โครงสรา้ งและวากยสัมพันธ์ของอาลปนวลีภาษาไทยในการพดู เพ่อื การส่อื สาร (THAI VOCATIVE PHRASE SYNTACTIC STRUCTURES FOR COMMUNICATIVE SPEAKING) ภทั ราภรณ์ คาลือสาย1 PHATRAPORN KHAMLUESAI1 บทคัดยอ่ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์โครงสร้างและวากยสัม พันธ์ของอาลปนวลีภาษาไทยในประโยค การพูดเพือ่ การสอ่ื สาร โดยวเิ คราะห์องค์ประกอบส่วนใหญ่มาหาส่วนเล็กของประโยค ผลของการวิเคราะห์จะแสดงรูป โครงสร้างเป็นแผนภูมิต้นไม้ (Tree Diagram) ผลการวิจัยพบว่า อาลปนวลีภาษาไทยเป็นกลุ่มคานามท้ังหมด มี โครงสร้างท่ีปรากฏ 4 แบบ คือ 1) (คานาม/คาสรรพนาม) + คาลงท้าย 2) (คานาม/คาสรรพนาม) + คาเชื่อม + คากรยิ า 3) (คานาม/คาสรรพนาม) + คาเชื่อม + คากริยา + คาลงทา้ ย/คาหมาย และ 4) คาเช่ือม + (คานาม/คาสรรพ นาม) + คาเชอื่ ม + คากริยา สว่ นผลวเิ คราะหโ์ ครงสรา้ งของอาลปนวลี (Vocative Phrase) ภาษาไทยในประโยคการพดู เพื่อการสือ่ สาร พบวา่ โครงสร้างอาลปนวลี (Vocative Phrase) ทาหนา้ เป็นส่วนขยาย (Modifier) ของประโยค เพื่อร้อง เรียกความสนใจจากผู้ฟัง หรือแสดงอารมณ์ ความรู้สึก ซ่ึงมีความสัมพันธ์กับประโยคท่ีตามมา หากเราวิเคราะห์ โครงสร้างของประโยคท่ีมีอาลปนวลี (Vocative Phrase) แล้วจะพบว่าการปรากฏของอาลปนวลีนั้น สามารถสลับ ตาแหนง่ หน้าและหลังของประโยคหลักได้ และสามารถเกิดอาลปนวลีซา้ ไดเ้ ช่นกัน คาสาคัญ : โครงสร้าง / วากยสมั พันธ์ / อาลปนวลี Abstract The aim of this study is to analyze the structure and syntax of Thai vocative phrases in conversation by using Tree Diagram. The result of the study shown that all of Thai vocative phrases are noun phrases, which have 4 kinds of structure; 1) (Noun/Pronoun) + Final Particles 2) (Noun/Pronoun) + Linking Words + Final Particles 3) (Noun/Pronoun) + Linking Words + Verb + Final Particles/Marker and 4) Linking Words + (Noun/Pronoun) + Linking Words + Verb. Moreover, 1 1 อาจารย์สาขาวชิ าภาษาไทย คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภฏั ลาปาง
the result of the structural analysis of Thai vocative phrases in conversation found the function of Thai vocative phrases is like modifier of the sentence. They can not only attract the attention of the listeners, but also express the feeling, which has some linking points with the following sentences. If we analyze Thai vocative phrase structure, we will find that Thai vocative phrases can appear in every position in the sentence, and they can appear in the same position. Keywords : Structure / Syntax / Vocative Phrase ความเปน็ มาและความสาคญั มนุษย์ใช้ภาษาเพ่อื ทาหน้าที่ส่ือสาร ให้ข้อมูลซึ่งกันและกัน นอกจากนี้ภาษายังเป็นผลผลิตทางวัฒนธรรมของ มนษุ ย์อย่างหนงึ่ เพื่อใช้ในการสื่อสารและทาความเข้าใจระหว่างมนุษย์ด้วยกัน (สาขาวิชาภาษาไทย, 2557) ภาษาของ มนุษย์ในยุคแรกเริ่มนั้นมีต้นกาเนิดมาจากแห่งเดียวกัน แต่เม่ือมีการอพยพย้ายถิ่นฐาน จึงทาให้มีภาษาท่ีแตกต่างกัน ตามที่อยู่ของตน นอกจากนี้ คริสตัล (Crystal, 1998) ยังได้กล่าวว่า ภาษาทาหน้าที่ 4 ประการด้วยกัน คือ ให้ข้อมูล รายละเอียด แสดงความรู้สึก ช้ีแนะ และแสดงปฏิสัมพันธ์ทางสังคม มนุษย์จึงสร้างภาษาเป็นเครื่องมือในการสื่อสาร อยา่ งมรี ะบบเพอ่ื สอ่ื ความเข้าใจแทนปรากฏการณ์ ความคิด ความรู้สึก และวัตถุท่ีรายล้อม (นิภาพร นุเสน, 2549) โดย เร่ิมศึกษาจากเสียงพูดของมนุษย์ ซ่ึงตรงกับความคิดของนักภาษาศาสตร์ในปัจจุบันท่ีกล่าวว่าภาษาที่แท้จริงของมนุษย์ คือภาษาพูด (วรวรรธน์ ศรียาภัย, 2556) จากข้อมูลดังกล่าวจะเห็นได้ว่าภาษาพูดเป็นปัจัยท่ีสาคัญในการสื่อสารของ มนษุ ยเ์ พอื่ ทาใหเ้ กิดความเข้าใจระหว่างมนุษย์ดว้ ยกันเอง จากการศึกษาเร่ืองประโยคการพูดส่ือสารในชีวิตประจาวันของคนไทย ผู้ศึกษาพบปรากฏการณ์ทางภาษา ปรากฏการณ์หน่ึงท่ีน่าสนใจคือ ก่อนท่ีผู้พูดจะเอ่ยบทสนทนา ผู้พูดหลายๆ คนมักจะเอ่ยคาเรียกขานก่อนขึ้นประโยค สนทนา เช่น แม่จ๋า หนหู วิ ขา้ ว หรือ คณุ หมอคะ ผลตรวจเป็นอย่างไรบ้างคะ จากตัวอย่างจะเห็นได้ว่า ก่อนผู้พูดจะพูด ประโยคทตี่ อ้ งการบอกเล่า หรือก่อนจะพูดขึ้นต้นประโยคสนทนา มักจะมีการเอ่ยคาเรียกขานข้ึนก่อน คือ แม่จ๋า และ คุณหมอคะ เปน็ ตน้ ปัจจัยดังกล่าว ทาให้ผู้ศึกษาสนใจที่จะศึกษาโครงสร้างของคาเรียกขานหรืออาลปนวลีว่ามีโครงสร้าง และ วากยสัมพันธ์อย่างไรบ้างที่ปรากฏ และการปรากฏน้ันสามารถปรากฏในตาแหน่งอ่ืนๆได้อีกหรือไม่ ที่นอกเหนือจาก การ ปร ากฏ หน้าปร ะโ ยค โ ดยใช้แนวคิ ดแล ะทฤษฎี ไ วยา กร ณ์โ คร งส ร้ างแล ะวากยสัมพันธ์ของ ภ าษาไ ทยตามแน ว ภาษาศาสตร์ (เรืองเดช ปันเขอื่ นขัติย์, 2554)
วัตถุประสงค์ของการศึกษา เพ่อื วเิ คราะห์โครงสรา้ งและวากยสมั พันธ์ของอาลปนวลีภาษาไทยในประโยคการพูดเพอ่ื การสื่อสาร ขอบเขตการวิจยั ด้านเนอื้ หา : ศกึ ษาโครงสรา้ งและวากยสมั พันธข์ องอาลปนวลีภาษาไทยในประโยคการพูดเพ่ือการส่ือสารของ คนไทยที่ใช้ภาษาไทยในการสือ่ สารเท่าน้นั กรอบแนวคดิ การวิจยั ประโยคการพูดเพ่อื การสือ่ สารในปัจจุบนั วิเคราะห์โครงสรา้ งทางไวยากรณ์ ของอาลปนวลี ตามแนวคดิ และทฤษฎีไวยากรณ์ โครงสร้างและวากยสัมพนั ธ์ ของภาษาไทยตามแนวภาษาศาสตร์ (เรอื งเดช ปนั เขอ่ื นขตั ยิ ,์ 2554) โครงสรา้ งอาลปนวลี ตาแหนง่ ท่ีปรากฏ หน้าที่
วธิ ีดาเนินการวิจยั ประชากรและกลุ่มตัวอยา่ ง : คนไทยที่ใช้อาลปนวลีหรือคาเรียกขานในการพูดส่ือสารในชีวิตประจาวัน จานวน 30 คน เครอ่ื งมือวิจัย : แนวคดิ และทฤษฎไี วยากรณโ์ ครงสร้างและวากยสัมพันธ์ของภาษาไทยตามแนวภาษาศาสตร์ และโครงสรา้ งแผนภมู ติ น้ ไม้ (Tree Diagram) การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู : ผู้วิจัยได้รวบรวมข้อมูลภาษาการใช้อาลปนวลีหรือคาเรียกขานท่ีคนไทย จานวน 30 คน ใชใ้ นการพดู ประโยคสื่อสารในชวี ิตประจาวัน โดยใช้ระยะเวลาในการทางานวจิ ยั ท้ังสิ้นประมาณ 6 เดือน ดังน้ี 1) สังเกตการใช้อาลปนวลหี รือคาเรียกขานที่คนไทยใชใ้ นการพดู ประโยคส่อื สารในชีวติ ประจาวัน 2) ศึกษาและรวบรวมขอ้ มลู ทเี่ กีย่ วขอ้ งกบั การใช้อาลปนวลีหรอื คาเรียกขาน 3) รวบรวมขอ้ มูลภาษาท่ีคนไทยใช้อาลปนวลีหรือคาเรียกขานในการพดู ประโยคส่ือสารตา่ งๆ 4) วเิ คราะห์โครงสร้างและวากยสมั พันธ์ของอาลปนวลีภาษาไทยในประโยคการพูดเพื่อการสือ่ สาร 5) สรุป อภปิ รายผล และเขยี นข้อเสนอแนะ 6) นาเสนอผลงานการวจิ ัย การวิเคราะห์ข้อมูล : ผู้วิจยั ทาการวิเคราะหโ์ ครงสร้างและวากยสมั พนั ธ์ของอาลปนวลภี าษาไทยใน ประโยคการพูดเพอ่ื การสื่อสาร ตามแนวคิดและทฤษฎีไวยากรณ์โครงสร้างและวากยสมั พันธข์ องภาษาไทยตามแนว ภาษาศาสตร์ (เรอื งเดช ปันเข่อื นขตั ิย,์ 2554) โดยวิเคราะห์องคป์ ระกอบจากส่วนใหญ่มาหาส่วนเล็กของประโยค และ ผลของการวเิ คราะห์จะแสดงรปู โครงสร้างเป็นแผนภมู ิต้นไม้ (Tree Diagram) ผลการวิเคราะหโ์ ครงสรา้ งอาลปนวลี (Vocative Phrase) ภาษาไทย จากการศึกษาโครงสร้างอาลปนวลีภาษาไทยในประโยคการพูดเพื่อการส่ือสารในปัจจุบัน ผู้ศึกษาพบว่า อาลปนวลภี าษาไทย เป็นกล่มุ คานามทง้ั หมด มโี ครงสรา้ งที่ปรากฏ 4 แบบ ดังนี้
1) (คานาม/คาสรรพนาม) + คาลงท้าย ((Noun/Pronoun) + Final Particles) ตวั อยา่ งเชน่ อาจารย์คะ/ครบั /ฮะ/ขา พ่อคะ/ครับ/ฮะ/ขา แม่คะ/ครับ/ฮะ/ขา ตาจา๋ ยายจา๋ คุณลุงคะ/ครับ/ฮะ/ขา คุณปา้ คะ/ครับ/ฮะ/ขา คุณนา้ คะ/ครบั /ฮะ/ขา คุณลอาคะ/ครับ/ฮะ/ขา คณุ คะ/ครบั /ขา ท่านคะ/ครบั เปน็ ต้น แผนภมู ติ ้นไม้ (Tree Diagram) ท่ี 1 2) (คานาม/คาสรรพนาม) + คาเชอื่ ม +คากรยิ า ((Noun/Pronoun) +Linkers +Verb) ตวั อยา่ งเชน่ นักเรยี น/นกั ศึกษาทรี่ กั พอ่ แมพ่ ่ีนอ้ งทเี่ คารพ ท่านผ้ฟู ัง/ทา่ นผมู้ เี กยี รติทเ่ี คารพ เพื่อน ๆ ทนี่ ่ารัก เป็นต้น แผนภมู ติ ้นไม้ (Tree Diagram) ท่ี 2
3) (คานาม/คาสรรพนาม) + คาเชื่อม + คากริยา + คาลงท้าย/คาหมาย ((Noun/Pronoun) + Linkers + Verb + Final Particles/Marker) ตัวอย่างเช่น นักเรียน/นักศึกษาที่รักทั้งหลาย ท่านผู้ฟังที่เคารพ ครบั /คะ พอ่ แม่พนี่ อ้ ง/ลุงปา้ นา้ อาทร่ี ักทัง้ หลาย เปน็ ตน้ แผนภูมติ ้นไม้ (Tree Diagram) ที่ 3 4) คาเชื่อม + (คานาม/คาสรรพนาม) + คาเชื่อม + คากรยิ า (Linkers + ((Noun/Pronominal) + Linkers + Verb) ตวั อยา่ ง ข้าแต่พระสงฆผ์ เู้ จริญ เป็นต้น แผนภูมติ ้นไม้ (Tree Diagram) ที่ 4
การวิเคราะห์โครงสรา้ งประโยคท่มี อี าลปนวลภี าษาไทยในการพดู เพือ่ การสือ่ สาร จากการศึกษาวิเคราะห์โครงสร้างของอาลปนวลี (Vocative Phrase) ท่ีปรากฏในประโยคการพูดเพื่อ การสื่อสาร พบว่าโครงสร้างอาลปนวลี (Vocative Phrase) ในประโยคภาษาไทยภาษาไทย ทาหน้าท่ีเป็นส่วนขยาย (Modifier) ของประโยค เพื่อรอ้ งเรยี กความสนใจจากผูฟ้ งั หรอื แสดงอารมณ์ ความรู้สึก ซ่ึงมีความสัมพันธ์กับประโยคที่ ตามมา หากเราวิเคราะห์โครงสร้างของประโยคที่มีอาลปนวลี (Vocative Phrase) แล้วจะพบว่าการปรากฏของ อาลปนวลีนนั้ สามารถสลบั ตาแหนง่ หน้าและหลงั ของประโยคหลกั ได้ และสามารถเกิดอาลปนวลีซ้าได้เช่นกนั ดงั น้ี 1. การปรากฏตาแหน่งอาลปนวลี (Vocative Phrase) หน้าประโยคภาษาไทย ตัวอย่างประโยค “แมค่ ะ หนูหวิ ขา้ ว” จากตัวอย่างจะเห็นได้ว่า อาลปนวลี “แม่คะ” นั้นทาหน้าเป็นส่วนขยาย (Modifier) ของประโยค พบการปรากฏโครงสรา้ งหนา้ ประโยคหลัก ดังแผนภูมติ น้ ไม้ (Tree Diagram) แผนภมู ติ น้ ไม้ (Tree Diagram) ที่ 5
2. การปรากฏตาแหน่งอาลปนวลี (Vocative Phrase) หลังประโยคภาษาไทย ตวั อยา่ งประโยค “ฟงั ครูหน่อย นักเรยี นที่รกั ” จากตัวอย่างจะเห็นได้ว่า อาลปนวลี “นักเรียนท่ีรัก” นั้นทาหน้าเป็นส่วนขยาย (Modifier) ของประโยค พบการปรากฏโครงสร้างหลงั ประโยคหลัก ดงั แผนภมู ติ น้ ไม้ (Tree Diagram) แผนภูมติ ้นไม้ (Tree Diagram) ที่ 6
3. การปรากฏตาแหนง่ อาลปนวลี (Vocative Phrase) ซ้าในประโยคภาษาไทย ตวั อย่างประโยค “พอ่ คะ แมค่ ะ นอ้ งตีหนู” จากตัวอย่างจะเห็นได้ว่า อาลปนวลี “พ่อคะ แม่คะ ” นั้นทาหน้าเป็นส่วนขยาย (Modifier) ของประโยค พบการปรากฏโครงสร้างซ้าในประโยคภาษาไทย ดังแผนภมู ิตน้ ไม้ (Tree Diagram) แผนภมู ติ ้นไม้ (Tree Diagram) ที่ 6 สรุป และอภิปรายผลการศกึ ษา สรปุ ผลการศึกษา จากการศกึ ษาโครงสรา้ งอาลปนวลภี าษาไทยในประโยคการพูดเพื่อการสื่อสารในปจั จบุ ัน ผู้วิจัยพบวา่ อาลปนวลภี าษาไทย เป็นกลุ่มคานามทัง้ หมด มโี ครงสรา้ งท่ีปรากฏ 4 แบบ คือ
1) (คานาม/คาสรรพนาม) + คาลงทา้ ย ((Noun/Pronominal) + Final Particles) ตัวอย่างเช่น อาจารย์คะ/ ครบั /ฮะ/ขา พ่อคะ/ครบั /ฮะ/ขา แมค่ ะ/ครับ/ฮะ/ขา ตาจา๋ ยายจา๋ คุณลงุ คะ/ครับ/ฮะ/ขา คณุ ปา้ คะ/ครบั /ฮะ/ขา คุณ นา้ คะ/ครบั /ฮะ/ขา คณุ ลอาคะ/ครับ/ฮะ/ขา คณุ คะ/ครบั /ขา ทา่ นคะ/ครบั เป็นต้น 2) (คานาม/คาสรรพนาม) + คาเชอ่ื ม + คากริยา ((Noun/Pronominal) + Linkers + Verb) ตวั อยา่ งเช่น นกั เรยี น/นกั ศกึ ษาทรี่ กั พ่อแมพ่ ่ีนอ้ งท่ีเคารพ ท่านผ้ฟู ัง/ทา่ นผ้มู เี กยี รติทีเ่ คารพ เพอ่ื น ๆ ท่นี า่ รกั เปน็ ต้น 3) (คานาม/คาสรรพนาม) + คาเชือ่ ม + คากริยา + คาลงท้าย/คาหมาย ((Noun/Pronominal) + Linkers + Verb + Final Particles/Marker) ตัวอย่างเชน่ นกั เรยี น/นกั ศกึ ษาทีร่ กั ท้งั หลาย ท่านผฟู้ งั ท่เี คารพครับ/คะ พ่อแม่พี่ น้อง/ลุงปา้ นา้ อาทร่ี ักทัง้ หลาย เปน็ ต้น 4) คาเชื่อม + (คานาม/คาสรรพนาม) + คาเชอ่ื ม + คากรยิ า (Linkers+ ((Noun/Pronominal) +Linkers +Verb) ตวั อยา่ งเชน่ ขา้ แตพ่ ระสงฆ์ผ้เู จรญิ เปน็ ตน้ นอกจากนีย้ งั พบว่า โครงสร้างของอาลปนวลี (Vocative Phrase) ท่ีปรากฏในประโยคการพูดเพ่ือการส่ือสาร ภาษาไทยนั้น ทาหน้าเป็นส่วนขยาย (Modifier) ของประโยค สามารถปรากฏตาแหน่งของอาลปนวลี (Vocative Phrase) ได้ 2 ตาแหน่งไม่ว่าจะเป็นด้านหน้าของประโยค เช่น แม่คะ หนูหิวข้า หรือด้านหลังของประโยคหลัก เช่น ฟงั ครูหน่อยนกั เรียนทรี่ กั และยงั สามารถเกดิ อาลปนวลซี า้ กันไดห้ ลายคร้งั ในตาแหน่งเดียวกนั เชน่ พอ่ คะแม่คะ นอ้ งตหี นู อภปิ รายผลการศึกษา จากผลการศึกษาโครงสร้างอาลปนวลีภาษาไทยในประโยคการพูดเพื่อการส่ือสารในปัจจุบัน ผู้วิจัยค้นพบว่า อาลปนวลีหรือกลมุ่ คาเรยี กขานในภาษาไทยนัน้ จะปรากฏคานาม/คาสรรพนามในประโยคสนทนาเสมอ ซ่ึงสอดคล้องกับ ทฤษฎีไวยากรณ์โครงสร้างและวากยสัมพันธ์ของภาษาไทยตามแนวภาษาศาสตร์ (เรืองเดช ปันเขื่อนขัติย์, 2554) ท่ี กลา่ วถงึ โครงสร้างของประโยคในภาษาไทยวา่ จะต้องประกอบดว้ ยคาหลกั ท่สี าคัญคอื คานาม และคากริยา นอกจากน้ีผู้วิจัยยังค้นพบว่าอาลปนวลีหรือกลุ่มคาเรียกขานในภาษาไทยที่ปรากฏในตาแหน่งด้านหน้าและ ดา้ นหลังของประโยคนั้น ยงั แฝงจดุ ม่งุ หมายในการส่อื สาร คือ ร้องเรียกความสนใจจากผู้ฟัง หรอื แสดงอารมณ์ ความรู้สึก ต่างๆ ซง่ึ มคี วามสมั พันธ์กับประโยคทตี่ ามมาหรือประโยคทขี่ น้ึ ตน้ บทสนทนา ข้อเสนอแนะในงานวจิ ยั 1) ผู้ศึกษาสามารถนาผลการปรากฏในตาแหน่งต่างๆ ของอาลปนวลไี ปใชใ้ นการพูดส่ือสารในสถานการณ์ต่างๆ เพอ่ื ร้องเรยี กความสนใจจากผฟู้ ัง หรือแสดงอารมณ์ ความรู้สกึ ต่างๆ ได้ 2) สาหรับการวิจัยครั้งต่อไป ผู้ศึกษาสามารถนาทฤษฎีการวิเคราะห์โครงสร้างและวากยสัมพันธ์ไปวิเคราะห์ การใช้ภาษาเขยี นเพือ่ การสื่อสารในชีวิตประจาวนั ได้
เอกสารอ้างองิ นภิ าพร นุเสน. (2549). พฒั นาทกั ษะการพูด. ลาปาง: มหาวิทยาลัยราชภฏั ลาปาง. เรืองเดช ปันเขื่อนขัตยิ .์ (2554). ภาษาศาสตร์ภาษาไทย. พมิ พ์ครง้ั ที่ 3. กรงุ เทพฯ: มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย. วรวรรธน์ ศรยี าภัย. (2556). ภาษาศาสตรภ์ าษาไทย. พิมพค์ รัง้ ท่ี 2. นนทบรุ ี : สัมปชญั ญะ. สาขาวชิ าภาษาไทย คณะครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยราชภฏั ลาปาง. (2557). ภาษาไทยเพอ่ื การสื่อสาร. ลาปาง : มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั ลาปาง. Crystal, D. (1998). The Cambridge encyclopedia of language. 2nd ed. Cambridge: Cambridge University Press.
Search
Read the Text Version
- 1 - 11
Pages: