Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore Piaget

Piaget

Published by Chartdanai Thammunee, 2021-02-26 09:52:54

Description: Piaget

Search

Read the Text Version

สาขาการสอนภาษาอังกฤษ คณะครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยราชภัฏพระนครศรอี ยุธยา ·ÄɮվѲ¹Ò¡Òà àªÒǹ»­˜ ­Ò¢Í§à¾ÂÕ à¨µ ( Piaget’s Cognitive Development Theory )

º·¹íÒ ทฤษฎพี ัฒนาการทางสติปญญาของเพียเจทเ์ ปนทฤษฎที ศี ึกษาถงึ กระบวนการคดิ ทาง ด้านสติปญญาของเดก็ จากแรกเกดิ จนถงึ วยั รนุ่ ทฤษฎีของเพียเจต์ตังอยู่บนรากฐานของ ทงั องค์ประกอบทเี ปนพันธกุ รรมและสงิ แวดลอ้ ม เขาอธบิ ายว่า การเรียนรูข้ องเด็กเปนไป ตามพัฒนาการทางสติปญญาซึงจะมีพัฒนาการไปตามวัยต่างๆเปนลําดบั ขนั พัฒนาการ เปนสิงทเี ปนไปตามธรรมชาติไมค่ วรทีจะเรง่ เด็กใหข้ า้ มจากพัฒนาการจากขนั หนงึ ไปสู่อกี ขันหนึง เพราะจะทําให้เกดิ ผลเสยี แก่เด็ก แต่การจดั ประสบการณส์ ง่ เสรมิ พัฒนาการของ เดก็ ในช่วงทีเดก็ กาํ ลังจะพัฒนาไปสู่ขันทสี งู กว่าสามารถชว่ ยให้เด็กพัฒนาไปอยา่ งรวดเร็ว อย่างไรกต็ ามเพียเจต์เน้นความสาํ คัญของการเขา้ ใจธรรมชาตแิ ละพัฒนาการของเด็ก มากกว่าการกระต้นุ เด็กใหม้ ีพัฒนาการเร็วขึน เพียเจตส์ รุปว่า พัฒนาการของเดก็ สามารถอธบิ ายได้โดยลาํ ดบั ระยะพัฒนาทาง ชีววิทยาทคี งทีแสดงให้ปรากฏโดยปฏสิ ัมพันธข์ องเด็กกับสงิ แวดล้อม





»ÃÐÇѵԹѡ·ÄÉ®Õ เมอื อายุ 15 ป แมข่ องเขาเสนอเชงิ บังคบั วา่ เขาต้องเขา้ รับ การอบรมวชิ าการสอนศาสนาเปนเวลา 6 สปั ดาห์ เขาจงึ เรมิ ศึกษาพืนฐานของครสิ ต์ศาสนา และรู้สกึ วา่ ความเชอื ศาสนากบั หลักทางวทิ ยาศาสตรน์ นั ไม่อาจไปด้วยกันได้ แต่เขาก็เกิดความคดิ ทจี ะเชือมปรชั ญากบั วิทยาศาสตร์เข้าดว้ ยกนั

»ÃÐÇѵ´Ô ŒÒ¹¡ÒÃÈÖ¡ÉÒ - เพียเจต์สําเรจ็ ปรญิ ญาตรใี นสาขาชีววทิ ยา จากมหาวิทยาลัยเนอชาเตล (University of Neuchatel) ในป 1915 - สําเร็จปริญญาเอกในสาขาวิชาวทิ ยาศาสตรธ์ รรมชาติ เมือ ค.ศ.1918 áŌÇà¢ÒàÃÔèÁÊ¹ã¨¨ÔµÇ·Ô ÂÒ䴌Í‹ҧäà ในขณะทีมีอายุเพียง 21 ป หลังจากนันอีก 2 ป เพียเจตไ์ ดเ้ บนความสนใจทางวิทยาศาสตรเ์ ขา้ มาส่จู ติ วทิ ยา เขาเรมิ ศกึ ษาจิตวทิ ยาของเด็ก พัฒนาการทางการคิดของเด็ก จนพบคาํ ตอบอย่างกว้างขวางวา่ เด็กเรยี นรไู้ ดอ้ ยา่ งไร ซงึ เปนหลักการของทฤษฎีแห่งความรู้ เขาเรยี กศาสตร์แขนงนีว่า Genetic Epistemology (Ginsburg & Opper,1979 : 2-3)

áŌÇà¢ÒàÃÁèÔ Ê¹ã¨¨µÔ Ç·Ô ÂÒä´ÍŒ ‹ҧäà เพีบเจตเ์ ปนนักวิทยาศาสตร์สาขาชวี วิทยา แตม่ คี วามสนใจเกยี ว กับในเรอื งของจิตวิทยา โดยได้อาศัยประสบการณจ์ ากการเลียงดู บตุ รทงั 3 คน และทําการบันทึกพฤติกรรม กิจกรรมตา่ งๆของ ลกู ทีไดท้ าํ หรือ ทาํ ไมไ่ ดต้ ามช่วงวัยต่างๆและุได้ทําการสรปุ ออกมา เปนทฤษฎโี ดยทีทฤษฎีของเพียเจตจ์ ะตังอยู่บนรากฐานขององค์ ประกอบทีเปนพันธกุ รรมและสงิ แวดล้อม

ÊÃØ»áÅnj à¢ÒàÃèÁÔ Ê¹ã¨¨µÔ Ç·Ô ÂÒä´ÍŒ Âҋ §äà หลังจากทีเขาเรียนจบแล้วได้ทางานกับ และสรปุ ไดว้ า่ คาตอบของเด็กวัยต่างกันจะ นายแพทยบ์ ีเนต์และซีโม ซงึ เปนผสู้ ร้าง แตกต่างกนั และไมค่ วรด่วนสรปุ ว่าเดก็ โต ฉลาดกว่าเดก็ เลก็ หรอื คาตอบของเดก็ เลก็ ขอ้ สอบเชาวน จะผิดเสมอ เพียเจยพ์ บวา่ คาตอบของเดก็ เล็กกับเด็กโต จะตอบไม่เหมือนกนั

á¹Ç¤´Ô ÊÒí ¤­Ñ ¢Í§·ÄÉ®Õ ความคิดรวบยอดพนื ฐาน เพยี เจยเ์ ชอื วา่ คนเราทกุ คนตังแต่เกิดมามคี วามพรอ้ มทีจะปฏิสมั พนั ธก์ ับสงิ แวดล้อมและโดยธรรมชาติแล้วมนุษยเ์ ปนผพู้ รอ้ มทีจะมี กรยิ ากรรม หรอื เรมิ ทีกระทําก่อน (Active) นอกจากนีเพยี เจต์ถือวา่ มนุษยเ์ รามแี นวโน้มพนื ฐานทีติดตัวมาแต่กําเนิด 2 ชนิด คือ การจดั และรวบรวม (Organization) และการปรบั ตัว (Adaptation) ซงึ อธบิ ายได้ดังต่อไปนี การจดั และรวบรวม (Organization) หมายถึง การจดั และรวบรวมกระบวนการต่าง ๆ ภายในเขา้ เปนระบบอยา่ งต่อเนือง เปนระเบยี บ และมกี ารปรบั ปรุงเปลียนแปลงอยูต่ ลอดเวลาตราบทีปฏิสมั พนั ธก์ ับสงิ แวดล้อม การปรบั ตัว (Adaptation) หมายถึง การปรบั ตัวใหเ้ ขา้ กับสงิ แวดล้อมเพอื อยูใ่ นสภาพสมดลุ การปรบั ตัวประกอบด้วยกระบวนการ 2 อยา่ ง คือ การซมึ ซาบหรอื ดดู ซมึ ประสบการณ์ (Assimilation) การปรบั โครงสรา้ งทางสติปญญา (Accommodation) เมอื เผชญิ กับสงิ แวดล้อม

1. การซมึ ซาบหรอื ดูดซึมประสบการณ์ (Assimilation) เมอื มนษุ ย์มีปฏิสัมพันธ์กับสิงแวดลอ้ มกจ็ ะซึมซาบ หรอื ดดู ซมึ ประสบการณ์ใหม่ให้รวมเขา้ อยู่ในโครงสรา้ งของ สตปิ ญญา (Cognitive Structure) 2. การปรบั โครงสรา้ งทางเชาวน์ปญญา (Accommodation) หมายถึงการเปลียนแบบโครงสรา้ งของเชาวน์ปญญาทีมอี ยแู่ ล้วใหเ้ ขา้ กับสงิ แวดลอ้ มหรือประสบการณใ์ หม่ หรอื เปนการเปลยี นแปลงความคิดเดมิ ใหส้ อดคลอ้ งกับสิงแวดล้อมใหม่ตัวอย่างเช่นความเขา้ ใจความแตกต่าง ระหวา่ งเพศของเดก็ ทีมีอายปุ ระมาณ 5-6 ป ถา้ ถามเด็กวยั นีว่าเดก็ หญิงชายแตกต่างกันหรือไม่คําตอบได้ จากเดก็ ก็คือเดก็ หญงิ และเด็กชายแตกตา่ งกนั และเมือถามคําถามต่อไปว่าให้บอกความแตกตา่ งของหญงิ ชาย มา 3 อย่างคาํ ถามนสี ่วนมากเดก็ ตอบได้ 2 อยา่ งคือเด็กหญงิ ผมยาวเดก็ ชายผมสนั เดก็ หญิงสวมกระโปรง แต่เด็กชายสวมกางเกงอย่างไรกต็ ามถ้าเดก็ วัยนเี กิดพบเดก็ (หญงิ ) ผมยาวนงุ่ กางเกงกาํ ลังเล่นตุก๊ ตาอยู่ สามารถจะบอกได้วา่ เดก็ ทีเขาเห็นเปน \"เดก็ หญงิ ” แสดงว่าเดก็ สามารถทจี ะ Accommodate สิงแวดลอ้ ม ใหม่และแปลความเข้าใจเดมิ ของเขาวา่ เด็กหญงิ ไม่จําเปนต้องนงุ่ กระโปรงเสมอไปเดก็ ผหู้ ญงิ อาจจะนุ่ง กางเกงไดแ้ ละเนอื งจากการปรับสิงแวดลอ้ มเขา้ เปนความรูใ้ หมโ่ ดยเปลยี นความเข้าใจเดิมเช่นนีเพียเจตเ์ รยี ก วา่ Accommodation

ÊÃ»Ø áÅŒÇ + ศึกษาเกยี วกับพัฒนาการดา้ นความคดิ เดก็ + มีขนั ตอนหรอื กระบวนตีงอยูบ่ นรากฐานของ องค์ประกอบทางพันธุกรรมและสิงแวดลอ้ ม โดนเน้น หรือสนใจใหเ้ ด็กพัฒนาการไปตามธรรมชาติ ไม่สนับสนุนการกระตุ้นหรือการข้ามขันพัฒนาการ

à¾ÕÂà¨µä ´Œáº§‹ ¾²Ñ ¹Ò¡Ò÷ҧàªÒǹ»˜­­Ò Í͡໹š ¢¹éÑ ãË­‹ æ 4 ¢éѹ โดยใหค้ วามหมายของขัน (Stage) ดงั ต่อไปนี 1.ขนั ระดับเชาวน์ปญญาหมายถึงระยะเวลาที 2.การบรรลุถงึ ขนั เชาวนป์ ญญาขนั หนึงจะเปน ก่อตังริเรมิ และรวบรวมความรู้ รากฐานสาํ หรับพัฒนาการทาง คดิ หรือเรมิ พัฒนาเชาวนป์ ญญา เชาวน์ปญญาขนั ต่อไป 3.ระดบั ขันของพัฒนาการทางเชาวน์ปญญาเปน 4.ขนั พัฒนาการของเชาวน์ปญญาแตล่ ะขัน สิงทีเปนไปตามขันไมส่ บั สน เปนรากฐานของขนั ตอ่ ไป เปนต้นว่า ขันแรกต้องมากอ่ นขนั ที 2 และขนั ที 2 ต้องมากอ่ นขนั ที 3 เปน ตน้

เพียเจต์แบง่ องค์ประกอบทีมสี ่วน เสริมสร้างพัฒนาการเชาวนป์ ญญา มี 4 องค์ประกอบ

1.ÇزÔÀÒÇÐ (MATURATION) 01 022.»ÃÐʺ¡Òó (EXPERIENCE) การเจรญิ เติบโตด้านสรรี วิทยาโดยเฉพาะเส้น การเจรญิ เติบโตด้านสรรี วิทยาโดยเฉพาะเส้นประสาท ประสาทและต่อมไรท้ ่อ มีส่วนสาํ คัญต่อการ และต่อมไรท้ ่อ มีส่วนสาํ คัญต่อการพัฒนาเชาว์ปญญา พัฒนาเชาว์ปญญาหรอื จะต้องจัดประสบการณ์ หรอื จะต้องจัดประสบการณ์ หรอื สิงแวดล้อมให้ หรอื สิงแวดล้อมให้ เหมาะสมกับความพรอ้ มหรอื วัยของเด็ก เหมาะสมกับความพรอ้ มหรอื วัยของเด็ก 3.¡Òö‹Ò·ʹ¤ÇÒÁÌٷҧÊѧ¤Á 03 044.¡Ãкǹ¡ÒþѲ¹ÒÊÁ´ØÅ (EQUILIBRATION) (SOCIAL TRANSMISSION) การควบคุมพฤติกรรมของตนเอง (Self การทีพ่อแม่ ครู และคนทีอยู่รอบตัว regulation) ซงึ อยู่ในตัวของแต่ละบุคคลเพือจะ เด็ก จะถ่ายทอดความรูใ้ หเ้ ด็ก ปรบั ความสมดุลของพัฒนาการเชาวน์ปญญาขัน ต่อไปอีกขันหนึงซงึ สูงกว่าโดยใช้ กระบวนการการซมึ ซาบประสบการณ์และการปรบั โครงสรา้ งทางสติปญญา

2. ประสบการณ์ (Experience) 1) ประสบการณท์ ีเนอื งมาจาก 2) ประสบการณเ์ กียวกับการ ปฏิสมั พนั ธ์ คิดหาเหตผุ ลและ กับสงิ แวดล้อมตามธรรมชาติ ทางคณติ ศาสตร์ (Logico- (Physical Environment) math. ematical experience) ซงึ มคี วามส าคัญ ในการแก้ปญหา ต่าง ๆ โดยเฉพาะทางวทิ ยา ศาสตร

จุดเริมตน้ ของการศกึ ษาพัฒนาการทางสติปญญาของเด็ก โดยเริม จากลูกทัง 3 คนของพวกเขา เปนหญิง 1 คน ชาย 2 คน เพียเจต์ ได้บันทึกและเขยี นเปนรายงานในการสงั เกตของเขา

¾Ñ²¹Ò¡Ò÷ҧʵԻ­˜ ­Ò¢Í§ ºØ¤¤Å໹š 仵ÒÁÇÂÑ µÒ‹ §æ ทฤษฎพี ัฒนาการทางเชาวนป์ ญญาของเพียเจต์ ( Piaget’s Cognitive Development Theory ) 1.ขันประสาทรบั ร้แู ละเคลือนไหว (Sensori-Motorb Stage) 2.ขันกอ่ นปฏิบัตกิ ารคดิ (Preoperational Stage) 3.ขันปฏบิ ตั ิการคดิ ด้านรปู ธรรม (Concrete Operation Stage) 4.ขันปฏิบัติการคิดด้วยนามธรรม (Formal Operational stage)

1.¢¹éÑ »ÃÐÊÒ·ÃºÑ ÃáŒÙ Å¡Ñ ÒÃà¤ÅèÍ× ¹äËÇ ( Sensori Motor Stage) *** ช่วงอายุ แรกเกดิ - 2 ป เพยี เจต์ เปนนักจติ วทิ ยาคนแรกทีได้ศึกษาระดับเชาวน์ปญญาของเด็กวยั นีไวอ้ ยา่ งละเอียดจากการสงั เกตบุตร 3 คน โดยทําบนั ทึกไว้ และสรุปวา่ วยั นีเปนวยั ทีเด็กมปี ฏิสมั พนั ธก์ ับสงิ แวดล้อม โดยประสาทสมั ผัสและการเคลือนไหวของ อวยั วะต่างๆ ของรา่ งกาย เพยี เจต์ได้แบง่ ขนั ประสาทรบั รูแ้ ละการเคลือนไหว (Sensorimotor) ออกเปนขนั ยอ่ ย 6 ขนั ดังต่อไปนี

¢¹éÑ »ÃÐÊÒ·ÃºÑ ÃٌáÅСÒÃà¤ÅÍè× ¹äËÇ (SENSORIMOTOR) 6 ¢Ñé¹ 1.1 ขนั ปฏิกริ ิยาสะทอ้ น 1.2ขันพัฒนาอวยั วะเคลือนไหว 1.3 ขนั พัฒนาเคลอื นไหวโดยมจี ดุ มุ่งหมาย (Reflexive) (0-1เดือน) ดา้ นประสบการณเ์ บอื งตน้ ( Secondary Circular Reactions) เปนวยั ทเี ดก็ ทารกใช้พฤตกิ รรมรเี ฟลกซ์ (Primary Circular Reactions) (4-6เดอื น) หรอื โดยประสาทอตั โนมัติทตี ิดตัวมาตังแต่เกดิ (1-3เดอื น) ขันนีเพียเจต์กล่าวว่าเปนขันแรกทีเดก็ ทารกแสดง เชน่ การดูด เปนต้น วยั นีทารกมกั จะแสดงพฤตกิ รรมง่ายๆ พฤติกรรมโดยมีความตังใจหรือมีจุดม่งุ หมาย และพยายามทจี ะปรับให้เข้ากับสิงแวดลอ้ ม เชน่ และทําซําๆ กนั โดยไม่เบือ เช่น กํามือเขา้ และเปด เด็กขันนีจะเรมิ ทําพฤตกิ รรมซําเพราะความสนใจในผล ดดู นมจากนมของแม่ ดดู นมขวด เปนต้น ออกซาํ ๆ กนั ของพฤตกิ รรมนนั เปนตน้ วา่ พฤติกรรมเหลา่ นเี กิดขนึ เพือตอบสนองต่อสิง หรอื คลําผา้ ห่มทคี ลุมตวั ซาํ ๆ กัน เปนต้น เร้าโดยอตั โนมตั ิ เปนพฤตกิ รรมทีไม่เกดิ จาก พฤตกิ รรมทีแสดงปราศจากจดุ มงุ่ หมาย เด็กจะเตะหรือกระตกุ เท้าเพือจะให้ตกุ๊ ตาทีแขวนในเปลสัน ความสนใจของเดก็ มกั จะอยทู่ ีความเคลอื นไหว หรือเคลอื นไหว การเรยี นรู้ แต่ไมใ่ ชผ่ ลของความเคลือนไหว หรอื จะสนั เครืองเล่น เพราะสนใจในเสียงทเี กดิ จากการ สัน เพียเจต์ สรุปวา่ ในขนั นีเดก็ ทาํ พฤตกิ รรมซํา โดยมีความมงุ่ หมายทจี ะเห็นการเปลีนแปลงในสิงแวดล้อ มรอบๆ ตวั เขาเอง

¢¹éÑ »ÃÐÊÒ·ÃºÑ ÃٌáÅСÒÃà¤ÅÍ×è ¹äËÇ (SENSORIMOTOR) 6 ¢Ñ¹é 1.4 ขันพัฒนาการประสานของอวัยวะ 1.5 ขันพัฒนาการความคิดรเิ รมิ แบบลองผดิ ลองถกู (Coordination of Secondary Reactions) (Tertiary Circular Reactions) (11-18 เดอื น) (7-10เดือน) ในขนั นเี ด็กเริมทจี ะทดลองพฤตกิ รรมแบบถกู (Trial and Error) ขนั นีเด็กทารก ในขนั นีเด็กทารกเริมทีจะแกป้ ญหาอยา่ งง่ายๆ มีความสนใจในผลของพฤติกรรมใหม่ๆ มกั จะทดลองทําดูหลายๆแบบและสนใจ เด็กทารกจะใช้พฤติกรรมในอดีตทีผ่านมาช่วยในการแก้ปญหา ผลทเี กิดขึน ขันนีตา่ งกบั ขนั สองSecondary Circular Reactions ตรงทเี ด็ก ทารกไมเ่ พียงแต่สนใจจะทาํ ซํา แตเ่ ปลียนแปลงใหเ้ กิดความใหม่อยู่เรอื ยๆ เพีย เด็กวยั นจี ะสามารถหาของทีซ่อนไว้ได้ เปนตน้ วา่ อาจจะผลกั หมอนเพือจะเอาตุ๊กตาทซี อ่ นอยู่ ตางกบั เด็กทีอยใู่ นขนั ที 3 เจต์ไดส้ งั เกตบุตรของตนเอง ชือ ลอรานต์ (Laurent) ซึงขณะนันอายุ 10 ทีการผลกั หมอนของเด็กเปนแตเ่ พียงความสนใจทเี ห็นหมอนเรมิ ล้มลงไป เดอื น ได้บนั ทึกไวว้ ่าวนั หนงึ ลอรานท์ค้นพบการตกของสิงของโดยโยนกล่องสบู่ หรืออาจกลา่ วไดว้ า่ เด็กมคี วามเขา้ ใจเกยี วกบั ความมตี ัวตนของวตั ถุ (Object ขนึ ไปในอากาศและปล่อยให้ตกในขณะทีค้นพบแกกาํ ลังอยใู่ นท่านอน เพียเจตพ์ บ Permanence) ในขนั นีเดก็ ทารกเรมิ จะรู้วา่ ตนเองเปนสว่ นอสิ ระ ว่าลอรานทไ์ ดท้ ดลองในท่าตา่ งๆ เช่น ยืดแขนในทา่ ตา่ งๆ เพียเจตส์ รุปว่า นอกจากนเี ด็กจะสามารถทจี ะแยกสงิ ทีตน “ต้องการ” และ “ไมต่ อ้ งการ” พฤตกิ รรมของเดก็ ในขันนีเปนการทดลองสิงแวดลอ้ มไมเ่ พียงแต่เพือจะดูวา่ อะไร ออกจากกนั และสามารถทจี ะเลยี นแบบหรอื เลียนการเคลอื นไหวจากผอู้ ืน พฤติกรรมในขนั นีมักจะเปนเครืองมอื ทจี ะชว่ ยแกป้ ญหาในสงิ ทตี นอยากได้ จะเกิดขึนแต่มคี วามมุ่งหมาย มีความคิดรเิ รมิ ในการแสดงพฤตกิ รรม เพียเจต์ กลา่ วว่าความคดิ รเิ รมิ เปนคณุ สมบัตทิ สี าํ คัญของเชาวนป์ ญญา

¢éѹ»ÃÐÊÒ·ÃºÑ ÃŒÙáÅСÒÃà¤ÅÍè× ¹äËÇ (SENSORIMOTOR) 6 ¢Ñ¹é 1.6 การเริมตน้ ของความคิด (Beginning of Thought) เดก็ ในวัยนสี ามารถทีจะประดษิ ฐว์ ธิ ีใหมๆ่ ขันพัฒนาโครงสร้างสติปญญาเบอื งต้น (Innovation of New Means Through Internal Mental Combination) (18เดือน ถึง 2ขวบ) พัฒนาการเชาวนป์ ญญาระดบั นเี ปนระดบั สดุ ท้ายของขันประสาทรบั รูแ้ ละการเคลือนไหว (Sensorimotor Stage) โดยใชค้ วามคิดในการแก้ปญหา เด็กสามารถทีจะเข้าใจความสมั พันธ์ระหวา่ งสิงหนงึ กบั สิงหนงึ และสามารถทจี ะคดิ แกป้ ญหาได้ ในขันนีถ้าเด็กพบปญหาใหม่ทตี นประสบแตไ่ ม่มวี ิธีการทีจะ แกป้ ญหามาแตก่ อ่ น เด็กวัยนจี ะร้จู กั ประดษิ ฐว์ ธิ ีการใหมข่ นึ แตว่ ิธกี ารทปี ระดิษฐ์นัน ไม่เปนแต่เพียง Trial and Eorror แต่เปนวิธกี ารทีแสดงว่าเดก็ เรมิ ใช้ความคิดตัวอยา่ งที เพียเจต์ได้สงั เกตจากบตุ รีของตน ชอื ลเู ซยี น (Lucienne) เมืออายุ 1 ป 4 เดอื น โดยทดลองให้กล่องไมข้ ีด ซงึ ปดไม้สนิทเปดประมาณ 3 มิลลิเมตรและในกลอ่ งไม้ขดี ใสโ่ ซเ่ ล็กๆ ไว้ ซงึ ลเู ซียนสามารถมองเห็นไดจ้ ากการ สงั เกตพบวา่ ลูเซยี น ดกู ล่องไมข้ ดี และในขณะเดยี วกันอ้าปากทีละน้อยๆ และกว้างขึนๆ ขณะเดยี วกนั ก็หยิบกล่องไมข้ ีด แลว้ เปดกล่องให้กวา้ งหยบิ เอาโซ่ เล็กๆในกล่องไม้ขีดออกมา ซึงแสดงวา่ เด็กในวยั นสี ามารถทีจะคดิ ในใจและอนมุ านการแก้ปญหาได้ อกี ตัวอย่างหนึงทจี ะชว่ ยใหเ้ ขา้ ใจถึงระดับสติปญญา ของเดก็ วยั นี

¢¹éÑ »ÃÐÊÒ·ÃºÑ ÃÙጠÅСÒÃà¤ÅÍè× ¹äËÇ (SENSORIMOTOR) 6 ¢Ñé¹ 1.6 การเริมตน้ ของความคิด (Beginning of Thought) จากการสังเกตของเพียเจต์เองทา่ นบนั ทกึ ไว้วา่ วนั หนึงเมอื ลเู ซยี นอายไุ ด้ 1 ป 6 เดอื น เธอเลน่ รถลากตกุ๊ ตาเปนครังแรก รถลากคนนีมคี นั ถอื ฉะนนั เธอนันเธอจับคนั ถอื และผลักรถลากไปข้างหนา้ จนในทสี ดุ รถลากหยดุ เพราะว่าเธอผลักไปถูกฝาผนงั ของหอ้ งและไมส่ ามารถจะผลกั ต่อ ไปอีกเธอจึงจบั คนั ถือและเดินถอยหลัง แตไ่ ปไมไ่ กลเทา่ ไรเธอก็หยดุ ยืนสักครู่หนงึ (คล้ายกับวา่ จะแก้ปญหาอยา่ งไรดี) และทนั ทที ันใด เธอได้เปลยี นทียืน โดยเดินไปอกี ข้างหนงึ ของรถลากและผลักรถไปขา้ งหนา้ ในขันนี เพียเจตส์ รุปว่าเดก็ จะเริมเรยี นรู้ความ สัมพันธข์ องสงิ แวดลอ้ ม และสามารถทีจะอนุมานความสัมพันธข์ องเหตุและผลได้ เด็กในขันนีสามารถทจี ะมจี ินตนาการก่อนทีจะเรมิ แสดง พฤตกิ รรม เดก็ ในขันนสี ามารถทจี ะมีจินตนาการกอ่ นทีจะเรมิ แสดงพฤติกรรม เดก็ ในขนั นจี ะสารถเลยี นแบบพฤตกิ รรมของผ้ใู หญ่โดยไม่ จาํ เปนต้องเห็นตวั อยา่ งแสดงจริงๆแตเ่ ลยี นแบบจากความจํา

2. ขนั ก่อนปฏบิ ัตกิ ารคดิ (PREOPERATIONAL STAGE) (อายุ2 - 7 ป) ชว่ งอายุ 2-7 ป คือ ระยะที 2 เรียกว่า ขนั เตรยี มความคดิ ทีมี เหตุผล หรือการคิดกอ่ นปฏิบตั ิการ (Preoperational Stage) พัฒนาการเชาวป์ ญญาของเดก็ วัยนีเน้นไปทีการเรยี น รู้ และเริมมีพัฒนาการทางภาษาดีขนึ ดว้ ย โดยสามารถพูดได้ เปนประโยค มกี ารสรา้ งคําได้มากขึน แตเ่ ด็กยงั ไมส่ ามารถใช้ สตปิ ญญาคดิ ไดอ้ ย่างเต็มที แบ่งได้เปน 2 ชว่ ง คอื

ขนั กอ่ นปฏบิ ัติการคิด ( Preoperational Stage) ¢Ñ¹é ¡‹Í¹à¡Ô´Êѧ¡»Ñ 22อ--า44ยุป 44อ--า77ยุป (PRECONCEPTUAL THOUGHT) ¢é¹Ñ ¡ÒäԴẺ­Ò³ËÂÑè§Ãٌ ¹¡Ö ÍÍ¡àͧâ´Â äÁ㋠ªŒà˵ؼŠ(INTUITIVE THOUGHT) สงั กปั คือการนึกคดิ เปนขันพัฒนาการของเดก็ อายุ 2-4 ปซงึ เขาจะยดึ ตวั เองเปนศนู ยก์ ลาง เปนขันพัฒนาการของเดก็ อายุ 4-7 ขวบ ขันนี ถอื เปน ความคดิ ของเขาคอื จะโยงความสัมพันธข์ อง ชว่ งหวั เลียวหวั ตอ่ ของการคดิ ร้จู กั แยกประเภทและแยก แตล่ ะเหตุการณม์ าเกยี วโยงกนั ซงึ อาจจะไม่ใช่ ชนิ ส่วนของ สามารถแก้ปญหาเฉพาะหนา้ ได้ รูจ้ ักนาํ ความ สิงทีถูกต้องจะมีความเข้าใจตอ่ สิงต่างๆใน รูใ้ นสิงหนงึ ไปอธบิ ายหรือแก้ปญหาอืนและสามารถนําเหตุ เบืองต้น เชน่ จะเรยี กสตั ว์ทีมี 4 ขาทังหมดวา่ ผลทัวๆ ไปมาสรุปแกป้ ญหาแตไ่ มไ่ ด้วิเคราะห์อยา่ งถถี ้วน หมาซงึ นนั เปนเพราะเขามีขีดจาํ กดั ในการเรยี น เด็กจะเกิดความคิดรวบยอดเกยี วกับสงิ ตา่ งๆ ดขี ึน แต่ รแู้ ละเขา้ ใจอะไรไดใ้ นมติ ิเดียวสําหรบั สิงทีจะ การคดิ หาเหตผุ ลและการตัดสนิ ใจของเดก็ ยังคงขึนอยู่กับ ทําใหเ้ ดก็ ในวยั นีมีพัฒนาการทางสติปญญาทดี ี ก็คอื การเล่นบทบาทสมมติ สิงทีตนรับรู้

·º·Ç¹¢Ñé¹·èÕ 2 ¡ÃЪºÑ ¤ÇÒÁÃçÙ ขนั ก่อนปฏบิ ัติการคิด ( Preoperational Stage) อายุ 2-7 ป มโี ครงสรา้ งของสติปญญาทีจะใชส้ ัญลักษณแ์ ทน วตั ถสุ งิ ของทีอยรู่ อบๆตวั ขนั กอ่ นคดิ เกดิ สังเขป หรอื ขันเกดิ ความคดิ รวบยอด (Precomcept Thought) age 2-7 years ขนั การคดิ แบบญาณหยังรู้ หรอื ขันการคดิ ดว้ ยความเข้าใจตนเอง (Intuitive Thought) age 4-7 years

3.¢é¹Ñ ¤Ô´ÍÂҋ §ÁàÕ ËµØ¼ÅáÅÐ໹š ÃÙ»¸ÃÃÁ (CONCRETE OPERATION STAGE) อายุ 7-11 ป ช่วงอายุ 7-11 ขวบ คือ ระยะที 3 เรยี กว่า ขนั คิดอยา่ งมเี หตผุ ลและเปนรูปธรรม (Concrete Operation Stage) เดก็ ในวัยนีจะสามารถใช้เหตผุ ลในการตัดสนิ ใจปญหา ตา่ งๆ ไดด้ ีขนึ มีพัฒนาการทางด้านสติปญญาหลายด้าน คือ สามารถสร้างจนิ ตนาการใน ความคดิ ของตนขนึ มาได้ สามารถคิดเปรียบเทียบได้ เรียงลําดบั สิงต่างๆ ได้ นอกจากนยี ี งมีความสามารถในการคดิ ย้อนกลบั สามารถจัดกลุ่มหรอื จดั การไดอ้ ยา่ งสมบรู ณ์ เชน่ การแบง่ แยกประเภทของสตั ว์ สามารถสนทนากับบุคคลอืนและเข้าใจความคดิ ของผูอ้ ืนได้ ดี ทสี ําคญั คอื ความสามารถในการจาํ ของเด็กในชว่ งนีมปี ระสิทธภิ าพขึน

สรุปความแตกต่างในขนั ก่อนปฏิบตั ิการคิด (Preoperational Stage) 1.การสรา้ งภาพในใจ (Mental 2.ความคงตัวของสสาร 3.การคิดเปรยี บเทียบ Representations) (Conservation) (Relational Terms) เดก็ ในวยั 7-11 ป สามารถทีจะวาด เดก็ ในวยั 7-11 ป สามารถทีจะบอกไดว้ า่ เดก็ สามารถทีจะคิดเปรยี บเทียบได้ และ ภ าพค ว ามคิดในใ จได้ เชน่ เด็ ก ของเหลวหรอื ของแขง็ จาํ นวนหนงึ จะมี สามารถทีจะเขา้ ใจวา่ ของสงิ ใดสงิ หนงึ จะใหญ่ สามารถบอกหรอื อธบิ ายหรอื เขยี น จาํ นวนคงทีแมว้ า่ จะเปลียนแปรรปู หรอื กวา่ มากกวา่ นอ้ ยกวา่ ใหข้ นึ อยูก่ ับวา่ เปรยี บ แผนทีไดว้ า่ ไปโรงเรยี นอยา่ งไร สถานทีวาง เทียบกับอะไร เชน่ เดยี วกับความมดื และสวา่ ง

สรุปความแตกต่างในขนั ก่อนปฏิบตั ิการคิด (Preoperational Stage) 4.การแบง่ กล่มุ หรอื จดั หมู่ 5.การเรยี งลําดับ 6.การคิดยอ้ นกลับ (Class Inclusion) (Serialization and (Reversibility) Hierarchical Arangement) เดก็ สามารถทีจะตังเกณฑ์ทีจะชว่ ยแบง่ หรอื เดก็ วยั ประถมศึกษาหรอื ขนั ปฏิบตั ิการ จดั สงิ แวดล้อมหรอื สงิ ของรอบ ๆ ตัวเขาเปน เดก็ ในวยั นสี ามารถทีจะจดั ของามลําดบั ความ คิดดา้ นรปู ธรรม สามารถทีจะคิดกลับได้ เชน่ หมวดหมูไ่ ด้ เชน่ เขา้ ใจวา่ สามารถจะแบง่ สนุ ขั หนกั ความยาวได้ เชน่ เอาไมข้ นาดต่าง ๆ กัน เดก็ วยั นจี ะคิดได้ ว่ า ถ้ า 5+7=12 จะตอบ แมว มา้ รวมกันได้ เพราะเปนสตั วส์ เี ท้าเหมอื น และบอกใหเ้ ดก็ วยั นเี รยี งระดบั ตามความยาว ปญหาไดว้ า่ 12-7 จะ ได้ 5 หรอื 12-5 ได้ 7 กัน หรอื แบง่ แยกผกั และผลไม้ เปนต้น การนาํ ผกั ผลไมม้ าชงั เพอื เปรยี บเทียบนาํ หนกั เปนต้น

4. ¢éѹ»¯ºÔ ѵԡÒä´Ô ´ŒÇ¹ÒÁ¸ÃÃÁ (Formal Operations Stage) Age 11 - 15 years or 12+ years ระยะที 4 เรียกว่า ขนั ของการคดิ อย่างมีเหตุผลและอย่างเปน นามธรรม (Formal Operation Stage) ในวัยนีเขาจะไม่ คดิ จากสิงทเี ห็นหรือได้ยนิ เพียงอย่างเดียวเท่านัน แตจ่ ะ คิดถงึ สิงทีเคยเกดิ ขนึ ในอดตี และคาดเดาถึงอนาคตทีจะเกดิ ขึนขา้ งหน้า เพือใหไ้ ดส้ มมตฐิ านทีสมเหตุสมผลมาสนับสนุน ความคดิ ซึงนันหมายถึงเดก็ จะเริมคิดแบบผใู้ หญ่ได้ เข้าใจใน สงิ ทีเปนนามธรรม เปนตวั ของตัวเอง ต้องการอิสระ ไม่ยดึ ตนเปนศนู ยก์ ลาง ร้จู กั การใช้เหตผุ ลไดอ้ ย่างมีประสิทธิภาพ

4. ¢éѹ»¯ÔºÑµ¡Ô Òä´Ô ´ÇŒ ¹ÒÁ¸ÃÃÁ (FORMAL OPERATIONS STAGE) อายุ 11-15 ป หรอื 11+ ป ความคิดความเปนเด็กเรินต้นสนิ สดุ ลง เริมมีความคดิ แบบผใู้ หญ่ สามารถทจี ะคิดหาเหตุผลนอกเหนือไปจากข้อมูลทมี ีอยู่ สามารถทจี ะคดิ แบบนักวิทยาสาสตรื สามารถทีจะตังสมมตุ ฐิ าน และทฤษฎี และเห็นวา่ คามเปนจรงิ ทเี ห็นดว้ ยการรับรทู้ ีสาํ คัญ เทา่ กบั ความคดิ กบั สงิ ทีอาจจะเปนไปได้ มีความคิดนอกเหนอื ไปจากสงิ ปจจบุ นั สนใจทีจะสรา้ งทฤษฎีเกียว กับทุกสิงทุกอยา่ งและมีความพึงพอใจทีจะคิดพิจารณาเกยี วกับ สงิ ทีไมม่ ตี ัวตน หรือ สงิ ทีเปนนามธรรม

TThyhyoaoauunn!!kk


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook