) 2.1 พลังงานปิ โตรเลี่ยม 2.2 พลังงานกา๊ ซธรรมชาติ 2.3 พลังงานถ่านหนิ 2.4 พลังงานนิวเคลียร์
เนือ้ หาสาระ (Content) พลงั งานเป็นปัจจยั พืน้ ฐานท่ีสาคญั ในการตอบสนองความตอ้ งการพืน้ ฐานของประชาชน ทงั้ ยงั เป็นปัจจยั หลกั ในภาคธรุ กิจ และภาคอตุ สาหกรรม พลังงาน หมายถงึ ความสามารถในการทางาน ซง่ึ มีอยใู่ นตวั ของส่งิ ท่ีอาจใหง้ านไดโ้ ดยการทาให้ วตั ถหุ รอื ธาตเุ กิดการเคล่อื นท่ีหรอื เปล่ียนรูปแบบไปได้ พลังงานสิ้นเปลือง หมายถึง พลงั งานท่ีไดจ้ ากทรพั ยากรธรรมชาติท่ีใชแ้ ลว้ หมด ไม่สามารถเกิด ทดแทน ได้ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ พลงั งานสิน้ เปลืองท่ีเป็นฟอสซิล (Fossil) หรือซากพืชซากสตั ว์ และพลงั งานสนิ้ เปลอื งท่ีไม่ใช่ฟอสซิล
2.1 พลังงานปิ โตรเล่ยี ม ปิ โตรเลียม (Petroleum) มีรากศพั ทม์ าจากภาษาละตนิ วา่ เพทรา (Petra) แปลว่า หิน และคาวา่ โอลอิ มุ ฯ (Oleum) แปลวา่ นา้ มนั (Oil) ความหมายของปิโตรเลียมคือ นา้ มนั ท่ีไดม้ าจากหิน โดยจะไหล ซมึ ออกมาเองในรูปของของเหลวหรอื ก๊าซ 2.1.1 การกาเนิดของพลังงานปิ โตรเลียม ปิโตรเลียมมีตน้ กาเนิดมาจากสารประกอบอินทรียท์ ั้งพืชและสัตว์ ท่ีสะสมปะปนกับตะกอน จาพวกคารบ์ อเนตซ่งึ จะตกตะกอนสะสมตวั อย่ภู ายใตส้ ภาพแวดลอ้ ม ตามบรเิ วณแอ่งบนพืน้ ผิวโลกทงั้ บนบกและในทะเล กระบวนการเกดิ ปิ โตรเลยี มและก๊าซธรรมชาติ ปิโตรเลยี มมี 3 สถานะ คือ ของแข็ง ของเหลว ก๊าซ แสดงกระบวนการเกิดปิโตรเลยี มและก๊าซธรรมชาติ
2.1.2 ปัจจัยทที่ าให้เกิดปิ โตรเลียม ปัจจยั ท่ีทาใหส้ ารตน้ กาเนิดปิโตรเลยี ม หรอื คีโรเจนแปรสภาพ คอื 1. อุณหภมู ิ ระดบั 48–190 องศาเซลเซียส แต่ท่ีระดบั 87 องศาเซลเซียส เป็นระดบั ท่ี เหมาะสม ท่ีสดุ กบั การเกิดปิโตรเลยี ม 2. เวลาหรืออายุของตะกอน ตะกอนมีเวลาในการสะสมตวั มากใชอ้ ุณหภูมิต่าลง ส่วนตะกอน ท่ีมีอายใุ นการสะสมตวั นอ้ ยจะใชอ้ ณุ หภมู ิสงู ในการแปรสภาพเป็นปิโตรเลียม 2.1.3 แหล่งสะสมของปิ โตรเลียม เม่ือปิโตรเลียมอยู่ในรูปของนา้ มันดิบจากหินตน้ กาเนิด จะเคล่ือนยา้ ยตวั ออกไปตามช่องว่าง ระหวา่ งอนภุ าคของชนั้ หินหรอื รอยแตก ปิโตรเลียมจะมีทิศทางการเคล่ือนตวั ขนึ้ สเู่ บือ้ งบนท่ีระดบั ความ ลึกนอ้ ย เขา้ ไปกักเก็บสะสมตวั ในหินตะกอนท่ีมีความพรุนสูงกว่าหรือมีรอยแตกในเนื้อหิน เรียกว่า “หินกกั เก็บ” หากมีการสะสมกนั เป็นปรมิ าณมากเรยี กว่า “แหลง่ กกั เก็บ”
แหล่งกักเกบ็ ปิ โตรเลียม 1. โครงสร้างรูปโค้งประทุนคว่า (Anticlinaltrap) เกิดจากการหกั งอของชั้นหิน ทาให้ชนั้ หิน มีรูปรา่ งโคง้ คลา้ ยกระทะคว่า หรอื หลงั เตา่ นา้ มนั และก๊าซจะเคล่ือนเขา้ ไปรวมตวั กันอย่ใู นส่วนโคง้ กน้ กระทะ โดยมีชนั้ หินเนือ้ แนน่ ปิดทบั อยู่ แสดงชนั้ หินโครงสรา้ งรูปโคง้ ประทนุ คว่า
2. โครงสร้างรูปประดับชั้น (Startigraphic trap) สามารถเกิดขึน้ ไดห้ ลายรูปแบบ ขึน้ อยู่กับ การเปล่ียนแปลงของผิวโลก ในอดีตชั้นหินกักเก็บน้ามันจะถูกล้อมเป็ นกะเปาะอยู่ระ หว่าง ชนั้ หินเนือ้ แนน่ แสดงชนั้ หินโครงสรา้ งรูปประดบั ชนั้
3. โครงสร้างรูปโดม (Domal trap) เกิดจากการดนั ตวั ของชนั้ หินเกลือผ่านชนั้ หินกกั เก็บ นา้ มนั ซง่ึ ตามปกตจิ ะเป็นรูปโดมนา้ มนั และก๊าซจะสะสมอยดู่ า้ นขา้ งของโดมชนั้ เกลอื แสดงชนั้ หินโครงสรา้ งรูปโดม
4. โครงสร้างรูปรอยเลื่อน (Fault trap) เกิดจากการหักงอของชนั้ หิน ทาใหช้ ั้นหินเคล่ือนไป คนละแนว การท่ีนา้ มันและก๊าซถูกกักเก็บอยู่ไดเ้ พราะมีชั้นหินเนือ้ แน่นเล่ือนมาปิดชัน้ หินท่ีมีรูพรุน ทาให้ นา้ มนั และก๊าซถกู กกั เก็บอยใู่ นชอ่ งท่ีปิดกนั้ แสดงชนั้ หินโครงสรา้ งรูปรอยเล่อื น
2.1.4 การสารวจหาแหล่งปิ โตรเลยี ม 1. การสารวจทางธรณีวิทยา เพ่ือสารวจหาว่าชนั้ หินท่ีเป็นแหล่งกักเก็บปิโตรเลียมอยู่หรือไม่ และเพ่ือการวเิ คราะหห์ าอายแุ ละสารตน้ กาเนิดปิโตรเลียม แสดงการสารวจทางธรณีวิทยา
2. การสารวจทางธรณีฟิ สิกส์ เป็นการวดั คล่ืนความไหวสะเทือนผ่าน ชั้นหินโดยการสร้าง คล่ืนสะท้อนจาก ก า ร จุ ด ร ะ เ บิ ด เ พ่ื อ ใ ห้เ กิ ด ค ล่ื น ค ว า ม ส่ันสะเทือนว่ิงไปกระทบชั้นหินใต้ท้อง ทะเล และใตด้ นิ แลว้ สะทอ้ นกลบั ขึน้ มา 3. การเจาะสารวจใช้ วิธีการ เจาะสุ่ม เรยี กหลมุ แรกสารวจเพ่ือสารวจ หาปิโตรเลียมและ ประเมินคุณค่าทาง เศรษฐกิจและหาขอบเขตของแหล่งกัก เก็บปิโตรเลยี ม แสดงวธิ ีการเจาะสมุ่
2.1.5 กระบวนการกล่ันประกอบด้วย 1. การแยก หมายถึง การแยกส่วนประกอบทางกายภาพของนา้ มนั ดิบดว้ ยวิธีการกล่นั ลาดบั สว่ น นา้ มนั ดบิ มากล่นั ในหอกล่นั 2. การเปลีย่ นโครงสร้างทางเคมี หมายถึง การเปล่ยี นแปลงโมเลกลุ 3. การปรับปรุงคุณภาพ ผลิตภัณฑ์ท่ีได้จากกรรมวิธีการกล่ันลาดับส่วนและการเปล่ียน โครงสรา้ งทางเคมี ยงั มีคณุ ภาพท่ีไมเ่ หมาะสมกบั การใชง้ าน 4. การผสม หมายถึง การนานา้ มันชนิดต่าง ๆ ท่ีผ่านกรรมวิธีแล้วมาผสมตามสัดส่วนท่ี เหมาะสม แสดงกระบวนการกล่นั นา้ มนั
2.1.6 ผลิตภัณฑท์ ไี่ ด้จากการกล่ันน้ามันดิบ 1. ก๊าซปิโตรเลียมเหลวหรอื เรยี กว่าก๊าซหงุ ตม้ ก๊าซปิโตรเลียมเหลวหรอื ก๊าซหงุ ตม้ 2. เบนซนิ มี 2 ชนิด คอื เบนซนิ ธรรมชาติออกเทน 91 และเบนซนิ พิเศษออกเทน 95 3. นา้ มนั เชือ้ เพลิงเครอ่ื งบินใบพดั 4. นา้ มนั เชือ้ เพลงิ เครอ่ื งบนิ ไอพ่น 5. นา้ มนั ก๊าด
6. นา้ มนั ดีเซล 7. นา้ มนั หลอ่ ล่นื เช่น นา้ มนั เครอ่ื ง นา้ มนั เกียร์ 8. นา้ มนั เตา ใชก้ บั เตาตม้ นา้ หมอ้ นา้ ในโรงงานอตุ สาหกรรม 9. ยางมะตอยตอ้ งมีคณุ สมบตั ิ คือ มีความเฉ่ือยต่อสารเคมีและไอควนั มีความตา้ นทานสภาพ อากาศและแรงกระแทกกระเทือน มีความเหนียว ความยืดหยนุ่ ตวั ตอ่ อณุ หภมู ิระดบั ตา่ ง ๆ ไดด้ ี 2.1.7 การใช้ประโยชน์จากพลังงานปิ โตรเลียม 1. การนาพลงั งานปิโตรเลียมมาใชก้ บั ยวดยานพาหนะ 2.การนาพลังงานปิ โ ตรเลียม มาผลิตกระแสไฟ ฟ้าเพ่ือใ ช้ใน อาคารบ้านเรือน และ โรง งาน อตุ สาหกรรม 2.1.8 ผลกระทบจากการใช้พลังงานปิ โตรเลียม การเผาไหม้ปิโตรเลียมจะก่อให้เกิดมลภาวะทางอากาศ โดยการปล่อยไอเสียออกมาจาก ปล่องควนั ของโรงงานอตุ สาหกรรมของรถยนต์ เคร่อื งจกั ร จะสง่ ผลเสียต่อสขุ ภาพประชาชน พืช สตั ว์ และส่งิ แวดลอ้ มอ่ืน
2.2 พลังงานก๊าซธรรมชาติ ก๊าซธรรมชาติ (Natural Gas) คือก๊าซชีวภาพชนิดหน่ึง ก๊าซธรรมชาติจัดเป็นสารประกอบ ไฮโดรคารบ์ อน (มีสตู รทางเคมีเป็น CnH2n+2) โดยท่วั ไปจะประกอบดว้ ยก๊าซมีเทน CH4 เรยี กว่ามีเทน (Methane) 2.2.1 ก๊าซธรรมชาติ ก๊าซธรรมชาติเป็นปิโตรเลียมชนิด หนง่ึ ท่ีมีอย่ทู ่วั ไปในโลก เม่ือหลายลา้ นปี ก่อนพืน้ ผิวโลก ส่วนใหญ่เป็นทะเลมี สตั วแ์ ละพืชนานาพนั ธุ์ แลว้ ตายทบั ถม กบั โคลนทรายและกากตะกอนต่าง ๆ ท่ี กน้ ทะเล ซา้ แลว้ ซา้ เล่า ซอ้ นทับกนั เป็น ชนั้ ๆ การกาเนิดก๊าซธรรมชาต
2.2.2 คุณสมบตั ขิ องก๊าซธรรมชาติ 1. ก๊าซธรรมชาติไม่มีสี ไม่มีกล่ิน ไม่มี สารพิษ 2. เม่ือเผาไหมแ้ ลว้ จะเป็นเชือ้ เพลิง สะอาดสง่ ผลกระทบแก่ส่งิ แวดลอ้ มนอ้ ย 3. มีการเผาไหม้สมบูรณ์ ไม่มีเขม่า ไม่มีสี ไมม่ ีกล่นิ แหลง่ กาเนิดก๊าซธรรมชาตใิ นทะเล 4. ปราศจากสารพิษ 5. เบากวา่ อากาศ 2.2.3 แหล่งกาเนิดก๊าซธรรมชาตใิ นประเทศไทย แหล่งกาเนิดก๊าซธรรมชาติในประเทศไทย มีอยู่ 2 แหลง่ ดว้ ยกนั คอื 1. ในทะเล (มีปรมิ าณมาก) ไดแ้ ก่ บรเิ วณอา่ วไทย 2. บนบก (มีปริมาณน้อย) ได้แก่ อาเภอนา้ พอง จงั หวดั ขอนแก่น
2.2.4 กระบวนการแยกก๊าซธรรมชาติ เพ่ือนามาใชป้ ระโยชนต์ ามความเหมาะสมและใหเ้ กิดคณุ คา่ ทางเศรษฐกิจสงู สดุ ไดแ้ ก่ 1. ก๊าซโพลีธรรมชาตหิ รอื Natural Gasoline 2. ก๊าซปิโตรเลยี มเหลว หรอื Lquefied Petroleum Gas 3. ก๊าซบวิ เทน (Butane) 4. ก๊าซโพเพน (Propane) 5. ก๊าซอีเทน (Ethane) 6. ก๊าซมีเทน (Methane) 7. ก๊าซธรรมชาติสาหรบั ยานพาหนะหรอื (Natural Gas For Vehicles ) (NGV)
2.2.5 ประโยชน์ของก๊าซธรรมชาติ 1. ใชเ้ ป็นเชือ้ เพลิงในโรงงานผลติ กระแสไฟฟา้ โรงงานอตุ สาหกรรม 2. มีการเผาไหมส้ มบรู ณ์ มีความปลอดภยั สงู ในการใชง้ าน 3. มีราคาถกู กวา่ เชือ้ เพลงิ ปิโตรเลียมอ่ืน ๆ 4. ก๊าซธรรมชาติ เชือ้ เพลงิ สะอาด เป็นมิตรกบั ส่งิ แวดลอ้ ม 5. ก๊าซธรรมชาตชิ ว่ ยบรรเทาสภาวะโลกรอ้ นและปลอ่ ยความรอ้ นสบู่ รรยากาศโลกนอ้ ยกวา่ การใชป้ ระโยชนจ์ ากก๊าซธรรมชาติ
6. ประหยดั คา่ ใชจ้ ่ายเชือ้ เพลิงเม่ือ 7. สามารถเลือกใชน้ า้ มนั เบนซินหรอื ก๊าซเป็นเชือ้ เพลงิ ไดต้ ามตอ้ งการ 8. เครอ่ื งยนต์ (ยกเวน้ บา่ วาลว์ ไอเสีย) 9. ไม่มีการเจือจางของนา้ มนั เชือ้ เพลงิ ในนา้ มนั หลอ่ ล่ืน 10. ไมม่ ีสารกามะถนั เป็นสว่ นประกอบ 11. การเผาไหมเ้ กิดเขมา่ ซง่ึ เป็นมวลสารของแขง็ ไปเจือปนในนา้ มนั หลอ่ ล่ืนต่ากว่าการใช้ นา้ มนั เบนซินและดีเซล 2.2.6 ข้อเสียของยานยนตท์ ใี่ ช้ก๊าซธรรมชาติ 1. ตอ้ งตดิ ถงั บรรจกุ ๊าซและเนือ้ ก๊าซ รถมีนา้ หนกั เพ่ิมขนึ้ 2. เสียพืน้ ท่ีบรรจสุ มั ภาระ (เน่ืองจากตอ้ งตดิ ตงั้ ถงั บรรจกุ ๊าซในพืน้ ท่ีหลงั รถ) 3. กาลงั เครอ่ื งยนตแ์ ละอตั ราเรง่ ดอ้ ยกว่าการใชน้ า้ มนั เบนซินเป็นเชือ้ เพลงิ 4. ทาการตรวจเชก็ และตงั้ วาลว์ ไอเสียทกุ ระยะการใชง้ านประมาณ 40,000 – 60,000 ก.ม.
2.2.7 ผลกระทบจากการใช้ก๊าซธรรมชาติ 1. ความเป็นพิษตอ่ รา่ งกาย ก๊าซธรรมชาตกิ ๊าซไฮโดรเจนซลั ไฟด์ มีผลตอ่ เนือ้ เย่ืออ่อน 2. ไฟไหม/้ ระเบิด ก๊าซธรรมชาติเป็นก๊าซติดไฟกรณีท่ีมีก๊าซร่วั ไหลผสมอากาศ ก่อใหเ้ กิด การลกุ ไหมไ้ ด้ 2.3 พลังงานถา่ นหนิ ถ่านหิน คือ หินตะกอนชนิดหน่ึงท่ี เกิดจากการตกตะกอนสะสมของซากพืชในยุคดึกดาบรรพ์ เป็นเวลายาวนานหลายลา้ นปี จนตะกอนนนั้ ไดเ้ ปล่ยี นสภาพไป
2.3.1 การกาเนิดของถ่านหนิ ถ่านหินเป็นตะกอนท่ีติดไฟไดช้ นิดหน่งึ มีสีนา้ ตาลถงึ ดา มีสถานะเป็นของแข็ง มีความเปราะ ถ่าน หินเป็นฟอสซิลท่ีเกิดจากการทบั ถมของซากส่ิงมีชีวิตจาพวกพืชเป็นเวลาประมาณ 225-350 ลา้ นปี ซากเหลา่ นีจ้ ะถกู ยอ่ ยสลายโดยปฏิกิรยิ าเคมี
ลาดบั การเกิดถ่านหิน 2.3.2 ประเภทของถ่านหนิ 1. พีช (Peat) เป็นขนั้ แรกในกระบวนการเกิดถ่านหินในระดบั ต่าสดุ 2. ลิกไนต์ (Lignite) มีซากพืชหลงเหลืออยเู่ ลก็ นอ้ ย มีความชืน้ มาก 3. ซับบิทูมินัส (Subbituminous) มีสีดาเป็ นเชื้อเพลิงท่ีมีคุณภาพเหมาะสมในการผลิต กระแสไฟฟา้ 4. บิทมู ินสั (Bituminous) เป็นถ่านหินเนือ้ แน่นแขง็ และมกั จะประกอบดว้ ยชนั้ ถ่านหิน สดี าสนิท 5. แอนทราไซต์ (Anthracite) ถ่านหินท่ีมีลกั ษณะดาเป็นเงามนั วาวมากมีรอยแตกเวา้ แบบกน้ หอย ตดิ ไฟยาก
2.3.3 ขบวนการผลิตถ่านหนิ ขบวนการผลติ ถ่านหินหรอื การนาถ่านหินท่ีพบมาใชป้ ระโยชน์ คอื การทาเหมือง การทาเหมืองมี 2 ประเภท คอื 1. การทาเหมืองเปิ ด (Open Pit Mine) เหมืองเปิด
2. การทาเหมอื งใต้ดนิ (Underground Coal Mine) เหมืองใตด้ นิ
2.3.4 ประโยชน์ของพลังงานถ่านหนิ 1. เชือ้ เพลิง เพ่ือการผลติ กระแสไฟฟา้ โรงผลิตกระแสไฟฟ้าท่ีอาเภอแมเ่ มาะ จงั หวดั ลาปาง และ อาเภอเมือง จงั หวดั กระบ การผลิตกระแสไฟฟา้
2. ถ่านหิน ใชเ้ ป็นพลงั งานเชือ้ เพลิงในการอตุ สาหกรรมการถลงุ โลหะ อตุ สาหกรรมการถลงุ โลหะ
3. การผลิตปูนซีเมนต์โดยการนาเถ้า การผลิตปนู ซีเมนต์ ถ่านหินท่ีเป็ นวัสดุเหลือทิ้งจากการผลิต การบม่ ใบยาสบู กระแสไฟฟ้า มาเป็นส่วนผสมของการผลิต ปนู ซเี มนต์ 4. บ่มใบยาสูบเป็นพลังงาน ความรอ้ น ในการบม่ ใบยาสบู
5. อตุ สาหกรรมผลิตอาหารและอตุ สาหกรรมตา่ ง ๆ ท่ีใชห้ มอ้ นา้ รอ้ น อตุ สาหกรรมการผลติ อาหาร 6. การทาถ่านสงั เคราะห์ (Activated Carbon) 7. การทาคารบ์ อนไฟเบอร์ (Carbon Fiber) 8. การใชเ้ ป็นเชือ้ เพลงิ เหลวแบบสะอาด 9. กามะถนั ใชท้ ากรดกามะถนั และแรย่ ิปซ่มั 10. แอมโมเนียใชท้ าป๋ ยุ เพ่ือเกษตรกรรม 11. เถา้ ถ่านหินใชท้ าวสั ดกุ ่อสรา้ ง ปรมิ าณการผลิต การใชแ้ ละการนาเขา้ ถ่านหิน 12. ก๊าซมีเทนท่ีอย่ใู นชนั้ ถ่านหิน (Coal Bed Methane)
2.3.5 ผลกระทบจากการใช้พลังงานถ่านหนิ 1. เกิดนา้ เสยี จากบอ่ เหมือง นา้ กระดา้ ง มีสารแขวนลอยและซลั เฟตสงู มาก 2. ทาใหฝ้ ่นุ ละออง ทงั้ ของแขวนลอยและหนกั ลอยอย่ทู ่วั ไปรอบ ๆ เหมือง 3. เกิดปัญหาตอ่ ระบบนิเวศ คอื ทาใหส้ ่งิ มีชีวิตเสยี สมดลุ 4. ตอ้ งอพยพราษฎร เพราะตอ้ งใชบ้ รเิ วณกวา้ งในการเปิดหนา้ เหมือง 5. เกิดก๊าซจากการเผาไหม้ เชน่ ไฮโดรเจนซลั ไฟดแ์ ละสารไฮโดรคารบ์ อน ทาใหเ้ กิดมลพิษ
2.4 พลังงานนิวเคลยี ร์ นิวเคลียรเ์ ป็นคาศัพทข์ องคาว่า “นิวเคลียร์” ซ่ึงเป็นแก่นกลางของอะตอมธาตุ หรือท่ีเรียกว่า “ปรมาณู” ประกอบดว้ ยอนภุ าคโปรตอนและนิวตรอน พลงั งานนิวเคลียรห์ รอื พลงั งานปรมาณู หมายถึง พลงั งานท่ี ถกู ปลอ่ ยออกมาเม่ือมีการแยก การรวมหรอื การเปล่ียนแปลงของนิวเคลยี รใ์ นอะตอม โรงงานพลงั งานนิวเคลียร์
2.4.1 ปฏิกิริยานิวเคลียร ปฏิกิรยิ านิวเคลียรเ์ กิดขนึ้ ได้ 3 ลกั ษณะ ไดแ้ ก่ 1. พลังงานนิวเคลียรท์ ่ีถูกปลดปล่อยออกมาในลักษณะเฉียบพลัน เป็นปฏิกิริยานิ วเคลียร์ ท่ีควบคมุ ไม่ได้ เรยี กว่า ปฏิกิรยิ าฟิชชนั ฟิ ชชนั
2. พลงั งานการปฏิกิรยิ านิวเคลียรซ์ ่ึงควบคมุ 3. พลงั งานนิวเคลียรจ์ ากสารกัมมันตรังสี ไดต้ ลอดเวลา พลงั งานท่ีเกิดจากการรวมตวั ของ สารกมั มนั ตรงั สี คือ สารท่ีองคป์ ระกอบส่วนหน่ึง อะตอมเรยี กว่า ปฏิกิรยิ าฟิวชนั มีลกั ษณะเป็นไอโซโทปท่ีมีโครงสรา้ งปรมาณูไม่ คงตวั ฟิ วชนั ปฏิกิรยิ าลกู โซ่
2.4.2 รูปแบบของโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ รูปแบบของโรงไฟฟา้ พลงั งานนิวเคลยี ร์ มี 3 รูปแบบ คอื 1. โรงไฟฟา้ พลงั งานนิวเคลียรแ์ บบความดนั สงู โรงไฟฟ้าพลงั งานนิวเคลยี รแ์ บบความดนั สงู
2.โรงไฟฟา้ พลงั งานนิวเคลยี รแ์ บบนา้ เดือด 3. โรงไฟฟ้าพลงั งานนิวเคลียรแ์ บบเฮฟว่ีวอเตอร์ โรงไฟฟ้าพลงั งานนิวเคลยี รแ์ บบนา้ เดือด โรงไฟฟา้ พลงั งานนิวเคลียรแ์ บบเฮฟว่วี อเตอร์
2.4.3 การนาพลังงานนิวเคลียร์มาใช้ประโยชน์ 1. กิจการด้านอุตสาหกรรม (1) ใชว้ ดั ระดบั ของไหลสารเคมี ในขบวนการผลิตในโรงงานเสน้ ใยสงั เคราะหส์ ่งิ แวดลอ้ ม (2) ใชต้ รวจสอบระดบั เศษไมใ้ นหมอ้ นง่ึ ภายใตค้ วามดนั สงู ในการผลติ ไมอ้ ดั แผน่ เรยี บ (3) ควบคมุ การไหลผ่านของสว่ นผสมในการผลติ ปนู ซีเมนต์ (4) วดั ความหนาแนน่ ของนา้ ปนู กบั เสน้ ใยหิน ในขบวนการผลิตกระเบอื้ งกระดาษ 2. ด้านการแพทย์และอนามัย เวชศาสตร์นิวเคลียร์ คือ การนาเอาสารรงั สีหรอื รงั สีมาใชใ้ นการตรวจ การรกั ษาดา้ น การศกึ ษา การทางานของระบบรา่ งกาย (1) การรกั ษาโรคมะเรง็ (2) ตรวจวนิ ิจฉยั โรค ไต หวั ใจ การไหลเวยี นของโลหิต (3) การเอกซเรย์
3. ด้านการเกษตร ชวี วิทยาและอาหาร ประเทศไทยมีการเกษตรเป็นอาชีพหลักของประชากร การเพ่ิมผลผลิตโดยการใช้พลังงาน นิวเคลยี ร์ เช่น (1) การใชเ้ ทคนิคนิวเคลียรว์ เิ คราะหด์ นิ เพ่ือการจาแนกพืน้ ท่ีท่ีเหมาะกบั การปลกู พืช (2) การฉายรงั สแี กมมาเพ่ือฆา่ ศตั รูพืช (3) การถนอมเนือ้ สตั ว์ พืช ผลไม้ 4. ด้านส่ิงแวดล้อม พลงั งานนิวเคลียรม์ ีสว่ นเก่ียวขอ้ ง 3 ดา้ น คือ (1) ดา้ นการรกั ษา (2) ดา้ นการพฒั นาสภาพส่งิ แวดลอ้ มใหด้ ีขนึ้ (3) ดา้ นการศกึ ษาและวิจยั การใชป้ ระโยชนจ์ ากพลงั งานนิวเคลยี ร์
2.4.4 การนาพลังงานนิวเคลียร์มาใช้ในประเทศไทย ประเทศไทยนาพลงั งานนิวเคลียรม์ าใชเ้ พ่ือการสรา้ งสรรคแ์ ละพฒั นาประเทศ โดยตงั้ สานกั งาน พลงั งานปรมาณูเพ่ือสนั ติขึน้ เม่ือปี พ.ศ. 2504 มีหนา้ ท่ีควบคมุ ดแู ลการนาพลงั งานนิวเคลียรม์ าใชใ้ น ประเทศ โดยกรมทรพั ยากร มีการคน้ พบแร่ธาตทุ ่ีเป็นพลงั งานเชือ้ เพลิงได้ ส่วนใหญ่เกิดร่วมกับแร่ดีบุกและแร่วุลแฟรมใน รูปของแรซ่ ามารส์ ไกต์ แรท่ อรเ์ บอรไ์ นต์ แรแ่ ทนทาไลต์ แรไ่ พรออไรต์ แรโ่ คลมั ไบต์ ส่วนแรย่ เู รเนียมจะ เกิด รว่ มกบั หินตะกอน พบในจงั หวดั ขอนแก่น 2.4.5 ผลกระทบทเี่ กิดจากการใช้พลังงานนิวเคลียร์ 1. รงั สีท่ีเกิดจากปฏิกิริยานิวเคลียรอ์ าจเกิดการร่วั ไหล การฟุ้งกระจายในอากาศ ในดิน ในนา้ ทาใหส้ ่งิ มีชีวติ ไดร้ บั ผลกระทบทนั ที 2. อุปสรรคต่อการพัฒนาพลังงานนิวเคลียร์ คือ ปัญหาเร่ืองเงินลงทุนสูง ทั้งตัว โครงสรา้ ง ของโรงงานไฟฟา้ นิวเคลียร์ เงินพฒั นาบคุ ลากรในการศกึ ษา การฝึกอบรม เป็นตน้
Search
Read the Text Version
- 1 - 38
Pages: