Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เอกสารประกอบการสอน หน่วยที่ 1 (e-book)

เอกสารประกอบการสอน หน่วยที่ 1 (e-book)

Published by ak-eti, 2016-07-07 04:34:23

Description: เอกสารประกอบการสอน หน่วยที่ 1 (e-book)

Keywords: geh1102.

Search

Read the Text Version

บทท่ี 1 ศรัทธาและการค้าแนวคิด นับต้ังแต่อดีต ดินแดนในประเทศไทยมีการติดต่อสัมพันธ์กับประเทศที่เป็นศูนย์กลางสังคมโลกตะวันออก ซึ่งได้แก่ ประเทศอินเดียและประเทศจีน โดยอารยธรรมอินเดียมีอิทธิพลต่อการปรับเปล่ียนวิถีวัฒนธรรมในสังคมไทย ต่อมาเม่ือเศรษฐกิจเริ่มมีบทบาทต่อสังคมความสัมพันธ์กับประเทศจีนก็มีมากข้ึนโดยเป็นไปตามกรอบระบบบรรณาการ นอกจากน้ียังมีพ่อค้าชาวมุสลิมและชาติตะวันตกที่เข้ามาติดต่อค้าขายในสมัยอยุธยา จุดมุ่งหมายของประเทศมหาอานาจท่ีเป็นศูนย์กลางโลกตะวันตกคือ ประโยชน์ทางการค้าตามระบบพาณิชย์นิยม การปฏิสัมพันธ์กับศูนย์กลางสังคมโลกดังกล่าวมีผลต่อการเปล่ียนแปลงสังคมไทยทั้งด้านศรัทธาความเชอ่ื ในลัทธศิ าสนาและเศรษฐกจิ การคา้วตั ถุประสงค์การเรียนรู้ 1. เปรยี บเทยี บอทิ ธพิ ลของอารยธรรมอนิ เดยี กบั อารยธรรมจีนทมี่ ตี ่อสงั คมไทยได้ 2. ลาดับการเข้ามาตดิ ต่อทาการค้าของชาตติ ะวันตกในสมยั อยธุ ยาและรปู การค้าของ ประเทศกลา่ วได้ 3. บอกถึงนโยบายการผูกขาดการคา้ ของรัฐบาลไทยสมยั อยธุ ยาทม่ี ตี ่อพอ่ ค้าต่างชาติ และผลทเ่ี กดิ ขนึ้ ได้ 4. ระบุความสัมพันธข์ องการตดิ ต่อทาการคา้ กับการเผยแผ่ศาสนาในดนิ แดนประเทศ ไทยของชาวต่างชาตไิ ด้ํสา ันก ิวชาการ ึศกษา ่ัทวไปฯ (ฉ ับบ ่ราง)

ํสา ันก ิวชาการ ึศกษา ่ัทวไปฯ (ฉ ับบ ่ราง)2 บทที่ 1 ศรัทธาและการค้าความนา ดินแดนประเทศไทยเป็นส่วนหน่ึงของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นท่ีอยู่อาศัยของผู้คนสืบต่อกันมา โดยเริ่มจากชุมชนอาศัยตามแถบท่ีราบลุ่มแม่น้าอันอุดมสมบูรณ์เมื่อผู้คนเคล่ือนย้ายเข้ามาต้ังถิ่นฐานทามาหากินอย่างต่อเนื่อง เกิดการขยายตัวจากระดับหมู่บ้านเป็นสังคมเมือง พัฒนาการดังกล่าวมาจากลักษณะภูมิประเทศท่ีสะดวกต่อการติดต่อทางการค้าและสินค้าที่พ่อค้าต่างชาติต้องการ เกิดการสังสรรค์ด้านการค้าและวัฒนธรรมกับพ้ืนที่ภายนอก โดยเฉพาะประเทศที่เป็นศูนย์กลางของสังคมโลกตะวันออก อันได้แก่ประเทศอินเดียและประเทศจีน รวมท้ังศูนย์กลางของสังคมโลกตะวันตก ประกอบด้วยประเทศทีท่ รงอานาจแตล่ ะชว่ งสมยั ของการเมืองยุโรปตอนที่ 1.1 ความสมั พนั ธก์ บั ศูนย์กลางสังคมโลก การปฏิสัมพันธ์ของกลุ่มชนในดินแดนประเทศไทยกับโลกภายนอก อันส่งผลต่อความเปล่ียนแปลงของรูปแบบการปกครอง ระบบเศรษฐกิจ สภาพทางสังคมและวัฒนธรรมกาหนดได้เป็น 2 ช่วงเวลา คือ ยุคแรกเนื่องมาจากการแพร่หลายของอารยธรรมอินเดียความศรัทธาและความเชื่อในพุทธศาสนาและลัทธิฮินดู ทาให้มีการยอมรับอานาจสูงสุดของประมขุ ในฐานะเทวราชาหรือสมมติเทพ อานาจทางการเมืองดังกล่าว นาไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางสังคม ส่วนยุคหลังซ่ึงเป็นระยะท่ีเศรษฐกิจมีอิทธิพลต่อสังคมและวัฒนธรรมจากการตดิ ตอ่ สัมพันธก์ ับประเทศจีนและประเทศมหาอานาจในทวีปยุโรป เร่อื งที่ 1.1.1 ศูนยก์ ลางโลกตะวนั ออก ความอุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพยากรธรรมชาติและความเหมาะสมของสภาพภูมิประเทศ จากการมีที่ต้ังอยู่ระหว่างประเทศที่เป็นแหล่งอารยธรรมและศูนย์กลางสังคมโลกตะวันออก 2 แหง่ คอื ประเทศอินเดียและประเทศจีน มีผลให้มีการติดต่อกันทั้งทางการค้าและการถา่ ยทอดอารยธรรม ดังปรากฏว่ามีพ่อค้าจากประเทศอินเดีย ประเทศจีนและกลุ่มประเทศที่นับถือศาสนาอิสลามเดินทางเข้ามาติดต่อค้าขาย อันส่งผลต่อความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสภาพสังคมไทย

ํสา ันก ิวชาการ ึศกษา ่ัทวไปฯ (ฉ ับบ ่ราง)3 1.1.1.1 การแพรห่ ลายของอารยธรรมอนิ เดีย การติดต่อกับประเทศอินเดียเร่ิมมีมาตั้งแต่ดินแดนในประเทศไทยมีการปกครองเป็นชมุ ชนหม่บู า้ น ยงั ไมเ่ กดิ ศนู ยอ์ านาจสว่ นกลาง โดยมีพ่อค้าอินเดียเดินทางเข้ามาทาการค้า ขณะท่ีพระภิกษุในพุทธศาสนาและพราหมณ์เผยแผ่ศาสนาความเชื่อต่อผู้คนในชุมชนบริเวณน้ี ปรากฏหลักฐานทางโบราณคดีบริเวณชายฝ่ังทะเลจึงอาจสันนิษฐานได้ว่ามีการเดินเรือของชาวอินเดียผ่านทางช่องแคบมะละกาสู่อ่าวไทย เพ่ือติดต่อกับชุมชนที่อยู่บนคาบสมุทรมาเลเซียและลุ่มน้าเจ้าพระยาฝ่ังตะวันตก ดินแดนบริเวณน้ีจึงเป็นทั้งเส้นทางการค้าข้ามรัฐและแหล่งสินค้าที่ต้องการของพ่อค้าอินเดีย โดยเอกสารกรีก โรมัน อินเดีย อาหรับเรียกว่า แหลมทองหรอื สุวรรณภูมิ ซึง่ แสดงถึงความอุดมสมบรู ณ์ดว้ ยทรัพยากรธรรมชาติ แรงจูงใจให้ชาวอินเดียเดินทางมาสู่บริเวณเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รวมท้งั ดินแดนในประเทศไทย มสี าเหตจุ าก 1) การติดต่อค้าขายขยายตัวมากขน้ึ สินคา้ สาคัญซึ่งชาวอนิ เดียตอ้ งการคือ ทอง เคร่ืองเทศ ไมห้ อมและยางไม้หอม 2) ผู้เดนิ เรือรู้เส้นทางวถิ มี รสุม ทาใหก้ ารเดนิ ทางเรือระหว่างประเทศสะดวกรวดเรว็ และแมน่ ยากว่าแต่กอ่ น 3) การต่อเรือของชาวอินเดียมีประสิทธิภาพมากข้ึน สามารถต่อเรือใหญ่ท่บี รรทุกผูโ้ ดยสารและสินค้าได้มากขน้ึ 4) ความแพรห่ ลายของพุทธศาสนา มผี ลใหช้ าวอินเดียไม่เกรงกลวั ท่ีจะเดินทางร่วมกับชนช้ันต่างวรรณะหรือตา่ งเชอ้ื ชาติ การต้ังหลักแหล่งเพื่อทาการค้าพ่อค้าอินเดียซึ่งเป็นคนในวรรณะแพศย์นาไปสู่กระบวนการถ่ายทอดอารยธรรม การตั้งถ่ินฐานเพ่ือความสะดวกในการเจรจาตกลงทางการค้า เน่ืองจากเส้นทางการค้าในอดีตอาศัยการค้าทางทะเล (ภาพที่ 1.1) ซ่ึงบรรทุกสินค้าได้เป็นจานวนมากในแต่ละเที่ยวการเดินทาง พ่อค้าจึงต้องพานักในแหล่งซ้ือขายสินค้าเป็นการชัว่ คราวระหวา่ งรอลมมรสุมพัดพาเรือกลบั การเดินเรือในอดีตยังไม่มเี ครื่องจักรกลจึงอาศัยได้เพียงลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้และลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือในการพัดพาเรือสินค้ามาและกลับระหว่างการรอลมมรสุมและการรวบรวมสินค้ากลับประเทศ ซ่ึงมีระยะเวลานานก็มีการติดต่อสัมพันธ์กับผู้คนในท้องถิ่น นับเป็นช่วงท่ีมีการถ่ายทอดอารยธรรมอินเดีย โดยเฉพาะอย่างย่ิงเมื่อพ่อค้าบางกลุ่มต้ังถ่ินฐานเพื่อประกอบธุรกิจทางการค้า รวมท้ังผู้ที่มีฐานะร่ารวยได้สมรสกบั ครอบครัวของผ้ปู กครอง มผี ลให้อารยธรรมอนิ เดยี แพร่หลายมากย่งิ ข้นึ

ํสา ันก ิวชาการ ึศกษา ่ัทวไปฯ (ฉ ับบ ่ราง)4ภาพที่ 1.1 : การตดิ ตอ่ ระหวา่ งประเทศอินเดียกบั ดนิ แดนสุวรรณภูมิท่มี า : www. Sujitwongthes.com นอกจากพ่อค้าในวรรณะแพศย์ ผู้ท่ีถ่ายทอดอายธรรมอินเดียยังได้แก่ ชนชั้นในวรรณะพราหมณ์ ซึ่งรอบรู้เร่ืองขนบธรรมเนียมประเพณีทางพระเวทช้ันสูงรวมทั้งพระภิกษุในพุทธศาสนา อย่างไรก็ตามแม้ว่าวรรณะพราหมณ์จะมีบทบาทสาคัญในการจัดระเบียบและให้ความรู้อันเป็นท่ีมาของอานาจทั้งโลก และให้คาแนะนาแก่ผู้ปกครองด้านการปกครอง แต่การแพร่ขยายลัทธิฮินดูโดยพราหมณ์นั้นจากัดเฉพาะแวดวงชนช้ันปกครองแตกต่างจากพุทธศาสนา อันเกี่ยวเน่ืองมาจากหลักธรรมเป็นคาสอนที่เป็นเหตุเป็นผลสอดคล้องกับความเป็นจริง ท้ังยังไม่ขัดกับความเช่ือดั้งเดิมท่ีมีอยู่หลากหลายในสังคม ดังนั้นพุทธศาสนาจึงเป็นสถาบันอย่างหน่ึงของความเป็นคนไทยท่ีทาให้ผู้คนในดินแดนประเทศไทย ต่างท้องถิ่นต่างชาติพันธ์ุกลายเป็นชาวพุทธเช่นเดียวกัน (ศรีศักร วัลลิโภดม, 2544 : 72) แม้ว่าพุทธศาสนาจะได้รับการยอมรับว่าเป็นศาสนาของชนเช้ือชาติไทย แต่ความเชื่อดั้งเดิมรวมทั้งไสยศาสตร์ยังคงอยู่ อีกท้ังการนับถือของชาวไทยส่วนใหญ่มีการผสมผสานกันทั้งความศรัทธาในพุทธศาสนาความเชอ่ื จากลัทธฮิ ินดูและสิ่งศกั ดเิ์ หนือธรรมชาติ

ํสา ันก ิวชาการ ึศกษา ่ัทวไปฯ (ฉ ับบ ่ราง)5 1.1.1.2 ระบบบรรณาการและชาวจนี โพน้ ทะเล รูปแบบความสัมพนั ธ์ระหว่างดนิ แดนในประเทศไทยกับประเทศจีนท่ีสาคัญคือการค้าระบบบรรณาการ (Tributary Relation) อันเป็นการติดต่อกันในระดับรัฐด้วยการ ส่งฑูตเดินทางไปยังประเทศจีน เพื่อให้ได้รับการยอมรับเป็นหน่ึงในสมาชิกของสังคมโลกตะวันออกส่วนความสัมพันธ์ในระดับประชาชนมาจากการค้าขายโดยชาวจีนท่ีต้ังถ่ินฐานในดินแดนประเทศไทย กลุ่มชาวจีนโพ้นทะเล (Oversea Chinese) น้ีนับว่ามีส่วนอย่างสาคัญในการปรับเปลี่ยนและขยายตัวทางเศรษฐกจิ ของสงั คมไทย ความสัมพันธ์ทางการค้าในระบบบรรณาการเป็นการแสดงออกถึงอานาจอันยิ่งใหญ่ของประเทศจีน อันเน่ืองมาจากผู้ปกครองได้รับอิทธิพลทางด้านความคิดจากลัทธิขงจ้ือว่าประเทศจีนเป็นศูนย์กลางของอานาจและอารยธรรม ท่ามกลางดินแดนอ่ืนที่มีความเจริญด้อยกว่า กล่าวคือประเทศจีนเป็นอาณาจักรกลางของโลกหรือจุงกั๊ว (MiddleKingdom)ที่มีวัฒนธรรมสูงส่ง ประเทศอ่ืนท่ีมีวัฒนธรรมที่ด้อยกว่าจะต้องสวามิภักด์ิ ยอมรับความเป็นเจ้าประเทศราชของจีน โดยจะต้องส่งเคร่ืองราชบรรณาการไปถวายจักรพรรดิจีนตามท่ีระยะเวลากาหนด จึงจะมีสิทธิติดต่อค้าขายระหว่างกันได้ ทั้งนี้จีนในฐานะประเทศท่ีใหญ่กว่าก็จะให้ความช่วยเหลือคุ้มครองแก่ประเทศดังกล่าว ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับประเทศต่างๆจึงดาเนินไปภายใต้ความสัมพันธ์ในระบบบรรณาการที่มีคาเรียกเฉพาะว่าเจิงกุงหรือจิ้มก้องส่ิงดึงดูดใจที่สาคัญสาหรับความสัมพันธ์น้ีคือผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ อันได้แก่ บรรดาของพระราชทาน ตอบแทนจากอาณาจักรจีน ซ่ึงก็สามารถนากลับมาใช้ในราชสานักหรือขายต่อส่งออกไปต่างประเทศได้ ดังปรากฏว่าสมัยอยุธยาตอนต้นมีการส่งคณะทูตพร้อมเคร่ืองราชบรรณาการไปถวายจักรพรรดิจีนหลายคร้ัง สิ่งของท่ีนาไปถวายน้ันมักได้แก่ผลิตผลจากป่า ซึ่งเป็นสินค้าท่ีต่างชาติต้องการ อาทิ ไม้ฝาง ไม้กฤษณา พริกไทย งาช้าง ทั้งน้ีจักรพรรดิจีนก็จะตอบแทนดว้ ยผา้ ไหมและผ้าแพรในมูลคา่ ท่เี ท่ากบั หรือมากกวา่ ราคาของเคร่ืองราชบรรณาการ นอกจากความสัมพันธ์ระดับรัฐต่อรัฐดังกล่าวข้างต้น ยังมีชาวจีนโพ้นทะเลจานวนมากท่ีตั้งถ่ินฐานในดินแดนประเทศไทย สันนิษฐานได้ว่าอาศัยมาตั้งแต่ก่อนสมัยการสถาปนากรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี โดยมีตานานเรื่องนางสร้อยดอกหมาก ซึ่งกล่าวถึงการสร้างพระพุทธไตรรัตนนายก พระประธานในวิหารวัดพนัญเชิง นับเป็นพระพุทธรูปที่ชาวจีนในประเทศไทยให้ความเคารพสักการะอย่างมากเสมือนเทพเจ้าผู้ปกป้องชาวจีน โดยเรียกว่าซาปอกง คาเรียกนี้เช่ือมโยงได้กับอานาจของประเทศจีน ท่ีเป็นศูนย์กลางของโลกตะวันออกเน่ืองจากเป็นคาเรียกเจ้งิ เหอ (ภาพที่ 1.2) แม่ทัพเรือของราชวงศ์หมิงท่ีได้คุมขบวนเรือมาตรวจตราน่านน้าและแสดงแสนยานุภาพของจีนในแถบทะเลจีนใต้ เม่ือประมาณพุทธศตวรรษ ที่ 21

ํสา ันก ิวชาการ ึศกษา ่ัทวไปฯ (ฉ ับบ ่ราง)6ช่วงสมัยอยุธยาตอนต้นและสันนิษฐานว่าคงจะจอดเรือใกล้วัดพนัญเชิงและบริเวณป้อมเพชรซึง่ เป็นทา่ เรือสนิ คา้ ที่สาคญั (สืบแสง พรหมบญุ , 2548 : 62)ภาพที่ 1.2 : เจ้ิงเหอทมี่ า : สืบแสง พรหมบุญ, 2548 : 70 ก า ร ท่ี ช า ว จี น จ า น ว น ม า ก เ ดิ น ท า ง ม า ตั้ ง ถิ่ น ฐ า น อ ยู่ ใ น ดิ น แ ด นของประเทศไทย เน่อื งมาจาก 1) ประเทศจีนมีประชากรเป็นจานวนมากและเพ่ิมข้ึนอย่างรวดเร็วจึงเกิดปัญหาการขาดแคลนท่ีดินทากิน ประชากรส่วนหนึ่งจึงต้องออกแสวงถ่ินฐานใหม่นอกประเทศ 2) การสนับสนุนจากราชสานักในการแสวงหาเส้นทางการค้าใหม่ทางทะเลจีนใต้ เนอ่ื งจากไมส่ ามารถติดต่อทาการค้าต่างแดนผ่านเส้นทางสายไหม ซึ่งเป็นเส้นทางการค้าทสี่ าคญั ของจีนมาตั้งแตอ่ ดตี ได้ การติดต่อทาการค้ากับประเทศจีนนั้น นอกจากไทยจะเป็นฝ่ายส่งเรือสาเภาไปแลกเปลี่ยนสินค้าตามระบบบรรณาการดังกล่าวแล้ว ยังปรากฏว่าพ่อค้าจีนเป็นจานวนมากก็เดินทางมายังกรุงศรีอยุธยา ท้ังนี้นับได้ว่ากรุงศรีอยุธยาเป็นศูนย์กลางของการสง่ สนิ คา้ ด้วยการกระจายสนิ ค้าจนี ไปสู่ดินแดนตอนใน เช่น อาณาจักรล้านช้างและอาณาจักรพม่า

ํสา ันก ิวชาการ ึศกษา ่ัทวไปฯ (ฉ ับบ ่ราง)7ขณะเดียวกันยังเป็นศูนย์กลางรวบรวมสินค้าจากดินแดนตอนในและแถบชายฝ่ังมหาสมุทรเพ่ือส่งไปขายต่อให้กับประเทศจีน แต่ท้ังนี้ปริมาณการค้าระหว่างกันขึ้นอยู่กับสถานการณ์ภายในประเทศและนโยบายเศรษฐกิจของท้ังสองฝ่ายด้วย กรณีท่ีเกิดความวุ่นวายภายในกรุงศรีอยุธยาหรือการเปล่ียนแปลงราชวงศ์ของประเทศจีน พ่อค้าก็จะเดินทางเข้ามาค้าขายน้อยเมอื่ บา้ นเมอื งสงบหรือรฐั บาลมีนโยบายกระตนุ้ การคา้ ระหว่างประเทศ พ่อค้าจนี ก็จะเดินทางเข้ามาคา้ ขายมากข้ึน ดังเช่น ในสมัยพระเจ้าปราสาททอง พ่อค้าจีนท่ีเดินทางมายังกรุงศรีอยุธยาจานวนลดนอ้ ยลง เนอื่ งจากนโยบายผูกขาดการคา้ อยา่ งเขม้ งวดของไทย จวบจนสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ปริมาณการค้าจึงเพ่ิมมากข้ึน เน่ืองจากจักรพรรดิราชวงศ์ชิงทรงสนับสนุนการค้าทางทะเล เพื่อแสวงหาผลิตผลที่มีคุณค่าทางการแพทย์ เช่น รังนก นอแรด นาไปปรุงเป็นเคร่ืองยาจีน กรุงศรีอยุธยาซ่ึงเป็นแหล่งรวมสินค้าของป่าท้ังประเภทและปริมาณจึงเป็นจุดหมายสาคญั ของพ่อค้าจนี 1.1.1.3 ชมุ ชนชาวมุสลมิ การต้ั ง ถิ่นฐ านขอ ง ชน ชาวมุ สลิมใ นดิน แดนป ระเท ศไ ท ยสืบเนื่องจากการเดินทางเข้ามาติดต่อค้าขายของชาวเปอร์เซียและอาหรับ โดยเริ่มจากพ้ืนที่ทางตอนใต้ เน่ืองจากการเดินเรือท่ีจะผ่านไปยังประเทศจีน ซ่ึงเป็นจุดหมายปลายทางของการค้าคือช่องแคบมะละกาและเกาะสุมาตรา บริเวณดังกล่าวนี้เคยได้รับอิทธิพลจากลัทธิฮินดูและพทุ ธศาสนานิกายเถรวาท แต่เม่ือพ่อค้ามุสลิมเข้ามาตั้งถิ่นฐานการค้าแห่งแรกที่เกาะสุมาตราและเผยแผ่ศาสนาอิสลามแก่ชนชาวพ้ืนเมือง ศาสนาและวัฒนธรรมมุสลิมกลับมีบทบาทแทนที่อารยธรรมจากอินเดีย จากนั้นก็แพร่หลายไปยังบริเวณใกล้เคียงรวมทั้งเมืองปัตตานี ซึ่งนับเป็นแหง่ แรกในดนิ แดนประเทศไทยรวมทงั้ เมืองอ่นื ในภาคใต้ นอกจากแหล่งเริ่มต้นในภาคใต้ ชาวมุสลิมยังกระจายตัวตั้งถ่ินฐานในภาคอ่ืน ท้ังกลุ่มท่ีสืบเช้ือสายจากอาหรับเปอร์เซีย มาเลย์ ชวา จาม-เขมร สาหรับกรุงศรีอยุธยามีหลักฐานกล่าวถึงการต้ังถิ่นฐานของชาวมุสลิม ซึ่งส่วนใหญ่ประกอบการค้า โดยอาศัยเรือนแพเป็นที่อยู่อาศัยและทาการค้าริมฝั่งแม่น้า จึงเรียกว่าแขกแพหรือแขกเทศ คาว่า “แขก” ยังคงใช้สืบต่อมาจนปัจจุบันมักใช้กับชนชาติทางตะวันตกของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซ่ึงส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม เพื่อหมายถงึ ชาวตะวนั ตกอกี กลุ่มทไ่ี มใ่ ชพ่ วกยโุ รป ความสามารถพิเศษของชาวเปอร์เซียคือการเดินเรือ อันนับเป็นส่ิงจาเป็นของการเป็นพ่อค้าคนกลางในการค้าขายกับคนท้องถ่ิน พ่อค้าจากภูมิภาคตะวันออกกลางเดินทางจากเมืองท่าตามชายฝั่งโคโลมันเดล (Coromandel) หรือฝั่งตะวันออกของอินเดีย

ํสา ันก ิวชาการ ึศกษา ่ัทวไปฯ (ฉ ับบ ่ราง)8ตอนใต้มายังดินแดนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ภาพที่ 1.3) โดยมุ่งทาการค้าที่เมืองมะละกาซึ่งเป็นเมืองท่าสาคัญ และได้เข้ามาต้ังถิ่นฐานทาการค้าตามเมืองท่าภายใต้การปกครองของราชอาณาจกั รอยธุ ยา เช่น ตรัง ไทรบรุ ี ภูเกต็ ตะนาวศรี นครศรีธรรมราช ปัตตานีภาพท่ี 1.3 : เสน้ ทางเดินเรอื ของพอ่ คา้ มสุ ลมิทม่ี า : สืบแสง พรหมบญุ , 2548 : 80 เม่ือประเทศโปรตุเกสเข้ายึดครองมะละกา พ่อค้า คนกลางต้องแสวงหาทาเลการค้าแห่งใหม่ท่ีห่างไกลจากพ่อค้าโปรตุเกส โดยใช้เมืองมะริดท่ีอยู่กึ่งกลางเป็นสถานทแี่ ลกเปลย่ี นสนิ คา้ โดยรับซื้อสินค้าจากภายในภูมิภาคจาพวกของป่าจากกรุงศรีอยุธยาและขายผ้าท่ีนามาจากประเทศอินเดีย (นันทวรรณ (เหมินทร์) ภู่สว่าง, 2530 : 217) มีผลให้พ่อค้าบางส่วนเข้ามาต้งั หลักแหลง่ ในกรุงศรีอยธุ ยา เน่ืองจากชาวมุสลิม โดยเฉพาะพวกเปอร์เซียหรืออิหร่านมีความชานาญทางการค้า จึงได้รับราชการในราชสานักด้วย บุคคลสาคัญคือเฉกอะหมัดซ่ึงมีหน้าที่ปรับปรุงหน่วยงานด้านกรมท่าขวาในสมัยสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม มีความดีความชอบจนได้รับการแต่งต้ังให้ดารงตาแหน่งจุฬาราชมนตรี มีหน้าที่จัดเก็บภาษีสินค้าขาเข้าและขาออกดูแลการเดินเรือระหว่างประเทศและกิจการศาสนาอิสลาม ตาแหน่งดังกล่าวยังคงสืบเนื่องกัน

ํสา ันก ิวชาการ ึศกษา ่ัทวไปฯ (ฉ ับบ ่ราง)9ในกลุ่มชาวมุสลิมจนสิ้นกรุงศรีอยุธยา เฉกอะหมัดคือต้นตระกูลบุนนาคที่ผู้สืบเชื้อสายตอ่ มามีบทบาทในการเมอื งไทยสมัยรัตนโกสนิ ทร์ตอนต้นและตอนกลาง ก า ร ค้ า ร ะ ห ว่ า ง ป ร ะ เ ท ศ ช่ ว ง รั ช ส มั ย ส ม เ ด็ จ พ ร ะ เ จ้ า ท ร ง ธ ร ร มและสมเด็จพระนารายณ์มหาราชมีความรุ่งเรืองทางการค้าระหว่างประเทศอย่างมาก กรมท่าขวาเป็นผู้ดาเนินการค้าทางทะเลระหว่างเมืองท่าในมหาสมุทรอินเดียกับเมืองท่าฝั่งตะวันตก คือทวาย มะริดและตะนาวศรี ให้กลายเป็นตลาดการค้าสาคัญในเขตอ่าวเบงกอล ท่ีเชื่อมโยงไปส่กู ารคา้ ในเขตอา่ วไทยและทะเลตะวันออก นอกจากน้ีพ่อค้ากลุ่มน้ียังเป็นผู้ทาให้การค้าในแถบฝั่งตะวันออกกับฝ่ังตะวันตกของดินแดนประเทศไทยมีการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างกันโดยมีปัจจัยส่งเสริมที่สาคัญคือราชสานักอิหร่าน และรัฐมุสลิมในอินเดียพยายามขยายอิทธิพลทางการค้าและการเมืองสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ครั้นสมัยราชวงศ์บ้านพลูหลวง ขุนนางกรมท่าขวากลับมีบทบาทด้านการค้าท่ีลดลงอย่างมาก เน่ืองจากการค้าฝ่ังตะวันตกซบเซาลงขณะท่ีการค้ากับประเทศจีนมีปริมาณเพิ่มข้ึน มีผลให้ขุนนางกรมท่าซ้ายและชาวจีนจึงมีบทบาทสูงมากกว่าในการดาเนินการคา้ ระหวา่ งประเทศ หลักฐานอีกอย่างหน่ึงท่ีแสดงว่ามีชาวมุสลิมต้ั งถ่ินฐานในกรุงศรีอยุธยาคือกองทหารอาสาจาม-เขมร ในสมัยสมเด็จพระเอกาทศรถโดยสันนิษฐานว่าเป็นกลุ่มที่หลบภัยสงครามจากการสู้รบกับญวนอพยพเข้ามาทั้งครอบครัว จึงเรียกว่า แขกครัว(จรัล มะลูลีมและคนอื่นๆ ,2539 :17) แต่ท้ังน้ีชาวมุสลิมท่ีรับราชการมีจานวนไม่มากนักผูค้ นส่วนใหญ่มักประกอบอาชพี การค้า โดยอาศยั เรือนแพเป็นท่ีอยู่อาศัยและทาการค้าริมฝั่งแม่น้าเมื่อส้ินกรุงศรีอยุธยาชาวไทยมุสลิมส่วนหน่ึงอพยพโยกย้ายด้วยการล่องแพตามลาน้าเจ้าพระยามายังกรงุ ธนบรุ ี แตอ่ ีกสว่ นหนึ่งยงั คงตงั้ ถน่ิ ฐานเป็นชุมชนในพ้นื ที่ดัง้ เดมิ เรื่องที่ 1.1.2 ศนู ยก์ ลางโลกตะวันตก ประเทศศูนย์กลางอานาจของโลกตะวันตก เร่ิมจากโปรตุเกสและสเปนในคาบสมุทรไอบีเรีย เน่ืองจากอยู่ติดกับริมฝั่งทะเลตอนใต้ของทวีปยุโรป จึงสะดวกต่อการเดินเรือแสวงหาเส้นทางการค้ามายังทวีปเอเชีย อันนาไปสู่การปฏิวัติทางการค้าและลัทธิพาณิชย์นิยม(Mercantilism) หลังจากประเทศโปรตุเกสมีการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ท่ีเป็นเอกภาพภายใต้รัฐชาติสมัยใหม่ พระเจ้าเฮนรีทรงสนับสนุนให้เดินเรือสารวจทางทะเลโดยรอบชายฝั่งทวีปแอฟริกาจนถึงอินเดีย นับเป็นการวางรากฐานต่อการเสริมสร้างการมีอาณานิคมในโพ้นทะเล เช่นเดียวกับการสารวจทางทะเลของสเปนด้วยการสนับสนุนจากพระเจ้าเฟอร์ดินานด์และพระนางอซิ าเบลลา (ภาพท่ี 1.4) นบั เป็นชว่ งเวลาแหง่ การค้นพบโลกใหม่ที่สเปนได้เข้ายึดครอง

ํสา ันก ิวชาการ ึศกษา ่ัทวไปฯ (ฉ ับบ ่ราง)10ดนิ แดนหลายแห่งเปน็ อาณานิคม มผี ลให้สเปนมัง่ คั่งจากแร่เงนิ จากเมก็ ซโิ กและแร่ทองแดงจากเปรูรวมท้ังการคา้ โพน้ ทะเลภาพท่ี 1.4 : ยุคการสารวจทางทะเลทม่ี า : ชาญวทิ ย์ เกษตรศิริ, 2556 : 22 จากการค้นพบเส้นทางเดินเรือใหม่ โดยการค้าไม่ต้องผ่านพ่อค้าคนกลางบริเวณตะวันออกกลาง ประเทศมหาอานาจยุโรปจึงเดินทางเข้ามาติดต่อค้าขายกับกรุงศรีอยุธยาแม้ว่าสินค้าที่พ่อค้ายุโรปต้องการมากที่สุดคือสินค้าจากประเทศจีนและเคร่ืองเทศ ซ่ึงมีมากในหมู่เกาะโมลุกกะ แต่กรุงศรีอยุธยาก็เป็นเมืองท่าทางการค้าที่สาคัญ ชาติตะวันตกท่ีเข้ามาติดต่อค้าขายสัมพันธ์กับก าร เ ป็น ปร ะเ ท ศมหาอานาจในสังคมโลกแต่ละยุคสมัยดังนี้ โปรตุเกส(พ.ศ. 2054 ) สเปน (พ.ศ. 2141) ฮอลันดา (พ.ศ. 2147) อังกฤษ (พ.ศ. 2155) และฝรั่งเศส(พ.ศ. 2205) ทง้ั น้อี าจแบง่ ประเภทตามจดุ มุ่งหมายออกได้เป็น 2 กลุม่ คอื 1)ประเทศโปรตุเกส สเปน และฝร่ังเศส นับถือคริสต์ศาสนานิกายโรมันคาทอลิก มีนโยบายทาการค้าและเผยแพร่ศาสนา พยายามจะให้ผู้นาและราษฎรเปลี่ยนไปนบั ถือศาสนาครสิ ตต์ ามแนวคิดเร่ืองภาระของคนผิวขาว (The White Man’s Berden) 2) ประเทศ ฮอลันดา และอังกฤษ นับถือคริสต์ศาสนานิกายโปรเตสตันส์ไมส่ นใจเรื่องการเผยแพร่ศาสนาแต่มุ่งแสวงผลประโยชนท์ างการคา้ เท่าน้ัน

ํสา ันก ิวชาการ ึศกษา ่ัทวไปฯ (ฉ ับบ ่ราง)11 1.1.2.1 ลัทธพิ าณิชย์นยิ ม การแข่งขันกันทางเศรษฐกิจของประเทศมหาอานาจในทวีปยุโรปตามลัทธิพาณิชย์นิยม (Mercantilism) นับเป็นการขยายตัวทางเศรษฐกิจจากผลประโยชน์ทางการค้าในยุคแรกเรมิ่ การก่อต้ังรฐั ชาติ มีรูปแบบที่สาคัญคือระบบเศรษฐกิจที่อิงอยู่กับการค้าโดยรัฐเป็นผู้ผูกขาดการค้า (State – Monopoly) จุดมุ่งหมายสาคัญคือการสร้างความม่ังค่ังแก่ประเทศดังน้ันจึงมุ่งท่ีจะเดินทางมาค้าขายยังโลกตะวันออก ซ่ึงมีสินค้าท่ีชาวตะวันตกต้องการหลากหลายชนดิ นาไปสู่การแสวงหาเส้นทางการค้าทางทะเล ยุคสมัยน้ีจึงเป็นที่รู้จักกันในนาม การปฏิวัติทางการคา้ เนื่องจากแต่ละประเทศจาเป็นต้องหาวิธีการรักษาผลประโยชน์ทางการค้าของตน ระบบการค้าลักษณะนี้จึงเป็นเศรษฐกิจแบบผูกขาด ปกป้อง และชาตินิยมอันมีผลให้เกิดความขัดแย้งระหว่างประเทศ ดังปรากฏจากประเทศเริ่มแรกท่ีมีบทบาทการสารวจทางทะเล ได้แก่ โปรตุเกสและสเปน ต่างแก่งแย่งกันท่ีจะขยายผลประโยชน์ทางการค้าไปยังพ้ืนที่นอกยุโรป ประเทศท้ังสองจึงต้องให้สันตะปาปาเป็นผู้ตัดสิน โดยพระองค์ทรงให้แบ่งโลกออกเป็นสองส่วน สเปนมีสิทธิเดินทางแสวงประโยชน์ในดินแดนทางตะวันตก ส่วนโปรตุเกสได้รับสทิ ธทิ างตะวันออก ซ่ึงประเทศท้ังสองยินยอมตกลงกันในสนธิสัญญาทอร์เดซิลลัส (Treaty ofTordesillas) เมื่อ พ.ศ. 2037 (ภาพที่ 1.5) หลังจากน้ันประเทศโปรตุเกสก็เดินทางมายังทวีปเอเชียและได้ครอบครองมะละกาเป็นเมืองขึ้น ขณะที่ประเทศสเปนยึดครองฟิลิปปินส์และต้ังสถานีการค้าอยทู่ มี่ ะนลิ าภาพท่ี 1.5 : แผนท่ีสนธิสัญญาทอร์เดซลิ ลสัท่มี า : ชาญวทิ ย์ เกษตรศิริ, 2556 : 21

ํสา ันก ิวชาการ ึศกษา ่ัทวไปฯ (ฉ ับบ ่ราง)12 การแสวงหาเสน้ ทางการคา้ ใหมข่ องประเทศโปรตเุ กสและประเทศสเปน อาจสรุปได้วา่ เนื่องมาจาก 1) พอ่ ค้าต้องการความม่ังคัง่ จากการคา้ เครือ่ งเทศและสนิ คา้ ป่าซงึ่ มมี ากในแถบเอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้ 2) แนวคิดเรอ่ื งการเผยแผ่คริสตศ์ าสนาให้กบั ผทู้ ่ีนับถือศาสนาอนื่ 3) ความปรารถนาอานาจและเกยี รติยศของพระมหากษัตริย์ เนื่องจากโปตุเกสและสเปน ซ่ึงเป็นสองชาติแรกท่ีเข้ามาติดต่อกับกรุงศรีอยุธยา มีเป้าหมายของการติดต่อกับประเทศตะวันออกเพื่อ “Gold, God and Glory” จึงมีเรื่องของการแพรข่ ยายคริสตศ์ าสนาควบคไู่ ปด้วยซ่ึงไทยก็มิได้กีดกัน พระมหากษัตริย์ได้ทรงโปรดฯพระราชทานท่ดี ินให้ตั้งหลกั แหลง่ และสร้างโบสถ์เพ่ือประกอบศาสนกิจ เริ่มจากการท่ีชาวโปรตุเกสได้เปน็ ทหารอาสาช่วยไทยรบกบั พม่าในศึกเมืองเชยี งกรานเม่ือ พ.ศ. 2081 เม่ือพิจารณาในแง่สังคม ประเทศโปรตุเกสมีบทบาทต่อสังคมไทยมากกว่าประเทศสเปน เนื่องจากประเทศโปรตุเกสเป็นชาติแรกที่เข้ามาติดต่อค้าขายกับไทยกอ่ นประเทศโสเปน 87 ปี โดยอัลฟองโซ เดอ อัลบูเคอร์ก (Alfonso de Albuquerque) ผู้ควบคุมเมืองมะละกาได้ส่งทูตมาติดต่อทาการค้ากับกรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 ทรงโปรดฯอนุญาตใหช้ าวโปรตุเกสทาการค้าและเผยแผ่ศาสนาได้ โดยมีการลงนามในสนธิสัญญาระหว่างกันเม่ือ พ.ศ. 2059 อนุญาตให้ตั้งสถานีการค้าท่ีกรุงศรีอยุธยา นครศรีธรรมราช มะริด ตะนาวศรีและปัตตานี สินค้าที่กรุงศรีอยุธยาซื้อจากโปรตุเกสคือปืนใหญ่และกระสุนดินดา ส่วนสินค้าซ่ึงพ่อค้าโปรตเุ กสตอ้ งการไดแ้ ก่ข้าว ดีบุก งาช้าง ไม้ฝาง กายาน ครั่ง เน่ืองจากสินค้าจากโปรตุเกสเป็นอาวุธแบบสมัยใหม่ท่ีทหารไทยยังไม่มีความชานาญ ดังน้ันจึงมีชาวโปรตุเกสจานวนหนึ่งเป็นกองทหารอาสาฝึกสอนการใช้อาวุธ การทาปืนไฟ การสร้างป้อมค่ายต่อต้านปืนไฟการฝึกทหารตามยุทธวิธีสมัยใหม่ ดังน้ันเครื่องยศทหารจึงมีการเลียนแบบจากโปรตุเกสด้วยความจาเป็นท่ีไทยจะต้องซ้ืออาวุธและฝึกฝนการใช้จากประเทศโปรตุเกสน้ัน เนื่องจากเป็นระยะที่ต้องเผชิญศึกกับประเทศพม่า ความสัมพันธ์ระหว่างกรุงศรีอยุธยากับประเทศโปรตุเกสเรมิ่ เส่ือมลงเม่ือดนิ แดนของโปรตุเกสถกู รวมเข้าเปน็ ส่วนหนึง่ ของประเทศสเปนเม่ือ พ.ศ. 2123 ส่วนการค้ากับประเทศสเปนน้ัน แม้ว่าจะมีการทาข้อตกลงทางการค้าระหว่างกัน โดยผู้สาเร็จราชการท่ีเมืองมะนิลาเป็นตัวแทนของพระมหากษัตริย์แห่งสเปนแต่ปริมาณการค้ามีไม่มากนัก เน่ืองจากประเทศสเปนให้ความสนใจในการจัดระบบการปกครอง

ํสา ันก ิวชาการ ึศกษา ่ัทวไปฯ (ฉ ับบ ่ราง)13และเศรษฐกิจของประเทศฟิลิปปินส์ซึ่งเป็นอาณานิคม ประกอบกับประเทศสเปนมุ่งเผยแผ่ศาสนาในดนิ แดนอน่ื มากกว่าที่กรงุ ศรีอยุธยา การคา้ ระหวา่ งกันจึงเลกิ ราไปในท่ีสุด 1.1.2.2 ระบบการค้าแบบผูกขาด การทีประเทศในทวีปยุโรปมีอานาจทางทะเล มีกองทัพเรือรบและอาวุธยุทธภัณฑ์ กรุงศรีอยุธยาจึงต้องมีความระมัดระวังเป็นอย่างยิ่งในการติดต่อด้วยแต่สิ่งที่ชาติตะวันตกมักไม่พึงพอใจ คือระบบการค้าแบบผูกขาดของไทย อันได้แก่ระบบพระคลังสินค้า การผูกขาดของหน่วยงานน้ีเริ่มจากมาตรการควบคุมสินค้าบางประเภทเช่น อาวุธปืน ต่อมาจึงเพิ่มการผูกขาดสินค้าส่งออก จัดเก็บสินค้าท่ีซื้อได้จากประชาชนและการเก็บส่วยที่ไพร่ส่วยนาส่งมาขายให้กับพ่อค้าชาวต่างประเทศ ขณะเดียวกันก็ซ้ือสินค้าจากพ่อค้าต่างประเทศขายให้กับประชาชน กาหนดราคาสินค้า นอกจากนี้ยังมีหน้าท่ีจัดส่งเรือสาเภานาของไปขายกับดนิ แดนภายนอกพร้อมกับซ้อื สนิ ค้ากลับมาขาย ตามระบบดังกล่าวข้างต้นนี้ ผู้ได้ประโยชน์จากการค้าคือ รัฐบาลซึ่งประกอบด้วยพระมหากษัตริย์ เจ้านาย ขุนนางท่ีเก่ียวข้อง แม้ว่าผลประโยชน์จะอยู่ในวงจากัดแต่ก็เป็นการควบคุมการค้ากับต่างประเทศได้อย่างใกล้ชิด มิให้ประเทศใดประเทศหน่ึงมีอิทธิพลมากเกินไปจนกระทบถึงเสถียรภาพทางการเมืองและเศรษฐกิจ ท่ีสาคัญคือเป็นระบบการค้าที่ทารายได้ให้แก่รัฐอย่างมาก เน่ืองจากสินค้ามีจาหน่ายเพียงแหล่งเดียว พ่อค้าต่างชาติไม่อาจต่อรองราคาได้ และเมื่อพ่อค้านาสินค้าเข้ามาขายพระคลังสินค้าก็สามารถเลือกสิ่งท่ีต้องการไว้และสามารถต้ังราคาให้สูงได้จากการที่พระคลังสินค้าเป็นตัวกลางผูกขาดระหว่างพ่อค้าต่างชาติกับประชาชน นอกจากการผูกขาดสินค้าจะเป็นการดาเนินการจากฝ่ายรัฐของกรุงศรีอยุธยา ต่างชาติท่ีเดินทางเข้ามาค้าขายก็มีการค้าตามระบบผูกขาดด้วยเช่นกันได้แก่ การค้าของ ประเทศฮอลันดา ซ่ึงติดต่อค้าขายกับกรุงศรีอยุธยาภายหลังจากที่เป็นเอกราชจากการปกครองของประเทศสเปน รูปแบบการติดต่อการค้าระหว่างประเทศฮอลันดากับกรงุ ศรอี ยธุ ยามคี วามแตกตา่ งจากลักษณะของประเทศโปรตุเกสและสเปน คือ ไม่มุ่งเผยแผ่ศาสนาแ ล ะ ด า เ นิ น ก า ร ค้ า โ ด ย ผ่ า น บ ริ ษั ท ก่ึ ง ร า ช ก า ร ใ น น า ม บ ริ ษั ท อิ น เ ดี ย ต ะ วั น อ อ ก แ ห่ ง ฮ อ ลั น ด า(The Dutch East India Company – V.O.C) เป็นบริษัทท่ีมีสิทธิพิเศษในการค้าในบริเวณตะวันออกโดยได้รับการคุ้มครองและดูแลจากรัฐบาลฮอลันดา ตัวแทนภูมิภาคประจาท่ีเมืองปัตตาเวียเกาะชวา การค้าของประเทศฮอลนั ดาประสบผลสาเร็จอยา่ งดียง่ิ ในภมู ภิ าคเอเชีย เน่ืองจากมีความ

ํสา ันก ิวชาการ ึศกษา ่ัทวไปฯ (ฉ ับบ ่ราง)14ชานาญด้านการค้า การต่อเรือและเดินเรือในเส้นทางการค้า รวมท้ังระบบการเงินที่ทันสมัยจงึ พยายามเขา้ แทนทีเ่ ขตอทิ ธิพลของประเทศโปรตเุ กสทาให้เกดิ ความขัดแยง้ ระหวา่ งกัน สาหรับการคา้ กบั กรงุ ศรีอยธุ ยา หลังจากที่ประเทศฮอลันดาตั้งสถานีการค้าได้ในเกาะชวาก็ส่งทูตมาติดต่อเพื่อทาการค้ากับไทยใน พ.ศ. 2147 ตรงกับรัชสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช พระองค์ทรงโปรดฯ อนุญาตให้ต้ังสถานีการค้าเม่ือพ.ศ. 2151เพื่อค้าขายผ้าฝ้าย พร้อมกับรับซื้อของหนังสัตว์ พริกไทย ซ่ึงฮอลันดาสามารถนาไปขายต่อในประเทศจีนและญ่ีปุ่น ท้ังนี้ประเทศฮอลันดาได้รับสิทธิพิเศษในการซื้อหนังสัตว์ โดยได้จัดตั้งสถานที่การค้าตามเมืองท่าสาคัญในแถบชายฝั่งทะเลตอนใต้ การค้าระหว่างกรุงศรีอยุธยากับประเทศฮอลันดาขยายตัวอย่างมากในช่วงสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง เนื่องจากฮอลันดาต้องการสินค้าประเภทหนังกวางจากกรุงศรีอยุธยานาไปขายที่ประเทศญ่ีปุ่น ช่วงเวลาดังกล่าวเปน็ ระยะทญ่ี ี่ปุน่ ปิดประเทศ แต่ยังคงค้าขายกับพอ่ ค้าฮอลันดา จากการที่เป็นชนชาติไม่มุ่งเผยแพร่ศาสนาควบคู่กับการค้าดงั เช่นชาติตะวันตกอืน่ ปฏิบัติภาพที่ 1.6 : เมอื งทา่ สาคัญในทะเลจีนตอนใต้และมหาสมทุ รอนิ เดยีทม่ี า : สืบแสง พรหมบุญ, 2548 : 77 ความสามารถด้านการค้าและไม่ต้องประสบปัญหาการต่อต้านด้านการเผยแผ่ศาสนา ประเทศฮอลนั ดาจึงมีอานาจทางทะเลครอบคลุมในบริเวณเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สามารถขับไล่ประเทศโปรตุเกสออกจากดินแดนท่ีเคยยึดครอง โดยเฉพาะเมืองมะละกา

ํสา ันก ิวชาการ ึศกษา ่ัทวไปฯ (ฉ ับบ ่ราง)15ซึ่งเป็นแหล่งเครื่องเทศสาคัญ และกีดกันประเทศอังกฤษไม่ให้เข้ามามีบทบาทได้ ความสัมพันธ์ระหวา่ งกรุงศรีอยุธยาและประเทศฮอลนั ดามคี วามรุ่งเรืองอย่างมากในสมเด็จพระเจ้าปราสาททองแม้วา่ พระคลังสินคา้ จะมมี าตรการห้ามเอกชนส่งออกสินคา้ บางประเภท แต่ก็ผอ่ นผันให้กับประเทศฮอลันดาเป็นพิเศษ สมเด็จพระเจ้าปราสาททองทรงหวังพึ่งอานาจของฮอลันดาในการขจัดประเทศโปรตุเกสไปจากบริเวณอ่าวเบงกอล อีกทั้งกองกาลังทหารฮอลันดาได้ให้ความช่วยเหลือในการปราบกบฏทเี่ มอื งปัตตานซี ง่ึ เปน็ ประเทศราชของกรุงศรีอยุธยาด้วย (เดวิด เค.วัยอาจ, 2556 :173-174 ) อย่างไรก็ตาม เมื่อมีผลประโยชน์ขัดกัน ประเทศฮอลันดาก็ใช้วิธีรุนแรงเป็นการตอบโต้ จากนโยบายการค้าแบบผูกขาดโดยพระคลังสินค้าในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช และเหตุจลาจลท่ีชาวจีนล้อมสถานีการค้าของฮอลันดาเม่ือ พ.ศ.2207ประเทศฮอลันดาจึงส่งเรือรบมาปิดปากอ่าวไทย เหตุการณ์ดังกล่าวมีผลให้พ่อค้าฮอลันดามีสิทธิพิเศษในการผูกขาดหนงั กวางและหนังโคเพือ่ สง่ ออกไปขายยังต่างแดน การติดต่อการค้าได้โดยเสรีในเขตกรุงศรีอยุธยา นครศรีธรรมราช พัทลุง และถลาง อีกทั้งยังมีข้อห้ามฝ่ายไทยว่าจ้างชาวจีนญ่ีปุ่น ญวน เป็นลูกเรือเดินทางไปค้าขายนอกพระราชอาณาจักร ซ่ึงเป็นการลดทอนโอกาสทางค้าภายนอกท่ีสาคัญ เนื่องจากเรือสาเภาขนสินค้าของกรุงศรีอยุธยาใช้ลูกเรือชาวจีนเป็นส่วนใหญ่จากเหตุการณ์ดังกล่าว สมเด็จพระนารายณ์มหาราชจึงทรงติดต่อทาความสัมพันธ์ทางการค้าและการทูตกบั ชาวตะวนั ตกชาติอืน่ เพ่อื เป็นการถ่วงดุลอานาจกับประเทศฮอลันดาดว้ ย 1.1.2.3 การถ่วงดลุ อานาจ น โ ย บ า ย ก า ร ค้ า กั บ ป ร ะ เ ท ศ ต ะ วั น ต ก ท่ี ส า คั ญ อ ย่ า ง ห นึ่ ง ข อ งกรุงศรีอยุธยาคือการถ่วงดุลอานาจ มิให้ประเทศใดประเทศหน่ึงมีอานาจมากเกินไป ดังจะเห็นไดจ้ ากการท่สี มเดจ็ พระเจา้ ปราสาททองทรงมีสมั พันธภาพทีด่ กี บั ประเทศฮอลันดา เพ่ือคานอานาจกบั ประเทศโปรตเุ กส แต่เน่ืองจากจุดมุ่งหมายการขยายอิทธิพลของประเทศโปรตุเกสเป็นเพียงการยึดเมืองท่าสาคัญบนเส้นทางการเดินเรือ ประกอบกับถูกรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของประเทศสเปนเม่ือ พ.ศ. 2123 ประเทศฮอลันดาจึงสามารถขยายอานาจเข้าแทนท่ีได้ เม่ือกรุงศรีอยุธยาถูกคุกคามจากกรณีเรือรบปิดปากอ่าวไทย สมเด็จพระนารายณ์มหาราชจึงทรงหาหนทางท่ีจะมีมิตรประเทศอน่ื ในการถว่ งดลุ อานาจกับฮอลันดา ประเทศที่เป็นมหาอานาจในยุโรปและเดินทางมายังเอเชียต่อจากฮอลนั ดาคอื ประเทศองั กฤษและประเทศฝรัง่ เศส ในกรณีของประเทศอังกฤษ ความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างประเทศอังกฤษกับกรุงศรีอยุธยายังมีไม่มากนัก นับต้ังแต่ประเทศอังกฤษได้ส่งคณะ

ํสา ันก ิวชาการ ึศกษา ่ัทวไปฯ (ฉ ับบ ่ราง)16พ่อค้าพร้อมพระราชสาส์นมายังไทยสมัยสมเด็จพระเจ้าทรงธรรมเม่ือพ.ศ. 2155 เนื่องจากถูกกีดกันจากชาตติ ะวนั ตกเดิมท่ตี ้ังสถานกี ารค้ามาก่อน อันได้แก่ ประเทศโปรตุเกสและประเทศฮอลันดาอีกท้ังพ่อค้าอังกฤษก็ประสบภาวะขาดทุน ที่สาคัญคือปัญหาภายในประเทศของอังกฤษเองที่เกิดความขัดแย้งระหว่างพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 กับรัฐสภาจนเกิดสงครามกลางเมืองข้ึน จึงต้องยกเลิกสถานีการค้าที่กรุงศรีอยุธยาและเมืองปัตตานีในปี 2166 เมื่อสมเด็จพระนารายณ์มหาราชมีพระราชประสงค์จะแสวงหาประเทศเข้ามาทาการค้าเพ่ือถ่วงดุลอานาจกับฮอลันดา ประเทศอังกฤษได้กลับมาทาการค้าอีกคร้ังหน่ึงเมื่อ พ.ศ. 2204 แต่ยังคงขาดทุนเช่นเดิม อีกทั้งยังถูกขัดขวางจากออกญาวิไชเยนทร์ (คอนสแตนติน ฟอลคอน) ชนชาติกรีก ซ่ึงมีอานาจควบคุมกิจการด้านการคลังในพระราชสานัก (อาณัติ อนันตภาค, 2549 : 93 )ในที่สุดประเทศอังกฤษจึงถอนตัวจากการค้าไปอย่างถาวรใน พ.ศ. 2227 สมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงประสบผลสาเร็จในการสร้างความสัมพันธ์กับประเทศฝร่ังเศส เพื่อคานอานาจกับประเทศฮอลันดา แม้ว่าประเทศอังกฤษและประเทศฝรั่งเศสจะมีบทบาททัดเทยี มกันในสังคมโลก แต่ในการแสวงหาทรัพยากรในดินแดนเอเชียประเทศอังกฤษเป็นฝ่ายได้เปรียบมากกว่า เน่ืองจากประเทศฝร่ังเศสมักประสบความวุ่นวายทางการเมืองภายในประเทศจากความแตกแยกทางศาสนา ทาให้โอกาสที่จะสนับสนุนการขยายอานาจไปยังภายนอกลดน้อยลง ดังจะเห็นได้จากประเทศฝร่ังเศสเข้ามาทาการติดต่อทางการค้ากับกรุงศรีอยุธยาภายหลังประเทศอังกฤษ 50 ปี ซึ่งเป็นระยะท่ีประเทศฝรั่งเศสมีเสถียรภาพทางการเมืองภายใต้การปกครองของพระเจ้าหลุยส์ท่ี 14 และตรงกับสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชของไทย ทั้งน้ี นับได้ว่าความสัมพันธ์กับฝรั่งเศสมีความแตกต่างจากประเทศอื่น กล่าวคือนอกเหนือจากการติดต่อทางการค้าและการเผยแผ่คริสต์ศาสนาแล้ว ยังมีการติดต่อทางการทูต(ภาพท่ี 1.7) และการทฝ่ี ร่ังเศสสง่ กองทหารมาประจาการในขอบเขตของอาณาจกั รอยุธยาด้วย กรุงศรีอยธุ ยาและประเทศฝรั่งเศสได้แลกเปลี่ยนคณะทูตระหว่างกันโดยกรุงศรีอยุธยาได้ส่งคณะทูตเดินทางไปยังประเทศฝร่ังเศส 3 ครั้งคือเม่ือปี 2223 แต่ไม่ประสบผลสาเร็จเนื่องจากเรืออับปาง ครั้งต่อมาคือเม่ือ พ.ศ. 2227 เพ่ือเจรจาให้ประเทศฝรั่งเศสจัดส่งทูตมาทาสนธิสัญญาพันธมิตรด้วย และคร้ังสุดท้ายเม่ือ พ.ศ. 2229 ส่วนคณะทูตของฝรั่งเศสชุดแรกเขา้ มาในกรุงศรีอยุธยาเมื่อ พ.ศ. 2225 แต่คณะทูตชุดสาคัญที่ส่งผลต่อความเปล่ียนแปลงในกรุงศรีอยุธยาท่ี คือคณะทูตชุดที่ 2 และชุดท่ี 3 เมื่อ พ.ศ. 2228 และ 2229 ตามลาดับ เมื่อพิจารณาจากชว่ งระยะเวลาการเดินทางเข้ามายังกรุงศรีอยุธยาท้ัง 2 คร้ัง ประกอบกับระยะเวลาที่ต้องใช้ใน

ํสา ันก ิวชาการ ึศกษา ่ัทวไปฯ (ฉ ับบ ่ราง)17การเดินทาง อาจกล่าวได้ว่าประเทศฝรั่งเศสให้ความสนใจกับการเป็นมิตร กับกรุงศรีอยุธยาด้วยเช่นกัน ความสนใจของประเทศฝรั่งเศสคือการติดต่อการค้าและพยายามโ น้ ม น้ า ว ใ ห้ ส ม เ ด็ จ พ ร ะ น า ร า ย ณ์ ม ห า ร า ช แ ล ะ ช า ว ไ ท ย ย อ ม รั บ นั บ ถื อ ค ริ ส ต์ ศ า ส น า นิ ก า ยโรมันคาทอลิก แต่ได้รับความสาเร็จเฉพาะด้านการค้าและความสัมพันธ์ทางการทูต (ภาพที่ 1.7)ซ่ึงสมเด็จพระนารายณ์มหาราชมีพระราชประสงค์มาแต่เดิมท่ีจะ ถ่วงดุลอานาจของประเทศฮอลันดา ประเด็นสาคัญคือประเทศฝร่ังเศสได้จัดส่งกองทหารเข้ามาพร้อมกับคณะทูตด้วยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงโปรดฯ ให้กองทหารประจาการท่ีเมืองบางกอกและเมืองมะริด ตามข้อเรียกร้องของประเทศฝรั่งเศส ความสาคัญของเมืองทั้งสองดังกล่าวอาจสันนิษฐานได้ว่าเมืองบางกอกเปรียบเสมือนเมืองปากทางของกรุงศรีอยุธยา การมีกองทหารประจาอยู่ก็อาจควบคุมเส้นทางสาคัญ ทั้งทางยุทธศาสตร์และการค้า ส่วนเมืองมะริดซ่ึงเป็นเมืองท่าด้านตะวันตกท่ีจะสามารถดูแลการค้าด้านมหาสมุทรอินเดียได้อย่างดี สนธิสัญญาและกองทหารที่ประจาการอานวยประโยชน์ให้แก่ฝร่ังเศสอย่างมาก นอกจากน้ี ประเทศฝรั่งเศสยงั มสี ทิ ธิทางการคา้ สิทธภิ าพนอกอาณาเขตและสทิ ธิผูกขาดดีบกุ ในเกาะภเู ก็ตด้วยภาพที่ 1.7 : ความสัมพันธ์กับประเทศฝรงั่ เศสสมยั สมเดจ็ พระนารายณ์มหาราชท่มี า : แอนโทนี รดี , 2548 : 271

ํสา ันก ิวชาการ ึศกษา ่ัทวไปฯ (ฉ ับบ ่ราง)18 อย่างไรก็ตาม นักวิชาการบางท่านพิจารณาว่า การท่ีสมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงยินยอมให้มีกองทหารฝรั่งเศสประจาการในราชอาณาจักรน้ัน เนื่องจากได้เกดิ วกิ ฤตการณค์ วามวนุ่ วายขึ้นกับชาวอังกฤษ จากการท่ีคนอังกฤษถูกลอบสังหาร จึงส่งเรือรบมาปิดล้อมเมืองมะริดพร้อมกบั เรยี กรอ้ งคา่ เสียหายจานวน 65,000 ปอนด์ (ชาญวิทย์ เกษตรศิริ,2548: 71) รวมท้ัง ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองภายในกรุงศรีอยุธยาจากการต่อสู้ของกลุ่มต่างๆ(นิธิ เอียวศรีวงศ์ ,2523 : 1- 6) ท้ังน้ีเนื่องจากภายหลังที่สมเด็จพระเจ้าปราสาททองสวรรคตในพ.ศ. 2199 เจา้ ฟา้ ไชยขึ้นครองราชย์เพียง 2 วัน สมเด็จพระนารายณ์มหาราชได้ทรงร่วมกับสมเด็จพระศรีสุธรรมราชาชิงราชสมบัติ โดยมีชาวต่างชาติที่อาศัยในกรุงศรีอยุธยา คือ ฮอลันดา ญี่ปุ่นเปอร์เชีย ให้ความช่วยเหลือแก่สมเด็จพระศรีสุธรรมราชา (ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, 2548 : 67)แต่สมเด็จพระศรีสุธรรมราชาทรงครองราชย์สมบัติได้เพียง 2 เดือนเศษ สมเด็จพระนารายณ์มหาราชกท็ รงชิงราชยข์ นึ้ เปน็ พระมหากษตั ริย์ในปีเดียวกนั การดาเนินนโยบายด้วยการเป็นพันธมิตรอันใกล้ชิดกับประเทศฝรั่งเศสของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ทาให้เกิดความรู้สึกต่อต้านชาติตะวันตกขึ้นในบรรดาขุนนางไทยและพระสงฆ์ โดยเฉพาะกลุ่มขุนนางที่ไม่พอใจเจ้าพระยาวิไชเยนทร์ ซึ่งเป็นชนชาติกรีกท่ีเข้ามารับใช้ในราชสานักและมีอิทธิพลอย่างมากต่อองค์พระมหากษัตริย์ รวมท้ังเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์อย่างมหาศาลจากการค้าต่างประเทศ ส่วนพระสงฆ์ก็เกรงว่าสมเด็จพระนารายณ์มหาราชจะทรงเปล่ียนศาสนา พระเพทราชาเจ้ากรมคชบาลผู้เป็นศูนย์กลางของความรู้สึกต่อต้านชาติตะวันตกสามารถยึดอานาจได้สาเร็จ ตั้งราชวงศ์ใหม่ข้ึนคือราชวงศ์บ้านพลูหลวงข้ึนครองกรุงศรีอยุธยา หลังจากน้ันก็ทรงโปรดฯให้ขับไล่กองทหารฝรั่งเศสออกนอกราชอาณาจักร รวมทั้งเลิกตดิ ตอ่ ค้าขายกับประเทศตะวันตก ซึง่ ก็มผี ลสบื เน่ืองจนกระทัง่ สนิ้ กรงุ ศรีอยธุ ยา หากพิจารณาในแง่ของประเทศฝรั่งเศส การที่มิได้ติดต่อกับไทยในตอนปลายกรุงศรีอยุธยาจนถึงยุครัตนโกสินทร์ตอนต้นนั้น มิใช่จากเหตุผลของไทยเพียงฝ่ายเดียว แต่เนื่องจากประเทศฝร่ังเศสเองก็เกิดปัญหาภายในประเทศจากการปฏิวัติพ.ศ.2332 สมัยพ ระเจ้าหลุ ยส์ที่16 ซ่ึง เป็นการปฏิวัติโค่นล้มการปกครอง ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ อันมีผลให้ประเทศรอบบ้านคือ อังกฤษ ออสเตรีย ปรัสเซีย และรัสเซียรุมรบกับประเทศฝรั่งเศสด้วยความหว่ันเกรงว่าแนวคิดเรื่องการปฏิวัติจะแพร่หลายเข้าไปในประเทศของตน ต่อเน่ืองมาจนกระทั่งจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 ข้ึนครองราชย์ในประเทศฝรั่งเศสก็เกิดสงครามทั่วท้ังยุโรป เม่ือสิ้นยุคจักรวรรดินโปเลียนก็ยังมีปัญหาจากการปฏิวัติในประเทศฝร่งั เศสเกดิ ขึน้ อกี หลายครงั้

ํสา ันก ิวชาการ ึศกษา ่ัทวไปฯ (ฉ ับบ ่ราง)19ตอนที่ 1.2 ความเปลยี่ นแปลงในสงั คมไทย เมื่อพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับประเทศท่ีเป็นศูนย์แห่งอานาจในโลกตะวันออกและประเทศมหาอานาจตะวันตกข้างต้น อาจกล่าวได้ว่าอิทธิพลจากภายนอกท่ีมีผลต่อวิถีชีวิตและสภาพโดยทั่วไปของสังคมไทย คือความศรัทธาในพุทธศาสนาและลัทธิฮินดูอันเกี่ยวเนื่องกับอารยธรรมอินเดียเป็นรากฐานอันม่ันคงท่ีก่อให้เกิดการเปล่ียนแปลง เช่นเดียวกับความสัมพันธ์ทางการค้า จากการท่ีดินแดนประเทศไทยม่ังคั่งด้วยพืชผลและทรัพยากรธรรมชาติจึงเป็นท่ตี ้องการของพ่อคา้ ตา่ งชาตทิ ง้ั โลกตะวันออกและโลกตะวนั ตก เร่ืองท่ี 1.2.1 ความศรัทธาในลัทธิศาสนา ศาสนาท่ีมีอิทธิพลต่อความรู้สึกนึกคิดและวิถีชีวิตของผู้คนในสังคมไทยคือพุทธศาสนา แต่ผสมผสานไปกับความศรัทธาในลัทธิฮินดูและความเชื่อในส่ิงศักดิ์สิทธิ์เหนือธรรมชาติที่มีมาแต่ดั้งเดิม ขณะเดียวกันสังคมไทยยอมรับความแตกต่างและให้เสรีภาพในการประกอบพธิ กี รรมตามแตล่ ะลทั ธิศาสนาจึงอยู่รว่ มกับกล่มุ ชนทีม่ คี วามศรทั ธาแตกต่างกันด้วยความสงบสุข 1.2.1.1 อทิ ธพิ ลอารยธรรมอนิ เดีย ความเช่ือในลัทธิศาสนาซึ่งได้รับอิทธิพลจากอารยธรรมอินเดียมีส่วนสาคัญในการเสริมอานาจการปกครอง ด้วยการยกฐานะของประมุขให้เป็นสมมติเทพหรือเทวราชา ตามรูปการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ทั้งน้ีคาสั่งสอนทางศาสนาและคาอธิบายเก่ียวกับเรื่องอานาจ ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ใช้อานาจคือผู้ปกครองกับผู้อยู่ใต้ปกครองโดยอ้างเทวสิทธิ์ นับว่ามีผลต่อพัฒนาการทางสังคมในข้ันมูลฐานคือการเปล่ียนสภาพ จากสังคมด้ังเดิมท่ีเป็นชุมชนระดับหมู่บ้านให้เป็นหน่วยสังคมทางการเมืองท่ีมีการยอมรับอานาจการสร้างแบบแผนทางการปกครองและความสัมพันธ์ในลักษณะที่เป็นโครงสร้างสังคม ดังน้ันการรับอารยธรรมอินเดียมีผลให้เจ้าเมืองหรือผู้นามีสถานภาพแตกต่างจากสามัญชน เป็นกษัตริย์ท่ีมีสัมพันธ์กับสวรรค์หรือสิ่งที่นอกเหนือธรรมชาติ โดยมีลัทธิศาสนาเป็นส่ิงสร้างสรรค์ความชอบธรรมแก่การปกครองและกาหนดกฎเกณฑ์ด้านคุณธรรมทางศาสนาให้พระมหากษัตริย์ทรงประพฤติในกรอบแห่งราชธรรม เช่นเดียวกับพิธีกรรมท่ีเปล่ียนสถานภาพกษัตริย์ท้ังเวลาข้ึนครองราชย์และพิธีกรรมเพื่อส่งกษัตริย์ที่มิใช่มนุษย์ธรรมดากลับสู่สรวงสวรรค์ (ศรีศักร วัลลิโภดม , 2544 : 48)แนวความคิดดังกล่าวสอดคล้องกับการเปล่ียนแปลงทางสังคม ที่จานวนประชากรเพิ่มมากขึ้นและอาณาเขตท่ีขยายตัวออกไป ระบอบกษัตริย์มีทั้งการยึดแบบอย่างตามแบบลัทธิฮินดูและ

ํสา ันก ิวชาการ ึศกษา ่ัทวไปฯ (ฉ ับบ ่ราง)20ความสัมพันธ์กับพุทธศาสนา ในระยะแรกของการขยายอานาจ การเสริมบารมีแนวเทวราชตามแบบฮินดูก่อให้เกิดความจงรักภักดีจากเมืองบริวาร เม่ือระบอบกษัตริย์มีอานาจมั่นคงแล้ว จึงใช้พุทธศาสนาเสริมด้วยการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ด้วยการสร้างศาสนสถานในดินแดนภายใต้ขอบเขตอิทธิพล เพือ่ สรา้ งความสมั พนั ธ์ระหวา่ งกนั หรอื ประกาศความเป็นเจ้าของพ้นื ท่ี การส่งผ่านอารยธรรมอินเดียซึ่งมีอิทธิพลต่อแนวคิดเรื่องการเมืองการปกครองอีกประเดน็ หนึ่งคอื เรื่องมณฑล ตามความหมายทางภูมิศาสตร์จักรวาลคือวงเขา 7 ช้ันรอบเขาพระสุเมรุ ซ่ึงเป็นแกนกลางของโลกหรือจักรวาล (ภาพที่ 1.8) ลาดับชั้นของวงเขาพระสุเมรุได้ถูกหยิบยกมาปรับใช้ในทางการเมืองท่ีเรียกว่าปริมณฑล อันเป็นขอบข่ายอานาจของพระมหากษัตริย์ ท่ีมีอานาจยิ่งใหญ่สูงสุดเพียงพระองค์เดียวคือพระเจ้าจักรพรรดิราชอันเป็นแนวคิดเก่ียวกับคติธรรมในลัทธิฮินดูและพุทธศาสนา ในส่วนที่เกี่ยวกับฮินดูหรือพราหมณ์ปรากฏในคัมภีร์พระเวทท่ีกล่าวถึงสงครามระหว่างฝ่ายเทพกับอสูรจึงต้องมีผู้นาการสู้ ส่วนคติทางพุทธศาสนาลัทธิมหายาน พระเจ้าจักรพรรดิคือพระโพธิสัตว์หรือภาคหนึ่งของพระพุทธเจ้าพระองค์ทรงเป็นพระราชาในอุดมคติทีป่ กครองโดยอาศัยธรรมะเป็นที่ต้ังภาพที่ 1.8 : เขาพระสเุ มรุท่ีมา : www.postjung

ํสา ันก ิวชาการ ึศกษา ่ัทวไปฯ (ฉ ับบ ่ราง)21 แนวคิดเรื่องพระเจ้าจักรพรรดิราชด้วยการขยายอานาจปรากฏในสมัยอยุธยา การเป็นพระจักรพรรดิราชอันได้แก่ความเป็นราชาสูงสุดเ หนือองค์อื่นใดสัมพันธ์กับพระเกียรติยศของพระมหากษัตริย์ ซึ่งมีความพยายามนามาปรับใช้กับระบบความร่วมมือระหว่างรัฐ ด้วยการสร้างความสัมพันธ์ระบบเครือญาติ การแต่งงานเชื่อมราชวงศ์การสร้างสัญลักษณ์ศูนย์กลางอานาจทางการเมือง รวมท้ังการขยายอานาจด้วยกาลังอย่างไรก็ตาม เนื่องจากคติเรื่องจักรพรรดิราชประกอบด้วยสองส่วนสาคัญคืออานาจและคุณธรรม การทาสงครามขยายอาณาเขตจึงมักควบคู่ไปกับการแสดงฐานะทางธรรม(เอนก มากอนันต์, 2550 : 42) ดังน้ัน พระมหากษัตริย์สมัยอยุธยาหลายพระองค์จึงทรงพยายามสถาปนาอาณาจักรอยุธยาให้เป็นศูนย์กลางทางพุทธศาสนา ตามความเชื่อว่าพระจักรพรรดิทรงเปรียบเสมือนตัวแทนของพุทธเจ้าในการอุปถัมภ์ค้าชูพระศาสนา การสถาปนาอาณาจักรของตนให้เป็นศูนย์กลางของโลกพุทธศาสนาจึงเป็นการแสดงถึงความเป็นราชาที่ย่ิงใหญ่ในหมู่รัฐท่นี ับถอื พทุ ธศาสนา (เอนก มากอนันต,์ 2550 : 87) ภายใต้อานาจของพระเจ้าจักรพรรดิราช พื้นที่หรือภูมิภาคมิได้แบ่งแยกจากกันแต่เป็นปริมณฑลเพียงหนึ่งเดียว โดยมีราชธานีของพระองค์เป็นศูนย์กลางและมีอาณาจักรขนาดเล็กเป็นศูนย์อานาจย่อยภายใต้อิทธิพล (สุเนตร ชุตินธรานนท์และคณะ,2552 : 14) ดินแดนแต่ละปริมณฑลไม่มีขอบเขตอย่างแน่ชัด อาจเพ่ิมขยายหรือลดน้อยลงตามบุญญาบารมีของพระมหากษัตริย์ ดังน้ันพ้ืนท่ีภายใต้การปกครองของอาณาจักรอยุธยาและกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้นจึงไม่มีเส้นแบ่งเขตแดนจากบริเวณโดยรอบ จวบจนวิทยาการเร่ืองการจัดทาแผนที่จากประเทศตะวันตกแพร่หลายเข้ามาในยุครัตนโกสินทร์ตอนกลาง จึงมีการกาหนดเส้นเขตแดนระหว่างผืนแผน่ ดนิ ไทยกบั ประเทศเพอื่ นบ้าน แม้ว่ารูปแบบการปกครองท่ีได้รับอิทธิพลจากอารยธรรมอินเดียจะเปลี่ยนแปลงไปในปัจจุบัน แต่สิ่งที่ยังคงดารงอยู่ตลอดมาคือการนับถือพุทธศาสนาซึ่งแพร่หลายในหมู่ประชาชนชาวไทย นับเป็นรากฐานสาคัญของสังคมและวัฒนธรรม ก่อให้เกิดลักษณะสังคมชาวพุทธ ท้ังด้านวิธีคิด การดารงชีวิต ท่ีผูกพันยึดม่ันกับศาสนา และการถ่ายทอดเปน็ ผลงานดา้ นศิลปะ ดนตรี นาฏศลิ ป์ และพิธกี รรมอันเก่ียวเนอ่ื งกับศาสนา

ํสา ันก ิวชาการ ึศกษา ่ัทวไปฯ (ฉ ับบ ่ราง)22 การรับอารยธรรมจากประเทศอินเดีย มีอิทธิพลต่อภาษาท่ีใช้ในสังคมด้วย ทัง้ นกี้ ่อนทจี่ ะมีการติดต่อสัมพันธ์กับประเทศอนิ เดยี ประชากรในดินแดนประเทศไทยประกอบด้วยชนหลายเผ่าพันธุ์ เคล่ือนย้ายจากพื้นท่ีต่างๆ มาต้ังถ่ินฐานร่วมกัน ยังไม่ปรากฏว่ามีกลุ่มชนใดที่มีตัวอักษรใช้ในการติดต่อสื่อสาร ภายหลังการรับอารยธรรมอินเดีย ก็ได้นาภาษาและอกั ษรของชาวอนิ เดยี มาใช้ท้งั ภาษาบาลีในพุทธศาสนาและสนั สกฤตท่เี ป็นภาษาในลัทธฮิ ินดู วั ฒ น ธ ร ร ม ด้ า น ภ า ษ า เ ก่ี ย ว ข้ อ ง กั บ ง า น ว ร ร ณ ก ร ร ม แ บ่ ง เ ป็ นวรรณกรรมทางศาสนา มกั ได้แกง่ านทางด้านพุทธศาสนาในรูปชาดกและพทุ ธประวัติ ซ่ึงนามาเป็นภาพปูนปั้นประดับบนฐานพระสถูปเจดีย์ หรือสลักตามแผ่นหิน หรือเสมา และวรรณกรรมท่ีเก่ียวข้องกับชนชั้นปกครอง อันได้แก่ เรื่องรามายณะและมหาภารตะ จึงปรากฏช่ือแคว้นและเมอื งเลียนแบบในวรรณกรรม เช่น อโยธยาและลพบุรี อย่างไรก็ตาม การรับอารยธรรมอินเดียดังกล่าว มิใช่การครอบงาหรือเลียนแบบท้ังหมด หากแต่เป็นการเลือกรับและปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับบริบทของท้องถิ่นความเป็นไทย ซึ่งเป็นกระบวนการที่เรียกว่าการทาให้เป็นท้องถิ่น (localization) ดังน้ันการเข้ามาของอารยธรรมอินเดียจึงเป็นการผสมผสานเข้ากับวัฒนธรรมด้ังเดิม แตกต่างจากกระบวนการทาให้เป็นอินเดีย (Indianization) ดังจะเห็นได้ว่าลักษณะเด่นของสังคมอินเดียคือการแบ่งชนช้ันในระบบวรรณะ ก็มไิ ดม้ ีผลใหส้ ถานะทางสังคมเปล่ยี นแปลงไปจากเดิม กล่าวโดยสรุป ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอินเดียกับประเทศไทยก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการปกครอง สังคมและวัฒนธรรม จากการรับอารยธรรมอินเดียอันมีลักษณะการซมึ ซับแบบค่อยเปน็ ค่อยไป โดยผู้ปกครองรับอารยธรรมและความเชื่อใหม่ส่งผ่านลงสู่กลุ่มเบ้ืองล่าง การเผยแพร่อารยธรรมอินเดียจึงเป็นไปอย่างสงบ กลุ่มคนที่เดินทางเข้ามาตั้งถิ่นฐานมิได้ก่อให้เกิดความวุ่นวายทางการเมืองหรือมุ่งประสงค์ยึดครองดินแดน เป็นแต่เพียงความตอ้ งการผลประโยชน์ในเชงิ การคา้ เป็นสาคญั ความสัมพันธจ์ ึงมลี ักษณะท่ีเทา่ เทียมกนั 1.2.1.2 เสรภี าพทางศาสนา รากฐานสาคัญของสังคมไทยนับแตอ่ ดีต คอื ความศรัทธาเล่ือมใสในพุทธศาสนา มีวิถีชีวิตท่ีผูกพันกับความเป็นสังคมชาวพุทธ แต่ทางการและประชาชนก็มิได้กีดกันผู้

ํสา ันก ิวชาการ ึศกษา ่ัทวไปฯ (ฉ ับบ ่ราง)23ที่นับถือลัทธิศาสนาอื่น จึงสามารถแสดงออกและปฏิบัติกิจทางศาสนาได้โดยเสรี สาหรับความสัมพันธ์กับประเทศตะวันตกนั้น เนื่องจากในระยะเร่ิมแรกของการติดต่อระหว่างกันชาติตะวันตกมีจุดมุ่งหมายคือ Gold God and Glory ดังน้ันการเผยแผ่ศาสนา จึงเป็นนโยบายหลักประการหน่ึงของประเทศตะวันตก ชาวยุโรปมุ่งหวังจะขยายคริสต์ศาสนาไปยังดินแดนต่างๆท่ัวโลก โดยยึดม่ันในแนวคิดเร่ืองภาระของคนผิวขาวที่จะต้องเปลี่ยนผู้ที่นับถือศาสนาอื่นหรือที่เรียกว่าพวกนอกรีตให้นับถือคริสต์ศาสนา ขณะเดียวกันก็มีความเชื่อว่าพวกยุโรปมีความเจริญเหนือกว่าชนชาติอื่นใด จึงต้องนาความเจริญไปยังดินแดนที่ล้าหลัง ด้วยการนาหลักแห่งศาสนาและหลกั มนุษยธรรมใชใ้ นการปกครอง คณะนักบวชท่ีเดินทางเข้ามาเผยแผ่คริสต์ศาสนาในสมัยอยุธยาคือ บาทหลวงในนิกายโรมันคาทอลิกจากประเทศโปรตุเกสและประเทศฝร่ังเศส ท้ังนี้พ่อค้าจากประเทศโปรตุเกส ซ่ึงเป็นชาวตะวันตกชาติแรกที่ติดต่อทาการค้ากับกรุงศรีอยุธยา ได้รับพระบรมราชานุญาตให้ต้ังถิ่นฐานเป็นชุมชนอยู่บริเวณนอกเกาะเมือง โดยจัดสร้างโบสถ์เพ่ือประกอบพิธีกรรมทางศาสนาและเผยแพร่หลักคาสอนให้แก่ชาวไทย ในสมัยสมเด็จพระไชยราชาธิราชภายหลังศึกเชียงกรานระหว่างกรุงศรีอยุธยากับพม่า เม่ือ พ.ศ.2081 เน่ืองจากกองทหารอาสาโปรตเุ กสไดม้ สี ่วนช่วยรบในสงครามครงั้ นี้ภาพท่ี 1.9 : โบสถว์ ดั คอนเซป็ ชญัที่มา : ถ่ายเมอ่ื วันท่ี 16 ตุลาคม 2557

ํสา ันก ิวชาการ ึศกษา ่ัทวไปฯ (ฉ ับบ ่ราง)24 โบสถ์โรมันคาทอลิกท่ีสาคัญแห่งหนึ่ง (ภาพท่ี1.9) ซ่ึงนับว่าเก่าแก่ที่สุดในกรุงเทพฯ และยังคงใช้ประโยชน์อยู่ในปัจจุบันคือโบสถ์ที่วัดคอนเซ็ปชัญ ซ่ึงมีพ้ืนที่ติดกับแม่น้าเจ้าพระยาทางด้านตะวันตก สร้างเม่ือปี 2217 ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชเพื่อเป็นสถานที่ประกอบศาสนกิจและเผยแผ่คริสต์ศาสนานิกายโรมันคาทอลิกของชาวโปรตุเกส เน่ืองจากมีชาวโปรตุเกสเดินทางเข้ามาต้ังถิ่นฐานในราชอาณาจักรอยุธยาจานวนมาก ประกอบกับความดีความชอบของกองทหารอาสาโปรตุเกส จึงได้รับพระบรมราชานุญาตให้ตั้งเป็นชุมชนในเมืองบางกอก โดยพระสังฆราชหลุยส์ ลาโนเป็นผู้นาในการสร้างวัดชื่อคอนเซ็ปชัญ (ImmaculeeConception) มคี วามหมายวา่ “วัดแมพ่ ระผู้ปฏิสนธินิรมล” การเผยแพร่คริสต์ศาสนาของคณะบาทหลวงจากประเทศฝร่ังเศสแตกต่างไปจากการดาเนินงานของประเทศโปรตุเกส ซึ่งเร่ิมจากการเผยแพร่ให้กับประชาชนโดยจัดสร้างโบสถ์ในชุมชนท่ีอาศัยเพ่ือประกอบพิธีกรรมและส่ังสอนประชาชนตามแนวแห่งคริสต์ศาสนา ส่วนประเทศฝร่ังเศสเน้นการติดต่อระดับราชสานัก จากการท่ีพระเจ้าหลุยส์ท่ี 14ทรงโปรด ฯ ให้คณะบาทหลวงเดินทางมากรุงศรีอยุธยาพร้อมคณะทูต เพื่อมุ่งหมายให้สมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงรับนับถือคริสต์ศาสนา ทั้งนี้หากพระมหากษัตริย์ทรงเลื่อมใสศรัทธาแลว้ กย็ อ่ มส่งผลใหป้ ระชาชนในราชอาณาจกั รเปล่ียนไปเป็นคริสต์ศาสนิกชนด้วย การเดินทางเข้ามาเผยแพร่คริสต์ศาสนาด้วยการสนับสนุนจากราชสานักฝรั่งเศสตั้งแต่ พ.ศ. 2205 มีส่วนช่วยทางด้านวิศวกรรมในการสร้างพระราชวังนารายณ์ราชนิเวศท่ีจังหวัดลพบุรี ป้อมปราการท่ีเมืองพิษณุโลกและเมืองบางกอก สมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงโปรดฯ อนุญาตให้จัดตั้งสานักสั่งสอนศาสนาได้ รวมทั้งได้ทรงส่งสาส์นไปเจริญสัมพันธไมตรีกับพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 และสันตะปาปาที่กรุงโรมเม่ือ พ.ศ. 2216 โดยผ่านบาทหลวงอันเป็นผลให้พระมหากษัตริย์แห่งฝรั่งเศสเข้าพระทัยว่า สมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงสนพระทัยในครสิ ตศ์ าสนาและอาจจะทรงเปลย่ี นไปเข้ารีตได้ นับเป็นความหวั่นวิตกในหมู่พระสงฆ์และพทุ ธศาสนกิ ชนบางส่วนด้วยเชน่ กนั ความเปลี่ยนแปลงทางสังคมท่ีเห็นเด่นชัดก็มีเพียงเรื่องการเผยแผ่ศาสนาของบาทหลวง ซึ่งก็มีคนไทยสว่ นหนึง่ ท่เี ลื่อมใสหันไปนับถือคริสต์ศาสนา แต่ทั้งน้ีสิ่งที่นับว่าเป็นประโยชน์ยิ่งต่อสังคมไทยอีกด้านหน่ึง ได้แก่การท่ีบาทหลวงท้ังหลายได้นาเอาวิทยาการแผนใหม่จากชาติตะวันตกมาเผยแพร่ ท้ังด้านการศึกษา ระบบการพิมพ์ การสาธารณสุข นาไปสู่การเปล่ียนแปลงโลกทัศน์ของชนชั้นนาในสังคมไทย อันมีผลต่อการปรับท่าทีของไทยท่ีมีต่อประเทศตะวนั ตกในเวลาต่อมา

ํสา ันก ิวชาการ ึศกษา ่ัทวไปฯ (ฉ ับบ ่ราง)25 ส่วนอิทธิพลจากชุมชนมุสลิมไม่ปรากฏให้เห็นเด่นชัด แม้ว่าชาวไทยพทุ ธและชาวไทยมุสลิมจะมีการติดต่อสัมพันธ์กัน แต่เน่ืองจากศาสนาอิสลามเป็นวัฒนธรรมและระบอบในการดาเนินชีวิต (เสาวนีย์ จิตต์หมวด, 2531 : 9) ผู้คนในชุมชนมุสลิมยังคงยึดถือและประพฤติปฏิบัติตามหลักคาสอนของศาสนาอิสลาม โดยมีมัสยิดเป็นศูนย์กลางของชุมชนแต่ละแห่งแตกต่างจากวิถีวัฒนธรรมแบบชาวพุทธ ส่ิงที่ปรากฏเป็นรูปธรรมคืองานสร้างสรรค์ทางศิลปะดงั เชน่ การแกะสลกั ไม้ประดบั เป็นลายพันธ์พุ ฤกษา และอาหารท่ีปรุงรสดว้ ยเคร่อื งเทศ เรื่องที่ 1.2.2 การขยายตัวทางการค้า ความเหมาะสมของดินแดนประเทศไทยต่อการค้า ท้ังความสะดวกจากการเดินทางโดยทางบกหรือการเดินเรือเลียบชายฝั่ง โดยอาศัยการเปล่ียนแปลงทิศทางของลมมรสุมรวมท้ังการเป็นแหล่งผลิตผลจากป่าและพืชผลทางการเกษตร นับเป็นสิ่งดึงดูดพ่อค้าจากโลกตะวันออกคืออินเดีย จีน อาหรับ และทางโลกตะวันตกคือประเทศในทวีปยุโรปเดินทางเข้ามาติดต่อค้าขาย (ภาพท่ี 1.10) หรือตั้งหลักแหล่งเพ่ือความสะดวกในการเจรจาทางการค้า ปัจจัยดังกลา่ วส่งผลตอ่ การเปลี่ยนแปลงสถานะทางเศรษฐกิจและสภาพสังคมไทยภาพท่ี 1.10 : เรือสินค้าไทยและต่างชาติท่มี า : ชาญวทิ ย์ เกษตรศิริ, 2555 : 21

ํสา ันก ิวชาการ ึศกษา ่ัทวไปฯ (ฉ ับบ ่ราง)26 1.2.2.1 สถานะทางเศรษฐกจิ ความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจจากการค้ากับประเทศจีน เกิดจากการติดต่อในระดับรัฐต่อรัฐ การเดินทางเข้ามาติดต่อค้าขายโดยพ่อค้าจีน และการตั้งถิ่นฐานของชาวจีนโพน้ ทะเล แม้วา่ การค้าระดับรฐั คอื ระบบบรรณาการจะมวี ัตถปุ ระสงคท์ างการเมือง ร่วมด้วยกล่าวคือการให้ประเทศจีนยอมรับเข้าเป็นหน่ึงในสมาชิกของสังคมโลกตะวันออกและป้องกันการเข้าแทรกแซงเม่ือเกิดปัญหาความขัดแย้งระหว่างดินแดนภายในภูมิภาค ดังเช่น สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 แห่งกรุงศรีอยุธยาทรงฟื้นฟูสัมพันธไมตรีกับประเทศจีน ในพ.ศ.1914 หลังจากหยุดไประยะหนึ่ง จากเดิมที่เคยติดต่อระหว่างกันในสมัยสุโขทัย เพ่ือมิให้ประเทศจีนช่วยเหลือแคว้นสุโขทัยในปัญหาความขัดแย้งกับกรุงศรีอยุธยา แต่ขณะเดียวกันก็ส่งผลดีทางเศรษฐกิจทาให้การคา้ เจรญิ รงุ่ เรอื งอยา่ งมาก เน่ืองจากชาวจีนเป็นผู้มีความรู้และความชานาญในด้านการต่อเรือและการค้า จึงเป็นประโยชน์ต่อไทยในด้านการค้ากับต่างประเทศ ทั้งการส่งสินค้าไปขายด้วยเรือสาเภา โดยเฉพาะอย่างย่ิงช่วงเวลาท่ีประเทศจีนออกกฎหมายห้ามพ่อค้าต่างชาติเข้าไปค้าขายได้อยา่ งอิสระ นอกจากพอ่ ค้าชาวจีนโพน้ ทะเล การประสานกิจการค้าระหว่างคนไทยกับบริษัทการค้าตะวันตกในช่วงการแข่งขันกันระหว่างประเทศฮอลันดาและประเทศอังกฤษจึงได้แต่งต้ังคนจีนเป็นผู้รับผิดชอบดูแลด้านการค้า ในตาแหน่งพระยาโชฎึกราชเศรษฐี เจ้ากรมท่าซ้าย ดูแลด้านการค้าบริเวณเมืองท่าในประเทศจีน นางาซากิและเกาะริวกิวในญ่ีปุ่น เวียดนาม เกาะสุมาตราเกาะฟิลิปปินส์ ตาแหน่งต่างๆ ในกรมน้ีจึงเป็นคนจีนแทบท้ังสิ้น เช่น นายสาเภา (จุ่นจู้) ผู้นาร่อง(ตน้ หน) พนักงานบัญชี (ล้าตา้ ) นายทา้ ย (ไต้ก๋ง) รวมท้ังภาษาที่ใชใ้ นกจิ การค้ากใ็ ช้ภาษาจนี ด้วย ชาวจีนที่เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรอยุธยา มีบางส่วนตั้งหลักแหล่งในพื้นที่ต่างๆ ของดินแดนประเทศไทย กลุ่มบุคคลเหล่าน้ีมีท้ังท่ีเดินทางมาด้วยจุดมุ่งหมายทางการค้า การหลีกพ้นจากสภาวะแห้งแล้งและหลบภัยสงครามในประเทศจีนด้วยความชานาญทางการค้าและเงื่อนไขความสัมพันธ์ในระบบศักดินา มีผลให้ชาวจีนค้าขายได้โดยเสรี เนื่องจากภายใต้ระบบดังกล่าว ชายไทยท้ังไพร่หลวงและไพร่สมต้องเข้าเวรทางานให้กับรัฐหรือมูลนาย เช่นเดียวกับไพร่ส่วยก็ต้องมุ่งหาทรัพยากรในท้องถ่ินนาส่งให้แก่รัฐจึงไม่สะดวกที่จะทาการค้า ซ่ึงมักเป็นรูปกองคาราวาน เดินทางไปค้าขายตามแต่ละหมู่บ้านชาวจีนซ่ึงเป็นอิสระจากพันธะของระบบไพร่จึงเข้าไปมีบทบาททางการค้าแทนที่ นอกจากนี้โดยพ้ืนฐานความคิดของคนไทยก็ไม่สนใจมุ่งทางเศรษฐกิจ จากทัศนคติของสังคมไทยที่ว่า“สบิ พอ่ ค้าไมเ่ ทา่ หนงึ่ พระยาเล้ยี ง”

ํสา ันก ิวชาการ ึศกษา ่ัทวไปฯ (ฉ ับบ ่ราง)27 การค้าของคนจีนเป็นโอกาสสาคัญให้สะสมทุนในการขยายกิจการออกไปได้ ดังจะเห็นได้จากยุครัตนโกสินทร์ตอนต้นท่ีมีการแต่งตั้งคนจีนเป็นเจ้าภาษีนายอากรตาแหน่งดังกล่าวเป็นเอกชนท่ีประมูลการจัดเก็บภาษีอากรได้จากรัฐ ส่วนใหญ่มักได้แก่คนจีนที่มีความชานาญการด้านธุรกิจและมีเงินทุนมากเพียงพอที่จะจ่ายให้กับรัฐก่อนท่ีจะจัดเก็บจากประชาชน ความเปล่ียนแปลงที่เกิดขึ้นจากการจัดหารายได้ด้วยวิธีผูกขาดภาษีอากรคือพื้นที่ใดมีทรัพยากรซึ่งจะนามาผลิตเป็นสินค้าได้ก็จะมีคนจีนเข้าไปต้ังถ่ินฐานเพื่อจัดเก็บรายได้นาส่งรัฐ วิธีการน้ี นอกจากจะสร้างรายได้ให้แก่รัฐแล้ว ยังมีผลต่อการเปล่ียนแปลงสภาพสังคมอกี ดว้ ย โดยสรุปแล้ว ความสัมพันธ์กับประเทศจีน เน้นด้านการติดต่อทางการค้าเป็นสาคัญ แม้ว่าไทยจะยินยอมอ่อนน้อมต่อประเทศจีน ซึ่งได้รับการยอมรับจากทุกประเทศในยุคนั้นว่าเป็นศูนย์กลางของสังคมโลกตะวันออก แต่การเข้าสู่ระบบบรรณาการตามข้อกาหนด ก็เป็นไปเพ่ือวัตถุประสงค์ทางเศรษฐกิจ การติดต่อในระดับรัฐต่อรัฐจึงไม่มีผลต่อสังคมไทยอย่างเด่นชัด ความเปล่ียนแปลงท่ีเกิดข้ึนเป็นผลมาจากการอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในประเทศไทยของชาวจีนโพ้นทะเล คนจีนเหล่าน้ีสามารถสร้างหลักฐานได้อย่างมั่นคงจากการประกอบธุรกิจการค้า ทั้งจากความชานาญของตนเองและระบบสังคมไทย ท่ีกาหนดให้ราษฎรเป็นไพร่รับใชม้ ูลนายหรือเข้าป่าแสวงหาผลติ ผลเพื่อส่งส่วยให้กับรัฐ ช น ช า ติ อี ก ก ลุ่ ม ห นึ่ ง ที่ มี บ ท บ า ท เ ส ริ ม ก า ร ข ย า ย ตั ว ท า ง ก า ร ค้ าในกรุงศรีอยุธยาคือ พวกมุสลิมจากประเทศอิหร่านท่ีเรียกว่าพ่อค้าเปอร์เซีย บุคคลกลุ่มนี้ทาธุรกิจค้าผ้าจากประเทศอินเดียทางตอนใต้ โดยเดินเรือมาขึ้นฝั่งท่ีเมืองมะริดและเมืองตะนาวศรีจากน้ันจึงเดินทางบกมายังกรุงศรีอยุธยา นับเป็นคู่แข่งสาคัญกับบริษัทการค้าของชาติยุโรปเนื่องจากมีต้นทุนถูกกว่า ไม่ต้องผ่านระบบนายหน้าจึงสามารถกาหนดราคาต่ากว่าได้ประเด็นสาคัญคือพ่อค้าเชื้อสายเปอร์เซียได้รับความไว้วางใจจากพระมหากษัตริย์อย่างมากจึงได้รับการแต่งต้ังเป็นเจ้าเมืองปกครองเมืองมะริดและเมืองตะนาวศรี เป็นโอกาสให้พ่อค้าเปอรเ์ ซียได้รบั การผกู ขาดสินคา้ จากประเทศอินเดียเพมิ่ ขน้ึ สินค้าผ้าจากประเทศอินเดียเป็นที่นิยมในทวีปเอเชียและยุโรปเนือ่ งจากสีสนั สดใสลวดลายสวยงาม ขณะท่ีผ้าจากบางเมืองมีราคาถูก เม่ือกรุงศรีอยุธยารับซ้ือผ้าจากพ่อค้าเปอร์เซียตามระบบผูกขาดของพระคลังสินค้าแล้ว ก็ได้ส่งออกไปขายยังประเทศญ่ีปุ่นและหมเู่ กาะฟลิ ิปปินส์ สรา้ งผลกาไรใหก้ ับกรงุ ศรอี ยธุ ยาอยา่ งมาก

ํสา ันก ิวชาการ ึศกษา ่ัทวไปฯ (ฉ ับบ ่ราง)28 สาหรับความสมั พนั ธ์กับประเทศตะวันตกน้ัน เน่ืองจากชาติตะวันตกมีจุดมุ่งหมายสาคัญประการหน่ึงในการติดต่อกับไทยในช่วงกรุงศรีอยุธยาคือผลประโยชน์ทางการค้า เน่ืองจากการแพร่ขยายความคิดตามแนวลัทธิพาณิชย์นิยม สังคมโลกยุคนั้นจึงเป็นการแข่งขันเอารัดเอาเปรียบ เพื่อสร้างความมั่นคงให้แก่รัฐ การค้าระหว่างประเทศเป็นการช่วงชิงเพื่อประโยชน์สูงสุด รัฐจึงมีบทบาทสาคัญในการสนับสนุนการค้าเพ่ือขยายอานาจและดินแดนขณะเดียวกันกเ็ ป็นการเพ่ิมพูนพระราชอานาจของพระมหากษัตริย์ การขยายตัวทางการค้าเป็นผลมาจากพระราชประสงค์ของพระมหากษัตริย์ที่จะเผยแผ่พระราชอานาจและเพ่ิมพูนพระราชทรัพย์จากการค้าระหว่างประเทศ ดังปรากฏผลกาไรจากการค้าของประเทศโปรตุเกสท้ังหมดต้องนาส่งเพ่ือการใช้จ่ายในราชสานัก ขณะท่ีประเทศฮอลันดาจัดตั้งเป็นบริษัทผูกขาดทางการค้าเพ่ือผลประโยชน์สูงสุดที่พึงจะได้รับจากการติดต่อค้าขาย ผลของการติดต่อสัมพันธ์กันจึงนาซึ่งความมง่ั คงของทง้ั สองฝา่ ย 1.2.2.2 สภาพสงั คมไทย การติดต่อสัมพันธ์ทางการค้ากับประเทศจีนซึ่งเปิดโอกาสให้ชาวจีนจานวนมากอพยพเข้ามาตั้งถน่ิ ฐานในประเทศไทย มีผลต่อการเปล่ียนแปลงของสังคมไทยเก่ียวกับระบบอุปถัมภ์ซึ่งเป็นกฎเกณฑ์ข้อบังคับทางสังคมระหว่างมูลนายกับไพร่ ได้รับการขยายให้กว้างครอบคลุมการพ่ึงพากันโดยสมัครใจระหว่างชนชั้นปกครองกับพ่อค้าชาวจีน ทั้งนี้เนื่องจากการดาเนินธุรกิจของคนจีนสอดคล้องกับระบบอุปถัมภ์ของสังคมไทย อันเป็นความสัมพันธ์ที่อยู่บนพื้นฐานของผลประโยชน์ที่ต้องพ่ึงพิงกันระหว่างชนช้ันปกครองกับพ่อค้าจีน นับเป็นการเปลี่ยนแปลงทางด้านวัฒนธรรมในด้านโลกทัศน์และค่านิยม กล่าวคือ ชนช้ันปกครองตั้งแต่พระมหากษัตริย์ เจ้านาย และขุนนางต่างมีกิจการค้ากับต่างประเทศโดยส่งเรือสาเภาออกไปขายดังน้ันการคบกับคนจีนทั้งท่ีเป็นพวกพ่อค้า ผู้ชานาญการด้านต่างๆ หรือผู้ใช้แรงงานก็เป็นหนทางให้จาหน่ายสินค้าได้เพ่ิมขึ้น รวมทั้งได้รับความช่วยเหลือด้านกิจการค้า ส่วนคนจีนน้ันก็ได้อาศัยพ่ึงพาชนชั้นปกครอง อันทาให้ได้รับสิทธิพิเศษในการติดต่อเพ่ือความสะดวกด้านการค้าและสถานภาพทางสังคมทด่ี ขี น้ึ ความเปล่ียนแปลงท่ีสาคัญอีกประการหนึ่ง คือ การตั้งถ่ินฐานของชาวจีนในชุมชนต่างๆ มีผลให้เกิดย่านตลาดการค้า จากเดิมที่เป็นหมู่บ้านหรือชุมชนแบบดั้งเดิมมีวัดเปน็ ศูนยก์ ลาง มพี ้ืนที่สาธารณะเป็นตลาดซ้ือขายแลกเปล่ียนสินค้าระหว่างท้องถ่ินมักเป็นเพียงรูปตลาดท่ีกาหนดเพียงวันใดวันหนึ่ง ปรับเปล่ียนเป็นร้านค้าถาวรมีอาคารท่ีอยู่อาศัยของผู้ค้าขายซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นคนจีนหรือเช้ือสายจีน บริเวณตลาดจึงเป็นแหล่งรวมของการพบปะติดต่อทา

ํสา ันก ิวชาการ ึศกษา ่ัทวไปฯ (ฉ ับบ ่ราง)29การค้า ที่มีผู้คนเคลื่อนย้ายมาอาศัยเพ่ิมมากขึ้นเป็นลาดับ เกิดเป็นสังคมตัวเมืองในที่สุดสภาพสังคมแบบชุมชนซ่ึงปรับเปลี่ยนกลายเป็นย่านตลาดการค้า เห็นได้เด่นชัดในยุรัตนโกสินทร์ตอนตน้ ทม่ี กี ารแตง่ ตั้งคนจนี เป็นเจา้ ภาษนี ายอากร เม่ือคนจนี เข้าไปต้ังหลักแหล่งเพื่อจัดเก็บรายได้หมบู่ า้ นหรือชมุ ชนแบบด้ังเดิมก็เร่ิมเปลี่ยนเป็นย่านตลาดการค้า (ภาพท่ี 1.11) และการพัฒนาเป็นตาบลและอาเภอในเวลาต่อมา (ศรศี ักร วัลลิโภดม, 2544 : 129 -130)ภาพที่ 1.11 : ยา่ นตลาดการคา้ท่มี า : www. lek – prapai.org อย่างไรก็ตาม อิทธิพลอารยธรรมจีนที่มีต่อไทยน้ัน ไม่ปรากฏเด่นชัดมากนักเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นศูนย์กลางสังคมโลกอีกแห่งหนึ่งนอกเหนือจากประเทศจีน ท้ังนี้เน่ืองจากการแผ่ขยายอิทธิพลทางอารยธรรมของจีนมักควบคู่ไปกับการทหารดังเช่น การที่ประเทศจีนเข้าครอบครองประเทศเวียดนาม ส่วนดินแดนของประเทศไทยมีอาณาบริเวณท่ีห่างไกลจากประเทศจีนจึงปลอดจากการถูกแทรกแซงกิจการภายใน ท้ังน้ีการขยายอิทธิพลของประเทศจีนมีข้อจากัด กล่าวคือสามารถกระทาได้เฉพาะในท้องถ่ินที่จีนแผ่อานาจทางการทหารไปถึงเท่าน้ัน การติดต่อกับประเทศจีนจึงมีเฉพาะการค้าภายใต้ระ บ บบ ร รณ า กา ร นั บ ตั้ง แ ต่ส มั ยสุ โ ขทั ย สื บต่ อ มา จ นถึ ง กรุ ง รัต น โก สิ นท ร์ ตอ น ต้ นโดยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดฯ ให้ยกเลิกการส่งเครื่องราชบรรณาการ

ํสา ันก ิวชาการ ึศกษา ่ัทวไปฯ (ฉ ับบ ่ราง)30ให้ประเทศจีน ตามข้อกาหนดระบบการค้าแบบบรรณาการ อันเป็นช่วงเวลาท่ีสังคมไทยเร่ิมตระหนักถึงระเบียบโลกใหม่ที่มีประเทศมหาอานาจยุโรปเป็นแกนแห่ง อานาจขณะท่ีศูนย์กลางโลกตะวันออกคือประเทศอินเดียและจีน ต้องเผชิญกับการคุกคามจากลัทธิจักรวรรดินิยม กลา่ วคือประเทศอินเดียต้องตกเป็นอาณานิคมของประเทศอังกฤษ ส่วนประเทศจีนในสมยั ราชวงศ์ชิงก็พ่ายแพต้ ่อประเทศอังกฤษในสงครามฝน่ิ และต้องสูญเสยี ดินแดนหลายแห่ง ส่วนการติดต่อกับประเทศตะวันตก แม้ว่าจุดมุ่งหมายสาคัญคือด้านการค้า แต่ความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจก็มีผลกระทบต่อสังคมในทางอ้อมเช่นกัน ดังปรากฏให้เห็นต้ังแต่ยุคกรุงศรีอยุธยาตอนกลางจวบจนถึงยุคต้นกรุงรัตนโกสินทร์ อันเนื่องมาจากความต้องการ “ส่วย” ซึ่งเป็นส่ิงของที่ต้องส่งให้กับรัฐเพื่อทดแทนการถูกเกณฑ์แรงงานส่วยดังกล่าวมักได้แก่สินค้าซ่ึงเป็นที่ต้องการของชาติตะวันตก เช่น หนังสัตว์ งาช้าง ไม้หอมสินค้าเหล่าน้ีจะถูกเก็บรวบรวมไว้ในพระคลังสินค้าเพื่อขายให้กับชาวต่างชาติ หากไพร่ผู้ใดไมส่ ามารถจดั หาสิง่ ของทร่ี ฐั ต้องการได้ก็อาจส่งเป็นเงินสดแทน โดยในรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราชซ่ึงได้มีการก่อสร้างพระราชวังและป้อมปราการแบบใหม่ โดยใช้เทคโนโลยีแบบตะวันตกนน้ั ได้เรียกเกบ็ ภาษีเพิม่ มากข้นึ จากเดิมเป็นสองเทา่ การเก็บภาษีท้ังจากส่วย เงินสด หรือการเกณฑ์แรงงานเพื่อก่อสร้างพระราชวังป้อมปราการมีผลกระทบต่อการจัดสงั คมในระบบมลู นาย – ไพร่ จากการท่ีไพร่หลีกเลี่ยงการถูกเกณฑ์แรงงานและการเรียกร้องส่วยเพ่ิมมากขึ้นด้วยการหลบหนีเข้าป่า เป็นผลให้การควบคุมกาลังคนในระบบไพร่สมัยอยุธยาตอนปลายเสื่อมลงเป็นลาดับ เมื่อประกอบกับข้าศึกมีความเข้มแข็งมากกว่า กรุงศรีอยุธยาจึงพ่ายแพ้ให้แก่ประเทศพม่าในปี 2310 ความอ่อนแอของระบบไพร่ได้รบั แกไ้ ขเป็นระยะ เชน่ การสักหมายหมู่เลกทุกกรมกอง สักชื่อเมืองและชื่อมูลนายไว้ท่ีข้อมือไพร่ เพื่อป้องกันไพร่หลบหนี ต่อมาในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นท่ีมีการติดต่อทางการค้ากับชาติตะวันตกเพิ่มมากขึ้น เป็นช่วงที่ระบบเศรษฐกิจแบบเงินตราเร่ิมแพร่หลาย การค้าขยายตัวทาให้มีความต้องการสินค้าเพ่ิมมากขึ้น สินค้าออกท่ีสาคัญส่วนใหญ่มาจากส่วย ทางราชการจึงผ่อนคลายระบบการเกณฑ์แรงงาน ด้วยการยินยอมให้ไพร่หลวงและไพร่สมส่งส่วยแทน จนกระท่ังเมื่อยกเลิกการผูกขาดการค้ากับชาติตะวันตก ส่วยหมดความสาคัญลง จากการที่พ่อค้าต่างชาติไม่จาเปน็ ตอ้ งซอื้ สนิ ค้าจากพระคลงั สินค้าเพียงแห่งเดียว อาจติดต่อขอซื้อจากประชาชนได้ ประกอบกับระบบเงินตราแพร่หลายมากขึ้น จึงกาหนดให้เก็บเงินแทนส่วย รวมท้ังไพร่ที่ไม่อาจเข้าเวรก็เสียเงินแทนได้ การเสียเงินแทนการถูกเกณฑ์แรงงานดังกล่าวนี้คือต้นแบบการเสียภาษีให้กับทางราชการในปจั จุบัน

31ตอนท่ี 1.3 สรุป ความสัมพันธ์กับประเทศศูนย์กลางสังคมโลก ท้ังตะวันออกและตะวันตกช่วงกรงุ ศรอี ยุธยา เนน้ ทางด้านการตดิ ต่อค้าขายระหว่างกัน โดยพ่อค้าต่างชาติเป็นฝ่ายเดินทางเข้ามาซอ้ื ขายเป็นส่วนใหญ่ เน่ืองจากกรุงศรีอยุธยาเป็นแหล่งสินค้าประเภทของป่า หนังสัตว์ ครั่ง ไม้ฝางไม้หอม ซึ่งเป็นที่ต้องการของชาติตะวันตก เมื่อความต้องการสินค้าของป่าของชาวต่างประเทศลดนอ้ ยลง ประเทศไทยก็เปน็ แหลง่ ผลิตขา้ วทีต่ อบสนองความตอ้ งการของตลาดประเทศจีน ซึ่งเกิดจากการขาดแคลนข้าวเน่ืองจากสภาวะความแห้งแล้ง ดังน้ันพ่อค้าต่างชาติจึงพยายามจะเจรจาขอซ้ือข้าวเพื่อไปขายต่อให้กับประเทศจีน ความสัมพันธ์ระยะนี้ไทยเป็นฝ่ายกาหนดกฎเกณฑ์ทางการค้า แม้ว่าชาวต่างชาติจะไม่พึงพอใจแต่ก็ต้องจายอม ดังเช่น การผูกขาดการค้าโดยพระคลงั สนิ ค้าที่ทาใหส้ ินคา้ มีราคาสูง เมอื่ ชาวตา่ งชาตินาไปขายต่อจงึ ไม่มกี าไรมากเทา่ ท่ีควร ความสัมพันธ์ระหว่างกรุงศรีอยุธยากับประเทศตะวันตกเริ่มห่างเหินในสมัยสมเด็จพระเพทราชาแห่งราชวงศ์บ้านพลูหลวง จากความระแวงในท่าทีของประเทศฝรั่งเศสว่าต้องการเข้ายึดครองเป็นเมืองขึ้น การท่ีประเทศในทวีปยุโรปมิได้เดินทางเข้ามาติดต่อค้าขายช่วงเวลาดังกล่าวจนถึงต้นรัตนโกสินทร์ ยังเน่ืองมาจากปัญหาการสู้รบในทวีปยุโรปด้วย เม่ือสงครามสงบลงอันนาไปสู่ความพยายามจัดระเบียบเพื่อความสงบสุขร่วมกัน พร้อมกับความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจจากการปฏิวัติอุตสาหกรรม เกิดการจัดระเบียบโลกทางเศรษฐกิจตามแนวทุนนิยมเพ่ือแสวงหาทรัพยากรป้อนโรงงานอุตสาหกรรมและตลาดรองรับสินค้า นาไปสู่ยุคจักรวรรดินิยมซึ่งแพรห่ ลายเข้าสทู่ วปี เอเชีย ช่วงเวลาดงั กล่าว ประเทศไทยก็ถูกดงึ เขา้ ไปลรู่ ะเบยี บโลกใหม่นีด้ ้วยํสา ันก ิวชาการ ึศกษา ่ัทวไปฯ (ฉ ับบ ่ราง)

ํสา ันก ิวชาการ ึศกษา ่ัทวไปฯ (ฉ ับบ ่ราง)32 คาถามทา้ ยบท1. ดนิ แดนในภมู ิภาคเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใตเ้ รียกอกี อยา่ งว่า ก. ดินแดนสวุ รรณภูมิ ข. เอเชยี อาคเนย์ ค. ดินแดนแหง่ อารยธรรม ง. อนุภาคเอเชีย2. ชนชนั้ วรรณะใดของอินเดีย ที่รอบรเู้ ร่ืองเกี่ยวกบั ประเพณีพระเวทช้นั สูง ก. วรรณะพราหมณ์ ข. วรรณะกษัตรยิ ์ ค. วรรณะแพศย์ ง. วรรณะศูทร3. จีนได้รับอิทธิพลดา้ นความคิดท่ีวา่ “ประเทศจนี เป็นศูนย์กลางของอานาจและอารยธรรม”จากใคร ก. องคจ์ กั รพรรดิ ข. ขงเบง้ ค. ผูน้ าทางอานาจของจนี ง. ขงจื้อ4. การต้ังถิ่นฐานของชนชาวมุสลมิ ในดินแดนประเทศไทยสบื เน่อื งจากการเดนิ ทางเข้ามาติดต่อการค้าของชนชาตใิ ด ก. ชาวอาหรบั ข. ชาวมองโกล ค. ชาวอนิ เดยี ง. ชาวอซุ เบกสิ ถาน

ํสา ันก ิวชาการ ึศกษา ่ัทวไปฯ (ฉ ับบ ่ราง)335. สนธสิ ญั ญาใดคือสนธสิ ัญญาว่าด้วยเรื่องการตกลงยนิ ยอมในการแบ่งดนิ แดนในการแสวงหาผลประโยชน์ระหว่างโปรตุเกสกับสเปน ก. สนธสิ ัญญาเบอร์นี ข. สนธสิ ัญญาทอรเ์ ดซลิ ยัส ค. สนธิสัญญาการคา้ ระหวา่ งประเทศ ง. สนธิสัญญาวอรซ์ อ6. เพราะเหตใุ ดความสัมพันธท์ างการค้าระหว่างจนี กบั กรงุ ศรอี ยุธยาจึงมีไม่มากนัก ก. เพราะการเดนิ เรือมาดว้ ยความลาบาก ข. ผูเ้ ดินเรอื ไม่มคี วามชานาญเสน้ ทาง และความแมน่ ยาในการเดนิ เรือ ค. เกิดปัญหากันภายในกรุงศรอี ยธุ ยา ง. ถูกกีดกนั จากชาตติ ะวันตกเดมิ ท่ีเข้ามาคา้ ขายก่อนหน้า7. เหตุใดองั กฤษจงึ ไดเ้ ปรยี บในการแสวงหาทรพั ยากรในดนิ แดนเอเชยี มากกว่าฝรัง่ เศส ก. เนื่องจากฝรงั่ เศสไมย่ อมรับในระบบพระคลังสินค้า ข. เกิดภาวะขาดทุนทุกครงั้ ที่ทาการคา้ ค. ประสบปัญหาความวุ่นวายทางการเมืองภายในประเทศ ง. ถกู กีดกันจากประเทศโปรตเุ กสและสเปน8. คาว่า Gold God and Glory หมายถึงข้อใด ก. การยอมรับในสงั คมดว้ ยว่าด้วยความม่งั คั่งและชยั ชนะ ข. ทรัพย์สมบัติเกียรติยศและความศรัทธา ค. สงิ่ ท่ีมีคา่ ความศรัทธาในศาสนาและเกียรตยิ ศความเป็นมหาอานาจ ง. ชัยชนะซง่ึ ได้มาสมบัตขิ องพระเจ้า9. จดุ มงุ่ หมายของประเทศมหาอานาจยุโรปท่ีเดนิ ทางเขา้ มาตดิ ต่อค้าขายสมั พนั ธ์ในสมัยกรงุ ศรีอยธุ ยาและแดนดนิ ใกลเ้ คยี งคอื ข้อใด ก. แลกเปลีย่ นสินค้าและวฒั นธรรม ข. เพ่อื สง่ เสรมิ กิจการในด้านตา่ งๆของชมุ ชนและสังคมให้พัฒนาขึ้น ค. นาวทิ ยาการใหม่มาเผยแพร่ เพ่ือปรับเปล่ียนโลกทัศน์ใหม่ ง. ม่งุ สร้างนโยบาย แสวงหาผลประโยชน์ทางการคา้ และเผยแพรศ่ าสนา

3410. ความเช่ือความศรัทธาในลัทธิศาสนาของสังคมไทยมีความหมายดังตอ่ ไปน้ียกเว้นขอ้ ใด ก. ศาสนามีอทิ ธพิ ลต่อความรู้สกึ นกึ คดิ และวิถชี วี ิตของผู้คนในสังคม ข. ศาสนาทาให้วิถชี ีวติ และสังคมเปลย่ี นแปลงจนทาใหไ้ ร้ระเบยี บแบบแผน ค. มีการผสมผสานของพทุ ธศาสนาไปกบั ความศรัทธาในลัทธฮิ ินดู ง. มคี วามเชื่อในสิ่งศักดิ์สทิ ธิ์เหนอื ธรรมชาติทีม่ มี าแตด่ ง้ั เดิมํสา ันก ิวชาการ ึศกษา ่ัทวไปฯ (ฉ ับบ ่ราง)

ํสา ันก ิวชาการ ึศกษา ่ัทวไปฯ (ฉ ับบ ่ราง)35 บรรณานกุ รมหนังสอืจรัล มะลูลีมและคนอื่นๆ. 2539. ไทยกับโลกมุสลิม : ศึกษาฉพาะกรณีไทยมุสลิม.กรุงเทพฯ : โรงพมิ พจ์ ุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลัย.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ. 2555. กษัตรยิ ์ ราชวงศ์ ขุนนาง และบคุ คลสาคัญ. กรุงเทพฯ : มูลนิธิ โตโยต้า.______. 2556. 500 ปี กาลานกุ รมสยามฯ. กรุงเทพฯ : มลู นิธโิ ตโยตา้ .______. 2542.สงั คมจนี ในประเทศไทย:ประวตั ิศาสตร์เชิงวเิ คราะห์.กรงุ เทพฯ: มูลนิธิโตโยตา้ .______.2548. อยุธยา : ประวัตศิ าสตรแ์ ละการเมอื ง. กรุงเทพฯ : มูลนิธโิ ตโยตา้ .ดนยั ไชยโยธา. 2543. พฒั นาการของมนษุ ยก์ บั อารยธรรมในราชอาณาจกั รไทย. กรุงเทพฯ : โอ.เอส.พริน้ ติง้ เฮ้าส.์นนั ทวรรณ (เหมนิ ทร์) ภู่สว่าง.พลกิ ปูมแผน่ ดนิ ไทย. 2540. เชียงใหม่ : มหาวทิ ยาลัยเชยี งใหม่.นิธิ เอยี วศรวี งศ.์ 2523.การเมืองไทยสมยั พระนารายณ.์ กรุงเทพฯ : มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์.รดี ,แอนโทนี พงษศ์ รี เลขะวัฒนะ ผแู้ ปล. 2548. เอเชียตะวนั ออกเฉยี งใต้ในยุคการคา้ ค.ศ. 1450-1680. เชยี งใหม่ : ซลิ คเ์ วอร์ม.วัยอาจ,เดวิด เค ชาญวิทย์ เกษตรศริ ิ ผแู้ ปล. 2556. ประวตั ศิ าสตร์ไทย ฉบับสงั เขป.กรุงเทพฯ : มูลนธิ โิ ครงการตาราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร.์วณี า เอี่ยมประไพและคนอ่นื ๆ . 2549. วิถโี ลก. กรงุ เทพฯ : โรงพิมพม์ หาวิทยาลยั ราชภัฏสวน สนุ นั ทา.ศรศี ักร วลั ลิโภดม. 2544 . พัฒนาการทางสังคม – วัฒนธรรมไทย. กรุงเทพฯ : อมรนิ ทร์สมศกั ด์ิ ศรีสันติสุข . 2552 . สังคมไทย : ลักษณะการเปลีย่ นแปลงและการพัฒนา. ขอนแกน่: มหาวิทยาลัยขอนแก่นสืบแสง พรหมบุญ, 2548.เจ้ิงเหอ ซาปอกงและอษุ าคเนย.์ เอกสารประกอบการสมั มนาวิชาการ เรือ่ ง 30 ปีความสัมพนั ธไ์ ทย-จีน 600 ปี ซาปอกง /เจ้ิงเหอ กบั อยธุ ยาและอุษาคเนย์.วันศุกร์ ท่ี 25 พฤศจิกายน 2548.สุเนตร ชตุ ินธรานนทแ์ ละคณะ . 2552. ชาตินิยมในแบบเรยี นไทย. กรงุ เทพฯ : มติชน.เสาวนยี ์ จิตต์หมวด. 2531. กล่มุ ชาตพิ ันธุ์ : ชาวไทยมสุ ลิม . กรุงเทพฯ : กองทนุ สง่ารจุ ริ ะอัมพร.

36อาณัติ อนนั ตภาค. 2549. หลากชาติ หลายพันธุ์ ใต้ร่มเงาสยาม. กรงุ เทพฯ : สยามบนั ทกึ .เอนก มากอนันต์. 2250. แนวคิดเร่ืองคติจักรพรรดิราชของชนชั้นนาไทย ต้ังแต่พ.ศ. ๒๑๗๒ – ๒๓๙๔. วิทยานิพนธ์ปริญญาอักษรศาสตร์มหาบัณฑิตสาขาวิชาประวัติศาสตร์. จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั .Bell,Danail. 1976.The Coming of post-industrial society. New York : Basic Book.Grazia, Alfred de and Steven, Thomas H. 1873. World politics : a study in international relation. New York : Barnes and Noble.สื่อสารสนเทศ www. lek – prapai.org www.postjung www. Sujitwongthํสา ันก ิวชาการ ึศกษา ่ัทวไปฯ (ฉ ับบ ่ราง)


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook