หน่วยท่ี 1 วัสดุงานโครงสร้ างอาคารประเภทไม้ อ.ปัญญาวุธ ช่วยคง แผนกช่างก่อสร้าง วทิ ยาลัยเทคนิคสุราษฎร์ธานี
วสั ดุงานโครงสรางอาคารประเภทไม ไม เปนผลผลิตอนั ยิง่ ใหญข องธรรมชาติ ในสมัยโบราณยุคกอนประวัติศาสตรน ้ันมนุษยใชไ มเปน ที่อยอู าศยั ใชไ มท ําใหเกิดไฟโดยการเสียดสกี ัน ไมเ ปน เชอ้ื เพลงิ ใชไมเ ปนดามอาวุธ ตอมาเม่ือมนษุ ยเ จริญ ขึน้ มนษุ ยไดร บั ประโยชนจ ากไมอ ยา งกวา งขวางออกไปอกี มาก เชน ในการกอสรา งบา นเรือนอยางสวยงาม ใชไมทําเครื่องเรือน ใชในการตอเรือ ทําไมหมอนรองรางรถไฟ ทํากระดาษ ทําเช้ือเพลิง ปจจุบันนี้มี วิวัฒนาการโดยเฉพาะอยางยิ่งดานเคมี ทําใหไดประโยชนจากไมเพ่ิมขึ้น เชนไดใชไมทําสวนผสมของดิน ระเบิด สกัดยารักษาโรค ทําพลาสติก ทําสิ่งทอตา ง ๆ เชน ทําผาไหมเทยี ม เปนตน “พิพธิ ภณั ฑพระท่นี ง่ั วมิ านเมฆ” พระทนี่ ั่งไมสกั ทองท่ีใหญท ่ีสุดในโลก
เรื่องของไมที่จะกลาวตอไปเปนเรื่องการใชไมในการกอสรางเปนสวนใหญ ขอดีท่ีใชไมเปนวัสดุ กอสรา งนั้นมหี ลายประการ ดงั น้ี 1) ไมม คี วามแข็งแรงในนํ้าหนกั ที่เทา ๆ กัน และสามารถใชป ระโยชนไ ดก วางขวางกวาวัสดอุ ื่นๆ 2) ไมใ ชทาํ งานไดงาย เชน เจาะ บาก ไส 3) ไมเ ปน ฉนวนปองกันความรอ นท่ีดี 4) ลายของไมสวยงาม ทําเคร่ืองเรือนไดส วย ใชท ําพืน้ กม็ ีลายสวย 5) ไมมคี วามยดื หยุนตัวไดดที ําใหอ าคารไมเ สยี หายเมื่อเกดิ แผนดนิ ไหว 6) เมอ่ื ไดร บั การปอ งกันดูแลรักษาเปนอยางดี 1. สวนประกอบสําคัญของตนไม 1.1 ตน ไมม สี วนสาํ คญั ดงั ตอนี้ 1.1.1 ราก ทําหนา ท่ดี ูดอาหารและนาํ้ จากดนิ ในลักษณะของของเหลวลําเลียงผานลําตนไป ปรุงทใ่ี บ และยงั ทําหนาท่ที รงตวั และยึดลาํ ตน ไวก บั ดิน 1.1.2 ลําตน ทําหนาท่ีลําเลียงอาหารและนํ้าจากรากไปยังใบไม ซ่ึงสวนใหญจะเปนพุมที่ ปลายของตนไมหรือปลายก่ิง นอกจากทําหนาท่ีดังกลาวแลวลําตนยังเปนโครงที่สําคัญของตนไมชวยชู เรือนยอดใหไ ดร บั แสงอาทติ ย 1.1.3 พุมใบ ทําหนาท่ีปรุงอาหาร ใบไมจะดูดคารบอนไดออกไซดในอากาศโดยอาศัย แสงอาทิตยเขาชวยในการปรุงอาหาร ซ่ึงกรรมวิธีน้ีเรียกวา แสงสังเคราะห โดยใชสารสีเขียว คลอโรฟน เมื่อปรุงอาหารเสรจ็ แลว จะสง อาหารไปอยูในลักษณะของของเหลวมายงั ลําตนสวนที่เปน เยื่อไม ไมจะเพม่ิ เนื้อไมรอบลาํ ตนทเ่ี ย่ือไมเ จรญิ นีเ้ ปน ชั้น ๆ ในแตล ะป 1.2 สว นประกอบของไมใ นลาํ ตน รูปหนา ตดั ลาํ ตน ของไม
1.2.1 ใจไม (Pith ) เปนศูนยกลางของตน ไมมกั จะมีรูเล็ก ๆ หรือตนไมท ม่ี อี ายมุ าก ๆ บางทีก็ เปนโพรงไมท าํ ใหไมยืนตาย 1.2.2 แกนไม (Heart wood) แกน ไมอ ยูร ะหวางใจไมแ ละกระพเี้ ปน สวนทีใ่ ชง านไดดีที่สุด 1.2.3 กระพ้ี (Sab wood) อยูระหวางแกนกับทางเล้ยี งลําตน 1.2.4 ทางเลยี้ งลําตน (Cambium) เปน วงรอบประจําป หรอื วงเจรญิ ทอ่ี ยูนอกสุดของตน ไม 1.2.5 เปลือก (Bark) อยูภายนอกสุดของลาํ ตน ทําหนา ท่ปี อ งกนั ลาํ ตน 1.2.6 เซลลรัศมี (Medullary rays) เปนส่ิงที่ว่ิงจากไจไมออกมาหาเปลือก เสนเหลาน้ีคือ เสีย้ นไมท ่มี ีทางเส้ียนสับสนกนั อยูแ ละมหี ลอดเล็กๆ ซึ่งมนี าํ้ มนั อยู 1.2.7 วงปของไมหรอื วงงอกประจําป (Annual Growth Ring) ในปหนึ่งๆ วงปจะไมเทา กนั เนอ่ื งจากความอดุ มสมบรู ณและชนิดของตน ไม ในบางปตนไมบางชนิดสามารถมีวงป 1-2 วง/ป 2. ขอ เสียตามธรรมชาติของไม มีหลายทางดังตอ ไปน้ี 2.1 ทางชีววิทยา ไดแ ก 2.1.1 เช้ือรา (Fungi) เช้ือราเปนพืชชั้นต่ํา มีลักษณะรากเปนฝอยลุกลามไปทั่ว เจาะกิน เซลลูโลสในเน้ือไมเปนอาหาร ทําใหเนื้อไมผุ เช้ือราจะเจริญเติบโตไดตองอาศัยความช้ืน อุณหภูมิและ อากาศทีเ่ หมาะสม ซึ่งสงั เกตไดวา ไมที่อยูพ ้ืนดนิ หรือพ้ืนทกี่ ่งึ เปยกกงึ่ แหง จะชว ยใหเชอ้ื ราเจริญเตบิ โตไดดี 2.1.2 แบททเี รยี (Bacterial) เปนพวกทเ่ี กาะกินอาหารอยูบนผิวไม ไมใ ชส าเหตทุ ี่ทําใหไมผุ โดยตรง ถึงแมว าผวิ ไมจ ะถกู กัดกินจนผวิ กรอนลกึ ลงไป ก็ไมอ าจทําใหไ มเ กดิ ความเสยี หายได 2.1.3 ปลวก (Termites) ปลวกเปนแมลงเมาท่ีเรารจู ักกนั ดีมอี ยู 2 ชนิด คอื ปลวกทช่ี อบอยู ใตดนิ คอ ยๆทํารงั ไตข้ึนมาตามผนังบาน และปลวกทม่ี ีปก ซ่ึงชอบทํารังใตห ลงั คาบาน ปลวกเปน แมลงท่ีกัด กนิ ทําลายไมไ ดอยา งรวดเรว็ 2.1.4 มอด (Weevils) เปน แมลงปกแข็งตวั เลก็ ๆ ชอบกินเฉพาะแปง ทมี่ ีอยใู นเนือ้ ไม แตไ ม กินเนื้อไมเ หมอื นกับปลวก ความรุนแรงของการทําลายไมจึงนอ ยกวา โดยถาเราพบเศษขุยคลายๆผงแปง ลวงหลนลงเปนกองเล็กๆใกลๆกับช้ินไม เราก็จะพบวามีรูเล็กๆ เทากับรูเข็มเต็มไปหมด ซึ่งก็คือรูที่มอด เจาะเขา ไปกินแปง แลวถา ยออกมาเปน ผงน่นั เอง 2.1.5 เพรยี ง (Barnacles) เพรยี งเปน สัตวมาอาศัยอยูตามแถบชายทะเล อาศยั อยูในไมท ี่ปก อยใู นทะเล เชน สะพานทา เรอื ทา เทียบเรือ เสาบา นชายทะเล ฯลฯ โดยจะกัดเจาะไมใหเปน รเู พือ่ ฝงตัวอยู ดา นใน ซงึ่ ไมท อนใดทีม่ ีเพรยี งเกาะอยมู ากก็อาจถูกเจาะจนหักพงั ลงไปได
2.2 ทางฟสิกส ไดแ ก 2.2.1 ตาไม (Knots) ตาไมคือสวนทีก่ ่งิ ไมย ่ืนออกจากลําตน ตาไมจ ะทาํ ใหค วามตอเน่ืองของ เสี้ยนไมตองสะดุดไมราบเรียบ และขนาดของตาไมจะมีผลเสียตอการรับกําลังในการกอสราง โดยอาจมี ผลเสียนอยในดานกําลังรับแรงอัดถาเกิดอยูในไมเสา แตถาอยูในคาน จะมีผลตอการตานทานแรงดัดของ คานเปนอยางมาก 2.2.2 รอยปริ (Cheek) หมายถงึ รอยแตกของไมต ามแนวเส้ียนหรอื แนวเสนรัศมีของเสนวงป รอยแตกนีจ้ ะเกดิ จากการหดตวั ของไมท ม่ี ีความชนื้ ไมไมเทา กัน พบมากท่ีบรเิ วณปลายไม ซงึ่ จะไมคอ ยมผี ล ตอ การรบั แรงอดั แตจะมีผลเสียตอกําลงั ตานทานแรงเฉอื นและแรงดึงตั้งฉากเสย้ี น 2.2.3 รอยรา ว (Shakes) หมายถงึ รอยแตกของไมตามแนวยาวระหวา งรอบของเสนวงป รอย แตกน้ีเกิดขึ้นขณะที่เสนวงปกาํ ลังจะงอกขึ้นมาใหมแลวเกิดมีลมแรงพัดใหตนโยกไปมา ทําใหเสนวงปเกา กบั เสนวงปใหมเกาะติดกนั ไมส นิท 2.2.4 การบิด เบ้ียว และโกง คือ การเสียรูปของไมแ ปรรปู เน่อื งจากเน้ือไมเสียความชื้น ทํา ใหไมเ กิดการบดิ เปน เกลยี ว การเบยี้ วจนเสียรปู มุมฉากทห่ี นา ตัดไม และการโกง หรอื โคง ตามแนวยาว 2.3 ทางกล เปนความเสียหายท่ีเกิดจากการรบั น้ําหนักมากเกินไป การรับแรกกระแทก หรือการ สึกหรอจากการเสียดสี 2.4 ทางเคมี เปน ความเสียหายเนอ่ื งจากกรด ดา ง หรอื ความชืน้ 3. กลสมบัติของไม ท่จี ะตอ งนํามาพิจารณาในการเลอื กใชง าน มีดังนี้ 3.1 นํา้ หนักไม (Weight) ไมทเี่ หมาะสาํ หรับนํามาใชใ นงานวิศวกรรมกอสราง ควรผานการผง่ึ หรือ อบใหเหลอื ความช้ืนประมาณ 12-15% โดยนํา้ หนกั เพื่อลดปญ หาการบิดตวั หดตวั และแตกปริ 3.2 ความถวงจําเพาะ (Specific Gravity) เปนกลสมบัติที่แตกตางกันออกไปตามชนิดของไม โดยท่วั ไปไมทม่ี ีนา้ํ หนกั และความถวงจําเพาะสูงมักจะเปน ไมทใี่ หกาํ ลงั สุงกวาไมท ี่มีความถว งจําเพาะตา ง 3.3 หนวยแรงดัด (Bending Stress) เปนกลสมบัติที่ใชกับงานออกแบบโครงสรางประเภทคาน เพอื่ ใหส ามารถกําหนดหนาตัดทเี่ หมาะสมทีน่ าํ มารองรบั นํา้ หนักบรรทุก 3.4 โมดูลัสแตกหัก (Modulus of Rupture) เปนคาหนวยแรงดัดของไมที่วัดเมื่อถูกแรงดัด ประลยั กระทําจนถงึ ข้นั แตกหกั ซึง่ คา ประลัยทไี่ ดน ี้ก็จะนาํ ไปใชใ นการพิจารณาตามกําหนดคา หนวยแรงดัด ที่ วสท. อนญุ าตใหใ ช 3.5 โมดูลัสหยืดหยุน (Modulus of Elasticity) เปนกลสมบัติในการตานทานตอการโกงตัวของ คานในแนวดงิ่ โดยทวั่ ไปไมทม่ี ีความชนื้ มากจะโกง ตวั มากกวาไมท ี่ผึ่งใหแ หง ดแี ลว
3.6 หนวยแรงอัดขนานตามแนวเสีย้ น (Compressive Stress Parallel to Grain) เปน กลสมบัติ ที่ใชท่ีใชในการพิจารณาในการออกแบบโครงสรางที่ตองรับแรงอัดเชน เสา โดยท่ีการรับแรงของสาจะ เปรยี บเสมือนมีเสากลวงเลก็ ๆของเซลลไ มหลายเซลลชว ยกนั ยันซึง่ กันและกนั ทาํ ใหร บั กําลังไดด ี 3.7 หนว ยแรงอัดต้ังฉากกับแนวเส้ียน (Compressive Stress Perpendicular to Grain) เปน กล สมบัตทิ ใ่ี ชใ นการพิจารณาออกแบบโครงสรางคานทต่ี อ งรับแรงอัดเปน จุด เพ่ือการตรวจสอบการยุบตัวของ เสีย้ นไมใหอ ยูในขอบเขตยืดหยนุ ท่ียอมใหเ ทาน้นั 3.8 หนวยแรงดึงขนานกับแนวเสี้ยน (Tensile Stress Parallel to Grain) เปนกลสมบัติท่ีให คา สงู สุดของไมใ นการออกแบบโครงสรา งไม โดยใชคา หนว ยแรงดึงขนานกับแนวเส้ยี นเหมือนกบั หนวยแรง ดัดตามท่ี วสท. อนญุ าต 3.9 หนว ยแรงดึงตงั้ ฉากกับแนวเสีย้ น (Tensile Stress Perpendicular to Grain) เปน กลสมบัติ ท่ไี มค อยไดใชใ นงานออกแบบ 3.10 หนวยแรงเฉือนขนานกบั แนวเสี้ยน (Shearing Stress Along Grain) เปนกลสมบัติในการ ตานทานการแยกออกจากกันของคานไมร ะหวา งคร่งึ บนกบั คร่งึ ลาง โดยจะมคี ามากทีส่ ุดทีจ่ ดุ ก่ึงกลางความ ลึกทป่ี ลายคาน รปู ทศิ ทางท่ีแรงกระทํากับเส้ียนไม 4. การนําไมไปใชในงานกอสรา ง 4.1 ไมชนิดตา งๆ ทน่ี ิยมใชในงานกอ สรา ง 4.1.1 ใชทําโครงสรางอาคาร เชน เสา คาน ตง โครงหลังคา โครงสรางสะพาน หมอนราง รถไฟ วงกบประตหู นาตาง สว นมากเปนไมเนอ้ื แขง็ ไดแ ก ไมเต็ง ไมร ัง ไมชนั ไมเ คี่ยม ไมตะแบบ ไมม ะคา ไมต ะเคียน เปนตน 4.1.2 ใชทําพื้นบาน เครื่องเรือน เรือ ทําดามเคร่ืองมือ จะใชไมท่ีมีเน้ือคอนขางละเอียด สามารถขดั เงาไดดี ไดแก ไมประดู ไมต ะเคียน ไมแดง ไมตะแบบ ไมมะคา ไมส ัก
4.1.3 ใชทําไมเคราฝาผนัง ไมฝา พ้ืน ฝาเพดาน ท่ีไมตองการความเงางาม ทําเคร่ืองเรือน ราคาถูก สวนใหญเ ปน ไมเนอื้ แข็งปานกลาง และไมเนือ้ ออ น ไดแก ไมยาง ไมช ุมแพรก ไมนนทรี ไมม ะมว ง ปา ไมกระทอ น ไมสยาขาว ไมก านเหลอื ง 4.1.4 ใชทําไมแบบสําหรบั เทคอนกรีต จะตองใชไมที่มคี ุณสมบัติยืดหดตัวนอย และทนทาน ตอ สภาพดนิ ฟาอากาศทีเ่ ปลี่ยนแปลง ไดแก ไมกระบาก 4.2 ไมแ ปรรูปลักษณะตางๆ ท่นี ิยมใชในงานกอสรา ง 4.2.1 ไมกระดาน (Planks) เปนแผน ไมลกั ษณะแบนๆใชสาํ หรับเปนพน้ื บาน หรอื ใชทําเปน ฝาบาน เชงิ ชายและปน ลม และไมแ บบกอ สราง ไมกระดานใชสําหรับทําพ้ืนมักมีขนาด 1 x 4, 1 x 6, และ 1 x 8 น้ิว สว นทใี่ ชส ําหรับทําเปนฝาหรอื เชิงชายอาจมีขนาด ½ x 6 น้วิ และ ¾ x 8 นิ้ว ฯลฯ 4.2.2 ไมค าน (Beams Joists) เปน ไมท ่ีตอ งทาํ หนาท่รี ับนาํ้ หนักจากแรงดดั โคง เชน คาน ตง อะเส ขอื่ อกไก จนั ทนั จงึ ตองเปนไมประเภทเนอ้ื แขง็ เทาน้นั ขนาดของตงโดยทว่ั ไป คอื 1 ½ x 5 นวิ้ และ 2 x 6 นิว้ สว นขนาดของคานโดยท่วั ไป คือ 2 x 6 นว้ิ , 2 x 8 น้ิว และ 2 x 10 นว้ิ 4.2.3 ไมเสา (Posts) เปนไมทตี่ องทําหนา ทีแ่ บกรับแรงอัด ที่เกดิ จากน้ําหนกั ของอาคาร ท้ังหมด ชนิดของไมที่ใชจึงตอ งเปนไมเนอ้ื แขง็ ถงึ แขง็ มากเทาน้นั และขนาดของเสาไมสว นใหญจ ะเปนรปู ส่ีเหลีย่ มจัตรุ สั เชน 4 x 4 นวิ้ , 6 x 6 นวิ้ และ 8 x 8 น้วิ หรือกลม ซง่ึ มักจะใชกบั บา นทรง 4.2.5 ไมครา ว (Stud) ใชสาํ หรับยดึ ผนัง ฝาเพดาน ทํานง่ั ราน ไมค้าํ ยัน หรอื เปน ไมท ่ที าํ หนาทีร่ องรบั กระเบื้องหลงั คาซง่ึ มีนํ้าหนกั ไมมากนกั ขนาดทว่ั ไป คอื 1 ½ x 3 นิ้ว สว นขนาดของระแนง ทั่วไป คอื 1 ½ x 1 ½ นิ้ว หรือ 2 x 2 นิ้ว 4.2.6 ไมว งกบประตูหรือหนา ตาง (Door or Windows Frame) ควรเปนไมท ่มี คี วามแข็ง ปานกลางและไมหดตวั งาย หรอื อาจที่ตองเปน ทีม่ ีลายสวยงาม เชน ไมสกั ไมแ ดง ไมม ะคา และไม ตะเคยี นทอง ขนาดของไมว งกบทว่ั ไป คือ 2 x 4 นว้ิ 5. การปอ งกนั รักษาเนอ้ื ไม แบงเปน 2 ลกั ษณะใหญ คอื 5.1 การทาดว ยนํ้ายารักษาเนอ้ื ไม แบงเปน 3 ชนดิ คือ 5.1.1 สารมีพิษท่ีใชภ ายนอกอาคาร เนือ่ งจากเปน สารมีพษิ ตอ รางกายจึงนยิ มใชภ ายนอก อาคาร เชน สะพาน หมอนรางรถไป เสาไฟฟา-เสาโทรเลข เชน ครีโอโซต อารซนี กิ หรอื สารหนู เมอคิวรกิ คลอไรด 5.1.2 สารทีไ่ มม พี ษิ เปนสารเคมที ่ไี มเ ปนพษิ ตอรา งกาย ตอ งนํามาผสมนํา้ กอนใชงาน เชน ซงิ กคลอไรด โซเดียมฟลโู อไรด คอปเปอรซลั เฟตหรอื จุนสี
5.1.3 ผลติ ภัณฑรักษาเนื้อไมสาํ เรจ็ รปู เปน ผลิตภัณฑร ักษาเนื้อไมท ี่ผลิตมาแบบสําเร็จรปู มขี ายตามทองตลาดทั่วไป เปนทน่ี ยิ มใชมากในปจ ุบนั เนื่องจากสะดวกในการใชงาน เชน สารกําจัดปลวก เชลแลค็ แล็กเกอร วานิช ยรู เิ ทน 5.1.4 สีนา้ํ มัน ใชป องกนั เน้อื ไมไดด ี แตมขี อเสียคือลายไมจ ะถูกปดไปดว ยเนื้อสี 5.2 การอาบนาํ้ ยารักษาเน้อื ไม แบง เปน 2 ลักษณะ คอื 5.2.1 การปลอ ยน้ํายาใหซ ึมเขาเนอ้ื ไมต ามธรรมชาติ คือ การนําไมไปแชในนํ้ายา ควรใช น้ํายาที่ซึมเขา เนือ้ ไมไ ดเ ร็ว และจะตอ งใชเวลาในการแชน้าํ ยาอยางเหมาะสม 5.2.2 การใชความดัน เปน การชว ยใหน ้ํายาเขา เนื้อไมไดเร็วและทั่วถึง โดยนําไมเ ขา หอ งอัด นาํ้ ยา และทําใหเ ปน สภาพสุญญากาศ แลว จึงดันนํา้ ยาเขาไปภายในหอ ง นาํ้ ยากจ็ ะถกู อดั เขา ไปในเนอ้ื ไม ใชเวลาประมาณ 2-3 ชว่ั โมงเทาน้นั
Search
Read the Text Version
- 1 - 8
Pages: