Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore คลื่น Wave

คลื่น Wave

Published by Kanokthip Nuch Thap-oi, 2021-04-01 10:54:01

Description: คลื่น Wave

Search

Read the Text Version

คล่ืน Wave คล่ืน เป็ นการส่งผา่ นพลงั งานรูปแบบหน่ึงเมื่อแหล่งกาเนิดพลงั งานสนั่ เราอาจเรียกการส่งผา่ น พลงั งานแบบน้ีวา่ การเคล่ือนท่แี บบคล่ืน คล่ืนทอี่ าศยั ตวั กลางในการเคลื่อนที่ เรียกวา่ คลื่นกล และคลื่นท่ี ไม่อาศยั ตวั กลางในการเคล่ือนท่ี เรียกวา่ คล่ืนแม่เหลก็ ไฟฟ้า คลื่นกล (Mechanical Wave) คลื่นกลเป็ นคลืน่ ที่อาศยั ตวั กลางในการเคลื่อนทแ่ี ต่ตวั กลางไมไ่ ด้ เคลื่อนท่ีไปตามคล่ืนตวั กลางจะมีการเคลื่อนทกี่ ลบั ไปกลบั มา เป็นการเคลื่อนทแ่ี บบซิมเปิ ลฮาร์มอนิก ซ่ึง มีความเร็วไม่คงตวั แตพ่ ลงั งานจะถ่ายโอนไปในลกั ษณะคลื่นดว้ ยความเร็วคงตวั แบง่ คล่ืนกลโดยอาศยั ลกั ษณะการเคล่ือนทข่ี องอนุภาคตวั กลางกบั การเคล่ือนที่ของคลื่นไดเ้ ป็น 2 ประเภท 1. คลื่นตามขวาง (Transverse Wave) เป็ นคลื่นทมี่ ีทิศทางการสนั่ ของตวั กลางต้งั ฉากกบั ทศิ ทางการแผข่ องคล่ืน เช่น คล่ืนผวิ น้า คลื่นในเสน้ เชือก เป็นตน้ แสดงทศิ การเคลื่อนท่ีของอนุภาคและการเคลื่อนทข่ี องคลื่น 2.คลื่นตามยาว (Longitudinal Wave) เป็ นคลื่นทม่ี ีทิศทางการสน่ั ของตวั กลางขนานกบั ทิศ ทางการแผข่ องคลื่น เช่น คล่ืนเสียง เป็นตน้ แสดงทศิ การเคล่ือนที่ของอนุภาคและการเคลื่อนทข่ี องคลื่น

องคป์ ระกอบของคล่ืน เม่ือพจิ ารณาลกั ษณะของคลน่ื ผวิ น้าหรือคลื่นบนเสน้ เชือกอยา่ งตอ่ เน่ืองทีเ่ กิดจากแหล่งกาเนิด สนั่ อยา่ งสม่าเสมอ ณ เวลาใดเวลาหน่ึงตาแหน่งต่างๆ ของตวั กลาง (ผวิ น้าหรือเสน้ เชือก) จะขยบั ข้นึ ลง จากปกติ หรือเรียกวา่ แนวสมดุลเดิมถึงตาแหน่งน้นั เรียกวา่ การกระจดั (Displacement) (การกระจดั ณ ตาแหน่งใดๆ บนคล่ืนหาไดจ้ ากความยาวของเสน้ ต้งั ฉากจากระดบั ปกติถึงตาแหน่งน้นั ๆ) – การกระจดั มีคา่ เป็น (+) สาหรบั ตาแหน่งทส่ี ูงกวา่ ระดบั ปกติ – การกระจดั มีค่าเป็น (-) สาหรบั ตาแหน่งทต่ี ่ากวา่ ระดบั ปกติ 1. สนั คล่ืน หรือ ยอดคล่ืน (Crest) คือ ส่วนทีน่ ูนหรือสนั บนสุดของคลื่นแตล่ ะลูก 2. ทอ้ งคลื่น (Trough) คอื ส่วนล่างสุดของคล่ืนแต่ละลูก 3. การกระจดั (Displacement) คอื ระยะทีว่ ดั จากแนวกลาง (แนวสมดุล) ไปยงั ตาแหน่งใดๆ บนคลื่น 4. ช่วงกวา้ งของคลื่น หรือ แอมพลิจูด (Amplitude ; A) คอื ระยะกระจดั ทีม่ ีคา่ มากที่สุดจากแนวสมดุล ไปยงั สนั คล่ืนหรือทอ้ งคล่ืน โดยพลงั งานของคลื่น (แอมพลิจดู ) คล่ืนน้า แอมพลิจูด แสดง ความสูงต่าของการกระเพอื่ มของน้า คล่ืนเสียง แอมพลิจดู แสดง ความดงั ค่อยของเสียง คลื่นแสง แอมพลิจูด แสดง ความเขม้ ของแสง (มืด – สวา่ ง) 5. ความยาวคล่ืน (Wave length ; ) คอื ความยาวของ 1 คล่ืน เป็ นระยะทางท่วี ดั จากเฟสถึงเฟสเดียวกนั ของคลื่นถดั ไป

6. เฟส (Phase) คือ การเรียกตาแหน่งบนคลื่น โดยมีความสมั พนั ธก์ บั การกระจดั ของการเคล่ือนทขี่ อง คลื่น 7. หนา้ คล่ืน (Wave front) คือ แนวทางเดินของตาแหน่งบนคลื่นท่มี ีเฟสเทา่ กนั ในคล่ืนขบวนหน่ึงอาจมี หนา้ คล่ืนก่ีหนา้ กไ็ ด้ และหนา้ คลื่นทตี่ ดิ กนั จะห่างกนั เทา่ กบั ความยาวคลื่น - หนา้ คล่ืนเสน้ ตรง เกิดจากแหล่งกาเนิดเป็ นสนั ยาว เช่น สนั ไมบ้ รรทดั กระทบผวิ น้า ทศิ ทาง คล่ืนขนานกนั - หนา้ คลื่นวงกลม เกิดจากแหล่งกาเนิดเป็ นจดุ เช่น ปลายดินสอกระทบผวิ น้า ทิศทางคลื่นเป็น แนวรศั มีของวงกลม - หนา้ คล่ืนที่เขียนดว้ ยเสน้ เตม็ คอื หนา้ คล่ืนท่ีเป็นสนั คลื่น (เฟส หรือ 90 องศา) - หนา้ คลื่นทเ่ี ขยี นดว้ ยเสน้ ประ คอื หนา้ คล่ืนทเ่ี ป็นทอ้ งคลืน่ (เฟส หรือ 270 องศา) 8. รังสี (Ray) คือ เสน้ แสดงแนวหรือทิศการเคล่ือนทข่ี องคล่ืน โดยรงั สีของคลื่นจะมีทิศต้งั ฉากกบั หนา้ คลื่นเสมอ อตั ราเร็วของคลื่น (Wave Speed) เมื่อคล่ืนมีการเคลื่อนท่ี จะวดั ระยะทางการเคลื่อนทีไ่ ด้ อตั ราเร็วของคลื่นคือ ระยะทางของคล่ืน ท่ีเคล่ือนที่ไดต้ อ่ หน่ึงหน่วยเวลา อตั ราเร็วคลื่น = ระยะทางที่คล่ืนเคล่ือนท่ไี ด้ เวลา หรือ V = s t ความถี่คลืน่ (frequency, f) เป็ นจานวนลูกคล่ืนที่เคลื่อนทผ่ี า่ นตาแหน่งใดๆ ในหน่ึงหน่วยเวลา มีหน่วย เป็นรอบต่อวนิ าที หรือเฮิร์ตช์ (Hz) เช่น นบั คล่ืนน้าผา่ นตาแหน่งหน่ึงได้ 10 ลูกคลนื่ ใน 5 วนิ าที จะมี ความถ่ีเป็น 2รอบตอ่ วนิ าที หรือ 2 Hz คาบ (Period, T) เป็ นช่วงเวลาที่คล่ืนเคลื่อนท่ผี า่ นตาแหน่งใดๆ ครบหน่ึงลูกคลื่น มีหน่วยเป็นวนิ าที เช่น นบั คล่ืนท่ผี า่ นตาแหน่งหน่ึงได้ 10 ลูกคลื่นในเวลา 5 วนิ าที จะมีคาบเป็น 1 วนิ าที ตอ่ รอบ หรือ 1วนิ าที 22

ดงั น้นั ความถ่ี f และคาบ T มีความสมั พนั ธ์ คือ ������ = 1 หรือ ������ = 1 ������ ������ ������ = ������ จากอตั ราเร็วคล่ืน ������ ������ = ������ หรือ ������ = ������������ ������ สมการน้ีใชไ้ ดก้ บั คลื่นทกุ ชนิด เม่ือ V เป็นอตั ราเร็วของคลื่น (m/s) f เป็นความถ่ี (Hz) v เป็นความยาวคลื่น (m)

คล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้า (Electromagnetic Wave) คล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้า เกิดจากการรบกวนทาง แม่เหล็กไฟฟ้า (Electromagnetic disturbance) โดยการทาให้สนามไฟฟ้าหรือสนามแม่เหล็กมีการ เปลี่ยนแปลง เม่ือสนามไฟฟ้ามีการเปลี่ยนแปลงจะเหนี่ยวนาใหเ้ กิดสนามแม่เหล็ก หรือถา้ สนามแม่เหล็ก มีการเปลี่ยนแปลงกจ็ ะเหนี่ยวนาให้เกิดสนามไฟฟ้า คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเป็ นคลื่นตามขวาง ประกอบดว้ ย สนามไฟฟ้าและสนามแม่เหล็กท่มี ีการสน่ั ในแนวต้งั ฉากกนั และอยบู่ นระนาบต้งั ฉากกบั ทศิ การเคล่ือนที่ ของคลื่น คลื่นแม่เหลก็ ไฟฟ้าเป็นคลื่นทีเ่ คล่ือนท่ีโดยไม่อาศยั ตวั กลาง จงึ สามารถเคล่ือนทใ่ี นสุญญากาศ ได้ สเปกตรัม (Spectrum) ของคล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้าจะประกอบดว้ ยคล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้าท่ีมีความถี่ และความยาวคล่ืนแตกต่างกนั ซ่ึงครอบคลุมต้งั แต่ คล่ืนแสงที่ตามองเห็น อลั ตราไวโอเลต อินฟราเรด คล่ืนวทิ ยุ โทรทศั น์ ไมโครเวฟ รงั สีเอกซ์ รงั สีแกมมา เป็ นตน้ ดงั น้นั คลื่นแม่เหลก็ ไฟฟ้า จงึ มีประโยชน์ มากในการสื่อสารและโทรคมนาคม และทางการแพทย์ สมบตั ขิ องคล่ืนแม่เหลก็ ไฟฟ้า 1. ไม่ตอ้ งใชต้ วั กลางในการเคลื่อนท่ี 2. อตั ราเร็วของคล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้าทุกชนิดในสุญญากาศเท่ากบั 3x108m/s ซ่ึงเท่ากับ อตั ราเร็วของแสง 3. เป็นคล่ืนตามขวาง 4. ถ่ายเทพลงั งานจากท่หี น่ึงไปอีกท่ีหน่ึง 5. ถูกปล่อยออกมาและถูกดูดกลืนไดโ้ ดยสสาร 6. ไม่มีประจไุ ฟฟ้า 7. คลื่นสามารถแทรกสอด สะทอ้ น หกั เห และเล้ียวเบนได้

ประเภทของคลน่ื แม่เหลก็ ไฟฟ้า 1. คลื่นวิทยุ คล่ืนวทิ ยมุ ีความถ่ีช่วง 104 - 109 Hz( เฮิรตซ์ ) ใชใ้ นการสื่อสาร คล่ืนวทิ ยมุ ีการส่ง สญั ญาณ 2 ระบบคอื 1.1 ระบบเอเอ็ม (A.M. = amplitude modulation) ระบบเอเอม็ มีช่วงความถี่ 530 - 1600 kHz( กิโลเฮิรตซ์ ) สื่อสารโดยใชค้ ลื่นเสียงผสมเขา้ ไปกบั คลื่นวทิ ยเุ รียกวา่ \"คลื่น พาหะ\" โดยแอมพลิจดู ของคล่ืนพาหะจะเปล่ียนแปลงตามสญั ญาณคล่ืนเสียง ในการส่งคล่ืน ระบบ A.M. สามารถส่งคลื่นไดท้ ้งั คลื่นดินเป็นคลื่นทเ่ี คล่ือนที่ในแนวเสน้ ตรงขนานกบั ผวิ โลก และคล่ืนฟ้าโดยคล่ืนจะไปสะทอ้ นทช่ี ้นั บรรยากาศไอโอโนสเฟี ยร์ แลว้ สะทอ้ นกลบั ลงมา จึงไม่ ตอ้ งใชส้ ายอากาศต้งั สูงรับ 1.2 ระบบเอฟเอ็ม (F.M. = frequency modulation) ระบบเอฟเอ็ม มีช่วงความถ่ี 88 - 108 MHz (เมกะเฮิรตซ์) สื่อสารโดยใชค้ ลื่นเสียงผสมเขา้ กบั คลื่นพาหะ โดยความถี่ของคลื่น พาหะจะเปลี่ยนแปลงตามสญั ญาณคลื่นเสียง ในการส่งคล่ืนระบบ F.M. ส่งคลื่นไดเ้ ฉพาะคลื่น ดินอยา่ งเดียว ถา้ ตอ้ งการส่งใหค้ ลุมพน้ื ท่ตี อ้ งมีสถานีถ่ายทอดและเครื่องรบั ตอ้ งต้งั เสาอากาศสูง ๆ รบั ***ช่วงคลื่นวทิ ยุ (radio wave) เป็ นช่วงคลื่นท่เี กิดจากการสน่ั ของผลึกเน่ืองจากไดร้ ับ สนามไฟฟ้า หรือเกิดจากการสลบั ข้วั ไฟฟ้า สาหรับในช่วงไมโครเวฟ มีการใหช้ ่ือเฉพาะ เช่น  P band ความถี่อยใู่ นช่วง 0.3 - 1 GHz (30 - 100 cm)  L band ความถี่อยใู่ นช่วง 1 - 2 GHz (15 - 30 cm)  S band ความถี่อยใู่ นช่วง 2 - 4 GHz (7.5 - 15 cm)  C band ความถ่ีอยใู่ นช่วง 4 - 8 GHz (3.8 - 7.5 cm)  X band ความถ่ีอยใู่ นช่วง 8 - 12.5 GHz (2.4 - 3.8 cm)  Ku band ความถ่อี ยใู่ นช่วง 12.5 - 18 GHz (1.7 - 2.4 cm)  K band ความถี่อยใู่ นช่วง 18 - 26.5 GHz (1.1 - 1.7 cm)  Ka band ความถ่อี ยใู่ นช่วง 26.5 - 40 GHz (0.75 - 1.1 cm

2.คล่ืนโทรทศั น์และไมโครเวฟ คล่ืนโทรทศั นแ์ ละไมโครเวฟมีความถ่ีช่วง 108 - 1012 Hz มีประโยชนใ์ นการส่ือสาร แต่จะไม่ สะทอ้ นทชี่ ้นั บรรยากาศไอโอโนสเฟียร์ แตจ่ ะทะลุผา่ นช้นั บรรยากาศไปนอกโลก ในการถ่ายทอด สญั ญาณโทรทศั น์จะตอ้ งมีสถานีถ่ายทอดเป็ นระยะ ๆ เพราะสญั ญาณเดินทางเป็ นเสน้ ตรง และผวิ โลกมี ความโคง้ ดงั น้นั สญั ญาณจึงไปไดไ้ กลสุดเพยี งประมาณ 80 กิโลเมตรบนผวิ โลก อาจใชไ้ มโครเวฟนา สญั ญาณจากสถานีส่งไปยงั ดาวเทยี ม แลว้ ใหด้ าวเทยี มนาสญั ญาณส่งต่อไปยงั สถานีรับที่อยไู่ กล ๆ เนื่องจากไมโครเวฟจะสะทอ้ นกบั ผวิ โลหะไดด้ ี จึงนาไปใชป้ ระโยชนใ์ นการตรวจหาตาแหน่งของอากาศ ยาน เรียก อุปกรณ์ดงั กล่าววา่ เรดาร์ โดยส่งสญั ญาณไมโครเวฟออกไปกระทบอากาศยาน และรับคล่ืน ทสี่ ะทอ้ นกลบั จากอากาศยาน ทาใหท้ ราบระยะห่างระหวา่ งอากาศยานกบั แหล่งส่งสญั ญาณไมโครเวฟ ได้ ***ความยาวช่วงคลื่นและความเขม้ ของคลื่นแม่เหลก็ ไฟฟ้า ข้นึ อยกู่ บั อุณหภมู ิของแหล่งกาเนิด คล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้า เช่น ดวงอาทติ ย์ มีอุณหภูมิ 6,000 K จะแผพ่ ลงั งานในช่วงคล่ืนแสงมากท่สี ุด วตั ถุ ต่างๆ บนพน้ื โลกส่วนมากจะมอี ุณหภมู ิประมาณ 300 K จะแผพ่ ลงั งานในช่วงอินฟราเรดความรอ้ นมาก ทส่ี ุด คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเมื่อเดินทางผา่ นช้นั บรรยากาศ จะถูกโมเลกลุ อากาศ และฝ่ นุ ละอองในอากาศ ดูดกลืน และขวางไวท้ าใหค้ ลื่นกระเจงิ คล่ืนออกไป คลื่นส่วนท่กี ระทบถกู วตั ถุจะสะทอ้ นกลบั และเดิน ทางผา่ นช้นั บรรยากาศมาตกสู่อุปกรณ์วดั คลื่น เนื่องจากวตั ถุตา่ งๆ มีคุณสมบตั ิการสะทอ้ นคล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้าทีช่ ่วงคล่ืนต่างๆ ไม่ เหมือนกนั ดงั น้นั เราจึงสามารถใชค้ ลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในการสารวจจากระยะไกลได้ รูปตอ่ ไปน้ี แสดงลกั ษณะการสะทอ้ นแสงเปรียบเทียบระหวา่ งวตั ถุต่างชนิดกนั ท่ีช่วงคล่ืนตา่ งๆ กนั ความสามารถในการสะทอ้ นแสงของวตั ถุตา่ งๆ บนพน้ื โลกสามารถสรุปไดด้ งั น้ี

 น้าสะทอ้ นแสงในช่วงแสงสีน้าเงินไดด้ ี และดูดกลืนคล่ืนในช่วงอื่นๆ และใหส้ งั เกตวา่ น้าจะดูดกลืนคล่ืน IR ช่วง 0.91 mm ในช่วงน้ีไดด้ ีมาก  ดินสะทอ้ นแสงในช่วงคล่ืนแสงไดด้ ีทุกสี  พชื สะทอ้ นแสงช่วงสีเขยี วไดด้ ี และสะทอ้ นช่วงอินฟราเรดไดด้ ีกวา่ น้าและดนิ มาก 3. รังสีอนิ ฟาเรด (infrared rays) รังสีอินฟาเรดมีช่วงความถ่ี 1011 - 1014 Hz หรือความยาวคล่ืนต้งั แต่ 10-3 - 10-6 เมตร ซ่ึงมีช่วง ความถี่คาบเกี่ยวกบั ไมโครเวฟ รังสีอินฟาเรดสามารถใชก้ บั ฟิ ลม์ ถ่ายรูปบางชนิดได้ และใชเ้ ป็ นการ ควบคุมระยะไกลหรือ รีโมทคอนโทรลกบั เครื่องรับโทรทศั น์ได้ 4. แสง (light) แสงมีช่วงความถี่ 1014Hz หรือความยาวคลื่น 4x10-7 - 7x10-7 เมตร เป็ นคล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้าท่ี ประสาทตาของมนุษยร์ บั ได้ สเปคตรมั ของแสงสามารถแยกไดด้ งั น้ี สี ความยาวคลื่น (nm) ม่วง 380-450 น้าเงิน 450-500 เขียว 500-570 เหลือง 570-590 แสด 590-610 แดง 610-760 5. รังสีอลั ตราไวโอเลต (Ultraviolet rays) รังสีอลั ตราไวโอเลต หรือ รังสีเหนือม่วง มีความถี่ช่วง 1015 - 1018 Hz เป็ นรังสีตามธรรมชาตสิ ่วน ใหญ่มาจากการแผร่ งั สีของดวงอาทติ ย์ ซ่ึงทาใหเ้ กิดประจอุ ิสระและไอออนในบรรยากาศช้นั ไอโอโนส เฟียร์ รงั สีอลั ตราไวโอเลต สามารถทาใหเ้ ช้ือโรคบางชนิดตายได้ แตม่ ีอนั ตรายต่อผวิ หนงั และตาคน

6. รังสีเอกซ์ (X-rays) รงั สีเอกซ์ มีความถี่ช่วง 1016 - 1022 Hz มีความยาวคล่ืนระหวา่ ง 10-8 - 10-13 เมตร ซ่ึงสามารถทะลุ สิ่งกีดขวางหนา ๆ ได้ หลกั การสร้างรังสีเอกซค์ ือ การเปล่ียนความเร็วของอิเลก็ ตรอน มีประโยชน์ทาง การแพทยใ์ นการตรวจดูความผดิ ปกตขิ องอวยั วะภายในร่างกาย ในวงการอุตสาหกรรมใชใ้ นการตรวจหา รอยรา้ วภายในช้ินส่วนโลหะขนาดใหญ่ ใชต้ รวจหาอาวธุ ปื หรือระเบดิ ในกระเป๋ าเดินทาง และศกึ ษาการ จดั เรียงตวั ของอะตอมในผลึก 7. รังสีแกมมา ( <!--[if !vml]-->Y<!--[endif]-->-rays) รงั สีแกมมามีสภาพเป็ นกลางทางไฟฟ้ามีความถ่ีสูงกวา่ รังสีเอกซ์ เป็ นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าทเ่ี กิด จากปฏิกิริยานิวเคลียร์และสามารถกระตนุ้ ปฏิกิริยานิวเคลียร์ได้ มีอานาจทะลุทะลวงสูง  ช่วงรงั สีแกมมา (gamma ray : l < 0.1 nm) และช่วงรังสีเอ็กซ์ (x-ray : 0.1 nm < l < 300 nm) เป็ นช่วงที่มีพลงั งานสูง แผร่ ังสีจากปฏกิ ิริยานิวเคลียร์ หรือจากสารกมั มนั ตรังสี  ช่วงอลั ตราไวโอเลต เป็ นช่วงทมี่ ีพลงั งานสูง เป็ นอนั ตรายตอ่ เซลสิ่งมีชีวติ  ช่วงคลื่นแสง เป็ นช่วงคล่ืนทตี่ ามนุษยร์ ับรู้ได้ ประกอบดว้ ยแสงสีม่วง ไลล่ งมาจนถึงแสงสี แดง  ช่วงอินฟราเรด เป็ นช่วงคลื่นทม่ี ีพลงั งานต่า ตามนุษยม์ องไม่เห็น จาแนก ออกเป็น อินฟราเรดคล่ืนส้นั และอินฟราเรดคลืน่ ความร้อน

ประโยชน์ของคล่ืนแม่เหลก็ ไฟฟ้า 1.ประโยชน์ของคลื่นวิทยุ การสื่อสารถือวา่ เป็ นส่ิงสาคญั มากสาหรบั มนุษยเ์ รา เรามีการตดิ ตอ่ ส่ือสารกนั หลายลกั ษณะ นอกเหนือจากการพดู คุยกนั การใชว้ ทิ ยุ โทรทศั น์ โทรศพั ทม์ ือถือ เป็นปัจจยั สาคญั สาหรบั มนุษยท์ ี่จะ รับทราบความเป็ นไปต่างๆซ่ึงอุปกรณ์เหล่าน้ีจะทางานไดต้ อ้ งอาศยั คล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้าทเ่ี รียกวา่ คล่ืนวทิ ยุ 2.ประโยชน์ของคล่นื ไมโครเวฟ ไดม้ ีการนาคล่ืนไมโครเวฟมาใชเ้ พอื่ ตรวจหาตาแหน่ง โดยในช่วงความยาวคล่ืนประมาณ 0.5 cm.- 1 m. เป็ นเรดาร์จบั วตั ถุที่เคล่ือนไหว เช่น วตั ถุหรือเครื่องบินในอากาศ เป็ นตน้ ใชเ้ ป็ นแหล่งกาเนิด ความรอ้ น เช่น ทาใหอ้ าหารสุกโดยใชเ้ ตาไมโครเวฟ เป็ นตน้ 3.ประโยชน์ของรังสีอนิ ฟาเรต มีการนาคลื่นแม่เหลก็ ไฟฟ้าในช่วงรงั สีอินฟาเรต มาใชป้ ระโยชนใ์ นการคน้ หาสตั วป์ ่ าในที่มืดเพอ่ื การศกึ ษา ใชใ้ นการถ่ายรูปในช่วงทมี่ ีเมฆ หมอก หนาทึบหรือทศั นวสิ ยั ไม่ดี ใชอ้ บอาหารในเตาทีใ่ ชร้ ังสี อินฟาเรต ใชใ้ นอุตสาหกรรมอบสี ใชใ้ นการรกั ษาโรคผวิ หนงั บางชนิด 4.ประโยชน์ของรังสีอลั ตาไวโอเลต การรับรังสีอลั ตาไวโอเลตในปริมาณทีไ่ ม่มากจนเป็นอนั ตราย จะทาให้เกิดประโยชน์ตอ่ ร่างกาย มนุษย์ ในการช่วยสรา้ งวติ ามินดี แตก่ ารรับในปริมาณทีม่ ากเกินไปจะเป็ นสาเหตุของการเกิดมะเร็งท่ี ผวิ หนงั ได้ การนารงั สีอลั ตาไวโอเลตมาใชป้ ระโยชนใ์ นดา้ นอ่ืนๆ มีหลายประการ เช่น การใชร้ งั สีอลั ตา ไวโอเลตในการแพทยโ์ ดยใชฆ้ ่าเช้ือโรค ทาความสะอาดเคร่ืองมือแพทย์ ใชร้ ักษาอาการตวั เหลืองในเด็ก ทารก ใชใ้ นอุตสาหกรรมผลิตอาหารโดยนารังสีอลั ตาไวโอเลตมาใชฆ้ ่าเช้ือโรค 5.ประโยชน์ของรังสีเอกซ์ รังสีเอกซ์เป็นคล่ืนแม่เหลก็ ไฟฟ้าท่ีมีอานาจทะลผุ า่ นสูงจงึ สามารถนามาใชป้ ระโยชนไ์ ดห้ ลาย ดา้ น - ใชต้ รวจสอบรอยรา้ วของส่วนประกอบส่ิงก่อสร้าง - ใชต้ รวจหาอาวธุ หรือระเบดิ ในกระเป๋ าเดินทางบริเวณด่านตรวจคนเขา้ เมือง - ใชต้ รวจดูอวยั วะภายในและใชร้ กั ษาโรคมะเร็งหรือใชใ้ นการศกึ ษาการจดั เรียงตวั ของอะตอม ในผลึก

6.ประโยชน์ของรังสีแกมม่า คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าทมี่ ีอนั ตรายมากทีส่ ุดคือรงั สีแกมม่า เนื่องจากเป็ นคล่่ืนท่มี ีพลงั งานมากทีส่ ุด จึงสามารถทาลุทะลวงสิ่งตา่ งๆไดด้ ีแต่เรากส็ ามารถนามาใชป้ ระโยชนใ์ นทางการแพทยไ์ ด้ เช่น - การใชร้ ังสีแกมม่าจากการสลายตวั ของโคบอลต์ - 60 เพอ่ื รักษาโรคมะเร็ง - การใชร้ งั สีแกมม่าจากการสลายตวของไอโอดนี -1-3-1 เพอื่ รกั ษาโรคคอพอก - นาไปใชใ้ นการตรวจสอบรอยรั่วและรอยร้าวของเครื่องใชท้ ที่ าจากโลหะ - ใชใ้ นการศึกษาการดูดซึมของแร่ธาตุของรากพชื และการสงั เคราะห์แสง - ใชใ้ นการรักษาโรคพชื บางชนิด -ใชเ้ ปลี่ยนแปลงพนั ธุพ์ ืช - ใชฉ้ ายลงบนผลการเกษตรบางชนิดเพอ่ื ใหเ้ ก็บรกั ษาผลผลิตไวไ้ ดเ้ ป็ นเวลานาน


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook