Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ใบความรู้เรื่องวรรณคดี

ใบความรู้เรื่องวรรณคดี

Published by เพ็ญนภา โชติช่วง, 2021-06-08 07:46:12

Description: ใบความรู้เรื่องวรรณคดี

Search

Read the Text Version

ใบความรู้ เรือ่ ง วรรณคดแี ละวรรณกรรม วรรณคดี หมายถึง วรรณกรรมที่ได้รับยกย่องวา่ แต่งดี มีคุณค่าเชิงวรรณศิลป์ถงึ ขนาด เช่น พระราชพธิ ีสิบสองเดอื น มัทนะพาธา สามกก๊ เสภาเรื่องขุนชา้ งขุนแผน วรณกรรม หมายถึง งานหนังสือ, งานประพันธ์, บทประพันธ์ทุกชนิดทั้งที่เป็นรอ้ ยแก้วและ ร้อยกรอง เช่น วรรณกรรมสมัยรัตนโกสินทร์ วรรณกรรมของเสฐียรโกเศศ วรรณกรรมฝรั่งเศส วรรณกรรมประเภทสอ่ื สารมวลชน สำหรับประเทศไทยมีการใช้คำว่า “หนังสือ” ก่อนคำว่า “วรรณคดี” และ “วรรณกรรม” กลา่ วคอื ในอดีตเราเรียกงานเขยี นทั่วไปว่า “หนังสอื ” หรืออาจเรยี กโดยใชช้ ่ือผู้แต่งกับชื่อคำประพันธ์ และประเภทของเน้ือหา เชน่ นิราศนรินทร์ หรืออาจเรยี กโดยใชช้ อ่ื ลกั ษณะคำประพันธแ์ ละเหตกุ ารณ์ใน เร่อื ง เชน่ เพลงยาวนริ าศรบพมา่ ท่ที ่าดินแดง เป็นต้น “วรรณคดี” เปน็ ท่ีร้จู ักอยา่ งเป็นทางการเม่อื พ.ศ.2450 สมยั พระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกล้า เจ้าอยหู่ วั สมัยทช่ี าตติ ะวนั ตกเรม่ิ เขา้ มามอี ทิ ธิพลในทุกๆ ด้าน พระองคท์ รงต้งั “โบราณคดสี โมสร” ขึ้น เพื่อส่งเสรมิ การประพนั ธ์ การศึกษาประวตั ิศาสตร์และงานทางโบราณคดี รวมท้ังพมิ พ์ เผยแพร่วรรณคดี โบราณ เชน่ ลลิ ติ ยวนพ่าย ทวาทศมาส และนิราศพระยาตรัง เป็นตน้ นอกจากน้มี ีคณะกรรมการตรวจ คัดหนงั สือที่ “แต่งด”ี เพื่อรับพระบรมราชานุญาตประทบั พระราชลัญจกรมังกรคาบแก้ว และจงึ ได้ชื่อวา่ เป็น “วรรณคดี” ต่อมาใน พ.ศ. 2457 สมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยูห่ ัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตราพระราชกฤษฎกี าจัดตั้ง “วรรณคดีสโมสร” ขน้ึ โดยมวี ัตถปุ ระสงค์เพื่อสง่ เสรมิ การแต่งหนังสือ ให้ ถกู ตอ้ งตามหลักภาษาไทย สนบั สนนุ ใหแ้ ตง่ เรอื่ งท่ีอ่านแล้วได้สาระประโยชน์ เชน่ เดียวกับวัตถุประสงค์ ของโบราณคดีสโมสร

ใบความรู้ เร่ือง โวหารภาพพจน์ โวหาร คอื การใช้ถอ้ ยคำอยา่ งมชี น้ั เชงิ เป็นการแสดงข้อความออกมาในทำนองตา่ ง ๆ เพื่อให้ ขอ้ ความไดเ้ นอื้ ความดี มคี วามหมายแจม่ แจง้ เหมาะสมนา่ ฟงั ในการเขยี นเร่อื งราวอาจใช้โวหารตา่ ง ๆ กนั แลว้ แต่ชนิดของขอ้ ความ โวหารภาพพจน์ คอื กลวิธกี ารนำเสนอสารโดยการพลิกแพลงภาษาที่ใช้พูด หรอื เขยี นให้แปลก ออกไปจากภาษาตามตัวอักษรทำใหผ้ ้อู ่านเกดิ ภาพในใจ เกิดความประทบั ใจ เกิดความรู้สกึ สะเทอื นใจ (เป็นการเปรียบเทียบใหเ้ หน็ ภาพอย่างชัดเจน ) ประเภทของโวหารภาพพจน์ ๑. อุปมา อุปมา คือ การเปรียบเทียบว่าสิ่งหนึ่งเหมือนกับสิ่งหนึ่งโดยใช้คำเชื่อมที่มีความหมาย เช่นเดียวกับคำว่า “เหมือน ” เช่น ดุจ ดั่ง ราว ราวกับ เปรียบ ประดุจ เฉก เล่ห์ ปาน ประหนึ่ง เพียง เพ้ยี ง พ่าง ปนู ถนัด ละหมา้ ย เสมอ กล อยา่ ง ฯลฯ ตัวอย่าง “ สูงระหงทรงเพรยี วเรยี วรูด งามละม้ายคล้ายอฐู กะหลาป๋า พศิ แตห่ ัวตลอดเท้าขาวแต่ตา ท้งั สองแก้มกัลยาดั่งลูกยอ ค้ิวก่งเหมือนกงเขาดดี ฝ้าย จมูกละม้ายคลา้ ยพรา้ ขอ หูกลวงดวงพกั ตร์หักงอ ลำคอโตตันสัน้ กลม ” ในบทกลอนข้างต้นน้เี ปน็ การนำเอาลกั ษณะของอวัยวะหรอื รปู รา่ งของคนมาเปรียบกับลักษณะ ของสง่ิ ที่ดูเหมอื นเชน่ แกม้ เป็นปมุ่ ปมเหมอื นกบั ผวิ ลกู ยอ จมกู ทดี่ ูงองมุ้ ท่ีปลายจมกู เหมือนกับตะขอ เปน็ ตน้ ๒. อุปลกั ษณ์ อปุ ลกั ษณ์ ก็คล้ายกับอุปมาโวหารคอื เปน็ การเปรยี บเทยี บเหมอื นกนั แตเ่ ปน็ การเปรียบเทียบสง่ิ หนง่ึ เป็นอกี สิง่ หนง่ึ ตัวอย่าง “ มนั ก็เป็นช้างงาอนั กล้าหาญ เราก็ เปน็ ชา้ งสารอนั สงู ใหญ่ จะอยปู่ า่ เดยี วกนั นน้ั ฉันใด นานไปกจ็ ะยับอปั มาน ” ในบทกลอนนี้เป็นการเปรียบเทียบระหว่างหม่ืนหาญกับขุนแผนโดยเปรียบขุนแผนเป็นช้างท่ี กล้าหาญ หมนื่ หาญกเ็ ป็นชา้ งทด่ี ูใหญโ่ ตจะอยู่ด้วยกันไดอ้ ย่างไร

๓. สญั ลักษณ์ สญั ลักษณ์ เปน็ การเรียกชอื่ สง่ิ ๆ หนงึ่ โดยใชค้ ำอน่ื มาแทนไม่เรยี กตรง ๆ ส่วนใหญ่คำที่นำมา แทนจะเป็นคำที่เกิดจากการเปรียบเทียบและตีความ ซึ่งใช้กันมานานจนเป็นที่เข้าใจและรู้จักกัน โดยทัว่ ไป ท้ังน้ีอาจเป็นเพราะผู้ประพนั ธ์ต้องการเปรยี บเทียบเพ่ือสรา้ งภาพพจนห์ รือมฉิ ะนัน้ กอ็ าจจะอยู่ ในภาวะท่ีกล่าวโดยตรงไมไ่ ด้ เพราะไม่สมควรจงึ ต้องใช้สัญลักษณแ์ ทน ตวั อยา่ ง “ อยา่ เออื้ มเด็ดดอกฟ้า มาถนอม สูงสุดมือมักตรอม อกไข้ เดด็ แตด่ อกพยอม ยามยาก ชมนา สงู ก็สอยดว้ ยไม้ อาจเอ้ือมเอาถึง ” โคลงบทน้มี ีความหมายเป็นสองนัย ความหมายแรกอาจจะเป็นการสอนผู้ชายวา่ อย่าหมายเป็น เจ้าของผู้หญิงทีม่ ีศักดิ์สูงกว่าโดยใช้สัญลักษณ์ดอกฟ้าแทนหญิงอันสงู ศักดิ์หรอื อีกความหมายหน่งึ เป็น การสอนว่าอยา่ ทะเยอทะยานเกนิ กว่าวสิ ัยของตนทจี่ ะสามารถทำได้ ๔. บุคลาธษิ ฐาน หรอื บุคคลวัต บคุ คลสมมติ บุคลาธิษฐาน หรือ บุคคลวัต บุคคลสมมติ คือการกล่าวถึงสิ่งตา่ ง ๆ ที่ไม่มีชีวิต ไม่มีความคดิ ไมม่ วี ิญญาณ เช่น โต๊ะ เก้าอี้ อิฐ ปูน หรือส่งิ มีชวี ติ ทไี่ ม่ใช่มนษุ ย์ เชน่ ต้นไม้ สตั ว์โดยใหส้ ิง่ ตา่ ง ๆ เหล่านี้ แสดงกิรยิ าอาการและความรสู้ กึ ได้เหมอื นมนุษย์ ใหม้ คี ุณลักษณะตา่ ง ๆ เหมือนสง่ิ มชี ีวติ ( บคุ ลาธิษฐาน มาจากคำว่า บุคคล + อธิษฐาน หมายถงึ อธษิ ฐานใหก้ ลายเปน็ บคุ คล ) ตัวอยา่ ง “ ลมหนาวเริ่มลอ่ งมาจากฟา้ แล้ว พรมจบู แผว่ เจ้าพระยาโรยฝา้ ฝนั คลน่ื คลีเ่ กลยี วแกว้ มว้ นกบั นวลจนั ทร์ กระซบิ สนั่ ซ่านกระเซ็นเปน็ ลำนำ ” ในบทนี้เป็นการนำเสนอของกวีที่ใหล้ มหนาวมาทำอาการจูบลำน้ำเจา้ พระยาคลื่นกระซิบและ สัน่ จนเกิดเป็นเพลงลำนำ ๕. อติพจน์ หรือ อธพิ จน์ อติพจน์ หรอื อธิพจน์ คือโวหารท่กี ล่าวเกนิ ความจริง เพอ่ื สรา้ งและเน้นความรู้สึกและอารมณ์ ทำให้ผู้ฟงั เกดิ ความรู้สกึ ท่ลี กึ ซงึ้ ภาพพจนช์ นิดน้นี ยิ มใชก้ นั มากแม้ในภาษาพูด เพราะเป็นการกล่าวที่ทำ ใหเ้ หน็ ภาพไดง้ ่ายและแสดงความรูส้ ึกของกวไี ดอ้ ย่างชดั เจน ตวั อย่าง “ เรยี มร่ำน้ำเนตรถว้ ม ถงึ พรหม พาหม่สู ัตว์จ่อมจม ชีพมว้ ย ” การกลา่ วเกินจรงิ ท่ีกวีร้องไห้ คร่ำครวญจนน้ำตาท่วมถึงพระพรหม ทำใหส้ ัตว์ทง้ั หลายจมน้ำตาย ๖. สทั พจน์ สทั พจน์ หมายถึง ภาพพจนท์ เ่ี ลยี นเสียงธรรมชาติ เช่น เสยี งดนตรี เสียงสัตว์ เสียงคล่นื เสยี งลม เสยี งฝนตก เสียงนำ้ ไหล ฯลฯ การใช้ภาพพจนป์ ระเภทน้ีจะทำให้เหมอื นไดย้ ินเสยี งน้นั จริง ๆ ตวั อยา่ ง

“ ตอ้ ยตะริดติดต่เี จ้าพ่ีเอย๋ จะละเลยเร่รอ่ นไปนอนไหน แอ้อีอ่อย สรอ้ ยฟ้าสมุ าลัย แม้นเดด็ ไดแ้ ล้วไมร่ า้ งใหห้ ่างเชย ” ต้อยตะรดิ ติดต่ี , แออ้ อี อ่ ย เป็นเสยี งของป่ี ๗. นามนัย นามนยั คอื การใชค้ ำหรือวลีซึ่งบง่ ลกั ษณะหรอื คณุ สมบตั ขิ องสงิ่ ใดสงิ่ หน่ึงแทนอกี สงิ่ หนง่ึ คล้าย ๆ สัญลักษณ์ แต่ต่างกันตรงที่ นามนัยนั้นจะดงึ เอาลักษณะบางส่วนของสิ่งหนึ่งมากลา่ วให้หมายถึงส่วน ทัง้ หมด หรอื ใชช้ ือ่ สว่ นประกอบสำคัญของสง่ิ น้นั แทนส่งิ นั้นทง้ั หมด ตวั อยา่ ง “ ซ่งึ พระองค์จะพาสองหลาน ออกไปสังหารยกั ษา ก็ตอ้ งความตาม ไวกณู ฐ์ มา สุดแต่พระมหามุนี ” ไวกูณฐ์ เป็นที่ประทับขององค์พระนารายณ์ในที่นี้ใช้เป็นนามนัยที่หมายถึงองค์พระนารายณ์ อวตาร (รามเกยี รต์ิ – รัชกาลท่ี 1) เศวตฉัตร ใช้เปน็ นามนยั หมายถึงราชสมบัติ ๘. ปฏพิ จน์ หรอื ปรพากย์ ปฏิพจน์ หรือ ปรพากย์ คือการใช้ถ้อยคำที่มีความหมายตรงกันข้ามหรือขัดแย้งกันมากล่าว อย่างกลมกลนื กันเพื่อเพม่ิ ความหมายให้มนี ้ำหนักมากยิ่งข้ึน ตวั อย่าง “ รกั ก่อววิ าทกนั !โอ้ความชงั อันน่ารกั ! (ศตั รูท่รี ัก) โลกมนุษยย์ งั มีสีดำขาว มีดินดาวร้อนเย็น และเหม็นหอม โอค้ วามเบาแสนหนกั ! ความป้ออนั งึมงมั ! ขนนกหนกั ! ควนั ผ่องพรรณ ! ไฟเย็น , อีก ไข้สขุ า ! ตนื่ อยู่แต่หลบั ในนี่ไม่เป็นเชน่ เห็นนา ! ” บทที่กล่าวมานี้เป็นกลอนเปลา่ ท่โี รเมโอกลา่ วต่อเบน็ โวเลโอสหายเพอ่ื บรรยายความรักของตน ท่มี ตี อ่ จเู ลยี ตบตุ รีของตระกลู อันเปน็ ศัตรู จะเห็นวา่ ใช้ถอ้ ยคำทข่ี ดั แย้งกนั เช่น ความเบาแสนหนัก ไข้สุขา ฯลฯ ซึ่งเปน็ ไปไม่ได้วา่ ความหนักนนั้ จะมสี ภาพเบา การเปน็ ไข้จะทำใหเ้ ปน็ สุขได้ ซงึ่ ในที่นี้โรเมโอรู้ว่ามิ อาจจะรักศัตรไู ดแ้ ต่กห็ า้ มใจแห่งตนไม่ได้ จงึ บรรยายด้วยความ ขดั แยง้ ของ 12 สง่ิ ต่าง ๆ มาเปรยี บ

ใบความรู้ เรือ่ ง รสในวรรณคดี รสวรรณคดไี ทย แบง่ ได้ ๔ ชนดิ ๑. เสาวรจนยี ์ (บทชมโฉม) การเล่าชมความงามของตัวละครในเรื่อง อาจเป็นตัวละครที่เป็นมนุษย์ อมนุษย์ หรือสัตว์ ซึ่งการชมนี้อาจจะเป็นการชมความเก่งกล้าของกษัตริย์ ความงามของปราสาทราชวังหรือความ เจริญรงุ่ เรืองของบ้านเมือง เช่น บทชมนางเงอื กซ่งึ ตดิ ตามพ่อแมม่ าเพื่อพาพระอภัยมณีหนีนางผีเสอ้ื สมทุ ร จากเรอื่ งพระอภยั มณี หนอ่ กษตั ริย์ทศั นานางเงือกน้อย ดูแชม่ ช้อยโฉมเฉลาทงั้ เผา้ ผม ประไพพกั ตรล์ ักษณล์ ้าล้วนขาคม ท้ังเน้ือนมนวลเปลง่ ออกเต่งทรวง ขนงเนตรเกศกรออ่ นสะอาด ดังสุรางคน์ างนาฏในวังหลวง พระเพลนิ พิศคดิ หมายเสยี ดายดวง แล้วหนักหนว่ งนกึ ทจ่ี ะหนีไป (พระอภัยมณี : สนุ ทรภ)ู่ ๒. นารีปราโมทย์ (บทเกย้ี ว โอโ้ ลม) การกลา่ วแสดงความรัก ทั้งการเกีย้ วพาราสีกนั ในระยะแรก ๆ หรือการพรรณนาบทโอโ้ ลมปฏโิ ลม กอ่ นจะถึงบทสังวาสนัน้ ด้วย เชน่ ถึงมว้ ยดนิ สนิ้ ฟ้ามหาสมทุ ร ไม่สน้ิ สุดความรกั สมัครสมาน แมน้ เกดิ ในใตฟ้ ้าสธุ าธาร ขอพบพานพิศวาสไมค่ ลาดคลา แม้นเนื้อเย็นเป็นหว้ งมหรรณพ พี่ขอพบศรีสวสั ดเ์ิ ป็นมจั ฉา แมน้ เป็นบัวตัวพเ่ี ป็นภุมรา เชยผกาโกสุมปทมุ ทอง เจา้ เป็นถา้ อาไพขอใหพ้ ่ี เปน็ ราชสีหส์ มสู่เป็นคูสอง จะตดิ ตามทรามสงวนนวลละออง เปน็ คู่ครองพิศวาสทกุ ชาติไป (พระอภยั มณี : สุนทรภ)ู่ ๓. พิโรธวาทงั (บทตัดพ้อ) การกลา่ วข้อความแสดงอารมณ์ไมพ่ อใจ ตั้งแต่เรื่องเล็กน้อยไปจนถึงเรือ่ งใหญ่ ตั้งแต่ ไม่พอใจ โกรธ ตัดพอ้ ประชดประชนั กระทบกระเทยี บเปรยี บเปรย เสียดสี และดา่ วา่ อยา่ งรนุ แรง เช่น ครงั้ นเี้ สียรกั กไ็ ดร้ ู้ ถงึ เสยี รู้ก็ไดเ้ ชาวนท์ เ่ี ฉาฉงน เป็นชายหม่นิ ชายต้องอายคน จำจนจำจากอาลยั ลาน (เจ้าพระยาพระคลัง (หน)

บทตดั พอ้ ทแ่ี สดงท้งั อารมณ์รักและแค้นของ องั คาร กลั ยาณพงศ์ จากบทกวี “เสยี เจา้ ” จะเจบ็ จำไปถงึ ปรโลก ฤๅรอยโศกรรู้ ้างจางหาย จะเกิดกีฟ่ า้ มาตรมตาย อยา่ หมายวา่ จะใหห้ วั ใจ (อังคาร กัลยาณพงศ)์ ๔. สลั ลาปงั คพิไสย (บทโศก) การกล่าวขอ้ ความแสดงอารมณ์โศกเศรา้ อาลัยรัก เช่นบทโศกของนางวันทอง จากเรือ่ งขนุ ช้าง ขนุ แผน ตอนขุนแผนพานางวนั ทองหนี ซ่งึ คร่าครวญอาลัยรักต้นไม้ในบา้ นขุนชา้ ง อนั แสดงให้เหน็ วา่ นาง ไมต่ อ้ งการตามขนุ แผนไป แตท่ ีต่ อ้ งไปเพราะขนุ แผนร่ายมนตส์ ะกด ก่อนลาจากไป นางไดร้ ่าลาต้นไมก้ อ่ น ลำดวนเอย๋ จะด่วนไปก่อนแล้ว ทงั้ เกดแกว้ พิกลุ ย่สี นุ่ สี จะโรยรา้ งห่างกลิน่ มาลี จำปีเอย๋ ก่ปี ีจะมาพบ (พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหลา้ นภาลัย) สุนทรภคู่ ร่ำครวญถงึ รัชกาลที่ ๒ ซ่งึ สวรรคต แลว้ เปน็ เหตุใหส้ นุ ทรภตู่ ้องตกระกาลาบาก เพราะ ไม่เปน็ ที่โปรดปรานของรชั กาลท่ี ๓ ตอ้ งระเหด็ เตร็ดเตรไ่ ปอาศยั ในที่ตา่ งๆขณะล่องเรือผ่านพระราชวัง สุนทรภู่ ซง่ึ รำลึกความหลังก็ครา่ ครวญอาลยั ถงึ อดีตที่เคยรุ่งเรือง เคยหมอบใกลไ้ ด้กล่นิ สุคนธ์ตลบ ละอองอบรสรนื่ ชื่นนาสา สิน้ แผน่ ดนิ ส้นิ รสสคุ นธา วาสนาเราก็สิน้ เหมือนกลน่ิ สุคนธ์ (สนุ ทรภู่ : จากนิราศภูเขาทอง)


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook