Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore สีและอิทธิพลของสีที่มีต่อมนุษย์

สีและอิทธิพลของสีที่มีต่อมนุษย์

Published by ปัญญาวุธ ช่วยคง, 2021-06-10 06:45:34

Description: สีและอิทธิพลของสีที่มีต่อมนุษย์

Keywords: สีและอิทธิพลของสีที่มีต่อมนุษย์

Search

Read the Text Version

หน่วยท่ี 2 สีและอทิ ธิพลของสี ทมี่ ตี ่อมนุษย์ วิชา งานสีเพ่อื งานก่อสร้าง โดย อ.ปัญญาวุธ ช่วยคง

-1- สแี ละอิทธพิ ลของสที มี่ ตี อมนุษย สี เปน สงิ่ ท่ปี รากฏอยบู นโลก ทุกๆสิง่ ทีเ่ รามองเห็นรอบๆ ตัวนั้น ลว นแตม สี ี โลกของเราถกู จรรโลง และแตงแตมดวยสีสันหลายหลาก ท้ังสีสันตามธรรมชาติ และสีท่ีมนุษยรังสรรคข้ึน หากโลกน้ีไมมีสี หรือ มนุษยไมสามารถรับรูเก่ียวกับสีได ส่ิงน้ันอาจเปนความพกพรองที่ยิ่งใหญของธรรมชาติ เพราะสีมี ความสําคญั ตอวัฏจักรแหง โลก และเกี่ยวของกับวิถีชวี ิตมนุษยจนแยกกันไมอ อก เพราะมนุษยไ ดต ระหนัก แลววา สีนั้นสงผลตอความรสู ึกนกึ คิด อารมณ จินตนาการ การสื่อความหมาย และความสุขสําราญใจใน ชีวิตประจําวนั มาชานานแลว ดังน้ัน จึงอาจกลาวไดวา สี มีอิทธิพลตอมนุษยเราเปนอยา งสูง และมนษุ ยก ็ ใชป ระโยชน จากสีอยางเอนกอนนั ต ในการสรางสรรค สิง่ ตา งๆอยา งไมมที สี่ น้ิ สดุ 1. หนา ที่ของสี สมี คี ุณประโยชนตอ โลก และมนษุ ยเรารจู กั การใชสีมาชานาน 1.1 สีที่มีอยูในธรรมชาติ เปนปรากฏการณที่ธรรมชาติสรางขึ้นมาเพ่ือแสดงถึงความเปนไป ของ สิ่งท่ีมีอยูบนโลก ซึ่งสีจะเปนตัวบงบอก สิ่งตางๆ ไดแกความเปลี่ยนแปลง หรือวิวัฒนาการ ของธรรมชาติ หรือวัตถุธาตุ เม่ือกาลเวลาเปลี่ยนไป สีอาจกลายสภาพจากสีหนึ่งไปเปนอีกสีหนึ่ง เชน การเปลี่ยนสีของ ใบไม - ความแตกตา งของชนิด หรอื ประเภทของวัตถุธาตุ ไดแก สขี องอัญมณี เชน แรไ พลินมีสีน้ํา เงนิ แรมรกตมีสเี ขียว แรท ับทมิ มสี แี ดง เปน ตน - แบงแยกเผาพันธุของส่ิงมีชีวิต ไดแก สีผิวของมนุษยท่ีตางกัน เชน คนยุโรปผิวขาว คน เอเชยี ผิวเหลือง และคนแอฟริกนั ผวิ ดาํ ดอกไมห รือแมลงมสี ีหลากสี ข้ึนอยกู บั ชนิดและเผา พันธุข องมนั 1.2 สีในงานศิลปะ ทําหนาที่ เปนองคประกอบสําคัญที่ทําใหงานศิลปะชิ้นนั้นมีคุณคาทาง สนุ ทรียะ หนา ทีห่ ลกั ของสใี นงานศิลปะ คอื - ใหความแตกตางระหวางรปู กบั พนื้ หรอื รูปทรงกบั ทีว่ าง - ใหความรสู กึ เคลื่อนไหวดวยการนาํ สายตาของผูดบู ริเวณทีส่ ีตดั กนั จะดงึ ดดู ความสนใจ - ใหค วามเปนมิตแิ กรูปทรง และภาพดว ยนาํ้ หนักของสที ่ตี า งกัน - ใหอ ารมณความรสู กึ ไดดว ยตวั มันเอง 1.3 ในดานกายภาพ สีมักนํามาใชเพ่ือสงผลตออุณหภูมิ เชน สีดํา จะดูดความรอนไดมากกวาสี ขาว และดานความปลอดภัย สที ี่สวา งจะชว ยในเรื่องความปลอดภยั ไดด ีกวาสีมืด

-2- สี มีอยูท่ัวไปในสิ่งแวดลอมรอบๆ ตัวเรา โดยขึ้นกับปจจัยทั้ง 3 สิ่งที่สงผลตอการมองเห็นของ มนษุ ย ไดแก แหลงกาํ เนิดแสง วัตถุ และตามนษุ ย โดยสีท่ีปรากฏอยูในโลกเรา สามารถแบง ประเภทของสี ไดเ ปน 2 ประเภทใหญๆ ดังนี้ 1) สีที่เกิดในธรรมชาติ สีที่เกิดในธรรมชาติ จัดเปนประเภทของสีที่มนุษยไมไดเปนผูสรางข้ึน สามารถเกดิ ขน้ึ ไดเองตามธรรมชาติ โดยสามารถแบงไดเ ปน 2 ชนดิ คอื 1.1 สีที่เปนแสง ( Spectrum ) คือ สีที่เกิดจากการหักเหของแสง เชน สีรุง สีจากแทงแกว ปริซึม 1.2 สีท่ีอยูในวัตถุ หรือเน้ือสี ( Pigment ) คือ สีที่มีอยูในวัตถุธรรมชาติท่ัวไป เชน สีของพืช สตั ว หรอื แรธาตุตางๆ 2) สีที่มนุษยสรางข้ึน สีท่ีมนุษยสรางข้ึน จัดเปนประเภทของสีที่ไดจากการสังเคราะห เพื่อใช ประโยชนใ นงานตางๆ เชน งานศลิ ปะ อตุ สาหกรรม การพาณิชย และในชีวติ ประจาํ วัน โดยสังเคราะหจาก วสั ดธุ รรมชาติ และจากสารเคมี ทเ่ี รยี กวา สีวทิ ยาศาสตร ซึ่งสที ีไ่ ดจากการสงั เคราะหส ามารถนาํ มาผสมกัน ใหเ กดิ เปน สตี างๆ อกี มากมาย 2. วรรณะของสี คือสีที่ใหความรสู ึกรอ น-เยน็ ในวงจรสีจะมีสีรอ น 7 สี และสีเย็น 7 สี ซ่งึ แบงทสี่ มี ว งกับสีเหลือง ซึ่ง เปน ไดทั้งสองวรรณะ แบง ออกเปน 2 วรรณะ 2.1 วรรณะสีรอ น (WARM TONE) ประกอบดวยสเี หลือง สีสม เหลือง สสี ม สีสมแดง สมี วงแดงและ สีมวง สีในวรรณะรอ นนจี้ ะไมใชสีสดๆ ดังที่เห็นในวงจรสีเสมอไป เพราะสีในธรรมชาติยอ มมีสีแตกตา งไป กวาสีในวงจรสีธรรมชาติอีกมาก ถาหากวาสีใดคอนขางไปทางสีแดงหรือสีสม เชน สีนํ้าตาลหรือสีเทาอม ทองก็ถอื วาเปน สวี รรณะรอน

-2- 2.2 วรรณะสีเย็น (COOL TONE) ประกอบดวย สีเหลือง สีเขียวเหลือง สีเขียว สีเขียวน้ําเงิน สีนํ้า เงิน สมี ว งน้ําเงิน และสีมว ง สวนสีอนื่ ๆ ถาหนักไปทางสนี าํ้ เงินและสีเขยี วกเ็ ปนสีวรรณะเย็นดัง เชน สีเทา สีดํา สเี ขียวแก เปนตน จะสงั เกตไดวา สีเหลืองและสีมว งอยูทั้งวรรณะรอนและวรรณะเย็น ถา อยใู นกลุมสี วรรณะรอนกใ็ หความรูสึกรอ น และถา อยูในกลมุ สีวรรณะเย็นก็ใหความรูสึกเย็นไปดว ย สีเหลืองและสีมวง จึงเปน สไี ดทัง้ วรรณะรอนและวรรณะเย็น 3. สีท่เี ปนวัตถุ (pigment) แบงออกเปน 3.1 แมส -ี สีขั้นตน แมส ี หรือสขี ้นั ตน (primary colours) มี 3 สี คอื สีเหลือง สีแดง และสนี ้ําเงิน แมสที ัง้ 3 สี เปนสีทไี่ มสามารถผสมขึ้นมาได แตส ามารถผสมเขาดว ยกนั เปน สอี ่นื ๆ ได 3.2 สีขนั้ ท่ี 2 นําแมส ีมาผสมกนั สขี ั้นทสี่ อง (secondary colours) มี 3 สี เกดิ จากการนาํ แมส ีท้ัง 3 มาผสมกันเขาทีละคกู จ็ ะไดส ีออกมา ดังนี้ – สเี หลือง + สแี ดง > สีสม – สีเหลอื ง + สีน้ําเงนิ > สีเขียว – สีแดง + สีนํ้าเงิน > สมี ว ง 3.3 สีข้นั ที่ 3 สขี นั้ ท่สี าม (tertiary colours) เปน สีทไี่ ดจ ากการนําสีขน้ั ที่ 2 ผสมกับแมสีทีละคู ก็ จะไดสเี พิ่มขนึ้ อีก 6 สี คอื สม เหลือง สมแดง เขียวเหลอื ง เขยี วนา้ํ เงนิ มวงแดง มวงนํ้าเงนิ สีกลาง 3.4 สกี ลาง (neutral colour) เปน สีทเ่ี กิดจากการนําเอาสีทุกสผี สมรวมกันเขา หรือเอาแมสีทง้ั 3 สี รวมกนั กจ็ ะไดส กี ลาง ซึง่ เปนสีเทาแกๆ เกอื บดํา

-3- 4. วงลอ สี จากสี 12 สี ในวงลอจะแบงออกเปน 2 วรรณะ คือ 4.1 วรรณะสีอุน (warm tone) ไดแก สีเหลือง (ครึ่งหน่ึง) สมเหลือง สม สมแดง แดง มวงแดง และมวง (ครึ่งหนงึ่ ) 4.2 วรรณะสีเย็น (cool tone) ไดแกส เี หลอื ง (อกี ครง่ึ หนึ่ง) เขยี วเหลอื ง เขียว เขียวน้ําเงนิ น้ําเงิน มว งนํ้าเงนิ และมว ง (อีกครงึ่ หนงึ่ ) สําหรบั สเี หลืองและสีมวงนน้ั เปน สีทอ่ี ยูในวรรณะกลาง ๆ หากอยใู นกลุมสีอุนก็จะอนุ ดวย แตถ า อยูใ นกลมุ สีเยน็ กจ็ ะเยน็ ดวย คูสี (complementary colours) สีที่อยูตรงขามกันในวงลอสีจะเปนคูสีกัน ถานํามาวางเรยี งกนั จะใหค วามสดใส ใหพลังความจดั ของสีซง่ึ กันและกนั ทาํ ใหเ กดิ การตดั กันหรือขัดแยงกนั อยางมาก คูส นี ้ีจะ เปน สที ตี่ ดั กันอยา งแทจ รงิ (true contrast) การใชสที ่ตี ดั กันจะตองพจิ ารณาดงั นี้ – ปรมิ าณของสที ีเ่ กิดจากการตดั กนั จะตอ งไมเกนิ 10% ของพืน้ ทที่ ้งั หมดในภาพ – การใชสตี ดั กนั ตอ งมสี ีใดสีหน่งึ 80% และอกี สีหนึ่ง 20% โดยประมาณ – ถา หากตองใชสคี ูต ัดกัน โดยมีเนื้อที่เทา ๆ กนั จะตอ งลดความเขม ของสี (intensity) ของสี ใดสีหนึ่ง หรือทง้ั สองสลี ง สขี างเคยี ง (analogous colours) เปน สีท่อี ยเู คียงกนั ในวงลอสี เชน สีเหลืองกับสม เหลอื ง สที ้ัง 2 จะดูกลมกลืนกัน (harmony) สีที่อยูหางกันออกไป ความกลมกลืนก็จะคอยๆ ลดลง ความขัดแยง หรือ ความตดั กันกจ็ ะเพม่ิ มากข้ึน จนกลายเปน คูส ี หรอื สีตดั กนั อยางแทจริงเม่ือหางกันจนถงึ จดุ ตรงขา มกนั

-4- 5. การใชสี การใชส ีมีอยู 2 วธิ ี คอื การใชสีใหก ลมกลืน (harmony) หรือตดั กนั (contrast) ทั้งนข้ี น้ึ อยกู บั จุดมงุ หมายของการใชงาน แตละลักษณะ การใชสีใหด ูกลมกลืนมากเกนิ ไปก็จะจืดชืด นา เบ่ือ แตถาใชส ีตัด กนั มากเกนิ ไปก็จะเกิดการขดั แยงสับสนได – สีเดียวไลน้ําหนัก (MONOTONE) คือ การใชคูสีที่เปนเฉดเดียวกัน แตมีความเขมออนตางกัน เชน สีน้ําเงนิ เขม คูกับ สีนํา้ เงนิ ออน เปน ตน – สีใกลก ัน (HARMONY) คือ การใชค สู ีทม่ี ีเฉดใกลเคียงกัน เชน สนี าํ้ เงนิ คู สีเขยี วอมนาํ้ เงิน และ สเี ขยี ว เปน ตน – สามสีเยื้องกันเปนตัว Y (TRIADS) คือ การใชคูสี 3 เฉด ท่ีเปนคูสีแยกตรงขา ม (เปนสีที่อยูแยก ไปทางซา ยและขวาของสตี รงขามเปนรูปตวั Y) เชน สสี มอมแดง/สนี ํา้ เงิน/สเี ขยี ว เปนตน – สีตรงกันขาม (CONTRAST) คือ จับคูโดยใชสีเฉดที่อยูตรงขามกัน เชน สีเขียวอมเหลือง คู สี มวงอม

-5- 5. จติ วิทยาของสี (colour phychology) คือ การท่ีสมี ีอิทธพิ ลตอ จติ ใจของมนษุ ย สกี ับความรสู ึก เชน “การตกแตงภายนอก” หรือ “งานตกแตงภูมทิ ัศน” หมายถึง การทําการออกแบบ และแตงเตมิ ภายนอกอาคาร มีจดุ มุงหมายเพือ่ สรางบรรยากาศท่ีมีความนาอยู ดสู วยงามและเปนเอกลกั ษณแกบ ริเวณ โดยรอบอาคารตางๆ บานเรือน รวมไปถึงสวนสาธารณะ ซึ่งจะสามารถชวยสรางความรูสึกสดชื่นและมี ความสุขแกผ ใู ชง านและผูพ บเห็นได การเลอื กใชส ใี นการตกแตง ทกุ ชนิด ถอื วาเปนหลักจติ วิทยาอยางงายท่สี ามารถสง ผลกระทบและมี อิทธิพลตอจิตใจของมนุษยได เพราะสีสันแตละสีลวนสะทอนอารมณและมีอิทธิพลทางดานความรูสึก รวมถึงจิตใจไดเปนอยางดี ดวยเหตุน้ี โทนสีสําหรับการตกแตงสถานท่ีตางๆ จึงกลายมาเปนส่ิงสําคญั ท่ไี ม ควรมองขามไป เพราะนอกจากจะชวยสรางความนาสนใจและเพ่ิมเสนหความสวยงามใหแกอาคารและ สถานท่ีแลว สีที่เลือกใชยังสามารถสงผลตอความรสู ึกของผูอยูอาศัยได ตัวอยางเชน สีโทนเย็น ไดแกสีนํา้ เงินและสีเขียว เปนสีท่ีใหความรูสึกสงบ หรือ สีโทนรอน ไดแก สีแดงและสีเหลือง เปนสีท่ีใหความรูสึก ตน่ื เตน เปนตน ดังนั้นจงึ ควรจัดสรรโครงสรางของโทนสีสําหรับชีวิตประจาํ วนั ใหสอดคลองและเหมาะสม ตอการใชง านมากท่ีสุด - สีทองเงินและสีทีม่ นั วาว ใหค วามรสู ึกม่นั คง - สีขาว ใหความรสู กึ สะอาด บริสุทธิ์ เบกิ บาน - สดี าํ กบั สีขาว ใหความรูสึกท่ีกดดนั อารมณ - สเี ทาปานกลาง ใหความรูสึกสงบ นิ่งเฉย - สีเขียวแกผ สมกบั สเี ทา ใหความรูสึกสลด ชรา รันทดใจ

-6- - สเี ขยี วและนํา้ เงิน ใหค วามรูสกึ เงียบสงบ - สีสดและสีออนๆ ใหความรสู ึกแจมใส กระชมุ กระชวย - สดี อกกุหลาบ ใหค วามรสู ึกนมุ นวล ออนหวาน - สีแดง ใหค วามรูสึกตน่ื เตน เราใจ - สีแดงเขม ใหความรสู ึกปติ สงาผา เผย อิม่ เอิบ - สเี หลือง ใหค วามรูสกึ ถึงความสมบูรณ หลกั การสําหรับการใชสีตกแตงภายนอกอาคาร 1. การเลอื กใชสีสาํ หรับการตกแตงภายนอกอาคาร ควรเลือกตกแตง ดว ยโทนสีทีม่ คี วามสอดคลอง สัมพันธก ับอาคารใกลเคียงโดยรอบ และตรงกบั จดุ มงุ หมายของอาคารทถี่ ูกสรางขน้ึ 2. อาคารขนาดใหญ มีจุดมุงหมายคือการใหความรูสึกที่ดูโออา ตระการตา สีที่ใชสําหรับตกแตง จึงไมควรเลือกใชโทนสีหวานๆหรือสีท่ีรุนแรง แตควรเลือกโทนสีที่มีความเปนธรรมชาติ ตัวอยางเชน สี ของหนิ ออนและสอี ิฐ เปนตน 3. อาคารขนาดเล็ก ควรเลือกตกแตงดวยการใชโทนสีท่ีสดใส รวมท้ังตกแตง ใหมีความสอดคลอง สมั พันธกับสภาพแวดลอมและอาคารอ่ืนๆ โดยรอบ 4. อาคารท่ีอยูในสภาพแวดลอมแบบธรรมชาตินั้น สามารถเลือกตกแตงดวยโทนสีท่ีสดใสไดทุก โทน แตสําหรับอาคารที่มีขนาดใหญปานกลาง ไมควรเลือกตกแตงดวยสีเขียวออนหรอื สีฟาออ น เพราะสี เหลาน้จี ะใหค วามรสู กึ ทีอ่ อนแอ และไมมัน่ คงแกอาคารได 5. ในการจัดสวน มีหลักการคือการจัดตนไมและดอกไมตางๆ อยางมีองคประกอบและไมดูรก รุงรงั ซ่ึงตน ไมห ลายชนดิ ที่นาํ มาจัดสามารถใชไดห ลากสี ตัวอยางเชน สีเหลอื ง สีเขียว หรอื เขียวออน และ อาจนําดอกไมมาจัดสลับกบั ตนไมสเี ขยี ว เพอื่ ใหภ ายในสวนดมู คี วามนาสนใจมากยง่ิ ข้ึน

-7- 6. การจัดตโู ชวต ามหางรา นตา งๆ เปน เพยี งสวนประกอบเลก็ ๆ สวนหนึ่งภายในอาคาร จึงสามารถ เลือกตกแตงไดใ นทุกโทนสี เน่อื งจากสีท่นี ํามาใชน ัน้ ไมท ําใหเ กิดผลเสยี ตอ ดุลยภาพโดยรวม แตถงึ แมวา จะ ไมม กี ารจํากัดโทนสีสําหรับตูโ ชว กไ็ มค วรเลือกตกแตงดวยท่ีสรี นุ แรงจนเกนิ ไป เพราะอาจทาํ ใหมองดูแลว รูส ึกเบ่ือไดง าย การใชส ีตกแตงภายในอาคาร 1. หอ งนอน สาํ หรบั วยั กลางคนหรือวัยชรา สว นมากมักถูกตกแตง ดวยสีทส่ี ามารถสรางความรูสึก สงบสุขมุ หนักแนน และเยือกเยน็ ตวั อยาง เชน สเี ทาหรือสีนา้ํ ตาลอมเทาที่ออกโทนคล้ําหมนๆ เปนตน 2. หองรับแขก ถือไดวาเปนหองที่สําคัญและสามารถบงบอกถึงรสนิยมของเจาของได จึงควรถูก ตกแตงดวยกลุมโทนสีที่ชวยในการสรางบรรยากาศราเริงสดใส สนุกสนาน รวมไปถึงสีท่ีใหความรูสึกดูมี อํานาจและโออา 3. หอ งรบั ประทานอาหาร เนื่องจากเปนหองที่เนนในเรื่องของความสะอาด จึงมักถูกตกแตงดวยโทนสีที่สดใส หรือสีท่ีมองดูแลว สะอาดและสบายตา ไดแก สีเหลือง สีสมออน และสีเขียวออน ไมควรเนนการใชโทนสีที่ใหอารมณขัดกนั อยางรุนแรง แตส ามารถใชไดบางเล็กนอยสําหรับตกแตง ใหภ ายในหอ งดแู จมใสมากย่งิ ขึน้ 4. หองน้ํา เน่ืองจากเปนหองท่ีมีขนาดเล็กและมีระยะเวลาการถูกใชงานไมนาน สวนมากจึงมัก นิยมตกแตงดวยโทนสีออนๆ โทนสีสดใส หรืออาจตกแตงดวยโทนสีที่ขัดกันรุนแรง จะสามารถชวยให หอ งน้าํ ดูมขี นาดทกี่ วางมากกวาการใชโทนสีเขม ที่ทําใหหอ งดอู ึดอดั คับแคบ

-8- 5. หอ งเด็ก เนอ่ื งจากเปน หอ งท่ีถูกจัดเตรยี มอุปกรณและเคร่ืองเลน ตางๆ ไว สาํ หรบั เดก็ ที่กําลังมี พัฒนาการและการเจริญเติบโต จึงควรตกแตงดวยโทนสีท่ีมีความสดใสปานกลางสลับกับโทนสีเขม และ สามารถเพ่ิมเตมิ ตกแตง ภายในหองเพ่ือสรางความเบิกบาน ความรูส กึ สนกุ สนานแกเด็กไดโดยการเลือกใช ลวดลายตางๆ บนผนัง 6. หองเรียน เปนหองท่ีตองการความสวางมากกวาหองอ่ืนๆ จึงควรตกแตงดวยโทนสีออนๆ มี ความสวางและสะทอนแสงไดดี ตัวอยางเชน สีไขไกหรือสีเหลืองออน และในสวนของฝาเพดานก็ควร ตกแตงดวยสีที่ออนที่สุดเพ่ือชวยในการกระจายแสงสวางภายในหอง โดยสีในหองเรียนสามารถสงผลตอ จิตใจผูเรียนได จึงไมควรใชโทนสีท่ีขัดกัน เพราะจะทําใหเคืองตา แสบตาและใหความรูสึกเหน่อื ยงาย แต ควรเลือกสีที่มีความกลมกลืนกันเพ่ือใหความรูสึกสงบ มองแลวสบายตา ไมสรางความเครียดใหแก ประสาทตา


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook