั มีปรมิ าณนํา้ ฝนแตกต่างกนั  วนั ท่ี 5 ปริมาณนาํ้ ฝนนอ้ ยที่สุด มีปรมิ าณ 11 mm3  วันท่ี 2 และวนั ที่ 7 ปริมาณนํ้าฝนมากที่สุด มปี ริมาณ 60 mm3 4. เจตคติวทิ ยาศาสตร์ เจตคติทางวทิ ยาศาสตรเ์ ป็นสงิ่ สาํ คัญอยา่ งหน่ึงท่ีจะต้องปลูกฝังให้เกิดขึ้นเป็นเสมือนตัวกํากับ ความคิด การกระทํา การตดั สินใจในการปฏิบตั ิงานทางวิทยาศาสตร์ เจตคตทิ างวทิ ยาศาสตร์ (Scientific Attitudes) หมายถึง คณุ ลกั ษณะทกี่ อ่ ให้เกิดประโยชน์ ในการแสวงหาความรู้ทางวทิ ยาศาสตร์ คุณลกั ษณะของบุคคลท่ีมีเจตคตทิ างวทิ ยาศาสตร์ มลี กั ษณะดังน้ี 4.1 มคี วามอยากรอู้ ยากเห็น - มีความพยายามทจ่ี ะเสาะแสวงหาความรู้ในสถานการณ์ใหม่ ๆ ซึ่งไม่สามารถอธิบาย ไดด้ ้วยความรูท้ ีม่ ีอยู่เดมิ - ตระหนักถงึ ความสําคัญของการแสวงหาข้อมูลเพ่มิ เติม - ชา่ งซกั ช่างถาม ชา่ งอ่าน เพื่อใหไ้ ดค้ าํ ตอบเป็นความรู้ท่ีสมบูรณ์แบบยิ่งข้ึน โกศล อนิ นวล วิทยาศาสตร์เพ่อื พัฒนาทกั ษะชวี ติ (2000-1301)

วิทยาศาสตรเ์ พ่ือพฒั นาทักษะชีวิต - ให้ความสนใจในเรื่องท่ีเก่ียวข้องกับวิทยาศาสตร์ท่ีกําลังเป็นปัญหาสําคัญใน ชีวิตประจาํ วนั 4.2 มีใจกวา้ ง - ยอมรับการวพิ ากษ์วิจารณ์ และยินดใี หม้ ีการพสิ จู น์ตามเหตุผลและขอ้ เท็จจรงิ - เตม็ ใจทีจ่ ะรบั รู้ความคดิ ใหม่ๆ - เตม็ ใจที่จะเผยแพรค่ วามรูแ้ ละความคิดเหน็ แก่ผ้อู น่ื - ตระหนักและยอมรบั ข้อจาํ กัดของความรู้ทค่ี น้ พบในปจั จบุ ัน 4.3 มีความซ่อื สัตยแ์ ละมใี จเป็นกลาง - สงั เกตและบันทกึ ผลตา่ งๆโดยปราศจากความลําเอยี งหรืออคติ - ไม่นําสภาพทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองมาเกี่ยวข้องกับการตีความหมาย ผลงานต่าง ๆ ทางวทิ ยาศาสตร์ - ไมย่ อมใหค้ วามชอบหรือไมช่ อบสว่ นตวั มามอี ทิ ธพิ ลเหนือการตัดสนิ ใดๆ - มีความมน่ั คง หนกั แนน่ ต่อผลทไ่ี ดจ้ ากการพสิ จู น์ - เป็นผู้ซอื่ ตรง อดทน ยตุ ธิ รรม และละเอียดรอบคอบ 4.4 มีความเพยี รพยายาม - ทํากจิ การงานที่ได้รับมอบหมายอยา่ งสมบรู ณ์ - ไมท่ ้อถอย เมอ่ื การทดลองมีอปุ สรรคหรือลม้ เหลว - มคี วามต้งั ใจแน่วแน่ตอ่ การเสาะแสวงหาความรู้ 4.5 มเี หตุผล - เชอ่ื ในความสาํ คญั ของเหตุผล - ไม่เชื่อโชคลาง คําทํานาย หรือส่ิงศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ที่ไม่สามารถอธิบายทาง วทิ ยาศาสตร์ได้ - แสวงหาสาเหตุของเหตุการณ์ต่าง ๆ และหาความสัมพันธ์ของสาเหตุนั้นกับผล ทเ่ี กดิ ข้ึนได้ - ต้องการทีจ่ ะรู้ปรากฏการณต์ ่าง ๆ นัน้ เป็นอย่างไร และทําไมจึงเป็นอย่างน้นั 4.6 มคี วามละเอยี ดรอบคอบกอ่ นการตัดสินใจ - ใช้วิจารณญาณก่อนทจี่ ะตดั สินใจใดๆ - ไมย่ อมรับสิง่ ใดว่าเป็นความจรงิ ทนั ที ถ้ายงั ไม่มกี ารพสิ ูจนท์ ่เี ชอ่ื ถือได้ - หลกี เล่ียงการตัดสินใจและการสรปุ ที่รวดเรว็ เกินไป โกศล อินนวล วิทยาศาสตร์เพ่อื พฒั นาทักษะชีวติ (2000-1301)

วทิ ยาศาสตรเ์ พื่อพัฒนาทกั ษะชีวิต 5. โครงงานวิทยาศาสตร์ 5.1 ความหมายโครงงานวิทยาศาสตร์ โครงงานวิทยาศาสตร์ (Science project) หมายถึง การศึกษาเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยีที่ผู้เรียนสนใจด้วยตนเองโดยใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์เป็นแนวทางในการค้นคว้า และแกป้ ัญหา ภายใต้คําแนะนาํ ปรึกษาของครหู รือผ้เู ช่ยี วชาญ การทําโครงงานวิทยาสตร์ เป็นกิจกรรมท่ีส่งเสริมให้ผู้เรียนมีการศึกษาค้นคว้าและแก้ปัญหา มีการวางแผนที่จะศึกษา ภายในขอบเขตของระดับความรู้ ระยะเวลา และอุปกรณ์ที่มีอยู่ และลงมือ ศึกษา สํารวจ ทดลอง เพ่ือรวบรวมข้อมูล แล้วนํามาประมวลผลจนได้ข้อสรุปออกมาเป็นผลงานท่ีมี ความสมบรู ณ์ในตัวเอง โดยทําเป็นกลุ่มหรือรายบุคคลก็ได้ จะทําในเวลาเรียนหรือนอกเวลาเรียนก็ได้ โดยไม่จํากัดสถานท่ี 5.2 จดุ มุง่ หมายของโครงงานวทิ ยาศาสตร์ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้กําหนดจุดมุ่งหมายของการทํา โครงงานวิทยาศาสตร์ไว้ดังน้ี 5.2.1 เพือ่ ให้นักเรยี นใช้ความรู้และประสบการณ์เลอื กทําโครงงานตามความสนใจ 5.2.2 เพื่อให้นักเรียนได้ศึกษาค้นคว้าหาความรู้ หาข้อมูลจากแหล่งความรู้ต่าง ๆ ดว้ ยตนเอง 5.2.3 เพ่ือให้นกั เรยี นได้แสดงออกซึง่ ความคดิ สรา้ งสรรค์ 5.2.4 เพื่อให้นักเรียนมีเจตคติที่ดีต่อกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เห็นคุณค่าของ การใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในการแก้ปัญหาต่าง ๆ 5.2.5 เพ่อื ใหน้ ักเรยี นไดแ้ นวทางในการประยกุ ต์ใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในแตล่ ะทอ้ งถิน่ จุดมุ่งหมายท่ีสําคัญของโครงงานวิทยาศาสตร์ คือให้นักเรียนนํากระบวนการทาง วิทยาศาสตรม์ าใชใ้ นการแก้ปัญหาศึกษาค้นคว้า หรือประดิษฐ์คิดค้นทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จนเกิดความชาํ นาญ 5.3 ประเภทของโครงงานวิทยาศาสตร์ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้แบ่งโครงงานวิทยาศาสตร์ ออกเป็น 4 ประเภท ดังนี้ 5.3.1 โครงงานประเภทการสํารวจ เป็นการศึกษารวบรวมปัญหาจากธรรมชาติและ ส่งิ แวดลอ้ มเพอ่ื ศึกษาหาความรู้ทีม่ อี ย่หู รอื อยู่ในธรรมชาติ โดยใชว้ ธิ ีสํารวจและรวบรวมข้อมูล แล้วนํา โกศล อนิ นวล วิทยาศาสตร์เพือ่ พัฒนาทักษะชีวิต (2000-1301)

วทิ ยาศาสตรเ์ พ่อื พัฒนาทกั ษะชีวติ ข้อมูลที่ได้มาจัดกระทําให้เป็นระบบระเบียบและสื่อความหมาย แล้วนําเสนอในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ตาราง กราฟ แผนภมู ิ และคําอธบิ ายประกอบ การทาํ โครงงานประเภทน้ีไม่มกี ารจัดหรอื กําหนดตัวแปรหรือควบคุมตัวแปร อาจกระทํา ในลกั ษณะใดลักษณะหน่งึ ต่อไปนี้ 1) การเก็บรวบรวมข้อมูลในสนามหรือในธรรมชาติได้เสร็จส้ินสมบูรณ์ โดยไม่ต้อง นาํ วสั ดุตวั อยา่ งมาวิเคราะหใ์ นหอ้ งปฏบิ ัติการ ตัวอย่างเช่น การศึกษาชนิดและปริมาณของพืชสมุนไพร ในอทุ ยานแห่งชาตเิ ขาสก การสาํ รวจอาหารท่ีนักศึกษาวิทยาลัยเทคนิคสุราษฎร์ธานีชอบรับประทาน การศกึ ษาวธิ กี ารทําลายตน้ ข้าวของตวั หนอนแมลงทีเ่ ปน็ ศัตรขู องขา้ ว 2) การเก็บรวบรวมวัสดุตัวอย่างมาวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการ ตัวอย่างเช่น การศกึ ษาปริมาณของอะฟลาทอกซนิ ในถัง่ ลสิ งป่นของร้านขายก๋วยเตี๋ยว ใน อ.เมือง จ.สุราษฎร์ธานี การสาํ รวจคุณภาพนํา้ ในแม่นา้ํ ตาปบี รเิ วณโรงงานผลิตสรุ า 3) การจําลองธรรมชาติข้ึนในห้องปฏบิ ตั กิ าร แลว้ สงั เกตและศึกษารวบรวมข้อมูล ต่าง ๆ ตัวอย่างเช่น การเล้ียงผ้ึง ด้วยการนําผึ้งมาเลี้ยงแล้วทําการศึกษารวบรวมข้อมูลต่าง ๆ เก่ียวกับการดํารงชีวิตของผึ้ง การศึกษาพฤติกรรมของมดที่เล้ียงในห้องปฏิบัติการ 5.3.2 โครงงานประเภทการทดลอง เป็นการศึกษาหาคําตอบของปัญหาใดปัญหาหนึ่ง โดยการออกแบบการทดลอง และดาํ เนินการทดลอง ลักษณะสําคัญของโครงการประเภทนี้คือ มกี ารออกแบบทดลอง เพ่อื ศกึ ษาผลของตวั แปรท่มี ตี ่อตวั แปรอีกตวั หนึ่งทตี่ อ้ งการศึกษา โดยควบคุม ตัวแปรอ่ืน ๆ ท่ีอาจมีผลต่อตัวแปรท่ีต้องการศึกษาไว้ ตัวอย่างเช่น การศึกษาสมบัติของถุงมือผ้า เคลือบยางฟองนํา้ การศึกษาการยืดอายุการเก็บรักษาผลมะนาวโดยใช้สารไคโตซาน การศึกษา สารช่วยย้อมในการยอ้ มผ้าด้วยใบหกู วาง 5.3.3 โครงงานประเภทสง่ิ ประดิษฐ์ เปน็ การพฒั นาหรอื ประดิษฐ์ หรอื การสร้างอุปกรณ์ หรือเครื่องมือเครื่องใช้เพื่อประโยชน์ใช้สอย โดยการประยุกต์ทฤษฎี หรือหลักการทางวิทยาศาสตร์ มาใช้ในการพัฒนาหรือการประดิษฐ์ดังกล่าว อาจเป็นการประดิษฐ์สิ่งใหม่ หรือการปรับปรุง เปล่ียนแปลงของเดิมที่มีอยู่แล้วให้มีประสิทธิภาพขึ้นก็ได้ หรืออาจเป็นการเสนอแบบจาํ ลองทาง ความคิดเพื่อแก้ปัญหาใดปัญหาหน่ึงก็ได้ ตัวอย่างเช่น เครื่องเตือนความร้อนในหม้อน้ํารถยนต์ เครื่องรีดเมล็ดสะตอ เคร่ืองตัดลวดรัดต้นยางพารา 5.3.4 โครงงานประเภททฤษฎี เป็นโครงงานที่เสนอทฤษฎี หรือคําอธิบายส่ิงต่าง ๆ หรือปรากฏการณ์ต่าง ๆ ซ่ึงเป็นแนวคิดใหม่ ๆ โดยมีหลักการทางวิทยาศาสตร์ หรือทฤษฎีอื่น ตลอดจนข้อมูลต่าง ๆ สนับสนุน ทฤษฎีหรือคาํ อธิบายดังกล่าวอาจใหม่ หรือขัดแย้ง หรือขยาย แนวความคดิ หรอื คาํ อธิบายเดิมท่ีมีผู้ให้ไว้ก่อนแล้วก็ได้ อาจเป็นการอธิบายปรากฏการณ์เก่าในแนวใหม่ โกศล อนิ นวล วิทยาศาสตร์เพอ่ื พฒั นาทกั ษะชีวติ (2000-1301)

วิทยาศาสตรเ์ พอ่ื พฒั นาทกั ษะชีวิต อาจเสนอในรูปของคําอธิบาย สูตร หรือสมการก็ได้ แต่จะต้องมีข้อมูลหรือทฤษฎีอื่นมาสนับสนุน อ้างอิง ตัวอยา่ งเชน่ การกาํ เนดิ ของแผน่ ดินไหวในประเทศไทย การอธิบายเร่ืองราวการดํารงชีวิตใน อวกาศของมนุษยก์ ําเนดิ ของทวปี และมหาสมุทร 5.4 ขน้ั ตอนการทาโครงงานวิทยาศาสตร์ การทาํ โครงงานวิทยาศาสตร์ มขี ้นั ตอนการดําเนนิ งาน ดังต่อไปน้ี 5.4.1 การคิดและเลอื กหัวข้อเรื่องที่จะทําโครงงาน การคิดและการเลือกหัวเรื่องท่ีจะต้อง ศึกษา หรือทาํ เป็นโครงงานวทิ ยาศาสตร์ เปน็ ขน้ึ ตอนทส่ี ําคญั ที่สดุ และยากที่สุดด้วย ตามหลักการแล้ว นักเรียนควรจะเป็นผู้คิดและเลือกหัวเร่ืองท่ีจะต้องศึกษาด้วยตนเอง หัวเร่ืองน้ีส่วนใหญ่จะได้มาจาก ความสนใจ และความอยากรู้อยากเห็นของนักเรียนเอง ตลอดจนประสบการณ์ทั้งในและนอก หอ้ งเรยี น ในการเลือกหวั ขอ้ เร่ืองมาทําโครงงานน้ันต้องคํานึงถึงคุณค่าและความสําคัญของปัญหาน้ัน สามารถนาํ ไปใช้ประโยชนไ์ ดอ้ ยา่ งกว้างขวาง ซงึ่ อาจจะได้แนวความคิดมาจากเร่ืองราวท่ีเก่ียวข้องกับ เร่ืองท่ีครูสอนในห้องเรียน การอภิปรายร่วมกับครูและเพื่อน ๆ การอ่านหนังสือและเอกสารต่าง ๆ การไปทัศนศึกษานอกสถานที่ การฟังบรรยายทางวิชาการ การไปสังเกตการปรากฏการณ์ต่าง ๆ รอบตวั หรอื การเข้าร่วมชมนทิ รรศการหรือการประกวดโครงงานวิทยาศาสตร์ ข้อควรพิจารณาในการเลอื กทําโครงงานวิทยาศาสตร์ มีดงั นี้ 1) ผทู้ ํามีความรู้และทักษะในการใช้อปุ กรณ์ 2) มแี หล่งความรเู้ พยี งพอ 3) วสั ดุอปุ กรณ์ท่จี าํ เปน็ สามารถจัดหาหรือจดั ทําได้ 4) มีเวลาเพียงพอ 5) มีครรู ับเปน็ ท่ปี รึกษา 6) มีความปลอดภัย 7) มงี บประมาณเพียงพอ 5.4.2 การศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้อง หลังจากได้หัวข้อเร่ืองท่ีจะทําโครงงานแล้ว ผู้ทํา โครงงานต้องศึกษาค้นคว้าเอกสารท่ีเกี่ยวข้องกับโครงงานว่ามีเรื่องใดบ้างท่ีต้องศึกษาเพิ่มเติม รวมถึง การขอคาํ ปรึกษาจากผู้ทรงคุณวุฒิและการสาํ รวจอุปกรณ์ นักศึกษาควรทราบแหล่งที่จะหาข้อมูล เพิ่มเติม และต้องรู้จักจดบันทึก การศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้องจะทําให้นักเรียนเกิดแนวความคิดที่จะ กาํ หนดขอบข่ายของเร่ืองทจ่ี ะศึกษาค้นคว้าให้เฉพาะเจาะจงมากขน้ึ จนสามารถออกแบบและวางแผน ดําเนินการทําโครงงานไดอ้ ย่างเหมาะสม 5.4.3 การจดั ทําเค้าโครงของโครงงาน เมอ่ื ศึกษาเอกสารอ้างอิงต่าง ๆ อย่างเพียงพอแล้ว ข้ันตอนต่อไปจะต้องเขียนเค้าโครงสาํ หรับการทําโครงงานเสนอต่อครูผู้สอน เพ่ือขอความเห็นชอบ โกศล อินนวล วิทยาศาสตรเ์ พอื่ พัฒนาทักษะชวี ติ (2000-1301)

วิทยาศาสตร์เพื่อพัฒนาทกั ษะชีวิต ก่อนดาํ เนินการข้ันตอนต่อไป เค้าโครงของโครงงานวิทยาศาสตร์เขียนข้ึนเพื่อแสดงแนวความคิด แผนงาน และขัน้ ตอนของการทาํ โครงงาน ซง่ึ ควรประกอบด้วยหวั ขอ้ ต่าง ๆ ตอ่ ไปนี้ ตวั อย่างแบบเค้าโครงของโครงงาน ชือ่ โครงงาน ..........(ข้อความทก่ี ะทัดรดั ส่ือความหมายให้ตรงว่าศกึ ษาเร่ืองอะไร)................................ ผทู้ าโครงงาน 1)...........(สมาชกิ ในกลุ่มไม่ควรเกนิ 5 คน)................................................................ 2)................................................................................................................................. 3)................................................................................................................................. ครูที่ปรกึ ษา 1)...........(ครูภายในวทิ ยาลยั หรอื บุคคลภายนอกที่เชย่ี วชาญ...................................... 2)............และสามารถให้คาํ ปรึกษา)............................................................................ ท่ีมาและความสาคญั ของโครงงาน ......................(บอกเหตจุ งู ใจในการเสนอโครงงานเรอ่ื งนี้ และบอกความสําคัญของโครงงาน)………....... ............................................................................................................................. ................................... หลกั การ ทฤษฎี การวจิ ยั ท่เี กี่ยวข้อง .......................(อา้ งถึงเอกสาร ทฤษฎที ี่เขยี นไวแ้ ล้วเรานาํ มาใช)้ ............................................................. ....................................................................................................................... ......................................... จุดมุ่งหมายของการศึกษาค้นคว้า 1..........(ทําโครงงานน้เี พื่อศึกษาอะไร)...................................................................................... 2.......................................................................................................... ...................................... สมมติฐาน (ถ้าม)ี 1..........(การคาดคะเนคาํ ตอบอยา่ งมเี หตุผล)............................................................................ 2.……………………………………………………………...................................................................…….. วิธีดาเนินการ 1. วสั ดอุ ปุ กรณท์ ี่ใช้ 1.1.............................................................................................. ...................................... 1.2................................................................................................ .................................... 2. ข้นั ตอนการศกึ ษา (วธิ กี ารทดลอง) 2.1......................................................................................... ........................................... 2.2.................................................................................................................................... 2.3................................................................................................ .................................... โกศล อินนวล วิทยาศาสตรเ์ พอ่ื พัฒนาทักษะชีวิต (2000-1301)

วทิ ยาศาสตร์เพื่อพฒั นาทักษะชีวติ แผนปฏิบตั งิ าน 1. ระยะเวลาดําเนนิ งาน……(บอกระยะเวลาการทาํ โครงงานว่ามากน้อยแค่ไหน อยา่ งไร)...... ลําดับท่ี รายการ เดอื น หมายเหตุ 2. งบประมาณท่ใี ช้ในการทําโครงงาน.............(คา่ ใช้จา่ ยในการทาํ โครงงานทั้งหมด).............. …………………………………………………………………………………………………………............………………………... ประโยชน์ท่ีคาดวา่ จะได้รบั 1.........(ได้ประโยชน์อยา่ งไรจากการทําโครงงาน้ี...................................................................... 2..........ผลทไี่ ดร้ บั สอดคลอ้ งกับวัตถปุ ระสงค์ท่ีศึกษา)............................................................... เอกสารอา้ งองิ /แหลง่ ศึกษาค้นคว้า ………………………(ระบหุ นงั สอื วารสารต่าง ๆ ท่ีใชป้ ระกอบในการทําโครงงาน)........…………………….… ………………………………………………………………………….................................................................………… ส่งเม่อื วันท่ี…………..……..เดอื น……………………………..พ.ศ.…………………. คาแนะนาของครูทีป่ รึกษา ………………………………………………………………………….................................................................………… ………………………………………………………………………….................................................................………… ………………………………………………………………………….................................................................………… ลงช่ือ……………………………………..………. (…………………..………………………..) ครูท่ีปรกึ ษา วนั ท.่ี .........เดือน..................พ.ศ............ โกศล อินนวล วิทยาศาสตร์เพ่อื พัฒนาทกั ษะชวี ิต (2000-1301)

วทิ ยาศาสตรเ์ พื่อพัฒนาทักษะชีวิต 5.4.4. การลงมือทําโครงงาน เม่อื เค้าโครงของโครงงานผ่านความเห็นชอบของครูท่ีปรึกษา หรือผู้เชี่ยวชาญแล้ว ก็ลงมือปฏิบัติตามข้ันตอนท่ีได้ออกแบบและวางแผนไว้ โดยเตรียมวัสดุอุปกรณ์ ให้พร้อม มีการจดบันทึกข้อมูลอย่างละเอียด รอบคอบ ครบถ้วน คํานึงถึงความประหยัดและ ความปลอดภัยขณะปฏิบัติงาน และควรมีการทดลองซํ้าจนแน่ใจถึงผลการทดลอง โครงงานประเภท สง่ิ ประดิษฐ์ควรคํานงึ ถึงประสทิ ธภิ าพ ความคงทน แข็งแรง ขนาดเหมาะสม และสภาพการใช้งานจริง 5.4.5 การเขียนรายงาน เมื่อดําเนินตามแผนจนครบข้ันตอนและได้ข้อมูล เพื่อนําข้อมูล มาวิเคราะห์ แปลผล และสรุปผลแล้ว จะต้องเขียนรายงานเพ่ือให้ผู้อ่ืนเข้าใจการทําโครงงานท่ีทําข้ึน ทกุ ขั้นตอน การเขียนรายงานเพ่ือนําเสนอผลงานคล้ายกับเค้าโครงย่อของโครงงานแต่มีความละเอียด มากกว่า ภาษาที่ใช้ต้องเป็นภาษาเข้าใจง่าย ชัดเจน สั้น ๆ และตรงไปตรงมา รูปแบบการเขียน รายงานโครงงานวิทยาศาสตร์ มดี ังน้ี 1) สว่ นตอนตน้ (preliminary section) ประกอบด้วย 1.1) ปกนอก มชี ื่อเรื่อง ชือ่ คณะทท่ี ํา ชื่อครทู ่ปี รกึ ษา ช่อื โรงเรยี น 1.2) ปกรอง จะคลา้ ยหรอื เหมอื นปกนอก 1.3) กิตติกรรมประกาศ เป็นการเขียนขอบคุณผู้ที่เกี่ยวข้อง หรือผู้ให้ การสนบั สนนุ ท่ีทาํ ใหเ้ ราได้รบั ความสําเรจ็ จากการทําโครงงาน 1.4) บทคดั ยอ่ เป็นการสรุปย่อๆ ของโครงงานที่ทําโดยมีข้อความประมาณ 300 - 500 คาํ เน้ือความบทคัดย่อ ควรประกอบด้วย ท่ีมาของปัญหา จุดมุ่งหมาย วิธีทดลอง ผลการทดลอง และสรปุ ผลการทดลองอยา่ งย่อๆ 1.5) สารบญั เร่อื ง 1.6) สารบญั ตาราง 1.7) สารบญั กราฟ หรอื รปู ภาพ (ถา้ มี ในผลการทดลอง) 2) สว่ นเนอื้ หา (main body section) ประกอบด้วย 1.1) บทที่ 1 บทนํา ซึ่งมี 2 ส่วนที่สําคัญ คือ ส่วนที่ 1 ประกอบด้วย แนวคิด ท่ีมาและความสําคัญของเรื่อง และส่วนที่ 2 ซึ่งกล่าวถึง ความมุ่งหมายของการทดลอง (ดาํ เนินการเหมอื นในเค้าโครงของโครงงานวิทยาศาสตร์ทีเ่ คยเสนอ) 1.2) บทท่ี 2 บทเอกสารท่ีเก่ียวข้อง เป็นบทที่ผู้ทําโครงงานต้องไปศึกษา ค้นคว้ารวบรวมข้อมูลจากแหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ โดยอาจจะเป็นหลักการหรือทฤษฎีหรือรายงาน การทดลองในสว่ นที่ผ้อู น่ื ไดท้ ดลองคลา้ ย ๆ กับเร่อื งท่ีเราศึกษา เป็นการบอกว่าเราทําไม่ซํ้ากับของเขา หากไปศึกษาและคัดลอกข้อความจากหนังสืออะไร จะต้องระบุช่ือหนังสือไว้ในส่วนท้ายเล่มของ รายงานโครงงานท่เี รยี กว่าหนงั สอื อา้ งองิ หรอื บรรณานุกรม เพอื่ เปน็ การใหเ้ กียรติแกผ่ ้นู ํามาอ้างอิง โกศล อนิ นวล วิทยาศาสตร์เพอ่ื พัฒนาทกั ษะชวี ติ (2000-1301)

วิทยาศาสตร์เพือ่ พัฒนาทกั ษะชีวิต 1.3) บทที่ 3 วสั ดุอปุ กรณ์และวิธีการทดลอง (ระบุรายละเอียดเหมือนเค้าโครง ของโครงงานวิทยาศาสตร)์ 1.4) บทท่ี 4 ผลการทดลอง โดยจะต้องกําหนดตารางบันทึกผลการทดลอง หรอื อาจทําเป็นกราฟหรอื วาดภาพไว้ แต่ละส่วนจะมกี ารวิเคราะหผ์ ลการทดลองไวด้ ้วย 1.5) บทที่ 5 สรุปผลการทดลอง ประโยชน์ท่ีได้รับจากการทําโครงงานเร่ืองน้ี ข้อเสนอแนะ (ถ้ามี) เป็นการบอกให้รู้ว่าหากมีผู้ไปทดลองต่อ จะทําอย่างไรจะแก้ไขปรับปรุงในส่วน ใดบา้ ง 3) ส่วนอ้างอิง (bibliography section) เป็นส่วนที่เขียนอ้างอิงเก่ียวกับเอกสาร ทฤษฎีหลักการงานวิจัย เอกสารรายงานโครงงานวิทยาศาสตร์ ตําราต่าง ๆ ที่เราศึกษาค้นคว้า ประกอบในการทําโครงงาน ซ่ึงควรสอดคล้องกับบทที่ 2 การเขียนต้องให้ถูกต้องตามหลักการเขียน อ้างองิ 4) ส่วนภาคผนวก (appendix section) เป็นส่วนสุดท้ายของรายงาน เป็นส่วนท่ี ใส่เน้ือหา หรือข้อมลู เพอื่ ประกอบความเขา้ ใจ เช่น ภาพประกอบในการทําโครงงาน ตารางผนวก แบบสอบถาม วิธกี ารคํานวณ วธิ ีการทดสอบมาตรฐานท่ีอา้ งถงึ เป็นตน้ 5.4.6 การแสดงผลงาน เป็นการเสนอผลงานที่ได้ศึกษาค้นคว้าสําเร็จแล้วให้ผู้อ่ืนได้รับรู้ และเข้าใจ ซึ่งอาจกระทําได้หลายรูปแบบ เช่น การจัดนิทรรศการ การสาธิตแสดงประกอบ การรายงานปากเปล่า การแสดงผลงานนิยมแสดงผลงานลงบนแผงโครงงานวิทยาศาสตร์ที่มีขนาด ดังนี้ 120 cm 60 cm 60 cm 60 cm 60 cm การจัดแสดงผลงานโครงงานวิทยาศาสตร์ไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบใดก็ตาม ควรจะจัดให้ ครอบคลมุ ประเด็นเนื้อหาตอ่ ไปนี้ โกศล อนิ นวล วิทยาศาสตร์เพอื่ พัฒนาทกั ษะชีวิต (2000-1301)

วทิ ยาศาสตร์เพ่อื พฒั นาทักษะชีวิต 1) ชอื่ โครงงาน ชอื่ ผทู้ าํ โครงงาน ชือ่ ครทู ่ปี รึกษา 2) ท่มี ายอ่ ๆ ถงึ เหตุจูงใจในการทาํ โครงงานและความสําคัญของโครงงาน 3) จดุ มุ่งหมายของโครงงาน 4) วธิ ีการดําเนนิ การ เฉพาะขนั้ ตอนที่สําคัญ 5) ผลท่ไี ด้จากการทดลอง อาจเปน็ การสาธติ (โครงงานส่ิงประดิษฐ)์ 6) ผลสรุปจากการทาํ โครงงาน ประโยชน์ของโครงงาน ภาพท่ี 1.5 ตวั อยา่ งการจดั แผงแสดงผลงานโครงงานวิทยาศาสตร์ ท่ีมา : โกศล อนิ นวล, 2556 การทาํ โครงงานวิทยาศาสตร์ของนักเรียน เป็นการฝึกให้นักเรียนทําวิจัยเบื้องต้น ทางวิทยาศาสตร์ตามขั้นตอนวิธีการทางวิทยาศาสตร์ โดยใช้ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งผลงานวิจัยจะออกมามีคุณภาพดีเพียงใด ขึ้นอยู่กับคุณลักษณะเฉพาะของนักเรียนที่เรียกว่า จิตวิทยาศาสตร์ กจิ กรรมที่ 1.4 โครงงานวทิ ยาศาสตร์ จดุ ประสงค์ 1. จัดทําโครงงานวิทยาศาสตร์และแสดงผลงานทศ่ี ึกษา โกศล อินนวล วิทยาศาสตร์เพ่ือพฒั นาทักษะชวี ิต (2000-1301)

วิทยาศาสตร์เพื่อพฒั นาทักษะชีวติ 2. ใช้กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ในการศึกษาคน้ ควา้ ดว้ ยตนเอง คาชแ้ี จง เปน็ กิจกรรมกลมุ่ ใช้เวลา 1 ภาคเรยี น วธิ ดี าเนินกิจกรรม 1. ใหน้ ักเรียนแบง่ กล่มุ ๆ ละ 3–5 คน เพ่อื ทาํ โครงงานวิทยาศาสตร์โดยให้นําเสนอชื่อเรื่อง ภายใน 2 สปั ดาห์ 2. ครูผู้สอนอนุมัติชื่อเรื่องที่เห็นว่าเหมาะสม ให้นักเรียนไปศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้อง จุดมุ่งหมาย ทีม่ าของโครงงาน ภายใน 3 สปั ดาห์ 3. ใหน้ ักเรียนแตล่ ะกลุ่มจัดทาํ เคา้ โครงของโครงงานตามรูปแบบที่กําหนดให้และนําเสนอต่อ ครูผูส้ อน ภายใน 1 สปั ดาห์ 4. หลังจากครผู ้สู อนตรวจสอบแก้ไขเค้าโครงของโครงงานแล้ว ให้นักเรียนลงมือทําโครงงาน ตามแผนปฏิบัติงานโครงงานวิทยาศาสตร์ โดยครูผู้สอนและครูท่ีปรึกษาคอยให้คําแนะนํา ติดตามผล และความก้าวหน้าในการทาํ โครงงานจนเสรจ็ ส้นิ 5. เขียนรายงานผลการศึกษาค้นคว้าในรูปของรายงาน จัดทําแผงแสดงโครงงาน และ นาํ เสนอผลงานหน้าช้ันเรียน ตามที่กาํ หนดไว้ สรุปทา้ ยหน่วย วิทยาศาสตร์ หมายถึง ศาสตร์หรือวชิ าที่ว่าด้วยการศึกษาความจรงิ ท่ีเกิดจากปรากฏการณ์ ธรรมชาตจิ ากการสงั เกต จดบนั ทึก จาํ แนกความจริง เพื่อสรุปเป็นกฎเกณฑ์ ทฤษฎีต่าง ๆ ข้ึน และ พิสจู น์ความจริงเหลา่ นน้ั ได้ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (Scientific process) เป็นกระบวนการแสวงหาความรู้ ทางวิทยาศาสตร์ท่ีทาํ ให้นักวิทยาศาสตร์สามารถค้นหาความรู้จากธรรมชาติได้อย่างมีระบบและ มีประสิทธิภาพ ประกอบด้วย วิธีการทางวิทยาศาสตร์ (Scientific method) ทักษะกระบวนการ ทางวิทยาศาสตร์ (Scientific skills) และเจตคติทางวทิ ยาศาสตร์ (Scientific attitudes) วิธีการทางวิทยาศาสตร์ มี 5 ขั้นตอน ประกอบด้วย การระบุปัญหา การตั้งสมมติฐาน การตรวจสอบสมมตฐิ าน การวิเคราะหข์ ้อมลู และการสรุปผลการทดลอง ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เป็นทักษะสาํ คัญในการศึกษาหาความรู้หรือค้นหา คําตอบของปัญหาทางวิทยาศาสตร์ มีท้ังหมด 13 ทักษะ ประกอบด้วย ทักษะการสังเกต ทักษะ การวัด ทักษะการคํานวณ ทักษะการจําแนกประเภท ทักษะการหาความสัมพันธ์ระหว่างสเปส โกศล อนิ นวล วิทยาศาสตรเ์ พือ่ พัฒนาทกั ษะชีวิต (2000-1301)

วิทยาศาสตร์เพอื่ พัฒนาทกั ษะชวี ติ กบั สเปสและสเปสกบั เวลา ทักษะการจัดกระทําและสื่อความหมายของข้อมูล ทักษะการลงความเห็น จากข้อมูล ทักษะการพยากรณ์ ทักษะการกําหนดและควบคุมตัวแปร ทักษะการตั้งสมมติฐาน ทักษะ การกําหนดนิยามเชิงปฏิบัติการ ทักษะการทดลอง และทักษะการตีความหมายข้อมูลและ การลงข้อสรุป เจตคติทางวิทยาศาสตร์ เป็นคุณลักษณะที่ก่อให้เกิดประโยชน์ในการแสวงหาความรู้ ทางวทิ ยาศาสตร์ คณุ ลกั ษณะของบคุ คลที่มีเจตคติทางวิทยาศาสตร์ ควรมีลักษณะดังน้ี มีความอยาก รู้อยากเห็น มีใจกว้าง มีความซ่ือสัตย์และมีใจเป็นกลาง มีความเพียรพยายาม มีเหตุผล และมีความ ละเอยี ดรอบคอบ โครงงานวิทยาศาสตร์ เป็นกิจกรรมที่ศึกษาเร่ืองใดเรื่องหนึ่งเก่ียวกับวิทยาศาสตร์ด้วยตนเอง โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เพื่อให้ผู้ศึกษารู้จักการค้นคว้า การทดลอง การเก็บรวบรวม ข้อมูล การแปลข้อมูล และแนะนําข้อมูลอย่างมีทักษา แบบแผน เป็นการตรวจสอบสมมติฐาน จัดว่า เป็นงานวิจยั ขั้นพืน้ ฐาน ภายใตค้ าํ แนะนําหรอื ขอ้ เสนอแนะของครทู ีป่ รึกษาหรือผู้เช่ียวชาญ แบบฝึกหดั หนว่ ยที่ 1 กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ คาช้แี จง จงตอบคาํ ถามต่อไปนใ้ี ห้ถกู ต้อง 1. วทิ ยาศาสตร์ หมายถงึ อะไร (2 คะแนน) ............................................................................................................................. ................................... ............................................................................................................................. ................................... 2. เขียนแผนผังแสดงขนั้ ตอนวธิ ีการทางวทิ ยาศาสตร์ ลงในแผนภาพ (2 คะแนน) การระบุปญั หา โกศล อินนวล วิทยาศาสตรเ์ พ่อื พัฒนาทักษะชีวิต (2000-1301)

วทิ ยาศาสตร์เพือ่ พัฒนาทักษะชีวติ 3. ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ หมายถงึ อะไร (2 คะแนน) ............................................................................................................................. ................................... ............................................................................................................................. ................................... 4. ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 13 ทักษะ ประกอบดว้ ยทักษะอะไรบ้าง (3 คะแนน) ............................................................................................................................. ................................... ............................................................................................... ................................................................. ............................................................................................................................. ................................... .......................................................................................................................................................... ...... ............................................................................................................................ .................................... ............................................................................................................................. ................................... ................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ................................... 5. จากข้อความทก่ี ําหนดให้ ระบุทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ที่ใช้ (5 คะแนน) 5.1 การสน่ั สะเทือนมสี าเหตุมาจากภเู ขาไฟ………………………………………………………………………….. 5.2 ภูเขาไฟกําลงั จะระเบดิ ในอกี 2 นาทขี ้างหนา้ ……………………………………………………………….. 5.3 เม่อื ถใู บไมเ้ ขา้ ดว้ ยกนั ทาํ ใหเ้ กิดเสยี งกรอบแกรบ……………………………………………………………… 5.4 เมื่อน้ํามอี ณุ หภูมิสูงขน้ึ ไข่ทีต่ ้มจะสกุ เรว็ ข้ึน……………………………………………………………………. 5.5 อณุ หภมู ิของของเหลวขณะเดอื ดมีอุณหภมู ิ 80 องศาเซลเซียส………………………………………. 5.6 สารอาหารแบง่ เปน็ สารอาหารทใ่ี หพ้ ลังงานและสารอาหารท่ีไม่ให้พลงั งาน……………………….. 5.7 แกว้ น้าํ ทวี่ างอยู่บนโต๊ะมี 3 มติ .ิ .............................................................................................. 5.8 มาลบี รรยายรปู ร่างของรถยนต์ให้เพื่อนฟัง................................................................................ 5.9 ทาํ อยา่ งไรจงึ จะบอกไดว้ ่า เมอ่ื อณุ หภูมสิ ูงขึน้ สารจะละลายได้มากข้ึน...................................... 5.10 ในชว่ งอายทุ เ่ี ท่ากนั เพศชายตอ้ งการพลังงานมากกวา่ เพศหญงิ ............................................... 6. นา้ํ ฝนทดลองนาํ ใบเตย ผิวมะกรูด และใบตะไคร้หอม มาต้มในแอลกอฮอล์ในอัตราส่วนระหว่าง สมุนไพรแต่ละชนิด 20 กรัม : แอลกอฮอล์ 200 มิลลิลิตร เพื่อดูว่าสารสกัดจากสมุนไพรชนิดใด สามารถกาํ จดั กล่นิ ได้ดีกวา่ กนั 6.1 สมมติฐานของการทดลองน้ี คอื อะไร (1 คะแนน) ............................................................................................................................. ................................... โกศล อนิ นวล วิทยาศาสตร์เพอ่ื พฒั นาทักษะชีวติ (2000-1301)

วทิ ยาศาสตรเ์ พ่ือพฒั นาทกั ษะชีวติ ............................................................................................................................. ................................... 6.2 ตวั แปรต้น คืออะไร (1 คะแนน) ............................................................................................................................. ................................... 6.3 ตวั แปรตาม คอื อะไร (1 คะแนน) ............................................................................................................................. ................................... 6.4 ตัวแปรที่ต้องควบคุม คืออะไร (1 คะแนน) ............................................................................................................................. ................................... 7. บุคคลทมี่ จี ิตวิทยาศาสตร์จะตอ้ งมลี ักษะอยา่ งไรบา้ ง (2 คะแนน) ............................................................................................................................. ................................... ............................................................................................... ................................................................. ............................................................................................................................. ................................... ............................................................................................................................. ................................... 8. โครงงานวทิ ยาศาสตร์ หมายถึงอะไร (2 คะแนน) ............................................................................................................................. ................................... ............................................................................................... ................................................................. ............................................................................................................................. ................................... 9. สุจนิ ดาตอ้ งการทราบวา่ สารช่วยยอ้ มใดจะช่วยให้สีย้อมจากเปลือกแก้วมังกรสามารถย้อมผ้าติดได้ ทนนานและมีสีที่เข้ม และเปรียบเทียบว่าผ้าชนิดใดที่ย้อมติดสีได้ดีที่สุด สุจินดาจึงทําโครงงาน วิทยาศาสตร์เรอ่ื งการย้อมผ้าด้วยเปลือกแก้วมังกร โครงงานวทิ ยาศาสตร์นจี้ ดั เปน็ โครงงานประเภทใด ............................................................................................................................................(1 คะแนน) 10. การจดั ทําโครงงานวิทยาศาสตร์ มขี น้ั ตอนต่าง ๆ อะไรบ้าง (2 คะแนน) ............................................................................................................................. ................................... ............................................................................................... ................................................................. ............................................................................................................................. ................................... .......................................................................................................................................................... ...... ............................................................................................................................ .................................... ............................................................................................................................. ................................... โกศล อนิ นวล วิทยาศาสตรเ์ พ่อื พฒั นาทกั ษะชวี ติ (2000-1301)

วทิ ยาศาสตร์เพอื่ พัฒนาทกั ษะชวี ิต แบบทดสอบหลังเรียนหนว่ ยที่ 1 กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ คาสั่ง จงเลือกคําตอบทถ่ี ูกทีส่ ดุ เพียงคําตอบเดียว แลว้ กาเคร่อื งหมายกากบาท (X) ลงในช่อง  ในกระดาษคําตอบ 1. ความหมายของวิทยาศาสตร์ ขอ้ ใดถูกต้องและครอบคลุมมากท่สี ดุ ก. การคน้ พบความจรงิ ในธรรมชาติสรุปเป็นทฤษฎี ข. การอธิบายการทาํ งานอย่างเปน็ ระบบในการคน้ คว้าหาความรู้ ค. เปน็ วชิ าท่มี กี ารสังเกต ทดลองและสรปุ เป็นกฎเกณฑ์ ทฤษฎตี า่ ง ๆ ง. เป็นวชิ าท่ีว่าด้วยการใช้ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรค์ น้ ควา้ หาความรู้ 2. ขอ้ ใดเรียงลําดับการแสวงหาความรดู้ ้วยวธิ ีการทางวิทยาศาสตรท์ ี่ถูกตอ้ ง ก. ตั้งปัญหา ต้ังสมมตฐิ าน ทดลอง วเิ คราะห์ขอ้ มลู สรุปผล ข. ทดลอง ตง้ั ปัญหา ต้ังสมมตฐิ าน สรุปผล วเิ คราะหข์ อ้ มูล โกศล อนิ นวล วิทยาศาสตรเ์ พื่อพัฒนาทักษะชวี ติ (2000-1301)

วิทยาศาสตร์เพ่ือพฒั นาทกั ษะชวี ติ ค. ตง้ั ปญั หา ทดลอง ต้งั สมมตฐิ าน วิเคราะห์ข้อมลู สรปุ ผล ง. ตั้งสมมตฐิ าน ตงั้ ปญั หา วิเคราะห์ข้อมูล ทดลอง สรปุ ผล 3. ข้อใดใชป้ ระสาทสัมผสั ในการสงั เกตมากทสี่ ดุ ก. แกงถ้วยนม้ี ีกลิน่ เหมน็ บูด ข. รถคนั สีดาํ เบรคเสียงดังเอี๊ยด ค. มะกรูดสุกมสี เี หลือง ผวิ ขรขุ ระมรี สเปรีย้ ว ง. นกเอีย้ งสนี ้ําตาล 3 ตัว เกาะอยูบ่ นหลงั ควาย 4. จากขอ้ มลู ผู้เสียชวี ิตจากการเกดิ อบุ ัตเิ หตใุ นชว่ งเทศกาลปีใหม่ของพืน้ ท่หี น่ึง ดงั ตาราง ประเภทอบุ ตั ิเหตุ จาํ นวนผเู้ สียชวี ิต (คน) รถยนต์ 52 38 รถจกั รยานยนต์ 25 อ่ืน ๆ 115 รวม มผี ู้เสยี ชีวติ จากการเกดิ อุบัติเหตุดว้ ยรถจกั ยานยนต์คดิ เปน็ รอ้ ยละเท่าไร ก. 21.73 ข. 33.04 ค. 43.70 ง. 45.21 5. วตั ถุข้อใดมีมติ ทิ ่ีแตกตา่ งจากพวก ก. ผา้ เชด็ หน้า ข. ลกู ฟตุ บอล ค. เหรยี ญบาท ง. แปรงลบกระดาน 6. ขอ้ ใดเป็นข้อความทีเ่ ปน็ การลงความเหน็ จากข้อมูล ก. แหล่งนาํ้ ในชมุ ชนมกี ลนิ่ เหม็น ข. มขี ยะหลายชนิดลอยอยู่บนผิวน้าํ ค. ชาวบา้ นนาํ ขยะมาเททิ้งในแหลง่ นาํ้ ทกุ วนั โกศล อินนวล วิทยาศาสตร์เพ่ือพฒั นาทักษะชวี ิต (2000-1301)

วทิ ยาศาสตร์เพ่อื พัฒนาทกั ษะชีวิต ง. นาํ้ เนา่ เสียเกดิ จากการท้ิงขยะของชาวบ้าน 7. ขอ้ ใดจัดเปน็ การพยากรณ์ ก. การส่ันสะเทือนมีสาเหตมุ าจากภเู ขาไฟระเบดิ ข. วันนอี้ ากาศร้อนอบอา้ วฝนตอ้ งตกแน่ ๆ ค. ขนมปังช้ินน้ี มจี ดุ เขยี ว ๆ อย่ทู ัว่ แผ่นนา่ จะเป็นเช้ือรา ง. เนอื้ ที่ใสย่ างมะละกอและเนอ้ื ทใี่ สผ่ งนมุ่ จะมีความนมุ่ แตกต่างกัน 8. ดอกบัวจะหุบในเวลาที่ไม่มีแสง (ข้อความท่ี 1) แสดงวา่ แสงเปน็ ปัจจยั ในการหบุ บานของดอกบัว (ข้อความที่ 2) ข้อความที่ 1 และที่ 2 เป็นการนาํ ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ข้อใดมาใช้ ก. การสงั เกต การลงข้อสรุป ข. การสังเกต การลงความเหน็ ค. การทดลอง การลงความเหน็ ง. การพยากรณ์ การตีความหมาย 9. ถา้ ใสใ่ บพืชที่มีกลิ่นฉุนตา่ ง ๆ ในถังข้าวสารจะทําใหม้ อดในถงั ข้าวสารลดลงหรือไม่ จากปญั หา ขอ้ ใดคือตัวแปรตน้ ก. ถงั ใส่ข้าวสาร ข. ปริมาณมอด ค. ปริมาณข้าวสาร ง. ใบพชื ทม่ี ีกลิ่นฉนุ ชนิดตา่ ง ๆ 10. นํ้าจะระเหยเร็วข้นึ ถ้าพ้ืนผิวหน้าของน้าํ สัมผัสอากาศมากขน้ึ จากสมมตฐิ านข้อใดคือตัวแปรตาม ก. ปริมาณนา้ํ ข. ความรอ้ น ค. อตั ราการระเหยของน้ํา ง. พน้ื ทผี่ วิ ของนาํ้ ท่ีสมั ผัสกับอากาศ โกศล อินนวล วิทยาศาสตรเ์ พ่ือพฒั นาทักษะชีวิต (2000-1301)

วิทยาศาสตร์เพือ่ พฒั นาทกั ษะชีวิต สถานการณ์ อากาศมีสถานะเปน็ แก๊ส ทม่ี ีสมบัตอิ ย่างหนึ่งคือ มีมวล ธนาจึงได้ทดลองเพื่อพิสูจน์ว่า อากาศมีมวลหรือไม่ โดยการนําลูกโป่งขนาดเท่ากันมา 2 ใบ เป่าอากาศให้เท่ากันแล้วนํามาช่ัง หามวล จากน้ันปล่อยอากาศลูกโป่งใบที่ 1 แล้วนาํ ลูกโป่งทั้งสองมาเปรียบมวลกันอีกครั้ง จากสถานการณท์ กี่ าหนด ตอบคาถามข้อท่ี 11 – 12 11. ข้อใดคอื สมมติฐานของการทดลองนี้ ก. อากาศเปน็ สารท่ไี มม่ มี วล ข. อากาศท่ีบรรจุในลกู โปง่ มีแรงดนั อากาศ ค. น้ําหนักของลูกโปง่ ขึน้ อยู่กบั ชนิดของลูกโป่ง ง. ลกู โป่งทม่ี อี ากาศมีมวลมากกว่าลกู โปง่ ที่ไมม่ ีอากาศบรรจุอยู่ 12. ขอ้ ใดกําหนดนยิ ามเชงิ ปฏิบตั กิ ารของคาํ วา่ “มวล” ได้ถกู ต้อง ก. มวลคอื นํ้าหนกั ข. มวลคือ ส่ิงทีม่ ีตัวตน ค. มวลคอื ปรมิ าณเนื้อสาร ง. มวลคือ คา่ ทอ่ี ่านไดจ้ ากการช่งั ลูกโป่งบนเครื่องช่ัง 13. ถ้าต้องการทราบว่าน้ําร้อนหรือนา้ํ เย็นใช้สกัดสจี ากพืชไดด้ กี ว่ากัน จะออกแบบทดลองได้อย่างไร ก. ใช้พืชตา่ งชนดิ กันปริมาณตา่ งกนั ปรมิ าณนาํ้ เทา่ กนั และอุณหภูมิของนาํ้ เท่ากนั ข. ใชพ้ ืชต่างชนดิ กันปริมาณเท่ากัน ปริมาณนํา้ เทา่ กนั และอณุ หภูมิของนาํ้ ต่างกนั ค. ใชพ้ ชื ชนดิ เดียวกนั ปรมิ าณเทา่ กัน ปริมาณน้ําเทา่ กันและอุณหภูมิของนํา้ ต่างกัน ง. ใช้พชื ชนดิ เดยี วกนั ปรมิ าณตา่ งกัน ปริมาณนา้ํ ต่างกันและอุณหภูมิของนา้ํ เทา่ กนั 14. จากการทดลองเมื่อเอาสาร A ไปละลายน้ําที่อุณหภูมิตา่ ง ๆ ผลการทดลองปรากฏ ดงั ตารางตอ่ ไปนี้ อณุ หภูมนิ ํ้า (๐C) ปริมาณสาร A ทลี่ ะลายในนาํ้ (g) 60 23 70 31 80 39 90 47 ขอ้ ใดลงข้อสรปุ ได้ถกู ต้องที่สุด ก. เมื่ออุณหภูมิสูงข้นึ 10 ๐C สาร A จะละลายได้มากขน้ึ 8 g โกศล อินนวล วิทยาศาสตร์เพ่ือพฒั นาทกั ษะชวี ติ (2000-1301)

วทิ ยาศาสตรเ์ พือ่ พัฒนาทักษะชวี ิต ข. สาร A จะละลายนา้ํ ทม่ี ีอุณหภมู ิสูงได้มากกว่านํา้ ท่ีมีอุณหภมู ิตา่ํ ค. นํ้าท่มี อี ณุ หภูมิต้ังแต่ 60 - 90 ๐C สาร A จะละลายนา้ํ ได้ทงั้ หมด 24 g ง. การละลายของสาร A จะเพิม่ ขน้ึ อย่างสม่ําเสมอเมอื่ นํ้าท่ีมีอุณหภูมสิ งู ขนึ้ 15. ข้อความใดกล่าวไมถ่ กู ต้องเกีย่ วกับลกั ษณะของบุคคลท่มี เี จตคติทางวิทยาศาสตร์ ก. มคี วามเพยี รพยายาม ข. มีความอยากรอู้ ยากเหน็ ค. มคี วามซ่อื สัตย์และมีใจเป็นกลาง ง. มีความเชอื่ ม่นั ในความคดิ ของตนเอง 16. ข้อใดเปน็ ความหมายของโครงงานวิทยาศาสตร์ ก. เอกสารรายงานเก่ยี วกบั การทดลองทางวทิ ยาศาสตรท์ ่ีนักเรียนทําส่งครู ข. การศกึ ษาคน้ คว้าด้วยตนเองอย่างเป็นระบบโดยใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ ค. การศึกษาเก่ียวกับวิทยาศาสตร์ท่ีเน้นการคิดเป็น ทําเปน็ และแก้ปัญหาได้ ง. การศกึ ษาเร่ืองราวทางวิทยาศาสตร์ท่ีครูมอบหมายใหน้ ักเรียนไปคน้ คว้าดว้ ยตนเอง 17. ข้อใดไมใ่ ชจ่ ดุ มุ่งหมายของการทาํ โครงงานวิทยาศาสตร์ ก. เน้นการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ ข. เนน้ การแสวงหาความรู้ดว้ ยตนเอง ค. เป็นการแสวงหาความรูด้ ้วยวิธกี ารทางวิทยาศาสตร์ ง. เนน้ การคิดเปน็ ทาํ เป็น และแกป้ ญั หาไดด้ ว้ ยตนเอง 18. การออกแบบการทดลองเพอ่ื ศกึ ษาผลของตัวแปร เปน็ โครงงานวทิ ยาศาสตรป์ ระเภทใด ก. ทฤษฎี ข. การสํารวจ ค. การทดลอง ง. สิ่งประดษิ ฐ์ 19. ขอ้ ใดเปน็ ขน้ั ตอนในการทาํ โครงงานวทิ ยาศาสตร์ทมี่ ีความสําคัญต่อการวางแผนการทดลอง มากท่สี ุด ก. การดําเนนิ การทดลอง ข. การจัดทําเค้าโครงของโครงงาน ค. การเขยี นรายงานและแสดงผลงาน โกศล อินนวล วิทยาศาสตรเ์ พือ่ พฒั นาทกั ษะชวี ิต (2000-1301)

วทิ ยาศาสตร์เพื่อพัฒนาทกั ษะชีวติ ง. การคิดและเลือกหัวข้อทาํ โครงงาน 20. ขอ้ ใดเรียงลาํ ดับการเขยี นรายงานไดถ้ ูกต้อง ก. บทนาํ วิธที ดลอง ผลการทดลอง สรปุ และการอภปิ รายผล ข. เอกสารท่ีเกย่ี วขอ้ ง บทนํา วิธที ดลอง รายงานผลการทดลอง สรปุ ค. บทนํา เอกสารทเ่ี กยี่ วข้อง วธิ ีทดลอง ผลการทดลอง และสรปุ ผลการทดลอง ง. บทนํา วิธีการทดลอง ผลการทดลอง สรุปผลทดลอง และเอกสารที่เกี่ยวข้อง เอกสารอา้ งองิ จุตมิ า จันทรต์ ระกลู และคณะ. วิทยาศาสตรเ์ พื่อพัฒนาทักษะชวี ิต. กรุงเทพฯ : สํานักพิมพ์เอมพันธ์, 2556. ฐติ ิญา สุขแก้ว. ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์. [ออนไลน์] เข้าถึงไดจ้ าก https://sites.google.com/site/titiyabiology/thaksa-krabwnkar-thang-withyasastr (สืบคน้ ข้อมูลวันท่ี 9 กมุ ภาพันธ์ 2557). ณัฐญา อมั รินทร์. วิทยาศาสตรเ์ พือ่ พัฒนาทักษะชีวิต. กรุงเทพฯ : แม็คเอด็ ดเู คชน่ั , 2556. ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ - e-Learning. [ออนไลน์] เข้าถึงไดจ้ าก e- learning.snru.ac.th/ โกศล อนิ นวล วิทยาศาสตร์เพื่อพฒั นาทักษะชีวิต (2000-1301)

วทิ ยาศาสตร์เพอ่ื พัฒนาทักษะชีวติ els/scilife/unit1/sl12.htm (สืบคน้ ขอ้ มูลวนั ที่ 9 กุมภาพนั ธ์ 2557). ธรรมชาติวทิ ยาศาสตร์. [ออนไลน์] เขา้ ถึงไดจ้ าก pioneer.netserv.chula.ac.th/~cpornth1/ web_lesson1/mind.htm (สบื ค้นข้อมูลวันท่ี 9 กุมภาพันธ์ 2557). มาฆะ ทิพยค์ รี .ี พฒั นาทกั ษะวิทยาศาสตร์ 2 โครงงานวิทยาศาสตร์. กรงุ เทพฯ : เดอะมาสเตอรก์ รุ๊ป แมเนจเมน้ ท์, 2543. วรรณทิพา รอดแรงค้า และจิต นวลแก้ว. การพัฒนาการคิดของนักเรียนด้วยกิจกรรมทักษะ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์. พิมพ์ครั้งที่2. กรุงเทพมหานคร : บริษัทเดอะมาสเตอร์กรุ๊ป แมนเนจเมนท์จาํ กดั , 2542. วิทยาศาสตร์และกระบวนการแสวงหาความร้ทู างวทิ ยาศาสตร์. [ออนไลน์] เขา้ ถงึ ได้จาก www.sirinun.com/lesson1/a6.php (สืบคน้ ข้อมูลวันที่ 9 กมุ ภาพันธ์ 2557). วิวัฒน์ รอดเกิด. วิทยาศาสตร์พ้ืนฐาน. กรงุ เทพฯ : ศนู ยห์ นังสอื เมืองไทย, 2553. ส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, สถาบัน. คมู่ ือการทาและการจดั แสดงโครงงาน วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลย.ี กรงุ เทพฯ : หนว่ ยศึกษานิเทศก์กรมอาชีวศกึ ษา, 2548. ส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, สถาบัน. โครงงานวิทยาศาสตร์ ว 062 ระดับ มัธยมศึกษาตอนปลาย. พมิ พ์ครั้งท่ี 4. กรุงเทพฯ : องคก์ ารค้าคุรสุ ภาลาดพร้าว, 2544 โกศล อินนวล วิทยาศาสตร์เพอื่ พฒั นาทักษะชวี ิต (2000-1301)


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook