พระนิพนธ์ สมเดจ็ พระญ�ณสังวร สมเด็จพระสงั ฆร�ช สกลมห�สังฆปรณิ �ยก
ทร่ี ะลึกพธิ ที �ำบุญอทุ ศิ สว่ นกุศล แก่ผู้ป่วยที่เสียชวี ิต ในโรงพยาบาลสงขลานครนิ ทร์ ๒๒ กมุ ภาพนั ธ์ ๒๕๕๗ โดย... โรงพยาบาลสงขลานครนิ ทร์
สารบัญ คิดให้ รู้จกั พอ ๗ ทำ�ดตี อ้ งไมม่ พี อ ๒๑
คิดให้ รู้จักพอ ความคิดอย่างหน่ึงที่สมควรฝึกให้เกิดขึ้นเป็น ประจ�ำ คือความคิดว่าพอ คิดให้รู้จักพอ ผู้รู้จักพอ จะเป็นผู้ที่มีความสบายใจ ส่วนผู้ท่ีไม่รู้จักพอจะเป็นผู้ ร้อนเร่า แสวงหาไม่หยุดย้ัง ความไม่รู้จักพอก็มีได้แม้ ในผเู้ ป็นใหญ่เป็นโต มัง่ มีมหาศาล และความรจู้ กั พอก็ มีได้แม้ในผู้ยากจน ต�่ำต้อย ท้ังน้ีก็เพราะความพอ เปน็ เรอ่ื งของใจ ทีไ่ ม่เกี่ยวกบั ฐานะภายนอก คนรวยที่ ไมร่ ้จู กั พอกเ็ ปน็ คนจนอย่ตู ลอดเวลา คนจนท่รี ู้จักพอ ก็เป็นคนม่ังมีอยู่ตลอดเวลา การยกฐานะจากยากจน ให้ม่ังมีนั้นท�ำได้ไม่ง่าย บางคนตลอดชาติน้ีอาจท�ำไม่ ส�ำเร็จ แต่การยกระดับใจให้ม่ังมีนั้นท�ำได้ทุกคนถ้ามี ความม่งุ มนั่ จะท�ำจรงิ
8 รู้จักพอ คนรจู้ กั พอไมใ่ ชค่ นเกยี จครา้ น และคนเกยี จครา้ น กไ็ มใ่ ชค่ นรจู้ กั พอ ควรท�ำความเขา้ ใจในเรอ่ื งนใี้ หถ้ กู ตอ้ ง แล้วอบรมตนเองให้ไม่เป็นคนเกียจคร้าน แต่ให้เป็น คนรู้จักพอ เม่ือรู้สึกไม่สบายใจให้รีบระงับเสียทันที อยา่ ชกั ชา้ ต้ังสตใิ ห้ไดใ้ นทันที รวมใจไม่ใหค้ วามคดิ วุ่นวายไปสู่เรื่องอันเป็นเหตุแห่งความทุกข์ ความไม่ สบายใจ อยา่ ออ้ ยอง่ิ ลงั เลวา่ ควรจะตอ้ งคดิ อยา่ งนนั้ กอ่ น ควรจะตอ้ งคดิ อยา่ งนกี้ อ่ น ทง้ั ๆ ทค่ี วามไมส่ บายใจหรอื ความรอ้ นเรมิ่ กรนุ่ ขนึ้ ในใจแลว้ ถา้ ตอ้ งการความสบายใจ กต็ อ้ งเชอื่ วา่ ไมม่ คี วามคดิ ใดทง้ั สนิ้ ทจี่ �ำเปน็ ตอ้ งคดิ กอ่ น ท�ำใจใหร้ วมอยู่ ไม่ให้วนุ่ วายไปในความคดิ ใดๆ ทง้ั น้ัน ตอ้ งเชอ่ื วา่ ตอ้ งรวมใจไวใ้ หไ้ ดใ้ นจดุ ทไี่ มม่ เี รอื่ งอนั เปน็ เหตุ แหง่ ความรอ้ นเกยี่ วขอ้ ง ที่ท่านสอนให้ทอ่ งพทุ โธกต็ าม ให้ดูลมหายใจเข้าออกก็ตาม น่ันคือการสอนเพื่อให้ใจ ไมว่ นุ่ วายซดั สา่ ยไปหาเรอ่ื งรอ้ น เปน็ วธิ ที จ่ี ะใหผ้ ลแทจ้ รงิ แนน่ อน ไม่ว่าจะเผชิญกับความยากล�ำบากกายใจอย่างใด ทั้งสิ้น ให้ม่ันใจว่า การจะท�ำให้ความยากล�ำบากนั่น
คิดให้ “รู้จักพอ” 9 คลคี่ ลาย จะตอ้ งกระทำ� เมอ่ื มจี ติ ใจสงบเยอื กเยน็ แลว้ เท่าน้ัน ใจที่เร่าร้อนขุ่นมัวไม่อาจคิดนึกตรึกตรองให้ เห็นความปลอดโปร่งได้ ไม่อาจช่วยให้ร้ายกลายเป็น ดไี ด้ อย่าคดิ ว่าเป็นความงมงาย เปน็ การเสียเวลาทจ่ี ะ ปฏิบัติส่ิงที่เรียกกันว่าธรรม ในขณะท่ีก�ำลังมีปัญหา ประจ�ำวันวุ่นวาย ขอให้เชื่อว่าย่ิงมีปัญหาชีวิตมากมาย หนกั หนาเพยี งไร ยงิ่ จ�ำเปน็ ตอ้ งท�ำจติ ใจใหส้ งบเยอื กเยน็ เพยี งนนั้ พยายามฝนื ใจไมน่ กึ ถงึ ปญั หายงุ่ ยากทงั้ หลาย เสยี ชวั่ เวลาเพยี งเลก็ นอ้ ย เพอื่ เตรยี มก�ำลงั ไวต้ อ่ สแู้ กไ้ ข ก�ำลังน้ันคืออ�ำนาจท่ีเข้มแข็งบริบูรณ์ด้วยปัญญาของใจ ทส่ี งบ ใจทสี่ งบมพี ลงั เขม้ แขง็ และเขม้ แขง็ ทง้ั สตปิ ญั ญา ใจที่สงบจะท�ำให้มีสติปัญญามากและแจ่มใสไม่ขุ่นมัว ความแจ่มใสนี้เปรียบเหมือนแสงสว่างที่สามารถส่อง ให้เหน็ ความควรไมค่ วร คือควรปฏิบัติอยา่ งไร ไม่ควร ปฏบิ ตั อิ ยา่ งไร ใจทสี่ งบกจ็ ะรชู้ ดั ถกู ตอ้ ง ตรงกนั ขา้ มกบั ใจทวี่ นุ่ วายไมแ่ จม่ ใส ซงึ่ เปรยี บเหมอื นความมดื ยอ่ มไม่ สามารถช่วยให้เห็นความถูกต้องความควรไม่ควรได้ มแี ต่จะพาใหผ้ ดิ พลาดเทา่ นั้น
10 รู้จักพอ ความโลภไมช่ ว่ ยใหอ้ ะไรดขี นึ้ ไดเ้ ลย วตั ถสุ ง่ิ ของ เงนิ ทองทงั้ หลายทไี่ ดจ้ ากความโลภนนั้ ดเู ผนิ ๆ เหมอื น เป็นการยกฐานะ เพิ่มความมั่นคง แต่ลึกลงไปจะ เปน็ การทำ� ลายมากกวา่ สงิ่ ทไ่ี ดจ้ ากความโลภมกั จะเปน็ สิ่งไม่สมควร มักจะเป็นการได้จากความต้องเสียของ ผอู้ น่ื ผอู้ น่ื ทงั้ หลายทต่ี อ้ งเสยี นนั้ แหละจะเปน็ เหตทุ �ำลาย ความไม่ไว้วางใจของคนท้ังหลาย จะเป็นเครื่องท�ำลาย อย่างย่ิง จะเป็นเหตใุ หอ้ ะไรรา้ ยๆ ตามมา เมอ่ื ถงึ เวลา อะไรร้ายๆ นั้นก็จะท�ำลายผ้มู ีความ โลภจนเกินการ เมื่อเวลานั้นมาถึงก็จะสายเกินไปจน ไมม่ ผี ใู้ ดจะชว่ ยได้ ฉะนน้ั กค็ วรหมนั่ พจิ ารณาใหเ้ หน็ โทษ ของกเิ ลสคือความโลภเสยี ตั้งแตย่ งั ไม่สายเกนิ ไป ถ้าความโลภเป็นความดี พระพุทธเจ้าก็จักไม่ ทรงสอนให้ละความโลภ และพระองคเ์ องก็จะไม่ทรง พากเพยี รปฏบิ ตั ลิ ะความโลภ จนเปน็ ทปี่ รากฏประจกั ษ์ ว่า ทรงละความโลภได้อย่างหมดจนสิ้นเชิง เป็นแบบ อยา่ งทบี่ รสิ ทุ ธส์ิ งู สง่ ยงั่ ยนื อยตู่ ลอดมาจนทกุ วนั นี้ แมว้ า่ จะไดท้ รงดบั ขนั ธป์ รนิ พิ พานไปแลว้ กวา่ สองพนั หา้ รอ้ ยปี
คิดให้ “รู้จักพอ” 11 เราเป็นพุทธศาสนิก นับถือพระพุทธเจ้า อย่า ให้สักแต่ว่านับถือเพียงที่ปาก ต้องนับถือให้ถึงใจ การนบั ถอื ใหถ้ งึ ใจน้ันตอ้ งหมายความวา่ ทรงสอนให้ ปฏิบัติอย่างไร ต้องตั้งใจท�ำตามให้เต็มสติปัญญา ความสามารถ ที่สวดกันว่า พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ขา้ พเจ้าถงึ พระพทุ ธเจ้าเป็นท่ีพงึ่ ธัมมัง สรณงั คัจฉามิ ข้าพเจ้าถึงพระธรรมเป็นที่พึ่ง สังฆัง สรณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้าถึงพระสงฆ์เป็นที่พึ่ง หมายถึงจะปฏิบัติตาม พระพทุ ธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์อย่างจริงจัง พระพทุ ธเจา้ ไมไ่ ดท้ รงสอนใหส้ วดมนตเ์ พอื่ ขอรอ้ ง วิงวอน ให้ทรงบันดาลให้เกิดความสุขสวัสดีโดยเจ้า ตวั เองไมป่ ฏบิ ตั ดิ ี ความหมายในบทสวดมอี ยบู่ รบิ รู ณ์ ที่ผู้สวดจะได้รับผล เป็นความสุขความเจริญรุ่งเรือง สวสั ดีถา้ ปฏิบัติตาม แต่ถ้าไม่ปฏิบัติตามความหมายของบทสวดมนต์ หรือเช่นไม่ปฏิบัติตามท่ีสวดว่าข้าพเจ้าถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์เป็นท่ีพึ่ง ก็จะไม่ได้รับผลอันเลิศ ท่ีควรได้รับเลย ฉะนั้นจึงควรปฏิบัติให้ได้ถึงพระพุทธ
12 รู้จักพอ พระธรรม พระสงฆเ์ ปน็ ทพ่ี งึ่ คอื ปฏบิ ตั ติ ามทพ่ี ระพทุ ธเจา้ ทรงปฏิบัติ ปฏิบัติตามพระธรรมที่ทรงสั่งสอน และ ปฏิบัติตามพระสงฆ์สาวกท่ีปฏิบัติเป็นแบบอย่างไว้เถิด จะได้รับความสุขสวัสดีอย่างยิ่งตลอดไป ไม่ว่าอะไรจะ เกิดขึ้นก็ตาม น่าจะไม่มีผู้ใดเลยท่ีเห็นว่าความโลภ ความโกรธ ความหลง เปน็ ความดี ทกุ คนเหน็ วา่ ไมด่ ี ดว้ ยกันทั้งนั้น นับวา่ เป็นความเห็นถกู แต่เพราะเหน็ ถกู ไมต่ ลอด จงึ เกดิ ปญั หา ในเรอื่ งกเิ ลสสามกองนขี้ น้ึ ทว่ี า่ เหน็ ถกู ไมต่ ลอดกค็ อื แทบทกุ คนไปเหน็ วา่ คนอนื่ โลภ โกรธ หลง ไมด่ ี แต่ไมเ่ หน็ วา่ ตนเองโลภ โกรธ หลง ก็ไม่ดีเช่นกัน กลับเห็นผิดไปเสียว่าความโลภ โกรธ หลง ท่เี กิดขน้ึ ในใจตนนัน้ ไมม่ ีอะไรไม่ดี นค่ี อื ความเห็นถกู ไม่ตลอด ไปยกเว้นวา่ ดีท่ีตนเอง เมอ่ื เหน็ ผอู้ นื่ ทโ่ี ลภ โกรธ หลง นา่ รงั เกยี จเพยี งใด ใหเ้ หน็ วา่ ตนเองทมี่ คี วามโลภ โกรธ หลงนนั้ นา่ รงั เกยี จ ยิ่งกว่า แล้วพยายามท�ำตนให้พ้นจากความน่ารังเกียจ น้ันให้เต็มสติปัญญาความสามารถ จะเรียกได้ว่าเป็น ผมู้ ีปัญญา ไม่ปล่อยตนให้ตนตกอย่ใู ตค้ วามสกปรก
คิดให้ “รู้จักพอ” 13 การแก้ความวุ่นวายท้ังหลายนั้น ท่ีถูกแท้จะให้ ผลจริง ต้องต่างคนต่างพร้อมใจกันแก้ที่ตัวเองเท่านั้น พร้อมใจกันและแก้ที่ตัวเองเท่าน้ัน ท่ีจะให้ผลส�ำเร็จ ไดจ้ รงิ ไมม่ อี ำ� นาจของบคุ คลอน่ื ใดทจี่ ะสามารถบงั คบั บญั ชาใหใ้ ครหนั เขา้ แกไ้ ขตนเองได้ นอกจากอำ� นาจใจ ของตัวเองเท่านั้นที่จะบังคับตัวเอง ทั้งยังจะต้องเป็น อ�ำนาจใจท่ีเกิดจากปัญญา ความเห็นถูกด้วย จึงจะ สามารถน�ำให้หันเข้าแก้ไขตนเอง ควรพยายามท�ำ ความเช่ือให้แน่นอนมั่นคงเสียก่อนว่า การแก้ท่ีตนเอง นนั้ ส�ำคญั ทสี่ ดุ ตอ้ งกระท�ำกนั ทกุ คน ผลดขี องสว่ นรวม ของชาติ ของโลกจึงจะเกิดข้ึนได้ ทุกคนขอให้เริ่มแก้ ตัวเองก่อน แก้ให้ใจที่วุ่นวายเร่าร้อนด้วยอ�ำนาจของ กิเลสมีโลภ โกรธ หลง ให้กลับเป็นใจท่ีสงบเย็น บางเบาจากกิเลสคอื โลภ โกรธ หลง ที่เคยโลภมาก กใ็ หล้ ดลงเสยี บา้ ง ทเ่ี คยโกรธแรงกใ็ หโ้ กรธเบาลง ทเ่ี คย หลงจัดก็ให้พยายามใช้สติปัญญาให้ถูกต้องตามความ จรงิ มากกวา่ เดมิ ตนเองจะเปน็ ผสู้ งบเยน็ กอ่ น ซง่ึ จะเปน็ เหตุให้เกิดความสงบเย็นกว้างขวางออกไปได้อย่างไม่ ต้องลงั เลสงสัย
14 รู้จักพอ ความทุกข์จะต้องมีอยู่ตราบท่ีกิเลสท้ังสามกอง คือ โลภ โกรธ หลง ยังมีอยู่ กิเลสมีมากเพียงใด ทุกข์ก็มีมากเพยี งนั้น เมอ่ื ใดกเิ ลสสามกองหมดไปจาก จติ ใจอยา่ งสน้ิ เชงิ แลว้ นน่ั แหละ ความทกุ ขจ์ งึ จะหมดไป อย่างส้ินเชิงได้ จึงควรพยายามท�ำกิเลสให้หมดส้ินให้ จงได้ มีวิริยะพากเพียรใช้ปัญญาให้รอบคอบเต็มความ สามารถให้ทุกเวลานาทีท่ีท�ำได้ แล้วจะเป็นผู้ชนะได้ มคี วามสขุ อยา่ งยิ่ง เราทกุ คนตอ้ งการเปน็ สขุ ตอ้ งการพน้ ทกุ ข์ แต่ ไม่ปฏิบัติเพื่อความสุข เพ่ือความสิ้นทุกข์ แล้วผล จะเกิดไดอ้ ย่างไร ความคดิ รอ้ นเรา่ ต่างๆ อันเปน็ เหตุ ใหเ้ ปน็ ทกุ ขก์ นั อยทู่ กุ วนั นี้ ลว้ นเกดิ จากกเิ ลสในใจเปน็ เหตุส�ำคัญท้ังส้ิน กิเลสน้ันแหละเป็นเครื่องบัญชาให้ ความคดิ เปน็ ไปในทางกอ่ ทกุ ขท์ กุ ประการ ถา้ ไมม่ กี เิ ลส พาให้เป็นไปแล้ว ความคิดจะไม่เป็นไปในทางก่อทุกข์ เลย ความคิดจะเป็นไปเพ่ือความสงบสุขของตนเอง ของส่วนรวม ตลอดจนถึงของชาติ ของโลก
คิดให้ “รู้จักพอ” 15 ความส�ำคัญท่ีสุดอยู่ท่ีว่า ต้องพยายามท�ำความ เช่ือมั่นให้เกิดข้ึนเสียก่อนว่า กิเลสท�ำให้เกิดทุกข์จริง คอื กเิ ลสนแ้ี หละท�ำใหค้ ดิ ไปในทางเปน็ ทกุ ขต์ า่ งๆ เมอื่ ยงั ก�ำจดั กเิ ลสไมไ่ ดจ้ รงิ ๆ กต็ อ้ งฝนื ใจหยดุ ความคดิ อนั เตม็ ไปดว้ ยกเิ ลสเรา่ รอ้ นเสยี กอ่ น การหยดุ ความคดิ เปน็ โทษ เป็นความร้อนน้ัน ท�ำได้ง่ายกว่าตัดรากถอนโคนกิเลส ฉะนนั้ ในขน้ั แรก กอ่ นทจี่ ะสามารถท�ำกเิ ลสใหส้ นิ้ ไปได้ ก็ให้ฝืนใจไม่คิดไปในทางเป็นทุกข์เป็นโทษ ให้ได้เป็น คร้งั คราวก่อนก็ยังดี อยา่ เขา้ ขา้ งตวั เองผดิ ๆ ดตู วั เองใหเ้ ขา้ ใจ เมอ่ื โลภ เกิดข้ึน ให้รู้ว่าก�ำลังคิดโลภแล้ว และหยุดความคิด น้ันเสีย เมื่อโกรธเกิดขึ้น ให้รู้ว่าก�ำลังคิดโกรธแล้ว และหยดุ ความคดิ นน้ั เสยี เมอื่ หลงใหร้ วู้ า่ กำ� ลงั คดิ หลง แลว้ และหยดุ ความคดิ นนั้ เสยี หดั หยดุ ความคดิ ทเ่ี ปน็ กเิ ลสเสยี กอ่ นตงั้ แตบ่ ดั นเี้ ถดิ จะเปน็ การเรมิ่ ฐานตอ่ ตา้ น ก�ำราบปราบทกุ ข์ให้ส้นิ ไป ทจี่ ะใหผ้ ลจรงิ แท้แนน่ อน
16 รู้จักพอ ความคดิ ของคนทกุ คนแยกออกไดเ้ ปน็ สองอยา่ ง หนง่ึ คอื ความคดิ ทเ่ี กดิ ดว้ ยอำ� นาจของกเิ ลสมโี ลภ โกรธ หลง อีกอย่างหนึ่งคือความคิดท่ีพ้นจากอ�ำนาจของ ความโลภ โกรธ หลง ความคิดอย่างแรกเป็นเหตุ ให้ทุกข์ให้ร้อน ความคิดอย่างหลังไม่เป็นเหตุให้ทุกข์ ให้ร้อน จะถือผู้ใดส่ิงใดเป็นครูได้ ก็ต้องเมื่อผู้น้ันสอน ความถูกต้องดีงามให้เท่าน้ัน ต้องไม่ถือผู้ที่สอนความ ไม่ถูกไม่ดีงามเป็นครูโดยเด็ดขาด และที่ว่าต้องไม่ถือ เป็นครูก็หมายความว่าต้องไม่ปฏิบัติตาม ที่ว่าให้ถือ เปน็ ครู กค็ ือใหป้ ฏิบตั ิตาม ทุกคนมีหน้าที่เป็นศิษย์ หน้าท่ีของศิษย์ก็คือ ปฏบิ ตั ติ ามครู อยา่ งใหค้ วามเคารพ กลา่ วไดว้ า่ ใหเ้ คารพ และปฏิบัติตามคนดี แบบอย่างที่ดี ร�ำลึกถึงคนดี และแบบอย่างที่ดีไว้เสมอ อย่างมีกตัญญูกตเวที คือ รพู้ ระคณุ ทา่ นและตอบแทนพระคณุ ทา่ น การตอบแทน ก็คือท�ำตนเองให้ได้เหมือนครู น่ันเป็นถูกต้องสมควร ทส่ี ดุ จะได้รับความสขุ สวสั ดีตลอดไป
คิดให้ “รู้จักพอ” 17 ความดีหรือบุญกุศลเปรียบเหมือนแสงไฟ ผู้ ท�ำบุญท�ำกุศลอยู่สม่�ำเสมอเพียงพอ บางคร้ังเหมือน ไม่ได้รับผลของความดี และบางครั้งก็เหมือนท�ำดีไม่ ได้ดี ท�ำดีได้ชั่วเสียด้วยซ�้ำ เช่นน้ีก็เหมือนจุดไฟ ในทา่ มกลางแสงสวา่ งยามกลางวนั ยอ่ มไมไ่ ดป้ ระโยชน์ จากแสงสว่างน้ัน แตถ่ า้ ตกคำ�่ มคี วามมดื มาบดบงั แสงสวา่ งนน้ั ยอ่ ม ปรากฏขจดั ความมดื ใหส้ นิ้ ไป สามารถแลเหน็ อะไรๆ ได้ เห็นอันตรายท่ีอาจมีอยู่ได้ จึงย่อมสามารถหลีกพ้น อนั ตรายเสยี ได้ สว่ นผไู้ มม่ แี สงสวา่ งอยกู่ บั ตน เชน่ ไมม่ ี เทยี นจุดอยู่ เมื่อถงึ ยามกลางคืนมคี วามมืดมิด ย่อมไม่ อาจขจัดความมืดได้ ไม่อาจเห็นอันตรายได้ ไม่อาจ หลกี พ้นอันตรายได้ ผทู้ ำ� ความดเี หมอื นผมู้ แี สงสวา่ งอยกู่ บั ตวั ไปถงึ ทม่ี ดื คอื ทคี่ บั ขนั ยอ่ มสามารถดำ� รงตนอยไู่ ดด้ ว้ ยดพี อ สมควรกับความดีท่ีท�ำอยู่ ตรงกันข้ามกับผู้ไม่ได้ท�ำ ความดซี ง่ึ เหมอื นกบั ผไู้ มม่ แี สงสวา่ งอยกู่ บั ตวั ขณะยงั
18 รู้จักพอ อยใู่ นทสี่ วา่ ง อยใู่ นความสวา่ ง กไ็ มไ่ ดร้ บั ความเดอื ดรอ้ น แตเ่ มอ่ื ใดตกไปอยใู่ นทม่ี ดื คอื ทคี่ บั ขนั ยอ่ มไมส่ ามารถ ด�ำรงตนอยู่ได้อย่างสวัสดี ภัยอันตรายมาถึงก็ไม่รู้ ไม่เห็น ไม่อาจหลีกพ้น คนท�ำดีไว้เสมอกับคนไม่ ทำ� ดี แตกตา่ งกันเช่นนี้ประการหนงึ่
ทำ� ดี ต้องไมม่ ีพอ การท�ำดตี อ้ งไมม่ พี อ ตอ้ งท�ำใหย้ ง่ิ ขน้ึ เสมอ เพราะ ไม่มีใครอาจประมาณได้ว่าเมื่อใดจะตกไปในที่มืดมิด ขนาดไหน ตอ้ งการแสงสวา่ งจดั เพยี งใด ถา้ ไมต่ กเขา้ ไป ในท่ีมืดมิดมากมายนัก มีแสงสว่างมากไว้ก่อน ก็ไม่ ขาดทุน ไม่เสียหาย แต่ถ้าตกเข้าไปในที่มืดมิดมากมาย แสงสว่าง น้อยก็ไม่เพียงพอจะเห็นอะไรๆ ได้ถนัดชัดเจน การมี แสงสว่างมากจะช่วยให้รอดพ้นจากการสะดุดหกล้ม ลงเหว ลงคู หรือตกเป็นเหย่ือของสัตว์ร้ายจนถึงตาย ถงึ เปน็ อานภุ าพของความดหี รอื บญุ กศุ ลนน้ั เปน็ อศั จรรย์ จริง เช่ือไว้ดีกว่าไม่เช่ือ และเม่ือเชื่อแล้วก็ให้พากัน
22 รู้จักพอ แสวงหาอานุภาพของความดีหรือของบุญกุศลให้เห็น ความอศั จรรยด์ ว้ ยตนเองเถดิ ทจ่ี รงิ นนั้ ใจบรสิ ทุ ธผิ์ อ่ งใส กิเลสเข้าจับท�ำให้สกปรกไปตามกิเลส ปล่อยให้กิเลส จับมากเพียงไร ใจก็สกปรกมากข้ึนเพียงน้ัน น�ำกิเลส ออกเสียบา้ ง ใจกจ็ ะลดความสกปรกลงบา้ ง นำ� กิเลส ออกมาก ใจก็ลดความสกปรกลงมาก น�ำกิเลสออก หมดสน้ิ เชงิ ใจกบ็ รสิ ทุ ธส์ิ นิ้ เชงิ เปน็ สภาพใจทแ่ี ทจ้ รงิ มีความผ่องใส เมื่อใจกับความสกปรกหรือกิเลสเป็นคนละอย่าง ไมใ่ ชอ่ ยา่ งเดยี วอนั เดยี วกนั ทกุ คนจงึ สามารถจะแยกใจ ของตนให้พ้นจากกิเลสได้ คือสามารถจะน�ำกิเลสออก จากใจได้ การจะท�ำใหใ้ จเปน็ สขุ ผอ่ งใสนนั้ ไมม่ ใี ครจะท�ำให้ ใครได้ เจา้ ตวั ต้องท�ำของตวั เอง วธิ ีท�ำกค็ อื เมอื่ เกดิ โลภ โกรธ หลงขน้ึ เมอื่ ใด ใหพ้ ยายามมสี ตริ ใู้ หเ้ รว็ ทส่ี ดุ และ ใชป้ ญั ญายบั ยง้ั เสยี ใหท้ นั ทว่ งที อยา่ ปลอ่ ยใหช้ า้ เพราะ จะเหมือนไฟไหม้บ้าน ยิ่งดับช้าก็ยิ่งดับยาก และเสีย หายมากโดยไมจ่ �ำเป็น
ท�ำดีต้องไม่มีพอ 23 ถา้ ไมร่ จู้ รงิ ๆ วา่ อะไรคอื ดี อะไรคอื ชวั่ กศ็ กึ ษา พระธรรมค�ำส่ังสอนของพระพุทธเจ้า แล้วเช่ือตามท่ี ทรงสอนก็จะรู้ว่าอะไรคือดี อะไรคือช่ัว ที่จริงแล้ว ทกุ คนรวู้ า่ อะไรดี อะไรชวั่ แตไ่ มพ่ ยายามรบั รคู้ วามจรงิ นนั้ วา่ เปน็ ความจรงิ ส�ำหรบั ตนเองดว้ ย มกั จะใหเ้ ปน็ ความ จรงิ ส�ำหรับผูอ้ ืน่ เท่าน้นั ดงั ท่ปี รากฏอย่เู สมอ ผู้ท่วี า่ คน นั้นไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ และตัวเองก็เป็นเช่นนั้นด้วย โดยตวั เองกห็ าไดต้ �ำหนติ วั เองเชน่ ทตี่ �ำหนผิ อู้ น่ื ไม่ ถา้ จะ ใหด้ จี รงิ ๆ ถกู ตอ้ งสมควรจรงิ ๆ แลว้ กต็ อ้ งเชอื่ พระพทุ ธเจา้ ท่านทรงสอนให้เตือนตน แก้ไขตน ก่อนจะเตือนผู้อื่น แก้ไขผู้อืน่ ท�ำความดอี ยา่ งสบายๆ อย่างมอี ุเบกขา คอื ท�ำใจเปน็ กลาง วางเฉย ไมห่ วังผลอะไรทัง้ สิน้ การต้งั ความหวงั ในผลของการท�ำดี เปน็ ธรรมดาของสามญั ชน ท่ัวไปซ่ึงก็ไม่ผิด แต่ก็จะถูกต้องกว่าหากจะไม่ตั้งความ หวงั เลย เมื่อรู้ว่าเป็นความดี ก็ท�ำเต็มความสามารถของ สตปิ ญั ญา ไมเ่ ดอื ดรอ้ นใหเ้ กนิ ความสามารถ ไมม่ งุ่ หวงั ให้ฟุ้งซ่าน ไม่ผิดหวังให้เศร้าเสียใจ การท�ำใจเช่นนี้
24 รู้จักพอ ไม่ง่าย แต่ก็เป็นส่ิงท�ำได้ ถ้าท�ำไม่ได้พระพุทธเจ้าก็จะ ไมท่ รงสง่ั สอนไว้ การท�ำดีหรือท�ำบุญกุศลท่ีจะส่งผลสูงสุด ต้อง เป็นการท�ำด้วยใจว่างจากกิเลส คือความโลภ โกรธ หลง ความผูกพนั ในผลที่จะได้รบั เป็นทั้งความโลภและ ความหลง จึงไม่อาจให้ผลสูงสุดได้ แม้จะให้ผลตาม ความจรงิ ทว่ี า่ ท�ำดจี กั ไดด้ ี แตเ่ มอื่ เปน็ ความดที ร่ี ะคนดว้ ย โลภและหลงก็ย่อมจะได้ผลไม่เท่าท่ีควร มีความโลภ ความหลงมาบน่ั ทอนผลนั้นเสยี ท�ำดีไม่ได้ดี ไม่มีอยู่ในความจริง มีอยู่ก็แต่ใน ความเข้าใจผิดของคนท้ังหลายเท่านั้น ท�ำดีแล้วต้อง ไดด้ แี นน่ อนเสมอไป ทมี่ เี หตกุ ารณต์ า่ งๆ นานา ปรากฏ ขึ้นเหมือนท�ำดีไม่ได้ดีน้ัน เป็นเพียงการปรากฏของ ความสลับซับซ้อนแห่งการให้ผลของกรรมเท่านั้น เพราะกรรมนัน้ ไม่ไดใ้ หผ้ ลทนั ตาทันใจเสมอไป แต่ถ้าเป็นเรื่องภายในใจแล้ว กรรมให้ผลทันทีท่ี ท�ำแน่นอนเพียงแต่ว่าบางทีผู้ท�ำไม่สังเกตด้วยความ
ท�ำดีต้องไม่มีพอ 25 ประณีตเพียงพอ จึงไม่รู้ไม่เห็นขอให้สังเกตใจตนให้ดี แล้วจะเห็นว่าทันทีที่ท�ำกรรมดี ผลจะปรากฏขึ้นในใจ เปน็ ผลดที ันทีทีเดียว ท�ำกรรมดีแล้วใจจักไม่ร้อน เพราะไม่ต้องวิตก กงั วลวา่ จะไดร้ บั ผลไมด่ ตี า่ งๆ ความไมต่ อ้ งหวาดวติ ก หรือกังวลไปต่างๆ น้ันน่ันแหละเป็นความเย็น เป็น ความสงบของใจ เรยี กวา่ เปน็ ผลดที เี่ กดิ จากกรรมดซี งึ่ จะเกิดขึ้นทันตาทันใจทุกคร้ังไป เป็นการท�ำดีท่ีได้ดี อย่างบริสทุ ธ์แิ ท้จริง สว่ นผลปรากฏภายนอกเป็นลาภ ยศสรรเสริญต่างๆ นั้น มีช้า มีเร็ว มีทันตา ทันใจ และไมท่ นั ตาทนั ใจ จนเปน็ เหตใุ หเ้ กดิ ความเขา้ ใจผดิ กนั มากมาย ว่าท�ำดไี ม่ได้ดีบา้ ง ท�ำช่ัวได้ดีบ้าง ท�ำดีได้ดีแน่นอนอยู่แล้ว บรรดาผู้ท�ำความดี ทั้งหลายซาบซ้ึงในสัจจะคือความจริงนี้ ดังนั้นก็ไม่น่า จะล�ำบากนกั ทจี่ ะเชอ่ื ดว้ ยวา่ ควรท�ำดโี ดยท�ำใจเปน็ กลาง วางเฉย ไมม่ ุ่งหวังอะไรๆ ท้ังน้นั การทีย่ กมอื ไหวพ้ ระ ด้วยใจที่เคารพศรัธาในพระรัตนตรัยสูงสุดเพียงเท่านี้ กไ็ ดผ้ ลดแี กจ่ ติ ใจยงิ่ กวา่ จะยกมอื ไหวพ้ รอ้ มกบั อธษิ ฐาน
26 รู้จักพอ ปรารถนาสง่ิ นนั้ สงิ่ นไ้ี ปดว้ ยมากมายหลายสง่ิ หลายอยา่ ง หรือการจะบริจาคเงินสร้างวัดวาอารามด้วยใจที่มุ่งให้ เป็นการบูชาคุณพระรัตนตรัยเพียงเท่านี้ก็ได้ผลดีแก่ จิตใจย่ิงกว่าปรารถนาวิมานช้ันฟ้าหรือบ้านช่องโอ่อ่า ทันตาเห็นในชาตินี้ หรือการจะสละเวลาก�ำลังกาย ก�ำลังทรัพย์ เพ่ือช่วยเหลืองานพระศาสนาโดยมุ่งเพื่อ ผลส�ำเร็จของงานนัน้ จริงๆ เพยี งเท่าน้กี ็ได้ผลดีแกจ่ ติ ใจ ย่ิงกว่าปรารถนาจะได้หน้าได้ตาว่าเป็นคนส�ำคัญ เป็น ก�ำลังใจให้เกดิ ความส�ำเรจ็ หรือการคดิ พดู ท�ำสง่ิ หนง่ึ สง่ิ ใดเพอ่ื สถาบนั ชาติ ศาสนา พระมหากษตั รยิ ์ ดว้ ยใจ ที่มุ่งเทิดทูนรักษาอย่างเดียวเช่นนี้ ให้ผลดีแก่จิตใจ ยิ่งกว่าหวังได้ลาภยศหน้าตาตอบแทน ทุกวัน เรามี โอกาสท�ำดีด้วยกันทุกคน ดงั นัน้ จึงขอใหพ้ ยายามตง้ั สตใิ หด้ ี ใชป้ ญั ญาใครค่ รวญ อยา่ โลภ อยา่ หลง อยา่ ทำ� ความดีอย่างมีโลภมีหลง ให้ท�ำความดีอย่างบริสุทธิ์ สะอาดจรงิ เถดิ
ท�ำดีต้องไม่มีพอ 27 วิธีตรวจใจตนเองว่าท�ำความดีด้วยใจปราศจาก เคร่ืองเศร้าหมองคือ กิเลส โลภ โกรธ หลงหรือไม่ ก็คือให้ดูว่าเม่ือท�ำความดีน้ันร้อนใจที่จะแย่งใครเขาท�ำ หรือเปลา่ กีดกันใครเขาหรอื ไม่ ฟุ้งซ่าน วุ่นวายกะเก็ง ผลเลิศในการท�ำหรือเปล่า ต้องการจะท�ำท้ังๆ ที่ไม่ สามารถจะท�ำได้ แล้วก็น้อยเน้ือต�่ำใจ หรือโกรธแค้น อาฆาต พยาบาทอุปสรรคหรือเปลา่ ถ้าเป็นค�ำตอบปฏิเสธท้ังหมดก็นับว่าดี เป็นการ ท�ำดีอย่างมีกิเลสห่างไกลจิตใจพอสมควรแล้ว และถ้า พจิ ารณาใจตนเองเหน็ ความสว่างไสว สบายใจ เยน็ ใจ ในการท�ำความดีใดๆ ก็นับว่ามีกเิ ลสหา่ งไกลใจในขณะ นน้ั อยา่ งนา่ ยนิ ดยี ง่ิ จะเปน็ เหตใุ หผ้ ลอนั จะเกดิ จากกรรม ดนี ้ันบริสทุ ธส์ิ ะอาดและสงู สง่ จรงิ ไมม่ ตี วั เราของเราแลว้ ไมม่ คี วามทกุ ข์ เพราะไม่ ถกู กระทบ ไมม่ อี ะไรใหถ้ กู กระทบ เหมอื นคนไมม่ มี อื ก็ไม่เจ็บมือ คนไม่มีขาก็ไม่เจ็บขา ดังนั้น การท�ำให้ ไมม่ ตี วั เราของเราไดจ้ งึ วเิ ศษสดุ แตก่ ย็ ากยง่ิ นกั ส�ำหรบั
28 รู้จักพอ ปถุ ชุ นคนสามญั ทง้ั หลาย ฉะนน้ั จงึ ขอใหม้ เี พยี งเราเลก็ ๆ มีเรานอ้ ยๆ กย็ ังดี ดกี ว่าจะมีเราใหญ่โตมโหฬารมขี อง เราเต็มบา้ นเตม็ เมอื ง เม่ือปุถุชนน้ันไม่สามารถท�ำตัวเราให้หายไปได้ ยงั หวงแหน หว่ งใยตวั เราอยู่ ของเราจงึ ยงั ตอ้ งมอี ยดู่ ว้ ย ของเราจะหมดไปกต็ อ่ เมอื่ ตวั เราหมดไปเสยี กอ่ น นเี้ ปน็ ธรรมดา ถ้ายังมีตัวเรา ของเราอยู่ ยังต้องกระทบ กระทง่ั อยู่ ยงั หวงแหนรกั ษาตวั ของเราไว้ กค็ วรอยา่ งยง่ิ ทจี่ ะหวงแหนรกั ษาใหถ้ กู ตอ้ ง จะไดไ้ มต่ อ้ งรบั ทกุ ขข์ อง การมตี วั เราของเรามากเกนิ ไปอยา่ งเดยี ว แตม่ โี อกาส ท่ีจะได้รับคุณประโยชน์บ้างจากการมีตัวเราของเรา นั่นก็คือจะต้องระวังรักษาปฏิบัติต่อตัวเราของเราให้ดี ใหเ้ ปน็ ตวั เรา ของเราทดี่ ี ตัวเราที่ดนี ้ัน ไม่ใช่เปน็ ตวั เราท่ีมหี นา้ ตาสวยงาม อยา่ งเดยี ว ไมใ่ ชเ่ ปน็ ตวั เราทไ่ี ดร้ บั การตกแตง่ ดว้ ยเครอ่ื ง ส�ำอางหรอื เสอื้ ผา้ แพรพรรณอนั วจิ ติ รเทา่ นนั้ ตวั เราทดี่ ี ตอ้ งเปน็ ตวั เรา ทปี่ ระพฤตปิ ฏบิ ตั ิ ถกู ตอ้ งตามทำ� นอง คลองธรรม มีจติ ใจทอ่ี บรมด้วยธรรมอนั งาม
ท�ำดีต้องไม่มีพอ 29 ปรารถนาจะมตี วั เรา กต็ อ้ งปฏบิ ตั ติ อ่ ตวั เราเชน่ นนั้ จึงจะถูกต้อง จึงจะบรรเทาโทษของการยึดม่ันในตัว เราลงไดบ้ ้าง
บนั ทึก ............................................................................................... ............................................................................................... ............................................................................................... ............................................................................................... ............................................................................................... ............................................................................................... ............................................................................................... ............................................................................................... ............................................................................................... ............................................................................................... ............................................................................................... ............................................................................................... ............................................................................................... ............................................................................................... ............................................................................................... ............................................................................................... ............................................................................................... ...............................................................................................
บนั ทึก ............................................................................................... ............................................................................................... ............................................................................................... ............................................................................................... ............................................................................................... ............................................................................................... ............................................................................................... ............................................................................................... ............................................................................................... ............................................................................................... ............................................................................................... ............................................................................................... ............................................................................................... ............................................................................................... ............................................................................................... ............................................................................................... ............................................................................................... ...............................................................................................
ด�ำเนนิ การผลติ โดย : สาละพิมพการ ๙/๖๐๙ ถ.พทุ ธมณฑลสาย ๔ ต.กระทุ่มล้ม อ.สามพราน จ.นครปฐม ๗๓๒๒๐ โทรศพั ท/์ โทรสาร : ๐๒-๔๒๙-๒๔๕๒, ๐๘-๖๕๗๑-๑๖๘๕
Search
Read the Text Version
- 1 - 36
Pages: