คาํ นํา E book นีจ้ ัดทําขึ้นเพือ่ เปนสวนหนึ่งของ วชิ าคอมพวิ เตอร ชนั้ ม.3/4 เพอื่ ใหไ ดศ กึ ษา หาความรเู รื่อง บญุ บั้งไฟและไดศ กึ ษาอยา ง เขาใจเพอื่ เปนประโยชนกบั การเรียน
ประวัติความเปน มาของบญุ บัง้ ไฟ ประเพณบี ญุ บัง้ ไฟ เปน ประเพณีหนง่ึ ของภาค อสี านของไทยรวมไปถึงลาวโดยมตี ํานานมาจาก นทิ านพื้นบานของภาคอีสานพยาคนั คาก เรอื่ งผา แดงนางไอ ซึ่งในนิทานพื้นบา นดงั กลาว ไดก ลา ว ถงึ การทชี่ าวบานไดจ ดั งานบญุ บง้ั ไฟขน้ึ เพอ่ื เปนการบชู า พระยาแถน หรอื เทพบตุ ร ซง่ึ ชาวบา น มคี วามเชอื่ วา พยาแถนมีหนาท่ีควยดูแลใหฝ นตก๔ กตอ งตามฤดกู าลและมคี วามชอบไพเปนอยา งมาก หากหมูบา นใดไมท ําการจัดงาน ‘’บุญบ้งั ไฟบชู า’’ ฝนก็จะไมตกถูกตองตามฤดูกาล อาจกอ ใหเ กดิ ภัย พบิ ตั ิกบั หมูบา นได ชว งเวลาของประเพณีบญุ บ้งั ไฟ คือเดอื นหกหรอื พฤกภาคมของทกุ ป
ความเชอ่ื เก่ยี วกบั ประเพณบี ุญบั้งไฟ ชาวบา นเพ่อื วามโี ลกมนุษย โลกเทวดา มนุษยอยู ใตอ ิทธพิ ลพยา ‘แถน’ เมอ่ื ถอื วา มแี ถนกม็ ี ฝน ฟา ลม เปน อทื ธิพลของแถนหากทาํ ใหแ ถน โปรดปรานมนุษยกจ็ ะมีความสุขดงั น้นั จงึ มี อิทธพิ ลของแถน การจดั บ้ังไฟก็อาจเปน อกี วิธี หนึ่งทีแ่ สดงความเคารพหรือสง สัญญาณหรือสง สัญญาณความภัคดีไปยงั แถน ชาวอสี านจาํ นวน มากเชอ่ื วา การจดุ บง้ั ไฟเปน การขอฝนจากพยา แถนและมนี ิทานปรัมปราเชน น้ียงั ไมพบหลกั ฐาน ที่แนนอนนอกจากนใ้ี นวรรณกรรมอีสานยังมคี วามเช่ืองอยางหนึ่งคอื เรอื่ งพยาคนั คาก หรือ คางคกพยาคันคากไดรบกบั พยาแถน จนชนะ แลวใหพ ยาแถนบนั ดาลฝนลงมาตกยงั โลกมนุษย
ความหมายของบ้ังไฟ คาํ วา”บ้ังไฟ”ในภาษาถิ่น อีสานมักจะสับสนกับคําวา”บองไฟ” เเตท ่ีถูกน้ันควรเรยี กวาบงั้ ไฟดังท่ีเจริญชยั ดงไพโรจนไ ดอ ธิบาย ความเเตกตา งของคาํ ทง้ั สองไววา บ้งั หมายถงึ สงิ่ ที่เปนกระบอก เชน บ้ังทงิ สําหรบั ใสนาํ ้ดมื่ หรือบัง้ ขา วหลาม เปนตน
สวนประกอบของบ้งั ไฟ 1.เลาบั้งไฟ สวนประกอบท่ที าํ หนา ทบี่ รรจดุ ินปน มีลกั ษณะเปน รูปทรง กระบอกกลมยาว 2.หางบ้งั ไฟ ถือเปนสว นสาํ คัญทําหนา ทค่ี ลา ยหางเสือของเรอื คือสรางความ สมดุล 3.ลกู บั้งไฟ เปนลาํ ไมไ ผท ่ีนํามาประกอบเลาบงั้ ไฟโดยมดั รอบลาํ บงั้ ไฟ 4.ลายบ้งั ไฟ ใชลายศลิ ปไทย คือลายนกเปนพ้ืนฐานในการลบี ลายบง้ั ไฟ 5.ตัวบ้ังไฟ มีลูกโอจะใชส ายประจาํ ยามลายหนา เทพพนม ลายหนา กาล 6.กรวยเชิง เปนลวดลายไทยทเ่ี ปน อยเู ชิงเสนยาบทีป่ ระดับพร้ิวลงมาจาก ชวงตัวบ้งั ไฟ
7.ยาบ เปนผาประดับใตเลาบ้งั ไฟ เชน ลายดานขดุ ลายกา นดอกใบเทศ 8.ตัวพระนบ เปนรูปลักษณส ่ือถงึ ผาเเดงนางไอ 9.กระรอกเผือก ทาวนังดเี เปลงรางมาเพอื่ ใหน าไอห ลงไหล 10.ปลองคาด ลายปก รอ ย ลายลกู พัดประเทศ 11.เกรนิ เปน สวนท่ยี ่นื ออกสองขางของบษุ บก 12.บษุ บก เปน องคประกอบไวบ นราชรก 13.ตางบั้งไฟ ลายกระจับปฏญิ าณ ลายกานบด 14. ลายประกอบตกเเตงอื่นๆ ลายกระจังตงั้ กระจงั รวน
ประเภทของบั้งไฟ 1. บง้ั ไฟโหวด บัง้ ไฟโบดหรือโหวดเปน บัง้ ไฟขนาดเลก็ ตัวกระบอกจะยาวข้นึ ประมาณ 4-10 นว้ิ บรรจุหมอ่ื หนักประมาณ 1 สว น 8 ถึง 1 สวน 2 กิโลกรัม ใชหางยาวประมาณ 1-4 เมตร มีกระบอกไมไ ผเ ลก็ ๆ มัดวางรอบตวั บงั้ ไฟ นิยมทาํ ประกอบกันในบัง้ ไฟใหญ (บงั้ ไฟ หมน่ื , บ้ังไฟแสน) ปจ จุบันไมคอ ยนยิ มทาํ เพราะไมมีชาง 2. บ้งั ไฟมา บัง้ ไฟชนิดนี้เปน บง้ั ไฟขนาดเล็กจุดไปตามทิศทางที่กาํ หนดใชเสนลวดเปน วถิ ีตรึงไปยังเปาหมายทีต่ อ งการ ลกั ษณะท่ัวไปเปน บงั้ ไฟทที่ ําจากกระบอกไมไ ผ 1 ปลอ ง ขนาดแลวแตต องการ โดยท่ัวไปเสนผาศนู ยกลางประมาณ 2 น้วิ ยาวประมาณ 1 ฟตุ ทาง ภาคกลางและภาคอสี านเรยี กวา “ลูกหนู” คลา ยมา ท่กี าํ ลังว่ิง ถา ติดรูปอะไรกเ็ รียกช่อื ไปตามนัน้ เปนคนขมี่ า รปู ววั แลว แตจะทํา รปู อะไร บางคร้งั ภาคเหนือเรยี กวา บอกไฟยงิ 3. บัง้ ไฟชางบง้ั ไฟชนดิ นีไ้ มม หี าง มีชือ่ อีกอยางหน่งึ วากระโพกหรือตะโพก เวลาจดุ ไมต องการใหพ ุงข้ึนไปแตต อ งการมเี สยี ง รอ งคลายกบั ชา งรอ ง วธิ ที ําบง้ั ไฟใหใชกระบอกไมไ ผท ม่ี ขี นาดใหญท่สี ดุ ยาวเพยี งปอ งเดียวใหม ีขอปด ท้งั 2 ดาน ทบุ ไมไผใ ห แตกเล็กนอ ย เจาะรู เพื่อบรรจหุ ม่อื แลวตอชนวนเขา รูแทง หมอ่ื ทําจากหมอ่ื ถาน 3-4 อัดลงในไมไผข นาดเล็กใหแ นน แลวผา เอา แทงหม่อื ออกมาคลา ยขา วหลาม ใหไดแ ทงประมาณ 3 นิ้ว การจุดนนั้ นิยมตอ พว งชนวนบ้งั ไฟใหญ เวลาจดุ ชนวนผา จะเกิดเสยี ง ดังเหมอื นเสยี งชา งรอง นยิ มวางตอ กนั เปนชวงๆ กระบอก ถาตองการจะใหมีเสยี งดังอยางไรกจ็ ะมเี ทคนิคในการทาํ ใหเกดิ เสยี ง นั้นๆ
4. บ้งั ไฟแสน บัง้ ไฟชนดิ น้ีเปนบ้ังไฟขนาดใหญท่สี ดุ บรรจุดนิ ปน หนัก 120 กิโลกรัมขึน้ ไป บ้งั ไฟขนาดน้ีทํายากที่สดุ จะตองอาศยั ความ ชาํ นาญเปน พิเศษ เพราะบ้ังไฟขนาดนหี้ ากแตกแลว จะเปนอนั ตรายมาก เพราะฉะนัน้ กอ นทําบ้งั ไฟจะตอ งมพี ธิ กี รรม บวงสรวงใหถ กู ตอ งตามหลักการทําบ้งั ไฟแสนเสยี กอ นจึงจะลงมือทํา เม่อื ตกบั้งไฟเสรจ็ เรยี บรอ ยแลว จะมกี ารตกแตง ประดบั ประดาบั้งไฟ 5. บั้งไฟตะไล บง้ั ไฟชนดิ นีก้ ็คือบัง้ ไฟจนิ ายขนาดใหญน น่ั เอง มีความยาวประมาณ 9-12 นว้ิ รูปรางกลมมีไมบ างๆ แบนๆ เปนวงกลม ครอบหัวทา ยบ้งั ไฟเมอื่ พุงข้นึ สฟู าไปโดยทางขวาง 6. บง้ั ไฟต้อื บั้งไฟตอ้ื หรือบงั้ ไฟกระแตน่ังตอ เปน บั้งไฟขนาดเลก็ มหี างสั้น วธิ ีทาํ ตดั กระบอกไมไ ผข นาด 1 นิว้ คร่ึงยาวประมาณ 3 นิว้ อัดหมอ่ื ใหแ นน ประมาณ 2 นวิ้ ใชหมือ่ ถานสามหรอื ถานส่อี ัดดว ยเถียดไมใ หแนน ตอ หางซงึ่ ทาํ จากไมไ ผ เหลาเปนแทง เล็กๆ ใชเล่ือยตัดมมุ ขอ ออกจนเหน็ หมื่อ เจาะใหเปนรูเลก็ ๆ แลว ติดชนวน เวลาจะจดุ เอาหางเสียบลงในแทน ที่ตงั้ พอใหตงั้ ได จดุ ชนวนจากดา นบน บงั้ ไฟจะพงุ และหมนุ ข้นึ สอู ากาศ เกดิ เสียงดังตือๆ เวลาหมนุ จะไมคอ ยมีทศิ ทาง ใชจุดในงานศพ เวลาจุดมอี ันตรายมากไมค อ ยนยิ มทาํ กัน 7. บั้งไฟพลุ บ้ังไฟพลุ เปน บงั้ ไฟทน่ี ยิ มจุดในเทศกาลตางๆ เชน งานกฐิน งานบญุ มหาชาติ หรือ งานเปดกีฬา ฯลฯ เปน บั้งไฟที่จุดแลว ทาํ ใหเ กิดเสยี งดงั ในอดีตนยิ มจดุ ในงานกฐนิ เพื่อเปนการบอกขาวไปยังพีน่ องประชาชนทวั่ ไปใหท ราบ
กาํ หนดประเพณีบงั้ ไฟ อ.พนมไพร จ.รอ ยเอ็ด ป 2556 -วันขึน้ 15 ค่าํ เดือน 7 ปมะเส็ง จ.ศ.1376 ตรงกบั วนั อาทติ ยที่ 23 มถิ นุ ายน พ.ศ. 2556 (วนั แหบ้ังไฟ) วนั จดุ บัง้ ไฟทกุ วันแรม 1 คํา่ เดอื น 7(วนั จนั ทรท่ี 24 มิถนุ ายน 2556) ป 2557 -ข้นึ 15 คา่ํ เดอื น 7 ปม ะเมีย จ.ศ.1376 ตรงกบั วนั พฤหัสบดี วันที่ 12 มถิ นุ ายน พ.ศ.2557 (วนั แหบัง้ ไฟ) ป 2558 -ขึน้ 15 คํา่ เดือน 7 ปม ะแม จ.ศ.1377 ตรงกบั วันจนั ทรวนั ที่ 1 มิถนุ ายน พ.ศ.2558 (วัน แหบ ัง้ ไฟ) ป 2559 -ข้ึน 15 ค่าํ เดือน 7 ปว อก จ.ศ.1378 ตรงกับวันอาทิตยวนั ท่ี 19 มถิ นุ ายน พ.ศ.2559 (วนั แหบงั้ ไฟ) ป 2560 -ข้นึ 15 คํ่า เดือน 7 ปร ะกา จ.ศ.1379 ตรงกบั วันศกุ รวนั ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ.2560 (วันแห บั้งไฟ) ป 2561 -ขึ้น 15 คา่ํ เดือน 7 ปจ อ จ.ศ.1380 ตรงกบั วันอังคารวันท่ี 29 พฤษภาคม พ.ศ.2561 (วัน แหบง้ั ไฟ) ป 2562 -ขน้ึ 15 คา่ํ เดือน 7 ปกนุ จ.ศ.1381 ตรงกับวนั จันทรว นั ที่ 17 มถิ นุ ายน พ.ศ.2562 (วันแห บั้งไฟ)
ภมู หิ ลงั ประวตั ิศาสตร บนั ทึกเกี่ยวกบั \"บญุ บั้งไฟ\" ในประเทศไทย บัง้ ไฟ เปน จรวดโบราณสมัยกอนประวัตศิ าสตร ซ่ึงเปน ภมู ิปญ ญาเทคโนโลยีลํ้ายุคของชนเผา ไทท่ีคิดคนขน้ึ มาไมต ํ่ากวา 5,000 ป กอนจะแยกยายมาเปน เผาตา ง ๆ จุดมุงหมายในการทาํ บง้ั ไฟนน้ั เพ่อื ใชในประเพณีขอฝน ซง่ึ ปรากฏจากหลักฐานการจดุ บ้ังไฟ เพอ่ื ใชในประเพณขี อ ฝนของชนเผาไท มหี ลักฐานปรากฏการจุดบ้งั ไฟขอฝนในเผา ไทลอื้ ไท-ยวน ไทพวน ไทอสี าน ไทดาํ ไทแดง ไทครง้ั และอ่ืน ๆ อกี มากมาย ประเพณีการจดุ บงั้ ไฟของชาวไทล้อื แหงอาณาจักรสบิ สองปนนาวา ชาวไทลอ้ื มีภูมลิ ําเนาดง้ั เดิม อยูทแ่ี ควนสิบสองปน นามาต้งั แตดกึ ดาํ บรรพ โดยพบหลักฐานวา ตง้ั แตสมยั ราชวงศเจา ไมตํ่า กวา 3,000 ป ดังน้นั การจุดบ้ังไฟจงึ เปนภมู ิปญ ญากอนประวตั ิศาสตรข องชาวไทลื้อแหง อาณาจกั รสิบสองปน นา ในมณฑลยูนนาน กอนทจ่ี ะอพยพมาอยใู นประเทศไทย
ชาวไทลอื้ จะนยิ มเรยี กบ้ังไฟวา **บอกไฟข้นึ ** วัตถุประสงคใ นการจดุ บอกไฟขึ้น (ฟา) เพ่อื บูชาพระอินทร หรือพระยาแถน ขอใหฝ นตกตองตามฤดูกาล ซึ่งจะทํา ในชว งเทศกาลสงกรานต นอกจากนนั้ ชาวไทลื้อยังจุดบอกไฟดอก (ดอกไมไ ฟ) ในงานบุญ เชน งานฉลองทีว่ ัด งานเทศนม หาชาติ งานผาปา กฐนิ จุลกฐิน ฯลฯ สวนประเพณกี ารจุดบอกไฟของไท-ยวนแหงอาณาจกั รลา นนา อาจารยอรไทเลาวา ชาวไท ยวน เปนชนเผาไทเมอื งหรอื ไทมงุ ทีอ่ พยพมาจากอาณาจักรไทเดิม ในมณฑลยูนนานไมต่าํ กวา 2,000 ปม าแลว ไดก อ ต้ังอาณาจักรโยนกนครขน้ึ บริเวณลมุ นํ้าโขง ดังนัน้ การจุดบอกไฟ จงึ เปน ประเพณีโบราณของชนเผา ไท-ยวนมาตัง้ แตอาณาจกั รไทเมอื งไมต าํ่ กวา 5,000 ปม า แลว กอ นท่ีจะอพยพมาตง้ั อาณาจกั รโยนกนคร เมอ่ื ประมาณ 2,000 ปก อ น ชาวไท-ยวนจะ เรยี กวา บอกไฟขน้ึ เชนเดียวกบั ไทลอื้ และเมอื่ ทําบอกไฟแลวจะนาํ ไปประกอบพธิ ีกรรมทาง ศาสนาพุทธทีว่ ดั เรยี กวา การประเคนบ้งั ไฟ อีกท้ังจะมกี ารแตงเพลงที่ใชเ ซ้งิ บอกไฟ และมีการ แหเซ้ิงบอกไฟไปทกี่ าง (คา ง) บอกไฟ ทท่ี าํ เปน เสาสูงใชไมตเี ปน บันไดสูงข้ึนไป เพ่ือติดตง้ั บอก ไฟใหสงู เวลาจดุ จะไดส ง ใหบอกไฟข้ึนสงู ย่งิ ขนึ้ ปจ จบุ ันชาวไท-ยวน ท่ี อําเภอลอง จงั หวัดแพร ยงั คงสบื ทอดการจุดบอกไฟนีป้ ระเพณีเชน เดมิ
สวนประเพณีการจุดบอกไฟของไท-ยวนแหงอาณาจักรลานนา อาจารยอ รไทเลา วา ชาวไท-ยวน เปนชนเผาไทเมืองหรือไทมงุ ทีอ่ พยพมาจากอาณาจกั รไทเดมิ ในมณฑลยูนนานไมต า่ํ กวา 2,000 ปม าแลว ไดกอ ตั้งอาณาจักรโยนกนครขึน้ บรเิ วณลุม นํา้ โขง ดังน้นั การจดุ บอกไฟจึงเปน ประเพณีโบราณของชนเผาไท-ยวน มาตงั้ แตอาณาจักรไทเมอื งไมตํา่ กวา 5,000 ปมาแลว กอนทจี่ ะอพยพมาต้งั อาณาจักรโยนกนคร เม่ือประมาณ 2,000 ปกอ น ชาวไท-ยวนจะเรียกวา บอกไฟ ข้นึ เชน เดยี วกบั ไทล้ือ และเมื่อทําบอกไฟแลวจะนําไปประกอบพิธีกรรมทาง ศาสนาพุทธที่วัดเรียกวา การประเคนบ้งั ไฟ อกี ท้งั จะมีการแตง เพลงทใ่ี ชเ ซ้งิ บอก ไฟ และมีการแหเ ซ้งิ บอกไฟไปท่กี าง (คา ง) บอกไฟ ทีท่ าํ เปน เสาสงู ใชไมตเี ปน บนั ไดสูงขึน้ ไป เพ่อื ติดตงั้ บอกไฟใหส งู เวลาจุดจะไดส ง ใหบ อกไฟขึ้นสูงยิ่งขน้ึ ปจ จบุ นั ชาวไท-ยวน ที่ อําเภอลอง จังหวัดแพร ยังคงสืบทอดการจุดบอกไฟนี้ ประเพณีเชนเดิม
สวนประเพณีบุญบ้งั ไฟของชาวไทถิ่นอสี านแหง อาณาจกั รลานชางน้ี ชาวไทถิน่ อีสาน เปน ชนเผาไทลาวมีประวตั ิความเปน มาทเี่ กา ทสี่ ดุ \"เตอรเรยี น เดอ ลา คูเปอรี\" ศาสตราจารยชาวองั กฤษ ประจาํ มหาวิทยาลยั ลอนดอน ผเู ชย่ี วชาญทาง ภาษาศาสตรข องอินโดจีนระบวุ า ชนเผา ไทมภี ูมิลําเนาด้ังเดิมอยตู อนกลางของ ประเทศจีน ระหวางแมน ํา้ ฮวงโหและแมนา้ํ แยงซเี กียง บริเวณหบุ เขาระหวาง แควนเสฉวนกบั แควน เชนซี (เซยี มไซ) โดยพบหลกั ฐานการกลาวถึงอาณาจกั รไท ซ่งึ ปรเะมเพืองณขบี อุญงชบนัง้ ไชฟาตดอิ้งั เาดยมิ ลขาอวงมชานตเัง้ผแาตอ า 4ย,2ล0า0ว ปกมอานแทล่จี วะอซพ่งึ ยชพนลชงามตาิอตาั้งยอลาาณวเาปจนกั ชราลวา น ชา งบพนฝน้ื งเมแอื มงน ดํา้ ัง้ โเขดงิมนข้ันองชปารวะอเทสี ศานจีนมีตกาํ อนนาทนพ่ี คววกามจเีนชฮ่ือ่ันเกจย่ีะอวพกบัยบพุญมาบจัง้ าไกฟทซาง่งึ เเหปนนือพธิ ีกรรมที่ เกาแกม าต้ังแตสมยั กอนประวตั ิศาสตร เชน ตํานานพระยาคนั คาก ตาํ นานทาวผาแดง นางไอ เปน ตน ประเพณจี ุดบงั้ ไฟจะทาํ ในเดือนหก ถาฝนไมต กตอ งตามฤดกู าล ชาว อสี านจะจดุ บั้งไฟเพือ่ บชู าและสง สัญญาณเตอื นพระยาแถนหรอื วสั สการเทวดา (เทวดา แหงฝน) ผชู อบการบูชาดว ยไฟ เพอ่ื ดลบนั ดาลใหฝนตกเพื่อมีนํา้ ฝนในการทาํ นาทาํ ไร
สมาชกิ ในกลมุ
ด.ญ.ใกลรุง ศรปี ระเสริฐ เลขท่ี 2 ช้นั ม.3/4
ด.ญ ชตุ ิกัญญา สุขสมกิจ เลขที่3 ช้นั 3/4
ด.ญ.ภทั รกญั ญา แกวรัตนชัย เลขท่ี 4 ช้ันม3/4
Search
Read the Text Version
- 1 - 18
Pages: