1 คานา แผนการจัดการเรียนร๎ูรายภาคเรยี น ประจาภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศึกษา 2565 ระดบั ประถมศึกษา แผนการจัดการเรียนรู๎ เป็นเคร่ืองมือสาคัญสาหรับครูท่ีจะทาให๎การจัดการเรียนรู๎บรรลุเปูาหมายที่ต๎องการ เป็นการ วางแผนไว๎ลํวงหน๎าโดยศึกษาในเร่ือง สาระพระราชบัญญัติการศึกษาแหํงชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๔๕) หมวด ๓ ระบบการศึกษา และ หมวด ๔ แนวการจัดการศึกษา ทุกมาตรากรอบของการจัดการศึกษาตาม หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ เอกสารเกี่ยวกับการประกันคุณภาพ การศกึ ษา โดยจัดกระบวนการเรียนร๎ูให๎สอดคลอ๎ งกับมาตรฐานเอกสารเกี่ยวกับเนื้อหาในรายวิชาที่จัดการเรียนรู๎ และ ศึกษาหาข๎อมลู จากแหลํงเรยี นรูต๎ าํ ง ๆ วิธกี ารจดั การเรยี นรู๎แบบตําง ๆ ซึ่งเน๎นผู๎เรียนเป็นสาคัญและรูปแบบการเรียนร๎ู โดยกาหนดใหใ๎ ช๎รปู แบบการจดั กระบวนการเรียนรู๎ กศน. (ONIE MODEL) ซงึ่ มี ๔ ขนั้ ตอน ได๎แกํ ขัน้ ตอนท่ี ๑ การกาหนดสภาพ ปญั หา ความตอ๎ งการในการเรียนร๎ู (O : Orientation ) ข้ันตอนที่ ๒ การแสวงหาข๎อมูลและจัดการ เรียนร๎ู (N : New ways of learning) ขั้นตอนที่ ๓ การปฏิบัติและนาไปประยุกต์ใช๎ (I : Implementation) ข้ันตอน ที่ ๔ การประเมินผล (E : Evaluation) แผนการเรียนรู๎จะทาให๎ครูได๎คํูมือการจัดการเรียนรู๎ ทาให๎ดาเนินการจัดการ เรียนรู๎ไดค๎ รบถว๎ นตรงตามหลกั สูตรและจดั การเรยี นรไู๎ ด๎ตรงเวลา ขอขอบคุณ ผ๎มู ีสํวนเกีย่ วข๎องทกุ ทําน ท่ใี หค๎ วามร๎ู คาแนะนาและให๎คาปรึกษาเป็นแนวทาง ทาให๎แผนจัดการ เรียนร๎ูรายภาคเรียนเลํมน้ีจนสาเร็จ เป็นรูปเลํมสมบูรณ์ ผู๎จัดทาหวังเป็นอยํางย่ิงวําเอกสารเลํมน้ี จะเป็นประโยชน์ สาหรับ ผู๎นาไปใช๎จัดกิจกรรมการเรียนรู๎ ได๎อยํางมีประสิทธิภาพหากพบข๎อผิดพลาดหรือ มีข๎อเสนอแนะประการใด ผูจ๎ ัดทาขอนอ๎ มรับไวแ๎ กไ๎ ข ปรบั ปรงุ ด๎วยความขอบคุณยิ่ง นายจิรศักดิ์ วงศเ์ สน ครู กศน.ตาบล
2 สารบญั หน๎า คานา ก สารบัญ ข แผนการกาหนดการจดั การเรยี นการสอน ประจาภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศึกษา 2565 จ แผนการจัดการเรียนรป๎ู ฐมนิเทศ 1 แผนการจดั การเรียนรู๎รายวิชาทกั ษะการเรยี นร๎ู ครงั้ ที่ 1 5 แผนการจัดการเรียนรู๎รายวิชาศลิ ปศึกษา ครั้งท่ี 2 21 แผนการจดั การเรียนรรู๎ ายวิชาวิทยาศาสตร์ คร้ังที่ 3 26 แผนการจดั การเรียนรู๎รายวิชาวทิ ยาศาสตร์ ครงั้ ที่ 4 36 แผนการจัดการเรียนรู๎รายวิชาคณุ ธรรมและจริยธรรมในการใชส๎ อื่ ออนไลน์ ครง้ั ที่ 5 49 แผนการจัดการเรยี นรู๎รายวชิ าสุขศกึ ษาพลศึกษา ครง้ั ท่ี 6 61 แผนการจัดการเรยี นรู๎รายวิชาสขุ ศึกษาพลศึกษา ครงั้ ที่ 7 71 แผนการจัดการเรยี นรูร๎ ายวชิ าภาษาไทย คร้ังที่ 8 82 แผนการจดั การเรยี นรร๎ู ายวิชาคณุ ธรรมและจริยธรรมในการใชส๎ อื่ ออนไลน์ ครงั้ ที่ 9 86 แผนการจัดการเรียนรู๎รายวิชาศาสนาและหน๎าทีพ่ ลเมือง คร้ังท่ี 10 95 แผนการจัดการเรียนรู๎รายวิชาศาสนาและหน๎าทีพ่ ลเมือง คร้ังท่ี 11 102 แผนการจัดการเรียนรู๎รายวิชาชอํ งทางการเข๎าสํอู าชีพ ครั้งท่ี 12 118 แผนการจดั การเรยี นร๎ูรายวชิ าชอํ งทางการเขา๎ สํอู าชพี คร้ังท่ี 13 125 แผนการจัดการเรียนรู๎รายวิชาสังคมศึกษา คร้งั ท่ี 14 136 แผนการจดั การเรียนรู๎รายวชิ าประวัตศิ าสตร์ชาติไทย ครงั้ ที่ 15 147 แผนการจดั การเรียนร๎ูรายวิชาสังคมศึกษา ครง้ั ท่ี 16 156 แผนการจัดการเรยี นรู๎ รายวชิ าพฒั นาตนเองชุมชนสงั คม ครงั้ ที่ 17 163 แผนการจดั การเรยี นรู๎รายวิชาพฒั นาตนเองชุมชนสังคม คร้ังท่ี 18 174 แผนการจดั การเรียนรป๎ู จั ฉิมนิเทศ 181 คณะผ๎ูจดั ทา ซ
3 แผนกาหนดการจดั การเรียนการสอนของนักศึกษา ภาคเรยี นท่ี 1 ปกี ารศกึ ษา ๒๕65 หลักสตู ร การศกึ ษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพืน้ ฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ ระดบั ประถมศึกษา ชือ่ ครผู ู้สอน นางสาววาสนา พานิชย์ ตาแหน่ง ครู กศน.ตาบล กศน.อาเภอจตรุ พักตรพมิ าน สานกั งาน กศน.จังหวัดร้อยเอด็ สปั ดาห์ วนั /เดอื น/ปี เวลา วิชา/กิจกรรม สถานที่จัดการเรยี น ที่ กจิ กรรมปฐมนเิ ทศ การสอน ๑ 17 พ.ค. 2565 ๐๙.๐๐ – ๑๖.๐๐ น. กศน.ตาบลองี ํอง ๑๓.๐๐ – ๑๖.๐๐ น. กจิ กรรมเรียนรู๎ด๎วยตนเอง กศน.ตาบลอีงํอง 1 17 พ.ค. 2565 ๐๙.๐๐ – ๑๒.๐๐ น. วชิ าทกั ษะการเรยี นรู๎ กศน.ตาบลองี ํอง (5 นก.) ทร 11001 ตามอธั ยาศยั ๑๓.๐๐ – ๑๖.๐๐ น. กิจกรรมเรยี นรู๎ดว๎ ยตนเอง 2 24 พ.ค. 2565 ๐๙.๐๐ – ๑๒.๐๐ น. วิชาศลิ ปศกึ ษา กศน.ตาบลอีงํอง ตามอธั ยาศัย (2 นก.) ทช 11003 ๑๓.๐๐ – ๑๖.๐๐ น. กจิ กรรมเรียนรู๎ดว๎ ยตนเอง 3 31 พ.ค. 2565 ๐๙.๐๐ – ๑๒.๐๐ น. วชิ าวทิ ยาศาสตร์ กศน.ตาบลอีงํอง ตามอธั ยาศัย (3 นก.) พว 11001 ๑๓.๐๐ – ๑๖.๐๐ น. กิจกรรมเรยี นรู๎ด๎วยตนเอง 4 7 ม.ิ ย. 2565 ๐๙.๐๐ – ๑๒.๐๐ น. วิชาวิทยาศาสตร์ กศน.ตาบลอีงํอง ตามอธั ยาศัย (3 นก.) พว 11001 ๑๓.๐๐ – ๑๖.๐๐ น. กจิ กรรมเรยี นรดู๎ ๎วยตนเอง 5 14 ม.ิ ย. 2565 ๐๙.๐๐ – ๑๒.๐๐ น. วชิ าคุณธรรมและจรยิ ธรรมในการ กศน.ตาบลอีงํอง ใช๎สอ่ื สังคมออนไลน์ (2 นก.) สค020035 ๑๓.๐๐ – ๑๖.๐๐ น. กิจกรรมเรยี นร๎ูด๎วยตนเอง ตามอธั ยาศยั 6 21 ม.ิ ย. 2565 ๐๙.๐๐ – ๑๒.๐๐ น. วชิ าสุขศกึ ษาพลศึกษา กศน.ตาบลอีงํอง (2 นก.) ทช 11002 กศน.ตาบลอีงํอง ๑๓.๐๐ – ๑๖.๐๐ น. กจิ กรรมเรียนรด๎ู ๎วยตนเอง
4 แผนกกาหนดการจดั การเรียนการสอนของนักศกึ ษา ภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศกึ ษา ๒๕65 หลักสตู ร การศกึ ษานอกระบบระดับการศกึ ษาข้ันพน้ื ฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑ ระดบั ประถมศึกษา ชื่อครูผสู้ อน นายจิรศกั ดิ์ วงศเ์ สน ตาแหนง่ ครู กศน.ตาบล กศน.อาเภอจตุรพกั ตรพมิ าน สานักงาน กศน.จงั หวดั ร้อยเอด็ สปั ดาห์ วัน/เดือน/ปี เวลา วิชา/กจิ กรรม สถานทจ่ี ดั การเรยี น การสอน ท่ี วชิ าสขุ ศึกษาพลศึกษา (2 นก.) ทช 11002 กศน.ตาบลองี ํอง 7 28 ม.ิ ย. 2565 ๐๙.๐๐ – ๑๒.๐๐ น. กจิ กรรมเรียนรู๎ดว๎ ยตนเอง กศน.ตาบลองี ํอง กศน.ตาบลองี ํอง ๑๓.๐๐ – ๑๖.๐๐ น. กศน.ตาบลอีงํอง กศน.ตาบลองี ํอง 8 5 ก.ค. 2565 ๐๙.๐๐ – ๑๒.๐๐ น. วิชาภาษาไทย กศน.ตาบลองี ํอง กศน.ตาบลอีงํอง (3 นก.) พท 11001 กศน.ตาบลอีงํอง กศน.ตาบลอีงํอง ๑๓.๐๐ – ๑๖.๐๐ น. กิจกรรมเรียนรูด๎ ๎วยตนเอง ตามอัธยาศัย 9 12 ก.ค. 2565 ๐๙.๐๐ – ๑๒.๐๐ น. วชิ าภาษาไทย กศน.ตาบลองี ํอง ตามอัธยาศยั (3 นก.) พท 11001 กศน.ตาบลอีงํอง กศน.ตาบลองี ํอง ๑๓.๐๐ – ๑๖.๐๐ น. กจิ กรรมเรยี นรด๎ู ๎วยตนเอง ๑0 19 ก.ค. 2565 ๐๙.๐๐ – ๑๒.๐๐ น. วิชาศาสนาและหนา๎ ที่พลเมอื ง (2 นก.) สค11002 ๑๓.๐๐ – ๑๖.๐๐ น. กจิ กรรมเรยี นรู๎ดว๎ ยตนเอง ๑1 26 ก.ค. 2565 ๐๙.๐๐ – ๑๒.๐๐ น. วิชาศาสนาและหนา๎ ที่พลเมือง (2 นก.) สค11002 ๑๓.๐๐ – ๑๖.๐๐ น. กิจกรรมเรียนรู๎ด๎วยตนเอง สอบกลางภาค ๑2 2 ส.ค. 2565 ๐๙.๐๐ – ๑๒.๐๐ น. วิชาชํองทางการเขา๎ สูํอาชีพ (2 นก.) อช11001 ๑๓.๐๐ – ๑๖.๐๐ น. กิจกรรมเรียนรด๎ู ว๎ ยตนเอง 13 9 ส.ค. 2565 ๐๙.๐๐ – ๑๒.๐๐ น. วชิ าชํองทางการเขา๎ สํูอาชีพ (2 นก.) อช11001 ๑๓.๐๐ – ๑๖.๐๐ น. กจิ กรรมเรียนรดู๎ ๎วยตนเอง
5 แผนกาหนดการจดั การเรียนการสอนของนักศกึ ษา ประจาภาคเรยี นที่ 1 ปีการศกึ ษา ๒๕65 หลกั สตู ร การศึกษานอกระบบระดบั การศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑ ระดบั ประถมศึกษา ช่ือครผู สู้ อน นายจริ ศักด์ิ วงศเ์ สน ตาแหนง่ ครูกศน.ตาบล กศน.อาเภอจตุรพกั ตรพิมาน สานักงาน กศน.จงั หวัดร้อยเอด็ สปั ดาห์ท่ี วัน/เดอื น/ปี เวลา วชิ า/กิจกรรม สถานท่จี ัดการเรยี น การสอน ๑4 16 ส.ค. 2565 ๐๙.๐๐ – ๑๒.๐๐ น. วิชาสงั คมศึกษา ( 2 นก.) สค11001 กศน.ตาบลอีงํอง ๑๓.๐๐ – ๑๖.๐๐ น. กจิ กรรมการเรียนร๎ดู ว๎ ยตนเอง ๑5 23 ส.ค. 2565 ๐๙.๐๐ – ๑๒.๐๐ น. กศน.ตาบลองี ํอง ประวตั ศิ าสตร์ชาติไทย ๑๓.๐๐ – ๑๖.๐๐ น. (3 นก.) สค12024 กศน.ตาบลอีงํอง กิจกรรมการเรียนรูด๎ ๎วยตนเอง กศน.ตาบลองี ํอง ๑6 30 ส.ค. 2565 ๐๙.๐๐ – ๑๒.๐๐ น. วิชาสงั คมศกึ ษา กศน.ตาบลอีงํอง ๑๓.๐๐ – ๑๖.๐๐ น. ( 2 นก.) สค11001 กศน.ตาบลองี ํอง ๑7 6 ก.ย. 2565 กจิ กรรมการเรียนรู๎ดว๎ ยตนเอง 18 13 ก.ย. 2565 ๐๙.๐๐ – ๑๒.๐๐ น. พฒั นาตนเองชมุ ชนสงั คม กศน.ตาบลองี ํอง 17 - 18 กันยายน 2565 ๑๓.๐๐ – ๑๖.๐๐ น. (2 นก.) สค11002 กศน.ตาบลองี ํอง 19 20 ก.ย. 2565 กิจกรรมเรยี นรู๎ด๎วยตนเอง ๐๙.๐๐ – ๑๒.๐๐ น. พฒั นาตนเองชมุ ชนสังคม กศน.ตาบลองี ํอง ๑๓.๐๐ – ๑๖.๐๐ น. (2 นก.) สค11002 กศน.ตาบลอีงํอง กิจกรรมเรยี นรูด๎ ๎วยตนเอง สอบปลายภาคโรงเรียนจตรุ พักตรพมิ านรชั ดาภิเษก ๐๙.๐๐ – ๑๒.๐๐ น. ปัจฉิมนเิ ทศ กศน.ตาบลอีงํอง ลงช่ือ............................................................ครผู สู๎ อน ( นายจิรศกั ด์ิ วงศ์เสน ) ครู กศน.ตาบล ลงชื่อ............................................................ผู๎รับรองขอ๎ มลู ( นางปทั มาภรณ์ ศรีเนตร ) ผู๎อานวยการ กศน.อาเภอจตุรพักตรพิมาน
6 แผนการจัดการเรยี นรู้ ปฐมนเิ ทศ ภาคเรียนท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2565 ระดบั ประถมศึกษา กศน.ตาบลอีง่อง 1. สปั ดาห์ท่ี 1 วนั ที่ 17 เดือน พฤษภาคม พ.ศ. 2565 เวลา 09.00-12.00 น. 2. วิชา ปฐมนิเทศ 3. มาตรฐานที่ 4. หนว่ ยการเรยี นรู้/เร่อื ง การจัดการเรียนรต๎ู ามหลักสูตรการศกึ ษานอกระบบระดบั การศกึ ษาขัน้ พน้ื ฐาน พุทธศักราช 2551 5. สาระสาคญั โครงสร๎างหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขน้ั พ้ืนฐาน พ.ศ.2551 ประกอบด๎วย 5 สาระ การเรียนรู๎ ได๎แกํ ทกั ษะการเรียนร๎ู ทกั ษะการดาเนนิ ชีวิต ความรู๎พ้ืนฐาน การประกอบอาชพี และการพฒั นาสังคม ซง่ึ แตลํ ะสาระประกอบดว๎ ยรายวชิ าบงั คบั และวิชาเลอื ก (เลือกบังคบั และเลือกเสรี)ตามจานวนหนํวยกิต ในโครงสร๎าง รายวิชาบังคับทกุ วชิ าผเ๎ู รยี นต๎องลงทะเบียนเรยี นตามทกี่ าหนด สวํ นรายวิชาเลือกเสรสี ถานศึกษากาหนดไดต๎ าม ความตอ๎ งการ และรายวิชาเลือกตามทสี่ วํ นกลางกาหนดในรายวชิ าเลือกบงั คบั นอกจากนท้ี กุ ระดับต๎องทากิจกรรม คุณภาพชวี ิต อยาํ งน๎อย 200 ช่วั โมง โครงงาน 3 หนวํ ยกติ และการทดสอบทางการศกึ ษาระดับชาติ ดา๎ นการศกึ ษา นอกระบบโรงเรียน (N-NET) 6. เนื้อหา 1. โครงสรา๎ งการศกึ ษานอกระบบ ระดบั การศกึ ษาขัน้ พนื้ ฐาน พ.ศ. 2551 2. วธิ ีการจัดการเรยี นรู๎ 7. จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้/ผลการเรียนรู้ทคี่ าดหวัง (ดูจากผงั การออกข๎อสอบ) 1. ผ๎ูเรียนรู๎ และเขา๎ ใจวิธกี ารจัดการศึกษานอกระบบ ระดบั การศึกษาข้ันพ้นื ฐาน พ.ศ. 2551 8. การบูรณาการกับหลักแนวคิดของเศรษฐกิจพอเพียง (2 เงอ่ื นไข 3 หลกั การ การเชอ่ื มโยงสู่ 4 มติ ิ) ความรู้ - โครงสร๎างหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 - รูปแบบวธิ เี รยี น - การวัดและประเมินผลการเรยี น - การจัดกิจกรรมพฒั นาคุณภาพชีวติ (กพช.) - การประเมนิ คุณธรรม - การจบหลกั สูตร คณุ ธรรม - มคี วามขยนั - ความรบั ผดิ ชอบ - ความสามคั คี พอประมาณ - การวางแผนทค่ี วามเหมาะสมในการศกึ ษาเรยี นรู๎ - เวลาในการเรียน - การใช๎สอื่ และแหลํงเรียนรู๎
7 มเี หตุผล - เหตผุ ลในการเรียน กศน. - การนาความรแู๎ ละวุฒิการศึกษาไปใชใ๎ นการดาเนนิ ชวี ิต มีภูมคิ มุ้ กนั - การนาความร๎ูที่ไดร๎ บั จากการเรยี น ไปปรบั ใช๎ในชวี ิตประจาวัน วตั ถุ - การนาวฒุ ิการศกึ ษาไปศึกษาตอํ ในระดับท่ีสงู ขน้ึ - ผูเ๎ รยี นไดร๎ บั ความร๎ู มีทักษะในการ สังคม - มกี ารทางานรํวมกนั เป็นกลมุํ แลกเปล่ยี นความคดิ และวเิ คราะห์รํวมกัน ส่ิงแวดล้อม - การใช๎วสั ดุทางการศกึ ษาที่ไมํทาให๎เกิดความเสยี หายกบั ส่ิงแวดล๎อม - การรักษาความสะอาดในการจดั การเรียนการสอน วัฒนธรรม - การอยรํู ํวมกัน - การทางานกลุํม/ การแลกเปลีย่ นเรียนร๎ู - การแบงํ ปัน 9. กระบวนการจดั การเรยี นรู้และกจิ กรรมการเรยี นรู้ ขน้ั ที่ 1 กาหนดสภาพปญั หาการเรียนรู้ ครูผู๎สอนกลําวทกั ทายผู๎เรยี น และแจ๎งจดุ ประสงค์ของการปฐมนิเทศ ขัน้ ท่ี 2 แสวงหาข้อมูลและจัดการเรยี นรู้ 1. ครูผ๎ูสอนให๎ผ๎เู รยี นกลําวทักทายและสนทนากันเอง 2. ครอู ธิบายหลกั การโครงสร๎างหลักสูตรการศึกษานอกระบบ ระดับการศึกษาขั้นพ้นื ฐาน พ.ศ. 2551 ขน้ั ที่ 3 การปฏบิ ัตแิ ละการนาไปใช้ 1. ครูและผเู๎ รียนรวํ มกันสรุป 2. ครูให๎ความร๎ูเพม่ิ เตมิ ในสวํ นของความร๎ูทยี่ ังไมํครบถว๎ น ข้นั ที่ 4 การประเมนิ ผลการเรยี นรู้ ครผู ๎ูสอนสรุปผลจากการนาเสนอ และเติมเตม็ องค์ความรู๎พร๎อมมอบหมายงาน 10. สื่อ/แหล่งเรยี นรู้ 1. ใบความร๎ู 2. หนงั สอื เรียน 10. การวดั และประเมนิ ผล 10.1 วิธีการวดั และประเมนิ ผล - แบบประเมนิ ผลการสังเกตพฤติกรรมการทางานรํวมกับผ๎อู ่ืนของผ๎ูเรยี นรายบคุ คล - ใบงาน - แบบทดสอบกํอนเรยี น-หลังเรยี น
8 10.2 เคร่อื งมือวัดและประเมินผล - ประเมินผลการสงั เกตพฤติกรรมการทางานรํวมกับผอู๎ นื่ ของผูเ๎ รียนรายบุคคล - ผลจากการตรวจใบงาน - คะแนนแบบทดสอบกํอนเรียนและหลังเรยี น 10.3 เกณฑก์ ารวัดและการประเมินผล - แบบประเมินผลการสังเกตพฤติกรรมการทางานรวํ มกับผูอ๎ น่ื ของผเู๎ รียนรายบุคคล ระดับดี พอใช๎ และควร ปรบั ปรุง - ใบงานคะแนนเต็ม 10 คะแนน - แบบทดสอบกํอนเรยี น-หลงั เรยี น เกณฑผ์ ํานและไมผํ ําน กจิ กรรมเสนอแนะ ............................................................................................................................. ............................................................ ......................................................................................................................................................................................... ลงช่ือ…………………………………………….ครผู ูส๎ อน (นายจริ ศกั ดิ์ วงศเ์ สน) ครู กศน.ตาบล ขอ้ เสนอแนะของผู้บริหาร …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………............................. ลงช่ือ………………………………………………………ผ๎ูอนมุ ตั ิแผน (นางปทั มาภรณ์ ศรเี นตร) ผอ๎ู านวยการ กศน.อาเภอจตรุ พกั ตรพิมาน
9 บันทกึ หลังการจัดการเรยี นรู้ กศน.ตาบลอีง่อง คร้งั ท่ี 1 วนั ท่ี 17 เดอื น พฤษภาคม พ.ศ. 2565 ครผู สู๎ อน นายจิรศักด์ิ วงศเ์ สน ระดบั ประถมศึกษา เวลา 09.00- 12.00 น. เขา๎ เรยี น…………………คน ไมํเขา๎ เรียน……………………….คน 1. ผลการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้การประเมนิ โดยใช๎ แบบทดสอบกํอนเรียน - หลังเรียน พบวาํ คะแนนการทดสอบหลังเรยี น มากกวํากอํ นเรยี นจานวน ........ คนคิดเป็นรอ๎ ยละ............ คะแนนการทดสอบหลังเรียน นอ๎ ยกวาํ กํอนเรียนจานวน ......... คนคดิ เปน็ ร๎อยละ............ 2. เนอื้ หา/สาระ ............................................................................................................................. ................................... ......................................................................................................................................................... ....... ........................................................................................................................... ..................................... 3. กจิ กรรมการเรียนการสอน ............................................................................................................................. ................................... ......................................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................... 4. ปญั หา/อปุ สรรค การเรยี นการสอน ............................................................................................................................. ................................... .................................................................................... ............................................................................ ............................................................................................................................. ................................... 5. แนวทางการแก้ปญั หา ............................................................................................................................. ................................... ........................................................................................... ..................................................................... ............................................................................................................................. ................................... ลงช่ือ.....................................................ครผู สู๎ อน (นายจริ ศกั ดิ์ วงศ์เสน) วนั ท่ี.............../.................../............... ความคิดเห็น/ขอ้ เสนอแนะของผูบ้ ริหาร ............................................................................................................................. ............................................................ ................................................................................................................................................................................ ......... .............................................................................................................. ......................................... ลงช่อื .................................................................. (นางปัทมาภรณ์ ศรเี นตร) ผอู๎ านวยการ กศน.อาเภอจตรุ พักตรพิมาน
10 แผนการจดั การเรยี นรรู้ ายวิชาทกั ษะการเรียนรู้ ครงั้ ที่ 1 การจัดทาหน่วยเรยี นร้บู ูรณาการหลักปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียง ภาคเรยี นที่ 1 ปกี ารศกึ ษา 2565 ระดับประถมศึกษา กศน.ตาบลองี ่อง 1. สปั ดาหท์ ี่ 1 วนั ที่ 17 เดอื น พฤษภาคม พ.ศ.2565 เวลา 09.00 - 12.00 น. 2. วชิ า ทกั ษะการเรยี นรู้ รหัสวิชา ทร11001 จานวน 5 หนํวยกิต 3. มาตรฐานท่ี 2. รู้จกั เห็นคุณค่า และใชแ้ หลง่ เรียนรู้ถกู ตอ้ ง 4. หนว่ ยการเรยี นร/ู้ เรอ่ื งการใช้แหล่งเรยี นรู้ 5. สาระสาคัญ การเรยี นรูจากส่ิงแวดลอมในชมุ ชนท่มี อี งคความรูทเี่ รียกวาแหลงเรียนรูตางๆ ทาให ผูเรยี นสามารถรูถงึ การส่งั สมความรู ประสบการณทผ่ี านมาจากแหลงเรยี นรูประเภทตาง ๆ เรียนรูไดเทา ทันความเปลีย่ นแปลงท่ีเกิดขน้ึ เกดิ โลกทศั นกวางขวางมากย่ิงข้ึนกวาการเรยี นจากการพบกลุมในหอง หรอื การเรียนรูในรปู แบบอืน่ ๆ 6. เน้อื หา ๑.ความหมายความสาคัญของแหลํงเรยี นร๎โู ดยทว่ั ไป ๒.การเข๎าถงึ และเลือกใช๎แหลงํ เรียนรู๎ ๓.บทบาทหนา๎ ที่และการบริการของแหลงํ เรยี นรู๎ดา๎ นตาํ งๆ ๔.กฏกติกาเงอ่ื นไขตํางๆ ในการไปขอใชบ๎ ริการแหลํงเรยี นรู๎ ๕.ทักษะการใช๎ข๎อมูลสารสนเทศจากหอ๎ งสมดุ ทสี่ อดคล๎องกบั ความต๎องการ ความจาเป็นเพ่ือนาไปใชใ๎ นการ เรียนรข๎ู องตนเอง 7. จดุ ประสงค์การเรียนร/ู้ ผลการเรียนรู้ที่คาดหวงั (ดจู ากผังการออกข๎อสอบ) 1. ผูเรยี นสามารถบอกประเภทคณุ ลกั ษณะของแหลงเรยี นรูและเลือกใชแหลงเรียนรู ไดตามความเหมาะสม 2. ผูเรยี นเห็นคุณคาแหลงเรยี นรูประประเภทตาง ๆ 3. ผูเรียนสามารถสงั เกต ทาตาม กฎ กตกิ า การใชแหลงเรียนร๎ู 8. การบรู ณาการกับหลักแนวคดิ ของเศรษฐกิจพอเพียง (2 เงอ่ื นไข 3หลักการ การเช่อื มโยงสู่ 4 มิต)ิ ความรู้ 1. ความหมายของการใช๎แหลํงเรียนร๎ู 2. ลาดบั ความคิดเรื่องการใชแ๎ หลํงเรยี นรผู๎ ํานเครอื ขํายอินเทอร์เนต็ ดว๎ ยตนเอง คณุ ธรรม 1 .ความรบั ผดิ ชอบในการจัดกิจกรรมการเรียนรู๎ 2. ตรงตํอเวลา 3. ความเพียร ความพยายาม 4. มคี วามสามคั คใี นการทางานกลํุม พอประมาณ 1. กาหนดหน๎าที่ของคนในกลุํมให๎เหมาะสมกับแตํละคน 2. ความสามารรถในเข๎าถงึ แหลํงเรียนรู๎ 3. ผู๎เรยี นสามารถเลอื กแหลงํ เรยี นรู๎ท่ีมอี ยูใํ นทอ๎ งถนิ่
11 มเี หตผุ ล 1. นกั ศกึ ษาสามารถอธิบายความหมายของการใชแ๎ หลงํ เรียนร๎ู 2. นักศึกษามีทักษะในการค๎นควา๎ ความร๎ูผาํ นเครือขํายได๎ดว๎ ยตนเอง 3. นักศกึ ษามีความตระหนกั และเหน็ คุณคําของแหลงํ เรียนรู๎ มีภมู ิคุ้มกนั 1. ผเู๎ รยี นสามารถวางแผนการทางานกลมํุ ได๎ 2. ผเ๎ู รียนสามารถบนั ทึกผลการเรยี นรูต๎ ามใบงานกลํุมได๎ 3. ทาความเขา๎ ใจกับกจิ กรรมการเรียนรทู๎ คี่ รูกาหนด วัตถุ - มที กั ษะในการใช๎สือ่ วัสดุ อุปกรณ๑ในหอ๎ งสมุด เหน็ ความสาคญั ของการใช๎สือ่ วัสดุ อุปกรณ๑ ใน ห๎องสมดุ อยํางคุ๎มคํา สังคม - มีความรู๎ในการแบํงงานในกลุํมตามความถนดั ทางานรวํ มกบั ผอ๎ู น่ื ได๎ - มีความรบั ผดิ ชอบในการทางานยอมรับความคิดเหน็ ของเพอื่ นในกลํุม ส่งิ แวดล้อม - จติ สานกึ และร๎ูวธิ ีใช๎แหลงํ เรียนร๎ู วฒั นธรรม - บอกภมู ิปัญญาทเี่ รยี นรใ๎ู นแหลงํ เรยี นรู๎ และตระหนักถงึ ข๎อมลู ในท๎องถน่ิ 9. กระบวนการจดั การเรียนรแู้ ละกิจกรรมการเรียนรู้ ข้ันท่ี 1 กาหนดสภาพปญั หาการเรียนรู้ (O : Orientation) 1.ครูและผ๎ูเรียนพูดคุย / ซกั ถามความเป็นอยปํู จั จบุ ัน 2.ทบทวน / ตดิ ตามผลการเรียนร๎ดู ว๎ ยตนเอง 3.ทบทวน / ติดตามการศึกษาค๎นคว๎าในสปั ดาห์ทผี่ ํานมา ข้ันที่ ๒ แสวงหาขอ้ มลู และจัดการเรียนรู้ (N : New ways of learning) 1. ให๎นักศึกษาทาแบบทดสอบกอํ นเรียนด๎วย เพื่อทดสอบความร๎เู บื้องตน๎ 2. ให๎นักศึกษาศกึ ษาเรื่องการใชแ๎ หลงํ เรียนรู๎ จากหนงั สือเรียนสาระความร๎ูพ้ืนฐาน รายวิชาทกั ษะ การเรยี นร๎ูระดับประถมศึกษา รหัส ทร11001 3. ครูใชส๎ ื่อ You Tube เรือ่ ง แหลํงเรยี นร๎พู อเพยี ง เพ่อื อธิบายความรูเ๎ พ่มิ เตมิ ให๎นักศึกษา ผํานเว็บ https://www.youtube.com/watch?v=MZqZrAs-cqY ขั้นท่ี 3 การปฏิบตั แิ ละการนาไปใช้ (I : Implementation) ครูให๎นักศึกษาระดมความคดิ จากการศึกษาแหลํงเรียนร๎หู ๎องสมุด แหลํงเรยี นร๎ูในท๎องถิน่
12 ขัน้ ที่ 4 การประเมนิ ผลการเรยี นรู้ (E : Evaluation) 1. ให๎นกั ศึกษาออกมาหนา๎ ชน้ั เรยี น เพ่อื นาเสนอการถอดบทเรยี นแหลงํ เรียนรท๎ู ่ีได๎ศึกษามา ใหส๎ อดคล๎องกบั หลักเศรษฐกิจพอเพียง จากนัน้ ครูใหค๎ ะแนน 2. แบบทดสอบ 3. ใบงาน 10. ส่ือ/แหล่งเรียนรู้ 1. หนังสอื เรียนสาระความรพู๎ ้ืนฐาน รายวิชาทกั ษะการเรียนร๎ู ระดับประถมศึกษา รหัส ทร11001 2. แหลํงเรียนรใู๎ นท๎องถิ่น ห๎องสมดุ ประชาชน 3. แหลงํ เรยี นรูภ๎ ูมิปญั ญาในท๎องถ่ิน 4. ใบความรู๎ 11. การวัดและประเมินผล 1. วธิ ีการวัดและประเมนิ ผล - แบบประเมินผลการสังเกตพฤติกรรมการทางานรํวมกับผอ๎ู ่ืนของนักศึกษารายบคุ คล - ใบงาน - แบบทดสอบกํอนเรียน-หลังเรยี น 2. เครื่องมือวัดและประเมินผล. - ประเมนิ ผลการสงั เกตพฤตกิ รรมการทางานรํวมกับผูอ๎ ืน่ ของนักศึกษารายบุคคล - ผลจากการตรวจใบงาน - คะแนนแบบทดสอบกอํ นเรียนและหลังเรยี น 3. เกณฑก์ ารวัดและการประเมินผล - แบบประเมินผลการสังเกตพฤติกรรมการทางานรวํ มกับผ๎อู นื่ ของนกั ศึกษารายบุคคล ระดบั ดี พอใช๎ และควรปรบั ปรุง - ใบงานคะแนนเตม็ 10 คะแนน - แบบทดสอบกํอนเรยี น-หลงั เรียน เกณฑ์ผํานและไมํผาํ น กิจกรรมเสนอแนะ ......................................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ............................................................ ลงชอื่ …………………………………………….ครูผส๎ู อน (นายจริ ศักดิ์ วงศ์เสน) ครู กศน.ตาบล ข้อเสนอแนะของผู้บริหาร ........................................................................................................................... .............................................................. ............................................................................................................................. ............................................................ ลงช่อื ………………………………………………………ผ๎ูอนุมตั ิแผน (นางปทั มาภรณ์ ศรีเนตร) ผู๎อานวยการ กศน.อาเภอจตุรพักตรพมิ าน
13 บันทึกหลังการจดั การเรยี นรู้ การจัดทาหนว่ ยเรยี นร้บู ูรณาการหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง ครง้ั ที่ 1 วันท่ี 17 เดือน พฤษภาคม พ.ศ.2565 ครผู ูส๎ อน นายจริ ศักด์ิ วงศเ์ สน ระดบั ประถมศึกษา เวลา 09.00-12.00 น. สาระทักษะการเรียนร๎ู รายวชิ าทักษะการเรียนร๎ู รหสั วชิ า ทร11001 จานวนผเ๎ู รยี นทั้งหมด ............... คนเขา๎ เรียน…………………คน ไมํเขา๎ เรยี น……………………….คน 1. ผลการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้การประเมนิ โดยใช๎ แบบทดสอบกํอนเรยี น - หลังเรยี น พบวํา คะแนนการทดสอบหลงั เรียน มากกวํากํอนเรยี นจานวน ........ คนคิดเปน็ ร๎อยละ............ คะแนนการทดสอบหลังเรยี น น๎อยกวาํ กํอนเรยี นจานวน ......... คนคิดเป็นร๎อยละ............ 2. เน้ือหา/สาระ .............................................................................................................................................................. .. ............................................................................................................................. ................................... ............................................................................................................................. ................................... 3. กิจกรรมการเรยี นการสอน ............................................................................................................................. ................................... ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. .......... 4. ปญั หา/อุปสรรค การเรยี นการสอน ............................................................................................................................. ................................... .................................................................................... ............................................................................ ............................................................................................................................. ................................... 5. แนวทางการแก้ปญั หา ............................................................................................................................. ................................... ........................................................................................... ..................................................................... ............................................................................................................................. ................................... ลงช่อื ....................................................... (นายจริ ศักด์ิ วงศ์เสน) ครูผู๎สอน วนั ท.ี่ ............../.................../............... ความคดิ เห็น/ขอ้ เสนอแนะของผ้บู ริหาร ............................................................................................................................. ............................................................ ...................................................................................................................................... ................................................... ....................................................................................................................................................... ลงชื่อ.................................................................. (นางปทั มาภรณ์ ศรเี นตร) ผูอ๎ านวยการ กศน.อาเภอจตุรพกั ตรพมิ าน วันท่ี.............../.................../...............
14 แบบทดสอบ เรือ่ ง การใชแหลงเรียนรู ระดบั ประถมศกึ ษา 1. แหลงเรียนรูมคี วามสาคญั ตอผูเรียนในขอใดมากที่สดุ ก. การศกึ ษาตามอธั ยาศยั ข. ชวยสรางเสรมิ ประสบการณภาคปฏบิ ุติ ค. แหลงสรางเสริมความรู ความคดิ วิทยาการ ง. เปนแหลงปลกู ฝงนิสัยรกั การอาน การศึกษาคนควาแสวงหาความรูดวยตนเอง 2. ขอใดใหความหมายของ \"แหลงเรยี นรู ไดสมบรู ณทส่ี ุด ก. เปนแหลงความรูทางวชิ าการ ข. เปนแหลงสารสนเทศใหความรูอยางกวางขวาง ค. เปนแหลงรวมภูมปิ ญญาชาวบานใหศกึ ษาคนควา ง. เปนแหลงขอมลู ขาวสารและประสบการณที่สงเสริมใหผูเรียนแสวงหาความรูดวยตนเอง ตามอัธยาศยั อยางตอเนื่อง 3. ขอใดเปนแหลงเรียนรูกลุมขอมลู ทองถ่ิน ก. สถานประกอบการ ขอใดเปนแหลงเรยี นรูกลมุ ขอมูลทองถ่ิน ข. ภมู ิปญญาชาวบานและปราชญชาวบาน ค. แหลงเรยี นรูในโรงเรียนและหอกระจายขาว ง. แหลงเรยี นรูในโรงเรียนและแหลงเรยี นรูในทองถิ่น 4. ขอใดคือการแสวงหาความรูดวยตนเองจากแหลงเรยี นรูในทองถ่นิ ก. เรยี นทาอาหารไทยจาก ข. ไปที่หองคอมพิวเตอรเพ่ือสบื คนขอมูลมาทารายงาน โรงเรียนสอนอาหารไทย ค. อานหนังสอื คูมือฟสกิ สท่ีศูนยวทิ ยาศาสตร ง. ไปศกึ ษาคนควาเรื่องประโยชนของพชื สมนุ ไพรทสี่ วนสมุนไพร 5. ขอใด คอื แหลงเรยี นรูในชุมชนทม่ี ที รัพยากรสารสนเทศหลากหลายมากที่สุด ก. หองสมุดประชาชน ข. ศนู ยนนั ทนาการ ค. สวนพฤษศาสตร ง. อทุ ยานวิทยาศาสตร์ 6. ถาจะศึกษาคนควาเรอ่ื งความเปนมาของประวัติเขาพระวหิ าร ควรจะศกึ ษาจากแหลงใดท่มี ขี อมูล มากที่สดุ ก. อุทยานประวตั ศิ าสตร ข. พิพธิ ภณั ฑแหงชาติ ค. อนิ เทอรเน็ต ง. เขาพระวหิ าร
15 7. จานง ตองการปลกู ขาวใหไดผลดีมากท่ีสดุ จานงควรเรยี นรูจากแหลงใดมากที่สดุ ก. ภูมปิ ญญา ข. หอกระจายขาว ค. สวนสมนุ ไพร ง. สวนสาธารณะ 8. ขอใดเปนแหลงเรยี นรูกลุมศลิ ปวฒั นธรรม ก. ศาสนสถาน ข. อนุสาวรยี ค. หอศลิ ป ง. ถูกทุกขอ 9. วัตถปุ ระสงคของการจดั แหลงเรียนรูในทองถิน่ คือขอใด ก. เปนขอมลู เพือ่ การพัฒนาประเทศชาติ ข. เปนแหลงคนควาสนับสนุนการเรียนการสอน ค. เพอ่ื เปนการพฒั นาชุมชนใหเจรญิ กาวหนาทันเทคโนโลยี ง. เปนแหลงการศกึ ษาตลอดชีวติ ทป่ี ระชาชนสามารถหาความรูตางๆ ไดดวยตนเอง 10. ขอใดควรปฏบิ ัติในหองสมุดประชาชน ก. ติวเขมเพ่ือเตรยี มตัวสอบ ข. เตรียมอาหารและเคร่ืองด่ืมไปเอง ค. ตองยืมหนงั สือดวยบตั รสมาชิกของตนเอง ง. ทุกครั้งทห่ี ยบิ หนงั สือมาอานใหนาไปเก็บทชี่ ้นั หนงั สอื ดวย เฉลย 1. ง 2. ง 3. ข 4. ง 5. ก 6. ค 7. ก 8. ง 9. ง 10. ค
16 ใบความรู้ การใชแหลงเรียนรู ความหมายของแหล่งเรยี นรู้ แหลํงเรยี นรู๎ หมายถึง แหลํงขอ๎ มลู ขาํ วสาร สารสนเทศ และประสบการณ์ ท่ีสนับสนนุ สงํ เสริมใหผ๎ เ๎ู รียนใฝุ เรยี น ใฝุรู๎ แสวงหาความรูแ๎ ละเรยี นร๎ูดว๎ ยตนเองตามอธั ยาศัย อยํางกว๎างขวางและตํอเน่ือง เพื่อเสริมสร๎างใหผ๎ เู๎ รียนเกิด กระบวนการเรยี นรู๎ และเปน็ บุคคลแหํงการเรยี นรู๎ ความสาคญั ของแหล่งเรียนรู้ 1. แหลงํ การศึกษาตามอธั ยาศัย 2. แหลํงการเรยี นรตู๎ ลอดชวี ติ 3. แหลํงปลูกฝงั นิสัยรักการอาํ น การศึกษาค๎นคว๎า แสวงหาความรูด๎ ว๎ ยตนเอง 4. แหลงํ สร๎างเสรมิ ประสบการณภ์ าคปฏบิ ัติ 5. แหลงํ สรา๎ งเสริมความร๎ู ความคิด วิทยาการและประสบการณ์ ประเภทของแหลง่ เรยี นรู้ แหลงํ เรียนร๎ู จาแนกตามลกั ษณะทต่ี ัง้ ได๎ ดงั น้ี 1. แหลงํ เรียนรู๎ในโรงเรยี น 2. แหลํงเรียนรู๎ในท๎องถน่ิ วตั ถปุ ระสงค์ของการจดั แหล่งเรียนร้ใู นโรงเรียน 1. เพื่อพฒั นาโรงเรยี นให๎เปน็ สงั คมแหํงการเรยี นร๎ู มแี หลงํ ข๎อมลู ขําวสาร ความรู๎ วิทยาการ และสรา๎ งเสริม ประสบการณ์ ท กว๎างขวางหลากหลาย 2. เพื่อเสรมิ สรา๎ งบรรยากาศการเรยี นรใ๎ู นโรงเรียน โดยเน๎นผ๎เู รียนเปน็ สาคัญ 3. เพ่ือจัดระบบและพฒั นาเครือขํายสารสนเทศ และแหลงํ การเรียนรใู๎ นโรงเรียน 4. เพ่ือสงํ เสริมใหผ๎ ๎เู รียนมที กั ษะการเรียนร๎ู เปน็ ผ๎ูใฝุร๎ู ใฝเุ รียน และเรียนรด๎ู ๎วยตนเองอยํางตํอเนือ่ ง การนาแหลงํ เรียนร๎ูและภมู ิปัญญาท๎องถน่ิ มาใชใ๎ นการจัดกิจกรรมการเรยี นการสอน มแี นวทางดังน้ี 1. ศกึ ษาหลักสตู ร และสาระการเรียนร๎ู 2. จดั ทาข๎อมูลสารสนเทศแหลํงเรยี นรู๎ ภมู ิปัญญาท๎องถน่ิ 3. จดั ทาแผนการเรียนรู๎ กระบวนการเรยี นร๎ูให๎สอดคล๎องกับจุดประสงค์ 4. ขอความรวํ มมือกับชุมชนและตัววทิ ยากรท๎องถ่นิ 5. เชิญวิทยากรท๎องถ่ินมาถาํ ยทอดความรู๎ หรือนานกั เรยี นไปยังแหลงํ เรียนรู๎ 6. ทาการวัด ประเมนิ ผล
17 7. รายงานผล สรุปผลใหผ๎ ๎ทู ่ีเกย่ี วขอ๎ งได๎ทราบ ขอ๎ ดีในการนาแหลงํ เรยี นรู๎ และภูมิปญั ญาทอ๎ งถ่นิ มาใชใ๎ นกระบวนการเรียนการสอน 1. ผเู๎ รียนได๎เรยี นรจ๎ู ากของจรงิ ทาให๎เกิดประสบการณต์ รง 2. ผ๎ูเรียนเกดิ ความสนกุ สนาน 3. ผ๎ูเรยี นมีเจตคตทิ ีด่ ีตํอชุมชน และกระบวนการเรยี นรู๎ 4. ผเ๎ู รยี นเห็นคุณคําของแหลงํ เรียนรู๎ ภูมิปญั ญาทอ๎ งถิ่น 5. ผเู๎ รียนเกิดความรกั ทอ๎ งถ่นิ และเกิดความรใู๎ นการอนรุ ักษ์ส่ิงทม่ี ีคณุ คําในท๎องถ่ิน ความหมายประเภทของแหล่งการเรยี นรู้ 1.1 ความหมายของแหล่งการเรียนรู้ แหลํงการเรยี นรู๎ หมายถงึ แหลงํ ขาํ วสารข๎อมูล สารสนเทศ แหลงํ ความรูท๎ างวทิ ยาการ และประสบการณ์ท่ีสนับสนนุ สํงเสรมิ ใหผ๎ ูเ๎ รียน ใฝเุ รียน ใฝรุ ๎ู แสวงหาความรแ๎ู ละเรียนรูด๎ ว๎ ยตนเอง ตามอัธยาศัยอยาํ งกวา๎ งขวางและตํอเน่ืองจากแหลงํ ตําง ๆ เพอ่ื เสริมสร๎างให๎ผู๎เรียนเกิดกระบวนการเรยี นรู๎ และเปน็ บคุ คลแหํงการเรียนรู๎ (กรมสามญั ศึกษา, 2544, หนา๎ 6) 1.2 ความหมายประเภทของแหล่งการเรียนรู้ ในการแบงํ ประเภทของแหลํงการเรยี นรนู๎ ั้น พระพทุ ธทาสภกิ ขุ (อา๎ งใน สมุ น อมรววิ ัฒน์ 2548: ออนไลน์) ไดแ๎ สดง ธรรมเรอ่ื ง “โรงเรยี นท่ที าํ นยงั ไมรํ จู๎ ัก”มคี วามตอนหน่งึ วํา โรงเรยี นมอี ยทูํ วั่ ทุกหนทุกแหํง ตาหูตาตาของทาํ นทั้งหลาย แตํทาํ นก็ไมํรู๎จัก การเรียนรจ๎ู ากธรรมชาตชิ ํวยให๎ผ๎ูเรียนเข๎าใจความเป็นจริงของชีวิต ทีม่ กี ารเปล่ยี นแปลง มีการตํอสู๎ดน้ิ รน มีปัญหา มสี นุ ทรียภาพ มีคุณคํา ท้ังความจริง ความงามและความดี ในทางตรงกนั ข๎าม ธรรมชาติกม็ ที ้งั ความเสอ่ื ม สลาย และความโหดรา๎ ย ทาลายล๎าง มนุษย์จึงจาเป็นต๎องเรียนรู๎ และอยํรู วํ มกับธรรมชาติ ดว๎ ยการอนรุ ักษ์ และ ยอมรับคุณคําของธรรมชาติ ปรบั ตนเองได๎ในความเปล่ียนแปลง และทาอยาํ งไรจงึ จะให๎เดก็ ร๎ู ด๎วยตนเองมากขึน้ น่ัน คอื ต๎องสรา๎ งแหลงํ การเรยี นรู๎ให๎เขา ต๎องสอนให๎เขารจู๎ ักใช๎แหลงํ การเรียนรู๎ แหลงํ การเรียนรู๎แบงํ ได๎2 ประเภทดังนี้ 1) แหลงํ การเรียนร๎ใู นโรงเรียน 2) แหลํงการเรยี นรู๎นอกโรงเรียน หรืออาจแบ่งแหล่งการเรียนรู้ทอี่ ยู่รอบตัวผูเ้ รยี น (ศริ ิกาญจน์ โกสมุ ภ์ และดารณี คาวัจนัง, 2545, หน๎า 33) เทคโนโลยี ไดแ๎ กํ - คอมพวิ เตอร์ - อเี มล์ (e-mail) - อินเทอร์เน็ต - สิ่งแวดล้อม ได๎แกํ - แหลงํ น้า เชนํ แมํนา้ ลาคลอง ห๎วย หนอง บึง วนอทุ ยาน ภเู ขา เชํน ถา้ หนิ งอก หินยอ๎ ย - สวนพฤกษศาสตร์ เชํน สวนสมุนไพร สวนปาุ ธรรมชาติ สวนพฤกษศาสตร์ใน โรงเรียน สวนสาธารณะ
18 - สถานท่ี ได๎แกํ - สถานท่สี าคญั ทางศาสนา เชํน วัด โบสถ์ มัสยิด สเุ หรํา - ปูชณียสถาน โบราณสถาน - โรงเรยี น - โรงพยาบาล - ไปรษณยี ์ - สถานตี ารวจ - พิพิธภัณฑ์ - หอ๎ งสมุด เชนํ ห๎องสมดุ โรงเรยี น ห๎องสมดุ ในชมุ ชน - ส่ือสารมวลชน ได๎แกํ - หนังสอื พมิ พ์ -โทรทศั น์ ETV - วิทยุ สารสนเทศ - บคุ ลากร ได๎แกํ - เพอื่ น เชนํ เพ่อื นในหอ๎ งเรยี น เพ่อื นในชมุ ชน - ครู เชนํ ครใู หญํ ผอ๎ู านวยการ ครวู ิชาตําง ๆ - ผนู๎ าชุมชน เชนํ ผ๎นู าศาสนา - แพทย์ - องค์การบริหารสํวนตาบล (อบต.) - ตารวจ - ภูมิปญั ญาชาวบา๎ น เชํน ดนตรี กํอสร๎าง ยารักษาโรค การนวดแผนโบราณ ความสาคัญของแหล่งการเรียนรู้ การเพ่มิ ศกั ยภาพของผเู๎ รียนใหส๎ งู ข้ึน สามารถดารงชีวิตอยาํ งมีความสุขได๎บนพ้ืนฐานของความเปน็ ไทย และ ความเป็นสากลเปน็ การเรียนรคู๎ ขูํ นานระหวาํ งความรสู๎ ากลกับความรู๎ทอ๎ งถน่ิ เพราะทอ๎ งถ่ินเปน็ ระบบความร๎ูท่ีมี การพฒั นาอยํางตํอเน่ือง โดยผาํ นมติ ิสัมพนั ธก์ ารสัง่ สมและถํายทอดผํานรนํุ สํูรุนํ สวํ นใหญเํ ป็นชิน้ งาน เครือ่ งดนตรี เคร่อื งใช๎ ผ๎าไหม ผา๎ ฝูาย การละเลนํ ของเลนํ และความรูท๎ ี่อยํูในตัวของบคุ คลท่เี ป็น ข๎อควรปฏบิ ตั ิ บทสวด ภาษา เขยี น นทิ าน คากลอน บทเพลง ตารายาของปราชญ์ชาวบา๎ น ซงึ่ ส่ิงเหลํานี้มี ความเชอ่ื มโยงกับธรรมชาติ และ เทคโนโลยพี น้ื บา๎ น สอดคล๎องกบั สังคมการดารงชีวติ ของผูเ๎ รยี น ถอื วําเป็นการเรียนรูแ๎ บบคูํขนานระหวํางความร๎ู ทอ๎ งถ่นิ สํูสากล 2.1 เจเดด (Jedede 1995: 97-137) ไดเ๎ สนอวาํ รูปแบบของการเรียนรู๎คขูํ นาน ระหวาํ งความรู๎สากล แหลงํ การเรยี นรแ๎ู ละภมู ิปัญญา สํงผลตอํ การพัฒนากระบวนการเรยี นรูท๎ ่มี ีความจาระยะยาวของผู๎เรยี น ทาให๎สนใจ ใฝุ ร๎ู รักการเรยี นรู๎ แสวงหาความร๎ู และสามารถนาความร๎ทู ๎องถิน่ ไปปรับประยุกตส์ ูสํ ากล 2.2 ซินเวลี่และคอรซ์ ิงเลีย (Sinvely และCorsinglia 2001d:a6-34) กลาํ วถงึ กระบวนการ ผสมผสานความรทู๎ ๎องถ่ินเขา๎ กับความร๎ูสากลในการจัดการเรียนการสอน โดยยึดแหลํงการเรียนรใ๎ู นท๎องถิ่น เปน็ แกน
19 หลักเสริมการเรียนรทู๎ าให๎เกิดการยอมรับ พดู คุยและรับฟังความเหมือนความตํางระหวํางวฒั นธรรม โครงสรา๎ ง รูปแบบการคดิ โดยทีว่ ัฒนธรรมเดิมไมจํ าเป็นต๎องเปลีย่ นโครงสร๎างตัวเองทงั้ หมด กํอนที่จะรับวัฒนธรรมใหมํเขา๎ ไป 2.3 แอพเพิล (Apple 1990: 50-67) การนาวทิ ยาการพน้ื บ๎านมาใช๎ในการเรยี น การสอนจะชวํ ยให๎ เกิดความเจรญิ งอกงามทางสตปิ ญั ญา ผ๎ูเรยี นสามารถดารงชวี ิตอยูไํ ด๎ในท๎องถ่ินอยาํ งปกติสขุ บนพื้นฐานของ กระบวนการเรยี นรู๎ตามสภาพภมู ิศาสตร์ นเิ วศวทิ ยา ความเชือ่ ปรชั ญา วิถีท๎องถนิ่ และวิถแี หงํ การดารงชีวิต 2.4 กงิ่ แกว้ อารรี กั ษ์ (2548:118) ให๎ความสาคญั ของการศึกษาโดยใชแ๎ หลงํ เรียนรู๎ ไวด๎ ังนี้ 1) กระตน๎ุ ใหเ๎ กดิ การเรยี นรู๎เรื่องใดเรือ่ งหน่ึง โดยอาศัยการมีปฏสิ มั พนั ธก์ ับสอื่ ทห่ี ลากหลาย 2) ชวํ ยเสรมิ สร๎างการเรยี นรู๎ให๎ลกึ ซ้ึงขึน้ โดยใชเ๎ วลาในการรวบรวมข๎อมูลสะท๎อนความ คิดเห็นจากแหลํงการเรียนร๎ู 3) กระต๎นุ มํุงเน๎นลึกในเรื่องใดเร่ืองหน่ึง ซ่งึ ผลกั ดันใหผ๎ เ๎ู รยี นแสวงหาขอ๎ มูลท่ีเก่ยี วข๎องเพ่ิม มากขนึ้ สามารถสร๎างผลผลติ ในการเรยี นรู๎ท่มี ีคณุ ภาพสูงข้ึน 4) เสรมิ สร๎างการเรียนร๎ู จนเกิดทักษะการแสวงหาข๎อมลู ทมี่ ีประสิทธิภาพ โดยอาศัยการ สร๎างความตระหนักเชงิ มโนทัศนเ์ ก่ยี วกบั ธรรมชาติและความแตกตํางของข๎อมูล 5) แหลํงการเรียนรู๎เสรมิ สร๎างการพฒั นาการคิด เชํน การแก๎ปญั หา การใหเ๎ หตุผล และการ ประเมนิ อยํางมวี ิจารญาณ โดยอาศัยกระบวนการวิจยั อสิ ระ 6) เปลย่ี นเจตคตขิ องครูและผเ๎ู รยี นทมี่ ีตํอเน้ือหารายวชิ า และผลสมั ฤทธิท์ างการเรียน 7) พัฒนาทกั ษะการวิจัยและความเชือ่ มั่นในตนเองในการคน๎ หาข๎อมูล 8) เพมิ่ ผลสัมฤทธิด์ า๎ นวิชาการ ในดา๎ นเนอื้ หา เจตคติ และการคดิ อยาํ งมวี ิจารณญาณ โดย อาศัยแหลํงการเรียนร๎ทู ีห่ ลากหลายในการเรยี นร๎ู 2.5 นเรนทร์ คามา (2548 : ออนไลน์) ได๎กลําว ถงึ ความสาคญั ของแหลงํ การเรียนร๎ไู ว๎ดังน้ี 1) เป็นแหลํงทร่ี วบรวมขององค์ความรูอ๎ นั หลากหลาย พรอ๎ มทจี่ ะให๎ผเ๎ู รียนไดศ๎ ึกษาค๎นควา๎ ด๎วยกระบวนการจดั การเรียนร๎ทู ี่แตกตาํ งกันของแตลํ ะบุคคล และเป็นการสงํ เสรมิ การเรียนรูต๎ ลอดชีวติ 2) เป็นแหลงํ เชอ่ื มโยงให๎สถานศึกษาและท๎องถิน่ มคี วามใกลช๎ ดิ กนั ทาใหค๎ นในท๎องถิน่ มี สํวนรํวมในการจัดการศึกษาแกบํ ุตรหลาน 3) เปน็ แหลงํ ขอ๎ มลู ทีท่ าให๎ผู๎เรยี นเกดิ การเรยี นร๎ูอยาํ งมีความสุข เกิดความสนุกสนานและมี ความสนใจทีจ่ ะเรยี นรู๎ไมํเกดิ ความเบ่อื หนําย 4) ทาให๎ผ๎เู รียนเกดิ การเรยี นรจ๎ู ากการที่ได๎คิดเอง ปฏิบัตเิ อง และสรา๎ งความร๎ู ด๎วยตนเอง ขณะเดยี วกันกส็ ามารถเข๎ารวํ มกิจกรรมและทางานรํวมกับผูอ๎ น่ื ได๎ 5) ทาใหผ๎ ๎ูเรียนไดร๎ บั การปลูกฝงั ให๎รูแ๎ ละรักทอ๎ งถ่ินของตน มองเหน็ คณุ คําและตระหนักถงึ ปัญหาในท๎องถน่ิ พร๎อมทจี่ ะเป็นสมาชกิ ที่ดขี องทอ๎ งถ่นิ ทง้ั ปัจจบุ ันและอนาคต 2.6 ประเวศ วะสี (2536:1) กลาํ ววํา ท๎องถิ่นมีแหลงํ การเรยี นร๎ู และผูร๎ ๎ูด๎านตํางๆมากมาย มากกวําที่ ครูสอนทํองหนังสือ ถา๎ เปดิ โรงเรียนสทูํ อ๎ งถ่ินให๎ผ๎เู รยี นไดเ๎ รียนรจู๎ ากครูในท๎องถนิ่ จะมีครูมากมายหลากหลายเป็นครูที่รู๎ จรงิ ทาจริง จะทาใหก๎ ารเรียนร๎ูไปสํกู ารปฏิบตั จิ ริง การเรียนสนกุ ไมนํ าํ เบื่อ ทสี่ าคัญเป็นการปรับระบบทีม่ ีคณุ คํา เดมิ การศกึ ษามองข๎ามคุณคําเหลําน้ี เมื่อผรู๎ ๎ูในท๎องถิ่นเหลาํ น้เี ป็นครไู ด๎ จะเป็น การยกระดับคุณคํา ศักดศ์ิ รีและความ ภาคภูมใิ จของท๎องถิ่นอยํางแรง เปน็ การถักทอทางสังคม แหลงํ การเรยี นร๎มู บี ทบาทในการใหก๎ ารศึกษาแกํผเ๎ู รยี น ท้ังใน ระบบและนอกระบบ(กรมสามญั ศึกษา 2544 : 7) ดังน้ี 1) แหลงํ การเรียนรู๎สามารถตอบสนองการเรียนรู๎ทเี่ ป็นกระบวนการ (Process Of Learning) การเรียนร๎โู ดยการปฏิบัตจิ รงิ (Learning By Doing) ท้งั จากท๎องถิน่ ซ่ึงเปน็ แหลํงการเรยี นรท๎ู ต่ี นเองมีอยํู แล๎ว
20 2) เปน็ แหลงํ กิจกรรม แหลงํ ทัศนศึกษา แหลํงฝึกงาน และแหลํงประกอบอาชีพของผ๎เู รยี น 3) เป็นแหลงํ สรา๎ งกระบวนการเรียนร๎ใู หเ๎ กดิ ขน้ึ โดยตรง 4) เปน็ หอ๎ งเรียนธรรมชาติ เปน็ แหลํงค๎นคว๎า วจิ ัย และฝึกอบรม 5) เปน็ องค์กรเปิด ผ๎สู นใจสามารถเขา๎ ถึงข๎อมลู ได๎อยํางเต็มทีแ่ ละทวั่ ถงึ 6) สามารถเผยแพรํข๎อมูลแกํผูเ๎ รียนในเชิงรกุ เข๎าสูกํ ลุํมเปูาหมายอยาํ งทั่วถึงประหยดั และ สะดวก 7) มกี ารเชือ่ มโยงและแลกเปลี่ยนข๎อมูลระหวาํ งกัน 8) มสี ่อื ประเภทตํางๆ ประกอบดว๎ ย สื่อส่ิงพิมพ์ และส่อื อเิ ลกทรอนิกส์ เพื่อเสริมกิจกรรม การเรียนการสอนและพฒั นาอาชพี สรปุ ความสาคัญของแหลํงการเรยี นรูไ๎ ดว๎ าํ แหลงํ การเรยี นร๎ูชวํ ยเชื่อมโยงเรือ่ งราวในท๎องถิ่นสกํู าร เรยี นรสู๎ ากล พฒั นาคุณลักษณะและความคดิ ความเข๎าใจในคุณคํา และทัศนคติ คํานยิ ม ใฝรุ ๎ู ใฝุเรยี น รักการเรยี นร๎ู มี ทักษะการแสวงหาความรู๎ สามารถจัดการความร๎ู ซ่งึ มีความสาคญั และมคี วามหมายอยํางมากสาหรับผ๎เู รยี น ดงั น้ี 1) ผเ๎ู รยี นไดเ๎ รียนรู๎จากสภาพชวี ติ จริง สามารถนาความรูท๎ ่ีได๎ไปใช๎ในชวี ติ ประจาวันได๎ ชวํ ยให๎เกิดการ พัฒนาคณุ ภาพชีวติ ของตน ครอบครวั ทอ๎ งถ่นิ 2) ผู๎เรียนไดเ๎ รียนในสิง่ ท่ีมคี ุณคํา มีความหมายตํอชวี ิต ทาใหเ๎ ห็นคุณคาํ เห็นความสาคญั ของสง่ิ ทีเ่ รยี น 3) ผูเ๎ รียนสามารถเช่ือมโยงความร๎ูทอ๎ งถิน่ สคํู วามรูส๎ ากลส่ิงทอ่ี ยูํใกลต๎ ัวไปสูํสง่ิ ท่อี ยไูํ กลตวั ได๎อยาํ งเป็น รปู ธรรม 4) เหน็ ความสาคญั ของการอนุรักษแ์ ละพฒั นาภูมปิ ญั ญาท๎องถิน่ วัฒนธรรม ทรัพยากร และสิ่งแวดล๎อม ในทอ๎ งถน่ิ ได๎อยํางตํอเน่ือง 5) มีสํวนรวํ มในองค์กร ทอ๎ งถน่ิ บุคคล และครอบครวั ในการพฒั นาท๎องถ่นิ 6) ไดเ๎ รยี นรู๎จากแหลํงการเรยี นร๎ทู ี่หลากหลาย ได๎ลงมอื ปฏิบตั จิ ริง สํงผลให๎ เกดิ ทกั ษะการแสวงหา ความร๎ู เป็นบคุ คลแหํงการเรยี นร๎ู ขอบข่ายของอนิ เทอร์เนต็ การคน้ หาขอ้ มลู ผ่าน Website การสง่ จดหมายอเิ ล็กทรอนิกส์ 3.1 ขอบขา่ ยของอนิ เทอรเ์ น็ต ในปัจจุบันอินเทอร์เน็ตมบี ทบาทและมคี วามสาคญั ตํอชีวิตประจาวันของคนเราเปน็ อยํางมาก เพราะทา ให๎วถิ ีชวี ติ เราทันสมยั และทันเหตุการณ์อยํูเสมอ เนอื่ งจากอินเทอรเ์ น็ตจะมกี ารเสนอข๎อมูลขาํ วปจั จบุ ัน และส่งิ ตําง ๆ ที่เกดิ ข้นึ ให๎ผใ๎ู ช๎ทราบเปลี่ยนแปลงไปทุกวัน สารสนเทศทเี่ สนอในอนิ เทอร์เนต็ จะมีมากมายหลายรูปแบบเพ่ือสนอง ความสนใจและความต๎องการของผใู๎ ช๎ทุกกลํมุ อนิ เทอร์เน็ตจึงเป็นแหลงํ สารสนเทศสาคัญสาหรบั ทุกคนเพราะสามารถ ค๎นหาสิ่งทีต่ นสนใจไดใ๎ นทนั ทีโดยไมํต๎องเสียเวลาเดินทางไปค๎นควา๎ ในห๎องสมดุ หรือแม๎แตกํ ารรับรข๎ู าํ วสารทั่วโลกก็ สามารถอํานไดใ๎ นอนิ เทอร์เน็ตจากเวบ็ ไซตต์ ําง ๆ ของหนงั สอื พมิ พ์ ดังน้นั อินเทอร์เนต็ จึงมีความสาคญั กับวถิ ีชีวิตของคนเราในปจั จบุ นั เปน็ อยาํ งมากในทกุ ๆ ด๎าน ไมํวาํ จะ เปน็ บคุ คลที่อยํใู นวงการธรุ กิจ การศกึ ษา ตํางก็ไดร๎ บั ประโยชน์จากอนิ เทอร์เนต็ ดว๎ ยกนั ทั้งนั้น 3.1.1 ดา้ นการศึกษา อินเทอร์เน็ตมคี วามสาคัญ ดงั นี้ 1) สามารถใชเ๎ ปน็ แหลํงคน๎ ควา๎ หาขอ๎ มลู ไมวํ ําจะเป็นข๎อมลู ทางวิชาการ ขอ๎ มูลด๎านการ บนั เทงิ ดา๎ นการแพทย์ และอ่ืน ๆ ทน่ี ําสนใจ 2) ระบบเครอื ขาํ ยอนิ เทอร์เนต็ จะทาหน๎าที่เปรยี บเสมือนเปน็ ห๎องสมดุ ขนาดใหญํ 3) นกั เรียนนักศึกษาสามารถใช๎อินเทอร์เน็ตติดตํอกับมหาวิทยาลัยหรือโรงเรียนอ่นื ๆ เพื่อ ค๎นหาข๎อมลู ท่ีกาลังศกึ ษาอยไูํ ด๎ ท้งั ท่ีข๎อมลู ท่ีเป็นขอ๎ ความเสียง ภาพเคล่อื นไหวตําง ๆ
21 3.1.2 ดา้ นธรุ กิจและการพาณิชย์ อนิ เทอร์เน็ตมคี วามสาคัญดงั นี้ 1) ค๎นหาขอ๎ มูลตําง ๆ เพ่ือชวํ ยในการตัดสินใจทางธุรกิจ 2) สามารถซื้อขายสินคา๎ ทาธุรกรรมผาํ นระบบเครือขาํ ย 3) เปน็ ชอํ งทางในการประชาสมั พนั ธ์ โฆษณาสินคา๎ ตดิ ตํอส่ือสารทางธรุ กจิ 4) ผใู๎ ชท๎ ี่เป็นบริษทั หรอื องค์กรตําง ๆ กส็ ามารถเปิดให๎บริการ และสนับสนนุ ลูกคา๎ ของตน ผํานระบบเครือขาํ ยอินเทอร์เน็ตได๎ เชํน การให๎คาแนะนา สอบถามปัญหาตําง ๆ ให๎แกลํ ูกค๎า แจกจํายตวั โปรแกรม ทดลองใช๎ (Shareware) โปรแกรมแจกฟรี (Freeware) 3.1.3 ด้านการบนั เทิง อินเทอร์เน็ตมีความสาคญั ดังนี้ 1) การพักผํอนหยํอนใจ สนั ทนาการ เชํน การค๎นหาวารสารตําง ๆ ผาํ นระบบเครือขําย อนิ เทอร์เน็ต ท่เี รียกวาํ Magazine Online รวมทั้งหนังสือพิมพ์และขาํ วสารอนื่ ๆ โดยมีภาพประกอบท่ี จอคอมพวิ เตอร์เหมือนกับวารสารตามร๎านหนังสือทว่ั ๆ ไป 2) สามารถฟังวทิ ยหุ รือดรู ายการโทรทศั น์ผาํ นระบบเครือขาํ ยอินเทอรเ์ นต็ ได๎ 3) สามารถดึงข๎อมูล (Download) ภาพยนตรม์ าดูได๎ 3.2 การสบื ค้นขอ้ มูลผา่ น Website Search Engineเปน็ เคร่อื งมือหรือโปรแกรมในการค๎นหาเวบ็ ตํางๆ โดยมีการเกบ็ รายช่ือเวบ็ ไซต์และ ข๎อมลู ท่ีเกีย่ วข๎องตาํ งๆ ของเว็บไซตแ์ ละนามาจดั เกบ็ ไวใ๎ น server เพอ่ื ให๎สามารถค๎นหาและแสดงผลไดส๎ ะดวก และ รวดเร็วมากยิ่งข้นึ ทัง้ นี้ บาง search engine อาจไมํไดม๎ ีการเก็บข๎อมูลในserverของตัวเอง แตํอาจอาศยั ข๎อมลู จาก เจา๎ ของ server นน้ั ๆ เครื่องมือหรือโปรแกรมสาหรบั การสืบค๎น (Search Engine) มีอยํูมากมายและมีให๎บริการอยํูตาม เว็บไซตต์ าํ งๆ ท่ีใช๎บรกิ ารการสืบคน๎ ข๎อมูลโดยเฉพาะ การเลือกใชน๎ นั้ ขึ้นกบั ประเภทของข๎อมูล สารสนเทศที่ต๎องการ สืบคน๎ Search Engine ตํางๆ จะใหข๎ ๎อมูลทม่ี ีความลึกในแงํมมุ หรอื ศาสตรต์ ํางๆ ไมํเทํากัน ตวั อยําง Search Engine ทน่ี ิยมใช๎มที งั้ เวบ็ ไซต์ทเ่ี ปน็ ของตํางประเทศ และของไทยเอง เว็บไซต์ Search Engine ยอดนยิ ม 3.2.1 Sanook http://www.sanook.com เป็นเว็บไซตช์ อ่ื ดังของไทยท่ีเป็นแหลงํ ค๎นหาข๎อมลู ของไทยท่ีมีข๎อมูลให๎คน๎ หามากมายทง้ั ของไทยและท่ัว โลกซึ่งมที ง้ั แบบนามานุกรม และคาค๎น ซึ่งจะบอกท่อี ยูํของเว็บไซตแ์ ละมีคาอธิบายเวบ็ ทีห่ าอยํางเข๎าใจงําย และยงั สามารถสงํ เว็บไซต์นี้ให๎เพื่อนๆ ทางอีเมล์ดว๎ ย 3.2.2 Google www.google.com Google เป็นเว็บไซต์ฐานข๎อมูลท่ีใหญมํ ากแหํงหนึ่งของโลก ในอดีตเป็นบริษัททีด่ าเนนิ การด๎าน ฐานข๎อมลู เพ่อื ใหบ๎ ริการแกเํ ว็บไซตค์ ๎นหาอืน่ ๆ ปจั จบุ นั ได๎เปดิ เว็บไซตค์ น๎ หาเอง มีฐานข๎อมลู มากกวาํ สามพันลา๎ น เว็บไซต์และเพ่ิมขึ้นเรอ่ื ยๆ ทุกวนั จุดเดนํ ทีเ่ หนอื กวาํ ผ๎ูให๎บริการรายอื่นๆ คอื เป็นเวบ็ ไซตค์ ๎นหาทีส่ นับสนุนภาษาตาํ งๆ มากกวํา 80 ภาษาทัว่ โลก(รวมทั้งภาษาไทย) และมีเครอ่ื งเซิรฟ์ เวอร์ให๎บริการในสํวนตาํ งๆ ของโลกมากถึง 36 ประเทศ รวมทั้งในประเทศไทย ซ่งึ บรกิ ารคน๎ หาของ Google จะแยกฐานข๎อมลู ออกเปน็ 4 หมวด และแตํละหมวดมี การค๎นหาแบบพิเศษเพิม่ เติมด๎วย คือ - เวบ็ : เป็นการค๎นหาข๎อมลู จากเวบ็ ไซตต์ าํ งๆ ทัว่ โลก - รปู ภาพ : เป็นการค๎นหารปู ภาพหลากหลายฟอร์แมตจากเว็บไซตต์ าํ งๆ - กลมุ่ ข่าว : เป็นการคน๎ หาเรื่องราวที่นําสนใจจากกลุํมขาํ วตํางๆ
22 - สารบนเว็บ : การคน๎ หาข๎อมูลจากเว็บไซตท์ ่ีแยกออกเป็นหมวดหมํู 3.3 วิธีการสืบคน้ ข้อมูลทางอนิ เทอร์เนต็ 3.3.1 การสืบค๎นข๎อมลู ทางอินเทอร์เน็ต ด๎วยการใช๎ Search Engine Search Engine จะมีหน๎าที่รวบรวมรายชอ่ื เว็บไซตต์ ํางๆ เอาไว๎ โดยจัดแยกเป็นหมวดหมูํ ผใู๎ ชง๎ าน เพียงแตํทราบหัวขอ๎ ทีต่ อ๎ งการค๎นหาแล๎วปูอน คาหรือข๎อความของหวั ขอ๎ นนั้ ๆ ลงไปในชอํ งท่ีกาหนด คลิกปุมคน๎ หา เทํานนั้ ข๎อมลู อยํางยํอ ๆ และรายช่ือเวบ็ ไซตท์ เ่ี กีย่ วข๎องจะปรากฏให๎เราเขา๎ ไปศึกษาเพิม่ เติมได๎ทนั ที Search Engine แตํละแหงํ มีวธิ กี ารและการจดั เกบ็ ฐานข๎อมลู ทแ่ี ตกตํางกันไปตามประเภทของ Search Engine ทแ่ี ตลํ ะเว็บไซต์ นามาใช๎เกบ็ รวบรวมข๎อมูล ดังนัน้ การทจี่ ะเขา๎ ไปหาข๎อโดยวิธีการ Search นน้ั อยาํ งน๎อยเราจะต๎องทราบวาํ เว็บไซต์ท่ี จะเขา๎ ไปใชบ๎ รกิ าร ใชว๎ ธิ กี ารหรอื ประเภทของ Search Engine อะไร เนื่องจากแตลํ ะประเภทมีความละเอียดในการ จดั เก็บข๎อมลู ตาํ งกนั ไป 1) การสืบคน้ แบบใชค้ ยี เ์ วิร์ด ใชใ๎ นกรณีที่ต๎องการค๎นขอ๎ มลู โดยใชค๎ าทมี่ ีความหมายตรงกบั ความ ต๎องการ โดยมากจะนิยมใช๎คาทมี่ ีความหมายใกล๎เคยี งกบั เนื้อเร่อื งท่ีจะสบื คน๎ ข๎อมลู มวี ธิ กี ารค๎นหาได๎ดังนี้ 1.1) เปิดเวบ็ เพจ ทีใ่ หบ๎ ริการในการสืบค๎นข๎อมูล ตวั อยํางเชนํ www.google.co.th เป็นเวบ็ ที่ใชส๎ บื ค๎นขอ๎ มูลของตํางประเทศ ขอ๎ ดีคอื คน๎ หางําย เร็ว www.yahoo.com เปน็ เวบ็ ทีใ่ ชส๎ บื ค๎นทดี่ ตี วั หนึ่งซง่ึ ค๎นหาข๎อมูลงําย และข๎อเดนํ คือภายใน เวบ็ ของ www.yahoo.com เองจะมฟี รเี ว็บไซต์ ท่รี จู๎ ักกันในนาม http://www.geocities.com ซ่ึงมจี านวนเว็บ มากมาย ให๎ค๎นหาข๎อมลู เองโดยเฉพาะ www.sanook.com เปน็ เวบ็ ของคนไทย www.siamguru.com เป็นเวบ็ ของคนไทย โดยพิมพ์ชํองเวบ็ ทชี่ ํอง Address ดังตัวอยาํ งซ่ึงใช๎ www.google.co.th 1.2) ทชี่ อํ ง คน๎ หา พมิ พข์ ๎อความตอ๎ งการจะคน๎ หา ในตัวอยํางจะพิมพ์คาวาํ แหลงํ ทอํ งเทย่ี วเมืองโคราช 1.3) คลิกปุม ค๎นหาด๎วย Google 1.4) จากนนั้ จะปรากฏรายชื่อของเว็บที่มีขอ๎ มลู 1.5) คลิกเวบ็ ที่จะเรยี กดูข๎อมูล 2) การสบื คน้ ขอ้ มูลภาพ ในกรณีทน่ี กั เรยี นต๎องการทีจ่ ะคน๎ หาข๎อมูลท่ีเป็นภาพ เพ่อื นามาประกอบกับ รายงาน มวี ธิ กี ารคน๎ หาไฟลภ์ าพได๎ดงั น้ี 2.1) เปิดเวบ็ www.google.co.th 2.2) คลิกตวั เลือก รูปภาพ 2.3) พิมพ์กลํุมช่อื ภาพท่ตี อ๎ งการจะค๎นหา (ตัวอยํางทดลองหาภาพเก่ยี วกับ ปราสาทหนิ พิ มาย) 2.4) คลิกปุม คน๎ หา 2.5) ภาพทีคน๎ หาพบ 2. 6) การนาภาพมาใช๎งาน ให๎คลกิ เมาสด์ ๎านขวาท่ภี าพ > Save Picture as 2.7) กาหนดตาแหนงํ ทจ่ี ะบนั ทึกทีช่ อํ ง Save in 2.8) กาหนดช่อื ที่ชํอง File Name
23 2.9) คลกิ ปมุ Save 3.4 การส่งจดหมายอิเลก็ ทรอนกิ ส์ จดหมายอิเลก็ ทรอนกิ ส์ (E-Mail) คอื การสํงข๎อความหรือขําวสารจากบุคคลหน่งึ ไปยงั บุคคลอ่นื ๆ ผําน ทางคอมพิวเตอร์และระบบเครอื ขํายเหมือนกับการสํงจดหมาย แตอํ ยูํในรูปแบบของสัญญาณข๎อมูลท่ีเป็น อิเล็กทรอนิกส์ โดยเปลี่ยนการนาสํงจดหมายจากบุรุษไปรษณียม์ าเปน็ โปรแกรม และเปล่ียนจากการใช๎เส๎นทางจราจร คมนาคมทว่ั ไปมาเปน็ ชํองสญั ญาณรูปแบบตาํ งๆ ทีเ่ ช่อื มตํอระหวาํ งเครอื ขํายคอมพวิ เตอร์ ซ่งึ จะตรงเข๎ามาสูํ Mail Box ทีถ่ ูกจดั สรรใน Server ของผ๎ูรับปลายทางทนั ที - เมือ่ ตอ๎ งการสงํ E-Mail มีสํวนประกอบสาคัญท่ตี อ๎ งให๎รายละเอียด คือ 1) To: ระบุ E-Mail Address ของผู๎รบั ปลายทาง 2) Subject: ใสํหวั เรอ่ื งยํอๆของเน้อื หา 3) CC (Carbon Copy): เป็นการระบุ E-Mail Address ของผูท๎ ีเ่ ราต๎องการใหไ๎ ดร๎ ับสาเนาของจดหมาย ฉบบั นด้ี ๎วย 4) BCC (Blind Carbon Copy): เชนํ เดียวกับ CC แตํทาใหผ๎ ๎ูรบั ไมํทราบวําเราตอ๎ งการ สํงใคร 5) Attachment: เราสามารถแนบไฟล์ไปกับการสงํ E-Mail ด๎วยกไ็ ด๎ 6) Body: เปน็ เนื้อหาข๎อความของจดหมาย การสง่ E- Mail ข้นั ที่ 1 นา Mouse ไป Click ท่ี Compose ขั้นท่ี 2 หลังจากเลือก Compose แล๎ว หลังจากน้นั มีวิธกี าร ดังนี้ - หลังคาวํา To: ใหใ๎ สชํ ื่อ E-Mail ของคนทีเ่ ราต๎องการจะสงํ Mail ไปหา หากตอ๎ งการสงํ ไปใหห๎ ลายคน ให๎ใชเ๎ ครอ่ื งหมาย Comma (,) ค่นั ระหวาํ ง E-Mail address ของแตํละคน - หลังคาวํา Subject: ใหใ๎ สํชอ่ื เรอื่ งของ E-Mail ของเรา หรืออาจจะไมํใสํก็ได๎ - ในชอํ ง CC: เปน็ การทาสาเนา (Carbon Copy ) ของ Mail ไปถึงผูร๎ ับ โดยการใสชํ ่อื E-Mail ของคนท่ี เราต๎องการสงํ Mail ไปให๎ (เพม่ิ เตมิ จากใน To: ) - ในชํอง Bcc: เปน็ การทาสาเนาแบบ Blind Carbon Copy ใช๎ในกรณที ่ตี ๎องการสํง E-Mail ถงึ บุคคลอื่น โดยบุคคลท่ีเราสงํ E-Mail ไปให๎ใน To: และ CC: จะไมํทราบวาํ เราสํงไปใหบ๎ คุ คลน้ีดว๎ ย - ในกลํองใหญํในสํวนลําง จะเป็นพน้ื ท่ใี นการเขยี นข๎อความทีเ่ ราต๎องการท่ีจะสงํ - เม่อื เขียนข๎อความเสรจ็ แล๎วใหน๎ า Mouse ไป Click ท่ปี มุ “Send” การส่ง File ขอ้ มูลใดๆ ไปกับ E-Mail ในกรณที เี่ ราต๎องการสํง File ใด ๆ ก็ตามแนบไปกบั E-mail ดว๎ ย มขี น้ั ตอนการสงํ ดังน้ี 1) นา Mouse ไป Click ทปี่ มุ ที่มีคาวาํ “Attachments” 2) เลือก File ที่ต๎องการจะสํง โดยกดปุมท่ีมีคาวํา “Browse” 3) เม่อื เลอื ก File ทตี่ ๎องการสงํ ไดแ๎ ลว๎ กดปุมท่ีมีคาวํา “Open” แล๎วจะเหน็ วาํ ชื่อ File ทเี่ ราเลือกจะ ปรากฏอยูใํ นชํองวาํ ง 4) ขนั้ ตอํ มากดปุมทม่ี ีคาวาํ “Attachments” เพือ่ แนบ File ไปกบั E-mail 5) เห็นได๎วําชอื่ File ที่ต๎องการจะสํงจะปรากฏบนชํองวาํ ง ถา๎ เราเกิดลังเลเปลย่ี นใจจะเปล่ียนแปลง File ทจ่ี ะสํง สามารถทาได๎โดยการนา Mouse ไป Click ท่ีปุม Remove ถา๎ ทุกอยํางเรยี บรอ๎ ยแล๎วให๎ Click ท่ีปมุ Done (ในทนี่ ีท้ าง Hotmail.com มีขดี ความสามารถในการสํง File มีขนาดสูงทสี่ ุดได๎ไมํเกิน 1 Mb เทําน้นั )
24 6) ข้ันตอนสดุ ท๎ายคอื หลังจากทีเ่ รากด Done แลว๎ จะกลับมายงั หนา๎ จอเดิม การจะสงํ E-Mail ที่มีการ แนบ File ใดๆ ไปดว๎ ยน้ัน กใ็ ห๎ทาตามวธิ ีการสํง E-Mail ตามปกติ จะเห็นไดว๎ าํ ในสวํ นที่มีคาวาํ Attachments จะมีชอ่ื File ทเ่ี ราแนบไปดว๎ ย ขอ้ ดี และข้อจากัดของจดหมายอิเลก็ ทรอนกิ ส์ 4.1 ความหมายของไปรษณียอ์ เิ ล็กทรอนิกส์ ( E-Mail) E-Mail หรือ Electronic Mail เปน็ ไปรษณยี ์อเิ ล็กทรอนิกส์ รับ-สํงเอกสารอเิ ลก็ ทรอนกิ สโ์ ดยผาํ น ระบบเครือขํายคอมพวิ เตอร์ (Computer Network) ไปยงั ผร๎ู ับทอ่ี าจจะอยูํท่ีใดก็ได๎ในโลก การใช๎งานอีเมล์ทาให๎เรา สามารถติดตํอกบั ผ๎ูคนทว่ั โลกไดท๎ ันที โดยที่ เราสามารถรับและตอบจดหมายกลับได๎ภายใน เวลาไมํกีน่ าที ทาให๎ ผใ๎ู ชง๎ านมีความสะดวกรวด เร็ว ไมํต๎องเสียเวลารอคอยที่ยาวนานเหมือนกบั ไปรษณยี ์ทว่ั ไป การตดิ ตํอโดยใชไ๎ ปรษณยี ์ ธรรมดาตดิ ตํอภายในประเทศอาจใชเ๎ วลาประมาณ 1-3 วนั ถ๎าหากเป็นจดหมายท่สี งํ ไปยังตาํ งประเทศ (Air mail) อาจใช๎เวลานานเป็นสัปดาห์ e-Mail ชํวยประหยัดคําใชจ๎ ํายซง่ึ ถกู กวาํ การใช๎โทรศัพทห์ รือการสงํ จดหมายโดยวธิ ี ปกตทิ ใี่ ชก๎ ันหลายเทําตัวโดยท่ัวไป คาํ ใชจ๎ ํายในการสงํ e-Mail ไมํวาํ จะสํงจากแหงํ ใดในทกุ มมุ โลกก็ไมตํ ํางกนั ไมํวาํ จดหมายน้ันจะสน้ั หรอื ยาว จะสงํ ไปใกล๎หรือไกล E-Mail เปน็ ชํองทางสาหรบั การสํงขอ๎ มลู ทไี่ ด๎รบั ความนิยมอยาํ งสงู รปู แบบการใช๎งานแตกตาํ งกันไป นกั เรยี น-นกั ศึกษา นิยมใชใ๎ นการตดิ ตํอส่อื สาร ระหวํางกนั หรอื ติดตอํ สํงข๎อมลู ขอ๎ ความ ขอคาปรึกษาจากอาจารย์ ผ๎ูสอน องค์กรขนาดใหญๆํ ก็สามารถตดิ ตํอกับบคุ ลากร หรือทาธรุ กรรมผํานระบบเครือขํายอินเทอร์เน็ตและอเี มล์ เปน็ ตน๎ 4.2 ข้อดีของ E-mail - ประหยัดเวลา - ประหยดั เงนิ - สามารถสํงในรูปแบบมลั ติมเี ดยี ได๎ - สามารถแนบไฟลท์ ่ีเป็นเอกสารสํงได๎ - สามารถสํงตํอข๎อมูลหรือทีเ่ รยี กวํา forward ได๎ 4.3 ขอ้ จากัดของ E-mail - ไมสํ ามารถเขา๎ ถึงบุคคลได๎ทุกคน - ไมํได๎รับตน๎ ฉบับซง่ึ ควรคาํ แกกํ ารเก็บรักษา - อาจมีไวรัสมาพร๎อมกบั เอกสารที่สงํ มา - ถ๎าเครือขํายลมํ ทาให๎การสํงหรือรับข๎อมูลล๎มเหลว - ถา๎ ข๎อมลู ใน mail box เตม็ ก็ไมํสามารถรบั ข๎อมลู อื่นได๎ - Angun.จดหมายอเิ ล็กทรอนิกส์.
25 ใบงาน เรอ่ื งการใช้แหล่งเรยี นรู้ คาช้ีแจง จงตอบคาถามตอํ ไปนี้ 1. ให๎นักศึกษาอธิบายถงึ ความสาคญั ของแหลงํ เรียนร๎ู ............................................................................................................................. ........................................ ..................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ........................................ ............................................................................................................................. ........................................ ..................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ........................................ ................................................................................................................................. .................................... .............................................................................................. ................................................ ....................... ............................................................................................................................. ........................................ .............................................................................................................................................. ....................... ............................................................................................................ ......................................................... ............................................................................................................................. ........................................ 2. ใหน๎ กั ศึกษาสารวจแหลํงเรียนรภ๎ู ายในชุมชน ตาบล และอาเภอ วํามีแหลงํ เรียนรู๎อะไรบ๎าง พรอ๎ มท้งั จดั แบํง ประเภทตามลักษณะ 6 ประเภท ............................................................................................................................. ........................................ ............................................................................................................................. ........................................ ....................................................................................... ....................................................... ....................... ............................................................................................................................. ........................................ ........................................................................................................................................ ............................. ..................................................................................................... ................................................................ ............................................................................................................................. ........................................ .............................................................................................................................................. ....................... ................................................................................................................... .................................................. ............................................................................................................................. ........................................ .............................................................................................................................................. ....................... ............................................................................................................................. ........................................ ............................................................................................................................. ........................................ ...................................................................................................................................................... .....................................................................................................................................................
26 แผนการจัดการเรียนรู้ รายวิชาศิลปศกึ ษา คร้งั ท่ี 2 การจัดทาหนว่ ยเรยี นร้บู ูรณาการหลกั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง ภาคเรยี นที่ 1 ปกี ารศึกษา 2565 กศน.ตาบลองี อ่ ง ระดับประถมศึกษา 1. สัปดาห์ท่ี 2 วันที่ 24 เดือน พฤษภาคม พ.ศ.2565 เวลา 09.00 - 12.00 น. 2. วชิ า ศิลปศกึ ษา รหัสวชิ า ทช11003 จานวน 2 หนํวยกิต 3. มาตรฐานที่ 4.3 มคี วามรู๎ความเข๎าใจ มีคณุ ธรรม จรยิ ธรรม ชนื่ ชม เหน็ คณุ คําความงาม ความไพเราะ ธรรมชาติ สง่ิ แวดลอ๎ ม ทางทัศนศลิ ปไ์ ทย ดนตรีไทย นาฏศลิ ป์ไทย และวเิ คราะห์ไดอ๎ ยํางเหมาะสม 4. หน่วยการเรยี นรู้/เรื่องทัศนศิลป์พ้ืนบา้ น 5. สาระสาคัญ มีความรค๎ู วามเขา๎ ใจ มีคณุ ธรรม จรยิ ธรรม ชนื่ ชม เหน็ คณุ คําความงาม ความไพเราะ ธรรมชาติ ส่ิงแวดล๎อม ทางทศั นศลิ ปไ์ ทย ดนตรไี ทย นาฏศลิ ปไ์ ทย และวเิ คราะห์ไดอ๎ ยํางเหมาะสม 6. เนื้อหา 1. ทศั นศลิ ปพ์ ้ืนบ๎าน 1.1 รปู แบบและวิธกี ารนาจดุ เสน๎ สี แสง-เงา รปู ราํ ง รูปทรง มา จนิ ตนาการ สรา๎ งสรรค์ ประกอบ ให๎เปน็ งานทัศนศิลปพ์ น้ื บ๎าน 1.2 รปู แบบและววิ ฒั นาการของงานทัศนศิลปพ์ นื้ บ๎านในด๎าน - จิตรกรรม - ประตมิ ากรรม - สถาปตั ยกรรม - ภาพพิมพ์ 7. จุดประสงคก์ ารเรยี นรู/้ ผลการเรยี นรทู้ ่ีคาดหวัง (ดูจากผังการออกข๎อสอบ) 1.1 มีความร๎ู ความเข๎าใจและอธิบายรปู แบบและวิธีการในการนา จุด เสน๎ สี แสง-เงา รปู รําง รปู ทรง มา จนิ ตนาการสรา๎ งสรรค์ ประกอบใหเ๎ ปน็ งานทศั นศิลปพ์ ืน้ บ๎านได๎ 1.2 มคี วามรู๎ ความเขา๎ ใจและอธบิ ายรปู แบบและววิ ฒั นาการในเรือ่ งของงานทัศนศลิ ปพ์ ื้นบา๎ น ตาํ งๆ ได๎ เชนํ - จิตรกรรม - ประติมากรรม - สถาปตั ยกรรม - ภาพพมิ พ์ 8. การบรู ณาการกบั หลกั แนวคิดของเศรษฐกจิ พอเพียง (2 เง่อื นไข 3 หลักการการเช่อื มโยงสู่ 4 มิต)ิ ความรู้ -รปู แบบทัศนธาตุ และองค๑ประกอบศลิ ป์ การออกแบบ ความเปน็ เอกภาพ ความกลมกลนื ความสมดุล -หลักปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพียง คณุ ธรรม - มีความรับผดิ ชอบ ความมสี ติ ความสามคั คี ประหยัด และตรงตํอเวลา
27 พอประมาณ - ผ๎ูเรยี นได๎เรยี นร๎ู เรื่องการแบงํ เวลาใน การทากจิ กรรมตามที่ ได๎รบั มอบหมาย - เรียนรูก๎ ารใช๎วสั ดุ อปุ กรณแ๑ ละ งบประมาณท่ีมีอยํู อยํางประหยัดและ คม๎ุ คํา - ผเ๎ู รียนเรียนรใ๎ู น การทากจิ กรรม ภาระ งานได๎เหมาะสมกับ ความร๎ู ความสามารถ ตามวัย ของผ๎ูเรียน มีเหตผุ ล - ผเู๎ รียนมีความรู๎ และเชือ่ มโยงความรู๎ จากกลุํมสาระการ เรียนรู๎อน่ื - เสรมิ สร๎าง กระบวนการทางาน การคิด การแกป๎ ัญหา ในการทางาน - ผเู๎ รยี นร๎จู กั เลือกใช๎ วัสดอุ ปุ กรณ๑ทม่ี ีอยูํ อยํางประหยัดและ คม๎ุ คาํ - กระต๎ุนให๎ผเู๎ รียนมี ความคดิ ริเร่ิม สร๎างสรรค๑ในงาน ทศั นศลิ ป์ - นาหลักปรชั ญาของ เศรษฐกจิ พอเพียงมา ประยุกต๑ใชใ๎ นการ ดารงชีวิต มีภมู ิคมุ้ กนั -รจ๎ู กั การวางแผน กระบวนการทางาน อยาํ งเปน็ ระบบให๎ ประสบความสาเร็จ และ ปลอดภัย - ปรบั ตัวในการ ดาเนนิ ชีวิตพร๎อมรับ การเปลี่ยนแปลงใน สงั คม - เกิดความตระหนัก ในการประหยดั วตั ถุ - มคี วามรใ๎ู นการ ออกแบบช้ินงาน ใหมทํ ี่ หลากหลาย - มคี วามร๎ูความ เขา๎ ใจในการ เลอื กใชว๎ สั ดุ อปุ กรณ๑ อยาํ ง คุ๎มคําและถกู วธิ ี สังคม - รูจ๎ กั แบํงหน๎าที่ รับผดิ ชอบในการ ทางาน -แลกเปลี่ยน เรียนรู๎จากเพื่อน ครแู ละภูมปิ ญั ญา ทอ๎ งถ่ิน สิง่ แวดล้อม - มีความรู๎ในการ เหลือใชว๎ สั ดุ อุปกรณ๑ใน ท๎องถนิ่ มาใช๎ ประโยชนไ๑ ด๎ อยาํ งเหมาะสม และ ใชธ๎ รรมชาตริ อบ ๆตัวเปน็ แบบในการสร๎างสรรค๑งาน - มีความรู๎ เกี่ยวกับการ รักษาธรรมชาติ และสิ่งแวดลอ๎ ม วฒั นธรรม - มีความรค๎ู วามเข๎าใจในภมู ปิ ัญญาท๎องถิ่นมาใช๎ในการ ออกแบบชิน้ งานได๎ อยาํ ง หลากหลาย รูจ๎ ักการอนุรักษ๑ภูมิ ปญั ญาท๎องถนิ่ 9. กระบวนการจดั การเรยี นรแู้ ละกจิ กรรมการเรยี นรู้ ขนั้ ที่ 1 กาหนดสภาพปญั หาการเรยี นรู้ (O : Orientation)
28 ๑. ครใู ห๎นกั เรยี นสังเกตธรรมชาติ และสิง่ แวดลอ๎ มรอบตัวแลว๎ ตอบวาํ สงั เกตเห็น อะไรบ๎าง ให๎ นกั เรยี นสังเกต ๒. ครอู ธบิ ายถงึ เศษใบไม๎ใน ธรรมชาตทิ ี่หาไดง๎ ํายในโรงเรียน ใบไม๎ท่ีอาจ เป็นขยะน้ี เราสามารถ นามาสรา๎ งสรรค๑ เป็น ผลงานทศั นศลิ ป์ได๎โดยใชก๎ ระบวนการทาง ทัศนศิลป ๓. ช้ีแจงจุดประสงคก์ ารเรยี นรู๎ ข้ันที่ 2 แสวงหาขอ้ มลู และจัดการเรยี นรู้ (N : New ways of learning) 1. ครอู ธบิ ายรูปแบบและววิ ฒั นาการในเรอ่ื งของงานทัศนศิลป์พนื้ บ๎าน ตาํ งๆ ได๎ (หรอื เปิด ซีดี ทัศนศิลปพนื้ บา๎ น)จากนัน้ ให๎นักศกึ ษาทาใบงาน 2. ให๎นกั ศกึ ษาสรา๎ งสรรคผ์ ลงานทัศนศิลป์ดา๎ นใดกไ็ ด๎ เปน็ กลุมํ ตามทเี่ ลํนเกมแบงํ ไวเ๎ บือ้ งต๎น หรือตาม ความสมัครใจของผู๎เรยี น ขน้ั ที่ 3 การปฏบิ ัตแิ ละการนาไปใช้ (I : Implementation) ๑. แบงํ นกั เรยี นเป็นกลุํม กลมํุ ละ ๕–๖ คน รํวมกันสรา๎ งสรรคต๑ ามขน้ั ตอน โดย การเตรียมวสั ดุ อุปกรณ๑ ที่เตรยี มมา ๑.แปงู มันสาปะหลังหรอื แปงู ขา๎ วเหนียว ๒.กระดาษหนงั สือพมิ พ๑ ๓.เศษใบไม๎แห๎งทีห่ าได๎ ๒. แตลํ ะกลุมํ นาแปงู ทเ่ี ตรยี มมา มาเทใสํพาชนะทเ่ี ตรียมไว๎ ผสมนา้ แล๎วนาตัง้ ไฟ เค่ยี วให๎เปน็ แปูง เปียก พกั ให๎เย็น ๓. นาเศษใบไม๎แห๎งทเ่ี ก็บมาเขยําให๎ ละเอียด กะให๎พอประมาณเพียงพอตํอความ ตํอการให๎การทา กระถาง แตลํ ะชน้ิ ๔. นาเศษใบไมท๎ ี่ไดม๎ าลงผสมกับแปูงเปียก คนให๎เขา๎ กนั ๕. นาแปงู เปยี กที่ผสมเศษใบไมเ๎ สร็จ แล๎วมา หลอํ ลงในแบบพิมพก๑ ระถางท่เี ตรยี ม ไว๎อัดลงไปให๎ แนํน เพราะการอดั ไมเํ ต็มจะทา ให๎กระถางที่ออกมาขาด แหํวงได๎ ๖. นากระถางที่ไดร๎ ปู ไปตากแดดไว๎ ประมาณ ๑ วันจะแหง๎ สนทิ ๗. นากระถางท่ีแหง๎ แลว๎ มาประติดด๎วย กระดาษหนังสอื พมิ พ๑ ให๎เต็มกระถาง ท้งิ ไว๎ให๎ แห๎ง ประมาณ ๑-๒ ช่ัวโมง (ทิ้งไว๎คาบตํอไป) ๘. นากระถางมา ตกแตงํ ใหส๎ วยงามดว๎ ย วิธีการปะตดิ จากกระดาษเหลอื ใช๎ เพอ่ื ความ สวยงามและ ปูองกันนา้ ได๎อีกดว๎ ย ๙. ครแู ละนกั เรยี นรวํ มกนั นาเสนอ ผลงานและบรรยายสรุป ถอดบทเรยี นการ ปฏิบัติงานการการ สร๎างประประติมากรรม กระถางพอเพยี ง โดยครคู อยใหค๎ วามรูเ๎ สรมิ ในสวํ นที่นกั เรยี นไมํเขา๎ ใจหรอื สรุปไมตํ รงกับ ข้นั ท่ี 4 การประเมนิ ผลการเรยี นรู้ (E : Evaluation) 1. ประเมินผลจากการทาใบกิจกรรม 2. การสงั เกตการมสี วํ นรํวม 10. สือ่ /แหล่งเรียนรู้ - หนังสือเรยี น - ใบกจิ กรรม
29 11. การวัดผลและประเมินผล 1. วิธกี ารวดั และประเมินผล - แบบประเมนิ ผลการสงั เกตพฤติกรรมการทางานรวํ มกับผ๎ูอ่นื ของนักศึกษารายบุคคล - ใบงาน - แบบทดสอบกํอนเรยี น-หลังเรยี น 2. เครื่องมือวัดและประเมินผล - ประเมนิ ผลการสงั เกตพฤตกิ รรมการทางานรวํ มกบั ผู๎อน่ื ของนกั ศึกษารายบคุ คล - ผลจากการตรวจใบงาน - คะแนนแบบทดสอบกอํ นเรียนและหลงั เรยี น 3. เกณฑ์การวัดและการประเมินผล - แบบประเมนิ ผลการสังเกตพฤติกรรมการทางานรํวมกบั ผ๎ูอน่ื ของนกั ศึกษารายบคุ คล ระดับดี พอใช๎ และควรปรับปรุง - ใบงานคะแนนเตม็ 10 คะแนน - แบบทดสอบกํอนเรยี น-หลงั เรยี น เกณฑ์ผํานและไมผํ ําน กจิ กรรมเสนอแนะ .............................................................................................. ........................................................................................... ............................................................................................................................. ............................................................ ลงช่อื …………………………………………….ครูผ๎ูสอน (นายจิรศกั ดิ์ วงศเ์ สน) ครู กศน.ตาบล ขอ้ เสนอแนะของผู้บรหิ าร ............................................................................................................................. ............................................................ ............................................................................................................................. ............................................................ ลงชื่อ………………………………………………………ผ๎ูอนมุ ัติแผน (นางปัทมาภรณ์ ศรีเนตร) ผูอ๎ านวยการ กศน.อาเภอจตุรพักตรพมิ าน
30 บนั ทกึ หลังการจัดการเรียนรู้ การจัดทาหนว่ ยเรยี นรูบ้ รู ณาการหลักปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง ครง้ั ท่ี 2 วันท่ี 24 เดอื น พฤษภาคม พ.ศ.2565 ครผู ูส๎ อน นายจริ ศกั ด์ิ วงศเ์ สน ระดับ ประถมศึกษา เวลา 09.00-12.00 น. สาระทักษะการเรยี นร๎ู รหสั วชิ า ทช11003 จานวน 2 หนํวยกิต จานวนผ๎ูเรยี นท้ังหมด ............... คนเขา๎ เรยี น…………………คน ไมเํ ข๎าเรียน……………………….คน 1. ผลการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้การประเมนิ โดยใช๎ แบบทดสอบกํอนเรียน - หลังเรียน พบวาํ คะแนนการทดสอบหลงั เรียน มากกวาํ กอํ นเรยี นจานวน ........ คนคดิ เป็นร๎อยละ............ คะแนนการทดสอบหลังเรียน น๎อยกวาํ กํอนเรียนจานวน ......... คนคดิ เปน็ รอ๎ ยละ............ 2. เน้ือหา/สาระ .............................................................................................................................................................. .. ............................................................................................................................. ................................... ............................................................................................................................. ................................... 3. กิจกรรมการเรยี นการสอน ............................................................................................................................. ................................... ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. .......... 4. ปญั หา/อุปสรรค การเรยี นการสอน ............................................................................................................................. ................................... .................................................................................... ............................................................................ ............................................................................................................................. ................................... 5. แนวทางการแก้ปัญหา ............................................................................................................................. ................................... ........................................................................................... ..................................................................... ............................................................................................................................. ................................... ลงชือ่ ....................................................... (นายจิรศักด์ิ วงศ์เสน) ครูผส๎ู อน วันท่.ี ............../.................../............... ความคิดเห็น/ขอ้ เสนอแนะของผู้บริหาร ............................................................................................................................. ............................................................ ...................................................................................................................................... ................................................... ....................................................................................................................................................... ลงชอ่ื .................................................................. (นางปัทมาภรณ์ ศรเี นตร) ผ๎อู านวยการ กศน.อาเภอจตรุ พักตรพมิ าน วันที.่ ............../.................../...............
31 แผนการจดั การเรียนร้รู ายวิชาวิทยาศาสตร์ ครั้งที่ 3 การจดั ทาหน่วยเรยี นรู้บูรณาการหลกั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ภาคเรยี นที่ 1 ปีการศึกษา 2565 กศน.ตาบลอีง่อง ระดบั ประถมศึกษา ๑. สปั ดาหท์ ี่ 3 วันที่ 31 เดือน พฤษภาคม พ.ศ. 2565 เวลา ๐๙.๐๐-๑๒.๐๐น. ๒. วิชา วิทยาศาสตร์ รหสั วิชา พว1๑๐๐๑ จานวน 3 หนว่ ยกติ ๓. มาตรฐานท่ี ๒.๒ มคี วามรูค๎ วามเขา๎ ใจ และทักษะพน้ื ฐานเก่ียวกบั คณติ ศาสตร์ วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ๔. หน่วยการเรยี นรู/้ เรอ่ื ง โครงงานวทิ ยาศาสตร์ ๕. สาระสาคญั มคี วามร๎ู ความเขา๎ ใจ ทกั ษะ และเหน็ คณุ คํา เกยี่ วกบั กระบวนการทาง วทิ ยาศาสตรเ์ ทคโนโลยี สิ่งมชี ีวิต ระบบนเิ วศ ทรัพยากรธรรมชาตแิ ละ ส่งิ แวดล๎อมในท๎องถนิ่ สาร แรง พลงั งาน กระบวนการเปลย่ี นแปลง ของโลกและ ดาราศาสตร์ มีจิตวิทยาศาสตร์ และนา ความร๎ูไปใชป๎ ระโยชน์ ในการดาเนนิ ชีวติ ๖. เนอื้ หา กระบวนการทางวิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยี 1.1 กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี 1.2 โครงงานวิทยาศาสตร์ ๗. จดุ ประสงค์การเรยี นร/ู้ ผลการเรยี นร้ทู ค่ี าดหวัง (ดูจากผงั การออกข๎อสอบ) 1. ใช๎ความร๎แู ละกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรใ์ น การดารงชีวติ ไดอ๎ ยํางเหมาะสม 2. อธิบายธรรมชาติและความสาคญั ของ วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยีและอธบิ าย กระบวนการทาง วทิ ยาศาสตรไ์ ด๎ 3. นาความรู๎ และกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ไปใช๎แก๎ปัญหาตํางๆ ได๎ 4. จาแนกประเภทโครงงาน วางแผนการทา โครงงานและเสนอแนวทางการนาความร๎ู เก่ียวกบั โครงงานไปใช๎ได๎ ๘. การบูรณาการกบั หลักแนวคดิ ของเศรษฐกิจพอเพียง (2 เงอื่ นไข 3หลักการการเชื่อมโยงสู่ 4 มติ ิ) ความรู้ - นักศกึ ษามีความรูเ๎ ร่ือง ฮอร๑โมนไขํ ,สรรพคณุ จากไขํ - อุปกรณ๑ และวิธกี ารทาฮอร๑โมนไขํ คณุ ธรรม - มคี วามมงํุ มัน่ ในการทางาน - มคี วามสามคั คใี นหมูํคณะ - ใฝุหาความร๎ูเพื่อพฒั นาอยเํู สมอ พอประมาณ -ร๎ูจักอัตราสํวนของไขํไกํ ผงชูรส นมเปร้ียว ทาให๎ได๎ฮอร๑โมนไขํ บารุงพืชผัก ท่ีได๎มาตรฐาน และมคี ุณภาพ - ใช๎วสั ดทุ ่หี างาํ ยในทอ๎ งถิ่น ทาเปน็ ฮอร๑โมนพชื ได๎อยํางคมุ๎ คํา และเกดิ ประโยชนส๑ ูงสุด มเี หตผุ ล - ไดค๎ วามร๎เู กยี่ วกับการทาฮอร๑โมนไขํ
32 - ได๎ฮอรโ๑ มนไขํ ใช๎ฮอร๑โมนท่ีมีในท๎องตลาดที่เส่ียงตอํ สารเคมี มีภมู ิคุม้ กนั - ร๎จู ักการทาฮอร๑โมนไขํ เปน็ ผลติ ภัณฑ๑ทางชีวภาพ ซ่งึ ปลอดภัยไมํมสี ารพิษตกคา๎ ง - สามารถตอํ ยอดความร๎ู สร๎างผลติ ภัณฑ๑ สร๎างรายได๎ให๎ชุมชน วตั ถุ - รูจ๎ กั เลือกใช๎ผลติ ภัณฑใ๑ นท๎องถิน่ ได๎อยํางค๎มุ คําและเหมาะสม - มที ักษะในการใช๎อุปกรณว๑ ทิ ยาศาสตร๑ และการดูแลรักษา สังคม - มีทักษะการอยํรู วํ มกันในกลํุม และทางานรํวมกับผ๎ูอื่นได๎อยาํ งมคี วามสขุ - สามารถนาความร๎ูด๎านโครงงานวทิ ยาศาสตร๑ และการฮอรโ๑ มนไขํ ไปตํอยอดใหก๎ บั ชุมชน สิ่งแวดล้อม - รูจ๎ ักการนาวสั ดุทมี่ อี ยใูํ นท๎องถ่นิ มาพฒั นาเปน็ ฮอรโ์ มนไขํ บารงุ พชื ไดอ๎ ยาํ งคุ๎มคาํ และเกดิ ประโยชนส์ งู สุด - ฮอร๑โมนจากไขํ เปน็ ผลิตภณั ฑ๑ธรรมชาติ ไมเํ ปน็ พิษตํอสง่ิ แวดล๎อม วฒั นธรรม - ตํอยอดภมู ปิ ญั ญาท๎องถนิ่ ในการทาฮอร์โมนจากไขํ เพื่อเพิ่มมลู คํา และพฒั นา ผลติ ภัณฑ์ 9. กระบวนการจดั การเรยี นรแู้ ละกจิ กรรมการเรยี นรู้ ข้นั ที่ ๑ กาหนดสภาพปญั หาการเรียนรู้ (O : Orientation) ๑. ครูสอบถามนักศกึ ษาเรอ่ื งเกีย่ วกบั การเขยี นโครงงานวิทยาศาสตร์ ๒. ชี้แจงจุดประสงคก์ ารเรยี นรู๎ ๓. ครูให๎นกั ศึกษาทาแบบทดสอบกํอนเรียน เพื่อทดสอบดูวาํ นักศึกษามีพืน้ ฐานระดบั ใด ขั้นที่ ๒ แสวงหาขอ้ มูลและจัดการเรียนรู้ (N : New ways of learning) ๑. ครูอธิบายเก่ียวกับความหมาย ความสาคญั วธิ ีการดาเนินการ และการนาเสนอโครงงาน วทิ ยาศาสตร์ ๒. นักศึกษาแบํงกลํมุ ๓ กลุมํ ใหน๎ กั ศกึ ษา ค๎นคว๎าเรื่องโครงงานวทิ ยาศาสตร์ ๓. ตัวแทนแตลํ ะกลุมํ นาเสนอหน๎าชั้นเรยี น ในรูปแบบผังมโนทัศน(์ Mapping ข้ันที่ 3 การปฏบิ ตั แิ ละการนาไปใช้ (I : Implementation) ครูใหน๎ ักศึกษาระดมความคดิ ถอดบทเรียนโครงงานเร่อื งฮอร์โมนพืช จากไขํ ใหส๎ อดคลอ๎ งกับหลัก เศรษฐกิจพอเพยี งใสํกระดาษชารท์ ขั้นท่ี 4 การประเมินผลการเรียนรู้ (E : Evaluation) 1. ใหน๎ กั ศึกษาออกมาหน๎าช้ันเรียน เพื่อนาเสนอการถอดบทเรยี นโครงงานเรื่องฮอรโ์ มน จากไขํ ให๎ สอดคล๎องกบั หลกั เศรษฐกิจพอเพยี ง จากนนั้ ครูให๎คะแนน 2. แบบทดสอบกํอนเรยี น 10. สอื่ /แหล่งเรยี นรู้ 1. หนงั สือเรียนสาระความรพ๎ู ้ืนฐาน รายวิชาวทิ ยาศาสตรร์ ะดับประถมศึกษา รหัส พว11001 2. Power point เรือ่ ง ประเภทของโครงงานวิทยาศาสตร์ และขัน้ ตอนการทาโครงงานวิทยาศาสตร์
33 3. กระดาษชาร์ทถอดบทเรยี นโครงงานเรื่องฮอรโ์ มนพชื จากไขใํ หส๎ อดคลอ๎ งกบั หลักเศรษฐกิจพอเพียง 11. การวัดและประเมนิ ผล 1. วิธกี ารวัดและประเมินผล - แบบประเมินผลการสงั เกตพฤติกรรมการทางานรํวมกับผอ๎ู ืน่ ของนักศึกษารายบุคคล - ใบงาน - แบบทดสอบกํอนเรยี น-หลังเรยี น 2. เครื่องมือวัดและประเมนิ ผล. - ประเมินผลการสงั เกตพฤตกิ รรมการทางานรํวมกบั ผู๎อน่ื ของนักศึกษารายบคุ คล - ผลจากการตรวจใบงาน - คะแนนแบบทดสอบกอํ นเรียนและหลังเรียน 3.เกณฑก์ ารวัดและการประเมนิ ผล - แบบประเมินผลการสังเกตพฤติกรรมการทางานรํวมกับผู๎อนื่ ของนักศึกษารายบุคคล ระดบั ดี พอใช๎ และควรปรับปรุง - ใบงานคะแนนเตม็ 10 คะแนน - แบบทดสอบกํอนเรยี น-หลงั เรียน เกณฑ์ผาํ นและไมผํ ําน กจิ กรรมเสนอแนะ ............................................................................................................................. ............................................................ ............................................................................................................................. ............................................................ ลงช่ือ…………………………………………….ครผู ูส๎ อน (นายจิรศักด์ิ วงศ์เสน) ครู กศน.ตาบล ข้อเสนอแนะของผู้บรหิ าร ............................................................................................................................. ............................................................ ............................................................................................................................. ............................................................ ลงช่อื ………………………………………………………ผ๎ูอนุมตั แิ ผน (นางปัทมาภรณ์ ศรีเนตร) ผอู๎ านวยการ กศน.อาเภอจตุรพักตรพิมาน
34 บันทกึ หลังการจัดการเรียนรู้ การจัดทาหน่วยเรยี นร้บู รู ณาการหลกั ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียง คร้ังที่ 3 วนั /เดือน/ปวี ันท่ี 31 เดอื น พฤษภาคม พ.ศ. 2565 ครูผ๎ูสอน นายจิรศกั ด์ิ วงศเ์ สน ระดบั ประถมศึกษา เวลา 09.00-12.00 น. สาระความรู๎พื้นฐาน รายวิชา วทิ ยาศาสตร์ รหสั วชิ า พว11001 จานวนผเู๎ รยี นทง้ั หมด ............... คนเข๎าเรยี น…………………คน ไมํเขา๎ เรยี น……………………….คน 1. ผลการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้การประเมนิ โดยใช๎ แบบทดสอบกํอนเรยี น - หลงั เรียน พบวํา คะแนนการทดสอบหลงั เรียน มากกวาํ กอํ นเรียนจานวน ........ คนคดิ เป็นร๎อยละ............ คะแนนการทดสอบหลังเรยี น นอ๎ ยกวํากํอนเรยี นจานวน ......... คนคิดเป็นรอ๎ ยละ............ 2. เน้ือหา/สาระ/รายวิชา ................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ...................................... 3. กิจกรรมการเรยี นการสอน ............................................................................................................................. ...................................... ................................................................................................................................................................... 4. ปัญหา/อปุ สรรคการเรียนการสอน ............................................................................................................................. ...................................... ............................................................................................................................. ...................................... 5. แนวทางการแก้ปัญหา ................................................................................................................................................................ ... ............................................................................................................................. ...................................... ลงชอื่ .........................................................(ผบู๎ ันทึก) (นายจิรศักด์ิ วงศ์เสน) ครู กศน.ตาบล ความเหน็ /ข๎อเสนอของผูบ๎ ริหาร .................................................................................. ................................................................................. ............................................................................................................................. ...................................... ลงชอื่ .................................................. (นางปัทมาภรณ์ ศรเี นตร) ผูอ๎ านวยการ กศน.อาเภอจตุรพกั ตรพมิ าน
35 แบบทดสอบกอ่ นเรยี น เรอ่ี ง การเขียนโครงงานวทิ ยาศาสตร์ ข้อท่ี 1) ข้อใดใหค้ วามหมายของคาว่าโครงงานไดถ้ ูกตอ้ ง ก. วธิ ีการที่ศึกษาอยํางมรี ะบบตามขน้ั ตอน ข. กระบวนการใช๎งบประมาณ ค. วิธกี ารดาเนนิ งานแบบไมํไดว๎ างแบบแผน ง.กระบวนการใช๎ทรัพยากรท๎องถ่ิน ข้อท่ี 2) การวางแผนเพื่อเขียนโครงงานควรเรม่ิ จากขอ้ ใด ก. ช่ือหวั ขอ๎ โครงงาน ข. ช่ือครทู ปี่ รึกษาโครงงาน ค. ท่ีมาและความสาคญั ของโครงงาน ง. วัตถุประสงค์ของการศึกษาคน๎ คว๎า ข๎อท่ี 3) ความสาคัญของโครงงานขอ๎ ใดไมํถูกต๎อง ก. การปฏบิ ตั งิ านชดั เจน ข. สรา๎ งอคติตอํ บุคคลภายในหนวํ ยงาน ค. การปฏิบัติเป็นไปอยาํ งมีประสิทธิภาพ ง. ลดความขัดแย๎งและความซา้ ซ๎อนในหนา๎ ที่ ข๎อท่ี 4) ขอ๎ ใดกลาํ วถึงสํวนประกอบของโครงไดถ๎ ูกตอ๎ ง ก. สํวนนา สวํ นขยาย สรุป ข.สวํ นตน๎ สวํ นกลาง สํวนท๎าย ค. สํวนนา สํวนเนือ้ ความ สวํ นขาย ง. สวํ นเนื้อความ สํวนขยาย สวํ นท๎าย ข๎อที่ 5) ขั้นตอนการทาโครงงานขอ๎ ใดเรียงลาดับถูกต๎อง ก. การคิดและการเลือกหัวเร่อื ง การวางแผน การดาเนนิ งาน การเขียนรายงาน การนาเสนอ ข. การคิดและการเลอื กหัวเรอ่ื ง การวางแผน การเขยี นรายงาน การดาเนินงาน การนาเสนอ ค. การวางแผน การคิดและการเลอื กหัวเร่ือง การดาเนินงาน การเขียนรายงาน การนาเสนอ ง. การวางแผน การคิดและการเลือกหวั เร่ือง การเขยี นรายงาน การดาเนินงาน การนาเสนอ ขอ๎ ที่ 6) เม่อื เลือกหัวเรือ่ งท่ีเหมาะสมได๎แลว๎ ข้ันตอนตํอไปควรทาตามข๎อใด ก. การค๎นคว๎าและรวบรวมข๎อมลู ข. การเรยี บเรียงการทารายงาน ค. กาหนดจดุ มุงํ หมายและขอบเขตของเรื่อง ง. เขียนที่มาและความสาคัญของโครงงาน
36 ขอ๎ ท่ี 7) การเสนอผลงานทาได๎หลายรูปแบบขึ้นอยํูกับความเหมาะสมตํอประเภทโครงงานข๎อใดไมํถูกต๎อง ก. การแสดงบทบาทสมมตุ ิ ข. การใช๎งบประมาณจา๎ งหนวํ ยงานตาํ งๆทา ค. การจัดนทิ รรศการเกยี่ วกับผลงาน ง. การจัดแสดงและการอธิบายดว๎ ยคาพดู ขอ๎ ท่ี 8) การวางแผนการทาโครงงานข๎อใดไมํถกู ต๎อง ก. การวางแผนเพ่อื ให๎การดาเนนิ การเปน็ ไปอยาํ งรอบคอบ ข. การวางแผนจะสามารถรู๎แหลงํ ค๎นคว๎าและรู๎งบประมาณการใชจ๎ าํ ย ค. การวางแผนสามารถทราบถึงจดุ ประสงคเ์ รื่องทีท่ าและทราบถึงขอบเขตได๎ ง. การวางแผนจะทาโครงงานเสรจ็ เมอ่ื ไหรํกไ็ ด๎ไมํต๎องนาเสนอใหใ๎ ครทราบงานกอํ น ขอ๎ ที่ 9) การเขยี นรายงานโครงงานควรใชภ๎ าษาเขียนแบบใด ก. การเขียนโครงงานควรใชภ๎ าษาท่ีอาํ นเขา๎ ใจงํายและตรงประเด็น ข. การเขียนโครงงานควรใชภ๎ าษาแบบเปน็ กันเองตามความเข๎าใจของผจู๎ ัดทา ค. การเขยี นโครงงานควรใชท๎ ้ังวจั นภาษาและอวจั นภาษาเพื่อเปน็ ทางเลือกให๎ผู๎อาํ นติดตาม ง. การเขียนโครงงานควรใช๎ท้งั รูปภาพและวัสดจุ รงิ มาเป็นสวํ นประกอบของการเขยี นรายงาน ข๎อที่ 10) ข๎อใดกลําวไมํถูกต๎องเกย่ี วกับการเรียบเรยี งรายงาน ก. เรียบเรยี งขอ๎ มูลตามความสนใจอะไรมากํอนก็ไดท๎ าตามสง่ิ ท่ีวางไว๎ ข. สาคัญทส่ี ุดคือต๎องคดั ลอกผลงานผอู๎ ืน่ มาเรยี งเปน็ ผลงานของตวั เองต๎องขอบคุณเขาดว๎ ย ค. เมอื่ จาเปน็ ต๎องคัดลอกข๎อความหรือนาข๎อมลู ของผ๎ูอื่นมาอา๎ งองิ ต๎องบอกใหช๎ ดั เจนนามาจากไหน ง. การเรียบเรยี งเขยี นรายงานควรใช๎สานวนภาษาของตนเองให๎มากท่สี ุดและควรมผี ูต๎ รวจสอบการใชภ๎ าษา เฉลย 1.ก 2.ก 3.ข 4.ข 5.ก 6.ง 7.ข 8.ง 9.ก 10.ก
37 ใบความรู้ เรอ่ี ง การเขียนโครงงานวิทยาศาสตร์ 1. ประเภทโครงงานวทิ ยาศาสตร์ 1. โครงงานวทิ ยาศาสตรป์ ระเภททดลอง โครงงานทมี่ ีลักษณะการออกแบบการทดลอง เพอ่ื ศกึ ษาผลของตวั แปรตัวหนง่ึ โดย ควบคุมตวั แปรอื่น ๆ ตัวอยํางโครงงาน เชนํ การทายากันยุงจากพชื ในท๎องถ่นิ การใช๎มลู วิธีปอู งกนั วัวกินใบพชื การบงั คับผลแตงโมเป็นรูปสีเ่ หล่ยี ม 2. โครงงานวทิ ยาศาสตร์ประเภทการสารวจ โครงงานประเภทน้ีไมํกาหนดตัวแปรในการเก็บข๎อมลู อาจเปน็ การสารวจในภาคสนาม หรอื ในธรรมชาตหิ รอื นามาศึกษาในหอ๎ งปฏบิ ัตกิ าร ตวั อยํางโครงงานประเภทนเ้ี ชนํ การสารวจพืช พนั ธุ์ไม๎ในโรงเรียนในท๎องถน่ิ การสารวจพฤติกรรมด๎านตําง ๆ ของสตั ว์ 3. โครงงานวิทยาศาสตร์ประเภทส่งิ ประดิษฐ์ โครงงานประเภทน้ีเปน็ การประดษิ ฐส์ ิ่งใดสิ่งหน่งึ เครอื่ งมือเคร่อื งใช๎ หรอื อุปกรณ์เพ่ือ ใชส๎ อยตาํ ง ๆ ส่ิงประดิษฐ์อาจคิดขน้ึ มาใหมํ ปรบั ปรงุ หรอื สร๎างแบบจาลอง โดยประยุกต์หลกั การ ทางวิทยาศาสตร์ ใช๎กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ มีการกาหนดตวั แปรท่ีจะศึกษา และทดสอบ ประสทิ ธภิ าพของชน้ิ งานด๎วย 4. โครงงานวิทยาศาสตร์ประเภททฤษฎี โครงงานประเภททฤษฎี เป็นโครงงานที่ผ๎ทู าโครงงานจะต๎องศึกษารวบรวมขอ๎ มลู ความร๎ู หลกั การ ข๎อเทจ็ จรงิ และแนวความคิดตําง ๆ อยํางลึกซ้ึง แล๎วเสนอเป็นหลกั การ แนวความคดิ ใหมํกฎ หรอื ทฤษฎีใหมํ 2. การเลือกหวั ขอ๎ โครงงาน หัวข้อโครงงานมกั จะได้จากข้อมูลดังต่อไปน้ี 1. สอื่ ส่ิงพมิ พ์เชนํ หนงั สือเรยี น หนงั สอื พิมพ์วารสาร เอกสารเผยแพรํ แผํนพบั 2. สือ่ วิทยโุ ทรทศั น์ 3. การทศั นศึกษา เชนํ การไปศึกษาดูงาน 4. งานอดเิ รก 5. ศึกษาจากโครงงานวทิ ยาศาสตรข์ องผู๎อน่ื ที่ได๎ทาไวแ๎ ลว๎ 6. การปรกึ ษาผูม๎ ีความร๎ู 7. การหาขอ๎ มลู จากอินเทอรเ์ น็ต
38 ลาดับขน้ั ตอนในการทาโครงงานวิทยาศาสตร์ สารวจและตัดสินใจเลือกเรื่องท่จี ะทาโครงงาน ศึกษาข๎อมลู ทเี่ กยี่ วข๎องกับเรื่องท่ีจะทาเอกสารและแหลงํ ขอ๎ มลู ตาํ ง ๆ วางแผนทดลอง การใชว๎ ัสดอุ ุปกรณแ์ ละระยะเวลาในการดาเนนิ งาน เขียนเคา๎ โครงของโครงงานวทิ ยาศาสตร์ ลงมอื ศึกษาทดลอง วิเคราะห์ขอ๎ มลู และสรปุ ผล เขยี นรายงานโครงงานวทิ ยาศาสตร์ เสนอผลงานของโครงงานวทิ ยาศาสตร์ 3. การเขียนโครงงาน การเขียนรายงานโครงงาน ควรใช๎ภาษาที่อาํ นแล๎วเขา๎ ใจงําย กะทดั รดั ตรงไปตรงมา และการ เขียนรายงานโครงงานไมํควรยาวเกินไป เพราะทาใหไ๎ มนํ ําสนใจเทาํ ทค่ี วร หัวเร่ืองในการเขยี นรายงานโครงงานวิทยาศาสตร์มดี ังน้ี 1. ช่ือโครงงาน 2. ช่อื ผท๎ู าโครงงาน 3. ชื่อทปี่ รึกษา 4. บทคัดยํอ 5. ทมี่ าและความสาคัญของโครงงาน 6. จุดมุํงหมายของการศึกษาคน๎ ควา๎ 7. สมมตฐิ านของการศึกษาค๎นคว๎า (ถ๎ามี) 8. วิธดี าเนนิ การ 8.1 วสั ดุอุปกรณ์ 8.2 วธิ ีดาเนนิ การทดลอง 9. ผลการศกึ ษาคน๎ ควา๎ 10. สรปุ และขอ๎ เสนอแนะ 11. คาขอบคุณหนวํ ยงาน หรอื บุคลากรทมี่ ีสํวนชํวย 12. เอกอ๎างอิง 4. การนาเสนอโครงงาน
39 หลงั จากทาโครงงานวิทยาศาสตรเ์ สรจ็ แล๎วตอ๎ งนาเสนอโครงงาน การแสดงผลงานโครงงาน นน้ั อาจทาได๎หลายรปู แบบ เชํน การแสดงในรูปนิทรรศการ หรือในรูปของการรายงานปากเปลาํ แตไํ มวํ ําจะแสดงผลงานรปู แบบใด จะต๎องครอบคลุมประเด็นดังตํอไปน้ี 1. ชอ่ื โครงงาน ชอ่ื ผ๎ทู าโครงงาน ช่ือท่ปี รกึ ษา 2. คาอธบิ ายถึงเหตจุ งู ใจในการทาโครงงาน และความสาคัญของโครงงาน 3. วธิ ีดาเนินการ โดยเลือกเฉพาะขน้ั ตอนทีเ่ ดํนและสาคญั 4. การสาธติ หรอื แสดงผลทีไ่ ด๎จากการทดลอง 5. ผลการสงั เกต และข๎อมูลตําง ๆ ท่ีได๎จากการทาโครงงาน นอกจากนี้แล๎วยงั ต๎องคานงึ ถงึ ส่งิ ตําง ๆ ตํอไปนี้ 1. ความแขง็ แรงและความปลอดภัยของนิทรรศการ 2. ความเหมาะสมกบั พ้นื ที่จัดแสดง 3. คาอธบิ ายควรเน๎นหัวข๎อท่ีสาคญั ใชข๎ อ๎ ความกะทัดรดั ชัดเจน และเข๎าใจงําย 4. ใชต๎ าราง และรูปภาพประกอบ 5. สงิ่ ที่จัดแสดงจะตอ๎ งถูกต๎อง ไมํมีคาสะกดผิด หรืออธิบายหลกั การผิด 6. ในกรณที เี่ ปน็ โครงงานประดิษฐ์สิง่ ประดิษฐจ์ ะต๎องสามารถทางานไดอ๎ ยํางสมบรู ณ์ ในกรณีทีจ่ ัดแสดงผลงานดว๎ ยปากเปลํา จะต๎องคานงึ ถงึ เร่ืองตอํ ไปนี้ 1. ตอ๎ งเขา๎ ใจเร่ืองท่ีอธบิ ายอยํางดี 2. ภาษาทีใ่ ช๎ต๎องกะทัดรัด เข๎าใจงาํ ย ตรงไปตรงมา 3. ควรรายงานแบบเปน็ ธรรมชาตไิ มํควรรายงานแบบทํองจา 4. ตอบคา ถามอยํางตรงไปตรงมา 5. ควรรายงานให๎เสรจ็ สน้ิ ภายในเวลาท่ีกาหนด 6. ควรมสี อ่ื อุปกรณ์ ประกอบการรายงานด๎วยเพื่อจะทาให๎การรายงานสมบูรณ์มากย่ิงขึ้น
40 ใบงาน โครงงานวทิ ยาศาสตร์ คาส่งั ให๎ผเู๎ รียนแบงํ กลุํม ๆ ละ 3 คน เขียนเค๎าโครงงานท่ีตนเองต๎องการจะทากลํุมละ 1 โครงงาน 1. ชื่อโครงงาน............................................................................................................................................................... 2. ชือ่ ผูท๎ าโครงงาน 1............................................................................................................................ ........................................................ 2 .................................................................................................................................... ................................................ 3. ชอ่ื ทป่ี รึกษา................................................................................................................................................................. 4. ที่มาและความสาคัญของโครงงาน ............................................................................................................................. ............................................................ ............................................................................................................................. ............................................................ ..................................................................................................................... ......................................................... .......... 5. จดุ มํงุ หมายของการศึกษาคน๎ ควา๎ ............................................................................................................................. ............................................................ ................................................................................................................................ ........................................................ 6. สมมติฐานการค๎นคว๎า ......................................................................................... ................................................................................................ ............................................................................................................................. ............................................................ ...................................................................................................................... ................................................................... 7. วธิ กี ารดาเนินการ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………........ ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………........... …................................................................................................ ...................................................................................... 7.1 วสั ดุ อุปกรณ์ และสารเคมี ............................................................................................................................. ............................................................ ..................................................................................................................... ...................................................................
41 แผนการจัดการเรียนรู้รายวิชาวิทยาศาสตร์ ครงั้ ที่ 4 การจัดทาหน่วยเรียนร้บู ูรณาการหลกั ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียง ภาคเรยี นท่ี 1 ปกี ารศกึ ษา 2565 กศน.ตาบลอีงอ่ ง ระดับประถมศึกษา ๑. สัปดาหท์ ่ี 4 วนั ท่ี 7 เดอื น มถิ นุ ายน พ.ศ. 2565 เวลา ๐๙.๐๐-๑๒.๐๐น. ๒. วชิ า วิทยาศาสตร์ รหัสวชิ า พว1๑๐๐๑ จานวน 3 หน่วยกิต ๓. มาตรฐานที่ ๒.๒ มคี วามรูค๎ วามเข๎าใจ และทักษะพนื้ ฐานเกย่ี วกบั คณิตศาสตร์ วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ๔. หน่วยการเรียนร/ู้ เร่ืองการแยกสาร ๕. สาระสาคญั ความสาคัญ วธิ ีการและกระบวนการแยกสารตํอการนาไปใชป๎ ระโยชน์มีการใช๎วธิ ีการแยกสารที่เหมาะสม ๖. เน้ือหา -การแยกสาร -การเข๎าสูรํ าํ งกายของสาร -ประเภทของสารที่พบในชีวติ ประจาวัน -สารและผลิตภัณฑ์ของสารท่ีใชใ๎ นชวี ิตประจาวัน -ผลกระทบทเี่ กิดจากสารตํอชีวิตและส่ิงแวดลอ๎ ม ๗. จดุ ประสงค์การเรียนร/ู้ ผลการเรยี นรู้ทค่ี าดหวัง (ดจู ากผงั การออกข๎อสอบ) ๑. อธบิ ายความสาคญั วธิ กี ารและกระบวนการแยกสารได๎ ๒. สามารถเลือกใชว๎ ธิ ีการแยกสารที่เหมาะสมและนาไปใช๎ประโยชน์ในชีวติ ประจาวนั ได๎ ๘. การบรู ณาการกับหลกั แนวคิดของเศรษฐกิจพอเพยี ง (2 เงอ่ื นไข 3หลักการ การเช่ือมโยงสู่ 4 มิติ) ความรู้ 1. ความร๎ใู นเร่ืองของการแยกสาร 2. มคี วามรแ๎ู ละมีทักษะในการใชส๎ อ่ื และอุปกรณ์ คณุ ธรรม 1. ความสามคั คี 2. ชวํ ยเหลอื แบํงปัน ความเอือ้ เฟื้อเผื่อแผํ 3. มวี นิ ยั ตรงตอํ เวลาความรับผดิ ชอบ 4. ใฝุร๎ใู ฝเุ รยี น มีจิตอาสา พอประมาณ 1. นกั ศึกษารจ๎ู ักบรหิ ารเวลาในการทากิจกรรมในการเรียนการสอน 2. นกั ศกึ ษาทากิจกรรมได๎เต็มศักยภาพตนเอง มเี หตุผล 1. มีความร๎ูความเข๎าใจในการเลอื กใชเ๎ ทคโนโลยใี นการสืบค๎นข๎อมลู และนาเสนอ 2. นาความรู๎ท่ีไดไ๎ ปปรับใชใ๎ นชวี ติ ประจาวัน
42 มีภมู คิ ุ้มกนั 1. มีการวางแผนในการสบื ค๎นขอ๎ มลู จากแหลงํ เรยี นร๎ูตาํ งๆ 2. มีการวางแผนการทางานอยาํ งรอบคอบด๎วยความสามคั คีจนทาให๎งานสาเร็จ วตั ถุ -การใช๎สอ่ื ตําง ๆ ในการศกึ ษาคน๎ คว๎าและแกป๎ ัญหา เพ่ิมเติม สังคม 1. นักศึกษามีความรูเ๎ กย่ี วกับการวางแผนการทางาน 2. นักศกึ ษาสามารถทางานรวํ มกบั ผ๎อู ่ืนทักษะปฏสิ ัมพันธ์ กับบุคคลอ่นื ทักษะการฟังที่ดี สิ่งแวดล้อม - นักศกึ ษาเลือกแนวทางในการใช๎แยกสาร เพ่ือลดผลการทบตํอทรัพยากรธรรมชาติ ในชวี ิตประจาวนั วัฒนธรรม - มีความรับผิดชอบตอํ ตนเองและผอ๎ู น่ื มีความเอ้อื เฟ้ือแบํงปันความรู๎ และชวํ ยเหลือ ผ๎อู นื่ ด๎วยความเตม็ ใจในท๎องถ่ิน 9. กระบวนการจดั การเรยี นรูแ้ ละกจิ กรรมการเรยี นรู้ ข้ันที่ ๑ กาหนดสภาพปญั หาการเรยี นรู้ (O : Orientation) ๑. ครูสอบถามนกั ศกึ ษาเรอ่ื งการแยกสาร ๒. ชีแ้ จงจุดประสงค์การเรียนร๎ู ขน้ั ที่ ๒ แสวงหาข้อมูลและจัดการเรียนรู้ (N : New ways of learning) 1. ครอู ธิบายวิธกี ารแยกสารตํางๆ 2. นักศกึ ษาอภปิ รายเลือกใช๎วิธกี ารแยกสารท่เี หมาะสม และนามาใช๎ ข้นั ท่ี ๓ การปฏบิ ตั ิและการนาไปใช้ (I : Implementation) ๑. นกั ศึกษาทาแบบทดสอบกํอน - หลงั เรียน ๒. ครูสรุปองค์ความรู๎ในเนื้อหา ๓. นักศึกษาซักถาม และแลกเปลี่ยนความร๎ู ขั้นที่ ๔ การประเมนิ ผลการเรียนรู้ (E : Evaluation) 1. ประเมนิ จากใบงาน 2. สังเกตจากการนาเสนอหน๎าช้นั เรยี น 10. สอื่ /แหล่งเรยี นรู้ 1. หนังสอื แบบเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ 2. ใบงาน 1 เร่ือง การแยกสาร 3. แบบทดสอบ 4. ใบความร๎ูเร่อื ง การแยกสาร 5. อนิ เตอรเ์ น็ต
43 6. หอ๎ งสมุด 11. การวดั และประเมนิ ผล 1. วธิ กี ารวัดและประเมินผล - แบบประเมนิ ผลการสงั เกตพฤติกรรมการทางานรวํ มกับผู๎อื่นของนกั ศึกษารายบคุ คล - ใบงาน - แบบทดสอบกํอนเรยี น-หลงั เรียน 2. เครอื่ งมอื วดั และประเมินผล. - ประเมินผลการสังเกตพฤตกิ รรมการทางานรํวมกับผ๎อู น่ื ของนกั ศกึ ษารายบคุ คล - ผลจากการตรวจใบงาน - คะแนนแบบทดสอบกอํ นเรียนและหลังเรียน 3. เกณฑ์การวัดและการประเมนิ ผล - แบบประเมินผลการสงั เกตพฤติกรรมการทางานรวํ มกับผู๎อืน่ ของนักศึกษารายบคุ คล ระดบั ดี พอใช๎ และควรปรบั ปรุง - ใบงานคะแนนเต็ม 10 คะแนน - แบบทดสอบกํอนเรียน-หลังเรียน เกณฑผ์ าํ นและไมผํ ําน กิจกรรมเสนอแนะ ............................................................................................................................ ............................................................. ................................................................................................................................................................... ลงชอ่ื …………………………………………….ครผู ู๎สอน (นายจริ ศักดิ์ วงศเ์ สน) ครู กศน.ตาบล ข้อเสนอแนะของผู้บริหาร …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………........ ลงชือ่ ………………………………………………………ผ๎ูอนมุ ตั แิ ผน (นางปทั มาภรณ์ ศรเี นตร) ผูอ๎ านวยการ กศน.อาเภอจตุรพกั ตรพิมาน
44 บนั ทกึ หลังการจดั การเรียนรู้ การจัดทาหน่วยเรยี นร้บู ูรณาการหลกั ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียง คร้ังท่ี 4 วนั ท่ี 7 เดอื น มิถนุ ายน พ.ศ. 2565 ครูผู๎สอน นายจิรศักด์ิ วงศ์เสน ระดับ ประถมศึกษา เวลา ๐๙.๐๐-๑๒.๐๐ น. สาระความร๎ูพนื้ ฐาน รายวชิ า วทิ ยาศาสตร์ รหสั วิชา พว1๑๐๐๑ จานวนผู๎เรียนทง้ั หมด ............... คนเข๎าเรยี น…………………คน ไมเํ ข๎าเรียน……………………….คน ๑. ผลการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้การประเมินโดยใช๎ แบบทดสอบกํอนเรียน - หลงั เรยี น พบวาํ คะแนนการทดสอบหลังเรียน มากกวาํ กอํ นเรียนจานวน ........ คนคดิ เป็นร๎อยละ............ คะแนนการทดสอบหลงั เรียน นอ๎ ยกวํากํอนเรียนจานวน ......... คนคดิ เป็นร๎อยละ............ ๒. เนอ้ื หา/สาระ ................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ................................... ............................................................................................................................. ................................... ๓. กิจกรรมการเรียนการสอน ............................................................................................................................. ................................... ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. .......... ๔. ปญั หา/อุปสรรค การเรียนการสอน ............................................................................................................................. ................................... ................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ................................... ๕. แนวทางการแก้ปญั หา ............................................................................................................................. ................................... ................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ................................... ลงชอื่ ....................................................... (นายจริ ศกั ด์ิ วงศเ์ สน) ครผู ู๎สอน วนั ที่.............../.................../............... ความคดิ เหน็ /ขอ้ เสนอแนะของผู้บริหาร ............................................................................................................................. ............................................................ ................................................................................................................................. ........................................................ ....................................................................................................................................................... ลงชื่อ.................................................................. (นางปัทมาภรณ์ ศรีเนตร) ผู๎อานวยการ กศน.อาเภอจตุรพักตรพมิ าน วันท.ี่ ............../.................../...............
45 ใบความรู้ เรอื่ ง การแยกสาร หลกั และวิธีการแยกสาร 1. การแยกสารเนอื้ ผสม 1.1 การกรองคือการทาให๎ของแข็งและของเหลวแยกออกจากกันโดยใช๎วัสดุตํางๆนอกเหนือ จากกระดาษ กรองก็ได๎ เชํน ผ๎าขาวบางหรือผ๎าชนิดตํางๆ เป็นต๎นสํวนวิธีกรองนั้นก็นาท่ีมีสิ่งอ่ืนๆเจือปนมาเทลงที่กระดาษกรองที่ พับ เป็นรูปกรวยและใสํกรวยแก๎วไว๎แล๎วถ๎าของแข็งที่เจือปนอยํูในของเหลวน้ันมี ขนาดใหญํกวํา10 ยกกาลังลบ4 ของแข็งนั้นก็ไมํสามารถผํานกระดาษกรองไปได๎แตํถ๎า เล็กกวําก็จะสามารถผํานได๎ สาหรับกรณีท่ีของแข็งเล็กกวํา10 ยกกาลงั ลบ4 น้นั เรากส็ ามารถใชก๎ ระดาษเซลโลเฟน ท่ีมีขนาด10 ยกกาลังลบ7 กไ็ ด๎ 1.2 การระเหดิ (sublimation หรอื primary drying) คือ ปรากฏการณท์ ่สี สารเปล่ียนสถานะจาก ของแขง็ กลายเป็น ไอหรอื ก๏าซ ที่อุณหภมู ิตา่ กวาํ จดุ หลอมเหลว โดยไมผํ ํานสถานะ ของเหลว ปจั จยั ท่ีมีผลต่อการระเหิด 1.อณุ หภมู ิ อตั ราการระเหิดเป็นสัดสวํ นโดยตรงกบั อณุ หภูมิ 2.ชนิดของของแข็ง ของแข็งทีม่ แี รงยดึ เหน่ียวระหวํางอนภุ าคนอ๎ ยจะระเหิดไดง๎ ําย 3.ความดันของบรรยากาศ ถ๎าความดันของบรรยากาศสงู ของแข็งจะระเหดิ ได๎ยาก 4.พ้นื ที่ผวิ ของของแขง็ ถ๎ามีพื้นทีม่ ากจะระเหิดได๎งําย 5.อากาศเหนือของแขง็ อากาศเหนือของแขง็ จะตอ๎ งมีการถํายเทเสมอ เพือ่ ปูองกันการอิ่มตัวของไอ สารที่ระเหิดได้ไดแ๎ กํ แนฟทาลีน (ลกู เหมน็ )คารบ์ อนไดออกไซด์ (นา้ แขง็ แหง๎ )การบรู พิมเสน 1.3 การใชแ้ ม่เหลก็ ดดู การใช๎อานาจแมํเหล็ก เป็นวิธีที่ใช๎แยกองค์ประกอบของสารเนื้อผสมซ่ึงองค์ประกอบหนึ่งมีสมบัติในการ ถูก แมํเหล็กดูดได๎ เชํน ของผสมระหวํางผงเหล็กกับผงกามะถัน โดยใช๎แมํเหล็กถูไปมาบนแผํนกระดาษท่ีวางทับของผสม ท้ังสอง แมํเหล็กจะดดู ผงเหลก็ แยกออกมา 1.4 การใชม้ อื หยิบออกหรือเข่ยี ออก ใช๎แยกของผสมเนื้อผสม ท่ีของผสมมีขนาดโตพอที่จะหยิบออกหรือเข่ียออกได๎ การแพรํคือการเคลื่อนท่ีของ โมเลกุลของสารชนิดหน่ึงจากที่หนึ่งไปยังอีกท่ี หน่ึง ทั้งน้ีการแพรํเกิดได๎หลายรูปแบบแล๎วแตํแรงขับเคลื่อนท่ีมีใน ขณะน้นั การแพรขํ องสารแบบธรรมดา (simple diffusion) คือการเคลอื่ นทข่ี องโมเลกุลสาร จากท่ีท่ีความเข๎มข๎นมาก ไปความเขม๎ ข๎นนอ๎ ย ตวั อยาํ งท่ีเห็นงํายๆก็ คือ เวลาเราหยดหมึกลงในน้าแล๎วโมเลกุลหมึกคํอยๆกระจายไปในโมเลกุล นา้ 1.5 การตกตะกอน การตกตะกอน ใชแ๎ ยกของผสมเน้ือผสมท่ีเป็นของแข็งแขวนลอยอยูํในของเหลว ทาได๎โดยนาของผสมน้ันวาง ทิ้งไวใ๎ หส๎ ารแขวนลอยคํอยๆ ตกตะกอนนอนกน๎ ในกรณที ตี่ ะกอนเบามากถ๎าต๎องการให๎ตกตะกอนเร็วขึ้นอาจทาได๎โดย
46 ใช๎สารตัวกลางให๎อนุภาคของตะกอนมาเกาะ เมื่อมีมวลมากข้ึน น้าหนักจะมากขึ้นจะตกตะกอนได๎เร็วข้ึน เชํน ใช๎ สารสม๎ แกวํง อนุภาคของสารส๎มจะทาหนา๎ ที่เป็นตัวกลางให๎โมเลกุลของสารทีต่ ๎องการตกตะกอนมาเกาะ ตะกอนจะตก เร็วขึน้ 1.6 การใชก้ รวยแยก ใช๎แยกสารเนื้อผสม ท่ีเป็นของเหลวผสมอยูํกับของเหลวแตํไมํรวมเป็นเนื้อเดียวกัน โดยของเหลวท่ีมี ความ หนาแนํนนอ๎ ยกวําจะอยํขู ๎างบน ของเหลวท่ีมีความหนาแนํนมากกวํา จะอยูํข๎างลําง ตัวอยําง การแยกน้ามันที่ผสมปน อยํูกับน้า ทาได๎โดยนาของผสมมาใสํลงในกรวยแยก น้ามันมีความหนาแนํนน๎อยกวําน้าจะลอยอยํูเหนือน้า จากนั้น คํอย ๆเปดิ กอ๏ กของกรวยแยกไข แยกนา้ ออกมากอํ น และแยกน้ามันออกมาทหี ลัง 1.7 การสกัดด้วยตัวทาละลาย การสกัดดว๎ ยตวั ทาละลาย เป็นวธิ ีทาสารใหบ๎ ริสุทธ์ิ หรอื เป็นวิธีแยกสารออกจากกันวิธีหนึ่งการสกัดด๎วยตัวทา ละลาย อาศัยสมบัตขิ องการละลายของสารแตลํ ะชนดิ สารทตี่ ๎องการสกดั ตอ๎ งละลายอยใํู นตัว ทาละลายซอลซ์เลต เป็น เคร่ืองมือท่ีใช๎ตัวทาละลายปริมาณน๎อย การสกัดจะเป็นลักษณะการใช๎ตัวทาละลายหมุนเวียนผํานสารที่ต๎องการสกัด หลายๆ คร้ัง ตอํ เนอ่ื งกันไปจนกระทั่งสกดั สาร ออกมาไดเ๎ พียงพอ หลกั การสกัดสาร เติมตัวทาละลายที่เหมาะสมลงในการท่ีเราต๎องการสกัดจากนั้นก็เขยําแรงๆหรือนาไปต๎ม เพื่อให๎สารที่เรา ต๎องการจะสกัดละลายในตัวทาละลายที่เราเลือกไว๎ สารท่ีเราสกัดได๎น้ันยังเป็นสารละลายอยูํ ถ๎าเราต๎องการทาให๎ บริสุทธ์ิเราควรจะนาสารท่ีได๎ไปแยกตัวทาละลายออกมากํอน อาจจะนาไประเหย หรือนาไปกล่ันตํอไป ตัวอยํางเชํน การสกัดนา้ ขิงจากขงิ การสกัดคลอโรฟีลลข์ องใบไม๎ 2. การแยกสารเน้ือเดยี ว 2.1 การระเหยแห้ง การแยกสารด๎วยวิธีน้ีเหมาะสาหรับใช๎แยกสารผสมท่ีเป็นของเหลวและมีของแข็ง ละลายในของเหล วน้ี จน ทาให๎สารผสมมีลักษณะเป็นของเหลวใส ซ่ึงเราเรียกสารผสมน้ีวํา สารละลาย เชํน น้าทะเล น้าเชื่อมน้าเกลือ เป็นต๎น การแยกสารโดยวิธีการระเหยแห๎งนิยมใช๎ในการแยกเกลือออกจากน้าทะเล มีการนาเกลือเพ่ือแยกน้าทะเลให๎ได๎เกลือ สมุทรโดยวิธีการระเหยแห๎ง ชาวนาเกลือเตรีมแปงนาแล๎วใช๎กังหันฉุดน้าทะเลเข๎าสู๎แปลงนาเกลือหลังจาก น้ันปลํอย ให๎น้าทะเลได๎รับแสงแดดเป็นเวลานานจนกระทั่งน้าระเหยจนแห๎ง จะเหลือเกลืออยํูในนา เกลือที่ได๎น้ีเรียกวํา เกลือ สมทุ รซ่งึ เปน็ เกลอื ทน่ี ามาปรงุ อาหาร ทาเครอื่ งดมื่ การเปลีย่ นอุณหภมู ิและความดนั วธิ ีนี้ใชส๎ าหรบั แยกของผสมที่องค์ประกอบทง้ั หมดเป็นกา๏ ซแตํละชนดิ มจี ดุ เดือดไมเํ ทํากัน การใช้ความร้อนวิธนี ้ีแยกของผสมชนดิ ก๏าซละลายในของเหลว
47 2.2 โครมาโทรกราฟี อาศัยสมบตั 2ิ ประการคือ สารตาํ งชนิดกันมีความสามารถในการละลายในตวั ทาละลายได๎ตาํ งกันสารตาํ งชนิด กันมีความสามารถในการถูกดูดซบั ดว๎ ยตวั ดูดซับได๎ตํางกัน โครมาโทกราฟี (chromatography)เป็นการแยกสารผสมที่มีสี หรือสารท่ีสามารถทาให๎เกิดสีได๎ วิธีการนี้ จะมีเฟส 2 เฟส คือ เฟสอยูํกับที่ (stationary phase) กับ เฟสเคล่ือนที่ (mobile phase) โดยทสี่ ารในเฟสอยูํกับที่ จะทาหน๎าที่ดูดซับ (adsorb) สารผสมด๎วยแรงไฟฟูาสถิตย์ สารที่ใช๎ทาเฟสอยํูกับท่ีจึงมีลักษณะเป็นผง ละเอียดมี พื้นท่ีผิวมากเชํนอลูมินา (alumina,Al2O3) ซิลิกาเจล(silica gel,SiO2) หรืออาจจะใช๎วัสดุท่ีสามารถดูดซับได๎ดี เชํน ชอล์ก กระดาษ ซง่ึ สารท่ที าหนา๎ ท่ีดูดซับในเฟสอยํูกับท่ี เชํน น้า สํวนเฟสเคลื่อนท่ีจะทาหน๎าที่ชะ (elute)เอาสาร ผสมออกจากเฟสอยูํกับท่ีให๎เคล่ือนที่ไปด๎วย การจะเคล่ือนท่ี ได๎มากหรือน๎อยขึ้นอยํูกับแรงดึงดูดระหวํางสารในสาร ผสมกบั ตัวดูดซบั ในเฟสอ ยกํู บั ที่ ดงั นั้นสารที่ใช๎เป็นเฟสเคล่ือนที่จึงได๎แกํ พวกตัวทาละลาย เชํน ปิโตรเลียมอีเทอร์ เฮ กเซน คลอโรฟอร์ม เบนซีน ฯลฯ การทาโครมาโทกราฟีสามารถทาได๎หลายวิธีจะแตกตํางกันที่เฟสอยูํกับที่วํา อยูํใน ลักษณะใด เชนํ -โครมาโทกราฟีแบบคอลัมน์ (column chromatography)ทาได๎โดยการบรรจุสารท่ีเป็นเฟสอยํูกับที่ เชํน อลูมินาหรือซิลิกาเจลไว๎ ในคอลัมน์ แล๎วเทสารผสมที่เป็นสารละลายของเหลวลงสํูคอลัมน์ สารผสมจะผําน คอลัมน์ช๎าๆ โดยตัวทาละลายซึ่งเป็นเฟสเคลื่อนที่ เป็นผู๎พาไป สารในเฟสอยํูกับที่จะดูดซับสารในสารผสมไว๎ สํวนประกอบใดของสารผสมท่ีถกู ดูด ซับได๎ดีจะเคล่ือนที่ช๎า สํวนท่ีถูกดูดซับไมํดีจะเคลื่อนที่ได๎เร็ว ทาให๎สารผสมแยก จากกันได๎ - โครมาโทกราฟีแบบชั้นบาง (thin layer chromatography)เป็นโครมาโทกราฟีแบบระนาบ(plane chromatography) โดยทาเฟสอยํูกับที่ให๎มีลักษณะเป็นครีมข๎น แล๎วเคลือบบนแผํนกระจกให๎ความหนาของการ เคลือบเทํากันตลอดแล๎วนาไปอบให๎แห๎ง หยดสารละลายของสารผสมที่ต๎องการแยกบนแผํนท่ีเคลือบเฟสอยํูกับท่ีน้ีไว๎ แล๎วนาไปจํุมในภาชนะที่บรรจุตัวทาละลายท่ีเป็นเฟสเคลื่อนท่ีไว๎ โดยให๎ระดับของตัวทาละลายต๎องอยํูต่ากวําระดับ ของจุดทหี่ ยดสารผสมไว๎ ตวั ทาละลายจะซมึ ไปตามเฟสอยูํกับท่ีด๎วยการซึมตามรูเล็กเหมือนกับน้าท่ีซึมไป ในกระดาษ หรือผ๎า เม่ือซึมถึงจุดที่หยดสารผสมไว๎ ตัวทาละลายจะชะเอาองค์ประกอบในสารผสมน้ันไปด๎วยอัตราเร็วท่ีแตกตําง กัน ท้ังนี้ขึ้นอยูํกับสภาพมีขั้ว (polarity) ของสารท่ีเป็นองค์ประกอบกับสารท่ีเป็นตัวทาละลาย ถ๎าตัวทาละลายเป็น โมเลกุลมขี ัว้ (polar molecules) จะชะเอาสารในสารผสมทีเ่ ป็นสารมีข้วั ไปด๎วยได๎เร็ว สํวนสารท่ีไมมํ ีข้ัวในสารผสมจะ ถูกชะพาไปได๎ชา๎ สารผสมก็จะแยกออกจากกัน - โครมาโทกราฟแี บบกระดาษ (paper chromatography)เป็นโครมาโทกราฟีแบบระนาบอีกแบบหนึ่ง มี วิธีการและหลกั การเหมอื นกับโครมาโทกราฟแี บบช้นั บาง แตกตํางกันที่เฟสอยูํกับท่ีใช๎กระดาษที่สามารถดูดซับได๎แทน กระจกทเ่ี คลือบ ด๎วยซลิ ิกาเจล – โครมาโทกราฟีแบบแก๏ส (gas chromatography , GC) ใช๎สาหรับแยกสารผสมทเ่ี ป็นแกส๏ โดยมเี ฟสเคล่ือนท่ีเป็น แกส๏ เชนํ กันแตํไมํทาปฏกิ ริ ยิ ากบั สารผสม เชํน ฮเี ลียม จะทาหนา๎ ทีเ่ ป็นตวั พา (carier) สารผสม สํวนเฟสอยกูํ บั ที่ อาจจะเป็นของแข็งหรือของเหลวท่ีบรรจุอยใํู นคอลัมน์ เม่อื ทั้งตัวพาและสารผสมเคลอื่ นทผ่ี าํ นคอลัมนน์ ้ี เฟสอยูํกบั ท่ี ในคอลมั นจ์ ะดึงดูดดว๎ ยแรงดงึ ดดู ไฟฟาู สถติ ย์ตามความเป็นขว้ั ของ สารกับโมเลกลุ ในสารผสมทาใหอ๎ งคป์ ระกอบในสาร ผสมถูกพาไปดว๎ ยอตั ราเร็วทตี่ ําง กัน สารผสมกจ็ ะแยกออกจากกัน
48 ปจั จุบนั เทคนิคของโครมาโทกราฟีได๎ถูกพัฒนาให๎สามารถทางานได๎รวดเร็ว และใช๎แยกสารตัวอยํางได๎ครั้งละ หลายสารตัวอยําง เชํน Gas – Liquid Chromatography (GLC), High Performance Liquid Chromatography (HPLC) เป็นต๎น หลักการของโครมาโทกราฟี โครมาโทกราฟี อาศัยหลักการละลายของสารในตัวทาละลาย และการถูกดูดซับโดยตัวดูดซับ โดยสารที่ ต๎องการนามาแยกโดยวิธีน้ีจะมีสมบัติการละลายในตัวทาละลาย ได๎ไมํเทํากัน และตัวถูกดูดซับโดยตัวดูดวับได๎ไมํ เทาํ กนั ทาใหส๎ ารเคลอ่ื นท่ีได๎ไมํเทํากัน วธิ กี ารทาโครมาโทกราฟี นาสารท่ีต๎องการแยกมาละลายในตัวทาละลายท่ีเหมาะสมแล๎วให๎เคลื่อนท่ีไปบนตัวดูดซับ การเคล่ือนท่ีของ สารบนตวั ดดู ซับขึ้นอยกํู บั ความสามารถในการละลายของสารแตํละชนิดในตัวทาละลาย และความสามารถในการดูด ซบั ท่มี ีตํอสารนัน้ กลาํ วคือ สารท่ลี ะลายในตัวทาละลายไดด๎ ี และถูกดูดซบั นอ๎ ยจะถูกเคลื่อนท่ีออกมากํอน สํวนสารที่ ละลายไดน๎ อ๎ ยและถกู ดูดซบั ได๎ดี จะเคล่อื นท่อี อกมาทีหลัง ถา๎ ใชต๎ ัวดูดซบั มากๆ จะสามารถแยกสารออกจากกันได๎ การเลือกตวั ทาละลายและตวั ดดู ซับ 1. ตัวทาละลายและสารท่ีตอ๎ งการแยกจะต๎องมีการละลายไมเํ ทาํ กนั 2. ควรเลอื กตวั ดูดซับที่มีการดูดซับสารได๎ไมํเทํากนั 3. ถ๎าต๎องการแยกสารทผ่ี สมกันหลายชนิด อาจตอ๎ งใชต๎ ัวทาละลายหลายชนดิ หรือใช๎ตัวทาละลายผสม 4. ตวั ทาละลายทนี่ ยิ มใช๎ ได๎แกํ เฮกเซน ไซโคลเฮกเซน เบนซีน อะซโี ตน คลอไรฟอร์ม เอธานอล 5. ตวั ดูดซับทนี่ ิยมใช๎ ได๎แกํ อะลูมินาเจค (Al2O3) ซลิ กิ าเจล (SiO2) ข้อดีของโครมาโทกราฟี 1. สามารถแยกสารทมี่ ปี ริมาณน๎อยได๎ 2. สามารถแยกได๎ทงั้ สารท่ีมสี ี และไมํมสี ี 3. สามารถใชไ๎ ด๎ทั้งปริมาณวเิ คราะห์ (บอกไดว๎ าํ สารทแี่ ยกออกมา มปี ริมาณเทําใด)และคุณภาพวิเคราะห์ (บอกได๎วําสารนน้ั เป็นสารชนิดใด) 4. สามารถแยกสารผสมออกจากกันได๎ 5. สามารถแยกสารออกจากกระดาษกรองหรอื ตวั ดูดซับโดยสกัดด๎วยตวั ทาละลาย 2.3 การกลั่น (distillation) การกลน่ั เปน็ การแยกสารละสายท่ีเปน็ ของเหลวออกจากของผสม โดยอาศัยหลักการระเหยกลายเป็นไปและ ควบแนํน โดนที่สารบริสุทธ์ิแตํละชนิดเปล่ียนสถานะได๎ท่ีอุณหภูมิจาเพาะ สารที่มจุดเดือดต่าจะเดือดเป็นไอออกมา กอํ น เมอ่ื ทาใหไ๎ อของสารมีอณุ หภูมติ า่ ลงจะควบแนํนกลบั มาเปน็ ของเหลวอีกครง้ั 2.3.1การกลั่นแบบธรรมดาหรือการกลนั่ อย่างงา่ ย(simple distillation)
49 เป็นวิธีการท่ีใช๎กล่ันแยกสารที่ระเหยงํายซ่ึงปนอยํูกับสารที่ระเหยยาก การกล่ันธรรมดาน้ีจะ ใช๎แยกสาร ออกเปน็ สารบรสิ ุทธเิ์ พียงครั้งเดียวได๎สารทม่ี ีจุดเดอื ดตาํ งกนั ตั้งแตํ 80 องศาเซลเซียส ขึ้นไปเคร่ืองมือท่ีใช๎สาหรับการ กล่ันอยําง งําย ประกอบดว๎ ย ฟลาสกล่ัน เทอรโ์ มมเิ ตอร์ เครอ่ื งควบแนํน และภาชนะรองรับสารที่กล่ันได๎ การกล่ันอยําง งาํ ยมเี ทคนคิ การทาเปน็ ขนั้ ๆ ดังน้ี 1. เทของเหลวทีจ่ ะกลนั่ ลงในฟลาสกล่ัน โดยใช๎กรวยกรอง 2. เติมชิน้ กนั เดอื ดพลงํุ เพ่ือใหก๎ ารเดือดเป็นไปอยํางสมา่ เสมอและไมํรุนแรง 3. เสยี บเทอรโ์ มมเิ ตอร์ 4. เปดิ นา้ ใหผ๎ าํ นเขา๎ ไปในคอนเดนเซอร์เพื่อใหค๎ อนเดนเซอรเ์ ย็นโดยใหน๎ า้ เขา๎ ทางทต่ี ่าแล๎วไหลออกทางทส่ี งู 5. ให๎ความร๎อนแกํพลาสกลั่นจนกระท่ังของเหลวเร่ิมเดือด ให๎ความร๎อนไปเร่ือยๆจนกระท่ังอัตราการกล่ัน คงท่ี คอื ไดส๎ ารท่กี ล่ันประมาณ 2-3 หยด ตอํ วินาที ให๎สารที่กลัน่ ไดน๎ ้ไี หลลงในภาชนะรองรบั 6. การกลนั่ ต๎องดาเนินตํอไปจนกระทงั่ เหลือสารอยูํในฟลาสกลั่นเพียงเลก็ น๎อยอยํากล่ันใหแ๎ ห๎ง การกล่นั สามารถนามาใชท๎ ดสอบความบรสิ ทุ ธ์ขิ องของเหลวได๎ ซึ่งของเหลวทบี่ รสิ ุทธิ์จะมีลักษณะดังนี้ 1. สวํ นประกอบของสารท่ีกลั่นได๎ จะมลี ักษณะเหมือนกับสํวนประกอบของของเหลว 2. สํวนประกอบจะไมมํ ีการเปลี่ยนแปลง 3. อุณหภูมขิ องจุดเดอื ดในขณะกลนั่ จะคงที่ตลอดเวลา 4. การกลั่นจะทาใหเ๎ ราทราบจุดเดือดของของเหลวบรสิ ุทธิ์ได๎ การกลั่นนอกจากจะนามาใช๎ตรวจสอบ ความบริสุทธิ์ของของเหลวแล๎ว ยังสามารถใช๎กล่ัน สารละลายได๎อีก ด๎วย การกล่ันสารละลายเป็นกระบวนการแยกของแข็งที่ไมํระเหยออกจากตัวทาละลายหรือ ของเหลวที่ระเหยงําย โดยของแข็งท่ีไมํระเหยหรือตัวละลายจะอยํูในฟลาสกลั่น สํวนของเหลวท่ีระเหยงํายจะถูกกลั่นออกมา เม่ือการกลั่น ดาเนนิ ไปจนกระท่ังอุณหภมู ิของการกล่นั คงท่ีแสดงวาํ สารทเ่ี หลอื น้ันเปน็ สารบรสิ ทุ ธิ์ อน่ึงในขณะกล่ันจะสังเกตเห็นวําอุณหภูมิของสารละลายจะเพ่ิมข้ึนเรื่อยๆ เพราะสารละลายเข๎มข๎นข้ึน เนื่องจากตัวทาละลายระเหยออกไปและได๎ของแข็งที่บริสุทธใ์ิ นทส่ี ุด 2.3.2การกล่นั ลาดับส่วน(fractional distillation) การกลั่นลาดับสํวนเปน็ วิธีการแยกของเหลวทส่ี ามารถระเหยได๎ตง้ั แตํ 2 ชนดิ ขนึ้ ไป มีหลักการเชํนเดียวกันกับ การกล่ันแบบธรรมดา คือเพ่ือต๎องการแยกองค์ประกอบในสารละลายให๎ออกจากกัน แตํก็จะมีสํวนท่ีแตกตํางจากการ กลั่นแบบธรรมดา คือ การกลั่นแบบกลั่นลาดับสํวนเหมาะสาหรับใช๎กลั่นของเหลวที่เป็นองค์ประกอบของ สารละลาย ที่จุดเดือดตํางกันน๎อยๆ ในขั้นตอนของกระบวนการกล่ันลาดับสํวน จะเป็นการนาไอของแตํละสํวนไปควบแนํน แล๎ว นาไปกล่ันซ้าและควบแนํนไอเรื่อยๆ ซ่ึงเทียบได๎กับเป็นการการกลั่นแบบธรรมดาหลายๆ ครั้งนั่นเอง ความแตกตําง ของการกลัน่ ลาดับสํวนกบั การกลัน่ แบบธรรมดา จะอยํูที่คอลัมน์ โดยคอลัมน์ของการกลั่นลาดับสํวนจะมีลักษณะเป็น ชน้ั ซบั ซ๎อน เป็นชนั้ ๆ ในขณะทคี่ อลัมนแ์ บบธรรมดาจะเปน็ คอลัมนธ์ รรมดา ไมํมคี วามซบั ซ๎อนของคอลัมน์ ในการกล่ัน แบบลาดับสํวน จะต๎องมีการเพ่ิมอุณหภูมิอยํางช๎าๆ ดังนั้น จาเป็นที่จะต๎องมีอุปกรณ์ท่ีให๎ความร๎อน (heater) และ สามารถควบคุมอุณหภูมิได๎ เพราะของผสมที่กลั่นแบบลาดับสํวนมักจะมีจุดเดือดที่ใกล๎เคียงกัน ซึ่งตรงกันข๎ามกับการ
50 กลั่นแบบธรรมดา ความร๎อนท่ีให๎ไมํจาเป็นต๎องควบคุมเหมือนการกล่ันลาดับสํวน แตํก็ไมํควรให๎ความร๎อนที่สูงเกินไป เพราะความร๎อนที่สูง เกินไป อาจจะไปทาลายสารท่ีเราต๎องการกล่ันเพราะฉะน้ัน ประสิทธิภาพในการกล่ันลาดับสํวนจึงดีกวําการ กล่ันแบบธรรมดา 2.3.3การกล่นั น้ามันดิบ (refining) เน่ืองจากน้ามันดิบ ประกอบด๎วยสารประกอบไฮโดรคาร์บอนหลายพันชนิด ดังน้ันจึงไมํสามารถแยกสารท่ีมี อยอํู อกเปน็ สารเด่ียวๆได๎ อีกท้ังสารเหลวนีม้ ีจุดเดอื ดใกล๎ เคียงกันมากวิธีการแยกองค์ ประกอบน้ามันดิบจะทาได๎โดย การกลั่นลาดับสวนและเก็บสารตามชวงอุณหภูมิ ซึ่งกํอนที่จะกล่ันจะต๎องนาน้ามันดิบมาแยกเอาน้าและสารประกอบ กามะถนั ออกซิเจน ไนโตรเจนและโลหะหนักอื่นๆ ออกไปกํอนท่ีจะนาไปเผาที่อุณหภูมิ 320-385 C ผลิตภัณฑ์ที่ได๎ จากการกล่ัน ไดแ๎ กํ - กา๏ ซ (C1 – C4) ซ่งึ เป็ นของผสมระหวํางกา๏ ซมีเทน อเี ทน โพรเพนและบิวเทน เป็นต๎นประโยชน์ : มีเทนใช๎ เป็นเชื้อเพลงิ ผลติ กระแสไฟฟูา อเี ทน โพรเพนและบวิ เทน ใชํในอุตสาหกรรม - ปโิ ตรเคมี และโพรเพนและบวิ เทนใชํ ทาก๏าซหงุ ต๎ม (LPG) - แนฟทาเบา (C5 – C7) ประโยชน์ : ใช๎ทาตัวทาละลาย – แนฟทาหนัก (C6 – C12) หรอื เรียกวําน้า - มนั เบนซนิ ประโยชน์ : ใช๎ทาเช้อื เพลิงรถยนต์ - น้ามันกา๏ ด (C10 – C14) ประโยชน : ใช๎ทาเชอ้ื เพลิงสาหรบั ตะเกียงและเครอ่ื งยนต์ - นา้ มนั ดีเซล (C14 – C19) ประโยชน์ : ใชํ ทาเช้อื เพลงิ เครอ่ื งยนตด์ เี ซล ไดแ๎ กํ รถบรรทุก, เรอื - นา้ มนั หลํอล่นื (C19 – C35) ประโยชน:์ ใชํทาน้ามนั หลํ อลืน่ เคร่ืองยนตเคร่ืองจักรกล - ไขนา้ มันเตาและยางมะตอย (C > C35) 2.3.4 การสกัดโดยการกลนั่ ด้วยไอน้า เป็นวิธีการสกัดสารออก จากของผสมโดยใช๎ไอน้าเป็นตัวทาละลาย วิธีน้ีใช๎สาหรับแยกสารที่ละเหยงําย ไมํ ละลายน้า และไมํทาปฏิกิริยากับน้า ออกจากสารท่ีระเหยยาก การสกัดโดยการกล่ันด๎วยไอน้านอกจากใช๎สกัดสาร ระเหยงํายออกจากสารระเหยยาก แล๎วยังสามารถใช๎แยกสารที่มีจุดเดือดสูงและสลายตัวที่จุดเดือดของมันได๎อีก เพราะการกลั่นโดยวิธีน้ีความดันไอเป็นความดันไอของไอน้าบวกความดันไอของของ เหลวที่ต๎องการแยก จึงทาให๎ ความดันไอเทาํ กับความดนั ของบรรยากาศกํอนทีอ่ ุณหภูมิจะถงึ จุดเดอื ด ของของเหลวที่ต๎องการแยก ของ ผสมจึงกล่ัน ออกมาท่ีอุณหภูมิต่ากวําจุดเดือดของของเหลวที่ต๎องการแยก เชํน สาร A มีจุดเดือด 150 C เมื่อสกัดโดยการกล่ัน ด๎วยไอน้าจะได๎สาร A กลายเป็นไอออกมา ณ อุณหภูมิ 95 C ท่ีความดัน 760 มิลลิเมตรของปรอท อธิบายได๎วํา ที่ 95 C ถ๎าความดันไอของสาร A เทํากับ 120 มิลลิเมตรของปรอท และไอน้าเทํากับ 640 มิลลิเมตรของปรอท เม่ือ ความดันไอของสาร A รวมกับไอนา้ จะเทํากับ 760 มลิ ลิเมตรของปรอท หรือเทํากับความดันบรรยากาศ จึงทาให๎สาร A และน้ากลายเป็นไอออกมาได๎ท่ีอุณหภูมิต่ากวําจุดเดือดของสาร Aตัวอยํางการแยกสารโดยการกลั่นด๎วยไอน้าได๎แกํ การแยกน้ามันหอมระเหยออกจาก สํวนตํางๆของพืชเชํนการแยกน้ามันยูคาลิปตัสออกจากใบยูคาลิปตัสการแยก นา้ มัน มะกรูดออกจากผวิ มะกรดู การแยกน้ามนั อบเชยจากเปลือกต๎นอบเชยเป็นต๎นในการกล่ัน ไอน้าจะไปทาให๎น้ามัน
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189