หน่วยท่ี 1 ประวตั คิ วามเป็ นมา ของการใช้สี วชิ า งานสเี พ่อื งานก่อสร้าง โดย อ.ปัญญาวุธ ช่วยคง
-1- ประวตั คิ วามเปน มาของการใชสี มนุษยเ รม่ิ มกี ารใชส ีต้งั แตสมยั กอ นประวตั ศิ าสตร มีทงั้ การเขยี นสลี งบนผนงั ถ้ํา ผนังหิน บนพน้ื ผวิ เคร่ืองปนดินเผา และที่อ่ืนๆ ภาพเขียนสีบนผนังถ้ํา (ROCK PAINTING) เริ่มทําต้ังแตสมัยกอน ประวัติศาสตรในทวีปยุโรป โดยคนกอนสมัยประวัติศาสตรในสมัยหินเกาตอนปลาย ภาพเขียนสีที่มี ชอ่ื เสียงในยคุ นพ้ี บทป่ี ระเทศฝรง่ั เศสและประเทศสเปน ประมาณ 15,000-13,000 ปกอ นครสิ ตกาล สวน ในประเทศไทยกรมศิลปากรไดสํารวจพบภาพเขียนสีสมัยกอนประวตั ิศาสตรบนผนังถํ้า และ เพิงหินในท่ี ตางๆ จะมีอายุระหวาง 1,500-4,000 ป เปนสมัยหินใหมและยุคโลหะไดคนพบตั้งแตป พ.ศ. 2465 ครั้ง แรกพบบนผนังถ้าํ ในอา วพังงา ตอมากค็ น พบอกี ซ่ึงมอี ยทู ว่ั ไป เชน จงั หวดั กาญจนบรุ ี อทุ ยั ธานี เปนตน สีท่ี เขียนบนผนังถ้ําสวนใหญเปนสีแดง นอกน้ันจะมีสีสม สีเลือดหมู สีเหลือง สีน้ําตาล และสีดําสีบน เครื่องปน ดินเผา ไดคนพบการเขยี นลายคร้งั แรกท่ีบานเชียงจงั หวดั อดุ รธานี เม่อื ป พ.ศ.2510 สีทีเ่ ขียนเปน สีแดงเปนรปู ลายกานขดจติ กรรมฝาผนงั ตามวดั ตา งๆ สมยั สโุ ขทัยและอยุธยามีหลักฐานวา ใชส ใี นการเขียน ภาพหลายสี แตก็อยูในวงจํากัดเพียง 4 สี คือ สีดํา สีขาว สีดินแดง และสีเหลืองในสมัยโบราณนั้น ชาง เขียนจะเอาวตั ถุตางๆ ในธรรมชาตมิ าใชเปนสีสําหรับเขียนภาพ เชน ดินหรือหนิ ขาวใชทําสีขาว สดี าํ ก็เอา มาจากเขมา ไฟ หรอื จากตวั หมกึ จีน เปน ชาติแรกทพี่ ยายามคนควา เรือ่ งสีธรรมชาตไิ ดมากกวาชาติอนื่ ๆ คือ ใชหินนํามาบดเปนสีตางๆ สีเหลืองนํามาจากยางไม รงหรือรงทอง สีครามก็นํามาจากตนไมสวนใหญแ ลว การคน ควา เรอ่ื งสีก็เพื่อทจี่ ะนํามาใช ยอ มผาตางๆ ไมนิยมเขยี นภาพเพราะจนี มคี ติในการเขียนภาพเพียงสี เดยี ว คือ สดี ําโดยใชห มกึ จีนเขียน ภาพเขยี นในถ้ําลาสโคซ (Lascaux) ประเทศฝรั่งเศส 1. ทฤษฎีสี สี (COLOUR) หมายถงึ ลักษณะกระทบตอ สายตาใหเ ห็นเปนสีมีผลถงึ จิตวทิ ยา คือมอี าํ นาจใหเกิด ความเขม ของแสงท่อี ารมณแ ละความรูสึกได การทไ่ี ดเ ห็นสจี ากสายตาสายตาจะสงความรสู ึกไปยงั สมองทํา ใหเกิดความรูสึก ตางๆ ตามอิทธิพลของสี เชน สดชื่น รอน ตื่นเตน เศรา สีมีความหมายอยางมากเพราะ ศลิ ปน ตอ งการใชสีเปนสอ่ื สรา งความประทับใจในผลงานของศิลปะและสะทอ นความประทับใจนนั้ ให
-2- บังเกิดแกผูดู มนุษยเกี่ยวของกับสีตางๆ อยูตลอดเวลาเพราะทุกสิ่งท่ีอยรู อบตัวนั้นลวนแตมีสีสันแตกตา ง กันมากมาย สเี ปนสิง่ ที่ควรศกึ ษาเพ่อื ประโยชนก บั ตนเองและผูสรางงานจติ รกรรม เพราะเรอื่ งราวของสีนน้ั มีหลกั วิชาเปน วิทยาศาสตรจงึ ควรทําความเขา ใจ วิทยาศาสตรข องสีจะบรรลุผลสําเร็จในงานมากขน้ึ ถา ไม เขา ใจเร่อื งสีดีพอสมควร ถา ไดศ ึกษาเร่อื งสีดีพอแลวงานศิลปะก็จะประสบความสมบูรณเปน อยา งย่ิง 1.1 คาํ จาํ กัดความของสี 1.1.1 แสงทีม่ ีความถข่ี องคล่นื ในขนาดท่ตี ามนษุ ยส ามารถรับสมั ผัสได 1.1.2 แมสที ่เี ปนวัตถุ (PIGMENTARY PRIMARY) ประกอบดว ย แดง เหลือง น้ําเงนิ 1.1.3 สีท่เี กิดจากการผสมของแมส ี 1.2 คณุ ลกั ษณะของสี 1.2.1 สีแท (HUE) คือ สีที่ยังไมถูกสีอ่ืนเขาผสม เปนลักษณะของสีแทท่ีมีความสะอาดสดใส เชน แดง เหลือง นา้ํ เงนิ 1.2.2 สีออ นหรือสจี าง (TINT) ใชเ รยี กสีแทท ถ่ี ูกผสมดว ยสีขาว เชน สเี ทา, สชี มพู 1.2.3 สแี ก (SHADE) ใชเ รยี กสแี ททีถ่ กู ผสมดวยสดี ํา เชน สีนาํ้ ตาล 1.3 สสี ามารถแยกออกเปน 2 ประเภท คือ 1.3.1 สีธรรมชาติ เปนสีท่ีเกิดข้ึนเองธรรมชาติ เชน สีของแสงอาทิตย สีของทองฟายามเชา เย็น สีของรุงกินน้ํา เหตุการณที่เกิดขึ้นเองธรรมชาติ ตลอดจนสีของ ดอกไม ตนไม พ้ืนดิน ทองฟา นํ้า ทะเล 1.3.2 สีที่มนุษยสรางขึ้น หรอื ไดสังเคราะหขน้ึ เชน สีวทิ ยาศาสตร มนุษยไ ดท ดลองจากแสง ตางๆ เชน ไฟฟา นํามาผสมโดยการทอแสงประสานกัน นํามาใชประโยชนในดานการละคร การจัดฉาก เวทีโทรทศั น การตกแตง สถานที่ 1.4 ชนดิ ของสี ท่ีควรรูจัก ซ่งึ แบงประเภทไดด ังนี้ 1.4.1 สีน้ํา (WATER COLOUR) เปนสีที่ใชกันมาตั้งแตโบราณ ทั้งในแถบยุโรป และเอเชีย โดยเฉพาะจีน และญปี่ ุน ซึง่ มีความสามารถในการระบายสนี ํ้า แตใ นอดีตการระบายสนี ํ้ามักใชเ พียงสีเดียว คือ สีดํา ผูท่ีจะระบายไดอยางสวยงามจะตองมีทักษะการใชพูกันที่สูงมาก การระบายสีน้ําจะใชนํ้าเปน สวนผสม และทําละลายใหเจือจาง ในการใชสีน้ําไมนยิ มใชสีขาวผสมเพื่อใหมีน้าํ หนักออ นลง และไมน ิยม ใชสีดําผสมใหมีน้ําหนักเขมข้ึน เพราะจะทําใหเกิดน้ําหนักมืดเกินไป แตจะใชสีกลางหรือสีตรงขามผสม แทน ลักษณะของภาพวาดสีนํ้า จะมีลักษณะใส บาง และสะอาด การระบายสีน้ําตองใชความชํานาญสงู เพราะผิดพลาดแลวจะแกไขยากจะระบายซ้ําๆ ทับกันมากๆ ไมไดจะทําใหภาพออกมามีสีขุนๆ ไมนาดู หรือทีเ่ รียกวา สีเนา สนี ้ําท่ีมจี าํ หนาย ในปจ จบุ ัน จะบรรจุในหลอด เปน เน้อื สีฝุนที่ผสมกับกาวอะราบิค ซ่ึง เปนกาวที่สามารถละลายน้ําได มีท้ังลักษณะท่ีโปรงแสง ( Transparent ) และก่ึงทึบแสง ( Semi- Opaque )
-3- ภาพวาดดว ยสีนํา้ ภาพวาดดวยสีนา้ํ มัน 1.4.2 สีนํ้ามัน (OIL COLOUR) เปนสีผลิตจากการผสมของสีฝุนกับนํ้ามัน ซ่ึงเปนน้ํามันจาก พชื เชน น้าํ มนั ลนิ สดี ( Linseed ) ซงึ่ กลน่ั มาจากตนแฟลกซ หรอื นํ้ามันจากเมลด็ ปอบป สนี ํ้ามนั เปนสีทึบ แสง เวลาระบายมกั ใชส ขี าว ผสมใหไดนาํ้ หนกั ออ นแก งานวาดภาพสีนา้ํ มนั มักเขยี นลงบนผาใบ (Canvas ) มีความคงทนมากและกนั นํ้า ศิลปนรูจักใชสีน้ํามันวาดภาพมาหลายรอยปแลว การวาดภาพสีน้ํามันอาจ ใชเวลาเปนเดือนหรือ เปนปก็ได เนื่องจากสีนํ้ามันแหงชามาก ทําใหไมตองรีบรอน สามารถวาดภาพสี นํา้ มนั ที่มขี นาดใหญๆ และสามารถแกไขงาน ดว ยการเขียนทบั งานเดิม สีนํ้ามนั สาํ หรบั เขียนภาพจะบรรจุ ในหลอด ซง่ึ มีราคาสงู ต่าํ ขึ้นอยูก บั คุณภาพ การใชง านจะผสมดว ยนาํ้ มนั ลินสดี ซึ่งจะทําใหเหนียวและเปน มนั แตถาใช นํา้ มนั สน จะทาํ ใหแ หง เรว็ ขน้ึ และสดี าน พูกนั ทใี่ ชระบายสีนํา้ มันเปนพกู นั แบนทีม่ ีขนแข็งๆ สี นํา้ มัน เปน สที ศ่ี ลิ ปนสวนใหญน ิยมใชวาดภาพ มาตงั้ แตสมัยเรอเนซองสย ุคปลาย 1.4.3 สีฝุน (TEMPERA) เปนสีเร่ิมแรกของมนุษย ไดมาจากธรรมชาติ ดิน หิน แรธาตุ พืช สัตว นํามาทําใหละเอียด เปนผง ผสมกาวและน้ํา กาวทํามาจากหนังสัตว กระดูกสัตว สําหรับชาง จิตรกรรมไทยใชยางมะขวดิ หรือกาวกระถิน ซึ่งเปนตัวชวยใหสีเกาะติดพืน้ ผิวหนา วัตถุไมหลุดไดโดยงาย ในยุโรปนิยมเขียนสีฝุน โดยผสมกับกาวยาง กาวนํ้า หรือไขขาว สีฝุนเปนสีที่มีลักษณะทึบแสง มีเน้ือสี คอนขางหนา เขียนสีทับกันได สีฝุนมักใชในการเขียนภาพทั่วไป โดยเฉพาะภาพฝาผนัง ในสมัยหน่ึงนิยม เขยี นภาพฝาผนงั ที่เรียกวา สีปูนเปยก (Fresco) โดยใชส ฝี นุ เขียนในขณะท่ีปนู ท่ีฉาบผนงั ยังไมแหงดี เน้อื สี จะซึมเขา ไปในเนอ้ื ปูนทําใหภ าพไมหลุดลอกงา ย สีฝนุ ในปจจบุ นั มีลกั ษณะเปน ผง เมอ่ื ใชง านนํามาผสมกับ น้ําโดยไมต องผสมกาว เน่ืองจากในกระบวนการผลติ ไดทําการผสมมาแลว การใชง านเหมือนกบั สีโปสเตอร ภาพวาดดว ยสีฝนุ ภาพวาดดวยสีโปสเตอร
-4- 1.4.4 สีโปสเตอร (POSTER COLOUR) เปนสีชนิดสีฝุน (Tempera) ท่ีผสมกาวน้ําบรรจุ เสร็จเปนขวด การใชงานเหมือนกับสีนาํ้ คือใชน้ําเปนตัวผสมใหเจือจาง สีโปสเตอรเปนสีทึบแสง มีเน้ือสี ขน สามารถระบายใหมเี นื้อเรียบได และผสมสีขาวใหม ีน้ําหนกั ออ นลงไดเหมอื นกับสีนํา้ มนั หรอื สีอะครลี ิค สามารถระบายสีทับกันได มักใชในการวาดภาพ ภาพประกอบเร่ืองในงานออกแบบตางๆ ไดสะดวก ใน ขวดสีโปสเตอรม ีสวนผสมของกลีเซอรีนจะทําใหแ หง เร็ว 1.4.5 ดินสอสี (CRAYON) เปนสผี งละเอียด ผสมกับขี้ผงึ้ หรือไขสัตว นาํ มาอดั ใหเ ปน แทงอยู ในลักษณะของดินสอเพื่อใหเหมาะสําหรับเด็กๆ ใชงาน มีลักษณะคลายกับสีชอลค แตเปนสีที่มีราคาถูก เนื่องจากมีสวนผสมอ่ืนๆ ปะปนอยูมากมีเนื้อสีนอยกวา ปจจุบันมีการพัฒนาใหสามารถละลายน้ํา หรือ น้ํามันได โดยเมื่อใชดินสอสีระบายสีแลวนําพูกันจุมน้ํามาระบายตอ ทําใหมีลักษณะคลายกับภาพสีน้ํา (Aquarelle) บางชนดิ สามารถละลายไดใ นนํา้ มัน ซ่งึ ทาํ ใหกนั น้ําได ภาพวาดดวยดินสอสี ภาพวาดดวยสอี ะครีลิค 1.4.6 สีอะครีลิค (ACRYLIC COLOUR) เปนสีที่มีสวนผสมของสารพลาสติกโพลีเมอร (Polymer) จําพวกอะครีลิค (Acrylic) หรือไวนิล (Vinyl) เปนสีท่ีมีการผลิตขึ้นมาใหมลาสุด เวลาจะใช นาํ มาผสมกบั นา้ํ ใชง านไดเ หมือนกับสีนาํ้ และสีนํ้ามนั มีท้ังแบบโปรง แสง และทบึ แสง แตจ ะแหงเร็วกวาสี นํา้ มัน 1-6 ช่ัวโมง เม่ือแหง แลวจะมี คณุ สมบัตกิ นั นํ้าไดและเปน สีท่ีติดแนนทนนาน คงทนตอ สภาพดินฟา อากาศ สามารถเก็บไวไดนานๆ ยึดเกาะติดผิวหนาวตั ถุไดดี เมื่อระบายสีแลวอาจใชน้าํ ยาวานิช (Vanish) เคลือบผิวหนาเพื่อปองกัน การขูดขีด เพื่อใหคงทนมากย่ิงข้ึน สีอะครีลิคท่ีใชวาดภาพบรรจุในหลอด มี ราคาคอ นขา งแพง 1.5 แมสี (PRIMARIES) สตี า งๆ นัน้ มอี ยมู ากมายแหลงกาํ เนิดของสีและวิธกี ารผสมของสตี ลอดจน รูสึกท่ีมีตอสีของมนุษยแตละกลุมยอมไมเหมือนกัน สีตางๆ ท่ีปรากฏน้ันยอมเกิดข้ึนจากแมสีในลักษณะที่ แตกตางกันตามชนิดและประเภทของสีนั้น แมสี คือ สีท่ีนํามาผสมกันแลวทําใหเกิดสีใหมท่ีมีลักษณะ แตกตางไปจากสีเดิม แมสมี ือยู 2 ชนิด คือ 1.5.1 แมส ีของแสง เกิดจากการหักเหของแสงผานแทง แกว ปริซึม มี 3 สี คือ สีแดง สีเหลอื ง และสีนํ้าเงิน อยูในรูปของแสงรังสี ซ่ึงเปนพลังงานชนิดเดียวที่มีสีคุณสมบัติของแสงสามารถนํามาใช ใน การถา ยภาพ ภาพโทรทัศน การจดั แสงสีในการแสดงตางๆ เปนตน
-5- 1.5.2 แมสวี ัตถุธาตุ เปนสีทไ่ี ดม าจากธรรมชาติ และจากการสังเคราะหโดยกระบวนทางเคมี มี 3 สี คือ สีแดง สีเหลือง และสีนํ้าเงิน แมสีวัตถุธาตุเปนแมสีที่นํามาใชงานกันอยางกวา งขวาง ในวงการ ศิลปะ วงการอุตสาหกรรม ฯลฯ แมสีวัตถุธาตุ เมื่อนํามาผสมกันตามหลักเกณฑจะทําใหเกิด วงจรสี ซึ่ง เปนวงสีธรรมชาติ เกดิ จากการผสมกนั ของแมส ีวตั ถุธาตุ เปน สีหลกั ทใี่ ชงานกันท่ัวไป ในวงจรสี จะแสดงส่ิง ตา งๆ ดังตอ ไปนี้ 1.6 วงจรสี (Colour Circle) สามารถแบงออกเปนช้ันๆ ได 3 ช้นั ดังนี้ 1.6.1 สขี ั้นท่ี 1 คอื แมสี ไดแ ก สีแดง สเี หลือง สนี ้ําเงิน 1.6.2 สขี ัน้ ที่ 2 คือ สีท่ีเกดิ จากสีข้นั ท่ี 1 หรอื แมส ีผสมกันในอตั ราสว นทเ่ี ทา กนั จะทาํ ใหเกิดสี ใหม 3 สี ไดแ ก - สแี ดง ผสมกบั สเี หลอื ง ไดสสี ม - สีแดง ผสมกับสีนา้ํ เงนิ ไดสีมว ง - สีเหลอื ง ผสมกับสนี าํ้ เงนิ ไดสีเขยี ว 1.6.3 สขี ั้นที่ 3 คอื สีที่เกดิ จากสีข้ันที่ 1 ผสมกับสีขัน้ ที่ 2 ในอตั ราสว นที่เทา กันจะไดส ีอน่ื ๆ อกี 6 สี คอื - สีแดง ผสมกบั สสี ม ได สีสมแดง - สีแดง ผสมกับสมี วง ได สีมว งแดง - สีเหลือง ผสมกับสีเขียว ได สีเขยี วเหลือง - สนี ํ้าเงนิ ผสมกับสีเขียว ได สีเขียวนํา้ เงนิ - สีนาํ้ เงนิ ผสมกับสมี วง ได สมี ว งนํ้าเงิน
-6- 2. ระบบสี โดยท่ัวไปสีในธรรมชาติและสีที่สรางข้ึน จะมีรูปแบบการมองเห็นของสีที่แตกตางกัน ซึ่งรูปแบบ การมองเหน็ สที ่ใี ชในงานดานกราฟกท่วั ไปนนั้ มีอยดู ว ยกนั 4 ระบบ คือ 2.1 ระบบสแี บบ RGB ตามหลกั การแสดงสีของเคร่ืองคอมพวิ เตอร 2.2 ระบบสีแบบ CMYK ตามหลักการแสดงสขี องเครอ่ื งพมิ พ 2.3 ระบบสแี บบ HSB ตามหลักการมองเห็นสขี องสายตามนษุ ย 2.4 ระบบสแี บบ Lab ตามมาตรฐานของ CIE ซงึ่ ไมขน้ึ อยูก บั อุปกรณใดๆ 2.1 ระบบสีแบบ RGB เปนระบบสีท่ีประกอบดวยแมสี 3 สีคือ แดง (Red), เขียว (Green) และ นาํ้ เงนิ (Blue) ในสดั สว นความเขม ขน ที่แตกตางกนั เม่ือนํามาผสมกันทาํ ใหเกดิ สตี างๆ บนจอคอมพวิ เตอร ไดม ากถึง 16.7 ลานสี ซึ่งใกลเคียงกับสีท่ีตาเรามองเหน็ ไดโดยปกติ และจุดที่สที ง้ั สามสีรวมกนั จะกลายเปน สีขาว นิยมเรียกการผสมสีแบบนี้วาแบบ “Additive” หรือการผสมสีแบบบวก ซึ่งเปนการผสมสีขั้นท่ี 1 หรอื ถานาํ เอา Red, Green, Blue มาผสมครัง้ ละ 2 สี กจ็ ะทาํ ใหเกดิ สใี หม เชน Blue + Green = Cyan Red + Blue = Magenta Red + Green = Yellow แสงสี RGB มักจะถูกใชสําหรับการสองสวางท้ังบนจอทีวแี ละจอคอมพิวเตอร ซ่ึงสรางจากการให กําเนดิ แสง สแี ดง, สเี ขยี ว และสีน้ําเงิน ทาํ ใหสดี ูสวา งกวา ความเปน จริง 2.2 ระบบสแี บบ CMYK เปน ระบบสที ่ีใชกบั เคร่อื งพิมพท่ีพิมพออกทางกระดาษ ซ่งึ ประกอบดว ย สีพื้นฐาน คือ สีฟา (Cyan), สีมวงแดง (Magenta), สีเหลือง (Yellow) และเม่ือนําสีทั้ง 3 สีมาผสมกันจะ เกิดสีเปน สีดํา (Black) แตจะไมดําสนิทเนื่องจากหมึกพิมพมีความไมบริสุทธิ์ โดยเรียกการผสมสีทั้ง 3 สีขางตนวา “Subtractive Color” หรือการผสมสีแบบลบ หลักการเกิดสีของระบบนี้คือ หมึกสีหนึ่งจะ ดดู กลนื สจี ากสีหนงึ่ แลว สะทอนกลับออกมาเปน สีตางๆ เชน สฟี า ดดู กลนื สีมวงแลว สะทอ นออกมาเปนสนี ํ้า
-7- เงิน ซึ่งจะสังเกตไดวาสีท่ีสะทอนออกมาจะเปน สีหลักของระบบ RGB การเกดิ สนี ใ้ี นระบบน้ีจึงตรงขามกับ การเกิดสใี นระบบ RGB 2.3 ระบบสีแบบ HSB เปนระบบสีพ้ืนฐานในการมองเห็นสีดวยสายตาของมนุษย ประกอบดว ย ลกั ษณะของสี 3 ลกั ษณะ คือ 2.3.1 Hue คือ สีตางๆ ที่สะทอนออกมาจากวัตถุเขามายังตาของเรา ทําใหเราสามารถมอง เห็นวัตถุเปนสีตางๆ ได ซ่ึงแตละสีจะแตกตางกันตามความยาวของคลื่นแสงท่ีมากระทบวตั ถุและสะทอ น กลับที่ตาของเรา Hue ถกู วัดโดยตาํ แหนง การแสดงสีบน Standard Color Wheel ซง่ึ ถูกแทนดวยองศา 0 ถงึ 360 องศา แตโดยท่วั ๆ ไปแลวมักจะเรียกการแสดงสนี ้ันๆ เปนช่อื ของสีเลย เชน สีแดง สมี วง สีเหลอื ง 2.3.2 Saturation คือ ความสดของสี โดยคาความสดของสีจะเร่ิมที่ 0 ถึง 100 ถากําหนด Saturation ที่ 0 สีจะมีความสดนอย แตถากําหนดท่ี 100 สีจะมีความสดมาก ถาถูกวัดโดยตําแหนงบน Standard Color Wheel คา Saturation จะเพ่ิมขน้ึ จากจุดกงึ่ กลางจนถึงเสน ขอบ โดยคาทีเ่ สน ขอบจะมี สที ่ชี ดั เจนและอมิ่ ตวั ท่สี ดุ 2.3.3 Brightness คือ ระดับความสวางและความมืดของสี โดยคาความสวางของสีจะเรมิ่ ที่ 0 ถึง 100 ถากาํ หนดที่ 0 ความสวา งจะนอยซ่ึงจะเปนสีดาํ แตถ า กาํ หนดที่ 100 สีจะมคี วามสวางมากท่ีสุด ยิ่งมคี า Brightness มากจะทาํ ใหสีนน้ั สวา งมากขน้ึ 2.4 ระบบสีแบบ Lab ระบบสีแบบ Lab เปนคาสีที่ถูกกําหนดข้ึนโดย CIE (Commission Internationale d’ Eclarirage) เพื่อใหเปนสีมาตรฐานกลางของการวัดสีทุกรูปแบบ ครอบคลุมทุกสีใน RGB และ CMYK และใชไดก บั สที ่ีเกดิ จากอุปกรณทุกอยางไมว า จะเปน จอคอมพิวเตอร เคร่อื งพมิ พ เครอ่ื ง สแกนและอ่ืนๆ สว นประกอบของโหมดสีน้ไี ดแ ก -8-
L หรอื Luminance เปนการกาํ หนดความสวางซ่งึ มีคา ตั้งแต 0 ถงึ 100 ถา กาํ หนดที่ 0 จะ กลายเปน สดี ํา แตถา กําหนดท่ี 100 จะกลายเปน สีขาว A เปนคาของสีท่ีไลจ ากสเี ขยี วไปสีแดง B เปน คาของสีท่ีไลจ ากสีนํา้ เงนิ ไปสเี หลือง
Search
Read the Text Version
- 1 - 9
Pages: