กายวิภาคศาสตร์ ระบบขับถ่ายปสสาวะ ANATOMY OF URINARY SYSTEM วิรญา อาระหัง
1 คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏนครปฐม เอกสารประกอบการสอน เรอ่ื ง กายวิภาคศาสตรร์ ะบบขบั ถ่ายปสั สาวะ จำนวน 3 ชัว่ โมง อาจารย์ผสู้ อน อาจารย์วิรญา อาระหัง วัตถปุ ระสงค์การเรยี นรู้ เม่อื ส้นิ สุดการเรียนการสอนนักศกึ ษาสามารถ 1. ระบุโครงสรา้ งของระบบขับถ่ายปัสสาวะได้ 2. ระบหุ นา้ ทข่ี องอวัยวะในระบบขับถ่ายปัสสาวะได้ บทนำ ระบบขับถ่ายปัสสาวะ (Urinary System) เป็นระบบที่สำคัญระบบหนึ่งในการรักษาสมดุลของร่างกาย มี หนา้ ท่ที ีส่ ำคญั คือ รกั ษาภาวะสมดลุ ของร่างกาย โดยการควบคุมความเข้มขน้ ความเป็นกรดดา่ งและปริมาตรของ เลือด ขับถ่ายของเสียจากเลือดให้ออกมากับปัสสาวะ และสร้างฮอร์โมนบางชนิดได้แก่ เรนิน (renin) และ อิริโทรโปอีทิน (erythropoietin) โดยไตจะช่วยกรองของเสียที่ได้จากกระบวนการเมตาบอลิซึมของโปรตีน โดยเฉพาะของเสียจำพวกไนโตรเจนซึ่งเป็นพิษ โดยเปลี่ยนให้อยู่ในรูปแอมโมเนียและยูเรียขับออกทางปัสสาวะ นอกจากนี้ยังมีเกลือแร่หรือไอออนบางชนิดที่จำเป็นแต่มีปริมาณน้อย หรือมากเกินไป ได้แก่ โซเดียม คลอไรด์ ซลั เฟตและไฮโดรเจน กจ็ ะถูกดูดกลบั หรอื ขบั ออกจากร่างกาย (กนกพรรณ วงศป์ ระเสริฐและคณะ, 2555) เนอ้ื หา โครงสร้างและหนา้ ท่ีของระบบขับถา่ ยปสั สาวะ ระบบขับถ่ายปัสสาวะ (ภาพที่ 1) ประกอบด้วยไต (kidney) ซง่ึ ทำหน้าท่ีสรา้ งนำ้ ปัสสาวะโดยการกรอง ของเสยี จากกระบวนการเผาผลาญของรา่ งกายออกจากเลือด ทอ่ ไต (ureter) เปน็ อวัยวะท่ีนำน้ำปสั สาวะไปยงั กระเพาะปสั สาวะ (urinary bladder) เพื่อเก็บไว้ชัว่ คราว จนมีปริมาณมากพอและอวัยวะสุดทา้ ยคอื ทอ่ ปัสสาวะ (urethra) ซึง่ เป็นทางทน่ี ้ำปสั สาวะจะถูกขับออกส่ภู ายนอกร่างกาย (วิไล ชินธเนศและคณะ, 2560)
2 ภาพที่ 1 แสดงอวัยวะในระบบขับถ่ายปสั สาวะ ทมี่ า https://training.seer.cancer.gov/anatomy/urinary/components/ 1.ไต (Kidney) ไตมี 2 ข้าง ไตสดมีสีน้ำตาลแดง รูปร่างคลา้ ยเมล็ดถัว่ วางตัวอยูด่ ้านหลังชอ่ งท้องเหนือเอวเล็กน้อย โดย วางตัวอยู่สองข้างของกระดูกสันหลัง (vertebra) ระหว่างกระดูกสันหลังระดับอกชิ้นที่ 12 จนถึงกระดูกสันหลัง ระดับเอวชิ้นที่ 32 (T12-L3 vertebrae) ไตวางตัวอยู่นอกเยื่อบุช่องท้องจึงจัดเป็นอวัยวะหลังเยื่อบุช่องท้อง (retroperitoneal organ) ไตด้านขวาจะอยู่ต่ำกว่าด้านซ้ายเล็กน้อยเพราะด้านขวามีตับอยู่ด้านบนและถูกตับ เบียดลงมา นอกจากนี้ยังมีต่อมหมวกไต (adrenal หรือ suprarenal glands) วางตัวอยู่เหนือไตทั้ง 2 ข้าง (ภาพ ที่ 2) ภาพที่ 2 แสดงตำแหนง่ ของไต อยูต่ ิดกับผนงั ช่องท้องดา้ นหลัง ทม่ี า https://sites.google.com/site/cystitisbcnu23/anatomy-physiology/anatomy-1-phaph-rwm
3 ภาพท่ี 3 โครงสรา้ งภายนอกและภายในของไต ทีม่ า https://training.seer.cancer.gov/anatomy/urinary/components/ โครงสรา้ งภายนอกของไต ไตในผู้ใหญ่ทั่วไปมีขนาดประมาณ 11x7x3 cm. (กว้าง x ยาว x หนา) น้ำหนักประมาณ 130 กรัม ไตแต่ ละขา้ งประกอบด้วยพื้นผิวด้านหน้าและด้านหลัง ขอบดา้ นนอกและขอบด้านใน ขอบด้านนอกจะโคง้ นูน ส่วนขอบ ด้านใน (medial border ) จะมีรอยเว้าเรียกว่าขั้วไต (renal hilum) เป็นทางผ่านเข้าออกของ 3 โครงสร้าง คือ เปน็ ทางผา่ นเข้าของหลอดเลอื ดแดงไต (renal artery) เป็นทางผ่านออกของหลอดเลือดดำไต renal vein และท่อ ไต (ureter) โดย renal vein มีผนังบางวางตัวอยู่หน้าสุด ตรงกลางเป็น renal artery ซึ่งมีผนังหนากว่า renal vein ท่อไต (ureter) จะวางตัวอยู่ด้านหลังสุด และจะทอดลงด้านล่างเข้าอุ้งเชิงกรานไปเปิดเข้าสู่กระเพาะ ปสั สาวะ (urinary bladder) เยอื่ ห้มุ ไต (ภาพท่ี 4) มี 3 ชั้นไดแ้ ก่ 1. Renal fascia พังผืดไตอยู่ชั้นนอกสุด เป็นชั้นเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน ห่อหุ้มไตให้อยู่กับที่โดยยึดติดกับผนัง ช่องท้องด้านหลัง 2. Perirenal fat เป็นชั้นไขมัน อยู่ถัดจาก Renal fascia เข้าไปด้านในเป็นเสมือนเบาะรองรับแรง กระแทกท่ีมีต่อไต 3. Renal capsule อยู่ชั้นในสุดเป็นแผ่นเยื่อเส้นใย (fibrous membrane) ที่เหนียว เรียบและใสทำให้ เหน็ ไตมลี ักษณะมันวาว ทำหน้าทป่ี อ้ งกนั เชือ้ โรคท่จี ะเขา้ ไปที่ไต และป้องกันการฉกี ขาดของไต
4 ภาพท่ี 4 ตำแหนง่ ของไตในแนวตัดแบง่ หนา้ หลัง ที่มา กนกพรรณ วงศ์ประเสริฐ, ไกร มมี ล และชนิ วุฒิ สุรยิ นเปลง่ แสง, 2555. โครงสรา้ งภายในของไต ( Intrastructure of kidney) เมื่อผ่าไตเป็น 2 ซีกตามแนวยาว (coronal section) จะพบว่าภายในประกอบไปด้วย 2 ส่วน คือเนื้อไต และทางเดินปัสสาวะภายในไต (ภาพท่ี 5) เนือ้ ไต ประกอบดว้ ย 2 สว่ น 1. renal cortex (เปลอื กไต) อย่ชู ้ันนอกตดิ กับเย่ือหุ้มไต (renal capsules) มีสจี าง ไตสดมจี ุดเล็กๆสีแดง ของ glomerulus กระจายอยู่ทั่วไปและส่วนของ renal cortex ที่ยื่นเข้าไปแทรกอยู่ระหว่าง renal medulla เรียก renal column 2. renal medulla อยู่ชัน้ ในถดั จาก renal cortex มีสีเขม้ กว่าประกอบดว้ ยโครงสร้างที่มรี ูปรา่ งคล้ายพัด วางตัวอย่หู า่ งกันมีประมาณ 8-12 อนั เรียกแต่ละอันว่า renal pyramid โดยมีฐานอยดู่ า้ นบนติดกับ renal cortex ส่วนยอดท่ีลงด้านลา่ งเรยี ก renal papilla ซึ่งจะเปดิ สู่ทอ่ ไตทีม่ ลี กั ษณะคลา้ ยถว้ ยเรียก minor calyx ทางเดินปัสสาวะภายในไต ท่อขนาดเล็กที่ครอบ renal papilla แต่ละอันเรียกว่า minor calyx และ minor calyx จำนวน 2-3 อันจะรวมกนั เปน็ ทอ่ ที่มขี นาดใหญ่ข้ึนเรียก major calyx และ major calyx จะรวมตัว กันเปิดเข้าสู่แอ่งขนาดใหญเ่ รียก renal pelvis หรือกรวยไตเมื่อ renal pelvis ผ่านออกจากไตจะเป็นท่อมีขนาด เล็กลงเรยี กท่อไต (ureter) เปน็ ทางผ่านของนำ้ ปัสสาวะไปสกู่ ระเพาะปสั สาวะ (urinary bladder)
5 ภาพที่ 5 โครงสร้างภายในและบรเิ วณขว้ั ไต ในแนวตดั แบง่ หน้าหลัง ท่มี า http://edu.-tech.ac.th/mdec/learnng/vico4/pic-uno2/diagram-of-kidney.gif Uriniferous tubule (ท่อนำปัสสาวะ) ประกอบด้วยหน่วยไตและท่อไต Nephrons (หนว่ ยไต) แบง่ เป็น 2 ชนิด 1.1 cortical nephrons มี glomerulus อย่ใู น renal cortex และ Henle’s loop ส้ัน อยู่ในrenal medulla ใกล้กบั renal cortex 1.2 juxtamedullary nephrons มีglomerulus อยู่ใน renal cortex ใกล้กับ renal cortex และ Henle’s loop ยาวอยลู่ กึ ลงใน renal medulla (ท่อนำปัสสาวะ คือ การเรยี กหนว่ ยไตและท่อไตรวมเขา้ ดว้ ยกัน) องค์ประกอบของ Nephrons (หนว่ ยไต) 1. Renal Corpuscle เปน็ ทรงกลมประกอบด้วย Glomerulus และ Bowman’s Capsule 1.1 Glomerulus เป็นกลมุ่ ของขดเสน้ เลอื ดฝอย ทำหนา้ ทก่ี รองสารขนาดเลก็ (โปรตีนผ่านไม่ได้) แล้วเทเข้าสู่ urinary space (Bowman’s space ) ซึ่งเป็นช่องว่างระหว่างชั้น Bowman’s Capsule 1.2 Bowman’s Capsule ประกอบด้วย parietal layer (ช้ันนอก) และ visceral
6 layer (ชั้นใน) ซึ่งชั้นในมีเซลล์ podocytes ซึ่งทำหน้าที่กรองเลือดแล้วส่งเข้าสู่ช่องว่างตรงกลางระหว่างสองช้ัน คือ Bowman’s space 1.3 Mesangial cell พบทงั้ นอกและในโกลเมอรูลัส ทำหน้าที่ macrophage 2. renal tubule มลี กั ษณะเปน็ ทอ่ ประกอบดว้ ย 3 ส่วน 2.1 Proximal tubule ต่อจาก Bowman’s capsule พบบรเิ วณ cortex มกี ารขด ตัวเรียกว่า Proximal convoluted tubule ภายในท่อบุด้วยเนื้อเยื่อชนิด simple cuboidal epithelium และ มี microvilli ยื่นเข้าไปในทอ่ ทำหนา้ ที่ดดู กลับ Na, H2 O, Amino 2.2 Loop of Henle โคง้ รูปตัว U มี 2 ชนิดคอื หว่ งสัน้ และห่วงยาว พบบรเิ วณ cortex และ medulla ประกอบด้วยท่อตรงของหลอดไตฝอยส่วนต้น (Proximal straight tubule ) ท่อบางขาลง (descending thin limb) จากนัน้ ท่อบางจะโค้งเป็นรปู ตวั ยูและกลายเป็นท่อหนาขาขนึ้ (thick ascending limb) ซง่ึ ต่อกบั ทอ่ หลอดไตฝอยสว่ นปลาย โดยห่วงสน้ั จะไม่มีทอ่ บางขาขนึ้ มหี นา้ ทที่ ำให้ปสั สาวะเขม้ ขน้ ขึน้ 2.3 Distal tubule มกี ารขดตวั เรยี กว่า Distal convoluted tubule พบบริเวณ cortex มี microvilli น้อยและส้นั กวา่ Proximal tubule ทำหน้าทด่ี ดู Na และน้ำกลับ 2. ท่อไตรวม (Collecting duct) ท่อไตรวมต่อมาจากท่อไตส่วนปลาย โดยจุดเริ่มต้นจะโค้งจากน้ันจะตรงยาวเข้าสู่ medulla โดยปลาย ท่อจะใหญ่ เรยี ก papillary duct เปดิ เข้าสู่ minor calyx ตรง renal papilla ใช้ดูดน้ำกลบั ภาพที่ 6 Uriniferous tubule ทมี่ า https://media1.britannicarteriescom/eb-media/23/99423-004-BB1F574D.jpg
7 Juxtaglomerular apparatus (ภาพที่ 7) Juxtaglomerular apparatus เป็นกลไกควบคุมอัตราการกรองโดยมีกลุ่มเซลล์พิเศษที่ตอบสนองต่อ การเปลี่ยนแปลงความเข้มข้นของน้ำกรองโดยการหลั่งสารเคมีออกมาเปลี่ยนแปลงขนาดของเส้นเลือดแดงย่อย arteriole โครงสรา้ งนี้พบบรเิ วณ cortex ประกอบดว้ ย 1. Juxtaglomerular cell (JG cell) เป็นเซลล์กล้ามเนอ้ื เรยี บใน tunica media ของ afferent ateriole เปลยี่ นรูปร่างเปน็ กลม ทำหน้าที่สร้าง renin ซง่ึ ทำให้เพิ่มความดันเลือด 2. Macula densa เกิดจาก distal tubule ทีต่ ดิ กบั afferent ateriole เปลยี่ นเปน็ columnar cell ถา้ Na ในเลอื ดตำ่ Macula densa จะไปกระตนุ้ JG cell ใหห้ ลงั่ rennin 3. Lacis xell (extraglomerular mesangial cell) อยูใ่ กลก้ ับ Macula densa และ afferent ateriole ทำหนา้ ท่ีสร้าง erythropoietin ภาพที่ 7 Bowman’s Capsule &Juxtaglomerular apparatus ท่ีมา: http://droualb.faculty.mjc.edu/Lecture%20Notes/Unit%206/renal_corpuscle.jpg กลไก renin-angiotensin-pathway Juxtaglomerular apparatus ทำหน้าที่ในการควบคุมการเปลีย่ นแปลงของปริมาตรและความดันเลือด ถ้าปริมาตรของเลือดและสารน้ำนอกเซลล์ลดลง JG cell ทำหน้าที่รับแรงดันเลือดที่เปลี่ยน (baroreceptor)หรือ ถ้าความเข้มข้นของโซเดียมในเลือดลดลง Macula densa ทำหน้าที่เป็นตัวรับความเขม้ ขน้ เกลอื แร่ที่เปล่ียนแปลง (osmoreceptor) โดยไปกระตุ้น JG cell สร้างและหลั่ง renin ซึ่ง renin จะไปกระตุ้น angiotensinogen จาก ตับใหเ้ ปลีย่ นไปเปน็ angiotensin I ซ่ึงจะถูกเปลยี่ นเป็น angiotensin II โดย angiotensin converting enzyme
8 (ACE) จากปอด ซึ่ง angiotensin II ทำให้หลอดเลือดหดตัวเพิ่มความดันเลือด นอกจากนั้นยังไปกระตุ้นเซลล์ที่ adrenal cortex ในชั้น zona glomerulosa ให้หลั่ง aldosterone ซึ่งจะทำให้หลอดไตฝอยส่วนปลายมีการดูด โซเดยี มกลบั และนำ้ กลับจาก filtrate ทำให้ปรมิ าตรของเลือดและนำ้ นอกเซลล์กลบั สู่ปกติ หลอดเลอื ดท่ีเล้ียงไต (Arteriole supply of the kidney) หน่วยไตทำหน้าท่ีกรองของเสียออกจากเลือด และควบคุมปรมิ าตรของอิเล็กโทรไลท์ (electrolyte) ดงั นน้ั จึงมีเลอื ดมาท่ีไตเป็นจำนวนมากประมาณ 1.2 ลิตรต่อ นาที หลอดเลือดแดงที่เข้าสู่ไตคือ renal artery เป็นแขนงที่ออกทางด้านข้างของ abdominal aorta ตรง ตำแหน่งกระดกู สันหลงั ระดบั L1 – L2 มี 2 ข้างเพื่อไปเลี้ยงไตแต่ละขา้ ง renal artery แตกแขนงเป็น segmental artery ตรงตำแหน่งขั้วไต และ segmental artery ให้แขนง interlobar artery วิ่งอยู่ระหว่าง renal pyramid จากนั้นเมื่อโอบไปที่ฐานของพีระมิดจะมีชื่อเรียกว่า arcuate artery แขนงที่แตกออกจาก arcuate artery เรียก interlobular artery อยู่ในชั้น renal cortex ซึ่งจะให้แขนงต่อไปเป็น afferent arteriole และต่อไปเป็นหลอด เลือดฝอยที่ขดตัวเรียก glomerulus จากนั้นเลือดที่ผ่านการกรองท่ี glomerulus แล้วจะออกจาก glomerulus ไปเปน็ efferent arteriole และให้แขนงต่อเป็นรา่ งแหของหลอดเลือดฝอย peritubular capillaries อยู่รอบท่อ ไตขด (convoluted tubule) และวิ่งตรงขนานกับห่วงเฮนเล เรียก vasa recta แล้วต่อไปเป็นหลอดเลือดดำที่มี ขนาดใหญ่ขึ้นคือ interlobular vein นำเลือดออกสู่หลอดเลือด arcuate vein ต่อไปยัง interlobar vein ท้ายที่สุดจะเทเข้า renal vein ซึ่งเทเข้า inferior vena cava ตามลำดับ (ข้อสังเกต หลอดเลือดดำว่ิงสวนทางกบั หลอดเลือดแดงนนั่ เอง) เสน้ ประสาทท่ีเล้ียงไต (Nerve innervation of the Disney) เส้นประสาทที่มาเลี้ยงไตเป็นแขนงมาจาก renal plexus ซึ่งประกอบไปด้วยระบบประสาทอัตโนมัติ sympathetics และ parasympathetics เอาสู่ไตโดยพันไปกับ renal artery แล้วแตกแขนงไปตามหลอดเลือด ภายในไต โดยที่ระบบประสาท parasympathetics ไม่มีผลต่อไต แต่ระบบประสาท sympathetics มีผลทำให้ ปสั สาวะลดลง ต่อมหมวกไต (Suprarenal gland หรอื Adrenal gland) ไมเ่ กี่ยวข้องกบั ระบบขบั ถา่ ยปัสสาวะ มี 2 ข้าง วางตัวอยู่ด้านบนสุดของไต มีความหนาประมาณ 4 cm. โดยมี renal fascia หุ้นรอบ ประกอบด้วย cortex ทำ หนา้ ทสี่ รา้ งสเตอรอยดฮ์ อรโ์ มน (steroid hormone) และ medulla ซึ่งทำหน้าท่ีหล่งั สารส่อื ประสาท adrenaline และ noradrenaline ในระบบประสาทอตั โนมัติ sympathetics หน้าท่ีของไต ไตทำหนา้ ท่สี ำคัญคือ 1. ขบั ของเสยี ที่เกดิ จากการเผาผลาญของร่างกาย เช่น โปรตีน กลา้ มเนือ้ และ พิวรนี (purine) ออกทาง ปสั สาวะได้แก่ ยูเรีย กรดยูรกิ และ creatinine เปน็ ต้น 2. ปรบั ความสมดลุ ของน้ำ ออสโมลารติ ี อิเลก็ โทรไลต์ และกรด ด่าง 3. การสังเคราะหไ์ ดแ้ ก่
9 - การเปลี่ยนวิตามินดีที่ไม่ active เป็น active form เพื่อใช้ในการดูดซึมแคลเซียมจากลำไส้เพิ่มขึ้น และกระดกู เปน็ ตัวเกบ็ แคลเซียมไว้ - สร้าง erythropoietin กระตนุ้ การสร้างเมด็ เลือดแดง - สรา้ ง prostaglanddin ท่มี ผี ลต่อการหดและขยายตวั ของหลอดเลอื ด - สรา้ ง renin เพ่อื ควบคุมความดันโลหติ ผา่ นระบบ renin-angiotensin-aldosterone 4. อื่นๆ ไดแ้ ก่ - หนา้ ทก่ี ารขบั สารตา่ งๆออกจากรา่ งกายเชน่ ยาท่ีกินเพื่อใช้รักษาโรค สารเคมี - การควบคุมความดนั โลหิตโดยการปรับโซเดยี มและน้ำ 2. ท่อไต (Ureter) เปน็ ท่อทีม่ ผี นังหนาประกอบดว้ ยกลา้ มเนอ้ื เรียบ เชอ่ื มตอ่ มาจากกรวยไต (renal pelvis) รูของท่อมขี นาด เล็ก นำปัสสาวะที่กรองได้จากไตไปเก็บที่กระเพาะปัสสาวะ (urinary bladder) มีความยาวประมาณ 25 เซนตเิ มตร วางตวั อยู่บนกล้ามเนื้อดา้ นหลังช่องท้องชื่อ psoas major กอ่ นเขา้ อุ้งเชิงกรานจะทอดข้ามขอบของอุ้ง เชงิ กราน (pelvic brim) และ iliac artery จากนัน้ จะเปดิ เข้าส่กู ระเพาะปสั สาวะ(urinary bladder) ทางดา้ นหลงั จุดที่ท่อไตเปิดเข้ากระเพาะปัสสาวะเฉียงจึงทำให้ปัสสาวะไหลเข้ากระเพาะปัสสาวะได้อย่างเดียว ไม่สามารถไหล ย้อนกลับเข้าทอ่ ไต จงึ ไมม่ ีลนิ้ กน้ั หรอื หรู ูดที่บรเิ วณรเู ปิดของทอ่ ไตเขา้ กระเพาะปัสสาวะ ชั้นตา่ งๆของกรวยไตและทอ่ ไตมีลกั ษณะเหมอื นกนั มี 3 ชัน้ คือ 1. ชั้นเยื่อเมือก (Mucous membrane หรือ mucosa) บุด้วยเยื่อบุผิวชนิดแปรเปลี่ยนได้ (transitional epithelium) ซึ่งมีความหนาต่างกัน เซลล์ในชั้นนี้สร้างสารเมือกออกมาเคลือบบนเยื่อบุผิวเพื่อป้องกันเซลล์ถูก ทำลายจากสารที่ไดจ้ ากการกรอง และความเป็นกรดด่าง (PH) ของปัสสาวะซง่ึ อาจเปน็ อนั ตรายตอ่ เซลลเ์ ยื่อบุผิว 2. ชั้นกลา้ มเนอ้ื (Muscular coat) ประกอบด้วยชน้ั กลา้ มเน้ือเรยี บ มีการเรียงตวั เปน็ 2 ชนั้ โดยชน้ั ในเรยี ง ตวั ตามความยาวและชนั้ นอกเรยี งตวั เปน็ วง แต่ในสว่ นล่างของท่อไตจะมีกลา้ มเนือ้ เรียบเพมิ่ อกี 1 ชัน้ อยชู่ ั้นนอกสุด โดยเรียงตัวตามความยาวของทอ่ ไต 3 เส้นใย (Fibrous coat) ประกอบด้วยเนื้อเยื่อเก่ียวพนั หลวมๆ สว่ นใหญ่พบ หลอดเลือด หลอดน้ำเหลือง และเสน้ ประสาทอยใู่ นช้ันน้ี หน้าที่ของท่อไตคือนำปสั สาวะจากกรวยไตมาเกบ็ ในกระเพาะปัสสาวะ การทน่ี ำ้ ปสั สาวะไหลผ่านท่อไตได้ น้ัน เกดิ จากการหดตวั ของกล้ามเนอ้ื เรยี บทีผ่ นังของทอ่ ไต รว่ มกบั แรงดันของนำ้ ปัสสาวะและแรงดึงดดู ของโลก ข้อสังเกตมี 3 บรเิ วณท่ตี ีบแคบลงของทอ่ ไต ท่ีมีโอกาสเกิดนว่ิ อุดตนั ในท่อไตได้ 1. บรเิ วณที่ renal pelvis ต่อกบั Ureter 2. บรเิ วณที่ Ureter ทอดขา้ ม pelvic brim และ iliac artery 3. บริเวณท่ี Ureter เปิดเข้าสู่ urinary bladder
10 หลอดเลือดที่เลี้ยงท่อไต (blood supply of the ureter) เนื่องจากท่อไตมีความยาว จึงได้รับเลือดมา เลีย้ งจากหลอดเลือดที่อยู่ใกล้ทอ่ ไตข้นึ อยู่กับตำแหนง่ ของท่อไต โดยท่อไตสว่ นตน้ ได้รับเลือดมาเลี้ยงจากแขนงของ renal artery ส่วนกลางไดร้ ับเลือดมาเลย้ี งจาก ovarian artery ในผ้หู ญิงและหลอดเลือดแดง testicular artery ในผู้ชาย ท่อไตส่วนปลายรับเลือดจากหลอดเลือดแดง internal iliac ผู้หญิงได้รับเลือดจากแขนงของ uterine artery สว่ นในผู้ชายได้รับเลอื ดจากแขนงของ inferior vesical artery ภาพที่ 8 ไต ท่อไต และตำแหนง่ ท่มี กั เกิดนิว่ ที่มา กนกพรรณ วงศ์ประเสริฐ, ไกร มมี ล และชนิ วฒุ ิ สุริยนเปล่งแสง, 2556. 3. กระเพาะปัสสาวะ (Urinary bladder) เป็นอวัยวะที่ใช้เก็บน้ำปัสสาวะ มีความจุประมาณ 500 มิลลิลิตร เมื่อกระเพาะปัสสาวะว่างหรือไม่มีน้ำ ปัสสาวะจะวางตัวอยู่ในอุ้งเชิงกรานหลังกระดูกหัวเหน่า (pubic symphysis) ในผู้ชายวางตัวอยู่หน้าต่อไส้ตรง (rectum) ส่วนในผู้หญิงอยู่หน้าต่อช่องคลอด (vagina) และมดลูก (uterus) แต่เมื่อมีน้ำปัสสาวะบรรจุอยู่เต็มจะ ขยายตัวสูงขึ้นไปในช่องท้องจนถงึ ระดับสะดือได้ กระเพาะปัสสาวะถูกยึดให้อยูก่ ับที่ด้วยเส้นเอ็น puboprostatic ligament ในผู้ชายและ pubovesical ligament ในผู้หญงิ ขณะที่กระเพาะปัสสาวะวา่ งจะมีรปู ร่างกลมมี 4 ดา้ น Apex: ดา้ นบนและด้านขา้ งมาบรรจบกันด้านหนา้ มี median umbilical ligament ยดึ ไปติดกับสะดือ Fundus: ด้านลา่ งตรงขา้ ม apex Body : อยรู่ ะหว่าง apex-fundus
11 Neck: fundus และดา้ นขา้ งมาบรรจบกนั ดา้ นลา่ ง ช้ันของกระเพาะปสั สาวะ 1. ชัน้ เยอ่ื เมอื ก ประกอบดว้ ย Transitional epithelial mucosa เมอ่ื กระเพาะปัสสาวะว่างจะมี การยกตวั สูงขึ้นเรียก rugae ยกเวน้ บรเิ วณ urinary trigone 2. ชั้นกล้ามเนื้อ muscular layer ประกอบด้วยกล้ามเนื้อเรียบ 3 ชั้น มีการเรียงตัวจากชั้นใน เรียง ตัวตามยาว ช้ันกลางเรียงต้ังเป็นวง ชั้นนอกเรยี งตัวตามยาว ชั้นกลา้ มเนื้อเรียบน้ีเรียกว่า detrusor muscle ทำ ให้มกี ารยดื ขยายของกระเพาะปสั สาวะได้ และบริเวณคอของกระเพาะปสั สาวะชน้ั นี้จะมีการหนาตวั ขน้ึ ทำหน้าที่หู รดู ภายใน เรยี ก Internal urethral sphincter ทำงานภายใต้ระบบประสาทอัตโนมัติ 3. ชัน้ เสน้ ใย fibrous adventitia เปน็ เนอ้ื เยอื่ เก่ียวพันหลวม ๆ สว่ นใหญพ่ บหลอดเลือด หลอด น้ำเหลอื ง เส้นประสาทในชน้ั นี้ Urinary trigone อยบู่ ริเวณฐานกระเพาะปสั สาวะเป็นสามเหล่ยี มคว่ำ เกดิ จากการลากต่อจุดโครงสร้าง ที่เปดิ เขา้ คือ ureter 2 จดุ ด้านบนกบั ท่อปัสสาวะ เปิดออกดา้ นล่าง กล้ามเนอื้ หรู ูดกระเพาะปสั สาวะ 1. internal urethral sphincter บริเวณคอ (neck) กล้ามเนอื้ เรยี บจะหนาตัวขน้ึ ควบคุม โดยระบบประสาท parasympathetics จะทำให้กล้ามเนื้อ detrusor หดตัวแต่ internal urethral sphincter คลายตัว 2. external urethral sphincter อยทู่ ่ี UG diaphragm เป็นกลา้ มเนอ้ื ลายเรยี งตวั เปน็ วงกลม ควบคมุ โดย pudundal nerve หลอดเลือดที่เลี้ยงกระเพาะปัสสาวะ (blood supply of Urinary bladder) หลอดเลือดแดงที่เลี้ยง อวัยวะในองุ้ เชงิ กรานคือ internal iliac artery ซงึ่ ให้แขนงหลอดเลอื ดแดง superior vesical artery เลยี้ งดา้ นบน ของกระเพาะปัสสาวะ ส่วนบริเวณด้านล่างถูกเลี้ยงด้วย inferior vesical artery ในผู้ชาย ส่วนผู้หญิงจะถูกเลี้ยง ด้วยหลอดเลือด uterine artery และ vaginal artery เส้นประสาทท่ีเล้ียงกระเพาะปัสสาวะ เปน็ ระบบประสาทอัตโนมัติซิมพาเทติกและพาราซิมพาเทติก โดย เส้นประสาทซิมพาเทติกมาจากเส้นประสาทไขสันหลังระดับเอวที่ 1-3 (L1-3) ส่วนเส้นประสาทพาราซิมพาเทติก มาจากเส้นประสาทไขสนั หลังระดับกระเบนเหน็บที่ 2-4 (S2-4) เม่อื กระเพาะปัสสาวะมีนำ้ ปสั สาวะประมาณ 200- 400 มิลลิลิตร ผนังของกระเพาะปัสสาวะจะยืดออกกระตุ้นการส่งกระแสประสาทเพื่อที่จะขับถ่ายปัสสาวะ การ กระตุ้นประสาทพาราซิมพาเทติกทำให้ detrusor muscle หดตัวและเกิดการคลายตัวของหูรูดภายใน ในภาวะท่ี เรารู้สึกตัวสมองจะส่งกระแสประสาทประสาทไปยังหูรูดภายนอกให้มีการคลายตัวเมื่อเราพร้อมที่จะขับถ่าย ปสั สาวะ หรือให้หูรดู ภายนอกหดตวั กรณีท่ีเรายังไม่พร้อมจะปสั สาวะหรอื ต้องการกลั้นปัสสาวะ ในเด็กทอ่ี ายุตำ่ กว่า 2 ขวบไม่สามารถควบคุมการขับถ่ายปัสสาวะได้ เนื่องจากเซลล์ประสาทที่ควบคุมหูรูดภายนอกยังพัฒนาไม่เสร็จ
12 ส่วนในผู้ใหญ่การขับถ่ายปัสสาวะที่ควบคุมไม่ได้ก็อาจขึ้นเกิดขึ้นได้ในกรณี 1) ไม่รู้สึกตัว 2) ประสาทไขสันหลังท่ี ควบคุมการทำงานของกระเพาะปสั สาวะถูกทำลาย 3) กระเพาะปัสสาวะมพี ยาธิสภาพ 4 )กล้ามเน้ือหูรูดภายนอก อ่อนแอและ 5) อารมณเ์ ครียด ภาพท่ี 9 แสดงกระเพาะปัสสาวะ หูรูดทอ่ ปัสสาวะ ทมี่ า https://www.tuanet.org/urinary_radford/ 4. ทอ่ ปสั สาวะ (urethra) ท่อปัสสาวะของเพศชายและเพศหญิงแตกต่างกัน โดยในเพศชายมีความยาวมากกว่าเพศหญิง จึงมีชื่อ เรยี กท่อปสั สาวะทต่ี า่ งออกไปตามตำแหน่งที่อยู่ ท่อปัสสาวะในเพศชาย (Male urethra) ท่อปัสสาวะในเพศชายมีความยาวประมาณ 15-20 เซนติเมตร ทำ หน้าที่นำน้ำปัสสาวะออกจากกระเพาะปัสสาวะสู่ภายนอกร่างกาย นอกจากนี้ท่อปัสสาวะยังเป็นทางผ่านของน้ำ อสจุ ิ (semen) อกี ด้วย ท่อปสั สาวะของเพศชายสามารถแบง่ ไดเ้ ปน็ 3 สว่ นคอื 1. Prostatic urethra เป็นท่อปัสสาวะส่วนแรกที่ผ่านบริเวณต่อมลูกหมาก (prostate gland) มีความ ยาวประมาณ 3 เซนติเมตร ซ่งึ ทอ่ ปสั สาวะท่บี ริเวณนจี้ ะกว้างและมที อ่ ฉีดน้ำอสุจิ (ejaculatory duct) มาเปดิ 2. Membranous urethra เป็นท่อปัสสาวะที่สั้นและแคบที่สุดยาวประมาณ 1-2 เซนติเมตร โดยต่อมา จาก Prostatic urethra ผ่านกล้ามเนื้อลายที่ยึดระหว่างกระดูกหัวหน่าวที่เรียก urogenital diaphragm ซึ่ง
13 บริเวณนี้กล้ามเนื้อลายที่ล้อมรอบท่อปัสสาวะจะทำหน้าที่เป็นหูรูดภายนอก (external urethral sphincter) ซ่ึง เราสามารถควบคมุ ได้ ใชใ้ นการกลน้ั ปสั สาวะ 3. Spongy หรือ penile urethra เป็นท่อปัสสาวะที่ต่อมาจาก membranous urethra ผ่านเข้าใน องคชาต (penis) ในส่วนโคนที่เรียก bulb of penis จากนั้นจะวิ่งตามความยาวขององคชาต ในส่วนที่เรียกว่า corpus spongiosum และ glans penis ตามลำดับบริเวณ glans penis (เป็น external urethral orifice) เปิด ออกสู่ภายนอกร่างกาย ภาพท่ี 10 ท่อปัสสาวะในเพศชาย ด้านข้าง ทีม่ า https://basicmedicalkey.com/urology-5/ ทอ่ ปสั สาวะในเพศหญงิ (Female urethra) มีความยาวประมาณ 4 เซนติเมตร โดยเริ่มจากกระเพาะปัสสาวะผ่านกล้ามเนื้อลาย urogenital diaphragm โดยบริเวณนี้กล้ามเนื้อจะพันรอบท่อปัสสาวะเป็นหูรูดภายนอกเรียก external urethral sphincter ที่ทำหน้าที่กลั้นปัสสาวะได้ จากนั้นท่อปัสสาวะจะเปิดออกสู่ภายนอกบริเวณช่องว่างระหว่างแคมเล็ก (labia minora somruk) โดยรเู ปดิ ออกจะมขี นาดเลก็ แคบอยดู่ ้านบนต่อชอ่ งคลอด (vagina) ขอ้ สงั เกต Female urethra ไม่ได้เปดิ ผ่าน clitoris ซึง่ เป็นอวัยวะทเี่ ทยี บได้กับ penis ของผชู้ าย
14 ภาพท่ี 11 ท่อปัสสาวะในเพศหญงิ ด้านขา้ ง ท่มี า https://www.mountnittany.org/articles/healthsheets/36872 สรุป ความรู้เรื่องโครงสร้างและหน้าท่ีของอวัยวะในระบบขบั ถ่ายปสั สาวะ เป็นส่งิ ท่ีจำเปน็ สำหรบั นกั ศกึ ษา พยาบาล ทำใหส้ ามารถนำไปใช้ในการคิดวเิ คราะหต์ ่อไปถงึ สรรี วทิ ยา ความผิดปกติของระบบขับถ่ายปัสสาวะ และโรคที่พบบอ่ ย เพ่ือนำไปวางแผนการพยาบาลในอนาคตต่อไป บรรณานกุ รม กนกพรรณ วงศ์ประเสริฐ, ไกร มีมล และชนิ วุฒิ สรุ ยิ นเปลง่ แสง. (2555). สาระสำคัญกายวภิ าคศาสตร์พื้นฐานของ มนุษย์ เลม่ 2. บริษทั พิมพส์ วยจำกัด: กรงุ เทพมหานคร. กนกพรรณ วงศ์ประเสริฐ, ไกร มมี ล และชนิ วุฒิ สรุ ิยนเปลง่ แสง. (2556). คมู่ ือปฏิบัติการกายวิภาคศาสตร์พ้ืนฐาน. พิมพ์ครั้งท่ี 3, บรษิ ัทพิมพ์สวยจำกดั : กรงุ เทพมหานคร. ยงยุทธ ฮิ้นเจริญ. (2561). เอกสารประกอบการสอนรายวิชากายวิภาคศาสตร์และสรีรวิทยา. คณะครุศาสตร์ ศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎนครปฐม. วิไล ชนิ ธเนศ, ธนั วา ตันสถิตย์ และมนตกานต์ ตนั สถติ ย์. (2560). กายวภิ าคศาสตรข์ องมนุษย์. พิมพค์ ร้ังท่ี 17, ห้างหุ้นส่วนจำกดั สามลดา: กรุงเทพมหานคร.
WIRAYA ARAHUNG
Search
Read the Text Version
- 1 - 16
Pages: