Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore งานทฤษฎีสี

งานทฤษฎีสี

Published by Sitaporn Boonnprascrt, 2021-03-15 05:28:48

Description: งานทฤษฎีสี

Search

Read the Text Version

ทฤษฎีสี ส(ี COLOUR) หมายถึง ลักษณะกระทบต่อสายตาให้เหน็ เปนสมี ีผลถึงจติ วทิ ยา คอื มอี าํ นาจให้เกิดความเข้มของแสงทอี ารมณแ์ ละความรูส้ กึ ได้ การทีได้เห็นสจี ากสายตาสายตาจะสง่ ความรูส้ กึ ไปยังสมองทําใหเ้ กิดความรูส้ กึ ต่างๆตามอทิ ธพิ ลของสเี ช่น สดชืน รอ้ น ตืนเตน้ เศรา้ สีมีความหมายอย่างมากเพราะศลิ ปนต้องการใช้สีเปนสอื สรา้ งความประทับใจในผลงาน ของศิลปะและสะทอ้ นความประทับใจนนั ให้บังเกดิ แกผ่ ดู้ ูมนุษยเ์ กียวขอ้ งกับสตี ่างๆ อย่ตู ลอดเวลาเพราะทกุ สิง ทีอยรู่ อบตัวนนั ล้วนแตม่ ีสสี ันแตกต่างกนั มากมาย สเี ปนสงิ ทคี วรศกึ ษาเพอื ประโยชน์กับตนเองและผสู้ รา้ งงาน จติ รกรรมเพราะ เรอื งราวองสีนันมีหลกั วชิ าเปนวทิ ยาศาสตรจ์ งึ ควรทําความเขา้ ใจวทิ ยาศาสตรข์ องสีจะบรรลผุ ล สําเรจ็ ในงานมากขนึ ถา้ ไมเ่ ข้าใจเรอื งสีดีพอสมควร ถา้ ได้ศึกษาเรอื งสีดีพอแลว้ งานศลิ ปะกจ็ ะประสบความสมบรู ณ์ เปนอย่างยิง สแี ก่ (SHADE) ใชเ้ รยี กสแี ท้ทีถกู ผสม 1. แสงทีมีความถขี องคลืนในขนาดทีตามนุษย์สามารถรับสัมผัสได้ 2. แม่สีทเี ปนวัตถุ (PIGMENTARY PRIMARY) ประกอบดว้ ย สแี ท้ (HUE) คือ สที ี ดว้ ยสดี าํ เชน่ สนี าํ ตาล แดง เหลอื ง นําเงนิ 3. สีทเี กดิ จากการผสมของแมส่ ี ยงั ไมถ่ กู สอี ืนเขา้ SMART คําจาํ กัดความของสี ผสม เปนลักษณะ คณุ ลักษณะของสี ของสแี ท้ทีมคี วาม สะอาดสดใส เชน่ แดง เหลือง นาํ เงิน สอี ่อนหรอื สจี าง (TINT) ใชเ้ รยี กสแี ท้ที ถกู ผสมดว้ ยสขี าว เชน่ สเี ทา, สชี มพ

ประวตั ิความเปนมาของสี มนุษยเรม่ิ มกี ารใชสตี ัง้ แตสมยั กอนประวตั ิศาสตรม ที ัง้ การเขยี นสีลงบนผนังถ้าํ ผนังหิน บนพ้ืนผวิ เคร่อื งปั้นดินเผา และทอ่ี ่นื ๆภาพเขยี นสีบนผนังถ้ํา(ROCK PAINTING) เร่ิม ทาํ ตงั้ แตสมัยกอ นประวัติศาสตรใ น ทวีปยุโรป โดยคนกอ นสมัยประวัติศาสตรใ นสมัยหนิ เกา ตอนปลาย ภาพเขยี นสีทีม่ ชี ่ือเสียงในยคุ นี้พบท่ี ประเทศฝรงั่ เศส และประเทศสเปน ในประเทศ ไทย กรมศลิ ปากรไดสํารวจพบภาพเขียนสสี มยั กอ นประวัติศาสตร บนผนังถ้ํา และ เพงิ หนิ ในทีต่ า งๆ จะมีอายุระหวาง 1500-4000 ปีเป็นสมยั หินใหมและยุคโลหะไดค น พบตัง้ แต ปีพ.ศ. 2465 ครงั้ แรกพบบนผนังถ้าํ ในอาวพังงา ตอมาก็คน พบอีกซ่ึงมีอยูทัว่ ไป เชน จังหวัดกาญจนบรุ ีอทุ ัยธานี เป็นตน สที เี่ ขียนบนผนังถ้ําสวนใหญเ ป็นสีแดง นอกนัน้ จะมสี ีสม สเี ลือดหมสู เี หลอื ง สนี ้ําตาล และสีดําสีบนเคร่อื งปั้นดินเผา ไดคนพบการเขียนลายครัง้ แรกทีบ่ า นเชยี งจังหวัดอดุ รธานีเม่อื ปี พ.ศ.2510 สีทีเ่ ขียนเป็นสีแดงเป็นรปู ลายกา นขดจิตกรรมฝาผนังตามวดั ตา งๆสมัยสโุ ขทยั และอยธุ ยามหี ลกั ฐานวา ใชส ใี นการเขียนภาพหลายสแี ตก อ็ ยูในวงจํากดั เพียง 4 สีคอื สดี ํา สขี าว สีดินแดง และสีเหลอื งใน สมัยโบราณนัน้ ชา งเขียนจะเอาวัตถุตางๆในธรรมชาติมาใชเป็นสีสําหรับเขยี นภาพ เชน ดินหรอื หนิ ขาวใชท ําสขี าว สีดํากเ็ อามาจากเขมา ไฟ หรือจากตัวหมึกจนี เป็นชาติแรกทพี่ ยายามคน ควา เร่อื งสีธรรมชาตไิ ด มากกวา ชาติอ่นื ๆ คือ ใชหนิ นํามาบดเป็นสตี างๆ สเี หลืองนํามาจากยางไมร งหรือรงทอง สีครามกน็ ํามาจากตนไมสว นใหญแ ลว การคน ควาเร่อื งสีก็เพ่ือที่จะนํามาใชย อมผา ตางๆ ไมน ิยมเขียนภาพเพราะจีนมคี ตใิ นการเขยี นภาพเพยี งสีเดยี ว คอื สดี าํ โดยใชห มกึ จีนเขยี น

1. สีธรรมชาติ เปนสีทีเกิดขึนเองธรรมชาติ เช่น สีของแสง อาทิตย์ สขี องทอ้ งฟายามเชา้ เยน็ สีของรุ้งกนิ นาํ เหตกุ ารณท์ ีเกดิ ขนึ เองธรรมชาติ ตลอดจนสีของ ดอกไม้ ต้นไม้ พืนดิน ท้องฟา นําทะเล สีสามารถแยกออกเปน 2 ประเภทคอื 2. สที ีมนุษยส์ ร้างขนึ หรอไดส้ งั เคราะหข์ นึ เช่น สวี ทยาศาสตร์ มนุษย์ได้ทดลองจากแสงตา่ งๆ เช่น ไฟฟา นาํ มาผสมโดยการ ทอแสงประสานกนั นํามาใชป้ ระโยชน์ในด้านการละคร การจดั ฉากเวที โทรทัศน์ การตกแต่งสถานที

1. แม่สขี องแสง เกดิ จากการหักเหของแสงผา่ นแทง่ แกว้ ปรซึม มี 3 สี คอื สแี ดง สเี หลอื ง และสีนาํ เงิน อยใู่ นรูปของแสงรังสี ซงึ เปนพลังงานชนิดเดยี วทีมสี ี คุณสมบตั ขิ องแสงสามารถนํามาใช้ ในการถ่ายภาพ ภาพ โทรทศั น์ การจดั แสงสี ในการแสดงต่าง ๆ เปนต้น แม่สี (PRIMARIES) สตี ่างๆนนั มอี ยู่มากมายแหล่งกําเนดิ ของสีและวธกี ารผสมของสตี ล อดจนรู้สกึ ทีมีตอ่ สขี องมนุษย์แต่ละกล่มุ ยอ่ มไม่เหมือนกัน สตี า่ งๆทีปรากฎนนั ย่อมเกดิ ขนึ จากแมส่ ใี นลักษณะทแี ตกต่างกนั ตามชนิดและประเภทของสนี นั 2. แมส่ วี ตั ถุธาตุ เปนสีทไี ด้มาจากธรรมชาติ และจากการสังเคราะห์ โดยกระบวน ทางเคมี มี 3 สี คอื สแี ดง สเี หลือง และสนี ําเงิน แมส่ ีวตั ถธุ าตเุ ปน แม่สที นี าํ มาใช้ งานกันอยา่ งกวา้ งขวาง ในวงการศิลปะ วงการอุตสาหกรรม ฯลฯ แมส่ วี ตั ถธุ าตุ เมือนํามาผสมกันตามหลกั เกณฑ์ จะทําใหเ้ กดิ วงจรสี ซึงเปนวงสี ธรรมชาติ เกิดจากการผสมกันของแมส่ วี ตั ถุธาตุ เปนสีหลกั ทใี ชง้ าน กันทวั ไป ใน วงจรสี จะแสดงสงิ ตา่ ง ๆ ดงั ตอ่ ไปนี

สขี นั ที 1 : คือ แมส่ ี สขี ันที 2 : คอื ได้แก่ สแี ดง สีเหลือง สีทีเกิดจากสขี ันที 1 หรอแมส่ ีผสมกนั ในอตั ราส่วนที สีนําเงนิ เทา่ กัน จะทําให้ เกิดสีใหม่ 3 สี ได้แก่ สขี นั ที 3 : คือ สีทีเกดิ จากสีขนั ที สแี ดง ผสมกบั สเี หลอื ง ไดส้ ี ส้ม 1 ผสมกบั สขี ันที 2 ในอตั ราส่วนทีเท่ากนั สีแดง ผสมกับสีนําเงิน ไดส้ มี ว่ ง สเี หลอื ง ผสมกับสนี าํ เงิน ได้สเี ขียว จะไดส้ อี นื ๆ อีก 6 สี คือ วงจรสี สีแดง ผสมกับสีส้ม ไดส้ ี สม้ แดง ( Colour Circle) สแี ดง ผสมกบั สีม่วง ไดส้ ีมว่ งแดง สีเหลือง ผสมกบั สีเขยี ว ได้สเี ขยี วเหลือง สนี าํ เงนิ ผสมกบั สีเขียว ไดส้ เี ขยี วนําเงนิ สีนําเงนิ ผสมกับสมี ่วง ไดส้ ีมว่ งนําเงนิ สีเหลอื ง ผสมกับสีส้ม ได้สีสม้ เหลอื ง วรรณะของสี คือสีทใี หค้ วามรู้สึกร้อน-เย็น ในวงจรสีจะมีสีร้อน 7 สี และ สเี ย็น 7 สี ซึงแบง่ ที สมี ว่ งกับสีเหลอื ง ซึงเปนไดท้ งั สองวรรณะ

สีตรงข้าม หรอสตี ัด สกี ลาง คือ สีทเี ขา้ ได้กบั สีทุกสี กัน หรอสีคูป่ ฏิปกษ์ สกี ลางในวงจรสี มี 2 สี คือ เปนสที มี คี า่ ความเข้ม สนี าํ ตาล กบั สีเทา ของสี สนี ําตาล เกิดจากสตี รงขา้ มกัน ตัดกนั อยา่ ง ในวงจรสผี สมกนั ในอตั ราสว่ น รุนแรง ในทางปฏบิ ัติ ไม่นยิ มนํามาใชร้ ่วมกัน ทีเท่ากนั เพราะจะทําใหแ้ ตล่ ะสี สนี ําตาลมี คณุ สมบัติสาํ คัญ คือ ใช้ผสม ไม่สดใส กับสอี นื แลว้ จะทาํ ใหส้ ีนนั ๆ เท่าทคี วร การนาํ สตี เข้มขนึ โดยไมเ่ ปลียน รงขา้ มกันมาใช้ร่วมกนั แปลงคา่ สี ถา้ ผสมมาก ๆ เข้าก็ จะกลายเปนสนี ําตาล อาจกระทาํ ได้ดงั นี สเี ทา เกดิ จากสีทกุ สี ๆ สใี น 1. มีพนื ทีของสหี นึง วงจรสีผสมกัน ในอัตราสว่ นเท่า มาก อกี สีหนึงนอ้ ย กนั สเี ทา 2. ผสมสีอนื ๆ ลงไปสี มคี ุณสมบตั ิ สใี ดสีหนงึ หรอทังสอง ทสี ําคญั คอื ใช้ผสมกับสอี นื ๆ แลว้ จะทาํ ให้ มืด หมน่ สี ใช้ในสว่ นทเี ปนเงา ซงึ มนี ําหนัก 3. ผสมสตี รงข้ามลง ออ่ นแก่ในระดับต่าง ๆ ถา้ ผสม มาก ๆ เข้าจะกลายเปนสีเทา ไปในสีทงั สองสี

1. นาํ เงิน 2. แดง (CRIMSON LEKE) (PRUSSIANBLUE)สะทอ้ น สะท้อนรังสีของสแี ดงออกมา รังสีของสนี าํ เงนิ ออกมาแล้ว แลว้ ดึงดูดเอาสีนําเงินกบั สี ดงึ ดูดเอาสแี ดงกับสีเหลอื งเข้า มา แล้วผสมกันก็จะกลายเปนสี เหลอื ง ซึงต่างผสมกัน ส้ม ซึงเปนคสู่ ีของสนี ําเงนิ ในตวั แล้วกลายเปนสีเขียวอนั แม่สีวตั ถธุ าตุ เปนคสู่ ีของสีแดง (PIGMENTARY 3. เหลอื ง (GAMBOGE TINT) สะทอ้ นรังสขี องสี RRIMARIES) เหลืองออกมาแลว้ ดึงดูดเอาสี แดงกับสนี าํ เงนิ ซงึ ผสมกัน แมส วี ัตถธุ าตนุ ัน้ หมายถงึ ในตัวแล้วกลายเปนสีมว่ ง อัน “วตั ถทุ ่ีมสี อี ยูในตวั ” สามานํามาระบาย ทา เปนคู่สีของสีเหลอื ง ยอม และผสมไดเ พราะมเี น้ือสแี ละสเี หมือนตวั เอง เรยี กอกี อยางหน่ึงวา แมสีของชาง เขยี นสีตา งๆจะเกดิ ข้ึนมาอกี มากมาย ดว ยการผสมของแมส ซี ่งึ มีอยดู ว ยกนั 3 สี คอื

ระบบสี RGB เปนระบบสีของแสง ซงึ เกิดจากการหกั เหของ แม่สวี ตั ถุธาตุ แดง เหลือง แสงผา่ นแทง่ แก้วปรซมึ และสนี าํ เงนิ นัน ผสมกนั แล้วเกดิ สีขนึ อีก หลายสีแมส่ วี ตั ถธุ าตุ (PIGMEMPAR Y จะเกิดแถบสีทเี รยกวา่ สีรุ้ง ( Spectrum ) ซงึ แยกสีตามที PRIMARIES) หรอเรยกอีกอย่างหนงึ วา่ สายตามองเห็นได้ 7 สี คือ แดง แสด สีขนั ทหี นงึ เหลอื ง เขียว นําเงนิ คราม มว่ ง ซงึ เปนพลังงานอยู่ในรูป ระบบสี RGB ขันที 1 คือสี ของรังสี 1. นําเงนิ (PRUSSIAN สีขนั ที ทมี ชี ว่ งคลืนทสี ายตา 2 (SECONTARY HUES) เกิดจาก BLUE) สามารถมองเหน็ ได้ แสงสมี ว่ งมีความถคี ลนื สูงทีสุด 2. แดง (CRIMSOM LEKE) การนําสีแท้ 2 สมี าผสมกนั ใน คลนื แสงทีมคี วามถีสูงกวา่ แสงสมี ว่ ง ปรมาณเท่ากันจะเกิดสีใหม่ขึนนําเงิน 3. เหลอื ง (GAMBOGE เรยกวา่ อุลตราไวโอเลต ( Ultra Violet ) TINT) และคลืนแสงสีแดง มคี วามถีคลนื ตาํ ทีสุด คลนื แสง ผสม แดง เปน มว่ ง (VIOLET) ทีตํากวา่ แสงสีแดงเรยกวา่ อินฟราเรด ( InfraRed) นําเงนิ ” เหลือง ” เขยี ว (GREEN) แม่สีทงั สามถ้านํามาผสมกัน แดง ” เหลือง ” ส้ม (ORANGE) จะไดเั ปนสีกลาง (NEUTRAL คลืนแสงทีมคี วามถีสูงกวา่ สีมว่ ง และตํา กวา่ สแี ดงนนั สายตาของมนษุ ยไ์ มส่ ามารถรับได้ และเมือศึกษา TINT) ดูแลว้ แสงสีทงั หมดเกิดจาก สีขนั ที แสงสี 3 สี คอื สแี ดง ( Red ) สีนาํ เงนิ 3 (TERTIARY HUES) ( Blue)และสเี ขียว ( Green )ทงั สามสีถอื เปนแม่สี เกิดจากการผสมสีขนั ที 2 ของแสง เมือนํามาฉายรวมกนั จะทําให้เกดิ สใี หม่ อีก 3 สี คอื กับแม่ (สขี นั ที 1) ไดส้ ีเพิม สีแดงมาเจนตา้ สฟี าไซแอน ขนึ อกี คือ และสีเหลอื ง และถ้าฉายแสงสีทังหมดรวมกันจะไดแ้ สงสีขาว จากคุณสมบัติของแสงนเี รา ได้นาํ มาใช้ประโยชน์ทวั ไป ในการฉายภาพยนตร์ การบนั ทึกภาพวดโี อ ภาพโทรทัศน์ การสร้างภาพเพอื การนําเสนอทางจอคอมพิวเตอร์ และการจดั แสงสใี นการแสดง เปนต้น การผสมสี วตั ถธุ าตุ

เหลอื ง ผสม เขียว เปน เขยี วออ่ น (YELLOW – GREEN) สีขัน้ ที่ 2 (Secondary นาํ เงิน ” เขียว ” เขียวแก่ (BLUE – GREEN) Hues) เป็นการนําเอา นาํ เงนิ ” ม่วง ” มว่ งนําเงนิ (BLUE – VIOLET) แมสมี าผสมกันใน แดง ” ม่วง ” ม่วงแก่ (RED – VIOLET) ปริมาณเทา ๆ กัน แดง ” สม้ ” แดงสม้ (RED – ORANGE) จะไดส ีใหมอกี 3 สี ดังนี้ เหลอื ง ” ส้ม ” สม้ เหลอื ง (YELLOW – ORANGE) สแี ดง ผสมกบั สีเหลอื ง เป็น สีสม แผนภาพสรุปวงจรสี สีแดง ผสมกบั สนี ้ําเงิน เป็น สีมว ง การผสมกนั ของแมส่ ชี า่ ง สเี หลอื งผสมกับ สนี ้ําเงิน เป็น สีเขยี ว เขียนได้สอี ยู่ 3 ขนั สขี ัน้ ที่ 1 ดังนี (Primary Color) สีขนั้ ที่ 3 (Tertiary Hues) เกดิ จาก สีแดง ผสม สมี วง ไดแ ก นําเอาแมส มี าผสมกบั สีขนั้ ท่ี 2 โดย เป็น สมี ว งแดง สีแดง จะไดสีใหมเ พิ่มอกี 6 สี ดงั นี้ สแี ดง ผสม สีสม สีเหลอื เป็น สสี ม แดง สีน้ํ าเงนิ สเี หลือง ผสม สสี ม เป็น สีสมเหลือง สีเหลือง ผสม สีเขียว เป็น สเี ขียวเหลอื ง สนี ้ําเงิน ผสม สมี วง เป็น สมี วงน้ําเงิน สีน้ําเงนิ ผสม สเี ขยี ว เป็น สเี ขียวน้ําเงนิ

1.วรรณะสีร้อน (WARM TONE) ประกอบดว้ ยสีเหลอื ง วรรณะสรี ้อน วรรณะสเี ย็น สีส้มเหลอื ง สีสม้ สีส้มแดง สมี ว่ งแดงและสมี ่วง สใี น วรรณะร้อนนจี ะไมใ่ ชส่ สี ดๆ ดังทีเหน็ ในวงจรสีเสมอไป เหลอื ง มวง เพราะสีในธรรมชาติย่อมมีสแี ตกตา่ งไปกวา่ สใี นวงจรสี เหลอื งสม มว งน้ําเงนิ ธรรมชาตอิ กี มาก ถ้าหากวา่ สีใด คอ่ นข้างไปทางสแี ดงหรอสสี ม้ เช่น สี สม น้ําเงนิ นําตาลหรอสเี ทาอมทอง แดงสม น้ําเงินเขยี ว ก็ถือวา่ เปนสีวรรณะร้อน แดง เขียว 2.วรรณะสีเย็น (COOL TONE) ประกอบด้วย สเี หลอื ง มวงแดง เขียวเหลือง สเี ขยี วเหลือง สเี ขยี ว สเี ขยี วนําเงนิ สนี าํ เงนิ สีมว่ งนาํ เงิน และ วรรณะของสี สมี ว่ ง คอื สที ีให้ความรู้สึก ส่วนสอี นื ๆ ถา้ หนักไปทางสีนําเงนิ และสีเขยี วกเ็ ปนสีวรรณะเย็น ร้อน-เยน็ ในวงจรสีจะมี ดงั เช่น สเี ทา สดี าํ สรี ้อน 7 สี สีเขียวแก่ เปนต้น จะสังเกตไดว้ า่ สีเหลืองและสีมว่ งอยทู่ ัง และสเี ย็น 7 สี ซึงแบง่ ที วรรณะร้อนและวรรณะเยน็ สมี ่วงกบั สีเหลือง ซึง ถา้ อยูใ่ นกล่มุ สวี รรณะร้อนกใ็ ห้ความรูสึกร้อนและถ้า อยู่ในกลุ่ม เปนไดท้ ังสองวรรณะ แบ่งออกเปน 2 วรรณะ สีวรรณะเย็นก็ใหค้ วามรู้สึกเย็นไปดว้ ย สีเหลอื งและสีมว่ งจงึ เปนสไี ด้ทงั วรรณะร้อนและวรรณะเย็น สีเพมิ นาํ หนักขึนด้วยการใชส้ ดี ําผสม ( shade)

ตารางแสดงความหมายของสี สี ชือสี ความหมาย-อารมณ์ Yellow-Green การเจบ็ ปวย –ความอจิ ฉา – ขขี ลาด – การแตกแยก Yellow ความสขุ – พลังงาน –ความเจรญ – การเรยนรู้ – การสร้าสรรค์ White ความบรสุทธิ –ความดี – ความดพี ร้อม – ความเงียบสงบ – ความยตุ ิธรรม Red พลงั – อันตราย –สงคราม – อํานาจ Purple ความหยงั รู้ –ความทะเยอทะยาน – ความกา้ วหน้า – คามสง่างาม – อาํ นาจ Pink เปนมิตร – ความรัก –ความโรแมนตกิ – ความเคารพ Orange กําลงั – ความมีโชค – พลังชีวต – การให้กาํ ลงั ใจ – ความสุข Light Yellow ปญญา – ความฉลาด Light Red ความรู้สึกดีใจ –เรองทางเพศรส – ความรู้สกึ ของความรัก Light Purple เรองรักใคร่ – ความสงบ –ความกลมกลืน – ความสงบ– สันตภิ าพ Light Green การหยงั รู้ – โอกาส –ความเข้าใจ – ความอดทน – ความออ่ นโยน Light Blue ความอดุ มสมบูรณ์ – การเตบิ โต – การกลบั มาของมติ รภาพ Green สตปิ ญญา – ความรํารวย – ความสวา่ ง – ความสําเร็จ – โชคลาภ Gold การตกั เตือน – การเจบ็ ปวย – ความเสอื ม – ความอิจฉา Dark Yellow: ความโกรธ – ความรุนแรง– ความกลา้ หาญ – กาํ ลังใจ Dark Red ความสูงสง่ –ความปรารถนาอันแรงกลา้ – ความหรูหรา Dark Purple ความทะเยอทะยาน – ความโลภ – ความรษยา Dark Green ความจรง – สัจธรรม –อาํ นาจ – ความรู้ – ความซอื สัตย์ – การปองกนั Dark Blue ความอดทน – ความมนั คง Brown สุขภาพ – ความเชอื ถือ – ไหวพรบ – จงรักภกั ดี – ความเลอื มใส – ความถูก Blue ตอ้ ง

ทีมา ; https://homegame9.wordpress.com/%E0%B8%97%E0%B8%A4%E0 %B8%A9%E0%B8%8E%E0%B8%B5%E0%B8%AA%E0%B8%B5/ นางสาว ศิตาพร บุญประเสรฐ เลขที12


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook