ภ า ษ า ไ ท ย เ พ่ื อ ก า ร สื่ อ ส า ร | ๑๓๗ บทท่ี ๕ การอา่ นเพอื่ การสอ่ื สาร ในการดาเนินชีวิตประจาวันของเราน้ัน การอ่านนับเป็นอีกหนึ่งทักษะที่มีความสาคัญ และเอ้ือประโยชน์ในหลายๆ ด้านแก่ชีวิต อาทิ การช่วยเพิ่มพูนความรู้ การพัฒนาสติปัญญา การให้ความบันเทิง ตลอดจนการจรรโลงใจให้แก่ผู้อ่าน ไม่ว่าจะอยู่ในวัยใดประกอบอาชีพอันใด ก็จาเป็นจะต้องอาศัยการอ่านเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตและอาชีพของตนเองตลอดเวลา ดังนั้น เราจงึ ไมค่ วรละเลยการอา่ นและเรียนรู้วิธกี ารพัฒนาทกั ษะการอา่ นอย่างมีประสิทธิภาพต่อไป ความหมายของการอา่ นเพ่อื การส่ือสาร ก่อ สวัสดิพานิชย์ (๒๕๑๑ : ๓) กล่าวว่า “การอ่านเป็นการแปลความหมายของตัวอักษร ออกมาเป็นความคิด และนาความคิดนั้นไปใช้เป็นประโยชน์ ตัวอักษรเป็นเครื่องหมายแทนคาพูด และคาพูดก็เป็นเพียงเสียงที่ใช้แทนของจริงอีกทีหน่ึง เพราะฉะนั้น หัวใจของการอ่านอยู่ท่กี ารเขา้ ใจ ความหมายของคา” ส่วนพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ (๒๕๕๖ : ๑๔๐๕) ได้นิยามคาวา่ “อ่าน” ว่า “อ่าน ก. ว่าตามตัวหนังสือ, ออกเสียงตามตัวหนังสือ, ดู หรือเข้าใจความ จากตัวหนงั สอื ; สงั เกตหรอื พิจารณาดเู พื่อใหเ้ ข้าใจ...” โกชยั สารกิ บุตร (๒๕๒๑ : ๑๖) ไดส้ รปุ ความหมายของการอ่านไวว้ ่า การอ่าน คือ การมองดูตัวอักษรให้ชัดเจน + การเข้าใจความหมายของคา + การพิจารณา เลือกเอาความหมายท่ีดีที่สุดซ่ึงเหมาะกับข้อความและเน้ือหาตรงน้ัน + การนาความหมายไปใช้ ใหเ้ กดิ ประโยชน์ ดังน้ัน การอ่านจึงหมายถึง การมองดูตัวอักษรแล้วถ่ายทอดความหมายจากตัวอักษร ออกมาเป็นความคิด จากนั้นจึงนาความรู้ ความคิด หรือส่ิงที่ได้จากการอ่านไปใช้ให้เป็นประโยชน์ ในด้านตา่ งๆ เมอื่ ถงึ เวลาอันควร ความสาคญั ของการอา่ นเพ่อื การสื่อสาร “รากฐานของตึกคืออิฐ รากฐานของชีวิตคือหนังสือ ” ข้อความนี้เป็นคาขวัญ เนื่องในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติประจาปี ๒๕๒๐ อันมีนัยแห่งความหมายท่ีบ่งชี้ให้เห็นคุณค่า ของการอ่านหนังสือ การรู้จักเลือกอ่านหนังสือดีๆ น้ันจะช่วยสร้างเสริมความรู้ ความคิด ให้เป็นคนมีวิสัยทัศน์กว้างไกล มีประสบการณ์ที่รู้เท่าทันโลกให้แก่ผู้อ่าน และยังประโยช น์ นานาประการ อาจจะประมาณค่ามิได้ เพราะหนังสือเป็นแหล่งรวบรวมความรู้ ความคิด วิทยาการ ตา่ งๆ ทกุ ด้านไว้ ดงั พระราชดารัสในพระบาทสมเด็จพระเจา้ อยู่หัวภูมิพลอดลุ ยเดชมหาราช (๒๕๒๕) ทวี่ า่
๑๓๘ | ภ า ษ า ไ ท ย เ พื่ อ ก า ร ส่ื อ ส า ร ...หนังสือเป็นเสมือนคลังที่รวบรวมเรื่องราว ความรู้ ความคิด วิทยาการทุกด้านทุกอย่าง ซ่ึงมนุษย์ได้เรียนรู้ ได้คิด อ่าน และพากเพียรพยายามบันทึกรักษาไว้ด้วยลายลักษณ์อักษร หนังสือแพร่ไปถึงท่ีใด ความรู้ความคิดก็แพร่ไปถึงท่ีน่ัน... หนังสือเป็นสิ่งสาคัญ สาหรับการพฒั นา ท้งั กาย ทง้ั อาชพี ทัง้ การคน้ คว้า และในทส่ี ุดความพอใจ... สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (๒๕๒๖ ) ได้นิพนธ์บทกวี “ฉนั ชอบหนงั สอื ” ไวว้ ่า หนังสือ มมี ากมาย หลายชนดิ นาดวงจิต เริงรน่ื ชื่นสดใส ใหค้ วามรู้ สาเรงิ บันเทิงใจ ฉันจงึ ใฝ่ ใจสมาน อา่ นทุกวัน มีวิชา หลายอย่าง ต่างจาพวก ล้วนสะดวก คน้ ได้ ให้สขุ สนั ต์ วชิ าการ สรรมา สารพนั ชั่วชวี นั ฉนั อา่ นได้ ไมเ่ บื่อเลย จากข้างต้นจะเห็นได้ว่า ปัจจุบันน้ีสังคมของเราเป็นสังคมแห่งข้อมูลข่าวสาร ในการดาเนินชีวิตประจาวันน้ันเราจะต้องเผชิญกับข้อมูลข่าวสารมากมาย ดังน้ัน การอ่าน จึงมีความพันธ์ต่อการดาเนินชีวิตประจาวันของเราอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่น การอ่านหนังสือพิมพ์ การอ่านตาราเรียน การอ่านประกาศข่าวสารและโฆษณา ตลอดจนการอ่านนิตยสาร นิยาย และวรรณกรรม โดยความสาคญั ของการอา่ นสามารถสรุปได้ ดงั นี้ ๑. การอ่านช่วยให้ผู้อ่านได้รับความรู้ มีความรอบรู้ ไม่แคบอยู่เฉพาะเร่ือง ยิ่งถ้าได้อ่าน หนังสอื พิมพ์ วารสาร หรอื นิตยสารเปน็ ประจาอยู่แลว้ ก็จะทาใหผ้ ู้อ่านเป็นคนทนั สมัย ทันเหตุการณ์ รู้เท่าทันความเปล่ียนแปลงของสังคมและโลก เมื่อเข้าวงสนทนากับใครก็จะร่วมสนทนาได้เข้าใจ และเข้าสงั คมได้โดยไมข่ ดั เขิน ๒. การอ่านจะช่วยพัฒนาความคิดและช่วยยกระดับสติปัญญาให้สูงขึ้น และเม่ืออ่านมาก ย่อมรู้มาก เม่ือมีความรู้มากย่อมก่อให้เกิดสติปัญญาที่แหลมคม ฉลาดปราดเปรื่อง และอาจถึง ขน้ั เชย่ี วชาญในเร่อื งทสี่ นใจและตดิ ตามอา่ นกไ็ ด้ ๓. การอ่านเป็นเคร่อื งมือสาคญั ของการศึกษา เพราะไม่ว่านักเรียนนักศึกษาจะเรียนวิชาใด ลว้ นต้องอาศัยการอ่านช่วยศกึ ษาค้นคว้าดว้ ยตนเองเพมิ่ เติมจากการเรยี นในช้ันเรียนทัง้ สนิ้ ๔. การอ่านช่วยให้มีความก้าวหน้าในอาชีพ เพราะการประกอบอาชีพทุกอาชีพย่อมอาศัย ความรคู้ วามสามารถ ความชานาญในการทางาน ถ้าบุคคลใดพยายามแสวงหาความรู้ความสามารถ ใส่ตนให้ทันสมัยและสอดคล้องกับวิทยาการใหม่ๆ อยู่เสมอ ย่อมมีความเจริญก้าวหน้าในอาชีพ มากกว่าผู้ท่ีไม่พัฒนาตนเอง และวิธีการสาคัญประการหน่ึงท่ีจะได้ความรู้ ประสบก ารณ์ และความสามารถในวิทยาการใหม่ๆ กค็ ือ “การอ่าน”
ภ า ษ า ไ ท ย เ พื่ อ ก า ร สื่ อ ส า ร | ๑๓๙ ๕. การอ่านช่วยปรับปรุงบุคลิกภาพให้ดีได้ ด้วยเหตุที่มีหนังสือในกลุ่มท่ีมีเน้ือหา ซ่ึงเสนอแนะเก่ียวกับการวางตน การพูดจา การเข้าสังคม การแต่งกาย ตลอดจนการแนะนา การปฏิบัติตนไปในทางที่เหมาะสมและทันสมัยมีอยู่มากมาย ถ้าผู้อ่านได้นาข้อแนะนาเหล่าน้ันมา ทดลองปฏิบตั ิตาม ก็จะทาใหบ้ คุ ลกิ ภาพเปล่ยี นแปลงไปในทางทดี่ ีได้ ๖. การอ่านช่วยแก้ไขปัญหาในใจได้ เพราะปัญหาท่ีเราประสบในชีวิตประจาวันอาจมี วิธีแก้ไขในหนังสือที่อ่าน ก็จะสามารถนามาประยุกต์แก้ปัญหาของเราได้ เช่น ปัญหาชีวิต ปัญหาสุขภาพ ปัญหาการเลี้ยงดูแลลูก ปัญหากฎหมาย เรื่องจากสิบแปดมงกุฎ หรือปัญหาเก่ียวกับ การประกอบอาชพี เป็นต้น ๗. การอ่านทาให้เกิดความจรรโลงใจ ได้รับความเพลิดเพลิน สนุกสนาน ช่วยให้จิตใจ ได้พักผ่อนหลังจากที่ได้เคร่งเครียดจากงานมา ถ้าได้อ่านเร่ืองเบาสมอง เรื่องชวนหัว หรืองานเขียน ประเภทบนั เทงิ คดี ก็จะคลายลงได้ ๘. การอ่านช่วยให้เราใช้เวลาอย่างมีคุณค่าหรือท่ีเรียกว่า การอ่านช่วยฆ่าเวลาให้มีค่า แทนทจ่ี ะใช้เวลาไปในทางไร้คา่ ไมถ่ ูกไม่ควร ประโยชนข์ องการอ่านเพอ่ื การสอ่ื สาร เราสามารถสรปุ ประโยชน์ของการอ่านหนงั สือไวไ้ ด้ ดงั นี้ ๑. ประโยชน์ในฐานที่เป็นวรรณคดี คือ ผู้อ่านได้รับความสนุกสนานเพลิดเพลิน เกิดอารมณ์สะเทือนใจและความนึกฝันไปตามทอ้ งเรื่อง ๒. ประโยชน์อันเกิดแก่ผู้เขียนเอง ได้แก่ การระบายอารมณ์ การแสดงความคิด การให้ทัศนะหลกั เกณฑช์ วี ิตแก่ผู้อ่าน ๓. ประโยชน์ในฐานท่ีเป็นเครื่องบันเทิง ท้ังยังมีการประยุกต์เป็นละครวิทยุ ละครโทรทัศน์ ภาพยนตร์ เป็นตน้ ๔ . ป ระโยชน์ใน ด้าน ความรู้ เช่น สภ าพ ความเป็นอยู่ ภูมิฐานของบ้านเมื อง วัฒนธรรม ฯลฯ หรือเป็นส่ิงสะท้อนให้เห็นสภาพชีวิตในเรื่องที่แต่งก็ได้ เช่น เหตุการณ์ ใน ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ จ ะ ท า ให้ ผู้ อ่ า น ท ร า บ ร าย ล ะ เอี ย ด ข อ งชี วิ ต บุ ค ค ล ส า คั ญ ท่ี ท าคุ ณ ป ร ะ โย ช น์ เพอ่ื ประเทศชาติ ๕. ประโยชน์ในด้านภาษา ผู้อ่านจะได้รับรสไพเราะทางภาษาท่ีร้อยกรองไว้อย่างประณีต บรรจงแลว้ ๖. ประโยชน์ทางด้านคติธรรม เป็นเคร่ืองชาระจิตใจผู้อ่าน ยกระดับจิตใจให้สูงขึ้น ถา้ เป็นวรรณคดที ่ีดี ๗. ประโยชน์ทางการเมือง อาจทาให้การเมืองผันแปรได้ โดยผู้แต่งใช้นวนิยาย เป็นส่อื คัดคา้ นความอยุติธรรมและทาให้ผู้อา่ นเห็นด้วยได้ นอกจากน้ี ฐะปะนีย์ นาครทรรพ และคณะ (๒๕๔๖ : ๕๖–๕๗) กลา่ วถึงประโยชน์ของการ อ่าน สรุปไดด้ ังนี้
๑๔๐ | ภ า ษ า ไ ท ย เ พ่ื อ ก า ร สื่ อ ส า ร ๑. ทาใหม้ คี วามร้ใู นวิชาการดา้ นตา่ งๆ อาจเป็นความรทู้ ัว่ ไปหรือความรูเ้ ฉพาะดา้ นกไ็ ด้ ๒. ทาให้รอบรู้ทันโลก ทันเหตุการณ์ ซ่ึงนอกจากจะทาให้รู้ทันข่าวสารบ้านเมือง และสภาพการณ์ต่างๆ ในสังคมทั้งภายในและภายนอกประเทศแล้ว ยังจะได้ทราบข่าวกีฬา ข่าวบันเทิง บทความวิจารณ์ ตลอดจนการโฆษณาสินค้าต่างๆ อีกด้วย ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างย่ิง ในการปรบั ความเปน็ อยูใ่ หเ้ หมาะสม สอดคลอ้ งกบั สภาพสังคมของตนในขณะนน้ั ๆ ๓. ทาให้ค้นหาคาตอบท่ีต้องการได้ การอ่านหนังสือจะช่วยตอบคาถามที่เราข้องใจ สงสัยต้องการรู้ได้ เช่น อ่านพจนานุกรมเพื่อหาความหมายของคา อ่านหนังสือกฎหมาย เพอ่ื ต้องการรู้ข้อปฏบิ ตั ิ เป็นต้น ๔. ทาให้เกิดความเพลิดเพลิน การอ่านหนังสือที่มีเน้ือหาดี น่าอ่าน น่าสนใจ ย่อมทาให้ ผู้อ่านมีความสุข ความเพลิดเพลิน เกิดอารมณ์คล้อยตามอารมณ์ของเรื่องน้ันๆ ผ่อนคลาย ความตงึ เครียด ได้ขอ้ คิด และยังเปน็ การยกระดับจิตใจผู้อา่ นให้สูงขนึ้ ได้อีกด้วย ๕. ทาให้เกิดทักษะและพัฒนาการในการอ่าน ผู้ที่อ่านหนังสือสม่าเสมอย่อมเกิด ความชานาญในการอ่าน สามารถอ่านได้เร็ว เข้าใจเร่ืองราวท่ีอ่านได้ง่าย จับใจความได้ถูกต้อง เข้าใจประเด็นสาคญั ของเร่ือง และสามารถประเมินคณุ ค่าเรอ่ื งทอี่ า่ นได้อย่างสมเหตสุ มผล ๖. ทาให้ชีวิตมีพัฒนาการเป็นชีวิตที่สมบูรณ์ ผู้ที่อ่านมากย่อมรู้เร่ืองราวต่างๆ มาก เกิดความรู้ความคิดท่ีหลากหลายกว้างไกล สามารถนามาเป็นแนวทางในการประพฤติปฏิบัติตน ใหช้ วี ติ มีคุณคา่ และมีระเบียบแบบแผนท่ีดียง่ิ ขึ้น ๗. ทาให้เป็นผู้มีมนุษยสัมพันธ์ดีและเสริมสร้างบุคลิกภาพ ผู้อ่านมากย่อมรอบรู้มาก มีข้อมูลต่างๆ ส่ังสมไว้มาก เมื่อสนทนากับผู้อื่นย่อมมีความมั่นใจไม่ขัดเขินเพราะมีภูมิรู้ สามารถ ถ่ายทอดความรู้ ให้คาแนะนาแก่ผู้อ่ืนในทางที่ก่อให้เกิดประโยชน์ได้ ผู้รอบรู้จึงมักได้รับการยอมรับ และเปน็ ทีเ่ ช่ือถอื จากผอู้ น่ื จดุ มงุ่ หมายของการอา่ นเพอื่ การสือ่ สาร นั ก วิ ช า ก า ร ด้ า น ก า ร อ่ า น ห ล า ย ท่ า น ได้ จ า แ น ก จุ ด มุ่ งห ม า ย ข อ งก า ร อ่ า น อ ย่ า ง ก ว้ า ง ๆ พอสรปุ ไดด้ งั นี้ ๑. อ่านเพ่ือหาความรู้หรือเพิ่มพูนความรู้ เป็นความรู้จากหนังสือประเภทตารา ทางวิชาการ สารคดีทางวิชาการ การวิจัยประเภทต่างๆ หรือการอ่านผ่านส่ืออิเล็กทรอนิกส์ การอ่านจากหนังสือท่ีมีสาระเดียวกันควรอ่านจากผู้เขียนหลายๆ คนเพ่ือเป็นการตรวจสอบ ความถูกต้องแม่นยาของเน้ือหา ผู้อ่านจะมีความรอบรู้ ได้แนวคิดที่หลากหลาย การอ่านเพ่ือศึกษา หาความรู้น้ีเปน็ การอ่านเพอื่ สั่งสมความรู้และประสบการณ์ของผู้อ่าน ๒. อ่านเพ่ือให้ทราบข่าวสาร ความคิด เป็นการอ่านเพื่อให้ทราบข่าวสารความคิด เข้าใจ แนวคิด ซึ่งได้แก่ การอ่านหนังสือประเภทบทวิจารณ์ข่าว รายงานการประชุม ผู้อ่านไม่ควรเลือก อ่านหนังสือท่ีสอดคล้องกับความคดิ และความชอบของตน ควรเลือกอ่านอย่างหลากหลาย จะทาให้ มีมุมมองทีก่ วา้ งขน้ึ จะช่วยใหเ้ รามีเหตุผลอื่นๆ มาประกอบการวจิ ารณ์-วิเคราะห์ได้ลมุ่ ลกึ มากขึน้
ภ า ษ า ไ ท ย เ พื่ อ ก า ร ส่ื อ ส า ร | ๑๔๑ ๓. อ่านเพื่อความเพลิดเพลินหรือเพ่ือความบันเทิง ความชื่นชม การอ่านเป็นอาหารใจ ให้เกิดความบันเทิง อ่านแล้วเกิดความเพลิดเพลิน สนุกสนาน การอ่านหนังสือประเภทบันเทิงคดี เช่น นวนิยาย เร่ืองส้ันหรืออ่านบทละคร อ่านบทกวีนิพนธ์ บทเพลง บทขาขัน เป็นต้น นอกจาก จะเพลิดเพลนิ ไปกับภาษาและเรื่องราวท่ีสนุกสนานแล้ว ยงั ได้ความรแู้ ละคติข้อคิดควบค่ไู ปดว้ ย ๔. อ่านเพื่อพัฒนาวิจารณญาณและค่านิยม การอ่านเพื่อพัฒนาวิจารณญาณและค่านิยม จะเกี่ยวข้องกับการพัฒนาทักษะการอ่านของนักเรียนในระดับที่สูงข้ึน และมีการเพ่ิมพูน ประสบการณ์ทางโลกและชีวติ ท่ีเจนจดั มากขึ้น นกั เรียนจึงจะเข้าใจคติธรรมที่แทรกอยใู่ นวรรณกรรม ที่อ่านด้วยกระบวนการคิดวิเคราะห์อย่างสมเหตุสมผล สามารถเลือกและประยุกต์สิ่งท่ีมีคุณค่า มาพัฒนาตนเอง ให้เป็นทรัพยากรบุคคลท่ีมีคุณภาพและดารงชีวิตอยู่ในสังคมอย่างมีคุณค่า ส า ม า ร ถ รั บ ใช้ สั ง ค ม แ ล ะ ป ร ะ เท ศ ช า ติ ให้ เจ ริ ญ ก้ า ว ห น้ า ต า ม ก า ลั ง ส ติ ปั ญ ญ า ที่ เพิ่ ม พู น ขึ้ น อันสืบเนื่องมาจากนักเรียนเกิดความรู้ความเข้าใจสภาพแวดล้อมของชีวิตในด้านท่ีเป็นสัจธรรม ความจรงิ สมบรู ณ์ขน้ึ (กุสุมา รกั ษมณี และคณะ, ๒๕๓๖ : ๗๙) ๕. การอ่านเพ่ือกิจธุระหรือประโยชน์อ่ืนๆ การอ่านเพื่อกิจธุระอ่ืนๆ นอกเหนือจาก จุดมุ่งหมายท่ีกล่าวมาแล้ว ยังเป็นการอ่านเพ่ือประโยชน์เฉพาะกิจ เช่น อ่านแบบฟอร์มต่างๆ อ่านหนังสือสัญญาเงินกู้ จานองและซ้ือขาย อ่านใบสมัครและระเบียบการ อ่านคาส่ังและสัญญาณ บ่งบอกที่มีความหมายต่างๆ เป็นต้น เราถือว่าสารเหล่าน้ีจะมีแบบแผนและรายละเอียดเฉพาะกลุ่ม เฉพาะองค์การหรือเฉพาะสงั คม ซ่งึ การติดต่อสื่อสารในโลกปัจจุบัน เราไม่อาจหลกี เลี่ยงการอ่านส่ิงนี้ ได้เลย หากอ่านผิดพลาดหรือไม่เข้าใจวัตถุประสงค์ที่แท้จริง อาจก่อให้เกิดความเสียหาย หรือเสยี ผลประโยชน์ของเราได้ จากข้างต้น จุดประสงค์ของการอ่านแต่ละคนจะแตกต่างกันไปตามความต้องการ ผู้อ่าน จะกาหนดจุดประสงค์ของการอ่านเพ่ือตอบสนองความต้องการโดยเฉพาะตนเอง การอ่านแต่ละคร้ัง ย่อมก่อให้เกิดประโยชน์แก่ผู้อ่านท้ังสิ้น ข้อควรคานึงสาหรับผู้ท่ีอยู่ในวัยเรียน คือ ควรใช้ วิจารณญาณในการเลือกเร่ืองที่จะอ่าน และรู้จักแยกแยะนาส่ิงท่ีเป็นประโยชน์จากการอ่านไปใช้ ในการประกอบกิจกรรมทีเ่ กี่ยวขอ้ งกับการดาเนินชีวติ ในแต่ละด้านได้อย่างมปี ระสิทธิภาพ จึงจัดเป็น ปัจจยั สาคญั ทจ่ี ะเสรมิ สรา้ งสัมฤทธิผ์ ลของการอา่ นให้บรรลจุ ุดม่งุ หมายแต่ละข้อตามท่ีกล่าวมา ประเภทของการอา่ นเพอื่ การสือ่ สาร การอ่านสามารถแบ่งออกเป็นประเภทต่างๆ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่าจะใช้อะไรเป็นเกณฑ์ ในการพิจารณา ถ้าหากพิจารณาการอ่านโดยดูจากจุดมุ่งหมายของผู้อ่านเป็นหลัก เราอาจจะแบ่ง ได้ดังนี้ (อัมพร ทองใบ, ๒๕๔๐ : ๑๘–๑๙) ๑. อ่านผ่านๆ หรืออ่านเอาเร่ือง ทั้งนี้ข้ึนอยู่กับความสนใจของผู้อ่าน เช่น การพลิกตารา บางเล่มเพ่ื อดูว่าเน้ื อหาครอบคลุมเร่ืองท่ี จะค้นคว้าหรือไม่ อาจจะอ่าน เพียงหัวเร่ือง หรืออา่ นหนา้ สารบัญ หรอื อ่านหนา้ ผนวกทา้ ยเลม่ เปน็ ต้น
๑๔๒ | ภ า ษ า ไ ท ย เ พ่ื อ ก า ร สื่ อ ส า ร ๒. อ่านวิเคราะห์ เม่ือมีความประสงค์จะรู้เร่ืองโดยละเอียด การอ่านแบบน้ีอาจจะต้อง บนั ทกึ เรอ่ื งยอ่ ไวด้ ้วยเพ่อื ทบทวนความจา ๓. อ่านตีความ เมื่ออ่านรู้เร่ืองก็ต้องมีการตีความ ซ่ึงการตีความน้ันจะขึ้นอยู่กับ ประสบการณข์ องแต่ละคน ผ้อู า่ นหลายๆ คนทีอ่ ่านเร่ืองเดียวกันแล้วอาจตีความไมเ่ หมอื นกนั ก็ได้ ศรีสุดา จริยากุล (๒๕๔๕ : ๙–๑๐) ได้แบ่งประเภทของการอ่านโดยพิจารณาจากลักษณะ การอา่ นเป็นหลัก โดยแบ่งเป็น ๒ ประเภท คือ การอา่ นออกเสยี ง และการอ่านในใจ ๑. การอ่านออกเสียง เป็นการอ่านให้ผู้อื่นฟัง ถ้าเป็นการอ่านออกเสียงธรรมดา ผู้อ่านจะต้องระวังควบคุมการออกเสยี ง ตวั สะกด ตวั ควบกล้า ลีลา จังหวะวรรคตอนให้ถูกต้อง ลีลา จังหวะเป็นสิ่งสาคัญอย่างหนึ่ง แม้จะอ่านถูกอักขรวิธี แต่ถ้าลีลาการอ่านไม่ดีไม่มีจังหวะจะโคน การแบง่ วรรคตอนการอา่ นไมถ่ ูกต้องก็จะทาใหเ้ รื่องที่อ่านเสียไป ๒. การอ่านในใจ เป็นการอ่านเพื่อเก็บใจความและเพื่อทาความเข้าใจ อ่านเพ่ือแสวงหา ความรู้ความบันเทิงให้แก่ตนเอง ผู้อ่านจะต้องมีความรู้เกี่ยวกับคาศัพท์และสามารถเข้าใจเร่ืองราว ท่ีได้อ่านโดยตลอด การอ่านหนังสือเมื่ออ่านไปโดยตลอดก็พอจะเก็บใจความได้ว่าเรื่องท่ีอ่าน มีเน้ือหาเร่ืองราวว่าอย่างไร หากมีบางตอนที่อาจจะไม่เข้าใจเพราะเร่ืองที่อ่านนั้นยากเกินความรู้ ของผู้อ่านท่ีจะทาความเข้าใจได้ ผู้อ่านควรจะพยายามเอาชนะด้วยการอ่านอย่างมีสมาธิและรับรู้ ความหมายทกุ ถ้อยคาจนเกดิ ความเขา้ ใจเนื้อเร่อื งไดต้ ลอด สอางค์ ดาเนินสวัสดิ์ และคณะ (๒๕๔๖ : ๘๘) แบ่งลักษณะการอ่านเปน็ ๕ ชนดิ คือ ๑. การอ่านอย่างคร่าวๆ เป็นการอ่านเพื่อสารวจว่าควรจะอ่านหนังสือเล่มนี้อย่างละเอียด ต่อไปหรือไม่ โดยอ่านเพียงชื่อเรื่อง หัวข้อเรื่อง ช่ือผู้แต่ง คานา หรือการอ่านเน้ือหาบางตอน โดยรวดเร็ว ๒. การอ่านเพื่อจับใจความสาคัญ เป็นการอ่านเพื่อเก็บแนวคิดท่ีต้องการและอ่าน ข้ามตอนท่ีไม่ตอ้ งการ ๓. การอ่านเพื่อสารวจเน้ื อหา เป็นการอ่านเพ่ือทาเป็นบันทึกย่อหรือทบทวน เพอ่ื สรุปสาระสาคัญของเรื่องทงั้ หมด ๔. การอ่านเพ่ือศึกษาอย่างลึกซึ้ง เป็นการอ่านละเอียดเพื่อให้เข้าใจเร่ืองท่ีอ่าน อยา่ งชัดเจน ๕. การอ่านเพื่อวิเคราะห์และวิจารณ์ เป็นการอ่านละเอียดเพื่อวิเคราะห์เน้ือหา ว่ามีความหมายและมีความสาคัญอย่างไร รวมท้ังแสดงความคิดเห็นอย่างมีเหตุผลเกี่ยวกับเรื่องที่ อ่าน ประเภทของการอ่าน สามารถแบ่งตามวตั ถุประสงค์ได้ดังน้ี ๑. อ่านเพอื่ เกบ็ ความร้สู าคญั ๒. อ่านเพอ่ื จับใจความสาคัญ ๓. อา่ นเพื่อตีความ ๔. อา่ นเพอื่ วเิ คราะห์
ภ า ษ า ไ ท ย เ พื่ อ ก า ร ส่ื อ ส า ร | ๑๔๓ ๑. การอ่านเพื่อเก็บความรู้สาคัญ หมายถึง การอ่านหนังสือประเภทใดประเภทหนึ่ง ซง่ึ มีความรูห้ ลากหลายอยู่ในเรื่องเดียวกันน้ัน เช่น อาจจะมีความรู้เรื่องวิทยาศาสตร์ สุขภาพอนามัย การเมือง เศรษฐกิจ ศาสนา หากผู้อ่านประสงค์จะเก็บความรู้เฉพาะด้านใดด้านหน่ึง เช่น จะเก็บความรู้สาคัญเฉพาะวทิ ยาศาสตร์ ผู้อ่านก็จะเก็บความรู้เฉพาะนั้นๆ ไวโ้ ดยการบันทึกข้อความ ส่วนด้านอ่ืนๆ ของเรื่องน้ัน ผู้อ่านก็ผ่านเลยไป ไม่จาเป็นต้องบันทึก วิธีนี้เรียกว่า การอ่าน โดยมีจุดประสงค์เพื่อเก็บข้อความทเ่ี ปน็ ความรู้เฉพาะที่ผู้อ่านสนใจเปน็ ดา้ นๆ ไป วธิ ีการน้ีเหมือนกับ ผู้อ่านเดินอยู่ตามชายหาดในทะเลท่ีกว้างใหญ่ แล้วผู้อ่านก็เลือกเก็บแต่เฉพาะก้อนหินสีสวยๆ หรอื เลือกเก็บเฉพาะเปลือกหอยสีสวยงาม ส่วนอนื่ ๆ เชน่ ทราย น้าทะเล แมงกะพรุน มะพร้าว ฯลฯ ผู้อ่านไม่เลือกเก็บไว้ ชายหาดในทะเลเหมือนหนังสือหรือเร่ืองๆ หน่ึงของผู้อ่าน ส่วนส่ิงของต่างๆ บริเวณชายหาด เหมือนกับความรู้ในด้านต่างๆ ซ่ึงผู้อ่านเลือกเก็บด้านใดด้านหนึ่งเพียงด้านเดียว หรอื ๒–๓ ดา้ นเท่าน้นั ท่ผี ู้อา่ นคดิ ว่าสาคญั ไม่จาเป็นตอ้ งเกบ็ ความรู้ท้งั หมด ๒. การอ่านเพื่อจับใจความสาคัญ หมายถึง เม่ือผู้อ่านได้อ่านเร่ืองนั้นๆ แล้วสามารถ จับประเด็นสาคัญของข้อความท่ีกล่าวมาท้ังหมดของเรื่องนั้นได้อย่างสมบูรณ์ และสรุปอย่างย่อๆ โดยรู้จักแยกแยะประเด็นสาคัญว่าอะไรเป็นประเด็นหลัก อะไรเป็นประเด็นสาคัญรองลงมาได้ ถูกต้อง แล้วสามารถมีความคิดท่ีเป็นระบบ โดยนาข้อความมาเรียบเรียงต่อเนื่องกันโดยใช้ภาษา ของผู้จับใจความสาคัญเอง ในแต่ละย่อหน้าจะมีใจความสาคัญ ดังท่ี จิตต์นิภา ศรีไสย์ (๒๕๔๙) ได้สรุปไว้ ดังน้ี ๑. ใจความสาคัญหรือประเด็นหลัก คือ ข้อความสาคัญที่สุดในแต่ละย่อหน้า ตัดข้อความสาคัญนั้นออกไม่ได้เพราะจะไม่ได้ความหมาย ขาดส่วนสาคัญไป คัดท้ิงไม่ได้ จะผิดความหมายทันที อยา่ งนเ้ี รยี กวา่ ใจความสาคัญ ๒. ใจความรองหรือประเด็นรอง หมายถึง ข้อความสาคัญรองๆ ลงไป สามารถตัดทิ้งได้ ไม่ได้ทาให้ข้อความในย่อหน้าน้ันเปลี่ยนความหมายไป อย่างนี้เรียกว่าใจความสาคัญรองๆ ลงมา ถ้าเปรียบใจความสาคัญจะเหมือน “หัวใจ” ของคนเรา ตัดออกไม่ได้ ตัดแล้วคนไม่สามารถมีชีวิต อยู่ได้ ส่วนใจความสาคญั รองเปรียบเหมือนแขนขาของคน เมื่อตดั แลว้ ยังสามารถมีชวี ติ อยู่ได้น่ันเอง เพือ่ นร่วมโลกทั้งหลาย จงเป็นสขุ เถิด อยา่ มีเวรแก่กัน เพอ่ื นร่วมโลกท้ังหลาย จงเปน็ สุขเถิด อยา่ เจ็บไข้ไดย้ าก เพือ่ นรว่ มโลกท้ังหลาย จงเป็นสุขเถิด อย่ามที กุ ข์กายทุกขใ์ จ เพื่อนรว่ มโลกทั้งหลาย จงสุขกายสบายใจ รกั ษาตนใหพ้ น้ ทุกข์ภยั ทว่ั กัน ตารางที่ ๕.๑ ตวั อย่างการจับใจความ ใจความสาคัญที่สุดหรอื ประเด็นหลัก คือ ข้อความท่ีพิมพ์ตัวหนา ตัดออกไม่ได้ ความหมาย เปล่ียน ใจความสาคัญรองลงมาหรือประเด็นรอง คือ ข้อความนอกเหนือจากการขีดเส้นใต้ ตัดออกได้ ความหมายไม่เปลี่ยน
๑๔๔ | ภ า ษ า ไ ท ย เ พื่ อ ก า ร สื่ อ ส า ร เม่ือนาข้อความมาเรียบเรยี งใหม่ด้วยภาษาของผู้เขียนเอง จะได้ว่า “เพ่ือนร่วมโลกท้ังหลาย อยา่ มีเวรแกก่ ัน อยา่ เจ็บไข้ อยา่ ทกุ ข์ จงสขุ กายสบายใจ” สักครู่หน่ึงถึงกลางป่าช้า พระราชาทอดพระเนตรส่ิงซึ่งเป็นที่น่ารังเกียจต่างๆ อยู่ล้อมรอบ กองไฟซ่ึงเผาศพใหม่ๆ ภูตผีปีศาจปรากฏแกต่ ารอบข้าง เสือคารามอย่กู ็มี ช้างฟาดงวง อยู่ก็มี หมาไนซ่ึงขนเรืองๆ ในท่ีมืดก็กินซากศพซ่ึงกระจัดกระจายเป็นช้ินเป็นทอ่ น หมาจิง้ จอกต่อสู้ กัน แย่งอาหารคือเน้ือและกระดูกมนุษย์ หมีก็ยืนและคอยเป็นอันมาก ทั้งมีเสียงลมและฝน เสียง สุนขั เห่าหอน เสียงนกเคา้ แมวรอ้ ง และเสียงกระแสน้าไหลกลบกันไป (นทิ านเวตาล ของ น.ม.ส.) ตารางที่ ๕.๒ ตวั อยา่ งการจบั ใจความ ใจความสาคัญ คอื ข้อความทขี่ ดี เส้นใต้ ตดั ออกไมไ่ ด้ ความหมายเปล่ยี น ใจความสาคัญรองลงมา คือ ท่เี หลือจากไม่ขดี เส้นใต้ สามารถตดั ทงิ้ ออกได้ เม่ือนาข้อความมาเรยี งโดยใช้ภาษาของผอู้ ่านเอง จะไดด้ งั น้ี พระราชาทอดพระเนตรสง่ิ ทน่ี า่ เกลยี ดน่ากลวั มากเมอื่ เสด็จกลางป่าชา้ ถ้าข้อความมีหลายข้อความ ผู้อ่านสามารถจับประเด็นสาคัญของแต่ละข้อความดังข้อความ ท่ีกล่าวข้างบนน้ี แล้วนาใจความสาคัญของแต่ละย่อหน้ามาสรุป เรียบเรียงใหม่ให้เป็นร้อยแก้ว ท่ีสละสลวย ส้ัน ได้ใจความ ข้อความใดรุงรังหรือสามารถใช้คาใหม่ให้ดีกว่าได้ก็ให้ใช้คาให้ส้ัน กะทดั รัด แต่ตอ้ งคงความหมายเดมิ ไว้ เทคนิคการจบั ใจความสาคญั ของแตล่ ะยอ่ หน้า มดี งั นี้ ๑. รอ้ ยแกว้ ๑.๑ ใจความสาคัญท่ีสุดอยู่บรรทัดแรก นอกนั้นเป็นพลความหรือใจความสาคัญรองๆ ลงไป ตวั อยา่ งที่ ๑ (ใจความสาคัญอยตู่ รงบรรทดั แรก) (บรรทัดแรก) (ใจความสาคัญ) วัดกับคนไทยมีความเก่ียวพันต่อกัน อย่างลึกซึ้งตลอดมา ในสมัยก่อน วัดเป็นทุกส่ิง ทุกอย่างในชีวิตประจาวันของเรา เช่น โรงเรียน อบรมส่ังสอนเด็ก เป็นศาลไกล่เกล่ียข้อขัดแย้ง ของผู้ใหญ่ เป็นที่ประกอบพิธีทุกอย่างตั้งแต่เกิด จนตาย (วดั ไทย…) ๑.๒ ใจความสาคัญที่สุดอยู่บรรทัดสุดท้าย นอกนั้นเป็นพลความขยายข้อความ ให้เด่นชัดขึน้
ภ า ษ า ไ ท ย เ พื่ อ ก า ร ส่ื อ ส า ร | ๑๔๕ ตวั อย่างท่ี ๒ (ใจความสาคญั อยู่บรรทัดสดุ ทา้ ย) หยาบผ้า หยาบกระดาษ หยาบหินและ หยาบอ่ืนๆ สารพัดหยาบ ถึงแม้จะหยาบก็ยังมี ประโยชน์แก่โลก ใช้ตรงน้ีไม่ได้ก็โยกเอาไปใช้ตรง โน้นให้ถูกเรื่องราวก็ได้ประโยชน์คุ้มค่า หยาบไม่ (บรรทัดสดุ ทา้ ย) (ใจความสาคญั ) เปน็ เร่ืองเปน็ ราว หยาบเสนียดบา้ นเสนียดเมือง มี หยาบอยูห่ ยาบเดียว คอื หยาบคาพูด (พดู นั้นสาคัญไฉน) ๑.๓ ใจความสาคญั ท่สี ดุ อยู่ตรงกลางของขอ้ ความในย่อหนา้ หน่ึงๆ ตวั อยา่ งท่ี ๓ ขอทุกท่านจงได้รับพรและไมตรีจิต (ตรงกลาง) ของข้าพเจ้า เช่นเดียวกับความพร้อมเพรียงเป็น ใจความสาคญั น้าหน่ึงใจเดียวกนั ท่ีทกุ คนทุกฝ่ายแสดงให้เห็น ทา ให้ข้าพเจ้าระลึกถึงคุณธรรมข้อหน่ึงที่อุปถัมภ์ แ ล ะ ผู ก พั น ค น ไ ท ย ใ ห้ ร่ ว ม กั น เป็ น เอ ก ภ า พ สามารถธารงชาติบ้านเมืองให้ม่ันคง เป็นอิสระ ย่งั ยืนมาช้านาน คุณธรรมข้อนั้นคือไมตรี ความมีเมตตาความดีให้กันและกนั คนทมี่ ไี มตรีตอ่ กันจะ คิดอะไรก็คิดแต่ในทางสร้างสรรค์ ที่เป็นประโยชน์เก้ือกูลกัน จะพูดอะไรก็ใช้เหตุผลเจรจากันด้วย ความเข้าอกเข้าใจกัน จะพูดอะไรก็ช่วยเหลือร่วมมือกันด้วยความมุ่งดีมุ่งเจริญต่อกัน ข้าพเจ้า จึงขอให้ท่านท้ังหลายได้พิจารณาทบทวนให้ทราบตระหนักแก่ใจอีกคร้ังหนึ่งว่า ในกายในใจคนไทย ของเรา ยงั มคี ุณธรรมข้อน้ีอยู่หนกั แน่นเพียงใด (พระราชดารสั ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูห่ ัว, ๒๕๔๒) ๑.๔ ใจความสาคัญท่ีสุดอยู่ท่ีบรรทัดแรกและบรรทัดสุดท้าย เพื่อเน้นย้าข้อความซึ่งกัน และกนั ตัวอยา่ งท่ี ๔ (บรรทดั แรก) ครอบครัวที่ดีมีสุข มีสุขภาพจิตดี เวลาอาหารจะอยู่กันพร้อมหน้าทั้งบ้าน ทุกคน ใจความสาคัญ อารมณ์ดีพูดคุยกันสนุกสนาน ไม่มีการพูดจาบ่น ใจความสาคญั ว่ากัน ไม่ขัดแย้งกัน อาหารก็อร่อย ได้กินอาหาร อร่อย ไม่ได้อยู่เฉพาะการรู้รสของลิ้นเท่าน้ัน ต้องได้กลิ่น สภาพแวดล้อมดี อยู่กันพร้อมหน้า (บรรทัดสดุ ทา้ ย) และมีจติ ใจอารมณด์ ดี ้วย (หนงั สือเกร็ดจากกล่องยาชุดทส่ี องของนายแพทยเ์ สนอ อินทรสขุ ศร)ี
๑๔๖ | ภ า ษ า ไ ท ย เ พ่ื อ ก า ร ส่ื อ ส า ร ๒. รอ้ ยกรอง ๒.๑ โคลงสส่ี ภุ าพ ใจความสาคัญที่สุด ส่วนใหญจ่ ะอยู่ที่บาทสุดทา้ ย ตวั อย่างท่ี ๑ มหาสมุทรสุดลกึ ล้น คณนา สายดิง่ ทิง้ ทอดมา หย่ังได้ เขาสงู อาจวัดวา กาหนด จิตมนุษย์นไี้ ซร้ ยากแท้หย่ังถึง (โคลงโลกนิติ) ใจความสาคัญอยทู่ บี่ าทสดุ ทา้ ย พัฒนาคุณภาพชีวิตให้หยัง่ รู้ว่าจิตใจมนษุ ยน์ ้นั ยากทจี่ ะหย่ังถงึ ให้ระมัดระวงั เอาไว้ ๒.๒ ใจความสาคญั ทีส่ ดุ ทอ่ี ยูท่ บี่ าทแรกของโคลงส่สี ุภาพ นอกนัน้ เป็นบทขยาย ตัวอย่างที่ ๒ ทรัพยม์ สี ่ีสว่ นไซร้ ปนู ปนั ภาคหน่งึ พงึ เกียดกนั เกบ็ ไว้ สองส่วนเบ็ดเสร็จสรรพ์ การกิจ ใชน้ า ยังอกี ส่วนควรให้ จ่ายเลย้ี งตัวตน (โคลงโลกนติ ิ) พฒั นาคุณภาพชวี ิตในด้านการร้จู กั ใชจ้ า่ ยให้เป็น ๒.๓ ใจความสาคญั ทสี่ ดุ อยู่ที่บาทท่ี ๑ และบาทท่ี ๒ นอกนั้นเป็นพลความ ตวั อยา่ งที่ ๓ แมน้ มคี วามรู้ดั่ง สพั พญั ญู (๑) ผบิ ม่ คี นชู ห่อนขึน้ (๒) หวั แหวนค่าตราตรู ตรึงโลก ทองบ่รองรบั พ้ืน ห่อนแกว้ มีศรี (โคลงโลกนิติ) พฒั นาคุณภาพชีวิตในดา้ นการมคี นส่งเสริมเชดิ ชู ๓. กลอน ใจความสาคัญอยทู่ ่ีสาระของบทกลอนวา่ มีน้าหนักอยตู่ รงวรรคใด ตัวอยา่ ง การรถไฟไปรษณียม์ ใี นชาติ พระเลกิ ทาสประทานสุขดบั ทุกขเ์ ขญ็ ทาสสู่ไทยไดส้ ธู่ รรมสิน้ ลาเค็ญ พระจึงเปน็ พอ่ หลวงของปวงชน พัฒนาคุณภาพชีวิตต่อสังคมส่วนสวม คือ รัชกาลท่ี ๕ ทรงบาเพ็ญประโยชน์ เพอ่ื สว่ นรวม สมควรเป็นแบบอย่าง ๔. กาพย์ ใจความสาคัญอยู่ตรงวรรคใด สรุปไม่ได้ ขึ้นอยู่กับน้าหนักของถ้อยคาว่าจะอยู่ วรรคใด
ภ า ษ า ไ ท ย เ พื่ อ ก า ร ส่ื อ ส า ร | ๑๔๗ ตวั อย่าง สวุ รรณหงสท์ รงพู่หอ้ ย งามชดชอ้ ยลอยหลังสนิ ธ์ุ เพียงหงสท์ รงพรหมินทร์ ลินลาศเล่อื นเตอื นตาชม (กาพย์เห่เรอื ) ใจความสาคัญ คือ เรือสุวรรณหงส์สวยงาม พัฒนาคุณภาพชีวิตในด้านเมืองไทยมีศิลปะ และสถาปัตยกรรมไทยท่มี ีโขนเรอื เป็นรูปตา่ งๆ แสดงความสวยงามและเอกลกั ษณไ์ ทย ควรรักษาไว้ ๕. ฉนั ท์ ก็เช่นเดียวกนั ใจความสาคญั ทสี่ ุดขึ้นอยกู่ บั นา้ หนักของถอ้ ยคาวา่ จะเนน้ ท่วี รรคใด ตัวอย่าง สามยอดตลอดระยะระยับ วะวะวับสลบั พรรณ ช่อฟา้ ตระการกลจะหยนั จะเยาะยั่วทิฆัมพร (สามคั คเี ภทคาฉนั ท)์ ใจความสาคัญ คือ กล่าวถึงวัดไทยท่ีมีส่วนประกอบสวยงาม จะเห็นว่าวิธีท่ีจะจับใจความ สาคัญของคาประพันธ์จะต้องดูเนื้อหาท่ีเป็นประเด็นหลัก ส่วนบทขยาย คือ ประเด็นรองที่จะขยาย คาประพันธน์ ั้นๆ ใหเ้ ขา้ ใจมากขนึ้ ขนั้ ตอนของการอา่ นเพื่อจับใจความตามทผ่ี ู้เขียนเสนอแนะ ควรมีดังน้ี ๑. ควรอา่ นขอ้ ความทงั้ หมด ๑ ครงั้ ๒. ถา้ เปน็ ข้อความที่มคี าถามอย่ขู ้างล่าง ให้อ่านขอ้ ความทเ่ี ป็นคาถามอยา่ งคร่าวๆ ๓. เม่อื ดคู าถามแล้ว ให้กลับไปอ่านข้อความน้ันอกี ครงั้ ๔. อ่าน ควรจะแยกแ ยะป ระเด็น ให้ ได้ว่า ข้อความใดเป็ น ใจความสาคัญ ที่ สุด หรอื ประเดน็ หลกั ขอ้ ความใดเป็นประเดน็ รอง ๕. จับ ใจความสาคัญ โดยเรียบ เรียงเป็ นภ าษ าของผู้อ่าน เองให้ สั้ น กะทั ดรัด และไดค้ วามหมายครบถว้ น หรือตอบคาถามถ้ามีคาถาม ๖. ถ้าสารที่อ่านมีหลายย่อหน้า ให้จับใจความสาคัญทีละย่อหน้า แล้วนาใจความสาคัญ ของทกุ ย่อหน้ามาเรียบเรียงถ้อยคาใหต้ ่อเนื่องเปน็ เร่อื ง ตัดคาฟ่มุ เฟอื ยออก ตวั อย่างเชน่ “เรื่องน้ีเป็นเร่ืองที่น่าเกลียดน่ากลัวเป็นอย่างมาก” ควรใช้ว่า “เร่ืองนี้น่าเกลียด น่ากลัวมาก” หรือ “เรอ่ื งน้นี ่ากลัวมาก” เป็นต้น นอกจากนี้ เทคนิคการอ่านเม่ือจับใจความสาคัญซึ่ง เอมอร ชิตะโสภณ (๒๕๒๙ : ๗๔) กล่าวว่า ทฤษฎีท่ีกล่าวถึงเรื่องนี้โดยตรงค่อนข้างจะหายาก จึงขอเสนอทฤษฎีความจาตาม แนวจิตวิทยาเพ่ือนาขั้นตอนต่างๆ มาประยุกต์ใช้กับการจับใจความสาคัญ คือ ผู้จับใจความสาคัญ ตอ้ งคานึงถึงกฎ S Q 3R ดังน้ี ๑. S มาจาก Survey คือ สารวจอย่างกว้าง หมายถึง พิจารณาบทความหรือข้อความ อย่างกวา้ งๆ เพอ่ื ใหท้ ราบวา่ ข้อความหรือบทความนั้นมสี าระโดยรวมอย่างไร ๒. Q มาจาก Question คอื การต้ังคาถามตา่ งๆ เกีย่ วกบั ข้อความนนั้ ๆ
๑๔๘ | ภ า ษ า ไ ท ย เ พื่ อ ก า ร สื่ อ ส า ร ๓. 3R มาจาก Read, Review และ Recite นัน่ คอื Read–การอ่านข้อความหรือบทความนั้นๆ เพื่อหาคาตอบหรือทราบความคิดเห็นของ ผูเ้ ขยี น ตลอดจนนาประเดน็ ไปพูดอภิปรายหรือสนทนา Review–ทบทวนส่วนต่างๆ ที่ได้อ่านมาแล้วจนแน่ใจว่าเข้าใจหรือรู้สาระของข้อความ น้นั Recite–การจาโดยเอาเน้ือหาของประเด็นหลักมาเรียบเรียงให้สัมพันธ์กับความคิดหลัก ท่ไี ดเ้ รยี นร้มู า ๓. การอา่ นเพ่อื ตีความ คาว่า ตีความ ตามพจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ (๒๕๕๖ : ๕๐๒) หมายถึง ชี้หรือกาหนดความหมาย ให้ความหมาย หรืออธิบายให้เข้าใจเจตนาและความมุ่งหมาย วิเคราะห์ ถ้อยคาหรือขอ้ ความ เพอื่ กาหนดความหมายท่ีแท้จรงิ ของถอ้ ยคาหรือข้อความน้นั ๆ ฉะน้ัน การอ่านเพื่อตีความจึงหมายถึง การอ่านเพื่อให้เข้าใจความหมาย ความรู้สึก ความสะเทอื นอารมณ์จากบทประพันธ์ที่อา่ น ซ่งึ จะเข้าใจได้ลกึ ซง้ึ เพียงใดข้ึนอยู่กบั ประสบการณ์เดิม และความสามรถของผู้อ่าน พ้ืนฐานของการตีความนั้นจะต้องใช้ความรู้พ้ืนฐานความสามารถ ในการแปลความ การจับใจความสาคัญ การสรุปความ รวมท้ังการเปรียบเทียบความสัมพันธ์ ของข้อความ โดยผู้อ่านต้องอ่านหลายๆ ครั้ง จนกระทั่งสามารถแยกแยะข้อเท็จจริงและข้อคิดเห็น ได้ และใช้พน้ื ฐานความรู้หลายๆ อยา่ งประกอบกนั จึงจะตีความได้ ปัจจัยสาคัญในการตีความ คือ ผู้อ่านจะต้องเข้าใจเจตนารมณ์ของผู้เขียนและความหมาย ของส่ิงท่ีผู้เขียนได้เขียนข้ึน การแสดงเจตนาของผู้เขียน มีท้ังการแสดงเจตนาอย่างชัดเจน และการแสดงเจตนาอยา่ งซ่อนเร้น การแสดงเจตนาอย่างชัดเจน หมายถึง การแสดงเจตนาของผู้เขียนอย่างชัดเจน จนผู้อ่าน สามารถเข้าใจได้ทันทีที่อ่านโดยไม่ต้องพิจารณามากนั ก ในกรณีน้ีผู้เขียนจะใช้คาอุทาน หรือถ้อยคาในข้อความแสดงเจตนาของผู้เขียน ซ่ึงแสดงให้เห็นเจตนาของผู้เขียนอย่างชัดเจน ดังต่อไปนี้ ตัวอย่างที่ ๑ โธ่เอย๋ ! น่าสงสารแท้ๆ เดก็ ตวั เล็กๆ วงิ่ ขายพวงมาลยั อยู่ขา้ งถนน โดยไม่รวู้ ่า ในอนาคตหรือในกาลเวลาใดทเี่ ด็กๆ อาจเกดิ อุบัตเิ หตไุ ด้ (จิตตน์ ิภา ศรไี สย)์ คาอุทานที่บอกเจตนาของผู้เขียนคือคาว่า “โธ่เอ๋ย! น่าสงสารแท้ๆ” แสดงว่าผู้เขียนเจตนา จะส่งสารวา่ “สงสารเด็กขายพวงมาลัย”
ภ า ษ า ไ ท ย เ พ่ื อ ก า ร ส่ื อ ส า ร | ๑๔๙ ตวั อย่างท่ี ๒ อยา่ เอือ้ มเด็ดดอกฟ้า มาถนอม สงู สุดมือมกั ตรอม อกไข้ เด็ดแตด่ อกพยอม ยามยาก ชมนา สงู ก็สอยด้วยไม้ อาจเออื้ ม เอาถงึ (โคลงโลกนติ )ิ แปลคาศัพท์ ดอกฟ้า หมายถงึ ผู้ทมี่ ีศกั ด์ชิ าติสูงกวา่ เรา ดอกพยอม หมายถึง ผทู้ ี่มฐี านะธรรมดา แปลความ อย่าเอ้ือมมือไปเด็ดดอกฟ้า (หญิงที่มีตระกูลสูง) มาเพ่ือถนอม เพราะดอกฟ้านั้นอยู่สูง เกินมือเอื้อมถึง เราอาจจะตรอมใจจนเจ็บไข้ได้ ถ้าจะเด็ดก็ควรจะเด็ดดอกพยอม (ผู้หญิงธรรมดา) ในยามยาก แมด้ อกพะยอมจะอยสู่ งู แตก่ ็สามารถสอยดว้ ยไม้หรือเอ้อื มมือเด็ดดอกพยอมได้ถงึ ขยายความ อ ย่ า ไป เอื้ อ ม มื อ เพ่ื อ เด็ ด ด อ ก ฟ้ า ห รื อ ห ญิ ง สู ง ศั ก ด์ิ เพ่ื อ น า ม า ท ะ นุ ถ น อ ม เป็ น คู่ ค ร อ ง เพราะฐานะ ชาติตระกูลของเธอสูงกว่าเราและดอกฟ้าน้ันอยู่สูงสูดเอ้ือม แม้เอ้ือมเด็ดดอกฟ้าได้ ก็อาจจะตรอมใจได้เพราะนางอาจไม่สนใจเราหรือญาติพี่น้องอาจดูถูกเรา ทาให้เราตรอมตรมใจ หรือป่วยไข้ได้เพราะรักหญิงท่ีสูงกว่า ถ้าจะเด็ดดอกไม้ก็ควรเด็ดดอกพยอมหรือหญิงท่ีมีตระกูล ธรรมดาหรือหญิงท่ีมีตระกูลเสมอกันกับเรามาช่ืนชมยามยาก แม้ดอกพะยอมจะอยู่สูงแต่ก็สามารถ ใช้ไม้สอยหรอื เอามอื เอื้อมเด็ดดอกพยอมมาชนื่ ชมไดโ้ ดยไมย่ ากนกั ตีความ ให้แง่คิดว่าคนเราควรรู้จักประมาณตนในการเลือกคู่ครอง คุณภาพชีวิต คือ ได้รู้จักเลือก คู่ครองใหเ้ หมาะสมกับตน ขนั้ ตอนในการตคี วาม มดี ังน้ี ๑. อ่านข้อความนนั้ ๆ หลายๆ ครงั้ อย่างละเอียด ๒. พยายามจับประเดน็ สาคัญของเร่ืองใหไ้ ด้ ๓. พยายามทาความเขา้ ใจกบั ขอ้ ความที่มคี วามสาคัญน้ันๆ ๔. ดบู รบิ ทขอ้ ความที่แวดล้อมดว้ ย ๕. คดิ หาเหตผุ ลใครค่ รวญอยา่ งรอบคอบ ๖. นาข้อความมาประมวลกบั ความคดิ ของเรา ๗. ตีความไปตามความรู้ประสบการณ์ของผู้อ่าน ซ่ึงอาจไม่ตรงกับความคิดของผู้ใดท้ังส้ิน แตต่ อ้ งมเี หตผุ ลประกอบให้ชัดเจน ๘. ผู้ที่มีประสบการณ์มากและผู้มีความรู้สูงๆ ย่อมมีการตีความที่กว้างขวางลึกซ้ึงกว่า ผู้มปี ระสบการณ์นอ้ ย
๑๕๐ | ภ า ษ า ไ ท ย เ พื่ อ ก า ร ส่ื อ ส า ร ๙. การตคี วามจะสามารถบอกเจตนาของผเู้ ขยี นหรอข้อคิดทผ่ี เู้ ขยี นส่งสารบอกผู้อา่ นได้ ๔. การอ่านเพ่ือวเิ คราะห์ พจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ (๒๕๕๖ : ๑๑๑๕) ได้นิยามการวิเคราะห์ ไว้ว่า การวิเคราะห์ หมายถึง ใคร่ครวญ เช่น วิเคราะห์เหตุการณ์แยกออกเป็นส่วนๆ เพื่อศึกษา ให้ถอ่ งแท้ เชน่ วิเคราะห์ปัญหาตา่ งๆ วิเคราะหข์ ่าว เป็นตน้ การอ่านเพ่ือการวิเคราะห์จึงหมายถึง การอ่านหลายๆ ครั้งอย่างไตร่ตรอง พิจารณา อย่างถี่ถ้วน สามารถแยกแยะข้อความออกได้เป็นข้อเท็จจริง ข้อคิดเห็น และสามารถสรุปได้ว่าสิ่งใด เป็นวิชาการและส่ิงใดเปน็ การแสดงทรรศนะของผูเ้ ขยี น ประโยชน์ของการวิเคราะห์ ๑. สามารถแยกแยะไดว้ า่ ขอ้ ความสว่ นใดเป็นความจริงและส่วนใดเปน็ ข้อคิดเหน็ ๒. ทาใหผ้ ้อู ่านมีความคิดทกี่ ว้างไกลลกึ ซ้งึ จากการอา่ นวเิ คราะห์ ๓. เมอื่ วิเคราะห์แลว้ สามารถประเมนิ ค่าของสิ่งทอี่ ่านไดว้ ่านา่ เชื่อถือเพยี งใดจากการวเิ คราะห์ ในการอา่ น ๔. ผู้วิเคราะห์เก่งจะไม่หลงเป็นเหยื่อหรือเครื่องมือของข่าว หรือการโฆษณาอื่นใด หากวิเคราะห์อยา่ งมวี ิจารณญาณ การสรา้ งนิสัยรักการอา่ น การสร้างนิสัยรักการอ่านเป็นเป็นส่ิงสาคัญอย่างยิ่งสาหรับผู้อ่าน โดยผู้อ่านควรหม่ันฝึกฝน และสรา้ งนิสัยรักการอ่านให้เกิดขน้ึ กบั ตนเอง การจะสร้างนิสัยรักการอ่านได้นั้น ผู้อ่านต้องวิเคราะห์ ตนเองว่ามีอุปสรรคในการอ่านอย่างไรบ้างเพ่ือหาแนวทางแก้ไขให้มีนิสัยรักการอ่านข้ึนในตนเอง ตอ่ ไป ถนอมวงศ์ ล้ายอดมรรคผล (๒๕๓๘ : ๕๘–๖๗) และฐะปะนีย์ นาครทรรพ (๒๕๔๖ : ๙๒๙–๙๓๓) กลา่ วถงึ วิธีสรา้ งนิสัยรักการอา่ น สามารถทาได้หลายวิธี พอสรุปไดด้ งั ตอ่ ไปนี้ ๑. สรา้ งแรงจูงใจ การสร้างแรงจูงใจเพอ่ื นาไปสู่นสิ ยั รักการอา่ น อาจทาไดห้ ลายวธิ ี ไดแ้ ก่ ๑.๑ ให้สญั ญา รางวลั หรือลงโทษตนเอง โดยให้สัญญาทั้งระยะส้ันและระยะยาว เช่น กาหนดวา่ “ถ้าอา่ นเลม่ นี้จบ จะไปเท่ียว” หรือ “ถ้าอา่ นบทน้ีไมจ่ บ จะไมย่ อมลุกไปกนิ ข้าว” ข้อควร ระวังในการสัญญากับตนเอง คือ อย่าให้สัญญาในสิ่งท่ีเป็นไปไม่ได้ มิฉะน้ันจะเสียสัตย์ต่อตัวเอง และจะทาใหไ้ มไ่ ดผ้ ลในคราวต่อไป ถ้าทาไมไ่ ดจ้ ะทาใหเ้ กดิ ความเบ่ือหน่าย ทอ้ แท้ ไม่อยากทาต่อไป ๑.๒ ตระหนักถึงประโยชน์และโทษจากการไม่อ่านอยู่เสมอ เช่น “ไม่อ่านป้ายจราจร ทาให้ถูกปรบั ” หรอื “ไม่อ่านฉลากยา อาจใช้ยาผดิ ” “อ่านประกาศรับสมัครงานบอ่ ยๆ เปน็ การเพิ่ม โอกาสให้ไดท้ างานเร็วข้นึ ”
ภ า ษ า ไ ท ย เ พ่ื อ ก า ร ส่ื อ ส า ร | ๑๕๑ ๑.๓ ชักชวนให้ผู้อื่นอ่านเร่ืองเดียวกัน แล้วนาสาระมาสนทนากัน วิธีนี้ทาให้เกิด ความรู้สึกว่ามีแนวร่วม จะเกิดการอ่านวิเคราะห์ หลายด้าน เป็นการเพ่ิมประสบการณ์ และการรว่ มมือกนั คิด ๑.๔ จัดแข่งขันการท่านกับผู้อ่ืน เช่น แข่งขันกับเพื่อนๆ หรือกับคนในครอบครัว อาจจะเร่ิมจากการอ่านเป็นหน้า เป็นบท เป็นเรื่อง และเปน็ เลม่ ตามลาดบั ๒. สร้างโอกาสและหาเวลาอ่าน สามารถทาได้โดยไปยังแหล่งวัสดุการอ่าน เช่น ห้องสมุด รา้ นขายหนังสือ หรือศูนย์หนังสือต่างๆ และเข้าร่วมกิจกรรมเกี่ยวกับการอ่าน เช่น เขา้ ร่วมกิจกรรม การอา่ นในโรงเรียนหรือหนว่ ยงานต่างๆ ทจ่ี ัดขนึ้ ๓. เริ่มตน้ จากการอา่ นเร่ืองท่ีตนเองชอบหรือสนใจ การเร่ิมตน้ จากการอา่ นเร่ืองท่ีตนชอบ หรือสนใจ หรือเป็นประโยชน์ต่อตนเองก่อน ในขณะท่ีอ่านควรเปรียบเทียบประโยชน์ของเรื่อง ท่ีอ่านตามใจตนเองกับการอ่านเร่ืองท่ีมีคุณค่าอื่นๆ เพ่ือเป็นแนวทางในการเลือกอ่านต่อไป ใหม้ ีความรู้หลากหลาย ไมอ่ ยู่ในวงจากัดเฉพาะเรื่องทีต่ นเองสนใจเท่าน้ัน ๔. สมาคมกับนักอ่านหรือผู้ท่ีชอบท่านหนังสือ เพ่ือที่จะได้รับการชักนา หรือคาแนะนา ท่ีถูกวิธี และจะได้เห็นตัวอย่างการอ่านจากผู้อื่นจนเกิดความเคยชินและติดเป็นนิสัยรักการอ่าน ในทส่ี ดุ ๕. ต้ังความหวังไว้กับตนเอง โดยวางเป้าหมายว่าจะพัฒนาการอ่านให้เกิดผล อย่างคอ่ ยเป็นค่อยไป ไม่หวังผลสาเรจ็ สูงและเร็วเกนิ ไปเพื่อจะได้มกี าลังใจเพิ่มข้นึ เร่อื ยๆ จนสามารถ บรรลผุ ลตามที่ต้ังเอาไว้ ๖. ฝกึ พิจารณา ฝึกทาความเขา้ ใจเร่อื งราวที่อ่านทุกคร้ัง แล้วบันทึกผลการอ่าน นับตั้งแต่ ที่มาของหนังสือ สาระสาคัญของเรื่อง ความคิดเห็นของผู้อ่าน ถ้อยคาท่ีคมคาย ชวนคิด ฯลฯ เพื่อจะได้นาไปใช้ประโยชน์ตอ่ ไปตามโอกาสอนั ควร ๗. ฝกึ ฝนและพัฒนาความสามารถในการอ่านข้ึนเร่ือยๆ โดยอาจจะปฏิบัติตามคาแนะนา ของตาราหรือบุคคลผู้มีความสามารถในการอ่านก็ ได้ พยายามปฏิบัติอย่างสม่าเสมอ และเกดิ ความก้าวหนา้ เป็นระยะไป เชน่ อ่านได้เร็วข้ึน จับสาระเร่ืองราวท่อี ่านไดด้ ขี ้ึน เปน็ ต้น ๘. เลือกบรรยากาศและส่ิงแวดล้อมท่ีเอ้ืออานวย ถ้าจาเป็นต้องเลือกสถานที่อ่าน ควรหา สถานท่ีมีอากาศถ่ายเทได้ดี ไม่อับช้ืนมีกลิ่นเหม็น ไม่อึกทึกหรือมีบรรยากาศที่รบกวนสมาธิ ในการอ่าน แต่ถ้าเล่ียงไม่ได้ก็ควรฝึกอ่านให้ได้ทุกหนทุกแห่ง ไม่ว่าจะเสียงดังเพียงใดก็ตาม เพราะถ้าฝึกฝนจนเกิดสมาธิแน่วแนแ่ ลว้ ก็อาจไมไ่ ดย้ ินเสยี งรบกวน ๙. หยุดอ่านเมื่อไม่พร้อมท่ีจะอ่าน เม่ือไม่พร้อมที่จะอ่านหรือเม่ือเกิดอุปสรรค ควรพัก การอ่านไว้ก่อนและสารวจว่าสาเหตุคืออะไร และจะแก้ไขได้อย่างไร หรือจะขอความช่วยเหลือ จากคนอน่ื ซ่งึ อาจไดค้ าแนะนาที่นา่ สนใจอนั ควรแก่การนาไปคิดให้เกดิ ประโยชนแ์ ก่ชวี ติ ของเราก็ได้
๑๕๒ | ภ า ษ า ไ ท ย เ พื่ อ ก า ร สื่ อ ส า ร อย่างไรก็ตาม การสร้างนิสัยรักการอ่านอาจมีอุปสรรคอยู่บ้าง ซ่ึงจาเป็นจะต้องขจัดปัญหา ให้หมดส้ินกอ่ นฝึกนิสัยรกั การอา่ น อุปสรรคเหล่านี้ ไดแ้ ก่ ๑. ไม่ชอบอ่าน ชอบทากจิ กรรมอื่นมากกว่า หรือเกียจครา้ นที่จะอ่าน ๒. มปี ญั หาสุขภาพกายและสขุ ภาพใจ เช่น สายตาไมด่ ี เครยี ด กังวล ๓. สภาพแวดล้อมไม่ดี เช่น สถานที่ไมเ่ หมาะ อณุ หภูมิไม่พอดี แสงสว่างไม่พอ ๔. ขาดทักษะทางภาษา อา่ นแลว้ ไมเ่ ขา้ ใจ ๕. พนื้ ความรูเ้ ดิมมีจากัดเนื่องจากการศกึ ษานอ้ ย ๖. ไม่มีเวลาอ่าน ๗. อ่านช้า ไม่ชานาญในการอ่าน ๘. ไมเ่ ห็นประโยชนข์ องหนงั สือ
ภ า ษ า ไ ท ย เ พื่ อ ก า ร สื่ อ ส า ร | ๑๕๓ สรุป การอ่านมีความสาคัญต่อการดาเนินชีวิตประจาวันของมนุษย์ ในการเสริมสร้างความรู้ ความคิดของมนุษย์ โดยการอ่านนั้นสัมพันธ์กับด้านต่างๆ ในชีวิตของเราอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังท่ีได้กล่าวไว้ในความสาคัญของการอ่าน ดังน้ัน เราในฐานะ “ผู้อ่าน” จึงควรเรียนรู้ท่ีจะอ่าน ให้เป็น และสร้างนิสัยรักการอ่าน เพราะถ้าเป็นผู้มีนิสัยรักการอ่านแล้วจะทาให้เกิดแรงจูงใจ ในการอ่านหนังสือ อันเป็นหนทางไปสู่ความเป็นคนรอบรู้มากขึ้น นอกจากนี้ เรายังควรเรียนรู้ วิธีการอ่านที่ทาให้เกิดประสิทธิภาพ เพื่อสามารถนาทักษะการอ่านไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจาวัน ตลอดจนใชใ้ นการพัฒนาคณุ ภาพชวี ิตของเราตอ่ ไปได้
๑๕๔ | ภ า ษ า ไ ท ย เ พื่ อ ก า ร สื่ อ ส า ร กิจกรรมประจาบทท่ี ๕ ๑. ให้นักศึกษาอ่านข่าวจากหนังสือพิมพ์คนละ ๒ ข่าว แล้วสรุปใจความสาคัญ โดยใชห้ ลัก ๕W๑H ๒. ให้นักศึกษาอ่านบทความจากวารสาร จากน้ันให้วิเคราะห์สารประเภทข้อเท็จจริง และข้อคิดเห็น ๓. ให้นักศึกษาทา Mind Map ในหวั ข้อ ประโยชน์ของการอา่ น ๔. ให้นักศึกษาอ่านบทเพลงหรือบทกวีนิพนธ์คนละ ๑ บท แล้วตีความด้านเนื้อหา และน้าเสยี ง ๕. ใหน้ ักศึกษาจับกล่มุ กลุ่มละ ๕ คน อภปิ ราย หัวข้อ “การอา่ นอยา่ งมปี ระสิทธิภาพ”
ภ า ษ า ไ ท ย เ พ่ื อ ก า ร สื่ อ ส า ร | ๑๕๕ เอกสารอ้างองิ กุสุมา รักษมณี และคณะ. (๒๕๓๖). “องค์ประกอบของการใช้ภาษาเพ่ือการสื่อสาร” ใน หนงั สอื ภาษาไทย รายวิชา ท ๔๐๑-ท๔๐๒ ทกั ษะส่ือสาร ๑. กรุงเทพฯ : ไทยรม่ เกล้า. โก ชั ย ส า ริ ก บุ ต ร . (๒ ๕ ๒ ๑ ). ก า ร ส ร า ง ค ว า ม ส า ม า ร ถ ใน ก า ร อ า น . เชี ย งให ม : สถาบันราชภัฏเชยี งใหม. กอ่ สวสั ดพิ านิชย์. (๒๕๑๑). ววิ ฒั นาการเทคนิคและเทคโนโลยกี ารสอน. พระนคร : กรมวชิ าการ. จิตต์นิภา ศรีไสย์. (๒๕๔๙). ภาษาไทยเพ่ือพัฒนาคุณภาพชีวิต. กรุงเทพฯ : คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย. ฐะปะนีย์ นาครทรรพ. (๒๕๔๖). “การพัฒนาสมรรถภาพทางภาษาโดยต่อเน่ือง” ใน เอกสาร การสอนชุดวิชาไทย ๑ (หน่วยท่ี ๙-๑๕). กรงุ เทพฯ : ประชุมชา่ ง. ฐะปะนีย์ นาครทรรพ และคณะ. (๒๕๔๖). หนังสือเรียนช่วงชั้นที่ ๓ ภาษาไทย ม. ๑. นนทบรุ ี : ไทยร่มเกลา้ . ถนอมวงศ์ ล้ายอดมรรคผล. (๒๕๓๘). “การพัฒนาสมรรถภาพในการอ่าน” ใน เอกสารการสอน ชุ ด วิ ช า ก า ร ใช้ ภ า ษ า ไท ย ห น่ ว ย ที่ ๙ -๑ ๕ (ฉ บั บ ป รั บ ป รุ ง ). น น ท บุ รี : มหาวิทยาลัยสโุ ขทัยธรรมาธิราช. ราชบัณ ฑิ ตยสถาน. (๒ ๕ ๕ ๖ ). พ จน านุกรมฉบั บราชบั ณ ฑิ ตยสถาน พ .ศ. ๒ ๕ ๕ ๔ . กรงุ เทพฯ : ราชบณั ฑติ ยสถาน. ศรีสุดา จริยากุล. (๒๕๔๕). “ความเข้าใจท่ัวไปเกี่ยวกับการอ่าน ” ใน เอกสารการสอน ชดุ วิชาภาษาไทย–การอา่ น (หนว่ ยที่๑-๕). นนทบรุ ี : มหาวิทยาลยั สโุ ขทัยธรรมาธริ าช. สอางค์ ดาเนินสวัสด์ิ และคณะ. (๒๕๔๖). หนังสือเรียนสาระการเรียนรู้พ้ืนฐาน ภาษาไทย ม. ๔. กรุงเทพฯ : พัฒนาคณุ ภาพวิชาการ. อัมพร ทองใบ. (๒๕๔๐). เอกสารเสริมทักษะการอ่าน และแบบฝึกหัดการอ่านสาหรับนักเรียน ระดับมัธยมศึกษา. เพชรบุรี : หมวดวิชาภาษาไทย โรงเรียนเบญ จมเทพอุทิศ จงั หวดั เพชรบุร.ี เอมอร ชิตะโสภณ. (๒๕๔๙). ภาษาพูด-ภาษาเขยี น. เชยี งใหม่ : ม่งิ เมอื ง.
๑๕๖ | ภ า ษ า ไ ท ย เ พื่ อ ก า ร สื่ อ ส า ร
ภ า ษ า ไ ท ย เ พื่ อ ก า ร สื่ อ ส า ร | ๑๕๗ แผนการจัดการเรยี นรู้ บทที่ ๖ การเขียนเพ่อื การส่ือสาร วตั ถปุ ระสงคท์ ่ัวไป ๑. มคี วามรู้ความเข้าใจเก่ียวกับกระบวนการเขยี นเพือ่ การสอ่ื สาร ๒. เห็นความสาคัญของการเขียนเพอ่ื การสอื่ สาร ๓. นาความรดู้ ้านการเขียนไปประยกุ ตใ์ ช้ในชีวติ ประจาวัน วัตถปุ ระสงค์เชงิ พฤติกรรม ๑. อธบิ ายความหมายและความสาคัญของการเขียนเพ่ือการสอ่ื สารได้ ๒. ฝึกเขยี นยอ่ หนา้ เรยี งความ และจดหมายได้ ๓. ประยกุ ตใ์ ชก้ ารเขยี นในชวี ติ ประจาวนั ได้ สาระการเรียนรู้ ๑. การเขยี นเพื่อการสื่อสาร ๒. ความหมายของการเขยี นเพ่ือการสือ่ สาร ๓. ความสาคญั ของการเขยี นเพอื่ การสื่อสาร ๔. จุดประสงค์ของการเขยี นเพอ่ื การสือ่ สาร ๕. กระบวนการพัฒนาทักษะการเขียนเพือ่ การสอ่ื สาร ๖. การเขยี นเรียงความ ๗. การเขยี นบทความ ๘. การเขยี นจดหมาย กิจกรรมการเรยี นการสอน ๑. การบรรยาย ๒. การรายงาน ๓. การศกึ ษาด้วยตนเอง ๔. การอภิปราย สื่อการเรยี นการสอน ๑. เอกสารประกอบการสอน ๒. สอ่ื อิเลก็ ทรอนิกส์ อาทิ คอมพวิ เตอร์ สไลด์ ซีดี วดี ที ศั น์ สอื่ สิง่ พิมพ์ อาทิ วารสาร หนงั สอื พิมพ์ บทความ วรรณกรรม ๓. แบบฝกึ หัด
๑๕๘ | ภ า ษ า ไ ท ย เ พ่ื อ ก า ร สื่ อ ส า ร การวดั และการประเมนิ ผล ๑. ตรวจแบบฝึกหัดและงานเขียน ๒. สงั เกตและบันทึกพฤตกิ รรมผู้เรียน ๓. ทดสอบผลการเรยี นรู้
ภ า ษ า ไ ท ย เ พื่ อ ก า ร สื่ อ ส า ร | ๑๕๙ บทท่ี ๖ การเขียนเพอ่ื การส่อื สารในชีวิตประจาวนั ทักษะการเขียนนั้นเป็นทักษะท่ียากและซับซ้อนกว่าทักษะอ่ืนๆ ที่ใช้ในชีวิตประจาวัน เพราะการท่ีเราจะเป็นเขียนได้ดีนั้นจะต้องเป็นบุคคลที่ฟังมาก อ่านมาก มีความรู้และประสบการณ์ กว้างขวาง ท้ังยังสามารถเลือกใช้ถ้อยคา สานวน มาเรียบเรียงเป็นภาษาเขียนได้อย่างถูกต้อง และสละสลวย ดังนั้นเราจึงจะต้องเรียนรู้ และฝึกฝนการเขียนอย่างสม่าเสมอ โดยเร่ิมจาก การเขียนย่อหน้าอย่างง่ายไปจนถึงการเขียนเรื่องท่ีมีความยาวข้ึน ซ่ึงหากเราเรียนรู้และฝึกทักษะ การเขียนอย่างถกู วิธเี ราก็จะสามารถกลายเป็นผ้เู ขียนท่ีดีได้ ความหมายของการเขยี นเพอ่ื การสือ่ สาร สนทิ ตั้งทวี (๒๕๓๘) กล่าวว่า การเขยี น คือการแสดงความคดิ ความรู้สึกซ่ึงอยู่ในใจออกมา ให้ผู้อื่นรับรู้ โดยวิธีการใช้สัญลักษณ์ที่เรียกว่าตัวหนังสือ หรือตัวอักษร เพ่ือให้ผู้อ่านเข้าใจเจตนา ของผู้เขียน ผู้อ่านจะสามารถรับรู้ความในใจของผู้เขียนได้ดีหรือไม่น้ันก็อยู่ที่ว่า ผู้เขียนมีทักษะ ในการใชภ้ าษาเขียนไดด้ เี พียงไร นภดล จันทร์เพ็ ญ (๒ ๕๕๗ : ๙๑ ) กล่าวว่า “การเขียน คือ การแสดงออกใน การติดต่อสื่อสารอย่างหนึ่งของมนุษย์โดยอาศัยภาษาตัวอักษรเป็นส่ือเพ่ือถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิด ความตอ้ งการและความในใจของเราให้กับผ้อู ่ืนทราบ การเขียนมีลกั ษณะการส่ือสารทีถ่ าวร สามารถ คงอยู่นาน ตรวจสอบได้ เป็นหลกั ฐานอา้ งองิ นับพนั หมนื่ ปถี ้ามีการเกบ็ รักษาให้คงสภาพเดิมไว้ได้” ดวงใจ ไทยอุบุญ และกวิสรา รัตนาการ (๒๕๔๐) กล่าวว่า การเขียนคือการส่ือความหมาย อย่างหน่ึงไปยังผู้อ่าน โดยใช้ตัวอักษรเป็นเครื่องมือในการส่งสารเพื่อให้ผู้อ่านได้ทราบความรู้ ความคิด และความรู้สึกของผเู้ ขยี น ดังนั้น การเขียนจึงหมายถึงกระบวนการสื่อความหมายโดยใช้ตัวอักษรและสัญลักษณ์ ถา่ ยทอดความรู้ ความคดิ ความรูส้ ึก จนิ ตนาการ และข่าวสาร จากผเู้ ขยี นไปยงั ผู้อ่าน ความสาคัญของการเขยี นเพ่ือการสือ่ สาร เพ่ือให้เกิดความเข้าใจได้ชัดเจนและรวดเร็ว ผู้เขียนขอเสนอความสาคัญของการเขียน เปน็ ข้อๆ ดงั น้ี ๑. การเขียนมีความสาคัญในแง่ท่ีเป็นเคร่ืองมือส่ือสารของมนุษย์ที่มนุษย์ใช้ในการถา่ ยทอด ความรสู้ ึกนกึ คดิ และสตปิ ัญญาตอ่ กันและกัน ๒. การเขียนเป็นเคร่ืองมือสาคัญในการถ่ายทอดวัฒนธรรม อันเป็นมรดกด้านภูมิปัญญา ของมนษุ ย์ ๓. การเขียนช่วยเผยแพร่และกระจายความรู้ ความคิด และข่าวสารได้อย่างกว้างไกล และรวดเรว็
๑๖๐ | ภ า ษ า ไ ท ย เ พื่ อ ก า ร สื่ อ ส า ร ๔. การเขียนเป็นการบันทึกทางสังคมที่ให้คุณค่า อานวยประโยชน์อย่างมหาศาลแก่ ชนร่นุ หลังทง้ั ปัจจุบนั และอนาคต ๕. การเขียนสามารถสร้างความรักสามัคคีในมนุษยชาติได้เมื่องานเขียนน้ันมีความหมาย เพ่ือสรา้ งความเขา้ ใจ สร้างความรักเพ่ือนมนุษย์ เปน็ งานเขยี นทส่ี ร้างสรรคส์ ันติสขุ แกส่ ังคมโลก ๖. การเขียนสามารถยดึ เปน็ งานอาชพี ที่สาคญั อย่างหน่งึ ไดใ้ นปัจจุบนั ๗. การเขียนสามารถทาให้บุคคลประสบความสาเร็จในชีวิตได้ โดยเฉพาะด้าน การศึกษาเลา่ เรยี น จุดประสงค์ของการเขียนเพ่ือการส่ือสาร โดยท่ัวไปแลว้ ผเู้ ขียนจะสรา้ งสรรคง์ านเขยี นเพอ่ื จดุ ประสงค์ดงั ตอ่ ไปนี้ ๑. เขียนเพื่อบอกเล่าหรืออธิบาย เป็นงานเขียนที่มุ่งให้ผู้อ่านรับทราบ เข้าใจในเรื่องราว เหตุการณ์ วิธีการหรือความจริงเกี่ยวกับเรื่องน้ันๆ เช่น เขียนข่าว อธิบายความหมายของคาศัพท์ อธบิ ายวิธีตอนก่ิงลาไย อธบิ ายหลกั เกณฑก์ ารสมัครงาน เขียนเล่าประวัตบิ ุคคลสาคัญ เขยี นประกาศ ตา่ งๆ เขยี นเลา่ เหตกุ ารณ์ประทับใจ และเขียนอธิบายความรูท้ างวชิ าการ เป็นต้น ๒. เขียนเพื่อแสดงความคิดเห็น เป็นงานเขียนที่ผู้เขียนเสนอความคิดเห็นเก่ียวกับ เร่ืองใดเร่ืองหน่ึงโดยมีหลักฐานข้อมูลและเหตุผลประกอบ เช่น การเขียนช้ีแจง การเขียนบทความ แสดงความคิดเห็น การเขียนตอบข้อสอบแบบความเรียง เขียนวิเคราะห์งานเขียน เขียนวิเคราะห์ ขา่ ว หรอื เขยี นวจิ ารณ์เหตุการณ์ตา่ งๆ เปน็ ต้น ๓. เขียนเพ่ือจูงใจ โน้มน้าวใจ เป็นการเขียนที่ต้องการให้ผู้อ่านเห็นคล้อยตามจนเกิด การปฏิบัติ เช่น การเขียนในงานประชาสัมพันธ์ เขียนบทโฆษณาสินค้า เขียนบทโฆษณาหาเสียง เขียนโฆษณาภาพยนตร์ หรือเขียนคาขวัญของหน่วยงานหรือกิจกรรมบางอย่าง และเขียนสารคดี ทีใ่ ห้แนวคดิ เป็นต้น ๔. เขียนเพ่ือสร้างจินตนาการและความเพลิดเพลิน เช่น บทรอ้ ยกรอง เร่ืองส้ัน นวนิยาย บทละคร สารคดี เปน็ ตน้ ดวงใจ ไทยอุบุญ (๒๕๕๐) ได้สรปุ จุดประสงค์ของการเขียนไว้ดังนี้ ๑. เพ่อื การเลา่ เรอื่ ง เช่น การเลา่ ประวัติ เลา่ ประสบการณ์ หรือเล่าเหตุการณต์ ่างๆ ๒. เพื่ออธิบายคาหรือความ เช่น อธิบายการทาอาหาร อธิบายคานิยาม อธิบายเรื่อง การงาน ๓. เพอื่ โฆษณาจงู ใจ เช่น การโฆษณาสนิ ค้า โฆษณาภาพยนตร์ ๔. เพ่ือปลุกใจ เช่น เพลงปลกุ ใจ บทความปลกุ ใจให้รักชาติ ปลกุ ใจให้มีระเบยี บวนิ ยั ๕. เพ่ือแสดงความคิดเห็นหรือแนะนา เช่น บทความเสนอแนะ บท ความแสดง ความคิดเห็นในเรื่องต่างๆ การเขียนแนะนาสถานท่ี แนะนาเพลง แนะนาหนังสือ แนะนาบุคคล ๖. เพ่อื สรา้ งจนิ ตนาการ เช่น การเขยี นเร่ืองสน้ั นวนยิ าย บทรอ้ ยกรอง
ภ า ษ า ไ ท ย เ พ่ื อ ก า ร สื่ อ ส า ร | ๑๖๑ ๗. เพ่ือล้อเลยี นเสยี ดสี เช่น บทความลอ้ เลียนหรือเสียดสเี ก่ียวกับการเมอื ง เศรษฐกิจ ๘. เพ่ือประกาศ เชน่ ประกาศแจง้ ความ ประกาศเชญิ ชวน ๙. เพ่ือวิเคราะห์ เช่น วิเคราะห์ข่าว วิเคราะห์เหตุการณ์ วิเคราะห์สารคดี วิเคราะห์ บทความ วเิ คราะหว์ รรณกรรม ๑๐. เพอื่ วิจารณ์ เชน่ วิจารณ์หนงั สือ วจิ ารณ์บทความ วิจารณ์สารคดี วิจารณ์ตารา วิจารณ์ ศลิ ปะ วิจารณภ์ าพยนตร์ ๑๑.เพ่ือทาข่าว เช่น การเสนอข่าวประเภทต่างๆ คือ ข่าวการเมือง ข่าวธุรกิจ ข่าวเศรษฐกจิ ๑๒. เพ่ือเขยี นเฉพาะกิจ เชน่ เขยี นจดหมาย เขยี นการ์ตนู เขยี นธนาณตั ิ กระบวนการพัฒนาทักษะการเขียนเพอื่ การสอื่ สาร การพัฒนาทักษะการเขียนหรือการฝึกทักษะการเขียน มีข้ันตอนการฝึกคล้ายทักษะอ่ืนๆ ทีก่ ลา่ วขา้ งตน้ แล้ว คือ ข้ันท่ี ๑ ข้นั ก่อนเขยี น ข้นั ท่ี ๒ ขน้ั ลงมอื เขยี น ขน้ั ท่ี ๓ ขั้นหลังเขียน ดงั จะกล่าวถงึ รายละเอยี ดของการปฏิบตั ิแตล่ ะขั้นตอน ในลาดับน้ี ขั้นท่ี ๑ ข้ันก่อนเขียน เป็นขั้นเริ่มแรกที่ผู้เขียนมีดาริว่าจะสร้างสรรค์งานเขียน เมื่อคิดว่า จะเขยี นอะไรแล้ว ผู้เขียนควรได้เตรยี มการก่อนเขยี นเกี่ยวกับเรื่องต่อไปน้ี ๑.๑ ศึกษารูปแบบ และหลักการเขียนงานเขียนนั้นๆ ก่อน เช่น เขียนย่อความ เขียนจดหมายส่วนตัว เขียนจดหมายธุรกิจ เขียนจดหมายราชการ หรือเขียนรายงานทางวิชาการ ทัง้ นี้ก็เพ่อื จะได้ปฏิบัตกิ ารเขียนงานนนั้ ๆ ได้ถกู ต้องและมีคุณภาพ สาหรบั รูปแบบและหลกั การเขียน งานแต่ละประเภทดังกล่าวจะไดก้ ลา่ วถึงอกี ครั้งในลาดบั ต่อไป ๑.๒ ค้นคว้าหาข้อมูลท่ีจะใช้ในการเขียน โดยเฉพาะงานเขียนที่เป็นรายงาน ทางวิชาการ ผู้เขียนจะต้องค้นคว้าหาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องที่จะเขียนด้วยการอ่าน การฟัง การสังเกต การสมั ภาษณ์จากผู้รูห้ รือคน้ จากอินเทอรเ์ น็ต (Internet) เมอื่ ไดข้ ้อมูลมากพอแลว้ จึงจะลงมือเขยี น ๑.๓ เขียนโครงเร่ือง ของเร่ืองที่จะเขียนไว้ก่อน โดยบอกว่าจะกล่าวถึงอะไร ก่อนจะกล่าวถึงอะไรในลาดับต่อมา เช่น ถ้าเป็นการเขียนจดหมาย โครงเรื่องก็จะได้แก่ อะไร เป็นสาเหตุของการเขียนจดหมายและอะไรเป็นจุดประสงค์ของการเขียนจดหมาย ทั้งสองประการนี้ จะต้องเตรียมไว้ ถ้าเป็นรายงานทางวิชาการ โครงเรื่องก็จะเป็นการกาหนดหัวข้อใหญ่ หัวข้อรอง และหวั ข้อย่อยในการนาเสนอเรื่องนั้นๆ แลว้ จึงขยายดว้ ยรายละเอียดตอนลงมือเขยี นอกี คร้ังหน่งึ
๑๖๒ | ภ า ษ า ไ ท ย เ พ่ื อ ก า ร สื่ อ ส า ร ปัญหาเยาวชน ๑. ความหมายของคาว่าเยาวชน ๒. สภาพบา้ นเมอื งในปจั จุบนั ทส่ี ่งผลกระทบให้เกิดปัญหาเยาวชน ๓. ลักษณะของปญั หา ๓.๑ ปัญหาด้านความประพฤติ ๓.๒ ปญั หายาเสพติด ๓.๓ ปญั หาอาชญากรรม ๔. สาเหตุและวิธแี ก้ไขปัญหาแตล่ ะประเภท ๕. ผ้มู ีหนา้ ท่เี กยี่ วข้องกับตกาารราแงทกป้ี่ ๖ญั .๑หากเยาราเวขชยี นนโครงเรือ่ ง ๖. การป้องกันไมใ่ ห้เยาวชนเกิดปัญหาดงั กล่าวเป็นวิธีที่ดีทส่ี ุดแตจ่ ะทาอย่างไร ขั้นที่ ๒ ขนั้ ลงมือเขียน จากทไ่ี ดเ้ ตรียมการก่อนเขียนไวแ้ ล้วในข้ันท่ี ๑ พอถงึ ขั้นลงมอื เขยี น ผู้เขียนก็จะได้นาโครงเร่ืองที่วางไว้แล้วมาเขียนขยายให้ เป็นงานเขียนท่ีมีรูปแบบถูกต้อง และมีเน้ือความสมบูรณ์ด้วยการพูดอธิบาย ขยายความ หรือยกตัวอย่างประกอบในกรณีท่ี เขียนจดหมายและเขียนรายงานทางวิชาการ แต่ถ้าเป็นเขียนย่อความซ่ึงเป็นงานเขียนที่ไม่ต้อง ขยายความกจ็ ะมีวิธีการเขียนพิเศษออกไปอกี ซ่ึงจะกลา่ วถงึ อกี ครัง้ หนง่ึ ขั้นท่ี ๓ ข้ันหลังเขียน ผู้เริ่มฝึกเขียนโดยทั่วๆ ไปควรได้อ่านตรวจทานเร่ืองท่ีเขียนไปแล้ว หลายๆ คร้ังเพ่ือพิจารณางานเขียนของตนเก่ียวกับเน้ือความว่าตรงกับจุดประสงค์ของการเขียน หรือไม่ เนื้อหามีความสมบูรณ์หรือไม่ การใช้คา ประโยค สานวนภาษาและการใช้คาเชื่อมถูกต้อง เหมาะสมไหม ถ้าพบข้อบกพร่องส่วนใดก็รบี แก้ไขให้ถูกตอ้ งและสมบูรณ์ในขั้นน้ี กอ่ นที่จะนาผลงาน ออกส่สู าธารณชนหรอื นาไปใช้จริง หลักการพัฒนาทกั ษะการเขียน ๑. ทกั ษะการเขยี นเกิดจากการฝึกฝนและจะต้องทาอย่างมีระบบ คือ ๑.๑ ตอ้ งฝกึ ฝนอยา่ งสมา่ เสมอ ๑.๒ ต้องใชเ้ วลาฝกึ นานพอควรจงึ จะเกิดความชานาญ ๑.๓ ตอ้ งฝึกให้ถกู วิธแี ละถกู หลักเกณฑ์ ๑.๓.๑ ต้องสะกดคาให้ถูก เรียบเรียงถ้อยคาให้ส่ือความหมายได้ชัดเจน และร้จู กั การแบ่งวรรคตอนให้ถูกตอ้ ง ๑.๓.๒ ต้องรู้จักเทคนิคเฉพาะในการเขียนเร่ืองประเภทต่างๆ เช่น การเขียน เรียงความ บทความ ท้งั ในแงว่ ัตถุประสงค์และเทคนิคการเขียน ๒. รู้จักแสดงออกโดยการเขียนเรียบเรียงความรู้และความรู้ สึกนึกคิดออกมา อยา่ งเป็นระเบียบเพอ่ื ให้ผอู้ ่านเข้าใจตรงตามทีต่ ้องการ
ภ า ษ า ไ ท ย เ พ่ื อ ก า ร ส่ื อ ส า ร | ๑๖๓ ๓. การเขียนเป็นการใช้ภาษา ซึ่งต้องอาศัยการสั่งสมความรู้ความคิดจากการอ่าน และการฟัง ถ้าฟังมากอ่านมากจะทาให้ผู้เขียนมีความรู้ เกิดความคิดกว้างไกล สามารถนาไปใช้ ในการเขยี นใหม้ ีคณุ ภาพมากยงิ่ ข้นึ ๔. การเขียนเป็นหลักฐานที่ผู้อื่นสามารถอ่านและนาไปอ้างอิงได้ ดังนั้น จึงควรเขียน ดว้ ยความระมดั ระวงั และตอ้ งร้จู กั การสรรหาถ้อยคามาใชใ้ ห้ถูกต้องเหมาะสม ๕. งานเขียนจะมีคุณค่าได้ก็ต่อเมื่อทาให้ผู้อ่านพัฒนาความรู้ ความคิดและอารมณ์ งานเขยี นทีม่ คี ุณคา่ ประกอบดว้ ย ๕.๑ ให้ความรู้แก่ผู้อา่ น ๕.๒ ให้ความคดิ สรา้ งสรรคท์ ดี่ ีงามแก่ผ้อู ่านอยา่ งมีเหตผุ ล ๕.๓ ให้ผู้อา่ นมีพฒั นาการทางอารมณแ์ ละความร้สู กึ ไปในทางทีด่ ี ๖. งานเขียนจะต้องคานึงถึงระดับความรู้ ความคิด และสติปัญ ญ าของผู้อ่าน จึงควรระมัดระวังเรื่องการใช้ถ้อยคาภาษา การเสนอความรู้และความคิดที่ผู้อ่านอาจไม่มีพ้ืนฐาน ในเรอ่ื งนั้นๆ นอกจากน้ียงั มีหลักการเขียนที่ผู้เขียนควรคานงึ ถงึ สามารถสรปุ ได้ ดงั น้ี ๑. มีความชัดเจน ผู้เขียนจะต้องใช้คาที่มีความหมายชัดเจน ใช้ประโยคไม่คลุมเครือหรือกากวม ผู้เขียน ต้องคานึงเสมอว่าการที่จะทาให้ผู้อ่านเข้าใจเรื่องตรงกับผู้เขียนนั้นขึ้นอยู่ท่ีการใช้คา การใช้ประโยค และการใชถ้ อ้ ยคาสานวน ๒. มีความถูกตอ้ ง ผเู้ ขียนตอ้ งคานึงถึงระเบียบการใชภ้ าษาและเขยี นให้ถกู ต้องเหมาะสมตามกาลเทศะ ๓. มีความกระชับ ผู้เขียนต้องรู้จักเลือกสรรถ้อยคามาใช้ รู้จักใช้สานวนโวหาร ภาพพจน์ อุปมาอุปไมย สุภาษิต คาพังเพย รู้จักการรวมประโยคให้ข้อความชัดเจนและมีน้าหนักเพื่อให้ประโยค มีความกระชบั ๔. มีความเรยี บงา่ ยในการใชภ้ าษา ผูเ้ ขียนต้องรู้จักใช้คาธรรมดาที่เขา้ ใจง่าย ไมใ่ ช้คาฟมุ่ เฟือย ไม่ใชค้ าปฏิเสธซ้อนคาปฏิเสธ เพราะส่ิงเหล่านี้จะทาใหผ้ ู้อ่านเบอ่ื หน่าย ๕. มีความรบั ผิดชอบในความถกู ตอ้ งของเนอื้ หา ผู้เขียนต้องแสดงความคิดเห็นอย่างมีเหตุผล พินิจพิจารณาปัญหาด้วยความละเอียด ถถี่ ว้ น ลึกซึ้ง ม่งุ จะให้เกดิ ความรู้และทัศนคติท่ีดอี นั เป็นประโยชนแ์ ก่ผอู้ า่ น ๖. มีความประทับใจ การใช้ถ้อยคาสานวนที่มีความหมายลึกซ้ึงกินใจทาให้ผู้อ่านเกิดความประทับใจ ซง่ึ เป็นผลอันเกิดจากการใช้คาที่ไพเราะ การเรียงลาดับคาในประโยค การใช้คาที่ทาให้เกิดภาพพจน์ เกดิ อารมณค์ วามรูส้ กึ ท่ีประทับใจ และชวนให้ติดตามอา่ น
๑๖๔ | ภ า ษ า ไ ท ย เ พ่ื อ ก า ร สื่ อ ส า ร ๗. มคี วามไพเราะในการใชภ้ าษา ผู้เขียนควรใช้ภาษาสุภาพ มีความประณีตในการใช้ภาษา ตลอดจนมีความประณีต ในการเสนอเน้อื หา อา่ นแลว้ ไม่สะดดุ หรอื ขดั หู การเขยี นเรยี งความ ความหมายของเรยี งความ เรียงความ หมายถึง งานเขียนท่ีมุ่งถ่ายทอดความรู้ ความคิดเกี่ยวกับเรื่องใดเร่ืองหน่ึง จากผู้เขียนไปสู่ผู้อ่าน โดยเรื่องนั้นอาจกาหนดชื่อเรื่องเอาไว้แล้ว หรือกาหนดเฉพาะแนวคิด ไวใ้ หผ้ เู้ ขียนตัง้ ช่ือเรื่องเองกไ็ ด้ ประเภทของเรียงความ งานเขียนประเภทเรียงความสามารถเขียนให้เป็นร้อยแก้วหรือร้อยกรองก็ได้ ถ้าจาแนก ตามลักษณะดังกล่าวก็จาแนกได้ ๒ ประเภทน้ัน แต่ในท่ีน้ีจะจาแนกโดยยึดเน้ือความท่ีจะเขียน เป็นหลัก เพราะจะเป็นประโยชน์ต่อการเขียนเรียงความแต่ละประเภทให้มีลีลาเฉพาะตามเน้ือหา ซ่งึ จาแนกได้ ๖ ประเภท ดงั น้ี ๑. เรียงความข้อความตามนึกคิด เป็นเรียงความประเภทท่ีเม่ือผู้เขียนทราบหัวเร่ือง ที่จะเขียนแล้วก็เขียนตามความรู้สึกนึกคิดของตนเอง ส่วนใหญ่จะเป็นความคิดท่ีง่าย ไม่ซับซ้อน กะทดั รัด ใชภ้ าษาเขียนทงี่ า่ ยๆ ๒. เรียงความจากจินตนาการ เป็นเรียงความท่ีเกิดขึ้นเมื่อผู้เขียนมองเห็นภาพลักษณ์ ของส่ิงใดสิ่งหนึ่งแล้วถ่ายทอดออกมาเป็นงานเขียนได้ตามที่มองเห็นนั้น โดยจะต้องอธิบาย รายละเอยี ดตา่ งๆ เกยี่ วกบั ความคดิ ให้แจ่มชดั ผอู้ ่านอา่ นแลว้ ไม่ต้องตีความให้ยุ่งยาก ๓. เรียงความแสดงความคิดเห็น เรียงความประเภทน้ีสร้างสรรค์จากความคิดเห็น ทเี่ กิดขึ้นในใจผเู้ ขียน เน่ืองด้วยมเี หตกุ ารณ์ที่ปรากฏในสงั คมเป็นแรงผลักดันให้ผู้เขียนมีความคดิ เห็น ต่อสิ่งนั้น ดังน้ัน เหตุการณ์เดียวกัน ผู้เขียนแต่ละคนอาจเขียนเรียงความโดยมีเนื้อหาที่แตกต่างกัน ก็ได้เพราะแต่ละคนมีความคิดไม่เหมือนกัน ดังน้ัน ผู้เขียนควรตระหนักไว้เสมอว่าความคิดเห็น ของตนนั้นตอ้ งอยู่บนพื้นฐานของความถกู ต้อง ๔. เรียงความเล่าเร่ือง เป็นเรียงความที่เกิดขึ้นเมื่อผู้เขียนไปพบ รู้เห็นสิ่งใดส่ิงหน่ึง แล้วมาเขียนเลา่ ส่ิงนั้นใหผ้ ู้อ่านได้รับทราบ เช่น เดนิ ทางไปที่ใดท่ีหนง่ึ พบเหตุการณ์ทเ่ี กดิ ขน้ึ ผู้เขียน ตอ้ งเขยี นเล่าความใหเ้ ป็นไปตามลาดบั จงึ ช่วยให้เรยี งความนน้ั ชวนอา่ น ๕. เรียงความเล่าเรื่องประวัติบุคคล เมื่อผู้เขียนต้องการเล่าประวัติของบุคคลสาคัญๆ แก่ผู้อ่านก็สามารถเขียนเป็นเรียงความได้โดยเรียงลาดับเนื้อหาออกเป็นเร่ืองๆ เพ่ือให้เขียนง่าย อ่านเข้าใจงา่ ย เชน่ วยั เดก็ วัยศึกษา การประกอบอาชีพ ชีวิตครอบครวั และอุปนสิ ัย
ภ า ษ า ไ ท ย เ พื่ อ ก า ร สื่ อ ส า ร | ๑๖๕ ๖. เรียงความเล่าเหตุการณ์ในชีวิต เรียงความประเภทนี้เกิดข้ึนจากการที่ผู้เขียนต้องการ เล่าเหตุการณ์ต่ืนเต้นหรือประทับใจในชีวิตให้ผู้อ่านทราบ อาจตื่นเต้น ตกใจ เศร้าใจ ภู มิใจ เพื่อใหผ้ ูอ้ ่านเพลิดเพลนิ และไดส้ าระบา้ งตามสมควร ความสาคัญของเรียงความ เนื่องจากเรียงความเป็นงานเขียนท่ีค่อนข้างแสดงอัตลักษณ์เฉพาะของบุคคลหรือสะท้อน ความเป็นตัวตนของผู้เขียน จึงมีความสาคัญท่ีค่อนข้างจะให้ประโยชน์ต่อบุคคลผู้นั้นเป็นสาคัญ พิมาน แจ่มจรัส (๒๕๕๓) ได้กล่าวอ้างความเห็นของบุคคลสาคัญๆ ของชาติในด้านภาษา และวรรณกรรมทก่ี ลา่ วถึงความสาคัญของเรยี งความแต่ละบุคคลไว้ดังน้ี ๑. พลตรี พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหม่ืนนราธิปพงศ์ประพันธ์ กล่าวถึงความสาคัญ ของเรียงความว่า ด้วยวิชาการที่ได้ร่าเรียนและฝึกฝนมาน้ัน ช่วยให้ท่านสามารถสอบเข้าศึกษา ที่วิทยาลัยเบเลียล มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด ประเทศอังกฤษได้เป็นผลสาเร็จ หากจะขยายความ ต่อไป ก็จะเห็นว่าในปัจจุบันการสอบเข้าศึกษาต่อในระดับสูงหรือสอบคัดเลือกเข้าทางานน้ัน หลายหน่วย งานใช้วิธีการสอบโดยการเขียนเรียงความ หากผู้ใดมีความสามารถในด้านน้ี ก็ย่อมมีโอกาสสูงทีจ่ ะ ประสบความสาเร็จในการสอบเขา้ ศกึ ษาต่อหรือสอบเขา้ ทางาน ๒. หลวงสาเร็จวรรณกิจ ได้กล่าวว่า ผู้ที่มีความสามารถเขียนเรียงความได้ดีย่อม ประสบผลดีในหลายๆ ทาง ท้ังทางตรงและทางอ้อม เช่น ช่วยในการสอบ ในการเขียน การพูด และการจา ๓. ชัยนันท์ นันทพันธุ์ กล่าวว่า การเขียนเรียงความเป็นการฝึกให้รู้จักใช้ความคิด ความเห็น และความรู้ของตน ถ่ายทอดให้ผู้อ่านทราบ คากล่าวเช่นน้ีขยายความต่อไปได้อีกว่า การเขียนเรียงความนั้นจะช่วยให้ผู้เขียนเป็นคนท่ีถ่ายทอดเร่ืองราวได้ดี มีลาดับ ขั้นตอน และเขา้ ใจงา่ ย ๔. สุวัฒน์ วรดิลก กล่าวว่า เรียงความนับว่ามีความสาคัญและเป็นศิลปะอย่างหนึ่ง ในการใช้ภาษาไทย ๕. วิลาศ มณีวัต กล่าวว่า เรียงความเป็นความจาเป็นอย่างหนึ่งท่ีสาคัญย่ิงสาหรับคนไทย ไม่ว่าจะเป็นนักอักษรศาสตร์ นักบัญชี แพทย์ ทนายความ ที่สามารถใช้ภาษาไทยเขียนเรียงความ ได้ดนี นั้ ยอ่ มส่อื ความหมายได้ตามวัตถุประสงคท์ ีช่ ดั เจน ลกั ษณะเฉพาะของเรยี งความ โดยทั่วไป เรียงความมีอยู่ ๒ ชนิด คือ ชนิดที่นักเรียนฝึกเขียนกันในโรงเรียน โดยมีครูเป็นผู้ให้คาแนะนาและแก้ไขให้ ซึ่งนับว่าเป็นการเขียนตามหัวข้อที่กาหนดให้ และอีกชนิดหน่ึงเป็นเรียงความท่ีเกิดจากความรู้สึกนึกคิดของผู้เขียนท่ีปรารถนาจะแสดง ให้ผู้อ่ืนทราบ (เปล้ือง ณ นคร, ๒๕๑๖) เม่ือกล่าวถึงลักษณะเฉพาะของเรียงความที่แตกต่าง จากงานเขียนอ่ืนๆ สรปุ ได้ ๔ ประการดังนี้
๑๖๖ | ภ า ษ า ไ ท ย เ พ่ื อ ก า ร สื่ อ ส า ร ๑. เป็นเร่ืองที่มุ่งเข้าใจเร่ืองใดเร่ืองหน่ึงโดยเฉพาะ อาจเกิดจากการได้รับมอบหัวเร่ือง ให้เขยี น หรอื เกิดจากความต้องการจะเขียนเร่ืองน้ันๆ ของผ้เู ขียนก็ได้ ๒. อาจเขียนเรื่องที่มีเนื้อหาสาระอยู่ในช่วงสมัยหน่ึง หรือเขียนให้เห็นพัฒนาการ ของเรอ่ื งน้นั จากสมยั หน่ึงมาส่อู กี สมยั หนึง่ หรือเขยี นเปรยี บเทียบเรอ่ื งนน้ั ระหว่างชว่ งสมยั กไ็ ด้ ๓. ลักษณะภาษาท่ีใช้จะเป็นภาษาเขียนท่ีเป็นแบบแผน สุภาพ ราบร่ืน ไม่หวือหวา ในลักษณะชกั จงู ให้อา่ นหรอื ให้กระทาสิ่งใดสิ่งหน่ึงได้ อกี ทงั้ ต้องสุภาพ ถูกตอ้ ง และเหมาะสม ๔. มักมีรูปแบบในการเขียนที่กาหนดไว้อย่างชัดเจน เช่น ช่ือเรื่องต้องเขียนให้โดดเด่น กลางหนา้ กระดาษ เขียนหรอื พิมพใ์ หถ้ กู ต้อง ชดั เจน เขียนลงบนกระดาษหน้าเดียว วตั ถปุ ระสงคใ์ นการเขยี นเรียงความ ในการเขียนเรียงความโดยท่ัวไป ผู้เขียนอาจมีวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ เช่น เพ่ือเป็นส่วนหน่ึง ของการเรียน การสอบแข่งขันหรือสอบคัดเลือก เพื่อแสดงความรู้และความคิดของตนใน เรื่องใดเรื่องหนึ่งเพ่ือบันทึกส่ิงท่ีได้พบเห็น ได้รู้เอาไว้เป็นหลักฐาน และเพื่อถ่ายทอดแรงบันดาลใจ อย่างใดอย่างหนงึ่ การเขยี นเรยี งความภาคปฏิบัติ วรวรรธน์ ศรียาภัย (๒๕๕๗) เสนอกระบวนการฝึกเขียนเรยี งความภาคปฏิบัติโดยมีประเด็น สาคัญ ๔ ประเด็น คือ ลักษณะของเรียงความที่ดี องค์ประกอบของเรียงความ สัดส่วนเนื้อหา ของเรยี งความ ๑ เรื่อง และขั้นตอนการเขยี นเรียงความ ๑. ลักษณะของเรยี งความท่ีดี เรียงความซ่ึงมีลักษณะเป็นเรียงความท่ีดีนั้น ผู้เขียนต้องใช้เวลาในการฝึกฝนพอสมควร เราไม่อาจจะเขียนเรียงความให้ดีได้ในครั้งเดียวหรือครั้งแรกๆ อีกท้ังไม่สามารถเขียนให้ดีได้ ในข้ันตอนเดียว ต้องมีการปรับปรุงแก้ไขมาก่อนจึงจะเป็นเรียงความท่ีดี โดยทั่วไปคุณลักษณะ ของเรยี งความทด่ี ีตอ้ งมคี วามดี ๓ ดา้ น คือ ดา้ นรปู แบบ ดา้ นเนอื้ หา และดา้ นภาษา กล่าวดังนี้ ๑.๑ ด้านรปู แบบ รูปแบบของเรียงความที่ดีเริ่มต้ังแต่การใช้กระดาษ ควรใช้กระดาษหน้าเดียว ตัวอักษรให้ใช้หมึกสีเข้มไม่ว่าเขียนหรือพิมพ์ หัวข้อเร่ืองเขียนไว้กลางหน้ากระดาษ เว้นบรรทัด ประมาณ ๑-๒ บรรทัดเพื่อให้หัวข้อโดดเด่น จากนั้นจึงเขียนเนื้อความโดยแบ่งเป็นย่อหน้าที่เด่นชัด ใหค้ านงึ เสมอว่ารูปแบบของเรียงความเป็นสิ่งสาคญั ลกั ษณะหนึ่งท่ตี ้องตระหนัก ๑.๒ ด้านเน้ือหา เน้อื หาของเรียงความที่ดีควรมีลกั ษณะดเี ดน่ ๓ ประการ ตอ่ ไปน้ี ๑.๒.๑ มีเอกภาพ คือ มีความเป็นอันหนึ่งเดียวกัน เรียงความเร่ืองหน่ึงๆ จะต้อง มีใจความและจุดมุ่งหมายสาคัญเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ประเด็นท่ีนามาเขียนจะต้องเกี่ยวข้อง สอดคล้องในประเด็นเดียวกันหรือช่วยเสริมให้เนื้อเร่ืองมีความเด่นชัดข้ึน เรียงความท่ีขาดเอกภาพ คอื เรียงความท่ีมปี ระเด็นต่างๆ ไมเ่ กี่ยวข้องสอดคลอ้ งกนั
ภ า ษ า ไ ท ย เ พื่ อ ก า ร สื่ อ ส า ร | ๑๖๗ ๑.๒.๒ มีสัมพันธภาพ คือ มีการเชื่อมโยงความต่างๆ ให้เป็นไปตามลาดับ มีเหตุมีผลรับกันโดยใช้กลวิธีการเชื่อมโยงความในสัมพันธสาร เรียงความที่มีสัมพันธภาพ จะต้องมเี นื้อเรื่องเกยี่ วเนอ่ื งกนั เนื้อความตอ้ งชัดเจน ไมค่ ลุมเครือ ๑.๒.๓ มีสารัตถภาพ คือ มีการเน้นใจความท่ีสาคัญให้เด่นชัดข้ึนมา ส่วนท่ี เป็นใจความรองจะต้องช่วยสนับสนุนใจความสาคัญให้โดดเด่นขึ้น ถ้าเรียงความมีใจความรอง มากเกนิ ไปจนใจความหลกั ไมโ่ ดดเด่น จะเรยี กวา่ ขาดสารตั ถภาพ ๑.๓ ด้านภาษา ก า ร ใ ช้ ภ า ษ า ใน ก า ร เขี ย น เรี ย ง ค ว า ม ต้ อ ง เป็ น ภ า ษ า เขี ย น ท่ี เป็ น ม า ต ร ฐ า น หรือเป็นภาษาราชการมีความถูกต้อง กะทัดรัด ชัดเจน สุภาพ เหมาะสม เช่น ใช้คากะทัดรัด เข้าใจง่าย มีความหมายชัดเจน ตรงความหมาย เหมาะสมกับเรื่อง ไม่ใช้ภาษาพูด ภาษาถ่ิน หรือคาสแลง ไม่ใช้ศัพท์บัญญัติ ศัพท์ทางวิชาการท่ีไม่รู้จักกันดี คาทับศัพท์โดยเฉพาะภาษาอังกฤษ หรือภาษาท่ีนิยมในขณะนั้น ไม่ใช้สานวนภาษาต่างประเทศ ไม่ใช้คาย่อหรืออักษรย่อ ตลอดจน ไมใ่ ชค้ าแบบภาษาโฆษณาหรอื ภาษาหนังสือพิมพ์ ๒. องคป์ ระกอบของเรยี งความ งานเขียนทุกชนิดจาเป็นต้องมีองค์ประกอบซ่ึงอาจเหมือนหรือต่างกัน ขึ้นอยู่กับลักษณะ จาเพาะของงานเขียนน้ัน เรียงความเป็นการเขียนเพ่ือการส่ือสารประเภทหน่ึงท่ีมีองค์ประกอบ ซ่ึงคล้ายคลึงกับการเขียนและการพูดบางลักษณะ องค์ประกอบของเรียงความมี ๓ องค์ประกอบ ไดแ้ ก่ คานา เนือ้ หา และสรปุ แต่ละส่วนมีรายละเอยี ดดงั ต่อไปนี้ ๒.๑ คานา ส่วนคานาของเรียงความเป็นส่วนแรกของข้อเขียนท่ีใช้เปิดประเด็นเข้าสู่ เนื้อเร่ืองด้วยวิธีการต่างๆ เช่น บอกผู้อ่านว่าจะเขียนเรื่องอะไร มีขอบเขตอย่างไร มีประโยชน์ อนั ใดบ้าง หรือเชิญชวนโนม้ น้าวให้ผู้อ่านสนใจ ตดิ ตามอ่านเน้อื หาทจี่ ะกล่าวในลาดับต่อไป ส่วนมาก สว่ นคานานี้มกั จะเขียนย่อหนา้ เดียว ๒.๒ เนื้อหา ส่วนเนื้อหานี้นับว่าเป็นส่วนสาคัญที่สุด หรือเป็นหัวใจของเรียงความเร่ือง น้ันเพราะเป็นส่วนที่ผู้เขียนจะได้เสนอสาระความรู้ ความคิดของตนให้ผู้อ่านทราบ การเขียนส่วนนี้ ต้องใช้กลวิธีการเขียนลักษณะต่างๆ เพ่ือให้ผู้อ่านสนใจติดตามอ่านตลอดท้ังเร่ือง ส่วนเน้ือหานี้ จะประกอบดว้ ยประเดน็ ความคดิ หลายประเด็น สว่ นมากจะเขยี นแยกเปน็ ประเด็นละ ๑ ยอ่ หน้า ๒.๓ สรุป ส่วนสรุปของเรียงความนับว่าเป็นส่วนสาคัญอีกส่วนหนึ่งที่ต้องเขียน อย่างระมัดระวังและให้ผู้อ่านประทบั ใจ จาได้ เป็นส่วนทเ่ี น้นยา้ สาระสาคญั อยา่ งสั้นๆ มีความสาคัญ เท่าๆ กับส่วนนา เป็นการเน้นหรือเสริมให้เรียงความนั้นมีคุณค่ายิ่งข้ึน ส่วนมากแล้วส่วนนี้ มกั จะเขียนยอ่ หนา้ เดียว
๑๖๘ | ภ า ษ า ไ ท ย เ พื่ อ ก า ร ส่ื อ ส า ร คานา เน้ือหาประเด็นที่ ๑ เนื้อหาประเด็นที่ ๒ เนอื้ หาประเด็นที่ ๓ เนื้อหาประเด็นที่ ๔ สรุป ภาพที่ ๖.๑ องคป์ ระกอบของเรียงความ ๓. สัดส่วนเน้อื หาของเรยี งความ ๑ เรือ่ ง จากองค์ประกอบของเรียงความตามกล่าวไปแล้วข้างต้นรวมท้ังช่ือเร่ือง ต่างก็เป็น ส่วนหน่ึงของเรียงความ รวมเป็น ๔ ส่วน ได้แก่ ชื่อเรื่อง คานา เนื้อหา สรุป แต่ละส่วนมีสัดส่วน เน้ือหาไม่เท่ากัน ทวีศักดิ์ ป่ินทอง (๒๕๕๓ : ๙๑) อธิบายสัดส่วนเนื้อหาในเรียงความของท้ัง ๔ สว่ น ไว้ดังน้ี ๓.๑ ชอ่ื เรือ่ ง เปน็ ข้อความสัน้ ๆ ไมค่ วรยาวเกนิ ๑ บรรทดั ๓.๒ คานา ควรมสี ดั ส่วนเนอ้ื หาประมาณรอ้ ยละ ๕-๑๐ ของเน้ือหาทงั้ หมด ๓.๓ เนื้อหา เป็นส่วนที่มีเน้ือหามากที่สุดของเรื่อง อยู่ในอัตราประมาณร้อยละ ๘๐-๙๐ ของเนื้อหาทง้ั หมด ๓.๔ สรุป ในส่วนสรุปเนื้อหาควรมีอัตราใกล้เคียงกับคานา คือประมาณร้อยละ ๕-๑๐ ของเน้อื หาท้งั หมด ๔. ขั้นตอนการเขียนเรยี งความ ใน ข้ั น ป ฏิ บั ติ ก ารเขี ย น เรีย งค ว าม เป็ น ส่ ว น ท่ี ผู้ เขี ย น ต้ อ งตั้ งใจเป็ น พิ เศ ษ และเพ่ือให้พัฒนาการของทักษะการเขียนเรียงความดาเนินไปได้เป็นอย่างดีนั้น ผู้เขียนควรฝึกเขียน ตามลาดับข้ันตอน ๖ ขั้นต่อไปนี้ คือ เลือกประเด็นเรื่อง ตีความและกาหนดขอบเขตของเรื่อง ค้นหาขอ้ มลู เพิ่มเติม วางโครงเรื่อง ลงมือเขยี น และตรวจทานและแกไ้ ข กล่าวดังน้ี
ภ า ษ า ไ ท ย เ พ่ื อ ก า ร สื่ อ ส า ร | ๑๖๙ ๔.๑ เลอื กประเดน็ เรอ่ื ง ในการเขียนเรียงความ กรณีที่ผู้เขียนมีสิทธิ์ท่ีจะเลือกประเด็นเรื่องหรือหัวข้อเรื่อง เอง ก็ต้องเลือกอย่างมีหลักเกณฑ์ท่ีถูกต้อง สุธวิ งศ์ พงศ์ไพบูลย์ (๒๕๒๒ : ๑) ได้เสนอหลักการเลือก หัวข้อเรื่องในการเขียนเรียงความไว้ ๕ ประการ ซึ่งมีผู้นามาเป็นแนวทางในการเขียนเรียงความ และอา้ งอิงกันอย่างกวา้ งขวางมาตราบจนปัจจุบนั หลกั การนั้นกล่าวได้ดงั นี้ ๔.๑.๑ ควรเลือกเร่ืองท่ีผู้เขียนมีความรู้เรอื่ งนนั้ เป็นอย่างดี การท่ีผูเ้ ขียนมีความรู้ ความเข้าใจในเรื่องที่จะนามาเขียนเรียงความดีอยู่แล้ว ทั้งในด้านแนวคิด ทฤษฎี และการปฏิบัติ ย่อมแสดงให้เห็นถึงความลึกซ้ึงในเน้ือหาและความเชี่ยวชาญในการนาไปประยุกต์ เม่ือนาเร่ืองนั้น มาเขียนเป็นเรียงความก็จะเขียนได้อย่างผู้มีความรู้จริงและปฏิบัติได้จริง เช่น อาจารย์สอนวิชา ภาษาไทยท่ีมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานียอ่ มมีความร้เู กี่ยวกับปัญหาการสอนภาษาไทยแก่นกั ศึกษา ของมหาวทิ ยาลัยแหง่ น้ีเป็นอยา่ งดี เปน็ ต้น ๔.๑.๒ ควรเลือกเร่ืองท่ีผู้เขียนมีประสบการณ์มามาก การมีประสบการณ์ ในเร่อื งใดเรื่องหนง่ึ มามากหรอื ยาวนาน เมื่อกล่าวถงึ เร่ืองนน้ั ยอ่ มกล่าวได้อย่างลกึ ซ้งึ หรอื นาตวั อย่าง ท่ีได้พบเห็นและบันทึกจดจาไว้มาแสดงย่อมเกิดความสมจริงสมจัง มีเหตุผล เช่น ผู้เป็นบรรณารกั ษ์ ในสานักวิทยบริการมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานีมาต้ังแต่เร่ิมก่อสร้างจนถึงปัจจุบันย่อมจะ เขียนเรียงความเรื่อง “ปัญหาสภาพแวดล้อมกับการส่งเสริมประสิทธิภาพการอ่าน ” หรือ “ทิศทางการพฒั นาสานักวทิ ยบรกิ ารมหาวทิ ยาลยั ราชภฏั อดุ รธานีสคู่ วามเป็นเลศิ ” ได้ดี เป็นตน้ ๔.๑.๓ ควรเลือกเร่ืองที่ผู้เขียนมีความสนใจเป็นพิเศษอยู่แล้ว ในการเขียน เรียงความ หากผู้เขียนมีความสนใจในเร่ืองน้ันๆ ก็เท่ากับมีความพอใจท่ีจะเขียน ก็เท่ากับว่าผู้เขียน มี “ฉันทะ” ซึ่งเป็นหลักธรรมสาหรับการทางานให้ประสบความสาเร็จ และการที่มีความสนใจ เป็นพิเศษน้ีมิใช่จะเกิดข้ึนในช่วงท่ีจะเขียนเรียงความคร้ังน้ัน หากแต่สน ใจเรื่องดังกล่าว และเก็บข้อมูลมาโดยตลอด ครั้นมีโอกาสการเขียนเรียงความครั้งน้ันก็เกิดเป็นความบรรจบกัน จากความสนใจพิเศษมาก่อน จนเป็นฐานข้อมูลอย่างครบถ้วน เช่น นักศึกษามีความสนใจเป็นพิเศษ เร่ืองศิลปะความงามทางภาษาในบทร้อยกรองไทย ก็จะเขียนเรียงความเรื่อง “อลังการทางภาษา ในรอ้ ยกรองไทย” ได้เป็นอยา่ งดี ๔.๑.๔ ควรเลือกเร่ืองท่ีเป็นนามธรรม ในกรณีท่ีไม่มีความรู้เรื่องใดเรื่องหนึ่ง โดยเฉพาะแต่ต้องเลือกเรื่องที่จะเขียนเรียงความเร่ืองหนึ่ง ก็ควรเลือกเรื่องท่ีเป็นนามธรรม เช่น ความสามัคคี ความเป็นธรรม และความรัก เพราะเป็นเรื่องท่ีไม่ต้องอาศัยความรู้ท่ีตายตัว ผู้เขียน สามารถแสดงความคิดเห็นได้อย่างอิสระ เพียงแต่อาศัยเหตุผลและความคิดของตนประกอบ ก็จะเขียนไดด้ ี ๔.๑.๕ ควรเลือกเร่ืองท่ีมีขอบข่ายแคบที่สุด หัวข้อเรื่องที่จะเลือกสรรมาเขียน เรียงความ หากเลือกหัวข้อท่ีมีเนื้อหาแคบ ก็จะเขียนได้ชัดเจน จากัดขอบเขตของเน้ือหาได้และจะ เขยี นเรียงความไดด้ ี เชน่
๑๗๐ | ภ า ษ า ไ ท ย เ พ่ื อ ก า ร สื่ อ ส า ร “ความงามทางภาษาไทย” เปน็ หวั ข้อกวา้ ง “ความงามในบทรอ้ ยกรองไทย” เป็นหัวข้อที่แคบ “ความงามในวรรณคดีร้อยกรองไทย” เป็นหัวขอ้ ทแ่ี คบเขา้ มา “ความงามในวรรณคดีเร่ืองพระอภัยมณี” เปน็ หัวขอ้ ทีแ่ คบเข้ามาอีก “ความงามในบทชมโฉมพระอภยั มณ”ี เป็นหวั ข้อท่แี คบเขา้ มาอกี กวา่ เดิม ๔.๒ ตีความและกาหนดขอบเขตของเร่ือง ขอบเขตของเร่ืองมีความสัมพันธ์กับหัวข้อเรื่อง กล่าวคือ ขอบเขตของเร่ือง เป็นการจากัดขอบข่ายเน้ือหาของหัวข้อเร่ือง ทาให้เน้ือเร่ืองชัดเจน ไม่กว้างเกินไป มีขนาด ตรงตามท่กี าหนดให้เขียน และมีจุดมงุ่ หมายทีเ่ ดน่ ชดั ทวีศักด์ิ ป่ินทอง (๒๕๕๓ : ๙๔) กล่าวถึงตัวอย่างของการกาหนดขอบเขตของเรื่อง ท่ีประกอบการทาความเข้าใจในประเด็นน้ีได้เป็นอย่างดีว่า หากกาหนดให้นักศึกษาเขียนเรียงความ เกี่ยวกับประสบการณ์ชีวิต ความยาวประมาณ ๒ หน้ากระดาษ เอ ๔ จะเห็นได้ว่าหัวข้อนี้ กว้างเกินไป เพราะแม้นักศึกษาจะมีอายุเฉลี่ยประมาณ ๒๐ ปีแต่นักศึกษามีประสบการณ์ชีวิตสาคัญ ถึง ๒ ช่วง คือ วัยเด็ก และวัยรุ่น หากเลือกเขียนถึง ๒ ช่วงน้ี ก็จะไม่พอหน้ากระดาษท่ีกาหนด ดงั น้นั จึงต้องเลอื กเพียงชว่ งเดยี ว สมมุติหากนักศึกษาเลือกประสบการณ์ชีวิตวัยรุ่น ถ้าจะกล่าวถึงครอบครัว การดาเนินชีวิตก็จะกว้าง ขาดจุดน่าสนใจ ดังน้ัน จึงควรกาหนดเน้ือหาให้ แคบลงมา เป็นประสบการณ์ชีวิตท่ีน่าสนใจในช่วงวัยรุ่น จะทาให้เรื่องมีจุดมุ่งหมายในการเขียนที่ชัดเจน แต่ถ้าหากเห็นว่าประสบการณ์ชีวิตนั้นกว้างไป ยังไม่ทราบว่าเก่ียวกับเรื่องอะไร ก็อาจกาหนดให้ แคบลงมาอกี เป็นประสบการณ์ชวี ิตทน่ี ่าสนใจในช่วงการเปน็ นักศกึ ษา ๔.๓ คน้ หาข้อมลู เพิม่ เตมิ ในการเขียนเพ่ือการสื่อสารทุกชนิด ไม่เฉพาะแต่การเขียนเรียงความ สาหรับ การเขียนเรียงความหลังจากที่เลือกเร่ืองหรือได้รับเร่ืองมาแล้วและได้กาหนดขอบข่ายของเร่ืองแล้ว ผู้เขียนต้องค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมแม้ว่าเรื่องนั้นตนเองจะรู้ดีอยู่แล้วก็ตาม ท้ังนี้เพ่ือจะได้พิจารณา ความทันสมยั ของส่งิ ทตี่ นเองรู้และได้ตรวจสอบข้อมลู ไปในตัวดว้ ย วิธกี ารคน้ ข้อมูลเพมิ่ เตมิ มดี งั น้ี ๔.๓.๑ อ่านและศึกษาเอกสารต่างๆ ท่ีเกี่ยวข้อง รวมทั้งศึกษาจากเว็บไซต์ หรอื อินเทอรเ์ น็ตด้วย นอกจากน้ี ยังมหี นังสอื พิมพ์ นิตยสาร วารสาร และสือ่ อื่นๆ ในสถานใหบ้ ริการ คน้ ควา้ ๔.๓.๒ สัมภาษณ์ผู้รู้ การอ่านหนังสือหรือค้นคว้าข้อมูลต่างๆ แม้ว่าจะมาก สักเพียงใดก็ตาม หากได้สัมภาษณ์ผู้รู้เพิ่มเติมก็จะทาให้ข้อมูลนั้นครอบคลุมยิ่งข้ึน เพราะบุคคล ผใู้ หส้ ัมภาษณย์ อ่ มจะไดอ้ ธบิ ายหรือให้ความเห็นเพ่ิมเตมิ จากเอกสาร ๔.๓.๓ สังเกตหรือติดตามข้อมูลข่าวสารที่เกิดขึ้นในสังคมด้วยตนเอง ถือว่าเป็น การค้นคว้าข้อมลู ทีน่ า่ เชื่อถอื อกี วธิ ีหนึ่งเพราะผู้เขียนได้สมั ผสั โดยตรง
ภ า ษ า ไ ท ย เ พื่ อ ก า ร ส่ื อ ส า ร | ๑๗๑ ๔.๔ วางโครงเรอ่ื ง โครงเรื่อง คือ ประเดน็ ความคิดทผ่ี ู้เขียนสร้างขึน้ เพอื่ จะเขียนขยายความให้ละเอียด ชัดแจ้ง แล้วจัดเรียงตามลาดับก่อนและหลังตามความเหมาะสม การเขียนโครงเรื่องท้ังสาหรับ การเขียนเรียงความและการเขียนเพ่ือวัตถุประสงค์อ่ืนๆ ทาได้ ๒ ลักษณะ คือ วางโครงเร่ืองไว้ก่อน แล้วไปค้นคว้า ซ่ึงเป็นวิธีที่ผู้เขียนมักมีความรู้เรื่องนั้นดีอยู่แล้ว และไปค้นคว้าข้อมูลก่อน แล้วนามาจัดวางเป็นโครงเรื่อง อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะวางโครงเร่ืองแบบใด โครงเรื่องนั้น ก็ยงั มิตายตวั หากพบขอ้ มูลใหม่และสาคัญ ก็สามารถปรบั แกโ้ ครงเรือ่ งได้ ตามท่ีกล่าวไปแล้วในข้อ ๔.๒ เก่ียวกับการตีความและกาหนดขอบเขตของเร่ือง ทวีศักดิ์ ปิ่นทอง (๒๕๕๓ : ๙๖) ได้สรุปว่า นักศึกษาควรเขียนเรื่องประสบการณ์ชีวิตที่น่าสนใจ ในช่วงการเปน็ นักศึกษา แลว้ ได้แสดงการวางโครงเรอื่ งในหวั ขอ้ ดังกล่าวไวด้ งั นี้ ประสบการณช์ ีวติ ที่น่าสนใจในชว่ งการเปน็ นกั ศึกษา ๑. เกริ่นนาถงึ การเรียนกบั การช่วยเหลอื สงั คม ๒. การเริม่ เขา้ มาเปน็ อาสาสมัครในมูลนิธแิ หง่ หนึ่ง ๓. กจิ กรรมในมลู นิธิ ๔. สนทิ สนมกับเดก็ ผชู้ ายคนหนึง่ ในมูลนิธิ ๕. กล่าวถึงความดีและความสามารถของเดก็ คนนนั้ ๖. มีความรกั ความผูกพันเหมือนเพือ่ นตา่ งวัย ๗. จบกิจกรรม ไม่ได้ไปมลู นธิ ิ แตย่ งั คิดถงึ ท่นี ัน่ รวมท้ังเด็กคนนน้ั ๘. กลับไปมูลนธิ ิอีกคร้ังเพ่ือรว่ มงานปใี หม่ ๙. อยากพบเดก็ ผูช้ ายคนนัน้ ๑๐.สดุ ท้ายได้พบ และได้ทราบว่า เดก็ คนนน้ั เป็นโรคเอดสร์ ะยะสดุ ท้าย ๑๑.เสยี ใจมาก ๑๒.ฝากขอ้ คดิ มายงั ผอู้ ่าน ๔.๕ ลงมอื เขียน เมื่อผู้เขียนได้โครงเรื่องแล้ว ลาดับถัดมาคือการลงมือเขียน โดยปฏิบัติการเขียน ตามโครงเร่ืองทีก่ าหนดไว้ ขอ้ ควรคานงึ ในการเขียนเรยี งความ อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนเรียงความต้องคานึงอยู่ตลอดเวลาว่าการเขียนเน้ือหาแต่ละตอน ทป่ี รากฏในแตล่ ะยอ่ หน้านนั้ ตนเขยี นได้ดีแลว้ หรือยัง โดยยึดหลกั การตอบคาถาม ๗ ข้อ ตอ่ ไปนี้
๑๗๒ | ภ า ษ า ไ ท ย เ พื่ อ ก า ร ส่ื อ ส า ร ๑. จะเขียนเกี่ยวกบั อะไร ๒. ผอู้ ่านเรยี งความเปน็ ใคร ๓. ควรเสนอรายละเอยี ดอะไรแกผ่ อู้ ่านบ้าง ๔. ประโยคใจความสาคัญในย่อหน้าคืออะไร ดีหรอื ไม่ ๕. ยอ่ หน้าได้จดั เรยี งลาดับความตามแบบใด เชน่ เวลา สถานที่ ความสาคัญของสาระ ๖. ในย่อหน้าใช้กลวิธีอะไรท่จี ะทาให้ประโยคใจความสาคัญเป็นทยี่ อมรับของผู้อา่ น กลวิธีน้ี เหมาะท่ีจะนามาใช้ในการเสนอความคดิ ของเรากบั ผอู้ ่านหรือไม่ ๗. ถ้าเป็นย่อหน้าในเรียงความที่มุ่งจะโน้มน้าวใจผู้อ่านหรือโต้แย้งความเห็นของผู้อ่ืน รายละเอียดของใจความรองต่างๆ ท่ีนามาสนับสนุนประโยคใจความหลักมีน้าหนักเพียงพอ ทีจ่ ะโนม้ น้าวใจใหผ้ ู้อืน่ เชือ่ ถือไดห้ รือไม่ การเขียนบทความ ความหมายของบทความ บทความ หมายถึง งานเขียนในลักษณ ะเรียงความหรือความเรียงที่เขียนขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสนอข้อเท็จจริงที่สามารถอ้างอิงได้ โดยเรื่องน้ันเก่ียวกับข่าว เหตุการณ์ สถานการณ์ เรื่องราว ท่ีเกิดข้ึนในสังคม และผู้เขียนต้องสอดแทรกความคิดเห็นและข้อเสนอแนะ เชิงสร้างสรรค์ ประเภทของบทความ จากการศึกษาเอกสาร ตารา หนังสือต่างๆ ที่เก่ียวข้องกับบทความพบว่า นักวิชาการ ได้จัดจาแนกประเภทไว้อย่างหลากหลาย มีท้ังท่ีเหมือนกันและต่างกัน เช่น ประภาศรี สีหอาไพ และคณะ (๒๕๓๑ : ๘๖-๘๗) แบ่งบทความไว้ ๕ ประเภท ได้แก่ บทความแสดงความคิดเห็น บทความสัมภาษณ์ บทความก่ึงชีวประวัติ บทความวิชาการ และบทความรายงานเหตุการณ์ หรือการท่องเท่ียว จิตต์นิภา ศรีไสย์ (๒๕๔๙ : ๑๕๕) แบ่งบทความออกเป็น ๓ ชนิด ได้แก่ บทความเชิงสาระ บทความเชิงปกิณกะ และบทความชีวประวัติ และประสิทธิ์ กาพย์กลอน (๒๕๑๘ : ๑๙๗-๑๙๘) แบ่งบทความออกเป็น ๗ ชนิด ได้แก่ บทความรายงาน บทความเชิงโต้แย้ง บทความบรรยาย บทความร่างบุคลิกของบุคคล บทความสัมภาษณ์ บทความอธิบายวิธีทาอะไร อยา่ งหน่ึง และบทความแสดงความคดิ ใหม่ จากความหลากหลายของการจาแนกประเภทบทความของนักวิชาการดังกล่าวข้างต้น จะเห็นว่ามีลักษณะเหมือนและต่างกัน ท้ังนี้อาจเน่ืองจากยุคสมัยที่แตกต่างกันหรือเกณฑ์ท่ีใช้ แตกต่างกัน จึงได้ประเภทของบทความในลักษณะดังกล่าว ธิดา โมสิกรัตน์ (๒๕๔๘ : ๖๐-๖๒) เห็นว่าเป็นการจาแนกบทความโดยอาศัยเน้ือหาเป็นเกณฑ์ ท้ังครอบคลุมและชัดเจนเป็นอย่างดี ซง่ึ จาแนกบทความไว้ ๖ ประเภท ดงั น้ี
ภ า ษ า ไ ท ย เ พื่ อ ก า ร ส่ื อ ส า ร | ๑๗๓ ๑. บทความวิชาการ (Academic Articles) คือ งานเขียนหรือข้อเขียนท่ีเสนอความรู้ หรือแนวคิดทางวิชาการใหม่ๆ อันเป็นผลจากการศึกษา ค้นคว้า สังเกต สัมภาษณ์ เป็นความรู้ และข้อคิดที่เป็นประโยชน์โดยตรงต่อวงวชิ าการอันก่อให้เกิดการระดมความคิดและการแลกเปลี่ยน ความคดิ เหน็ กอ่ นท่ีจะนาไปรวบรวมเรยี บเรยี งเปน็ ตาราหรือวางกฎเกณฑใ์ นหลกั วิชาต่อไป ๒. บทความวิเคราะห์ (Analytical Articles) คือ บทความท่ีมีเน้ือหาเกี่ยวกับการวเิ คราะห์ เหตุการณ์ ปัญหา หรือวิกฤติการณ์อย่างใดอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นในสังคม และมีผลกระทบต่อบุคคล หรือสังคมในวงกว้าง โดยมีการวิเคราะห์ตามหลักวิชาการ นาเสนอข้อมูลที่มีน้าหนัก ผู้อ่านยอมรับ และเชื่อถือ เป็นข้อมูลที่ผ่านการวิเคราะห์อย่างเท่ียงตรง มีเหตุผล ไม่วิเคราะห์ด้วยอคติ หรือเจตนา ท่ีบิดเบอื นใหห้ ลงผิดหรอื ชักจงู ไปในทางทผ่ี ิดๆ ๓. บทความแสดงความคิดเห็น (Opinion Articles) คือ บทความที่เขียนข้ึนเพ่ือแสดง ความคิดเห็นที่มีต่อประเด็นปัญหา เหตุการณ์ วิกฤตการณ์ หรือเรื่องใดเร่ืองหนึ่ง โดยผู้เขียน ได้สารวจปัญหา ศึกษาที่มาของเรื่องและข้อมูลต่างๆ มาอย่างละเอียดถ่ีถ้วนแล้วนามาเขียนแทรก ด้วยความคิดเห็นของตนที่มีต่อเร่ืองที่นาเสนอ เป็นทัศนะส่วนตัวของผู้เขียนที่อาจจะสอดคล้อง หรือขัดแย้งกับความคิดเห็นของคนอื่น บทความที่ดีจะต้องเป็นความคิดเห็นท่ียังไม่มีใครคิด กันมาก่อนหรือเป็นความคิดท่ียังไม่มีการเผยแพร่ในส่ือส่ิงพิมพ์อ่ืนๆ ไม่เป็นความคิดที่ซ้าซาก ซึ่งได้กล่าวกันมาก่อนแล้ว แต่ความเห็นนั้นต้องจุดประเด็นความคิดของผู้อ่าน เป็นประโยชน์ ในทางสร้างสรรคต์ อ่ สงั คมโดยสว่ นรวม ๔. บทความเชิงวิจารณ์ (Critical Articles) คือ บทความท่ีมีเนื้อหาติชมและวิพากษ์วิจารณ์ เรื่องใดเร่ืองหนึ่งโดยเฉพาะ ส่วนใหญ่เป็นเรื่องเก่ียวกับวรรณกรรม ศิลปะ ดนตรี ภาพยนตร์ และการแสดงต่างๆ ผู้วิจารณ์จะต้องใช้หลักเกณฑ์หรือทฤษฎีท่ีเก่ียวข้องมาพิจารณาประเมินคุณค่า ตามเหตุผลและทฤษฎีในศาสตร์นัน้ ๆ ๕. บ ท ค ว าม ส า รค ดี (Feature Articles) คื อ บ ท ค ว าม ที่ มี เนื้ อ ห าเป็ น ค ว าม รู้ และประสบการณ์โดยตรงของผู้เขียนด้วยการค้นพบหรือประสบพบเห็นด้วยตนเอง เป็นข้อมูล จากการศึกษาค้นคว้าเพ่ิมเติมด้วยการอ่านหรือการสัมภาษณ์ นามารวบรวมเรียบเรียงเป็นเนื้อเรื่อง ทีส่ มบรู ณ์ เป็นเร่อื งท่แี ปลกใหม่ นา่ สนใจ ๖. บทความสัมภาษณ์ (Interview Articles) คือ บทความซง่ึ มีเน้ือหาท่ีเขยี นจากข้อมูลที่ได้ จากการสัมภาษณ์ จึงเป็นบทความที่มีเน้ือหาสาระแสดงความคิดเห็นของบุคคลหรือกลุ่มบุคคล ท่ีทาให้รู้ว่าคนเหล่าน้ันมีความรู้สึกหรือมีทัศนะต่อปัญหา เหตุการณ์ หรือปรากฏการณ์ที่เกิดข้ึน อย่างไร ผู้อ่านจะมีความรู้ความเข้าใจและมองเห็นแนวโน้มจากทัศนคติของบุคคลที่มีต่อปัญหา และเหตกุ ารณท์ เ่ี กิดข้ึน
๑๗๔ | ภ า ษ า ไ ท ย เ พ่ื อ ก า ร ส่ื อ ส า ร ความสาคัญของบทความ บทความเป็นงานเขียนที่เริ่มต้นจากผู้เขียนเป็นผู้สร้างสรรค์ข้ึน จากน้ันจะนาไปเผยแพร่ ในส่ือต่างๆ โดยเฉพาะหนังสือพิมพ์ นิตยสาร และวารสารเพ่ือให้บุคคลส่วนใหญ่ได้รับทราบความรู้ ความคิดจากผู้เขียน อันจะนาไปปรับประยุกต์ใช้ในชีวิตประจาวันได้ ดังนั้น ความสาคัญ ของบทความจงึ มีอยา่ งกวา้ งขวาง ซ่งึ กล่าวโดยสรปุ ได้ ๓ ดา้ น ตอ่ ไปนี้ ๑. ความสาคัญต่อผู้เขียน ด้วยการเขียนบทความประเภทต่างๆ น้ันจาเป็นต้องอาศัยข้อมูล ที่เพียงพอท้ังดา้ นกว้างและด้านลกึ โดยผู้เขียนต้องเป็นผู้ศึกษาค้นควา้ ด้วยตนเอง เม่ือเป็นเช่นน้ีแล้ว จากการได้ศึกษาค้นคว้าอย่างลึกซ้ึงน้ีเองจะช่วยให้ผู้เขียนมีความรู้ในเรื่องนั้นๆ เป็นอย่างดีเย่ียม และเม่ือได้ศึกษาบ่อยๆ หลากหลายประเด็น ก็จะกลายเป็นผู้ถึงแก่ความรู้ในสรรพวิชา อีกท้ังความสามารถร้อยเรียงและถ่ายทอดสาระความคิดให้ผู้อ่านเข้าใจได้นัน้ แสดงว่าเป็นผูม้ ีความรู้ หรอื ภูมปิ ญั ญาระดับสูง ๒. ความสาคัญต่อผู้อ่าน เม่ือบทความจากผู้เขียนได้ถ่ายทอดมาสู่ผู้อ่าน ผู้อ่านก็จะได้รับ ทั้งความรู้ ความคิดของผู้เขียนท่ีเช่ือถือได้เพราะผ่านกระบวนการไตร่ตรองมาเป็นอย่างดี ทาให้ผู้อ่านเข้าใจสาระของเร่ืองนั้นๆ อย่างลึกซ้ึงเกือบเท่ากับที่ผู้เขียนรู้ หากได้อ่านบ่อยๆ ก็จะกลายเปน็ ผู้มีความรแู้ ละความรอบรู้ ๓. ความสาคัญต่อสังคม เม่ือผู้อ่านได้อ่านเรื่องราวอันเป็นประโยชน์จากบทความมากๆ บุคคลผู้นั้นก็จะกลายเป็นทรัพยากรท่ีมีคุณค่าของสังคม การท่ีจะคิดหรือทาการส่ิงใดก็ย่อม เปน็ สว่ นหนง่ึ ในการพัฒนาสังคมให้เจรญิ กา้ วหนา้ ไปด้วย ลักษณะเฉพาะของบทความ บทความเป็ นงาน เขียนที่มุ่งเสนอข้อเท็ จจริง ท่ี มีห ลักฐานอ้างอิงอย่างชัดแจ้ง และมีการสอดแทรกความคิดสร้างสรรค์ของผู้เขียนเอาไว้ด้วย เม่ือกล่าวถึงลักษณะเฉพาะ ของบทความที่แตกต่างจากงานเขยี นประเภทอน่ื ๆ กลา่ วได้ ๕ ประการ ดังน้ี ๑. ต้องมีสาระ มีแก่นสาร อ่านแล้วได้ความรู้ ความคิดเพ่ิมเติม ไม่เป็นเรื่องเล่ือนลอย ไร้นา้ หนัก ๒. เน้ือหาสาระและวิธกี ารเขยี นเหมาะกับผู้อ่านทีม่ ีการศึกษา ๓. ต้องเป็นเร่ืองท่ีผู้อ่านส่วนมากกาลังสนใจอยู่ในขณะน้ัน อาจเป็นเร่ืองเก่ียวกับปัญหา ท่ีคนกาลังประสบอยูห่ รือกาลงั เฝ้ารอดอู ยู่วา่ เรื่องน้นั จะดาเนนิ ไปอยา่ งใด หรอื มผี ลอยา่ งไร ๔. ต้องเป็นเรือ่ งท่ผี ูเ้ ขียนแสดงทศั นะ ข้อคดิ เหน็ หรือข้อวินจิ ฉยั แทรกอย่ดู ว้ ย ๕. วิธีการเขียนต้องมีศิลปะในการถ่ายทอดเพื่อชวนให้อ่าน ทาให้ได้รับความรู้ ความเพลดิ เพลินและชวนใหค้ ิดไปในขณะเดียวกัน ศิลปะในการเขียนน้ตี อ้ งประกอบด้วยกลวิธีข้ันสูง จะเกิดขึน้ ได้กต็ ่อเม่อื ได้ฝกึ หัดเขียนอยเู่ ปน็ ประจา
ภ า ษ า ไ ท ย เ พื่ อ ก า ร ส่ื อ ส า ร | ๑๗๕ วัตถุประสงคใ์ นการเขยี นบทความ การเขียนบทความ ผู้เขียนย่อมต้องต้ังวัตถุประสงค์ไว้อย่างชัดเจนตั้งแต่ตอนแรก โดยวัตถุประสงค์ในการเขียนบทความแต่ละคร้ังไม่จาเป็นต้องเหมือนกัน ท้ังน้ีขึ้นอยู่กับเนื้อหา และความต้องการของผู้เขียนว่าจะนาเสนอในลักษณะใด มาลี บุญศิริพันธ์ (๒๕๓๐) ได้กล่าวถึง วัตถุประสงคข์ องการเขียนบทความไว้อย่างครบถ้วน จานวน ๘ ประการ ได้แก่ ๑. เพื่ออธิบาย เป็นบทความที่มุ่งให้ข้อมูลและข้อเท็จจริงอย่างละเอียดด้วยการเรียบเรียง เร่ืองราวความเป็นมาให้อ่านเข้าใจง่ายเพ่ืออธิบายเรื่องราวหรือเหตุการณ์ข่าวที่อาจมีความซับซ้อน จนทาให้ผู้อ่านจับต้นชนปลายไม่ถูก ผู้เขียนต้องรวบรวมข้อมูลอย่างรอบด้านแล้วเรียบเรียง ตามลาดับเหตุการณ์หรือความสาคัญ เป็นบทความท่ีต้องแปลความซับซ้อนน้ันให้เข้าใจง่าย ดว้ ยกลวิธีต่างๆ ๒. เพื่อวิเคราะห์ เป็นบทความที่นาเสนอข้อเท็จจรงิ ของเหตุการณ์ปัจจุบันหรือสถานการณ์ ปัจจุบันให้ผู้อ่านทราบโดยให้ข้อเท็จจริง ชี้ประเด็นปัญหา แล้ววิเคราะห์ประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้นน้ัน ตามหลักวิชาการหรือตามเกณฑ์ที่เหมาะสมและเป็นธรรม ช้ีข้อดี ข้อเสีย และผลกระทบ โดยมีเหตุผลทน่ี ่าเชื่อถอื ประกอบการวิเคราะห์อย่างรอบด้าน ๓. เพ่ือวิจารณ์ เป็นบทความที่เน้นความคิดของผู้เขียนเป็นหลัก ส่วนมากผู้เขียน อาจแสดงความคิดเห็นเชิงวิพากษ์จากประสบการณ์ที่มีมาแต่อดีต จากความรู้ที่มีอยู่เดิม หรือสามญั สานกึ แม้บทความน้ีจะไมอ่ าศัยหลักการอย่างเจาะจง แต่กต็ อ้ งวจิ ารณ์ด้วยความสานึกท่ีดี ๔. เพ่ือชี้ทางแก้ไข เป็นบทความท่ีมุ่งอธิบาย สาธยายเหตุผล ข้อเท็จจริง ที่มาของปัญหา ตลอดจนผลกระทบ พร้อมกับวิเคราะห์ในทุกมุมมองเพ่ือนาไปสู่แนวทางการแก้ไขปัญหา ได้ถูกประเดน็ บางคร้งั อาจชที้ างออกมากกว่าหนึง่ ทาง ๕. เพ่ือโน้มน้าว เป็นบทความท่ีผู้เขียมมุ่งโน้มน้าวให้สังคมปฏิบัติหรือคล้อยตามความคิด ของตนที่เสนอน้ัน โดยมีความมุ่งหมายแฝงท่ีแสดงถึงความจาเป็นในการโน้มน้าวให้ประชาชน มสี ่วนร่วมในกจิ กรรมท่ีจะนาไปส่สู าธารณประโยชน์ ๖. เพ่ือรายงานหรือกระตุ้น เป็นบทความท่ีมุ่งให้เกิดความสนใจและเกิดการปฏิบัติ ในกลุ่มผู้รับสาร มีลักษณะคล้ายกับการเขียนเพื่ออธิบายหรือวิเคราะห์เพราะผู้เขียนมีวัตถุประสงค์ ในการรายงานหรือบอกเล่าเร่ืองที่เกิดขึ้นในสังคมให้ รับรู้ อาจนามาจากการรายงานข่าว โดยให้ข้อเท็จจริงในแง่มุมอื่นที่ยังไม่ปรากฏในข่าว หรือการรายงานความคืบหน้าของสถานการณ์ ทห่ี ลุดจากกระแสความสนใจของสาธารณชนกไ็ ด้ ๗. เพื่อให้ความรู้ เป็นบทความที่มุ่งให้ความรู้แก่ผู้อ่านทั้งทางตรงและทางอ้อม ซ่ึงความรู้ นน้ั มีหลายระดบั ตัง้ แต่เกรด็ ความรู้เร่ืองเลก็ ไปจนถงึ ความรเู้ ชิงวชิ าการ ๘. เพ่ือความเพลิดเพลิน เป็นการสร้างอารมณ์ขันให้ผู้อ่านได้ผ่อนคลายจากเรื่องหนัก ทางการเมืองและเศรษฐกิจ บทความลักษณะนี้จะไม่ยาวนัก มุ่งจับแง่มุมที่จะสามารถสร้างสีสัน หรอื รอยยม้ิ ใหแ้ กผ่ ูอ้ า่ น ลีลาการเขียนไม่เคร่งขรึมและไมเ่ ป็นทางการจนเกนิ ไป
๑๗๖ | ภ า ษ า ไ ท ย เ พื่ อ ก า ร สื่ อ ส า ร การเขยี นบทความภาคปฏิบัติ วรวรรธน์ ศรียาภัย(๒๕๕๗) กล่าวว่า บทความกับเรียงความมีความคล้ายคลึงกันมาก เพียงแต่บทความจะเน้นความเป็นเหตุเป็นผล และความมีเหตุผลเชิงวิชาการมากกว่า อีกทั้งข้อคิดเห็นของผู้เขียนก็อยู่บนพ้ืนฐานของความมีเหตุผล และมีความเป็นวิชาการมากกว่า เรียงความ หลักการเขียนบทความโดยท่ัวไปใช้หลักการเดียวกันกับเรียงความได้ ทั้งน้ีเพื่อให้ผู้อ่าน เกิดความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง ผู้เขียนจึงเสนอหลักการเขียนบทความเป็นประเด็นหน่ึงแยกออกจาก การเขียนเรียนความ โดยมีสาระสาคัญ ๕ ประเด็นได้แก่ ลักษณะของบทความท่ีดี องค์ประกอบ ของบทความ โครงสร้างของบทความ ข้อควรคานึงในการเขียนบทความ และข้ันตอนการเขียน บทความ ๑. ลักษณะของบทความท่ดี ี บทความที่ดีต้องมีคุณค่าในเชิงวิชาการ วรรณกรรม ปรัชญา ภาษา และอื่นๆ เม่ือผู้อ่าน อ่านบทความแล้วเกิดความคิดท่ีดี สร้างสรรค์ สร้างปัญญา โดยสรุปบทความท่ีดีควรมีคุณลักษณะ ดงั น้ี ๑.๑ เป็นเรอ่ื งทีใ่ หก้ าลงั ใจคน ๑.๒ เนื้อเร่อื งมีสาระ มีแกน่ สาร มหี ลักฐานข้อเทจ็ จรงิ ทพี่ สิ ูจนไ์ ด้ ๑.๓ มขี นาดกะทัดรดั ไม่ยาวจนเกินไป ๑.๔ แทรกทัศนะทกี่ ว้างขวางและลกึ ซง้ึ ๑.๕ มคี วามชัดเจน ไม่คลมุ เครือ ๑.๖ ตง้ั ช่ือเรือ่ งได้เหมาะกบั กาลเทศะ แปลกใหม่ จาง่าย และคลมุ เนื้อหาทง้ั หมด ๑.๗ ใช้ภาษาเรา้ ใจผ้อู ่านตั้งแต่ตน้ จนจบ ๒. องคป์ ระกอบของบทความ ถ้าจะกล่าวว่าองค์ประกอบพื้นฐานของบทความมีลักษณะเหมือนกันกับเรียงความ คือ ประกอบด้วยคานา เนื้อหา และสรุปก็ได้ หากแต่บทความมีคุณลักษณะพิเศษมากกว่าเรียงความ ตรงท่ีแนวคิดและการมีหลักฐานอ้างอิงตามท่ีกล่าวไปแล้ว ดังน้ัน การศึกษาสังเคราะห์องค์ประกอบ ของบทความเพ่ือเป็นประโยชน์สาหรบั การเขียนที่เหมาะสมมากกวา่ คานา เน้ือหา และสรปุ จึงนา่ จะ อานวยประโยชน์มากกว่า องค์ประกอบของบทความท่ีจะกล่าวในท่ีนี้ประกอบด้วย ๓ ลักษณะ คือ เนื้อหา ความคดิ เหน็ และวธิ กี ารเขยี น ดังน้ี (ธดิ า โมสกิ รัตน,์ ๒๕๔๘ : ๕๘-๕๙) ๒.๑ เน้ือหา บทความจะต้องมีเน้ือหาท่ีถูกต้อง ชัดเจน เป็นเร่ืองจริง ไม่ใช่เร่ืองสมมุติ และเขียนโดยใช้ความรู้ที่ถูกต้อง ไม่บิดเบือน ข้อมูลที่นามาเขียนมักมาจากการศึกษาค้นคว้า จากเอกสารต่างๆ และประสบการณ์ตรงของผู้เขียน การเลือกเรื่องมาเขียนบทความอาจพิจารณา จากความสนใจของผู้อ่าน เป็นเรื่องที่ทันสมัยต่อเหตุการณ์ หรือเกิดจากความต้องการของผู้เขียน ท่ีต้องการเผยแพร่ความรู้ ความคิดของตนไปสู่ผู้อ่านเพื่อสะท้อนและกระตุ้นให้ผู้อ่านตระหนักถึง สาระสาคัญท่ีเสนอในบทความ อาจนาเร่ืองท่ีแปลกใหม่ ไม่เคยมีใครเขียนมาก่อนมาเสนอ ในบทความ บางเร่ืองเกิดขึ้นในอดีตแต่ยังไม่มีผู้ใดเขียนถึงมาก่อน เนื้อหาของบทความไม่มีขอบเขต
ภ า ษ า ไ ท ย เ พ่ื อ ก า ร สื่ อ ส า ร | ๑๗๗ จากัด มีท้ังเร่ืองประวัติศาสตร์ โบราณคดี ศิลปวัฒนธรรม เหตุการณ์สังคม เศรษฐกิจ และการเมือง เป็นต้น หลักการสาคัญในการเลือกประเด็นเน้ือหามาเขียนบทความ คือ เป็นเร่ืองท่ีแปลกใหม่ น่าสนใจ และมีประโยชนต์ อ่ ผอู้ า่ น ๒.๒ ความคิดเห็น ลักษณะของความเห็นในบทความนับว่าเป็นองค์ประกอบสาคัญ ประการหน่ึง ควรเป็นความเห็นท่ีแปลกใหม่ เท่ียงตรง และสร้างสรรค์ ซ่ึงเกิดจากการสารวจข้อมูล หรือปัญหาแล้ววิเคราะห์อย่างถี่ถ้วน ความเห็นที่แสดงออกมาควรน่าสนใจ มีสาระ มีเหตุผล มิใช่การแสดงความเห็นอย่างพ้ืนๆ ที่ใครๆ ก็คิดได้ และไม่ได้เกิดจากอคติส่วนตัว สร้างสรรค์ นาไปสู่ การแก้ปัญหาได้ ๒.๓ วิธีการเขียน องค์ประกอบด้านวิธีเขียนของบทความน้ันต้องเป็นวิธีเขียนที่ดี ดึงดูดความสนใจของผู้อ่านต้ังแต่ต้นไปจนจบ มีการใช้ภาษาท่ีดี คือ ถูกต้อง กะทัดรัด ชัดเจน เหมาะสม อย่างไรก็ตาม บทความมีหลายประเภทตามท่ีกล่าวแล้วข้างต้นซ่ึงมีกลวิธีการเขียน ที่แตกต่างกันออกไปตามประเภทเหล่านั้น เช่น บทความวิชาการจะต้องมีการอ้างอิงท่ีถูกต้อง มีการใช้ทฤษฎีและข้อมูลต่างๆ อย่างมีเหตุผล มีการใช้คาศัพท์เฉพาะ ใช้ภาษาท่ีส่ือความหมาย อยา่ งตรงไปตรงมา ๓. โครงสร้างของบทความ บทความท่ีเขียนขึ้นทุกบทน้ัน ไม่ว่าจะเป็นชนิดใดและเผยแพร่ลงในสื่อใด ย่อมต้องมี โครงสร้าง หากขาดซึ่งโครงสร้างแล้วก็จะเป็นงานเขียนท่ัวไปท่ีมิใช่บทความ แม้จะเป็นงานเขียน ท่ัวไปก็เป็นงานเขียนท่ีไม่มีคุณลักษณะของงานเขียนท่ีดี โดยทั่วไป บทความทุกประเภทย่อมต้อง ประกอบด้วยหลัก ๔ ประการ คือ ชื่อเรื่อง ความนา เน้ือเร่ือง และบทสรุป (มาลี บุญศิริพันธ์, ๒๕๔๘ : ๓๒๗-๓๒๘) ๓.๑ ช่ือเร่ือง (Title) เป็นข้อความท่ีเขียนข้ึนเพ่ือบอกให้ผู้อ่านทราบว่าเร่ืองที่เขียน เก่ียวกับอะไร การตั้งชื่อเรื่องท่ีดีควรบอกใจความสาคัญ ประเด็นหลักของเร่ือง สามารถดึงดูด ความสนใจจากผอู้ ่าน อาจใช้วิธีการตัง้ แบบสรปุ เน้อื หา แบบคาถาม แบบคาพดู แบบอุปมาอปุ ไมย ๓.๒ ความนา (Introduction) คือ ส่วนเร่ิมเร่ือง ความนาที่ดีต้องสามารถดึงดูดใจ ใหผ้ ู้อ่านอยากอา่ นบทความต้ังแต่ต้น ต้องเขียนด้วยลลี าภาษาทีน่ ่าสนใจ ไมย่ ืดยาดเยิน่ เย้อจนเกินไป แต่ควรกระชับเพื่อสื่อให้ผู้อ่านรู้ว่าสมควรอ่านต่อไปหรือไม่ อาจใช้กลวิธีเขียนแบบต่างๆ เช่น แบบพรรณนา แบบบรรยาย แบบคาถาม แบบคาพูด แบบเปรียบเทียบ ซ่ึงผู้อ่านควรเลือ ก ตามความถนัดของตน ทั้งนี้ต้องคานึงถึงเสมอว่า บทความนี้จะต้องทาหน้าท่ีชักจูงให้ผู้อ่าน อ่านเนอ้ื หาท่จี ะกลา่ วต่อไป ๓.๓ เน้ือเรื่อง (Content) คือ ส่วนหลักท่ีผู้เขียนต้องนาเสนอข้อมูลท่ีเป็นเนื้อหาสาระ อย่างครบถ้วนซ่งึ ได้มาจากการค้นคว้า รวบรวม แสวงหาจากแหล่งขอ้ มูลต่างๆ โดยผ่านการเรียบเรียง ข้อมูลความคิดอย่างเป็นระบบ ส่วนเนื้อเร่ืองน้ีเป็นส่วนที่ผู้อ่านคาดหวังว่าจะได้รับรายละเอียด ท่ีเป็นประโยชน์ต่อตนทั้งข้อเท็จจริงและข้อคิดเห็น ดังน้ัน การนาเสนอข้อมูล นอกจากต้องให้ ต่อเน่อื งเปน็ เร่ืองราวเดียวกนั แลว้ ยงั ตอ้ งใหม้ ีความน่าเชื่อถือดว้ ย
๑๗๘ | ภ า ษ า ไ ท ย เ พ่ื อ ก า ร ส่ื อ ส า ร ๓.๔ บทสรุป (Conclusion) เป็นส่วนท้ายสุดของเร่ืองแต่มีความสาคัญ มาก เพราะเป็นส่วนที่ผู้เขียนสามารถใช้ภาษาและเทคนิคการเขียนให้ผู้อ่านประทับใจได้มากนอ้ ยเพียงใด ตามปกติ บทสรุปจะมีประสิทธิภาพเพียงใดนั้นขึ้นอยู่กับลีลาการนาเสนอความคิดของผู้เขียน ต้ังแต่ต้นว่าสามารถโน้มน้าวให้ผู้อ่านคล้อยตามจนเกิดความเห็นด้วยหรือแย้ง บางคร้ัง การเขียนบทสรุปก็เป็นไปตามธรรมชาติท่ีล่นื ไหลมาจากการนาเสนอเน้ือหาอย่างมีตรรกะหรือผู้เขียน เจตนาจะหักมุมให้ข้อคิด บางครั้งการเขียนสรุปอาจเป็นงานยากหากผู้เขียนขาดเป้าหมาย ในการเดนิ เรื่องทชี่ ดั เจนจนนาไปสูภ่ าวะจบไม่ลง โครงสร้างของบทความตามที่กล่าวในข้างต้นท้ัง ๔ ส่วน ได้แก่ ชื่อเร่ือง ความนา เน้ือเรื่อง และบทสรุป ชื่อเร่ืองมกั จะตง้ั ให้จบในบรรทดั เดียว นอกจากมีจุดม่งุ หมายอย่างใดอย่างหน่ึง หรือกลวิธีท่ีต้องการเป็นพิเศษ ความนาก็มีย่อหน้าเดียวและไม่ยาวจนเกินไป ส่วนเนื้อหา ควรเขยี นเป็นย่อหนา้ ๆ แยกรายละเอียดไปตามประเด็นของโครงเร่ือง และส่วนสรุปก็มีย่อหนา้ เดียว ซ่งึ เปน็ ลกั ษณะเดยี วกันกับองคป์ ระกอบของเรียงความน่ันเอง ๔. ข้อควรคานึงในการเขยี นบทความ ในการเขียนบทความ นอกจากเขียนตามหลักการดังท่ีได้เสนอไว้แล้ว ผู้เขียน ควรตระหนักในขอ้ ควรคานงึ ตอ่ ไปน้ี ๔.๑ ตง้ั ชอื่ เรอ่ื งได้น่าสนใจและเหมาะสมเพียงใด ๔.๒ มจี ุดมุ่งหมายในการเขียนที่แน่นอนแลว้ หรือยัง ๔.๓ เป็นเรื่องท่ีผู้อ่านกาลังสนใจหรือเป็นเรื่องที่กาลังอยากรู้ว่าจะมีการแก้ไขอย่างไร จะดาเนนิ การอยา่ งไรและจะมผี ลเช่นไร ๔.๔ มีสาระ อ่านแลว้ ได้ความรู้และเกิดความคิดสร้างสรรคแ์ ลว้ หรือยงั ๔.๕ มขี ้อคิดเหน็ ข้อวิเคราะห์ของผเู้ ขยี นแทรกอยู่ด้วยแล้วหรือไม่ ๔.๖ มกี ารจดั ลาดับความอย่างมีระบบหรือยงั ๔.๗ โครงสร้างต้องประกอบด้วย (ช่ือเรื่อง) คานา เน้ือเร่ือง และสรุป เช่นเดียวกับ เรียงความแล้วหรอื ไม่ ๔.๘ มเี นอื้ หา วิธีการเขยี น และการใชภ้ าษาทเ่ี หมาะสมกบั ผอู้ ่านหรอื ยงั ๔.๙ มีวิธีการเขียนท่ีเร้าความสนใจของผู้อ่านให้อยากติดตามอ่านจนจบ ทาให้เกิด ความเพลดิ เพลินและมขี อ้ ชวนใหค้ ิดเพียงไร ๕. ขน้ั ตอนการเขียนบทความ ในภาคปฏิบัติของการเขียนบทความ ผู้เขียนต้องต้ังใจเป็นพิเศษเพื่อให้พัฒนาการ ของทักษะการเขียนบทความดาเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพเพราะการเขียนบทความจะยากกว่า การเขียนเรียงความ ดังน้นั ผเู้ ขียนจึงควรฝึกเขยี นตามลาดับข้นั ตอน ๖ ขั้นตอ่ ไปนี้ คือ เลือกประเด็น เรื่อง ตีความและกาหนดขอบเขตของเร่ือง ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติม วางโครงเร่ือง ลงมือเขียน และตรวจทานและแกไ้ ข กล่าวดังนี้
ภ า ษ า ไ ท ย เ พื่ อ ก า ร ส่ื อ ส า ร | ๑๗๙ ๕.๑ เลือกประเด็นเร่ือง ในข้ันน้ี ผู้เขียนใช้หลักการเดียวกันกับการเลือกประเด็นเรื่อง ในการเขียนเรยี งความตามทีเ่ สนอไว้ ๕ วธิ ี ไดแ้ ก่ ๕.๑.๑ ควรเลือกเรื่องทผ่ี เู้ ขยี นมคี วามร้เู รื่องน้ันเปน็ อย่างดี ๕.๑.๒ ควรเลอื กเรอ่ื งที่ผเู้ ขียนมปี ระสบการณ์มามาก ๕.๑.๓ ควรเลือกเรอื่ งทผี่ ู้เขยี นมีความสนใจเปน็ พิเศษอยู่แล้ว ๕.๑.๔ ควรเลือกเร่อื งทีเ่ ป็นนามธรรม ๕.๑.๕ ควรเลอื กเรือ่ งทม่ี ขี อบขา่ ยแคบท่สี ดุ ๕.๒ ตีความและกาหนดขอบเขตของเรื่อง หลังจากได้ประเด็นเรื่องท่ีจะเขียนบทความ แล้ว จากนั้นนามาตีความและกาหนดขอบเขตของเรื่อง ซ่ึงผู้เขียนใช้วิธีการเดียวกันกับการตีความ และกาหนดขอบเขตของเรือ่ งในการเขยี นเรียงความตามที่เสนอไว้ขา้ งต้น ๕.๓ ค้นหาข้อมูลเพ่ิมเติม การหาข้อมูลเพิ่มเติมในการเขียนบทความ ผู้เขียนสามารถ ดาเนินการตามวธิ ีเดียวกันกบั การคน้ หาข้อมลู เพม่ิ เติมในการเขยี นเรียงความ กลา่ วคือ ๕.๓.๑ อ่านและศึกษาเอกสารต่างๆ ท่ีเก่ียวข้อง รวมทั้งศึกษาจากเว็บไซต์ หรืออนิ เทอร์เนต็ ด้วย ๕.๓.๒ สมั ภาษณผ์ ู้รู้ ๕.๓.๓ สังเกตหรือติดตามขอ้ มลู ขา่ วสารที่เกิดขน้ึ ในสงั คมดว้ ยตนเอง ๕.๔ วางโครงเรื่อง เช่นเดียวกันกับการเขียนเรียงความที่ต้องวางโครงเร่ือง ก่อน การเขียน บ ท ความ ซ่ึงวิธีการวางโครงเร่ืองใช้วิธีเดียวกัน กับ การวางโค รงเร่ือง ในการเขยี นเรียงความ โดยเขียนไว้เป็นขอ้ ๆ ตัวอย่างเช่น ถนนไปสู่ดวงดาวบนฟากฟา้ ภาษาและวรรณกรรมไทย ทศิ ทางจากฐานรากของ ผศ. เสาวภา ธานรี ัตน์ และ ผศ. แอบ ชามทอง ๑. บทนา ๒. วาทกรรมผศ. เสาวภา ธานรี ตั น์ และ ผศ. แอบ ชามทอง ๓. ผศ. เสาวภา และ ผศ. แอบ กับผม ผองเพอื่ น และศิษย์ ๔. ปรัชญาบนดวงดาวบนฟากฟา้ ภาษาและวรรณกรรมไทย ๕. อุปสรรคและปัญหาบนถนนไปสู่ดวงดาว ๖. ทศิ ทางการพัฒนาจากรากฐานของ ผศ. เสาวภา ธานีรัตน์ และ ผศ. แอบ ชามทอง ๗. บทสรุป ตารางท่ี ๖.๑ การวางโครงเรื่อง ๕.๕ ลงมือเขียน ในการลงมอื เขียนบทความโดยเขยี นตามโครงเรอ่ื งท่ีกาหนดไว้ ในขนั้ น้ี นอกจากผู้เขียนสามารถใช้วิธีการเขียนเดียวกับเรียงความได้เป็นอย่างดีแล้ว ยังมีแนวการเขียน และขอ้ ควรระวงั เฉพาะในการเขยี นบทความ ดังน้ี
๑๘๐ | ภ า ษ า ไ ท ย เ พ่ื อ ก า ร สื่ อ ส า ร ๕.๕.๑ แนวการเขียนเฉพาะบทความ มี ๖ ข้อ ดงั นี้ ๑) ต้องมีสาระ ไดเ้ รอื่ งไดร้ าว ขอ้ ความตลอดทัง้ เร่อื งตอ้ งสอดคล้องกนั ๒) แต่ละย่อหน้ามีสาระสาคัญพอท่ีจะสรปุ ออกมาได้อย่างแน่นอน ๓) ข้อมลู เหตุการณ์ตา่ งๆ ตอ้ งมีพื้นฐานมาจากความเปน็ จรงิ เทา่ น้ัน ๔) แยกแยะระหวา่ งความคิดส่วนตวั กบั ข้อเทจ็ จรงิ อย่างเดน่ ชดั ๕) แสดงจดุ ม่งุ หมายใหช้ ัดแจ้ง มิฉะน้นั ผอู้ ่านจะจบั ประเด็นไมไ่ ด้ ๖) ตัวอย่าง การเปรียบเทียบ สถิติ หรืออื่นๆ ล้วนเป็นสิ่งที่ช่วยให้เน้ือหา สมบรู ณ์และเด่นชดั ๕.๕.๒ ขอ้ ควรระวงั เฉพาะในการเขียนบทความ มี ๗ ขอ้ ดังนี้ ๑) ระวังการเขียนซา้ ซาก วกวน สบั สน ๒) ขยายความไมช่ ัดเจน แสดงวา่ ผ้เู ขยี นมีความรนู้ อ้ ย ความคดิ คับแคบ ๓) หากใชค้ าฟุม่ เฟือยเกนิ ความจาเป็น ให้ตัดออก ๔) เขียนประโยคส้นั ๆ กะทัดรดั เลอื กใชค้ างา่ ยๆ ความหมายชดั เจน ๕) เลือกใชค้ าใหเ้ หมาะกบั ความและใช้คาท่ชี ว่ ยให้ความกระจ่างชัด ๖) โวหารตอ้ งเหมาะสมกับเรือ่ งและตอ้ งเปน็ โวหารทต่ี นถนัดเขยี น ๗) รู้จกั ความหมายของคาทกุ คาก่อนที่จะลงมอื เขยี น ไมใ่ ช้คาไรน้ า้ หนกั ๕.๖ ตรวจทานและแก้ไข ขั้นสุดท้ายของการเขียนบทความ คือ การตรวจทาน และหากพบจุดใดผิดหรือบกพร่องก็ให้ดาเนินการแก้ไขโดยทันที ซึ่งสาระแนวทางการปฏิบัติการ เขียนขัน้ น้ใี ห้ใช้แนวทางเดียวกันนใี้ นการเขยี นเรยี งความดังกล่าวขา้ งตน้ การเขยี นจดหมาย การเขียนจดหมายเป็นวิธีการสื่อสารที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย เพราะสามารถ ทาความเข้าใจกันได้อย่างถูกต้องตรงกัน มีหลักฐานชัดเจนด้วยสามารถบรรจุรายละเอียดได้ ตามทีผ่ ู้เขยี นต้องการ ท้ังยังเก็บไว้เป็นหลักฐานตามกฎหมายได้ การเขียนจดหมายอาจแบง่ ออกเป็น ประเภทใหญๆ่ ได้ ๓ ประเภท คือ จดหมายสว่ นตัว จดหมายธุรกิจ จดหมายราชการ (หนงั สอื ราชการ) ๑. จดหมายส่วนตัว จดหมายส่วนตัว คือ จดหมายที่มตี ดิ ต่อถึงกันระหว่างญาตสิ นิทมิตรสหายและคนคนุ้ เคย ใช้ไต่ถามทุกข์สุขส่วนตัวหรือแจ้งธุรกิจเล็กๆ น้อยๆ ซองและกระดาษที่ใช้เขียนควรมีสีสุภาพ เรียบรอ้ ยไมย่ บั ย่น การจา่ หน้าซองตอ้ งเขียนใหช้ ดั เจน ทัง้ น้กี เ็ พื่อสะดวกในการนาส่ง
ภ า ษ า ไ ท ย เ พ่ื อ ก า ร ส่ื อ ส า ร | ๑๘๑ การใช้ภาษาในจดหมายส่วนตวั ถึงแมจ้ ะไม่เคร่งครดั นัก แต่ก็ตอ้ งคานึงถึงความเหมาะสม เรยี บรอ้ ย ถูกกาลเทศะ โดยเฉพาะคาขึน้ ต้น และคาลงทา้ ยต้องเหมาะสมกับบุคคล เช่น บุคคลผรู้ ับจดหมาย คาขนึ้ ตน้ คาลงทา้ ย ญาติผู้ใหญ่ กราบเท้า.......ที่เคารพอย่างสูง ดว้ ยความเคารพอย่างสงู ครู , หัวหนา้ งาน กราบเรียน.......ท่ีเคารพ ดว้ ยความเคารพ พระสงฆ์ นมสั การ....... นมัสการดว้ ยความเคารพอย่างสูง น้อง , เพ่ือน .......ที่รกั , สวัสดี.......ที่รกั ด้วยความรัก , รกั และคิดถงึ ตารางที่ ๖.๒ คาขึ้นตน้ -คาลงท้ายในจดหมายส่วนตวั จดหมายส่วนตัวไม่มีรูปแบบการเขียนท่ีตายตัวเหมือนจดหมายประเภทอื่นๆ บางคร้ัง ก็ออกมาในลักษณะของการ “บันทึกส้ัน” แต่ส่วนมากจะนิยมเขียนจดหมายท่ีมีแบบฟอร์มง่ายๆ ทนี่ ิยมเขียนกนั ทว่ั ไป ดังตวั อยา่ ง ๖๐ ถ.โชตนา อ.เมอื ง จ.เชยี งใหม่ ๕๐๓๐๐ ๒๐ กมุ ภาพนั ธ์ ๒๕๔๑ สุพิศเพอื่ นรัก ตั้งแต่เรียนจบปริญญาตรีมา เราต่างคนต่างก็ทางานกัน ไม่มีเวลาได้พบปะสังสรรค์เลย ฉันคิดถึงเธอมาก ด้วยแรงคิดถึงวันน้ีจึงส่งหนังสือ “ข้อคิด คาคม เกี่ยวกับคติธรรม” มาให้เธออ่าน ยามว่าง ฉันอ่านจบแล้ว และเห็นว่าเป็นหนังสือดีมีคุณค่า และมีเนื้อหาเหมาะกับเธอ สมัยท่ี เรียนหนังสือด้วยกัน ฉันแอบเห็นเธออ่านหนังสือประเภทนี้บ่อยๆ จริงไหมล่ะ ดังน้ันวันน้ี เธอไดข้ องถูกใจแล้ว ท่ีสุดน้ี ฉันขอฝากความเคารพรักและราลึกถึงมายังคุณพ่อและคุณแม่ของเธอด้วย เอาละขอยตุ กิ ่อนนะ หวังว่าเธอคงอยูด่ มี ีสุข ฉันสบายดี รกั และคดิ ถึง พนิต ตารางท่ี ๖.๓ จดหมายส่วนตัวท่ีมีแบบฟอรม์ สมบูรณ์ ๒. จดหมายธุรกิจ จดหมายธุรกิจเป็นจดหมายติดต่อด้านธุรกิจต่างๆ ระหว่างห้างร้านและบริษัท หรือใช้ติดต่อระหว่างเอกชนกับห้างร้าน บริษัท จดหมายประเภทนี้จะมีลักษณะเป็นจดหมาย กึ่งราชการหรอื จดหมายแบบราชการ ซึ่งเขียนในโอกาสตา่ งๆ ดงั นี้
๑๘๒ | ภ า ษ า ไ ท ย เ พ่ื อ ก า ร ส่ื อ ส า ร ๒.๑ จดหมายโฆษณาขายสินค้าและบริการ คือ จดหมายที่บริษัทห้างร้านมีไปถึงลูกค้า เพ่ือแนะนาชักชวนให้ลูกค้าสนใจสินค้าและบริการของบริษัท ในเน้ือความของจดหมายจะเรียกรอ้ ง ให้ผู้อ่านสนใจ พอใจและเข้าใจในสินค้าและบริการด้วยการบอกคุณภาพของสินค้า บอกราคา ตลอดจนผลดีและความสะดวกสบายต่างๆ ที่ลูกค้าจะได้รับจากสินค้าหรือบริการนั้นๆ ในตอนท้าย จะพยายามใชค้ าพูดยั่วยใุ ห้ลูกค้าปรารถนาจะซ้ือสินค้าและใช้บรกิ าร เชน่ มสี ่วนลดพิเศษ มีของแถม มบี ริการเงนิ ผอ่ น มบี รกิ ารถงึ บ้าน หรอื ทดลองใช้ไมด่ คี ืนเงิน เป็นต้น ๒.๒ จดหมายสอบถามและตอบการสอบถาม คือ จดหมายธุรกิจท่ีมีเนื้อความต้องการ ทราบเร่ืองราวหรือรายละเอียดเพ่ิมเติม เช่น ราคาสินค้า อัตราส่วนการลดราคา ระยะเวลาประกัน คุณภาพ เป็นต้น แต่ถ้าเป็นการตอบจดหมายประเภทน้ีจะต้องตอบให้ตรงคาถาม ถ้าเป็นไปได้ ควรแนบใบปลิวโฆษณาหรือรายละเอียดของสินค้าไปด้วย ตอนท้ายของจดหมายอย่าลืมขอบคุณ และหวงั วา่ บรษิ ัทจะไดร้ ับใช้หรือให้บริการอีก ๒.๓ จดหมายส่ังซ้ือสินค้าและตอบรับการสั่งซ้ือสินค้า คือ จดหมายที่มีเน้ือความ แสดงความต้องการซ้ือสินค้า การเขียนจะต้องบอกรายละเอียดให้ชัดเจนว่าต้องการสินค้าชนิดใด จานวนเท่าไร ราคาเท่าไร ส่งไปให้ใคร ท่ีไหนและจะจัดเก็บค่าสินค้าได้อย่างไร เม่ือทางห้างร้าน ได้จดหมายนี้แล้วก็จัดส่งสินค้าไปยังผู้ซ้ือได้เลย แต่ถ้าเกิดการล่าช้าเพราะความจาเป็น ทางห้างร้าน ต้องตอบใหผ้ สู้ งั่ ซ้ือทราบก่อนเพื่อผซู้ ้ือจะได้ไมเ่ กิดความกังวลใจ ๒.๔ จดหมายต่อว่าเร่ืองสินค้าและปรับความเข้าใจ คือ จดหมายในวงการธุรกิจ ทีม่ ีเน้ือความต่อว่ากันภายหลังที่ลูกคา้ ได้รับสินค้าล่าช้าหรือผดิ ประเภท ชารุดเสียหายหรอื ได้ไม่ครบ จานวน แตก่ ็ไม่ควรใช้สานวนภาษาท่ีรนุ แรง ต้องพดู อย่างระมัดระวงั พดู ให้นุ่มนวลหรือไม่พดู ออกมา ชัดเจนว่าเป็นความผิดของใคร แต่ควรเขียนให้ได้ความกระจ่างว่าสินค้าชนิดใด เครื่องหมายอะไร ราคาเท่าไร ขนาดไหน เสยี หายอย่างไร หรือขาดจานวนไปเท่าไร เมอ่ื บริษัทไดร้ ับจดหมายต่อวา่ แล้ว ก็ควรเขียนจดหมายปรับความเข้าใจส่งไปยงั ลูกคา้ ดว้ ยเน้อื ความท่ีนุ่มนวลและชดั เจนเชน่ กนั ๒.๕ จดหมายขอเปิดเครดิตและสอบถามเครดิต คือ จดหมายท่ีลูกค้ามถี ึงบรษิ ัทหา้ งร้าน เพ่ือขอเปิดบัญชีสินเชื่อในการซ้ือสินค้า ผู้เขียนจะต้องบอกตาแหน่งหน้าที่การงาน สถานท่ีทางาน และรายช่ือบุคคลท่ีน่าเชื่อถือที่จะให้การรับรองแก่ตนได้ ทั้งน้ีเพื่อเป็นหลักฐานประกอบ การพิจารณาของฝ่ายที่จะให้เปิดเครดิต การตอบจดหมายประเภทน้ีมี ๒ ลักษณะ คือ ตอบรับ กับตอบปฏิเสธ ตอบรับไม่มีปัญหานัก แต่ถ้าตอบปฏิเสธผู้ตอบจะต้องพูดอย่างนุ่มนวลมิให้ลูกค้า เกิดความขุ่นเคืองใจ อาจกล่าวนาด้วยการขอบคุณท่ีเชื่อถือในคุณภาพของสินค้าและบริการ ของบริษัท จากน้ันจึงอ้างเหตุผลที่ไม่อาจยินยอมให้เปิดบัญชีเงินเช่ือ บอกถึงข้อดีของการซื้อเงินสด ในตอนทา้ ยอาจใหค้ วามหวงั วา่ ในเวลาอนั ใกลน้ ้ีทางบรษิ ัทอาจจะสนองความต้องการนี้ได้
ภ า ษ า ไ ท ย เ พื่ อ ก า ร ส่ื อ ส า ร | ๑๘๓ ๒.๖ จดหมายทวงหน้ี คือ จดหมายที่บริษัทห้างร้านมีไปทวงหน้ีที่ลูกค้าละเลย ในการชาระหน้ี การเขียนจะต้องเท้าความถึงเร่ืองที่เคยตกลงกันไว้แต่เดิม แล้วจึงบอกสาเหตุ ทตี่ ้องเตือนมาด้วยภาษาที่นุ่มนวล ไม่พูดเชิงดูหมิ่น ให้พูดเชิงขอร้อง ขอความรว่ มมือ ลูกค้าบางราย อาจเพิกเฉยกับจดหมายทวงหน้ี ทางเจ้าหนี้อาจมีไปทวงสองหรือสามคร้ัง คร้ังสุดท้ายจึงบอกว่า จาเปน็ ตอ้ งดาเนนิ การตามกฎหมาย ๒.๗ จดหมายสมัครงาน เป็นจดหมายที่บุคคลภายนอกเขียนไปสมัครทางานกับบริษัท ห้างร้านหรือองค์กรต่างๆ ตามท่ีพบในประกาศของหน่วยงานน้ันๆ การเขียนจดหมายประเภทน้ี จะต้องพยายามเรียกรอ้ งความสนใจนายจ้างหรอื ผู้รบั สมัครด้วยการเลือกใช้กระดาษและซองอย่างดี ระวงั เร่ือการสะกดการนั ต์และวางรูปแบบจดหมายใหถ้ ูกต้อง ข้อความในจดหมายสมัครงานควรมสี ิ่งตอ่ ไปนี้ (ก) ส่วนนา ควรบอกว่าได้ทราบข่าวการรับสมัครจากที่ใด ตนมีความสนใจ และคดิ วา่ มีคณุ สมบตั ติ ามผู้รบั ต้องการ (ข) บอกรายละเอียดส่วนตัว เช่น อายุ สภาพสมรส การศึกษาโดยย่อ ความสามารถพิเศษ เชน่ พูดภาษาต่างประเทศได้ พิมพ์ดีดได้ ใชค้ อมพิวเตอร์ได้ เปน็ ต้น (ค) ประสบการณ์ ถ้ามีให้บอกด้วย ถ้าเพิ่งจบการศึกษามาก็อาจจะพูดถึง ประสบการณใ์ นการทากจิ กรรมในสถานศกึ ษาทเี่ อื้อต่อการทางานนี้กไ็ ด้ (ง) ผรู้ ับรอง ควรเปน็ หวั หน้างานที่เราเคยไปฝึกงานด้วย อาจเปน็ อาจารยท์ ี่ปรกึ ษา อาจารย์ที่เคยสอนเรามา โดยแจ้งช่ือ ตาบล ที่อยู่พร้อมหมายเลขโทรศัพท์ของผู้รับรองให้ชัดเจน เพื่อนายจา้ งจะได้ติดตอ่ ได้ (จ) ข้อความย่อหน้าสุดท้าย ควรเขียนเป็นทานองให้ผู้รับสมัครเกิดความต้องการ เราเป็นพิเศษ อาทิ ขอทดลองงานให้ดูก่อน และก่อนจบจดหมายควรกล่าวแสดงความหวัง ที่จะได้รบั พิจารณา (ฉ) คาลงท้าย ให้ใช้ขอแสดงความนับถือ พร้อมกับเซ็นชื่อบรรทัดต่อไป และอย่าลืมวงเลบ็ ชือ่ –สกุลดว้ ยตัวบรรจงดว้ ย
๑๘๔ | ภ า ษ า ไ ท ย เ พื่ อ ก า ร ส่ื อ ส า ร ๑๙ ธนั วาคม ๒๕๕๙ ๔๗ หมู่ ๕ ตาลบหมากแข้ง อาเภอเมือง จงั หวดั อุดรธานี ๔๑๐๐๐ เรื่อง ขอสมัครงานในตาแหน่งประชาสัมพนั ธ์ เรยี น ผู้จัดการฝ่ายบุคคล บริษทั สนุกโฮม สง่ิ ทส่ี ง่ มาดว้ ย ๑. รปู ถา่ ย ๒ รปู ๒. สาเนาใบรายงานผลการศึกษา ๑ ฉบับ ๓. สาเนาใบรับรองผลการทางาน ๑ ฉบับ ดิฉันได้ทราบข่าวจากหนังสือพิมพ์ไทยนิวส์ฉบับลงวันท่ี ๔ ตุลาคม ๒๕๕๙ ว่าทางบริษัทฯ ต้องการพนักงานประชาสัมพันธ์ ๑ ตาแหน่ง ดิฉันมีความสนใจและใคร่ขอสมัครเพ่ือรับการพิจารณาบรรจุ ในตาแหนง่ ดงั กล่าว ดิฉันอายุ ๒๓ ปี เป็นโสด สุขภาพสมบูรณ์ มีภูมิลาเนาอยู่จังหวัดอุดรธานี สาเร็จการศึกษา ระดับปริญญาตรี สาขาประชาสัมพันธ์ จากคณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี ได้คะแนน ตลอดหลกั สตู ร ๓.๐๑ ดิฉันสามารถพูด เขียนภาษาองั กฤษ ภาษาจนี และภาษาญป่ี นุ่ ไดด้ พี อสมควร ระหว่างศกึ ษาดฉิ นั มสี ว่ นรว่ มในกิจกรรมของคณะวิชาทกุ กจิ กรรม และได้เคยทดลองปฏบิ ตั ิงาน ดา้ นประชาสัมพันธ์ทโ่ี รงแรมบ้านเชยี ง อาเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี ตลอดภาคเรียนฤดูร้อน ปกี ารศึกษา ๒๕๕๘ จากผลการฝึกประสบการณ์ครั้งน้ีทาให้ดิฉันมีประสบการณ์หลายด้านและม่ันใจว่าจะปฏิบัติงานของท่าน ไดอ้ ยา่ งมปี ระสิทธิภาพ ซง่ึ ดิฉันยินดีทจ่ี ะใหท้ างบริษทั ฯ พสิ จู นค์ วามสามารถกอ่ นทจ่ี ะตกลงรับเข้าทางาน ท่านสามารถสอบถามประวัติส่วนตัว ประวัติการศึกษา ความประพฤติและประสบการณ์ การทางานของขา้ พเจ้าไดจ้ ากบคุ คลต่อไปน้ี ๑. ผู้ช่วยศาสตราจารย์นราธร สุจริต คณะวิทยาการจัดการ สถาบันราชภัฏอุดรธานี อาเภอเมอื ง จงั หวดั อุดรธานี ๔๑๐๐๐ โทรศัพท์ ๐๔๒-๔๑๒๕๔๔ ๒. คุณนภาลัย สวยสุด หัวหน้าฝ่ายประชาสัมพันธ์ โรงแรมบ้านเชียง ถนนศรีสุข ตาบล หมากแข้ง อาเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี ๔๑๐๐๐ โทรศพั ท์ ๐๔๒-๒๑๗๖๖๐ ดิฉันหวังเป็นอย่างย่ิงว่าคงจะได้รับการพิจารณาจากท่านให้ดิฉันได้เข้ารับการสัมภาษณ์ ตามวัน เวลาท่ีท่านสะดวก ดิฉันตั้งใจจะทางานให้บริษัทอย่างสุดความสามารถ เพ่ือความก้าวหน้าของบริษัทฯ ท่านตดิ ตอ่ เรียกตวั ดิฉนั ไดต้ ามทอี่ ย่ขู า้ งตน้ ขอขอบคุณในความกรณุ าของท่านมา ณ โอกาสน้ี ขอแสดงความนับถือ (นางสาวโสมอษุ า สทิ ธิโชค) ตารางที่ ๖.๔ จดหมายสมคั รงาน ๓. จดหมายราชการ จดหมายราชการหรือหนังสือราชการ คือเอกสารที่ทาเป็นหลักฐานในราชการ ได้แก่ หนังสอื ท่ีมีไปมาระหว่างส่วนราชการ หนังสือท่ีมตี ิดต่อระหว่างส่วนราชการกับหน่วยงานหรอื บุคคล ที่ไม่ใช่ส่วนราชการ หรือเอกสารท่ีทางราชการทาข้ึนเป็นหลักฐาน เป็นระเบียบข้อบังคับ หรือกฎหมาย หนงั สือราชการมี ๖ ชนิด คอื (๑) หนังสอื ภายนอก เป็นหนงั สือติดต่อระหว่างส่วนราชการ หรือสว่ นราชการกบั บุคคล หรอื หน่วยงานท่ีมิใชส่ ่วนราชการ ใช้กระดาษตราครฑุ มวี ธิ เี ขยี นทเ่ี ปน็ แบบพิธี
ภ า ษ า ไ ท ย เ พื่ อ ก า ร สื่ อ ส า ร | ๑๘๕ (๒) หนังสือภายใน คือ หนังสือติดต่อภายในกระทรวง ทบวง กรม จังหวัด หรอื หนว่ ยงานเดียวกนั ใชก้ ระดาษบันทึกข้อความ (๓) หนังสือประทับตรา คือ หนังสือท่ีใช้ประทับตราแทนการลงชื่อของหัวหน้า ส่วนราชการระดับกรมขึ้นไป ให้หัวหน้าส่วนราชการระดับกองหรือผู้ท่ีได้รับมอบหมายลงชื่อย่อ กากับตรา มักใช้กับกรณีท่ีไม่ใช่เรื่องสาคัญ เช่น การบอกรายละเอียดเพิ่มเติม การตอบรับ เป็นต้น ใช้กระดาษตราครฑุ (๔) หนังสือส่ังการ มคี าสงั่ ระเบยี บ ข้อบังคบั (๕) หนังสอื ประชาสมั พนั ธ์ มปี ระกาศ แถลงการณ์ ข่าว (๖) หนังสือทีเ่ จ้าหน้าท่ีทาขน้ึ หรอื รบั ไวเ้ ป็นหลกั ฐาน มีหนงั สอื รบั รองรายงานการประชุม และบนั ทกึ แต่ในที่น้ีจะกล่าวเน้นเฉพาะหนังสือภายนอก หนังสือภายใน และหนังสือประทับตรา แทนการลงชื่อเทา่ นน้ั คือ ๓.๑ หนังสือภายนอก คือหนังสือติดต่อราชการท่ีเป็นแบบพิธี ใช้กระดาษตราครุฑ มีแบบฟอร์มและรายละเอียดดงั นี้ ท่ี หมายถึงลาดับที่ของหนังสือให้ลงรหัสตัวพยัญชนะ และเลขประจา ของเจ้าของเร่ือง ทับ (/) เลขทะเบียนหนังสือส่ง เขียนไว้ด้านบน ซ้ายสุด เช่น ที่ ศธ.๐๖๐๒/๓๐ หมายถึง กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ) กรมวิชาการ (๐๖) กองวิจัยทางการศึกษา (๐๒) ลาดับเลขทะเบียน หนังสือส่งออกท่ี ๓๐ สว่ นราชการเจ้าของหนงั สอื ให้ลงชื่อส่วนราชการ สถานท่ีราชการ หรือคณะกรรมการซ่ึงเป็น เจา้ ของหนังสือนัน้ เขียนไวท้ างดา้ นบนขวาสดุ บรรทัดเดียวกบั “ท”ี่ วัน–เดือน–ปี คือ วัน เดือน ปี ที่ออกหนังสือ ให้เขียนเฉพาะตัวเลขของวันที่ ชื่อเต็มของเดือน และตัวเลขของปีพุทธศักราชไว้กึ่งกลางตราครุฑ เชน่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๔๑ เรือ่ ง ให้เขียนช่ือเร่ืองย่อท่ีสั้นกะทัดรัดแต่ได้ความสมบูรณ์ ถ้าเป็นหนังสือ ต่อเนื่องใหใ้ ชช้ อื่ เรอ่ื งหนงั สือฉบบั เดิม คาข้ึนต้น ให้ใช้ตามฐานะของผรู้ บั จดหมาย แล้วลงตาแหน่งของผู้รับหนังสือน้ัน โดยใช้ “เรียน” กับตาแหน่งหน้าที่ของบุคคลธรรมดา “กราบเรียน” กับตาแหน่งประธานองคมนตรี นายกรัฐมนตรี ประธานสภา ผู้แทนราษฎร ประธานวุฒิสภา ประธานรัฐสภา และประธาน ศาลฎีกา อา้ งถึง (ถา้ ม)ี เป็นการอ้างถึงหนังสือที่เคยมีติดต่อกัน ให้ลงเลขลาดับท่ีของหนังสือ ฉบับสุดท้ายท่ีติดต่อกันเพียงฉบับเดียว เว้นแต่จะมีสาระอ้างถึง หนงั สอื ฉบับอื่นๆ ทเี่ กยี่ วขอ้ งกบั เร่อื งนน้ั อกี
๑๘๖ | ภ า ษ า ไ ท ย เ พ่ื อ ก า ร ส่ื อ ส า ร ส่งิ ทสี่ ่งมาดว้ ย (ถา้ ม)ี ให้ลงชอื่ ส่ิงของ เอกสารหรือบรรณสารทสี่ ง่ มาพร้อมหนงั สอื ฉบบั นี้ ขอ้ ความ มหี ลักการเขยี น คอื ย่อหน้าแรก เป็นข้อความท่ีเป็นเหตุของการของการเขียนจดหมาย คาลงท้าย มักข้ึนต้นดว้ ยคาวา่ “ด้วย” “เนื่องด้วย” “ตามที”่ ย่อหน้าที่สอง เป็นข้อความที่เป็นวัตถุประสงค์ของการเขียน ลงชอื่ จด ห ม าย ฉบั บ นี้ เช่ น เพ่ื อ ข อ ค ว าม ร่วม มื อ เพ่ื อ ให้ เข้ าใจ ตาแหนง่ เพ่อื ใหพ้ ิจารณา หรอื เพ่อื ทราบ สว่ นราชการเจา้ ของเรื่อง ให้ใช้ตามฐานะของผู้รับหนังสือน้ัน โดยใช้ “ขอแสดงความนับถือ” ช้ันความลับ (ถา้ ม)ี กับบุคคลธรรมดา “ขอแสดงความนับถืออย่างย่ิง” กับประธาน ชนั้ ความเรว็ (ถ้ามี) องคมนตรี นายกรัฐมนตรี ประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธาน วฒุ ิสภา ประธานรฐั สภา และประธานศาลฎีกา ให้ลงรายมือชื่อเจ้าของหนังสือ และพิมพ์ชื่อ นามสกุลของเจ้าของ ลายมอื ชื่อไวใ้ ตล้ ายมอื ช่ือ โดยใสไ่ ว้ในวงเลบ็ ให้ลงตาแหนง่ ของเจ้าของหนงั สอื ให้ลงส่วนราชการหรือหน่วยงานที่ออกหนังสือน้ัน พร้อมหมายเลข โทรศัพท์และหมายเลขโทรสารดว้ ย ใหล้ งคาว่า “ลับ” หรอื “ปกปดิ ” ไวด้ ้านบนตราครุฑ ให้ลงคาว่า “ด่วน” “ด่วนมาก” หรือ “ด่วนท่ีสุด” ไว้ด้านบน ของเลขลาดบั ท่ีของหนังสือและมุมซองด้านบนซ้ายขา้ งตราครฑุ
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212