วทิ ยาลยั การแพทยแ์ ผนไทย มทร.ธญั บุรี 48 คู่มืออบรมการนวดไทย 2. ระบบกล้ามเนื้อ ระบบกลา้ มเน้ือเป็นระบบท่ีทาหนา้ ท่ีเกี่ยวกบั การเคลื่อนไหวของร่างกาย โดยจะอาศยั คุณสมบตั ิการ หดตวั ของใยกลา้ มเน้ือ ทาให้กระดูกและขอ้ ต่อเกิดการเคล่ือนไหว นอกจากการเคล่ือนไหวของกระดูกและ ขอ้ ต่อแล้ว ยงั มีการเคลื่อนไหวของอวยั วะภายในร่างกาย เช่น การเต้นของหัวใจ การบีบตวั ของเส้น โลหิต การบีบตวั ของกระเพาะอาหาร ลาไส้ และการทางานของปอด เป็ นตน้ โดยทวั่ ไปกลา้ มเน้ือใน ร่างกายท้งั หมดมีน้าหนกั ประมาณ 2/5 ของน้าหนกั ตวั ส่วนประกอบของกลา้ มเน้ือ ไดแ้ ก่ น้า 75% โปรตีน 20% (ส่วนใหญ่เป็ น actin และ myosin) และ สารอ่ืนๆอีก 5% คือ เกลือแร่ ไกลโคเจน และไขมนั 2.1 ชนิดของกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้อลาย (Skeletal Muscle) ทาหนา้ ที่สาคญั เก่ียวกบั การเคลื่อนท่ี การหายใจ การทรงตวั และ การรักษาอุณหภูมิของร่างกาย ในส่ิงมีชีวิต กล้ามเน้ือลาย เป็ นส่วนประกอบท่ีมีมากที่สุดของร่างกาย คือ ราวๆ 44% ของน้าหนกั ตวั เซลลก์ ลา้ มเน้ือน้ีมีลกั ษณะเป็ นทรงกระบอกยาว แต่ละเซลล์มีหลายนิวเคลียสอยู่ ท่ีขอบของเซลล์ การทางานของกลา้ มเน้ือยดึ กระดูกถูกควบคุมโดยระบบประสาทโซมาติก การทางานของ กลา้ มเน้ือชนิดน้ี ร่างกายสามารถบงั คบั ไดซ้ ่ึงถือวา่ อยใู่ นอานาจจิตใจ และพบวา่ เซลล์กลา้ มเน้ือจะไม่มีการ
วทิ ยาลยั การแพทยแ์ ผนไทย มทร.ธญั บุรี 49 คู่มืออบรมการนวดไทย เพิ่มและลดจานวน แต่อาจมีการเปล่ียนแปลงขนาดได้ เมื่อมีการใชง้ านมากข้ึน เซลลจ์ ะมีขนาดใหญ่ข้ึน แต่ หากไมม่ ีการใชง้ าน เซลลจ์ ะลดขนาดลง กล้ามเนื้อเรียบ(Smooth Muscle) เป็ นกลา้ มเน้ือท่ีพบอยู่ตามอวยั วะภายในทาหน้าท่ีควบคุมการ ทางานของอวยั วะยอ่ ยอาหารและอวยั วะภายใน ต่างๆ เช่น ผนงั กระเพาะอาหาร ผนงั ลาไส้ ผนงั หลอดเลือด และม่านตา เป็ นต้น กลา้ มเน้ือเหล่าน้ี ประกอบดว้ ยเซลล์ที่มีลักษณะยาว หัวทา้ ยแหลม แต่ละเซลล์มี 1 นิวเคลียส ไม่มีลายพาดขวาง การทางานของกลา้ มเน้ือเรียบถูกควบคุมโดยระบบประสาทอิสระ (Autonomie Nervous System) กล้ามเนื้อหัวใจ (Cardiac Muscle) กลา้ มเน้ือหัวใจประกอบเป็ นกลา้ มเน้ือหวั ใจเพียงแห่งเดียวอยู่ นอกอานาจจิตใจโดยควบคุมโดยระบบประสาทอตั โนมตั ิมีลกั ษณะเป็นเซลลร์ ูปทรงกระบอกมีลายตามขวาง เป็ นแถบสีทึบสลบั กบั สีจางเซลลก์ ลา้ มเน้ือตอนปลายของเซลล์มีการแตกแขนง ไปประสานกบั แขนงของ เซลลใ์ กลเ้ คียงเซลลท์ ้งั หมดจึงหดตวั พร้อมกนั และหดตวั เป็นจงั หวะตลอดชีวติ 2.2 กล้ามเนื้อสาคญั ในส่วนต่างๆของร่างกาย 2.2.1 กล้ามเนื้อขา กลา้ มเน้ือขาทอ่ นล่าง (ดา้ นหนา้ ) - Tibialis anterior ทาหนา้ ที่ งอหลงั เทา้ เหยยี ดนิ้วเทา้ หมุนฝาเทา้ เขา้ ขา้ งใน - Peroneus longus ทาหนา้ ที่ เหยยี ดเทา้ กางและหมุนเทา้ ออกขา้ งนอก - Peroneus brevis ทาหนา้ ที่ เหยยี ดเทา้ หมุนเทา้ ออกขา้ งนอก - Extensor digitorum longus ทาหนา้ ที่ งอเทา้ เหยยี ดนิ้วเทา้ หนั เทา้ ออกขา้ งนอก กลา้ มเน้ือขาทอ่ นล่าง (ดา้ นหลงั ) - Gastrocnemius (กลา้ มเน้ือน่อง) ทาหนา้ ที่ เหยยี ดขอ้ เทา้ งอปลายขา - Soleus ทาหนา้ ท่ี เหยยี ดขอ้ เทา้
วทิ ยาลยั การแพทยแ์ ผนไทย มทร.ธญั บุรี 50 คู่มืออบรมการนวดไทย กลา้ มเน้ือตน้ ขาดา้ นหนา้ ประกอบดว้ ยกลา้ มเน้ือมดั ใหญ่ๆ ที่เรียกวา่ Quadriceps femoris มี 4 มดั คือ Rectus femoris , Vastus lateralis, Vastus medialis, Vastus Intermedius ทาหนา้ ท่ี เหยยี ดปลายขาและงอ ตน้ ขา Hamstring muscles กลา้ มเน้ือตน้ ขาดา้ นหลงั ประกอบดว้ ยกลา้ มเน้ือกลุ่ม Hamstring muscles เป็นพวก งอปลายขา ข้ึนมา มี 3 มดั คือ - Biceps femoris ทาหนา้ ท่ีงอปลายขาเหยยี ดตน้ ขา - Semitendinosus , Semimembranosus ทาหนา้ ที่ งอปลายขา หมุนปลายขาเขา้ ขา้ งใน
วทิ ยาลยั การแพทยแ์ ผนไทย มทร.ธญั บุรี 51 คู่มืออบรมการนวดไทย 2.2.2 กล้ามเนื้อสะโพก - Gluteus maximus (กลา้ มเน้ือกน้ ) ทาหนา้ ที่ เหยยี ดและกางตน้ ขา - Gluteus medius ทาหนา้ ที่ กางตน้ ขา - Gluteus minimus ทาหนา้ ท่ี หมุนตน้ ขาเขา้ ขา้ งใน ตาแหน่งเปิ ดประตูลม - Femeral artery เส้นเลือดแดงท่ีส่งเลือดไปเล้ียงขาท้งั หมด
วทิ ยาลยั การแพทยแ์ ผนไทย มทร.ธญั บุรี 52 คู่มืออบรมการนวดไทย 2.2.3 กล้ามเนื้อแขน - Deltoid (กลา้ มเน้ือไหล่) ทาหนา้ ท่ี ยกตน้ แขนข้ึนมาขา้ งบนใหไ้ ดร้ ะดบั กบั ไหล่เป็ นมุมฉาก - Biceps brachii (ไบเซฟส์แบรคิไอ) ทาหนา้ ที่ งอขอ้ ศอกและหงายมือ - Triceps brachii (ไตรเซฟส์แบรคิไอ) ทาหนา้ ที่ เหยยี ดปลายแขนหรือขอ้ ศอก - Brachioradialis ทาหนา้ ที่ งอปลายแขนและหงายมือ - Flexor carpi ทาหนา้ ท่ี คว่าแขนทอ่ นล่าง งอและหุบมือ - Extensor carpi ทาหนา้ ท่ี เหยยี ดและกางขอ้ มือ ตาแหน่งเปิ ดประตูลม ตาแหน่งเปิ ดประตูลมแขนจะกดดา้ นล่างของกลา้ มเน้ือ biceps brachii m. บริเวณเส้นเลือดแดงแขน (Brachial artery)
วทิ ยาลยั การแพทยแ์ ผนไทย มทร.ธญั บุรี 53 คู่มืออบรมการนวดไทย 2.2.4 กล้ามเนื้อหลงั กลา้ มเน้ือหลงั มีอยหู่ ลายมดั อยทู่ ี่เบ้ืองหลงั ของลาตวั ต้งั แต่หลงั คอลงไปจนถึงบ้นั เอว ที่ช้นั ต้ืนมีกลา้ มเน้ือมดั ใหญ่ ๆ อยู่ 2 มดั และช้นั ลึกที่สุดอีก 1 มดั - Trapezius ทาหนา้ ที่ ร้ังสะบกั มาขา้ งหลงั ร้ังศีรษะไปขา้ งหลงั - Latissimus dorsi ทาหนา้ ท่ี หุบแขนเขา้ หาตวั หมุนแขนดา้ นหวั แมม่ ือเขา้ หาตวั และเหยยี ดหวั ไหล่ - Elector spinae ทาหนา้ ที่ ดึงกระดูกสนั หลงั ใหต้ ้งั ตรง
วทิ ยาลยั การแพทยแ์ ผนไทย มทร.ธญั บุรี 54 คู่มืออบรมการนวดไทย
วทิ ยาลยั การแพทยแ์ ผนไทย มทร.ธญั บุรี 55 คู่มืออบรมการนวดไทย การนวดไทยเชลยศักด์ิ หมายถึง การนวดแบบสามญั ชน มีการสืบทอดฝึกฝนแบบแผน การนวดตามวฒั นธรรมทอ้ งถิ่น ซ่ึง เหมาะสาหรับชาวบา้ นจะนวดกนั เอง ใชส้ องมือและอวยั วะส่วนอ่ืนโดยไม่ตอ้ งใชย้ า ในปัจจุบนั จึงเป็ นท่ีรู้จกั และแพร่หลายในสังคมไทย ประโยชน์ของการนวด 1. การไหลเวยี นโลหิตดีข้ึน : เน้ือเยอื่ ไดร้ ับอาหารมากข้ึนและของเสียถูกขจดั ออกไปเร็วข้ึน ช่วย ละลายหินปูนที่เกาะอยตู่ ามขอ้ หรือกระดูก 2. การไหลเวยี นของน้าเหลือง : การนวดช่วยใหก้ ารไหลเวยี นของน้าเหลืองตามผิวหนงั และเน้ือเย่ือใต้ ผิวหนังดีข้ึน ช่วยให้การดูดซึมของเสียดีข้ึน และใช้รักษาอาการบวมไดด้ ว้ ย แต่ในกรณีที่มีการ อกั เสบไม่ควรนวด เพราะอาจทาใหบ้ วมมากข้ึนได้ 3. การนวดต่อระบบกระดูกและกลา้ มเน้ือ : การนวดจะช่วยใหก้ ลา้ มเน้ือคลายจากอาการลา้ ไดเ้ ร็วข้ึน และช่วยให้ความตึงตวั ของกลา้ มเน้ือเป็ นปกติดี การนวดจะช่วยลดการเกิดพงั ผืดและการหนาตวั ของเน้ือเยอ่ื 4. การนวดมีผลให้อุณหภูมิบริเวณที่ถูกนวดเพิ่มข้ึน 2-3 องศาเซลเซียส ส่งผลให้มีการขบั เหงื่อ และ ไขมนั ออกมากข้ึน หลงั การ 5. การนวดมีผลกระตุน้ การเคล่ือนไหวของกระเพาะอาหารและลาไส้ทาให้การยอ่ ยอาหารและการ ขบั ถ่ายของเสียดีข้ึน ลดอาการทอ้ งผกู และกระตุน้ ความอยากรับประทานอาหาร
วทิ ยาลยั การแพทยแ์ ผนไทย มทร.ธญั บุรี 56 คู่มืออบรมการนวดไทย ข้นั ตอนการนวดไทยเชลยศักด์ิ 1. ไหว้ : เพอ่ื ขอขมาผถู้ ูกนวด และ ระลึกถึงครูอาจารย์ 2. จับชีพจร : ดูลมเพื่อสูงและลมเบ้ืองต่า 3. ไขว้ปลายเท้า ซ้าย-ขวา : ยดื เหยยี ดกลา้ มเน้ือโดยการไขวป้ ลายเทา้ ท้งั 2 ขา้ ง (ซา้ ยทบั ขวา , ขวาทบั ซา้ ย) 4. ดนั ปลายเท้า : ท้งั 2 ขา้ ง ข้ึน 5. กดปลายเท้า : ท้งั 2 ขา้ ง ลง 6. นวดคลงึ หลงั เท้า และดึงนิว้ เท้า (จากหวั แม่เทา้ ไปจนถึงนิ้วกอ้ ย) ทาทีละขา้ ง
วทิ ยาลยั การแพทยแ์ ผนไทย มทร.ธญั บุรี 57 คู่มืออบรมการนวดไทย 7. หัวแม่มือนวดฝ่ าเท้า 3 แนว : ใชน้ ิ้วหวั แมม่ ือท้งั 2 ขา้ ง กดคลายฝ่ าเทา้ 3 แนว ถ่ายเทน้าหนกั ซา้ ย-ขวา แนวท่ี 1 ใตน้ ิ้วหวั แม่เทา้ แนวที่ 2 ใตน้ ิ้วกลาง แนวที่ 3 ใตน้ ิ้วกอ้ ย ข. ข้นั ตอนการนวดขาข้างซ้าย--ขวา 2. เปิ ดประตูลม ผถู้ ูกนวด : นอนหงาย งอเข่า ผนู้ วด : คุกเขา่ กน้ ลอย 1. ท่าเลข4 : กดยดื กลา้ มเน้ือขาท่อน-ดา้ นใน กดยดื คา้ งไว้ 5 วนิ าที 3. ท่าผเี สื้อนวดขาท่อนบน : เร่ิมจากเหนือหวั เขา่ -ขาหนีบ ทาข้ึน-ลง
4. อ้งุ มือเดียวนวดขาท่อนล่าง วทิ ยาลยั การแพทยแ์ ผนไทย มทร.ธญั บุรี 58 คู่มืออบรมการนวดไทย 5. ท่ายนั : ส้นเทา้ ยนั ขาทอ่ นบนดา้ นใน 6. สองมือโกยขาท่อนบน ทาข้ึน-ลง 7. มือประสาน ส้นมือบบี ขาท่อนบน : เริ่มจากเหนือ หวั เข่า-โคนตน้ ขา 8. ปลายนิว้ นวดน่อง : กดนวดกลา้ มเน้ือน่อง 9. ท่าดนั เข่าชิดอก : มือขวาจบั เข่า มือซา้ ยกดหลงั ขอ้ เทา้ เร่ิมจากขอ้ พบั เข่า-เอ็นร้อยหวาย ลง โนม้ ตวั ดนั เขา้ หาผถู้ ูกนวด คา้ งไว้ 5 วนิ าที
10. ท่าแขนสอดใต้เข่ากดนวด : เทน้าหนกั ตวั กดดนั วทิ ยาลยั การแพทยแ์ ผนไทย มทร.ธญั บุรี 59 คู่มืออบรมการนวดไทย 11. ท่าดัดปลายเท้า 12. ต้งั ขาศอกกดนวดฝ่ าเท้า จากน้นั เปลี่ยนไปทาขาขา้ งขวาเช่นเดิม : โดยปรับการใชม้ ือแตล่ ะขา้ งใหส้ อดคลอ้ ง ค. ข้นั ตอนการนวดแขนซ้าย-ขวา และหลงั ท่านอนตะแคง 1. เปิ ดประตูลมแขน : ผนู้ วดใชส้ ้นมือซา้ ยกด 2. ส้นมือนวดกล้ามเนื้อแขนท่อนล่าง : ถึงเหนือขอ้ มือ บริเวณเส้นเลือดแดงแขน (Brachial artery) ประมาณ 15 วนิ าที
วทิ ยาลยั การแพทยแ์ ผนไทย มทร.ธญั บุรี 60 คู่มืออบรมการนวดไทย 3. นิว้ หวั แม่มือนวดกล้ามเนื้อแขนท่อนบน 4. นิว้ หวั แม่มือคู่นวดแขนท่อนล่าง 5. พบั แขน-ส้นมือนวดท้องแขน 6. มือเดียวนวดทว่ั แขน 7. นวดหลงั มือ : นวดหลงั มือ ร่องนิ้ว ดึงนิ้ว 8. ต้งั ศอกนวดมือ : ต้งั ศอกนวดคลายฝ่ ามือ รีดนิ้วมือ ประสานมือหมุนขอ้ มือ ตามเขม็ -ทวนเขม็ -ผลกั -กด ประคองมือ ลงชา้ ๆ จากน้นั จดั ใหผ้ นู้ วดนอนตะแคงไปทางขวา มือวางบนลาตวั
9. สองมือบีบนวดทว่ั แขน วทิ ยาลยั การแพทยแ์ ผนไทย มทร.ธญั บุรี 61 คู่มืออบรมการนวดไทย 10. นวดเนื้อชิดกระดูกสันหลัง (Elector spinae ) 11. นวดกล้ามเนื้อรอบสะบัก 12. หวั แม่มือนวดกล้ามเนื้อคอ จากน้นั เปลี่ยนไปนวดแขนขวาและหลงั ขา้ งขวาทา่ นอนตะแคง ง. ข้นั ตอนการนวดท่านอนควา่ 2. ฝ่ ามือกดโยกขา : กดกลา้ มเน้ือขาทอ่ นล่างข้ึนไปจนถึง 1. ส้นมือท้งั สองข้างนวดฝ่ าเท้า : ท่อนบน กดโยกตวั ถ่ายเทน้าหนกั ใชส้ ้นมือซา้ ย-ขวา กดโยกให้ทว่ั ฝ่ าเทา้
วทิ ยาลยั การแพทยแ์ ผนไทย มทร.ธญั บุรี 62 คู่มืออบรมการนวดไทย 3. พบั ขากดนวด (ซ้าย) : พบั ขาข้ึนปลายเทา้ ซา้ ยทบั ขวา 4. พบั ขากดนวด (ขวา) : พบั ขาข้ึนปลายเทา้ ขวาทบั ซา้ ย ส้นมือซา้ ยกดนวดกลา้ มเน้ือ Tibialis anterior ส้นมือซา้ ยกดนวดกลา้ มเน้ือ Tibialis anterior 5. ขัดขาพบั เข่าซ้าย : ส้นมือกดนวดขาซา้ ยท่อนบน 6. ขัดขาพบั เข่าขวา : ฝ่ ามือกดนวดขาขวาท่อนบน ดา้ นหลงั (hamstring) ดา้ นหลงั (hamstring) 7. ผเี สื้อหลงั : ทามือรูปผเี ส้ือ ส้นมือกดนวด 8. นิว้ หวั แม่มือคู่นวดหลงั : กดนวดกลา้ มเน้ือชิดกระดูก กลา้ มเน้ือชิดกระดูกส้นหลงั (Elector Spinae) ส้นหลงั (Elector Spinae)
9. นิว้ หวั แม่มือนวดคลายสะบกั ทลี ะข้าง : วทิ ยาลยั การแพทยแ์ ผนไทย มทร.ธญั บุรี 63 นวดรอบสะบกั ฝั่งไกลตวั และใกลต้ วั คู่มืออบรมการนวดไทย 10. นวดคลายกล้ามเนื้อคอตามแนวเส้นโค้งคอ จ. ข้นั ตอนการนวดท่านอนหงาย 2. นิว้ หัวแม่มือนวดคลายกล้ามเนื้อบ่า 1. ปลายนิว้ ท้งั สี่นวดคลายกล้ามเนื้อหลงั (Trapezius) : กดโยกซา้ ย-ขวา หงายมือปลายนิ้วท้งั ส่ีนวดคลายกลา้ มเน้ือบา่ ข้ึนมาพร้อมกนั 3. นิว้ หัวแม่มือนวดเส้นโค้งคอซ้าย-ขวา : 4. ไขว้มือยืดกล้ามเนื้อคอ ซ้าย-ขวา นิ้วหวั แม่มือซา้ ย (หงายมือ)กดนวดกลา้ มเน้ือข้ึน
วทิ ยาลยั การแพทยแ์ ผนไทย มทร.ธญั บุรี 64 คู่มืออบรมการนวดไทย 5. นวดหน้าผากและศีรษะ (7 ท่า) ( (( (( ( ( 6. ปลา1ยนิว้ ท้งั สี่นวดฐานก2ะโหลกศีรษะ 3 47. นวดขย้มุ ทว่ั ศ1ีรษะ 2 3 )) ) ) ) )) จ. ข้นั ตอนการนวดท่านั่ง 1. ส้นมือโยกคลายกล้ามเนื้อบ่า : กดโยกซา้ ย-ขวา 2. นิว้ หวั แม่คู่มือนวดกล้ามเนื้อบ่า
วทิ ยาลยั การแพทยแ์ ผนไทย มทร.ธญั บุรี 65 คู่มืออบรมการนวดไทย 3. ท่าศอกนวด trapezius ขนึ้ : ผนู้ วดนง่ั ทา่ พรหมส่ีหนา้ ศอกขา้ งหน่ึงกดนวด มืออีกขา้ งจบั ลอ็ คบริเวณหวั ไหล่ 4. นั่งพรหมสี่หน้านวดแนวเส้นโค้งคอ ซ้าย-ขวา 5. กดจุดฐานกะโหลก 3 จุด (ขวา-ซา้ ย-กลาง) 6. ท่ายืดเหยยี ดกล้ามเนื้อลาตัว : ยดื กลา้ มเน้ือ Latissimus dorsi (ไม่ควรใช้ท่านีก้ บั ผ้สู ูงอายุ ผ้ทู มี่ ีประวตั เิ กย่ี วกบั กระดูก สันกลงั หมอนรองกระดูก กล้ามเนื้อหลงั บาดเจ็บ/อกั เสบ ฯลฯ) ทาขา้ งละ 1 คร้ัง
วทิ ยาลยั การแพทยแ์ ผนไทย มทร.ธญั บุรี 66 คู่มืออบรมการนวดไทย 7. สับทว่ั หลงั (จบ) และไหว้เพื่อเป็ นการขอบคุณ
วทิ ยาลยั การแพทยแ์ ผนไทย มทร.ธญั บุรี 67 คู่มืออบรมการนวดไทย ทา่ ยืดเหยียด
วทิ ยาลยั การแพทยแ์ ผนไทย มทร.ธญั บุรี 68 คู่มืออบรมการนวดไทย เภสัชกรรมไทย ความหมายของสมุนไพร สมุนไพร (Medicinal Plant หรือ Herbs) หมายถึงสิ่งท่ีไดจ้ ากพืช สัตว์ และแร่ธาตุ ส่วนในพระราชบญั ญตั ิ คุม้ ครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทยแ์ ผนไทย พ.ศ. 2542 สมุนไพรยงั รวมถึงจุลชีพดว้ ย สมุนไพรสาหรับงาน สาธารณสุขมูลฐานส่วนใหญ่เป็ นพืชสมุนไพร ส่วนยาสมุนไพรตามพระราชบญั ญตั ิยา พ.ศ. 2510 หมายความวา่ ยาที่ไดจ้ ากพฤกษชาติ สัตว์ หรือแร่ธาตุ ซ่ึง มิไดผ้ สมปรุงหรือแปรสภาพ ในพระราชบญั ญตั ิคุม้ ครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทยแ์ ผนไทย พ.ศ. 2542 ให้ หมายรวมถึงยาที่ไดจ้ ากสมุนไพรที่มีการแปรสภาพดว้ ย ดงั น้นั ความหมายโดยรวมของยาสมุนไพรหมายถึงยาท่ีได้ จากพืช สัตว์ แร่ธาตุ และจุลชีพ สาระสาคัญในสมุนไพร การที่สมุนไพรมีสรรพคุณต่างๆและสามารถรักษาโรคไดน้ ้นั เน่ืองจากมีสารเคมีท่ีเป็ นองคป์ ระกอบใน สมุนไพรทาหนา้ ท่ีออกฤทธ์ิในการรักษาโรค ซ่ึงประกอบดว้ ยสารเคมีหลายชนิดสามารถแบ่งออกเป็นกลุ่มใหญๆ่ ได้ หลายกลุ่มเช่น คาร์โบไฮเดรต (Carbohydrates) เป็ นสารอินทรียท์ ี่ประกอบดว้ ย คาร์บอน ไฮโดรเจน และออกซิเจนเช่น แป้ง น้าตาล กมั (gum) วนุ้ (agar) น้าผ้งึ เพคติน เป็นตน้ ไขมนั (Lipids) พบไดใ้ นพืชหลายชนิดเช่น น้ามนั ละหุ่ง น้ามนั มะพร้าวเป็นตน้ นา้ มันหอมระเหย (Volatile oil หรือ Essential oil) เป็ นสารท่ีมีลกั ษณะเป็ นน้ามนั มีกล่ินและรสเฉพาะตวั ระเหยง่ายที่อุณหภูมิธรรมดา มีฤทธ์ิช่วยขบั ลม ฆ่าเช้ือโรค พบไดใ้ นพวกกระเทียม ขิง ขมิ้น ไพล มะกรูด กานพลู เป็ น ตน้ เรซินและบาลซัม (Resins and Balsams) เรซินเป็ นสารอินทรียห์ รือสารประสมประเภทโพลีเมอร์ มีรูปร่างไม่แน่นอน ส่วนใหญ่จะเปราะ แตกง่าย บาง ชนิดจะนิ่ม ไมล่ ะลายน้า ละลายไดใ้ นตวั ทาละลายอินทรีย์ เช่น ชนั สน เป็ นตน้ บาลซมั เป็นสารผสมที่ไดจ้ ากเรซินและกรดซินนามิก (Cinnamic acid) หรือ กรดเบนโซอิก (Benzoic acid) เช่น กายาน เป็นตน้ แอลคาลอยด์ (Alkaloids) เป็นสารอินทรียท์ ่ีมีไนโตรเจนเป็นองคป์ ระกอบ มกั พบในพชื ช้นั สูง ส่วนใหญ่มีรส ขม มีฤทธ์ิเป็นด่าง มีประโยชนใ์ นการรักษาโรคอยา่ งกวา้ งขวาง เช่นใชเ้ ป็ นยาระงบั ปวด ยาชาเฉพาะที่ ยาแกไ้ อ แก้ หอบหืด เป็นตน้ พบไดใ้ นพืชหลายชนิดเช่น หมาก ลาโพง ดองดึง ระยอ่ ม ยาสูบ ฝ่ิน เป็นตน้ กลยั โคไซด์ (Glycosides) เป็นสารประกอบอินทรียท์ ี่เกิดจาก aglycone จบั กบั ส่วนท่ีเป็นน้าตาล (glycone) ละลายน้าไดด้ ี โครงสร้างของ aglycone มีความแตกตา่ งกนั หลายแบบทาใหป้ ระเภทและสรรพคุณทางเภสัชวทิ ยาขอ งกลยั โคไซดม์ ีหลายชนิดเช่น
วทิ ยาลยั การแพทยแ์ ผนไทย มทร.ธญั บุรี 69 คู่มืออบรมการนวดไทย คาร์ดแิ อก็ กลยั โคไซด์ (Cardiac glycosides) มีฤทธ์ิตอ่ กลา้ มเน้ือหวั ใจและระบบไหลเวยี นโลหิต พบไดใ้ นใบ ยโี่ ถ เป็นตน้ แอนทราควโิ นนกลยั โคไซด์ (Anthraquinone glycosides) มีฤทธ์ิเป็นยาระบาย ยาฆ่าเช้ือรา พบไดใ้ น ใบ มะขามแขก ใบชุมเห็ดเทศ ใบข้ีเหลก็ เป็นตน้ ซาโปนินกลยั โคไซด์ (Saponin glycoside) เป็นสารที่สามารถเกิดฟองไดเ้ มื่อเขยา่ กบั น้า เช่น ลูกประคาดีควาย เป็ นตน้ ไซยาโนเจนนีตกิ กลยั โคไซด์ (Cyanogenetic glycosides) สารกลุ่มน้ีเมื่อถูกยอ่ ยจะไดส้ ารพวกไซยาไนดเ์ ช่น รากมนั สาปะหลงั ผกั สะตอ ผกั หนาม ผกั เส้ียนผี กระเบาน้า เป็นตน้ ฟลาโวนอล กลยั โคไซด์ (Flavonol glycosides) เป็ นสารสีที่พบในหลายส่วนของพืช เช่น สีแดง เหลือง ม่วง น้าเงิน เช่นดอกอญั ชนั เป็นตน้ นอกจากน้ียังมีกลัยโคไซด์อีกหลายชนิดเช่น แอลกอลิค กลัยโคไซด์ (Alcoholic glycosides), ฟิ นอลิค กลยั โคไซด์ (Phenolic glycosides), แอลดีไฮด์ กลยั โคไซด์ (Aldehyde glycosides) เป็นตน้ แทนนิน (Tannins) เป็นสารที่มีรสฝาด มีสถานะเป็นกรดออ่ นๆ แทนนินใชเ้ ป็นยาฝาดสมาน ยาแกท้ อ้ งเสีย ช่วยรักษาแผลไฟไหม้ และใชป้ ระโยชนใ์ นอุตสาหกรรมฟอกหนงั พบในสมุนไพรพวกเปลือกทบั ทิม เปลือกอบเชย ใบฝร่ัง ใบชา เป็นตน้ วธิ ีการเกบ็ สมุนไพรเพื่อใช้เป็ นยา สรรพคุณของสมุนไพรจะดีหรือไม่ข้ึนอยกู่ บั สารสาคญั ในสมุนไพรซ่ึงจะมีการเปล่ียนแปลงตามปัจจยั ต่างๆ มากมาย ปัจจยั ที่สาคญั อย่างหน่ึงคือช่วงระยะเวลาการเก็บเก่ียว ถ้าเก็บเกี่ยวในช่วงท่ีไม่เหมาะสมอาจทาให้ได้ สมุนไพรที่ไม่มีคุณภาพได้ หลกั ทวั่ ไปในการเกบ็ สมุนไพรมาใชเ้ ป็นยามีดงั น้ี สมุนไพรประเภทรากหรือหัว ควรเก็บช่วงท่ีหยดุ การเจริญเติบโต ใบดอกร่วงหมด หรือช่วงตน้ ฤดูหนาวถึง ฤดูร้อน เพราะช่วงน้ีรากและหวั มีการสะสมปริมาณตวั ยาไวค้ อ่ นขา้ งสูง เช่น ขมิ้นชนั กระทือ ข่า เป็นตน้ สมุนไพรประเภทใบหรือเกบ็ ท้งั ต้น ควรเกบ็ ในช่วงท่ีพืชเจริญเติบโตมากท่ีสุด หรือบางชนิดระบุเวลาเกบ็ เฉพาะเช่น เกบ็ ใบไม่อ่อนหรือแก่เกินไป (ใบเพสลาด) เช่น ใบกะเพรา ใบชุมเห็ดเทศ ฟ้าทะลายโจร เป็นตน้ สมุนไพรประเภทเปลือกต้นและเปลือกราก เปลือกต้นตน้ นิยมเก็บระหว่างช่วงฤดูร้อนต่อฤดูฝน ช่วงน้ี ปริมาณยาจะสูงและลอกง่าย การลอกไมค่ วรลอกเปลือกรอบตน้ เพราะจะทาใหพ้ ชื ตายได้ สมุนไพรประเภทดอก โดยทว่ั ไปเก็บในช่วงดอกเริ่มบาน แต่บางชนิดเก็บในช่วงดอกตูม เช่น กานพลู เก็บ ช่วงที่เปล่ียนสีเขียวเป็นสีแดง เป็นตน้ สมุนไพรประเภทผลและเมล็ด โดยทวั่ ไปมกั จะเก็บตอนผลแก่เต็มที่แลว้ เช่น ดีปลี มะแวง้ ตน้ มะแวง้ เครือ ชุมเห็ดไทย เป็นตน้ บางชนิดเก็บในช่วงที่ผลยงั ไมส่ ุกเช่น ฝรั่ง ผลออ่ นใชแ้ กท้ อ้ งร่วง
วทิ ยาลยั การแพทยแ์ ผนไทย มทร.ธญั บุรี 70 คู่มืออบรมการนวดไทย การแปรสภาพและเกบ็ รักษาพืชสมุนไพร การใชส้ มุนไพรรักษาโรคสามารถใชไ้ ดท้ ้งั แบบสดและแบบแห้ง ในกรณีที่ที่ใชแ้ บบสดก็สามารถใชไ้ ดเ้ ลย แต่ถา้ ตอ้ งการใชแ้ บบแหง้ จะตอ้ งผา่ นการแปรสภาพที่เหมาะสม โดยมีหลกั การทว่ั ไปดงั น้ี รากและส่วนที่อยู่ใต้ดิน ลา้ งดินและสิ่งสกปรกออกใหห้ มด เอารากฝอยออก ถา้ หากเป็ นพืชท่ีมีเน้ือแขง็ แห้ง ยากตอ้ งหน่ั เป็ นชิ้นที่เหมาะสมก่อน พืชที่ไม่แข็งนามาทาให้แหง้ ตามชนิดของพืชน้นั ๆไดเ้ ลย หรืออาจนามาน่ึงก่อน ผา่ นกรรมวธิ ีการทาใหแ้ หง้ จะทาใหแ้ หง้ ง่ายข้ึน และเป็นการหยดุ การทางานของเอนไซมใ์ นหวั หรือราก เปลือก หนั่ เป็นชิ้นขนาดพอดี ตากใหแ้ หง้ ใบและท้งั ต้น ใบพืชบางอย่างมีน้ามนั หอมระเหย ควรผ่ึงไวใ้ นท่ีร่ม ไม่ควรตากแดด สาหรับพืชท่ี ไม่มี น้ามนั หอมระเหยกอ็ บใหแ้ หง้ หรือตากแดดไดเ้ ลย ดอก หลงั เก็บมาแลว้ ตากแดดใหแ้ หง้ ควรรักษารูปดอกไวใ้ หส้ มบูรณ์ ผล เก็บแลว้ ตากแดดใหแ้ หง้ ไดเ้ ลย มีเพียงบางอยา่ งเท่าน้นั ท่ีตอ้ งหน่ั เป็นชิ้นก่อน เมลด็ เกบ็ ผลมาตากใหแ้ หง้ แลว้ จึงเอาเปลือกออกเพือ่ เอาเมลด็ หรือบางอยา่ งเกบ็ ผลแหง้ เลยกม็ ี วธิ ีการเตรียมยาสมุนไพร การปรุงยาท่ีประชาชนทว่ั ไปสามารถทาไดม้ ีหลายวธิ ีเช่น ยาชง เป็นการปรุงยาโดยใชน้ ้าเดือดใส่ลงในสมุนไพร โดยทวั่ ไปมกั ใชส้ มุนไพรตากแหง้ แลว้ บดเป็ นผงหยาบ โดยใชส้ มุนไพร 1 ส่วน เติมน้าเดือด 10 ส่วน หรือตามท่ีระบุในตารับยา สามารถใชว้ ธิ ีน้ีไดก้ บั สมุนไพรหลายชนิด เช่น ขิง มะตูม ชุมเห็ดเทศ เป็นตน้ ยาต้ม เป็นการปรุงยาโดยใชส้ มุนไพรแหง้ หรือสดตม้ รวมกบั น้า โดยใส่สมุนไพรลงไปในหมอ้ แลว้ เติมน้าให้ สูงกวา่ สมุนไพรเล็กนอ้ ย หลงั จากน้นั นาไปต้งั ไฟใหเ้ ดือดแลว้ ตม้ ต่อไปอีกประมาณ 10 นาที วนั ต่อไปเติมน้าแลว้ ตม้ ต่อแบบเดียวกนั สามารถใชไ้ ดป้ ระมาณ 3-5 วนั จึงเปล่ียนตวั ยาใหม่ หรืออาจใชว้ ิธีตม้ แบบ 3 เอา 1 คือใส่น้าสามส่วน แลว้ ตม้ เค่ียวใหเ้ หลือหน่ึงส่วนแลว้ นาไปแบ่งรับประทาน ส่วนกากทิ้งไป ยาดอง เป็นวธิ ีการปรุงยาโดยใช้วิธีการสกดั โดยใชเ้ หลา้ หรือ น้ามะกรูด หรือ น้าส้ม เป็ นตน้ แต่ที่นิยมใชค้ ือ เหลา้ มีข้นั ตอนการทาโดยการบดสมุนไพรใหเ้ ป็นผงหยาบแลว้ ห่อผา้ ขาวบางหลวมๆ ใส่ในภาชนะท่ีทาดว้ ยกระเบ้ือง หรือแกว้ แลว้ เติมเหลา้ ลงไปทิ้งไวป้ ระมาณ 1 อาทิตย์ โดยคนยาใหท้ วั่ วนั ละคร้ัง ยาผง ทาไดโ้ ดยการบดสมุนไพรแห้งให้เป็ นผง แลว้ นาไปใช้ไดเ้ ลย หรืออาจนาไปปรุงยาในรูปแบบต่างๆ ตอ่ ไปเช่น ยาลูกกลอน ยาเมด็ ยาแคปซูล เป็นตน้ ยาลกู กลอน เป็นวธิ ีการผลิตยาโดยใชย้ าผงผสมกบั น้าผ้งึ ในอตั ราส่วน ผงสมุนไพร 1-2 ส่วน ต่อ น้าผ้งึ 1 ส่วน ข้ึนอยกู่ บั ลกั ษณะของผงสมุนไพร
วทิ ยาลยั การแพทยแ์ ผนไทย มทร.ธญั บุรี 71 คู่มืออบรมการนวดไทย ข้อแนะนาสาหรับการใช้สมุนไพร การใชส้ มุนไพรในรักษาอาการโรค ถึงแมว้ ่าจะมีความปลอดภยั สูงก็ตาม แต่ถา้ ใชไ้ ม่ถูกตอ้ งอาจทาให้เกิด โทษไดเ้ ช่นเดียวกนั หรืออาจไม่ไดผ้ ลตามท่ีตอ้ งการกไ็ ด้ ไม่ควรใชย้ าสมุนไพรต่อเนื่องเป็ นเวลานาน ใหห้ ยดุ ใชย้ าเมื่อ อาการหายไป แต่ถา้ อาการเจ็บป่ วยยงั ไม่หาย หรืออาการยงั ไม่ดีข้ึนภายใน 2-3 วนั ควรไปปรึกษาแพทย์ การใช้ สมุนไพรรักษาอาการโรคจะไดผ้ ลดีหรือไมข่ ้ึนอยกู่ บั หลายปัจจยั การใชส้ มุนไพรที่ถูกตอ้ งควรปฏิบตั ิดงั น้ี 1. ใช้สมุนไพรให้ถูกต้น ช่ือท่ีใช้เรียกตน้ ไมม้ ีความแตกต่างกนั ไปตามแต่ละทอ้ งถิ่น จึงจาเป็ นตอ้ งรู้จกั ชื่อเรียกที่ถูกตอ้ งเพ่ือจะใช้ สมุนไพรตน้ น้นั รักษาตรงตามอาการของโรค 2. ใช้ให้ถูกส่วน สารสาคญั ที่ออกฤทธ์ิในแต่ละส่วนของสมุนไพรจะแตกต่างกนั ไปเช่น ผลอ่อนบางทีมีฤทธ์ิฝาดสมาน แต่ถา้ เป็นผลแก่มีฤทธ์ิเป็นยาระบาย เป็นตน้ 3. ใช้ให้ถูกขนาด ถา้ ใชส้ มุนไพรนอ้ ยเกินไปก็อาจรักษาไม่ไดผ้ ลแต่ถา้ ใชม้ ากเกินไปอาจทาใหเ้ กิดพิษตอ่ ร่างกายได้ 4. ใช้ให้ถูกวธิ ี สมุนไพรบางชนิดตอ้ งใชส้ ด บางชนิดตอ้ งสกดั ดว้ ยเหลา้ บางชนิดตอ้ งใชต้ ม้ เป็นตน้ 5. ใช้ให้ถูกกบั โรค เช่น ทอ้ งผกู แต่นากลว้ ยดิบมารับประทาน ซ่ึงกลว้ ยดิบมีฤทธ์ิฝาดสมานจะทาใหท้ อ้ งผกู มากข้ึน เป็นตน้
วทิ ยาลยั การแพทยแ์ ผนไทย มทร.ธญั บุรี 72 คู่มืออบรมการนวดไทย ลกู ประคบสมุนไพรแห้ง การทาลูกประคบสมุนไพร คือ การใช้สมุนไพรหลายๆอยา่ งมาห่อรวมกนั ส่วนใหญ่เป็ นสมุนไพรที่มีน้ามนั หอม ระเหย โดยนาลูกประคบมาน่ึงใหร้ ้อนแลว้ ใชป้ ระคบบริเวณที่ปวดหรือเคลด็ ขดั ยอก สามารถช่วย กระตุน้ ระบบไหลเวยี นโลหิตไดด้ ี ประโยชน์ของการประคบสมุไพร 1. ช่วยเพ่มิ การไหลเวยี นของโลหิต 2. บรรเทาอาการปวดเม่ือย 3. ช่วยลดอาการบวม อกั เสบของกลา้ มเน้ือ เอน็ ขอ้ ต่อหลงั 24-48 ชว่ั โมง 4. ลดอาการเกร็งของกลา้ มเน้ือ 5. ลดการติดขดั ของขอ้ ต่อ 6. ลดอาการปวด 7. ช่วยใหเ้ น้ือเยอ่ื พงั ผดื ยดื ตวั ออก การทาลกู ประคบสมุนไพร อปุ กรณ์ 1. ผา้ ดิบสาหรับห่อลูกประคบ ตดั เป็ นผนื ขนาด กวา้ ง 35 x ยาว 35 เซนติเมตร 2. เชือก 3. กรรไกร 4. ตวั ยาหรือสมุนไพรที่ใชท้ าลูกประคบ 5. หมอ้ สาหรับน่ึงลูกประคบ
วทิ ยาลยั การแพทยแ์ ผนไทย มทร.ธญั บุรี 73 คู่มืออบรมการนวดไทย ส่วนประกอบ สาหรับลูกประคบแหง้ 2 ลูก 1. ไพล 500 กรัม 2. ผวิ มะกรูด 200 กรัม 3. ตะไคร้บา้ น 100 กรัม 4. ใบมะขาม 300 กรัม 5. ใบส้มป่ อย 100 กรัม 6. ขมิ้นชนั 100 กรัม 7. การบูร 2 ชอ้ นโตะ๊ 8. เกลือ 1 ชอ้ นโตะ๊ ตวั ยาทน่ี ิยมใช้ทาลกู ประคบ 1. ไพล แกป้ วดเมื่อย ลดการอกั เสบ 2. ผวิ มะกรูด ถา้ ไม่มีใชใ้ บแทนได้ มีน้ามนั หอมระเหย แกล้ มวงิ เวยี น 3. ตะไคร้บา้ น แต่งกล่ิน 4. ใบมะขาม แกไ้ ขอาการคนั ตามร่างกาย ช่วยบารุงผวิ 5. ใบส้มป่ อย ช่วยบารุงผวิ แกโ้ รคผิวหนงั 6. ขมิ้นชนั ช่วยลดอาการอกั เสบ แกโ้ รคผวิ หนงั 7. เกลือ ช่วยดูดความร้อนและช่วยพาตวั ยาซึมผา่ นผวิ หนงั ไดส้ ะดวกข้ึน 8. การบูร แตง่ กล่ิน บารุงหวั ใจ วธิ ีทาลกู ประคบ 1. หน่ั ขมิ้นชนั ขมิ้นออ้ ย ผวิ มะกรูด หวั ไพล ตะไคร้ ตาพอหยาบ 2. นาใบมะขาม ใบส้มป่ อย ผสมรวมกบั สมุนไพรขอ้ 1 3. ใส่การบูร เกลือ คลุกเคลา้ ใหเ้ ป็นเน้ือเดียวกนั ระวงั อยา่ ให้แฉะจนเกินไป 4. แบง่ ตวั ยาที่ไดจ้ ากขอ้ 3 ใส่ผา้ ดิบ ห่อเป็นลูกประคบประมาณลูกส้มโอ รัดดว้ ยเชือกใหแ้ น่น วธิ ีการประคบ 1. นาลูกประคบท่ีไดไ้ ปน่ึงในหมอ้ น่ึง ใชเ้ วลาน่ึงประมาณ 15-20 นาที 2. จดั ท่าคนไขใ้ หเ้ หมาะสม เช่น นอนหงาย นงั่ นอนตะแครง ท้งั น้ีข้ึนอยกู่ บั ตาแหน่งท่ีจะทาการประคบ สมุนไพร 3. เม่ือครบเวลานาลูกประคบมาประคบคนไขบ้ ริเวณท่ีมีอาการต่างๆ ซ่ึงก่อนจะประคบ ตอ้ งทาการทดสอบ ความร้อนของลูกประคบก่อน โดยการนาลูกประคบแตะที่ทอ้ งแขนหรือหลงั มือ
วทิ ยาลยั การแพทยแ์ ผนไทย มทร.ธญั บุรี 74 คู่มืออบรมการนวดไทย 4. ในการวางลูกประคบบนผวิ หนงั คนไขโ้ ดยตรงในช่วงแรกๆ ตอ้ งทาดว้ ยความเร็วเนื่องจากลูกประคบมีความ ร้อนอาจทาใหค้ นไขไ้ ดร้ ับบาดเจบ็ ได้ 5. เมื่อลูกประคบคลายความร้อนลงใหเ้ ปล่ียนลูกประคบอีกลูกหน่ึงแทน และนาลูกเดิมไปน่ึงตอ่ ข้อควรระวงั ในการประคบสมุนไพร 1. ไม่ควรใชล้ ูกประคบท่ีร้อนเกินไป 2. ไม่ควรประคบสมุนไพรในกรณีที่มีอาการอกั เสบ บวม แดง ร้อน ในช่วง 24 ชวั่ โมงแรก เพราะจะทาให้ อกั เสบบวมมากข้ึน 3. ผปู้ ่ วยโรคเบาหวาน อมั พาต ในเดก็ และผู้ สูงอายุ เพราะมกั มีความรู้สึกในการรับรู้และตอบสนองชา้ อาจทา ใหผ้ วิ หนงั ไหมพ้ องไดง้ ่าย 4. หลงั ประคบสมุนไพรเสร็จไม่ควรอาบน้าทนั ทีเพราะจะลา้ งตวั ยาออกไปจากผิวหนงั และร่างกายยงั ไม่ สามารถปรับตวั ไดท้ นั อาจทาใหเ้ ป็นไขไ้ ด้ การเกบ็ รักษา 1. ลูกประคบสมุนไพรที่ทาคร้ังหน่ึง สามารถเกบ็ ไวใ้ ชไ้ ด้ 3-5 วนั 2. ควรเกบ็ ลูกประคบไวใ้ นตูเ้ ยน็ จะทาใหเ้ ก็บไวน้ านข้ึน (ควนตรวจสอบตวั ยาในห่อ ลูกประคบดว้ ย ถา้ มีกล่ิน บูดไม่ควรเก็บไว)้ 3. ถา้ ประคบแหง้ ก่อนใชค้ วรพรมดว้ ยน้าหรือเหลา้ ขาว 4. ถา้ ลูกประคบท่ีใชไ้ ม่มีสีเหลืองหรือสีเหลืองอ่อนลงแสดงวา่ ยาท่ีใชจ้ ืดแลว้ (คุณภาพลดลง) จะใชไ้ ม่ไดผ้ ล ควรเปลี่ยนลูกประคบใหม่
วทิ ยาลยั การแพทยแ์ ผนไทย มทร.ธญั บุรี 75 คู่มืออบรมการนวดไทย บรรณานุกรม นนั ทวนั กล่ินจาปา (เอกวโรภาส). เครื่องหอมไทย ภูมิปัญญาไทย (พมิ พค์ ร้ังที่ 3). กรุงเทพฯ : บริษทั ส. เอเชียเพรส จากดั , 2548 พรรณี ลิ้มสวสั ด์ิ. ยาธรรมชาติ ยาสมุนไพร. กรุงเทพฯ : โรงพมิ พอ์ งคก์ ารสงเคราะห์ทหารผา่ นศึก, 2537 เพญ็ นภา ทรัพยเ์ จริญ. การบริหารแบบไทย. กรุงเทพฯ : โรงพมิ พอ์ งคก์ ารขนส่งสินคา้ และพสั ดุภณั ฑ์ (ร.ส.พ.), 2544 เพญ็ นภา ทรัพยเ์ จริญ. การแพทย์แผนไทย การแพทย์แบบองค์รวม. กรุงเทพฯ : โรงพิมพอ์ งคก์ ารขนส่งสินคา้ และ พสั ดุภณั ฑ์ (ร.ส.พ.), 2544 มาโนช วามานนท์ และเพญ็ นภา ทรัพยเ์ จริญ. (บรรณาธิการ). ยาสมุนไพรสาหรับงานสาธารณสุขมูลฐาน. พมิ พค์ ร้ังที่ 2. กรุงเทพฯ : โรงพมิ พอ์ งคก์ ารสงเคราะห์ทหารผา่ นศึก, 2540 วพิ ุธ พลู เจริญ. สุขภาพ : อุดมการณ์ และยุทธศาสตร์ทางสังคม. สถาบนั วจิ ยั ระบบสาธารณสุข, 2546 สถาบนั การแพทยแ์ ผนไทย การแพทย์แผนไทยกบั การดูแลสุขภาพ. กรุงเทพฯ : โรงพิมพอ์ งคก์ ารขนส่งสินคา้ และ พสั ดุภณั ฑ์ (ร.ส.พ.), 2552 สถาบนั การแพทยแ์ ผนไทย คู่มือประชาชนในการดูแลสุขภาพด้วยการแพทย์แผนไทย. กรุงเทพฯ : โรงพมิ พอ์ งคก์ าร ขนส่งสินคา้ และพสั ดุภณั ฑ์ (ร.ส.พ.), 2552 สานกั งานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข. คู่มือผลติ ภัณฑ์ยาจากสมุนไพร เพ่ือเศรษฐกจิ ชุมชน, 2543 อภิชาติ ลิมติยะโยธิน. ตาราผู้ช่วยแพทย์แผนไทย 372 ชั่วโมง. สถาบนั การแพทยแ์ ผนไทย สานกั งานปลดั กระทรวง สาธารณสุข. อรชร เอกภาพสากล. มหศั จรรย์นา้ มนั หอมระเหย. กรุงเทพฯ : บริษทั พิมพด์ ีจากดั , 2547 Davis, Patricia. Aromatherapy AN A-Z. London : Raandom House UK Ltd., 2005 Keller-Peck, C. Vertebrate Histology, ZOOL 400. Boise State University., 2008 Marieb, E.N. Human Anatomy & Physiology, 4th ed. Menlo Park, California: Benjamin/Cummings Science Publishing., 1998 Netter, Frank H. Musculoskeletal system: anatomy, physiology, and metabolic disorders, Summit, New Jersey: Ciba-Geigy Corporation., 1987 World Health Organization. WHO monographs on selected medicinal plants vol.1. Malta: Interprint-6500, 1999.
Search