หมวด ๒ ระบบรฐั สภาไทย
หมวด ๒ ระบบรฐั สภาไทย ความหมายของรัฐสภา “รัฐสภา” หมายถึง องค์กรนิติบัญญัติ ท�ำหน้าท่ีบัญญัติ กฎหมาย ประกอบด้วยวุฒสิ ภาและสภาผแู้ ทนราษฎร* หรือหมายถึง สภาท่ีประกอบด้วยสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา โดยมีประธาน สภาผู้แทนราษฎรเป็นประธานรัฐสภา และประธานวุฒิสภาเป็น รองประธานรัฐสภา โดยตำ� แหนง่ ** ประเทศไทยนับต้ังแต่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจาก ระบอบสมบรู ณาญาสทิ ธริ าชยม์ าสกู่ ารปกครองในระบอบประชาธปิ ไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เม่ือวันท่ี ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ เป็นต้นมา รัฐธรรมนูญทุกฉบับได้ก�ำหนดรูปแบบ การปกครองของประเทศเป็น “ระบบรัฐสภา” มาโดยตลอด ซ่ึงมี หลักการที่ส�ำคัญคือ “อ�ำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขทรงใช้อ�ำนาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล” *ราชบณั ฑติ ยสถาน,พจนานกุ รม ฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔,พมิ พค์ รงั้ ท่ี๑, กรุงเทพฯ: ศิรวิ ัฒนาอินเตอรพ์ ริ้นท์, ๒๕๕๖. **ราชบณั ฑติ ยสถาน,พจนานกุ รมศพั ทก์ ฎหมายไทยฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน,พมิ พค์ รง้ั ที่๓, กรุงเทพฯ: หา้ งหนุ้ ส่วนจ�ำกดั อรุณการพิมพ์, ๒๕๔๔. หมวด ๒ ระบบรฐั สภาไทย 41
จากหลักการซ่ึงเป็นโครงสร้างการเมืองการปกครองท่ีส�ำคัญ ของประเทศดังกล่าว รัฐธรรมนูญทุกฉบับจึงได้แบ่งอ�ำนาจอธิปไตย ซ่งึ เปน็ อ�ำนาจสงู สดุ ในการปกครองประเทศออกเปน็ ๓ ฝ่าย ดงั น้ี ๑. อ�ำนาจนิติบัญญัติ หรืออ�ำนาจในการตรากฎหมายเพอ่ื ใช้ บังคับ โดยมีรัฐสภาเป็นองค์กรผู้ใช้อ�ำนาจนี้ ดังนั้น รัฐสภาจึงเป็น องค์กรตัวแทนของประชาชนทใี่ ช้อ�ำนาจนิติบัญญตั ิ ๒. อ�ำนาจบริหาร หรืออ�ำนาจในการบังคับใช้กฎหมาย โดยมี คณะรัฐมนตรเี ป็นผู้ใชอ้ ำ� นาจ และ ๓. อ�ำนาจตลุ าการ หรืออำ� นาจในการพิพากษาอรรถคดตี า่ ง ๆ โดยมีศาลเปน็ องค์กรผ้ใู ชอ้ ำ� นาจ ท้ังน้ี อ�ำนาจท้ังสามจะมีความสัมพันธ์ในการตรวจสอบและ ถว่ งดลุ อำ� นาจซงึ่ กนั และกนั แตจ่ ะสมั พนั ธก์ นั ในลกั ษณะใดนน้ั ขน้ึ อยกู่ บั บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฉบับนั้น ๆ จะก�ำหนดให้เหมาะสมและ สอดคล้องกับสภาวการณ์ของบ้านเมืองที่เปล่ียนแปลงไปในแต่ละ ยคุ สมยั อนสุ าวรีย์ประชาธปิ ไตย 42 หมวด ๒ ระบบรฐั สภาไทย
หลกั การส�ำคัญของการปกครองในระบบรัฐสภา หลกั การสำ� คญั ของการปกครองในระบบรฐั สภา คอื “รฐั สภา” นอกจากจะเป็นองค์กรท่ีใช้อ�ำนาจในทางนิติบัญญัติแล้วยังเป็น ผคู้ วบคมุ องคก์ รทใ่ี ชอ้ ำ� นาจบรหิ ารดว้ ยกลา่ วคอื คณะรฐั มนตรใี นฐานะ ที่เป็นฝ่ายบริหารจะต้องบริหารประเทศโดยต้องรับผิดชอบร่วมกัน ต่อรัฐสภาในนโยบายท่ัวไปของคณะรัฐมนตรี และเมื่อใดที่รัฐสภา โดยเฉพาะสภาผู้แทนราษฎรมีมติไม่ไว้วางใจในการบริหารราชการ แผน่ ดนิ ของฝา่ ยบรหิ ารหรอื นายกรฐั มนตรแี ลว้ คณะรฐั มนตรซี งึ่ เปน็ ฝ่ายบริหารก็ต้องลาออกหรือพ้นจากต�ำแหน่ง ในขณะเดียวกัน ฝ่ายบริหารก็มีอ�ำนาจในการท่ีจะยุบสภาผู้แทนราษฎรซ่ึงมีผลท�ำให้ สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรต้องส้ินสุดลงก่อนวาระ และทำ� ให้รฐั มนตรีทงั้ คณะตอ้ งพน้ จากต�ำแหน่งด้วย รปู แบบของรัฐสภา การปกครองในระบบรฐั สภานน้ั “รฐั สภา” ถอื เปน็ องคก์ รสงู สดุ อันเป็นที่รวมเจตจ�ำนงของประชาชนท้ังประเทศและเป็นศูนย์กลาง อำ� นาจทางการเมอื งการปกครอง โดยโครงสรา้ งหรอื รปู แบบของรฐั สภา หมายถึง จ�ำนวนสภาท่ีประกอบกันเข้าเป็นรัฐสภา ซ่ึงโดยทั่วไป มักจะแบ่งออกเป็น ๒ ระบบ คือ ระบบสภาเดี่ยว และระบบสภาคู่ หรือระบบสองสภา (๑) “ระบบสภาเด่ียว” เป็นรูปแบบของรัฐสภาท่ีมีองค์กร ฝ่ายนิติบัญญัติเพียงฝ่ายเดียวหรือประเภทเดียว แต่อาจจะต่างพรรค ต่างสังกัดหรือมีที่มาท่ีแตกต่างกัน มาประชุมพร้อมกันในเวลาและ หมวด ๒ ระบบรฐั สภาไทย 43
สถานทเี่ ดยี วกนั รวมทง้ั มอี ำ� นาจหนา้ ทอ่ี ยา่ งเดยี วกนั ซงึ่ โดยทวั่ ไปจะมที มี่ า ทเ่ี หมอื นกนั เชน่ มาจากการเลอื กตงั้ หรอื การแตง่ ตงั้ อยา่ งใดอยา่ งหนงึ่ แต่อย่างไรก็ตาม สภาเด่ียวก็อาจจะแบ่งสมาชิกออกเป็นประเภท ตามทมี่ าของสมาชกิ กไ็ ด้ เชน่ สมาชกิ ประเภทหนง่ึ มาจากการเลือกต้ัง และอกี ประเภทหนง่ึ มาจากการแตง่ ตงั้ เปน็ ตน้ ดงั นน้ั จงึ กลา่ วโดยสรปุ ได้ว่า ระบบสภาเด่ียว คือ รัฐสภาที่มีฝ่ายนิติบัญญัติเพียงสภาเดียว ทำ� หน้าท่ตี รากฎหมายและควบคุมการบริหารงานของรัฐบาล ทง้ั นี้ รฐั สภาทม่ี รี ะบบสภาเดย่ี วซงึ่ มสี ภาเดยี วนนั้ ในทางทฤษฎี ถือเป็นระบบท่ีสมเหตุสมผลที่สุดในรัฐเด่ียว ท้ังน้ี เพราะรัฐสภาเป็น ผใู้ ชอ้ ำ� นาจนติ บิ ญั ญตั ใิ นนามของประชาชนซงึ่ เปน็ การแสดงเจตจำ� นง ของประชาชน ดงั น้นั จึงควรเปน็ สภาเดียว ดว้ ยเหตนุ ้ี ประเทศท่ีนิยม ระบบสภาเด่ียวจงึ มกั จะกลา่ วอา้ งว่า สภาเดยี่ วนน้ั เป็นสภาผู้แทนของ ประชาชนทแ่ี ทจ้ รงิ และตรงไปตรงมาและเมอื่ เปน็ สภาของประชาชนแลว้ กไ็ ม่ควรจะถูกควบคมุ และถ่วงดุลโดยสภาอ่นื อกี อยา่ งไรกต็ าม ระบบ สภาเดยี่ วมปี ระโยชนแ์ ละข้อพิจารณาเพิ่มเติม ดงั นี้ ประโยชน์ของระบบสภาเดี่ยว การปฏิบัติหน้าที่ด้านนิติบัญญัติหรือการตรากฎหมาย ขึ้นใช้บังคับ และการด�ำเนินการในด้านต่าง ๆ เป็นไปอย่างรวดเร็ว เพราะกระบวนการพจิ ารณาจะมเี พียงสภาเดยี ว ประหยดั งบประมาณทง้ั ในเรอ่ื งสถานทปี่ ระชมุ การรบั รอง การจัดการเลอื กต้ัง และเงินเดือนของสมาชิกวุฒสิ ภา มีความเป็นเอกภาพ และไม่ปรากฏความขัดแย้งระหว่าง สองสภาเหมอื นท่เี กิดข้ึนในประเทศทม่ี ีระบบสองสภา ผู้แทนของสภาเดี่ยวจะมีความภาคภูมิใจในตัวเองที่เป็น ผแู้ ทนของประชาชนเพยี งองค์กรเดยี วเท่านน้ั 44 หมวด ๒ ระบบรฐั สภาไทย
ข้อพจิ ารณาเพ่ิมเติมของระบบสภาเดีย่ ว เนื่องจากระบบสภาเด่ียวซึ่งมีสภาเดียวเป็นผู้พิจารณา กฎหมาย จึงท�ำให้กฎหมายต่าง ๆ ผ่านการพิจารณาของรัฐสภาอย่าง รวดเรว็ อยา่ งไรกต็ าม กฎหมายทผ่ี า่ นการพจิ ารณาจากสภาเดยี วเทา่ นน้ั กอ็ าจจะเกดิ ขอ้ บกพรอ่ งและกระทบตอ่ สทิ ธเิ สรภี าพของประชาชนได้ เนอ่ื งจากระบบสภาเดย่ี วไมม่ สี ภาอน่ื เขา้ มาตรวจสอบและ ถว่ งดลุ การใชอ้ ำ� นาจ ดงั นนั้ รฐั สภาจงึ อาจจะตรากฎหมายขน้ึ ใชบ้ งั คบั ได้ตามอ�ำเภอใจ (๒) “ระบบสภาค”ู่ หรอื ระบบสองสภา เปน็ รปู แบบของรฐั สภา ท่ีมีองค์กรฝ่ายนิติบัญญัติแบ่งออกเป็นสองฝ่ายหรือสองประเภท ประชมุ แยกกนั คนละเวลาและสถานท่ี รวมทง้ั มอี ำ� นาจหนา้ ทมี่ ากนอ้ ย แตกตา่ งกนั และอาจจะมวี าระการดำ� รงตำ� แหนง่ ทตี่ า่ งกนั ดว้ ยทง้ั นี้จะมี กรณพี เิ ศษทก่ี ำ� หนดใหท้ ง้ั สองฝา่ ยมาประชมุ รว่ มกนั หรอื พรอ้ มกนั ได้ กลา่ วอีกนยั หนึง่ คือ ระบบสภาคู่หรือระบบสองสภา หมายถึง รฐั สภา ทมี่ ีฝ่ายนิติบญั ญตั ิประกอบด้วยสภาสองสภา คือ สภาล่างและสภาสูง โดยใหส้ ภาลา่ งมบี ทบาทอยา่ งแทจ้ รงิ ในการตรากฎหมายและอกี สภาหนงึ่ คอื สภาสงู ทำ� หนา้ ทเ่ี ปน็ ทปี่ รกึ ษา พจิ ารณากลน่ั กรอง และยบั ยง้ั การใช้ อำ� นาจของสภาลา่ ง นอกจากน้ี รฐั สภาทมี่ รี ะบบสภาคหู่ รอื ระบบสองสภา ซง่ึ ประกอบดว้ ยสมาชกิ ๒ประเภทไดแ้ ก่สภาสงู และสภาลา่ งนนั้ อาจจะ มีชื่อเรียกที่แตกต่างกัน เช่น ประเทศไทยและประเทศสหรัฐอเมริกา สภาสูงคือวุฒิสภา สภาล่างคือสภาผู้แทนราษฎร, ประเทศอังกฤษ สภาสงู คอื สภาขนุ นาง สภาลา่ งคอื สภาสามญั , ประเทศญป่ี นุ่ สภาสงู คอื วฒุ สิ ภาหรอื สภาทปี่ รกึ ษา สภาลา่ งคอื สภาผแู้ ทนราษฎร และประเทศ ฝร่งั เศส สภาสูงคือวุฒิสภา สภาลา่ งคือสภาผแู้ ทนราษฎรหรือสมัชชา แห่งชาติ หมวด ๒ ระบบรฐั สภาไทย 45
ทง้ั น้ี ระบบสภาคหู่ รอื ระบบสองสภานนั้ มที มี่ าจากสภาพของ สงั คมแตแ่ รกเรมิ่ ทม่ี กั จะมปี ระชาชนหลายชน้ั หลายพวกเชน่ ในประเทศ อังกฤษ ชนชั้นสูงท่ีเรียกกันว่าขุนนางทั้งทางโลกและทางศาสนา รวมกนั ขึน้ เปน็ สภาสูง และบรรดาขุนนางผนู้ ้อย เช่น อัศวนิ และพระ ในคริสตศาสนาที่มีอาวุโสน้อย ตลอดถึงบรรดาผู้แทนของเมืองก็จะ รวมอยใู่ นสภาลา่ ง หรอื ในประเทศฝรง่ั เศสและบรรดาประเทศในยโุ รป ทว่ั ๆไปกจ็ ะมรี ะบบฐานนั ดรคอื พระจะเปน็ ฐานนั ดรหนง่ึ ขนุ นางกเ็ ปน็ อีกฐานันดรหน่ึง แต่ละฐานันดรก็จะมีสภาเป็นของตนเอง บรรดา ผู้แทนราษฎร ซึ่งเรียกว่าเป็นฐานันดรท่ีสาม จะปฏิบัติงานอยู่ใน สภาผแู้ ทนราษฎร ในประเทศที่มีวิวัฒนาการทางการเมืองในลักษณะที่มีความ แตกตา่ งกนั ของกลมุ่ ผลประโยชนภ์ ายในประเทศคอื เรมิ่ จากการรวมตวั ของแว่นแคว้นหรือรัฐเลก็ ๆ ขึ้นเป็นประเทศใหญ่ เชน่ สหรัฐอเมรกิ า เยอรมนี สวิตเซอร์แลนด์ ประเทศเหล่าน้ีมักจะใช้ระบบสภาคู่หรือ ระบบสองสภาคอื ใหส้ ภาลา่ งเปน็ สภาซง่ึ ทำ� หนา้ ทเี่ ปน็ ตวั แทนเจตนารมณ์ และผลประโยชน์ของชาติ ส่วนสภาสูงเป็นตัวแทนของผลประโยชน์ ของแวน่ แควน้ หรอื ทอ้ งถนิ่ ทร่ี วมกนั เปน็ ประเทศ ระบบสภาคใู่ นประเทศ เหลา่ นจ้ี งึ เปน็ การสรา้ งดลุ ยภาพและการผสมผสานกลมเกลยี วระหวา่ ง ผลประโยชน์ในระดับต่างกัน อย่างไรก็ตาม ระบบสภาคู่หรือระบบ สองสภากม็ ที ้งั ประโยชน์และข้อพจิ ารณาเพ่ิมเตมิ ดงั นี้ 46 หมวด ๒ ระบบรฐั สภาไทย
ประโยชน์ของระบบสภาคู่ เป็นการเปิดโอกาสให้มีตัวแทนของประชาชนจากกลุ่ม อาชพี ตา่ ง ๆ เขา้ ไปมีส่วนร่วมในรัฐสภามากย่งิ ขนึ้ มสี ภาสงู หรอื วฒุ สิ ภาทำ� หนา้ ทใ่ี นการกลนั่ กรองกฎหมาย จากสภาลา่ ง ซง่ึ จะชว่ ยใหก้ ฎหมายหรอื งบประมาณทผี่ า่ นการพจิ ารณา ของรฐั สภามคี วามละเอียดและรอบคอบมากย่งิ ข้ึน มสี ภาสงู ทำ� หนา้ ทตี่ รวจสอบและถว่ งดลุ การใชอ้ ำ� นาจของ สภาล่างและการทำ� งานของรฐั บาล ขอ้ พจิ ารณาเพ่มิ เติมของระบบสภาคู่ อาจเกิดความขัดแย้งในการปฏิบัติหน้าที่ระหว่างสมาชิก ของท้งั สองสภาได้ การดำ� เนนิ งานในดา้ นตา่ ง ๆ อาจจะเปน็ ไปอยา่ งลา่ ชา้ หรอื ไม่ทันต่อสถานการณ์ เน่ืองจากต้องผ่านการพิจารณาหรือได้รับ ความเหน็ ชอบของทงั้ สองสภา สนิ้ เปลอื งงบประมาณหรอื คา่ ใชจ้ า่ ยในการปฏบิ ตั งิ านและ การจ่ายค่าตอบแทนให้สมาชิกสภาทัง้ สองสภา หมวด ๒ ระบบรฐั สภาไทย 47
บทบาทและอำ� นาจหน้าทขี่ องรัฐสภา รัฐสภาจะมีบทบาทและอ�ำนาจหน้าที่มากน้อยเพียงใดนั้น จะขึ้นอยู่กับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญแต่ละฉบับก�ำหนดไว้ ซ่ึงตาม บทบญั ญตั ขิ องรฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทยและพระราชบญั ญตั ิ ประกอบรัฐธรรมนูญอาจจำ� แนกอำ� นาจหนา้ ที่ท่ีส�ำคัญ ๆ ของรฐั สภา ได้เป็น ๕ ด้าน ดงั นี้ (๑) ด้านนิติบัญญัติหรือการตรากฎหมาย เป็นบทบาทและ อ�ำนาจหน้าท่ีในการตรากฎหมายหรือพระราชบัญญัติ การพิจารณา อนุมัติพระราชก�ำหนด การแก้ไขเพ่ิมเติมหรือยกเลิกพระราชบัญญัติ การแกไ้ ขเพมิ่ เตมิ รฐั ธรรมนญู และการแกไ้ ขเพม่ิ เตมิ ประมวลกฎหมาย ตา่ ง ๆ เพอ่ื ใหม้ ผี ลใชบ้ งั คบั เปน็ กฎหมาย ซงึ่ บทบาทและอ�ำนาจหนา้ ที่ ในการตรากฎหมายหรอื การออกกฎหมายดงั กลา่ วนี้ ถอื เปน็ หนา้ ทหี่ ลกั ของรฐั สภา ทงั้ นี้ ดว้ ยเหตทุ กี่ ฎหมายเปน็ สง่ิ จำ� เปน็ ตอ้ งใชใ้ นการบรหิ าร และปกครองประเทศ การรักษาไว้ซึ่งสิทธิเสรีภาพ ความเสมอภาค และความเป็นธรรมให้เกิดขึ้นในสังคม รวมท้ังการปกครองประเทศ ในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งจ�ำเป็นอย่างย่ิงท่ีจะต้องมีกฎหมายเป็น กรอบในการดำ� เนนิ การ (๒) ด้านการควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน หรือการ ตรวจสอบการทำ� หนา้ ทขี่ องฝา่ ยบรหิ าร เปน็ บทบาทและอำ� นาจหนา้ ท่ี ในการสอดสอ่ งดแู ลการปฏบิ ตั งิ านของคณะรฐั มนตรหี รอื ฝา่ ยบรหิ าร ดว้ ยวธิ กี ารตามทรี่ ฐั ธรรมนญู กำ� หนดไว้ซงึ่ ตามบทบญั ญตั ขิ องรฐั ธรรมนญู ไดก้ ำ� หนดกระบวนการในการตรวจสอบการทำ� หนา้ ทขี่ องฝา่ ยบรหิ าร 48 หมวด ๒ ระบบรฐั สภาไทย
หรือคณะรัฐมนตรีไว้หลายวิธีการ ได้แก่ การตั้งกระทู้ถามในเรื่องใด เร่ืองหนึ่งเก่ียวกับงานในหน้าท่ี การเปิดอภิปรายท่ัวไปเพื่อลงมติ ไมไ่ วว้ างใจนายกรฐั มนตรหี รอื รฐั มนตรเี ปน็ รายบคุ คล อนั อาจสง่ ผลให้ รฐั มนตรหี รอื คณะรฐั มนตรตี อ้ งพน้ จากตำ� แหนง่ ได้หรอื การเปดิ อภปิ ราย ท่ัวไปของวุฒิสภา เพ่ือให้คณะรัฐมนตรีแถลงข้อเท็จจริงหรือชี้แจง ปญั หาสำ� คญั เกย่ี วกบั การบรหิ ารราชการแผน่ ดนิ โดยไมม่ กี ารลงมติ รวมทง้ั การตงั้ คณะกรรมาธกิ ารเพอื่ กระทำ� กจิ การพจิ ารณาสอบสวนหรอื ศกึ ษา ในเรอื่ งใด ๆ อนั อยใู่ นอำ� นาจหนา้ ทข่ี องสภา ซงึ่ กระบวนการดงั กลา่ ว นับเป็นหลักการท่ีส�ำคัญประการหน่ึงของการปกครองในระบอบ ประชาธิปไตยท่ีมีการถ่วงดุลอ�ำนาจซึ่งกันและกัน เพ่ือป้องกันไม่ให้ ฝา่ ยใดฝา่ ยหนงึ่ ใชอ้ ำ� นาจเกนิ ขอบเขต จนอาจทำ� ใหป้ ระชาชนเดอื ดรอ้ น (๓) ดา้ นการเปน็ ผแู้ ทนปวงชนชาวไทย รฐั ธรรมนญู จะกำ� หนด ให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาเป็นผู้แทนปวงชน ชาวไทย โดยไม่อยู่ในความผูกมัดแห่งอาณัติ มอบหมาย หรือความ ครอบงำ� ใดๆและตอ้ งปฏบิ ตั หิ นา้ ทด่ี ว้ ยความซอ่ื สตั ยส์ จุ รติ เพอ่ื ประโยชน์ สว่ นรวมของปวงชนชาวไทย โดยปราศจากการขดั กนั แหง่ ผลประโยชน์ และก�ำหนดให้สมาชิกรัฐสภามีเอกสิทธิ์และความคุ้มกัน รวมทั้ง หลกั ประกันความเป็นอสิ ระในการปฏิบตั ิหน้าทด่ี า้ นต่าง ๆ (๔) ดา้ นการพิจารณาให้ความเห็นชอบเร่ืองส�ำคัญตา่ ง ๆ ของ ประเทศหรือของแผ่นดิน รัฐธรรมนูญจะก�ำหนดให้สมาชิกรัฐสภา เป็นผู้มีอ�ำนาจในการพิจารณาให้ความเห็นชอบในเรื่องส�ำคัญ ๆ ทเี่ กย่ี วขอ้ งกับผลประโยชน์ของแผ่นดินในกรณีต่าง ๆ เช่น การให้ ความเหน็ ชอบในการแตง่ ตงั้ ผสู้ ำ� เรจ็ ราชการแทนพระองค์ การรบั ทราบ หรอื ใหค้ วามเหน็ ชอบในการสบื ราชสนั ตตวิ งศ์ การใหค้ วามเหน็ ชอบ หมวด ๒ ระบบรฐั สภาไทย 49
ใหพ้ จิ ารณารา่ งรฐั ธรรมนญู แกไ้ ขเพม่ิ เตมิ รา่ งพระราชบญั ญตั ปิ ระกอบ รฐั ธรรมนญู หรอื รา่ งพระราชบญั ญตั ทิ รี่ ฐั สภายงั มไิ ดใ้ หค้ วามเหน็ ชอบ ต่อไปได้ กรณีอายุของสภาผู้แทนราษฎรส้ินสุดลงหรือมีการยุบสภา ผ้แู ทนราษฎร การใหค้ วามเหน็ ชอบในการประกาศสงคราม และการ ให้ความเห็นชอบในการท�ำหนังสือสัญญากับนานาประเทศหรือ กบั องคก์ ารระหวา่ งประเทศ เป็นตน้ (๕) ด้านการสรรหาและการถอดถอนบุคคลในองค์กรต่าง ๆ ตามทร่ี ฐั ธรรมนญู กำ� หนด รฐั ธรรมนญู ไดก้ ำ� หนดใหร้ ฐั สภาโดยเฉพาะ ในสว่ นของวฒุ สิ ภามอี ำ� นาจหนา้ ทใี่ นการสรรหาบคุ คลในองคก์ รตา่ ง ๆ โดยพระมหากษัตริย์ทรงแต่งต้ังตามค�ำแนะน�ำของวุฒิสภา รวมท้ัง การถอดถอนผดู้ ำ� รงตำ� แหนง่ ทางการเมอื งและผดู้ ำ� รงตำ� แหนง่ ระดบั สงู ออกจากต�ำแหน่งได้ ถ้าผู้ด�ำรงต�ำแหน่งดังกล่าวมีพฤติการณ์ร่�ำรวย ผดิ ปกติสอ่ ไปในทางทจุ รติ ตอ่ หนา้ ที่สอ่ วา่ กระท�ำผดิ ตอ่ ตำ� แหนง่ หนา้ ท่ี ราชการ สอ่ วา่ กระทำ� ผดิ ตอ่ ตำ� แหนง่ หนา้ ทใี่ นการยตุ ธิ รรม สอ่ วา่ จงใจ ใช้อำ� นาจหนา้ ท่ขี ดั ตอ่ บทบัญญัตแิ หง่ รฐั ธรรมนูญหรือกฎหมาย หรอื ฝ่าฝนื หรอื ไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอยา่ งร้ายแรง “หมดุ ทร่ี ะลกึ เปลยี่ นแปลงการปกครอง” บรเิ วณลานพระราชวงั ดสุ ติ เบอื้ งซา้ ยของพระบรมราชานสุ าวรยี ์ พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เพอื่ เปน็ ทร่ี ะลกึ วา่ เปน็ จดุ ที่นายพนั เอกพระยาพหลพลพยหุ เสนา หวั หนา้ คณะราษฎรฝา่ ยทหารไดย้ นื อา่ นแถลงการณป์ ระกาศเปลีย่ นแปลงการปกครอง เม่ือวนั ท่ี ๒๔ มถิ ุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ ซงึ่ ถอื เป็นจดุ กำ� เนดิ ของการปกครองระบอบประชาธิปไตยของไทย 50 หมวด ๒ ระบบรฐั สภาไทย
รปู แบบของรฐั สภาตามรฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย ดังได้กล่าวแล้วว่ารัฐสภาเป็นองค์กรตัวแทนของประชาชน ที่ใช้อ�ำนาจนิติบัญญัติและการควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน โดยนับตั้งแต่ มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบ สมบูรณาญาสิทธิราชย์มาสู่การปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๗๕ เปน็ ตน้ มานน้ั ประเทศไทยไดน้ ำ� รปู แบบการปกครองในระบบรฐั สภา มาใช้โดยตลอด ซ่ึงรูปแบบของรัฐสภาไทยที่เคยใช้มาต้ังแต่อดีต จนถึงปัจจุบันนั้น มีทั้ง “ระบบสภาเดี่ยว” และ “ระบบสองสภา” ท้ังน้ี ขึ้นอยู่กับเหตุผลและความจ�ำเป็นของสถานการณ์ทางการเมือง ในแต่ละสมัย กล่าวคือ ระบบรัฐสภาไทยท่ีผ่านมาจะเปล่ียนแปลง ไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญท่ีใช้บังคับในแต่ละสมัย บางสมัย รัฐสภาจะอยู่ในระบบสภาเดี่ยวซึ่งมีสภาเดียว แต่บางสมัยรัฐสภา จะอยู่ในระบบสองสภาหรือสภาคู่ โดยที่ผ่านมาประเทศไทยได้มี การประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและธรรมนูญ การปกครองราชอาณาจักรซ่ึงเป็นรัฐธรรมนูญฉบับถาวรมาแล้ว เปน็ จำ� นวนรวมทง้ั สนิ้ ๑๙ ฉบบั ซง่ึ รฐั ธรรมนญู แตล่ ะฉบบั ดงั กลา่ วนนั้ ต่างก็ได้ก�ำหนดรูปแบบของรัฐสภาไทยแต่ละชุด รวมทั้งมีจ�ำนวน สมาชิกและที่มาที่แตกต่างกันตามเจตนารมณ์ของการประกาศใช้ รัฐธรรมนญู จำ� แนกไดต้ ามล�ำดบั ดังน้ี หมวด ๒ ระบบรฐั สภาไทย 51
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจา้ อยู่หวั ทรงลงพระปรมาภิไธยในรัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รสยาม พทุ ธศกั ราช ๒๔๗๕ ณ พระทนี่ งั่ อนนั ตสมาคม เมอื่ วนั ท่ี ๑๐ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๔๗๕ 52 หมวด ๒ ระบบรฐั สภาไทย
พระราชบญั ญตั ธิ รพรมุทนธญูศักกราราชปก๒ค๔รอ๗ง๕แผ น่ ดนิ สยามชวั่ คราว (รฐั สภาตามรัฐธรรมนูญ ฉบับที่ ๑) เมอื่ พระราชบญั ญตั ธิ รรมนญู การปกครองแผน่ ดนิ สยามชว่ั คราว พุทธศักราช ๒๔๗๕ ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกประกาศใชบ้ งั คบั ถือได้ว่าประเทศไทยเร่ิมมีรัฐสภาข้ึนเป็นคร้ังแรก โดยก�ำหนดให้มี “สภาเดยี ว” คอื สภาผู้แทนราษฎร แบง่ สมาชิกออกเป็น ๓ สมัย คือ สมยั ท่ี ๑ วาระเริ่มแรก คณะราษฎรโดยคณะผู้รักษา พระนครฝา่ ยทหารเปน็ ผใู้ ชอ้ ำ� นาจ แต่งตั้งผู้แทนราษฎรช่ัวคราว จ�ำนวน ๗๐ คน เป็นสมาชิก สภาผู้แทนราษฎร เมือ่ วนั ท่ี ๒๘ มถิ นุ ายน พ.ศ. ๒๔๗๖ สมยั ที่ ๒ ภายในระยะ เวลา๖เดอื นหรอื จนกวา่ จะจดั การ ประเทศเป็นท่ีเรียบร้อย ให้สภา ผแู้ ทนราษฎรมสี มาชกิ ๒ประเภท พระบาทสมเด็จพระปกเกลา้ เจา้ อยหู่ วั พระราชทาน คือ ประเภทท่ี ๑ ราษฎรเลอื กตง้ั รฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั รไทยฉบบั แรก จงั หวดั ละ๑คนตอ่ ราษฎรจำ� นวน แก่ปวงชนชาวไทย ๑๐๐,๐๐๐ คน และประเภทท่ี ๒ ได้แก่ผู้ท่ีเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชั่วคราวอยู่แล้วในสมัยที่ ๑ โดยสมาชิกทงั้ สองประเภทมีจ�ำนวนเท่ากนั หมวด ๒ ระบบรฐั สภาไทย 53
สมยั ที่ ๓ เมื่อราษฎรท่ัวราชอาณาจักรสอบไล่ได้ช้ันประถม ศึกษาเป็นจ�ำนวนเกินกึ่งหน่ึง หรืออย่างช้าไม่เกิน ๑๐ ปี นับแต่วัน ประกาศใชร้ ฐั ธรรมนญู ใหส้ มาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรมาจากการเลอื กตง้ั ทงั้ หมด รัฐสภาชุดท่ี ๑ ดังกล่าว ได้สิ้นสุดลงเม่ือวันท่ี ๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๖ ภายหลงั ทมี่ ีการเลือกตัง้ สมาชกิ ประเภทท่ี ๑ และมกี าร แต่งตง้ั สมาชกิ ประเภทที่ ๒ ตามรัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช ๒๔๗๕ รวมเวลาท่ีสมาชิกอย่ใู นตำ� แหน่ง ๑ ปี ๕ เดอื น ๑๑ วัน รฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รสยาม พุทธศกั ราช ๒๔๗๕ (รัฐสภาตามรัฐธรรมนูญ ฉบับท่ี ๒) รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช ๒๔๗๕ ก�ำหนดให้รัฐสภามี “สภาเดียว” คือ สภาผู้แทนราษฎร เหมือนกับ รฐั ธรรมนูญฉบับแรก แตแ่ บ่งสมาชิกออกเป็น ๒ ประเภท คือ ประเภทที่ ๑ มาจากการเลือกตั้งทางอ้อม โดยราษฎรเลือก ผ้แู ทนต�ำบล แล้วผูแ้ ทนต�ำบลจะเป็นผู้เลอื กสมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎร อกี ทอดหนงึ่ ในสดั สว่ นประชากร๒๐๐,๐๐๐ คน ตอ่ ผแู้ ทนราษฎร ๑ คน ประเภทท่ี ๒ มาจากการแต่งตั้ง โดยนายกรัฐมนตรีเป็น ผู้ถวายรายช่ือให้พระมหากษัตริย์ทรงแต่งต้ัง มีจ�ำนวนเท่ากับสมาชิก ประเภทท่ี ๑ และสามารถแตง่ ตง้ั จากขา้ ราชการประจ�ำได้ ท้ังนี้ ในระหว่างท่ีรัฐธรรมนูญฉบับน้ีมีผลใช้บังคับ มีรัฐสภา ทำ� หนา้ ที่ฝ่ายนติ บิ ัญญัติ จำ� นวน ๔ ชุด ได้แก่ 54 หมวด ๒ ระบบรฐั สภาไทย
รัฐสภาชดุ ที่ ๑ ประกอบดว้ ยสมาชกิ ๒ ประเภท คอื ประเภทที่ ๑ มีสมาชกิ จ�ำนวน ๗๘ คน มาจากการเลอื กตงั้ เมอื่ วนั ท่ี ๑๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๖ ประเภทท่ี ๒ มีสมาชิกจ�ำนวน ๗๘ คน มาจากการแต่งต้ัง เม่ือวันที่ ๙ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๔๗๖ สมาชกิ ประเภทท่ี๑ สน้ิ สดุ ลงเมอื่ วนั ที่ ๙ ธนั วาคม พ.ศ.๒๔๘๐ เหตุท่ีสิ้นสุดเพราะออกตามวาระ รวมเวลาท่ีสมาชิกอยู่ในต�ำแหน่ง ๔ ปี ๒๔ วนั ส่วนสมาชกิ ประเภทท่ี ๒ คงอย่ใู นต�ำแหนง่ ต่อไป รัฐสภาชดุ ท่ี ๒ ประกอบดว้ ยสมาชิก ๒ ประเภท คอื ประเภทที่ ๑ มีสมาชิกจ�ำนวน ๙๑ คน มาจากการเลือกต้ัง เมื่อวนั ท่ี ๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๘๐ ประเภทท่ี ๒ มีสมาชิกจ�ำนวน ๙๑ คน มาจากการแต่งตั้ง จากสมาชิกชุดเดิม จ�ำนวน ๗๘ คน และ มาจากการแต่งต้ังเพ่ิมอีก ๑๓ คน เมื่อวันที่ ๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๐ สมาชกิ ประเภทท่ี๑สนิ้ สดุ ลงเมอื่ วนั ที่๑๑กนั ยายนพ.ศ.๒๔๘๑ เหตทุ ส่ี น้ิ สดุ เพราะมกี ารยบุ สภาผแู้ ทนราษฎร รวมเวลาทส่ี มาชกิ อยใู่ น ตำ� แหนง่ ๑๐ เดอื น ๔ วนั สว่ นสมาชกิ ประเภทท่ี ๒ คงอยใู่ นตำ� แหนง่ ตอ่ ไป รฐั สภาชุดท่ี ๓ ประกอบดว้ ยสมาชิก ๒ ประเภท คือ ประเภทที่ ๑ มีสมาชิกจ�ำนวน ๙๑ คน มาจากการเลือกตั้ง เมื่อวันท่ี ๑๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๘๑ ประเภทที่ ๒ มสี มาชกิ จำ� นวน๙๑คนมาจากการแตง่ ตงั้ จาก สมาชกิ ชุดเดมิ สมาชกิ ประเภทท่ี๑สน้ิ สดุ ลงเมอ่ื วนั ท่ี๑๕ตลุ าคมพ.ศ.๒๔๘๘ เหตุที่ส้ินสุดเพราะยุบสภา รวมเวลาที่สมาชิกอยู่ในต�ำแหน่ง ๖ ปี ๑๑ เดือน ๓ วนั สว่ นสมาชิกประเภทท่ี ๒ คงอยู่ในต�ำแหนง่ ตอ่ ไป หมวด ๒ ระบบรฐั สภาไทย 55
รฐั สภาชุดท่ี ๔ ประกอบด้วยสมาชกิ ๒ ประเภท คอื ประเภทที่ ๑ มสี มาชิกจ�ำนวน ๙๖ คน มาจากการเลอื กต้ัง เมื่อวันท่ี ๖ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๙ ประเภทท่ี ๒ มสี มาชกิ จำ� นวน๙๖คนมาจากการแตง่ ตงั้ เปน็ สมาชิกชุดเดิม จ�ำนวน ๙๑ คน และแต่งตั้ง เพิ่มเติมอีก ๕ คน เมื่อวันท่ี ๓๐ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๙ สมาชิกประเภทที่ ๒ สิ้นสุดลงเมื่อวันท่ี ๑๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๙ เหตุท่ีสิ้นสุดเพราะมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจกั รไทยพทุ ธศกั ราช ๒๔๘๙ รวมเวลาทส่ี มาชกิ อยใู่ นตำ� แหนง่ ๑๒ ปี ๕ เดือน ๑ วัน ส่วนสมาชิกประเภทที่ ๑ คงอยู่ในต�ำแหน่งตอ่ ไป ในฐานะสมาชกิ สภาผ้แู ทน รัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๔๘๙ (รฐั สภาตามรัฐธรรมนญู ฉบับที่ ๓) รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทยพทุ ธศกั ราช๒๔๘๙มแี นวทาง การปกครองทเี่ ปน็ ประชาธปิ ไตยมากขนึ้ โดยกำ� หนดรปู แบบของรฐั สภา ใหเ้ ป็นระบบ “สองสภา” ประกอบด้วย พฤฒสภาและสภาผู้แทน พฤฒสภา มีสมาชิกจ�ำนวน ๘๐ คน มาจากการเลือกต้ังของ สมาชกิ สภาผแู้ ทนเมอื่ วนั ท่ี๒๔พฤษภาคมพ.ศ.๒๔๘๙มวี าระการดำ� รง ต�ำแหน่งคราวละ ๖ ปี และเมื่อครบ ๓ ปี ให้จับสลากออกก่ึงหนึ่ง โดยสมาชกิ ตอ้ งมอี ายุ ๔๐ ปขี นึ้ ไป และตอ้ งสำ� เรจ็ การศกึ ษาไมต่ ำ�่ กวา่ ปริญญาตรีหรือเทียบเท่ามาแล้วไม่น้อยกว่า ๕ ปี และต้องไม่เป็น ขา้ ราชการประจำ� พฤฒสภานนั้ มอี ำ� นาจหนา้ ทน่ี อ้ ยกวา่ สภาผแู้ ทน คอื การยบั ยงั้ รา่ งพระราชบญั ญตั ิและการควบคมุ การบรหิ ารราชการแผน่ ดนิ ของคณะรฐั มนตรีเท่านน้ั 56 หมวด ๒ ระบบรฐั สภาไทย
พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั อานนั ทมหดิ ล ทรงลงพระปรมาภไิ ธยในรฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พุทธศักราช ๒๔๘๙ ณ พระท่นี ่งั อนันตสมาคม เมือ่ วนั ที่ ๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๙ สภาผู้แทน มีสมาชิกจ�ำนวน ๑๗๘ คน ประกอบด้วยสมาชิก ประเภทที่ ๑ ในรัฐสภาชุดที่ ๔ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักร สยาม พุทธศักราช ๒๔๗๕ จ�ำนวน ๙๖ คน และได้มีการเลือกตั้ง เพมิ่ อกี ๘๒ คน เมื่อวันท่ี ๕ สงิ หาคม พ.ศ. ๒๔๘๙ เป็นการเลือกตง้ั ใน ๔๗ จังหวัด เป็นการเลือกต้ังโดยตรง โดยวิธีแบ่งเขตเลือกต้ัง แตล่ ะเขตเลือกต้งั ใหม้ ีผู้แทนราษฎรได้หนงึ่ คน รัฐสภาชุดน้ีสิ้นสุดลงเม่ือวันท่ี ๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๐ เหตทุ สี่ นิ้ สดุ เพราะมกี ารยดึ อำ� นาจการปกครองประเทศโดยคณะทหาร ของชาติ รวมเวลาท่ีสมาชิกพฤฒสภาอยู่ในต�ำแหน่ง ๑ ปี ๕ เดือน ๑๕ วัน และสมาชิกสภาผู้แทนอยู่ในต�ำแหน่ง ๑ ปี ๑๐ เดือน ๒ วัน หมวด ๒ ระบบรฐั สภาไทย 57
รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๔๙๐ (รฐั สภาตามรฐั ธรรมนญู ฉบับท่ี ๔) รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย (ฉบบั ชว่ั คราว) พทุ ธศกั ราช ๒๔๙๐ ก�ำหนดให้รัฐสภาเป็นระบบ “สองสภา” ประกอบด้วย วฒุ สิ ภาและสภาผูแ้ ทน วฒุ สิ ภา ประกอบดว้ ยสมาชกิ ทพ่ี ระมหากษตั รยิ ท์ รงแตง่ ตงั้ ขน้ึ มีจ�ำนวนเท่ากับสมาชิกสภาผู้แทน และไม่ห้ามข้าราชการประจ�ำ เป็นสมาชิกวุฒิสภา โดยแต่งต้ังข้ึนจ�ำนวน ๑๐๐ คน เมื่อวันที่ ๑๘ พฤศจกิ ายน พ.ศ. ๒๔๙๐ สภาผแู้ ทน มสี มาชกิ จำ� นวน ๙๙ คน มาจากการเลอื กตง้ั โดยตรง เมอ่ื วนั ท่ี๒๙มกราคมพ.ศ.๒๔๙๑โดยวธิ รี วมเขตจงั หวดั และถอื เกณฑ์ จำ� นวนประชากร ๒๐๐,๐๐๐ คน ตอ่ ผแู้ ทนราษฎร ๑ คน รฐั สภาชุดนสี้ ้ินสดุ ลงเมอ่ื วันท่ี ๒๙ พฤศจกิ ายน พ.ศ. ๒๔๙๔ เหตทุ สี่ น้ิ สดุ เพราะมกี ารยดึ อำ� นาจการปกครองประเทศโดยคณะบรหิ าร ประเทศชว่ั คราว รวมเวลาทสี่ มาชกิ วฒุ สิ ภาอยใู่ นตำ� แหนง่ ๔ ปี ๑๑ วนั และสมาชิกสภาผูแ้ ทนอย่ใู นต�ำแหนง่ ๓ ปี ๑๐ เดอื น รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พทุ ธศักราช ๒๔๙๒ (รัฐสภาตามรฐั ธรรมนูญ ฉบบั ที่ ๕) รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช ๒๔๙๒กำ� หนด ใหร้ ฐั สภาเปน็ ระบบ “สองสภา” ประกอบดว้ ย วฒุ สิ ภาและสภาผแู้ ทน วฒุ สิ ภา ประกอบดว้ ยสมาชกิ จำ� นวน๑๐๐คนซง่ึ พระมหากษตั รยิ ์ ทรงเลอื กและแตง่ ตง้ั จากผมู้ สี ทิ ธสิ มคั รรบั เลอื กตง้ั เปน็ สมาชกิ สภาผแู้ ทน 58 หมวด ๒ ระบบรฐั สภาไทย
และมีอายุไม่ต่�ำกว่า ๔๐ ปีบริบูรณ์ ซึ่งทรงพระราชด�ำริเห็นว่าเป็น ผทู้ รงคณุ วฒุ ิ มวี าระการดำ� รงตำ� แหนง่ คราวละ ๖ ปี โดยในวาระเรม่ิ แรก ให้มกี ารจับสลากออกจากต�ำแหนง่ เปน็ จำ� นวนก่ึงหนง่ึ สภาผู้แทน ประกอบด้วยสมาชิกจ�ำนวน ๑๒๐ คน ซ่ึงมาจาก การเลือกต้ังโดยตรงและใช้วิธีรวมเขตจังหวัด โดยถือเกณฑ์จ�ำนวน ราษฎร ๑๕๐,๐๐๐ คน ตอ่ สมาชกิ สภาผแู้ ทน ๑ คน อายขุ องสภาผแู้ ทน มีกำ� หนดคราวละ ๔ ปี อน่ึง รัฐสภาตามรัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นชุดเดียวกับรัฐสภา ตามรฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย (ฉบบั ชวั่ คราว) พทุ ธศกั ราช ๒๔๙๐ โดยเมอ่ื มกี ารประกาศใชร้ ฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช ๒๔๙๒รฐั ธรรมนญู ไดก้ ำ� หนดใหส้ มาชกิ วฒุ สิ ภาและสมาชกิ สภาผแู้ ทน อยใู่ นตำ� แหนง่ ตอ่ ไปจนครบวาระ ทง้ั น้ี ในวนั ท่ี ๕ มถิ นุ ายน พ.ศ. ๒๔๙๒ ไดม้ กี ารเลอื กตงั้ สมาชกิ สภาผแู้ ทนเพมิ่ ขนึ้ ใน๑๙จงั หวดั จำ� นวน๒๑คน โดยวธิ รี วมเขตจงั หวดั และถอื เกณฑป์ ระชากร ๑๕๐,๐๐๐ คน ตอ่ ผแู้ ทน ราษฎร ๑ คน ตามรฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช ๒๔๙๒ รัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศกั ราช ๒๔๗๕ แกไ้ ขเพม่ิ เตมิ พทุ ธศกั ราช ๒๔๙๕ (รฐั สภาตามรฐั ธรรมนูญ ฉบับที่ ๖) รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช ๒๔๗๕ แกไ้ ข เพิ่มเตมิ พุทธศักราช ๒๔๙๕ ก�ำหนดใหร้ ัฐสภามี “สภาเดียว” คือ สภาผแู้ ทนราษฎร แตม่ สี มาชกิ ๒ ประเภท มจี ำ� นวนเทา่ กนั โดยสมาชกิ ประเภทที่ ๑ มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน มีวาระการ ดำ� รงตำ� แหนง่ ๕ ปี สว่ นสมาชกิ ประเภทท่ี ๒ มาจากการแตง่ ตง้ั หมวด ๒ ระบบรฐั สภาไทย 59
พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยูห่ ัวภูมพิ ลอดลุ ยเดช ทรงลงพระปรมาภไิ ธย ในรฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช ๒๔๗๕ แกไ้ ขเพม่ิ เตมิ พทุ ธศกั ราช ๒๔๙๕ ท้ังน้ี ในระหว่างท่ีรัฐธรรมนูญฉบับน้ีมีผลใช้บังคับ มีรัฐสภา ทำ� หน้าทีฝ่ า่ ยนติ บิ ญั ญัติ จำ� นวน ๓ ชดุ ได้แก่ รัฐสภาชดุ ที่ ๑ ประกอบด้วยสมาชิก ๒ ประเภท คือ ประเภทที่ ๑ มสี มาชกิ จำ� นวน๑๒๓คนมาจากการเลอื กตงั้ เม่ือวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๙๕ โดยวธิ รี วมเขตจงั หวดั และถอื เกณฑป์ ระชากร ๑๕๐,๐๐๐ คน ต่อผแู้ ทนราษฎร ๑ คน ประเภทท่ี ๒ มสี มาชกิ จำ� นวน ๑๒๓ คน มาจากการแตง่ ตงั้ เมือ่ วนั ท่ี ๓๐ พฤศจกิ ายน พ.ศ. ๒๔๙๔ สมาชิกประเภทที่ ๑ สิ้นสุดลงเม่ือวันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๐๐ เหตุที่ส้ินสุดเพราะออกตามวาระ รวมเวลาที่สมาชิก อยู่ในต�ำแหน่ง ๔ ปี ๑๑ เดือน ๓๐ วัน ส่วนสมาชิกประเภทที่ ๒ ยงั คงอยใู่ นต�ำแหน่งต่อไป 60 หมวด ๒ ระบบรฐั สภาไทย
รัฐสภาชุดท่ี ๒ ประกอบดว้ ยสมาชิก ๒ ประเภท คอื ประเภทท่ี ๑ มสี มาชกิ จำ� นวน ๑๖๐ คน มาจากการเลอื กตง้ั เม่ือวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๐๐ โดยวธิ รี วมเขตจงั หวดั และถอื เกณฑป์ ระชากร ๑๕๐,๐๐๐ คน ตอ่ ผู้แทนราษฎร ๑ คน ประเภทท่ี ๒ มสี มาชกิ จำ� นวน ๑๒๓ คน มาจากการแตง่ ตงั้ (เปน็ สมาชกิ ประเภทที่ ๒ ชดุ เดิม) รัฐสภาชุดนี้ส้ินสุดลงเมื่อวันที่ ๑๖ กันยายน พ.ศ. ๒๕๐๐ เหตุท่ีสิ้นสุดเพราะมีการยึดอ�ำนาจการปกครองประเทศ รวมเวลาที่ สมาชิกประเภทที่ ๑ อยู่ในต�ำแหน่ง ๖ เดือน ๒๑ วัน ส่วนสมาชิก ประเภทที่ ๒ อยใู่ นตำ� แหน่ง ๕ ปี ๙ เดอื น ๑๗ วนั รัฐสภาชดุ ท่ี ๓ ประกอบดว้ ยสมาชกิ ๒ ประเภท คือ ประเภทท่ี ๑ มาจากการเลือกต้ังเมื่อวันท่ี ๑๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๐๐ โดยวิธีรวมเขตจังหวัด และ ถือเกณฑ์ประชากร ๑๕๐,๐๐๐ คน ต่อ ผแู้ ทนราษฎร ๑ คน ไดจ้ ำ� นวน ๑๖๐ คน ตอ่ มา วนั ท่ี ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๐๑ คณะรฐั มนตรี ไ ด ้ ป ร ะ ก า ศ จ� ำ น ว น ผู ้ มี สิ ท ธิ เ ลื อ ก ตั้ ง ท่ีจบชั้นประถมศึกษาตามมาตรา ๑๑๖ ของรัฐธรรมนูญ จึงมีการเลือกต้ังสมาชิก ประเภทท่ี ๑ ใน ๕ จังหวดั ตามมาตรา ๑๑๖ ของรฐั ธรรมนญู จำ� นวน ๒๖ คน รวมสมาชิก ประเภทท่ี ๑ จำ� นวน ๑๘๖ คน หมวด ๒ ระบบรฐั สภาไทย 61
ประเภทที่ ๒ มสี มาชกิ จำ� นวน ๑๒๑ คน มาจากการแตง่ ตงั้ เมื่อวันท่ี ๑๘ กันยายน พ.ศ. ๒๕๐๐ ทั้งนี้ ไดจ้ ับสลากออก จ�ำนวน ๒๖ คน ตามมาตรา ๑๑๖ ของรฐั ธรรมนญู เมอื่ วนั ท่ี ๘ กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. ๒๕๐๑ จึงเหลือสมาชิกประเภทที่ ๒ จ�ำนวน ๙๕ คน รัฐสภาชุดนี้สิ้นสุดลงเมื่อวันท่ี ๒๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๐๑ เหตุที่ส้ินสุดเพราะมีการยึดอ�ำนาจการปกครองประเทศ รวมเวลาที่ สมาชิกประเภทท่ี ๑ อยู่ในต�ำแหน่ง ๑๐ เดือน ๕ วัน ส่วนสมาชิก ประเภทท่ี ๒ อยใู่ นตำ� แหนง่ ๑ ปี ๑ เดอื น ๒ วนั พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยหู่ ัวภูมพิ ลอดลุ ยเดช พระราชทานรฐั ธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย พทุ ธศกั ราช ๒๔๗๕ แกไ้ ขเพม่ิ เตมิ พุทธศกั ราช ๒๔๙๕ ณ พระท่นี ่ังอนนั ตสมาคม เมือ่ วันท่ี ๘ มนี าคม พ.ศ. ๒๔๙๕ 62 หมวด ๒ ระบบรฐั สภาไทย
ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พทุ ธศักราช ๒๕๐๒ (รฐั สภาตามรัฐธรรมนูญ ฉบับท่ี ๗) ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช ๒๕๐๒ กำ� หนดใหร้ ฐั สภามี “สภาเดยี ว” คอื สภารา่ งรฐั ธรรมนญู ประกอบดว้ ย สมาชกิ จ�ำนวน ๒๔๐ คน ซ่ึงพระมหากษตั ริยท์ รงแต่งตง้ั เมื่อวนั ที่ ๓ กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. ๒๕๐๒ ทำ� หนา้ ทใ่ี นการรา่ งรฐั ธรรมนญู และทำ� หนา้ ท่ี นติ บิ ญั ญตั ดิ ว้ ยแตไ่ มม่ อี ำ� นาจในการควบคมุ การบรหิ ารราชการแผน่ ดนิ รัฐสภาชุดน้ีสิ้นสุดลงเม่ือวันท่ี ๒๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๑๑ เหตทุ สี่ น้ิ สดุ เพราะมกี ารประกาศใชร้ ฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พุทธศักราช ๒๕๑๑ รวมเวลาที่สมาชิกอยู่ในต�ำแหน่ง ๙ ปี ๔ เดือน ๑๗ วนั รัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย พทุ ธศักราช ๒๕๑๑ (รัฐสภาตามรัฐธรรมนูญ ฉบับที่ ๘) รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๑๑ กำ� หนด ใหร้ ฐั สภาเปน็ ระบบ “สองสภา” ประกอบดว้ ย วฒุ สิ ภาและสภาผแู้ ทน วุฒิสภา มีสมาชิกจ�ำนวน ๑๖๔ คน ซ่ึงพระมหากษัตริย์ทรง แต่งต้ังเมื่อวันท่ี ๔ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๑๑ จ�ำนวน ๑๒๐ คน และ ทรงแต่งตั้งเพิ่มอีก ๔๔ คน เม่ือวันท่ี ๒๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๒ เพอื่ ใหม้ จี ำ� นวน ๓ ใน ๔ ของจำ� นวนสมาชกิ สภาผแู้ ทนตามทก่ี ำ� หนด ในรฐั ธรรมนญู จนถงึ วนั ท่ี ๓ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๑๔ สมาชกิ วฒุ สิ ภา มีอายุครบ ๓ ปี ต้องจับสลากออกกึ่งหนึ่งจ�ำนวน ๘๒ คน และ พระมหากษตั รยิ ท์ รงแตง่ ตง้ั สมาชกิ เทา่ จำ� นวนทตี่ อ้ งออกไปเขา้ มาแทนท่ี หมวด ๒ ระบบรฐั สภาไทย 63
สภาผู้แทน มีสมาชิกจ�ำนวน ๒๑๙ คน จากการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๒ โดยวิธีรวมเขตจังหวัด และ ถอื เกณฑป์ ระชากร ๑๕๐,๐๐๐ คน ตอ่ สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร ๑ คน รฐั สภาชุดนี้สนิ้ สุดลงเมอ่ื วนั ที่ ๑๗ พฤศจกิ ายน พ.ศ. ๒๕๑๔ เหตุที่สิ้นสุดเพราะมีการยึดอ�ำนาจการปกครองประเทศ รวมเวลาท่ี สมาชิกวุฒิสภาอยู่ในต�ำแหน่ง ๓ ปี ๔ เดือน ๑๓ วัน ส่วนสมาชิก สภาผแู้ ทนอยู่ในต�ำแหน่ง ๒ ปี ๙ เดอื น ๗ วนั พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอย่หู วั ภูมพิ ลอดุลยเดช ทรงลงพระปรมาภไิ ธย ในรฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๑๑ 64 หมวด ๒ ระบบรฐั สภาไทย
พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ภมู พิ ลอดลุ ยเดช ทรงลงพระปรมาภไิ ธยในรฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศักราช ๒๕๑๑ ณ พระท่นี ่งั อนันตสมาคม เมื่อวนั ท่ี ๒๐ มถิ นุ ายน พ.ศ. ๒๕๑๑ หมวด ๒ ระบบรฐั สภาไทย 65
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยหู่ ัวภูมพิ ลอดลุ ยเดช พระราชทานรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย พทุ ธศักราช ๒๕๑๑ เมือ่ วนั ที่ ๒๐ มถิ นุ ายน พ.ศ. ๒๕๑๑ โดยมนี ายทวี บณุ ยเกตุ ประธานสภารา่ งรฐั ธรรมนญู เป็นผลู้ งนามรบั สนองพระบรมราชโองการ 66 หมวด ๒ ระบบรฐั สภาไทย
Search
Read the Text Version
- 1 - 28
Pages: