Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore MK005-หนังสืออุเบกขา การวางเฉยอย่างถูกวิธี

MK005-หนังสืออุเบกขา การวางเฉยอย่างถูกวิธี

Description: MK005-หนังสืออุเบกขา การวางเฉยอย่างถูกวิธี

Search

Read the Text Version

สมเด็จพระญาณสังวร 49 ศีรษะงกู ร็ วู้ ่าอยูท่ น่ี ี้ เมื่อร้วู ่างูอย่ทู ี่นี้แลว้ กเ็ ปน็ อันว่าการ คน้ หาวา่ งอู ยทู่ ไี่ หนกเ็ สรจ็ ไป เพราะวา่ งอู ยทู่ นี่ แี่ ลว้ กเ็ ปน็ อันว่าไม่ต้องค้นว่างูอยู่ท่ีไหน จึงถึงกิจที่จะต้องจับเอางู ไปปลอ่ ย โดยทไี่ มใ่ หง้ เู ปน็ อนั ตรายดว้ ย และไมใ่ หต้ นเอง เป็นอันตรายด้วย เม่ือจับไปปล่อยได้แล้วก็เสร็จกิจใน เรอื่ งการจบั งไู ปปลอ่ ย ในการคน้ หางวู า่ อยทู่ ไ่ี หนกเ็ หมอื น อยา่ งการใชป้ ญั ญาคน้ หาไตรลกั ษณใ์ นนามรปู ครน้ั พบ ว่าอยู่ท่ีไหนแล้ว ก็เหมือนอย่างว่าค้นหาไตรลักษณ์ ในนามรูปได้แล้ว สิ้นสงสัยไตรลักษณ์ในนามรูปแล้ว การจดั การจบั งไู ปปลอ่ ยกเ็ หมอื นกบั การปฏบิ ตั ปิ ลอ่ ยวาง การยึดถือในสังขารในนามรูป จับงูไปปล่อยได้แล้วก็ เหมือนอย่างอุเบกขาในสังขารคือในนามรูป ก็เสร็จกิจ ในการปล่อยวางด่งั น้ี เมอ่ื ถงึ ขน้ั นจี้ งึ จะเปน็ ทสี่ ดุ ของวปิ สั สนาหรอื ปญั ญา สกิ ขาอันจะน�ำไปสผู่ ลของวปิ ัสสนาหรอื ปัญญาสืบไป



๔ ฉฬังคุเบกขา การปฏิบัติสติปัฏฐานพิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม กำ� จดั อภชิ ฌา โทมนสั คอื ความยนิ ดคี วามยนิ รา้ ย ในกาย เวทนา จติ ธรรม กเ็ ป็นการปฏบิ ัตทิ ำ� อุเบกขา นั้นเอง เพราะอุเบกขานั้นมีลักษณะท่ีท�ำจิตใจให้ตั้งอยู่ สมำ่� เสมอ ใหม้ ธั ยัสถเ์ ปน็ กลาง ไมย่ นิ ดีไมย่ นิ รา้ ย ดงั ที่ ไดแ้ สดงแลว้ วา่ ทำ� อเุ บกขาในอารมณท์ ง้ั หลายทป่ี ระสบ ทางทวารทงั้ ๖ อเุ บกขาดง่ั นมี้ ชี อ่ื เรยี กวา่ ฉฬงั คเุ บกขา อุเบกขาประกอบด้วยองค์ ๖ คือประกอบด้วยจิตที่ สม�่ำเสมอในอารมณ์ทั้ง ๖ มีรูปารมณ์ อารมณค์ อื รปู เปน็ ตน้

52 อุเบกขา การวางเฉยอย่างถูกวิธี วิธีปฏิบัติท�ำอุเบกขาในอารมณ์ท้ัง ๖ น้ี อาศัย การพจิ ารณาทางปญั ญา ดงั เชน่ ทแ่ี สดงแลว้ วา่ พจิ ารณา วา่ อารมณท์ งั้ หกอนั เปน็ ทตี่ งั้ แหง่ ความชอบใจไมช่ อบใจ หรือทั้ง ๒ อย่างนั้น กับความชอบใจไม่ชอบใจท้ัง ๒ อยา่ งนนั้ ทบ่ี งั เกดิ ขนึ้ ในอารมณเ์ หลา่ นน้ั เปน็ ของปรงุ แตง่ คือไม่ใช่เป็นของจริง เป็นของหยาบคือไม่ใช่เป็นของ ละเอียด เป็นของที่อาศัยเหตุปัจจัยบังเกิดข้ึน คือเมื่อ บงั เกดิ ขนึ้ ดว้ ยเหตุปัจจยั สิ้นเหตุปจั จยั ก็ดับ จึงมคี วาม เกิด-ดับเป็นธรรมดา ส่วนสิ่งที่ละเอียดประณีตก็คือ อเุ บกขา อนั เปน็ ความไมป่ รงุ แตง่ และเปน็ สงิ่ ทมี่ ไิ ดอ้ าศยั เหตุปัจจัยบังเกิดข้ึนเหมือนอย่างความชอบใจไม่ชอบใจ น้นั ด่ังน้เี ปน็ วิธพี จิ ารณาอยา่ งหน่ึง อีกอย่างหน่ึง ตรัสสอนให้ใช้ปัญญาพิจารณาอัน เรียกว่า ท�ำภาวนาเสมอด้วยดิน เสมอด้วยน้�ำ เสมอ ดว้ ยไฟ เสมอดว้ ยลม เสมอดว้ ยอากาศ โดยจบั พจิ ารณา วา่ คนทงั้ หลายทง้ิ ของทส่ี ะอาดบา้ ง ไมส่ ะอาดบา้ งลงบน แผน่ ดนิ แผน่ ดนิ กย็ อ่ มไมอ่ ดึ อดั ระอารงั เกยี จรบั ไวท้ งั้ นน้ั คนท้งั หลายล้างของทสี่ ะอาดบ้าง ไมส่ ะอาดบ้าง ในนำ�้

สมเด็จพระญาณสังวร 53 นำ�้ กไ็ มอ่ ดึ อดั ระอารงั เกยี จ ลา้ งไดท้ กุ อยา่ ง ไฟเลา่ กไ็ หม้ ของท่ีสะอาดบ้างไม่สะอาดบ้างได้ทุกอย่างโดยไม่อึดอัด ระอารังเกียจ ลมก็เช่นกันพดั สงิ่ ที่สะอาดบา้ งไม่สะอาด บ้างได้ทุกอย่างโดยไม่อึดอัดระอารังเกียจ อากาศคือ ช่องว่างนั้นก็เช่นเดียวกันไม่ตั้งอยู่เฉพาะในที่ไหนๆ เมอ่ื ท�ำภาวนาเสมอดว้ ยดนิ นำ้� ไฟ ลม อากาศ ความ พอใจไมพ่ อใจ ชอบใจไมช่ อบใจหรอื ทงั้ ๒ อยา่ งทบี่ งั เกดิ ขึ้นก็ไมค่ รอบง�ำจติ จิตย่อมตั้งอยู่ในอเุ บกขา คอื ความ ทเ่ี ขา้ ไปเพง่ อยอู่ ยา่ งสงบ ไมข่ น้ึ ไมล่ ง มอี าการสมำ�่ เสมอ ไม่ยินดี ไมย่ ินรา้ ยในอารมณท์ ั้งปวง การพจิ ารณาดัง่ น้ี เรียกว่าท�ำภาวนาเสมอด้วยดิน น�้ำ ไฟ ลม อากาศ กเ็ ป็นวิธีฝึกหดั ท�ำจติ ใหเ้ ปน็ อเุ บกขาอีกอย่างหน่ึง ธาตอุ ุเบกขา อันดนิ น�้ำ ไฟ ลม อากาศ ท่รี ับสง่ิ ท่ีสะอาดบา้ ง ไม่สะอาดบ้างได้ทุกอย่างดังกล่าวน้ัน ก็เพราะมีความ เป็นธาตุ คือความเป็นส่ิงที่ทรงอยู่ด�ำรงอยู่ของตน

54 อุเบกขา การวางเฉยอย่างถูกวิธี ดินก็ทรงความเป็นธาตุ คือความที่แข้นแข็ง น้�ำก็ทรง ความเป็นธาตุ คือความท่ีเอิบอาบเหลวไหล ไฟก็ทรง ความเป็นธาตุไฟคือความร้อนเผาไหม้ ลมก็ทรงความ เปน็ ธาตลุ มคอื พดั ไหว อากาศกท็ รงความเปน็ ธาตอุ ากาศ คือเป็นช่องว่าง เมื่อเป็นด่ังนี้จึงสามารถรองรับได้ทุก อย่าง ดังที่ใช้ค�ำว่า “โดยไม่อึดอัด ระอา รังเกียจ...” ฉะนั้นการที่จิตรับอารมณ์ได้อย่างน้ัน จิตก็จะต้องทรง ความเป็นธาตุ คืออุเบกขาธาตุ ธาตุอุเบกขา โดยท ่ี ฝกึ หดั ปฏบิ ตั ใิ หจ้ ติ มคี วามทนทานตอ่ อารมณท์ งั้ ปวงทม่ี า ประสม ญาณอเุ บกขา การฝกึ หดั ปฏบิ ตั จิ ติ ใหม้ คี วามทนทานตอ่ อารมณ์ ท่ีได้รับอยู่เสมอ จะช่วยท�ำให้จิตเพิ่มพลังเพิ่มความ สามารถในการรองรบั อารมณท์ ง้ั หลายไดม้ ากยง่ิ ขนึ้ โดย ลำ� ดบั การรบั อารมณโ์ ดยใชป้ ญั ญาพจิ ารณาดงั น้ี เรยี ก ว่าเป็น ญาณอุเบกขา คือเป็นอุเบกขาด้วยความรู้

สมเด็จพระญาณสังวร 55 ความรู้อารมณ์น้ันๆ ด้วย และความรู้ที่เป็นตัวปัญญา พิจารณาด้วย ตรงตามศัพทข์ องอุเบกขาท่แี ปลว่าความ เข้าไปเพง่ ความเขา้ ไปดู ค�ำว่า เขา้ ไป นน้ั ก็หมายถึงวา่ เข้าไปดูอย่ใู นจติ เข้าไปเพ่งอยู่ในจิต ไม่ออกมาข้างนอก เม่ือไม่ออกมา ขา้ งนอกจงึ มอี าการทปี่ ลอ่ ย ไมถ่ อื เอาไว้ มอี าการทห่ี ยดุ คือไม่วุ่นวายจัดท�ำอย่างน้ันอย่างน้ี ค�ำว่าเข้าไปย่อมมี ความหมายดงั น้ี คอื ไม่ออกมา แตก่ ารเข้าไปนั้นก็ไม่ใช่ เขา้ ไปนอนหลบั อยู่ ปดิ หปู ดิ ตา ไมด่ ไู มฟ่ งั เหมอื นอยา่ ง คนตาบอดหูหนวก แต่ว่าเพ่งพินิจและดู การดูการ เพง่ พนิ จิ แมเ้ ขา้ ไปดเู ขา้ ไปเพง่ พนิ จิ อยเู่ พยี งในจติ ไมอ่ อก ดงั กลา่ วนนั้ แตถ่ า้ ยงั มคี วามชอบมคี วามชงั มคี วามพอใจ ไม่พอใจ มีความยินดียินร้าย ก็แสดงว่ายังออกมา เกาะเกี่ยวอยู่กับอารมณ์ทั้งหลายในภายนอกเหล่าน้ัน จงึ ไมช่ อื่ วา่ วาง เพราะยงั มคี วามเกาะเกย่ี วอยู่ และยงั ไม่ ชอ่ื วา่ หยดุ เพราะวา่ จติ ยงั กระสบั กระสา่ ยวนุ่ วายอยดู่ ว้ ย ความชอบความชัง ความยินดีความยินร้าย ฉะน้ัน

56 อุเบกขา การวางเฉยอย่างถูกวิธี จงึ ยงั ไมช่ อ่ื วา่ เปน็ อเุ บกขาอกี เหมอื นกนั คอื แมว้ า่ อาการ ทางกายทางวาจาไมแ่ สดงออกให้ปรากฏ แตย่ งั มีความ ชอบใจไม่ชอบใจยินดียินร้ายอยู่ในจิต ก็ยังไม่ปล่อย ยงั ไมห่ ยดุ ยงั ไมว่ าง ยงั ไมเ่ ฉย เพราะอาการทปี่ ลอ่ ยนนั้ กค็ อื วางนน่ั เอง หยดุ นนั้ กค็ อื เฉยนน่ั เอง เมอื่ ยงั มยี นิ ดี ยนิ รา้ ยอยู่ กย็ งั ไมป่ ลอ่ ยยงั ไมว่ าง ยงั ไมห่ ยดุ ยงั ไมเ่ ฉย ยังเกี่ยวพันอยู่ ก็แปลว่า ยังไม่ใช่อาการท่ีเข้าไปเพ่งดู เข้าไปดูพินิจอย่างสงบ ต่อเมื่อปล่อยได้วางได้เฉยได ้ คือว่าตัดความยินดีความยินร้ายได้ เป็นการตัดความ เกาะเกยี่ วของจติ ตอ่ อารมณท์ งั้ หลายเหลา่ นนั้ ตดั กระแส จติ ที่ออกไปเกาะเกี่ยวนั้นได้ ก็เป็นอนั นำ� จติ กลบั เข้ามา ตัง้ อย่ใู นฐานะเป็นผู้ดู เปน็ ผรู้ ู้ เป็นผู้เหน็ เท่านัน้ ดั่งนี้ จึงจะเป็นการเข้าไปดู เข้าไปเพ่งจริงๆ เพราะแม้ว่า จะสงบทางกาย ทางวาจา เมื่อกระแสจิตยังออกไป เกาะเก่ียวพัวพัน ก็ได้ชื่อว่ายังไม่เข้าไปคือยังออกมา ต่อเมื่อตัดกระแสจิตท่ีออกมาเก่ียวเกาะพัวพัน ด้วย ความชอบความชัง จงึ จะช่อื ว่าเพง่ ดอู ยู่จรงิ ๆ

สมเด็จพระญาณสังวร 57 อาการทเี่ ขา้ ไปเพง่ เขา้ ไปดู โดยแทจ้ รงิ ทม่ี ลี กั ษณะ ดังกล่าวน้ี จึงมีลักษณะอาการของอุเบกขาท่ีบริสุทธิ์ ซ่ึงจะต้องมีตัวความรู้ รู้ในอารมณ์น้ันๆ ด้วย ที่เป็น การร้ทู างตา ทางหู เปน็ ต้น และรทู้ เี่ ปน็ ตวั ปญั ญาดว้ ย อนั เกดิ จาการภาวนา วธิ ภี าวนาเสมอดว้ ยธาตดุ นิ เปน็ ตน้ ดังกล่าว หรือวิธีที่ตรัสสอนพิจารณาว่า ความยินดี ความยินร้ายเป็นส่ิงปรุงแต่งเป็นต้น หรือแม้วิธีอื่นใด ที่ผู้ปฏิบัติจะพึงใช้ด้วยตนเองอันเป็นโยนิโสมนสิการ การพิจารณาท�ำไว้ในใจโดยแยบคาย แม้การปฏิบัติใน สติปัฏฐาน ต้ังสติพิจารณากายเป็นต้น ทุกปัพพะคือ ทกุ ขอ้ ยอ่ มเปน็ ไปเพอ่ื ใหเ้ กดิ อเุ บกขาอนั บรสิ ทุ ธเิ์ หมอื น ดงั ทกี่ ลา่ วมาแล้ว



๕ ไดแ้ สดงฉฬังคเุ บกขาหรือผัสสะอุเบกขา คอื การ ปฏบิ ตั ทิ ำ� จติ ใหส้ มำ่� เสมอ ไมข่ น้ึ ลงดว้ ยความยนิ ดยี นิ รา้ ย ในอารมณ์ทั้ง ๖ ท่ีผ่านเข้ามาสู่จิตทางทวารท้ัง ๖ และได้แสดงการปฏิบัติอบรมจิตให้เสมอด้วยดิน น�้ำ ไฟ ลม อากาศ ด้วยการพิจารณาว่าดิน น�้ำ ไฟ ลม อากาศ ปราศจากความยินดียินร้ายในเมื่อมีใครๆ เขาทงิ้ ของสะอาดบา้ ง ไมส่ ะอาดบา้ งลงแผน่ ดนิ เปน็ ตน้ จนถึงอากาศก็ไม่ข้องติดอยู่ในท่ีไหนๆ พิจารณาท�ำจิต ให้เป็นเหมือนอย่างน้ันในขณะท่ีประสบผัสสะทั้งหลาย ท่ีชอบใจบ้าง ไม่ชอบใจบ้าง วิธีปฏิบัติอบรมจิตน้ันก็ อาศยั ปญั ญาทพ่ี จิ ารณา เปน็ โยนโิ สมนสกิ าร ทำ� ไวใ้ นใจ

60 อุเบกขา การวางเฉยอย่างถูกวิธี โดยแยบคาย และวธิ พี จิ ารณาปฏบิ ตั นิ ยี้ งั ไดม้ พี ทุ ธภาษติ ตรัสสั่งสอนไว้อีกหลายประการ โดยที่พระพุทธเจ้าได้ ทรงเปน็ พระผมู้ พี ระภาค คอื เปน็ ผจู้ ำ� แนกแจกธรรมสงั่ สอน ประชุมชน ทรงบอก ทรงเปิดเผย ช้ีแจง และแสดง กระทำ� ใหต้ นื้ เพอ่ื ใหท้ กุ คนไดท้ ราบทางปฏบิ ตั เิ พอื่ ปฏบิ ตั ิ ให้ประสบผลโดยปริยายอีกประการหนึ่ง ได้ตรัสสอน ใหพ้ จิ ารณาใหร้ จู้ กั อายตนะภายใน ๖ อายตนะภายนอก ๖ วญิ ญาณ ๖ สัมผสั ๖ และมโนปวจิ าร ๑๘ แมว้ ่า ฟังดูจะมีหัวข้อมาก แต่ก็เป็นเรื่องที่มีอยู่ในนาม รูป หรือกายใจนข้ี องทกุ ๆ คนทง้ั นัน้ อายตนะ ๖ อายตนะภายใน ๖ ก็คือ ตา หู จมกู ลน้ิ กาย และมโนหรือมนะ ท่ีแปลว่าใจ อายตนะภายนอก ๖ ก็คอื รปู เสยี ง กล่นิ รส โผฏฐัพพะ ส่งิ ทีก่ ายถกู ต้อง และธรรมคอื เร่อื งราว

สมเด็จพระญาณสังวร 61 วญิ ญาณ ๖ วญิ ญาณ ๖ กค็ อื จกั ขวุ ญิ ญาณ ความรสู้ กึ เหน็ รปู ทางตา โสตวิญญาณ ความรู้สึกได้ยินเสียงทางหู ฆานวิญญาณ ความรู้สึกทราบกล่ินทางจมูก ชิวหา วิญญาณ ความรู้สึกทราบรสทางลิ้น กายวิญญาณ ความรสู้ กึ ทราบโผฏฐพั พะ คอื สงิ่ ทก่ี ายถกู ตอ้ งทางกาย มโนวญิ ญาณ ความรสู้ กึ รู้เรอ่ื งทางมโนคือใจ สมั ผสั ๖ สมั ผสั ๖ กค็ อื ตากบั รปู และจกั ขวุ ญิ ญาณประจวบ กันเข้าเป็นจักขุสัมผัส สัมผัสทางตา หูกับเสียงและ โสตวิญญาณประจวบกันเข้าก็เป็นโสตสัมผัส สัมผัส ทางหู จมกู กบั กลนิ่ และฆานวญิ ญาณประจวบกนั เขา้ เปน็ ฆานสมั ผสั สมั ผสั ทางจมกู ลนิ้ กบั รสและชวิ หาวญิ ญาณ ประจวบกนั เขา้ เปน็ ชวิ หาสัมผัส สมั ผสั ทางล้นิ กายกบั โผฏฐพั พะและกายวญิ ญาณประจวบกนั เขา้ เปน็ กายสมั ผสั

62 อุเบกขา การวางเฉยอย่างถูกวิธี มโน ใจกบั ธรรมคอื เรอื่ งราวและมโนวญิ ญาณสมั ผสั กนั เข้าเป็นมโนสัมผัส กล่าวง่ายๆ ก็คือ สัมผัสกับจิต แรงขนึ้ กระทบกบั จติ แรงขนึ้ อะไรกระทบ ก็อารมณ์ น่ันแหละ กระทบกับจิตแรงขึ้นก็ให้เกิดเวทนา คือ ความรสู้ กึ เปน็ สขุ หรอื เปน็ ทกุ ขห์ รอื เปน็ กลางๆ อาการท่ี อารมณ์มากระทบจิตอันให้เกิดความรู้สึกเป็นสุขหรือ เป็นทุกข์หรือเป็นกลางๆ ทางจิตนี้เรียกว่าสัมผัส และ ความสุขทางจิตเรียกว่า โสมนัสคือสุขใจ ความทุกข ์ ทางจติ เรียกวา่ โทมนสั คอื ทกุ ข์ใจ มโนปวจิ าร ทท่ี อ่ งเท่ยี วไปของใจ ๑๘ อนั โสมนสั สขุ ใจ โทมนสั ทกุ ข์ใจ กับอุเบกขา คือความรู้สึกเป็นกลางๆ ไม่ทุกข์ไม่สุขอีกอย่างหนึ่ง ยอ่ มบงั เกดิ ขนึ้ จากอารมณท์ เ่ี ขา้ มาทางอายตนะดงั กลา่ ว น่ันแหละ อารมณ์บางอย่างเป็นท่ีตั้งของโสมนัสคือ สุขใจ อารมณ์บางอย่างเป็นท่ีต้ังของโทมนัสคือทุกข์ใจ อารมณ์บางอย่างเป็นที่ต้ังของอุเบกขา คือความรู้สึก

สมเด็จพระญาณสังวร 63 เปน็ กลางๆ ไมท่ ุกข์ไมส่ ุข ฉะน้นั บุคคลหรอื วา่ จิตนจ้ี งึ ทอ่ งเทยี่ วไป คอื ตรกึ ตรองไปในอารมณเ์ หลา่ น้ี ทอ่ งเทย่ี ว คือตรึกตรองไปในอารมณ์ คือรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐพั พะ และเรอ่ื งราวทั้งหลายอันเปน็ ทตี่ งั้ ของความ สขุ ใจ ก็นบั ได้ ๖ ท่องเท่ียวคือตรึกตรองไปในอารมณ์ คอื รปู เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และเรื่องราวอนั เป็นท่ีตั้งแห่งความทุกข์ใจก็นับได้อีก ๖ ท่องเที่ยวคือ ตรกึ ตรองไปในอารมณค์ อื รปู เสยี ง กลน่ิ รส โผฏฐพั พะ และเร่ืองราวอันเป็นท่ีต้ังของอุเบกขาก็นับได้ ๖ ๖x๓ กเ็ ปน็ ๑๘ จึงเปน็ มโนปวจิ าร ๑๘ มโนปวิจาร ก็แปล ว่า ที่ท่องเท่ียวไปของใจ ก็คือที่ตรึกตรองไปของใจ ใจคิดนึกตรึกตรองไปในเร่ืองน้ันบ้าง ในเรื่องน้ีบ้าง แตก่ ็อาจประมวลเขา้ ไดว้ า่ ย่อมท่องเท่ยี วคอื ตรึกตรอง ไปในอารมณท์ ง้ั ๑๘ นี้ ไมอ่ อกไปจากนี้ คือในอารมณ์ ท่ีเป็นเร่ืองรูป เรื่องเสียง เรื่องกลิ่น เร่ืองโผฏฐัพพะ และเร่อื งของเรอ่ื งเหล่าน้ีทงั้ หลาย เป็นทต่ี ้ังของโสมนัส คือสขุ ใจบา้ ง เป็นทต่ี ัง้ ของโทมนสั คือทกุ ข์ใจบ้าง เป็นท่ี ต้ังของอุเบกขาคือเป็นกลางๆ ไมท่ กุ ขไ์ มส่ ขุ บา้ ง

64 อุเบกขา การวางเฉยอย่างถูกวิธี เคหสติ ะและเนกขมั มสติ ะ พระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนให้แบ่งอารมณ์ทั้ง ๑๘ น้ีออกไปเป็น ๒ ฝ่าย คือฝ่ายท่ีอาศัยเรือนเรียกว่า เคหสิตะฝ่ายหน่ึง ฝ่ายที่อาศัยเนกขัมมะ เรียกว่า เนกขัมมสิตะอีกฝ่ายหนึ่ง เคหสิตะ ฝ่ายท่ีอาศัยเรือน นั้นก็หมายถึงอารมณ์ท้ัง ๖ เหล่าน้ัน ทั้งที่เป็นท่ีต้ัง ของสุขใจ ทั้งที่เป็นที่ตั้งของทุกข์ใจ ท้ังที่เป็นตั้งของ อุเบกขา อันเก่ียวข้องอยู่กับบ้านเรือนท้ังหลาย ก็คือ เกยี่ วขอ้ งอยกู่ บั โลก เกยี่ วขอ้ งอยกู่ บั กามคณุ เพราะบา้ น เรือนน้ันย่อมเป็นที่ตั้งของโลก เป็นที่ตั้งของกามคุณ ทั้งหลาย เม่ือพูดว่าอาศัยเรือน คืออาศัยบ้านเรือน ก็หมายถึงเร่ืองทางบ้าน เรื่องทางโลก เรื่องเก่ียวกับ กามคุณท้ังหลาย ซ่ึงเป็นของโลก เป็นของบ้าน เป็น ของเรอื น นเี้ รยี กวา่ เคหสติ ะ สว่ นทอี่ าศยั เนกขมั มะนนั้ เนกขมั มะแปลวา่ การออก โดยตรงกค็ อื การออกจากเรอื น การออกจากบ้าน จึงหมายถึงออกจากโลก ออกจาก กามคุณ น้ีเรียกว่าเนกขัมมสิตะ อาศัยเนกขัมมะ เคหสติ ะ อาศยั เรอื นนน้ั จงึ มคี วามหมายถงึ ความเกยี่ วเกาะ

สมเด็จพระญาณสังวร 65 พัวพันด้วยอ�ำนาจของกิเลส เป็นต้นว่ากิเลสกองราคะ บ้าง โทสะบา้ ง โมหะบา้ ง ส่วนเนกขัมมสิตะนนั้ หมาย ตรงกนั ขา้ ม กเ็ ปน็ การทอี่ อกจากเครอื่ งเกยี่ วเกาะพวั พนั ทั้งหลาย คือออกจากกิเลสท่ีเป็นกองราคะบ้าง โทสะ บา้ ง โมหะบา้ งนน่ั เอง ฉะนน้ั จงึ ไดต้ รสั จำ� แนกแบง่ ออก ไปส�ำหรับเป็นทางปฏิบัติ เป็นโสมนัสคือสุขใจที่อาศัย เรือน โสมนัสคือสุขใจท่ีอาศัยเนกขัมมะ โทมนัสคือ ทกุ ขใ์ จทอี่ าศยั เรอื น โทมนสั คอื ทกุ ขใ์ จทอี่ าศยั เนกขมั มะ อุเบกขาคือท่ีเป็นกลางๆ ไม่ทุกข์ไม่สุขท่ีอาศัยเรือน อุเบกขาท่ีอาศัยเนกขัมมะ ฝ่ายละ ๖ ตามอารมณ ์ ท้งั ๖ นั้น เคหสติ โสมนัส โสมนัส คือสุขใจท่ีอาศัยเรือนนั้นอย่างไร ก็คือ เมอ่ื ไดพ้ บเห็น รูป เสียง กล่นิ รส โผฏฐัพพะ และ เร่ืองราวทั้งหลายที่น่าปรารถนา น่ารักใคร่ น่าพอใจ น่ารื่นรมย์ใจ หรือว่าระลึกถึงรูป เสียงเป็นต้นที่น่า ปรารถนา น่ารักใคร่ ซง่ึ เคยได้มาแลว้ แมว้ า่ จะไดด้ บั

66 อุเบกขา การวางเฉยอย่างถูกวิธี ผา่ นพน้ ไปแลว้ กต็ าม ก็เกิดโสมนัสคอื สขุ ใจขนึ้ มา ดงั นี้ เรยี กว่า เคหสติ โสมนัส สขุ ใจที่อาศัยเรอื นอาศัยบ้าน เคหสิตโทมนัส คราวนี้ เมอ่ื พบเหน็ รปู เสยี ง กลนิ่ รส โผฏฐพั พะ และเร่ือราวท่ีไม่ได้ คือเม่ือพบเห็นการไม่ได้ ประสบ การไมไ่ ด้ รปู เสยี ง กลนิ่ รส โผฏฐพั พะ และเรอ่ื งราว ท่ีน่าปรารถนา น่ารักใคร่พอใจ ร่ืนรมย์ใจ หรือว่า ระลกึ ถงึ รปู เสยี ง เปน็ ตน้ ทน่ี า่ ปรารถนารกั ใครเ่ หลา่ นน้ั ซง่ึ เคยไมไ่ ดม้ าแลว้ กเ็ กดิ โทมนสั ขน้ึ ดงั่ นกี้ เ็ ปน็ เคหสติ - โทมนัส เคหสิตอเุ บกขา คราวน้ี อเุ บกขาคอื ความรสู้ กึ เปน็ กลางๆ ไมท่ กุ ข์ ไมส่ ขุ ของคนทวั่ ไป ซง่ึ ไดป้ ระสบอารมณเ์ หลา่ นน้ั อนั ไม่ พอจะให้สุขใจ ไมพ่ อจะใหท้ ุกข์ใจ ก็เกดิ ความรูส้ กึ เปน็ กลางๆ ขน้ึ มา เปน็ เรอื่ งปรกตสิ ามญั ของคนทวั่ ไป โดยท่ี

สมเด็จพระญาณสังวร 67 มไิ ดพ้ จิ ารณาใหเ้ หน็ คณุ โทษตา่ งๆ อารมณด์ งั กลา่ วมาน้ี ก็มีเป็นอันมากเหมือนกัน และทุกคนท่ีเป็นคนสามัญ เมอ่ื ประสบพบพานแลว้ กเ็ ฉยๆ เฉยๆ เพราะไมพ่ อทจ่ี ะ ใหย้ นิ ดีสขุ ใจ ไม่พอท่ีจะยินรา้ ยทุกข์ใจ ไม่ไดใ้ ชป้ ัญญา พิจารณาอะไร เป็นอุเบกขาขึ้นมาเป็นปรกติสามัญ ก็เรียกว่า เคหสิตอุเบกขา อุเบกขาที่อาศัยเรือนอาศัย บ้านอกี เหมือนกนั เนกขมั มสติ โสมนัส ในสว่ นเนกขัมมสิตะอาศยั เนกขัมมะนั้น ก็ไดแ้ ก่ เมอ่ื ประสบอารมณท์ ง้ั หลายกไ็ ดท้ ราบถงึ ความทอ่ี ารมณ์ เหล่าน้ันเป็นของไม่เที่ยง ทราบถึงความแปรปรวน ความเสอ่ื มถอย ความดบั ของอารมณเ์ หลา่ นน้ั ไดพ้ จิ ารณา เหน็ ด้วยปญั ญาโดยชอบว่า รปู ทง้ั หลาย เสยี งทั้งหลาย กลน่ิ ทง้ั หลาย รสท้งั หลาย โผฏฐพั พะ ส่ิงทีเ่ คยถูกตอ้ ง ทั้งหลาย เร่ืองท้ังหลาย เป็นส่ิงไม่เท่ียง เป็นทุกข ์ ทนอยไู่ มไ่ ด้ ตอ้ งแปรปรวนเปลีย่ นไป จึงได้เกดิ โสมนัส ความสขุ ใจข้ึนมา ด่งั น้เี รยี กวา่ เนกขมั มสติ โสมนัส

68 อุเบกขา การวางเฉยอย่างถูกวิธี เนกขมั มสติ โทมนสั คราวน้ี เมอื่ ประสบอารมณท์ ง้ั หลายกไ็ ดท้ ราบถงึ ความทอี่ ารมณเ์ หลา่ นน้ั ไมเ่ ทยี่ ง ทราบถงึ ความแปรปรวน เปล่ียนแปลง ความเสื่อมคลาย ความดับของอารมณ์ เหล่านั้น ได้พิจารณาเห็นด้วยปัญญาโดยชอบว่า รูป ท้ังหลาย เสียงท้ังหลาย กล่ินทั้งหลาย รสทั้งหลาย โผฏฐัพพะท้ังหลาย เร่ืองราวทั้งหลาย เป็นส่ิงไม่เท่ียง เป็นทุกข์ ต้องแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไป จึงได้บังเกิด ความกระหยิม่ ปรารถนาจะไดว้ โิ มกขค์ ือความหลุดพน้ อันยอดเยี่ยมอยู่บ้างเหมือนอย่างพระอริยะทั้งหลาย ซง่ึ ทา่ นไดเ้ ขา้ ถงึ วโิ มกขค์ อื ความหลดุ พน้ นนั้ อยู่ เมอ่ื เกดิ ความปรารถนาขึ้นมาด่ังน้ี แต่ก็ยังไม่ได้ ก็เกิดความ โทมนัสหรือทุกข์ใจ เสียใจ ขึ้นมาเพราะเหตุแห่ง ความปรารถนาจะได้วโิ มกข์นั้นเปน็ ปจั จัย ดังนี้เรยี กว่า เนกขัมมสติ โทมนสั โทมนัสที่อาศยั เนกขมั มะ

สมเด็จพระญาณสังวร 69 เนกขมั มสติ อเุ บกขา คราวน้ีเมื่อประสบอารมณ์ทั้งหลายก็ทราบและ ไดพ้ ิจารณาเห็นด้วยปัญญาอันชอบดังทีก่ ล่าวมา แลว้ ก็ บังเกิดอุเบกขาคือความท่ีไม่รู้สึกเป็นสุขหรือเป็นทุกข ์ เป็นกลางๆ วางใจลงไปได้ แต่แม้เช่นนั้นก็ไม่ล่วงพ้น อารมณ์เหล่าน้ัน เพราะว่าเป็นอุเบกขาเพียงในขั้นที่ เปน็ เวทนา ดง่ั น้เี รยี กวา่ เนกขัมมสติ อุเบกขา อเุ บกขา ทีอ่ าศัยเนกขมั มะ พระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนให้พิจารณาจ�ำแนกกาย ใจน้ีท่เี ป็นไปอย่ขู องตนเอง จบั ดูใหร้ จู้ ักอายตนะภายใน อายตนะภายนอก วญิ ญาณ สมั ผสั มโนปวจิ าร ทที่ อ่ งเทย่ี ว ไปของใจ ๑๘ และพิจารณาให้รู้จักโสมนัสคือสุขใจ โทมนัสคือทุกข์ใจ กับอุเบกขาท่ีรู้สึกว่าเป็นกลางๆ ไม่ ทกุ ขไ์ มส่ ขุ อนั เปน็ ฝา่ ยทอี่ าศยั บา้ น อาศยั เรอื น เรยี กวา่ เคหสติ ะบา้ ง ทอ่ี าศยั เนกขมั มะคอื การออกบา้ ง และเมอ่ื พบวา่ เปน็ ฝา่ ยทอ่ี าศยั บา้ นอาศยั เรอื น กใ็ หป้ ฏบิ ตั พิ จิ ารณา แก้ไขให้กลับมาอาศัยเนกขัมมะเป็นข้อๆ ไป เม่ือเป็น

70 อุเบกขา การวางเฉยอย่างถูกวิธี ดง่ั น้ี กจ็ ะเปน็ ขอ้ ปฏบิ ตั ทิ อี่ าศยั กายใจของตนอนั จำ� แนก มาดังกล่าวนี้แหละปฏิบัติน�ำตนออกจากเครื่องพัวพัน เกี่ยวเกาะ หรอื ออกจากกเิ ลสกองราคะบ้าง กเิ ลสกอง โทสะบา้ ง กิเลสกองโมหะบ้าง กอ็ าศยั สขุ ใจบ้าง ทกุ ข์ ใจบ้าง อุเบกขาบ้าง นี่แหละเป็นแนวปฏิบัติน�ำเข้าสู่ เนกขมั มะคือการออก ได้แสดงวิธีปฏิบัติแยกแยะกระบวนการทางจิต ตามที่พระพุทธเจ้าได้ทรงส่ังสอนโดยก�ำหนดอายตนะ ภายใน ๖ อายตนะภายนอก ๖ วญิ ญาณ ๖ สมั ผสั ๖ มโนปวิจาร ทเี่ ท่ยี วไปของใจ ๑๘ โดยกำ� หนดว่าจิตใจ น้ีย่อมเที่ยวไป คือตรึกตรองไปในอารมณ์รวมเข้าก็ อารมณ์ ๖ คอื ในเรอ่ื งรปู เรอ่ื งเสยี ง เรอ่ื งกลนิ่ เรอื่ งรส เรอ่ื งโผฏฐพั พะ และเรอื่ งของเรอื่ งเหลา่ นน้ั อนั เปน็ ทตี่ ง้ั แห่งโสมนัสคือสุขใจก็เป็น ๖ เป็นที่ตั้งแห่งโทมนัสคือ ทุกข์ใจก็เป็น ๖ เป็นท่ีตั้งของอุเบกขาความรู้สึกเป็น กลางๆ ไมท่ ุกขไ์ มส่ ขุ กเ็ ป็น ๖ รวมเปน็ ๑๘ ประการ จิตใจน้ีย่อมท่องเท่ียวไปคือตรึกตรองไปในอารมณ์ทั้ง ๑๘ นอ้ี ยา่ งใดอย่างหน่ึงในคราวหน่ึงๆ และกต็ รัสสอน

สมเด็จพระญาณสังวร 71 ให้ก�ำหนดจ�ำแนกออกไปอีกว่าบรรดาอารมณ์เหล่าน ี้ อาศยั เรอื นอนั เรยี กวา่ เคหสติ ะฝา่ ยหนง่ึ อาศยั เนกขมั มะ การออกจากเรือนอกี ฝ่ายหน่งึ ในตอนน้ี ก็พงึ เขา้ ใจว่า ค�ำว่า อาศัยเรือน หมายถึง อาศัยรูป เสียง กล่ิน รส โผฏฐพั พะและเรอื่ งของเรอ่ื งเหลา่ นนั้ ทน่ี า่ ปรารถนา นา่ รกั ใครพ่ อใจรน่ื รมยใ์ จ คอื ทอี่ าศยั กเิ ลสกองราคะบา้ ง โทสะบา้ ง โมหะบา้ ง นนั่ เอง และกห็ มายถงึ เรอื นในจติ ใจ เป็นประการส�ำคัญ คืออารมณ์อันเป็นที่ตั้งแห่งกิเลส เหลา่ นน้ั ในจติ ใจเปน็ ประการสำ� คญั ในสว่ นของรา่ งกาย จะอยู่ในบ้านหรืออยู่ในวัด จะเป็นคฤหัสถ์หรือเป็น บรรพชิตก็ตาม เม่ือจิตใจยังท่องเที่ยวอยู่ในเรือนคือ ในอารมณ์ท่ีน่ารักใคร่พอใจปรารถนาทั้งหลายเหล่าน้ัน กเ็ รยี กวา่ เคหสติ ะ อาศยั เรอื น สว่ นทอี่ าศยั เนกขมั มะนนั้ กต็ รงกนั ขา้ ม จะอยใู่ นบา้ นหรอื อยใู่ นวดั จะเปน็ บรรพชติ หรือคฤหัสถ์ เม่ือมีจิตใจน้อมเข้ามาสู่กรรมฐานจะเป็น สมถกรรมฐานกต็ าม วปิ สั สนากรรมฐานกต็ าม อนั เปน็ ทสี่ งบระงบั กามและกเิ ลสทงั้ หลาย อกศุ ลกรรมทง้ั หลาย กช็ อื่ วา่ อาศยั เนกขมั มะได้ และกเ็ รยี กวา่ อาศยั เนกขมั มะ ในทน่ี ้ี ฉะนน้ั จะเปน็ ฝา่ ยอาศยั เรอื นอาศยั เนกขมั มะขนึ้

72 อุเบกขา การวางเฉยอย่างถูกวิธี อยทู่ ี่จติ ไม่ใชอ่ ย่ทู ่กี ายดงั กลา่ ว และเมอื่ ได้ตรัสจำ� แนก ใหพ้ จิ ารณาดง่ั น้ี ไดท้ รงเรยี งลำ� ดบั เอาไวค้ อื เปน็ เคหสติ - โสมนสั สขุ ใจทอี่ าศยั เรอื น เนกขมั มสติ โสมนสั สขุ ใจที่ อาศยั เนกขมั มะคหู่ นง่ึ เคหสติ โทมนสั ทกุ ขใ์ จทอี่ าศยั เรอื น เนกขัมมสิตโทมนัส ทุกข์ใจที่อาศัยเนกขัมมะคู่หนึ่ง เคหสติ อเุ บกขา อเุ บกขาทอ่ี าศยั เรอื น เนกขมั มสติ อเุ บกขา อุเบกขาท่อี าศัยเนกขัมมะคูห่ น่ึง ด่ังนีก้ ็เปน็ ๓ คู่ และ จติ ใจของบคุ คลทุกคนกย็ ่อมทอ่ งเทย่ี วไป คือตรกึ ตรอง ไปในอารมณ์ รวมเข้าเปน็ อารมณ์ ๖ ดังกล่าว อนั เปน็ ท่ตี ั้งของโสมนัส โทมนสั อเุ บกขาอนั เป็นฝ่ายเคหสติ ะ อาศยั เรอื นบา้ ง เนกขมั มสติ ะ อาศัยเนกขมั มะบา้ ง อยู่ ดง่ั นี้ ไม่นอกไปจากนี้ คราวนี้ เมื่อทรงแสดงจำ� แนกที่เทยี่ วไปของจติ ใจ ไว้ท้ังหมดดั่งน้ีแล้ว ก็ตรัสสอนวิธีที่จะปฏิบัติอบรมจิต โดยอาศัยท่ีเท่ียวไปของจิตใจเหล่านี้เป็นเคร่ืองระงับ ดบั เองไปโดยลำ� ดบั กลา่ วคอื ไดต้ รสั สอนวธิ อี บรมจติ ใจ ของตนเอง ทแี รกกใ็ หก้ ำ� หนดดทู เี่ ทย่ี วของจติ ใจในปจั จบุ นั ของตนเองวา่ เปน็ อยา่ งไรใหร้ กู้ อ่ น ซง่ึ การกำ� หนดดดู งั่ นี้

สมเด็จพระญาณสังวร 73 ก็เป็นการปฏิบัติในสติปัฏฐานน่ันเองได้ทุกข้อ แต่ใน ตอนนี้ยังไม่กล่าวสรุปเข้าไป จะเอาจ�ำเพาะหัวข้อที่ได้ ทรงแนะน�ำเอาไว้ในเรอ่ื งนีเ้ ป็นทต่ี ั้งของการปฏบิ ตั ิกอ่ น วธิ ีปฏบิ ตั ลิ ะเคหสติ โสมนัส ขัน้ ที่ ๑ หรือประการท่ี ๑ ไดต้ รัสสอนให้อาศยั เนกขัมมสิตโสมนัส คือสุขใจที่อาศัยเนกขัมมะ สงบ ระงับละเคหสิตโสมนัส สุขใจท่ีอาศัยเรือน กล่าวคือ เม่ือจิตใจนี้ท่องเท่ียวไป คือประสบหรือเพ่งดู ก�ำหนด ตามดูใน รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และเรื่อง ของเร่ืองเหล่านี้ท่ีประสบพบพานทางอายตนะภายใน ทง้ั ๖ อนั นา่ ปรารถนารกั ใครพ่ อใจภริ มยใ์ จ คอื วา่ กำ� ลงั ได้ ไดส้ ง่ิ เหล่าน้ี สง่ิ ที่นา่ รกั ใครป่ รารถนาพอใจ หรอื วา่ นึกถึงส่ิงที่น่ารักใคร่ปรารถนาพอใจเหล่านี้ ที่เคยได้มา แล้วแม้ว่าจะดับไปแล้ว ล่วงเลยไปแล้ว ก็เกิดโสมนัส คือสุขใจข้ึนมา เมื่อเป็นดั่งนี้แล้วก็ตรัสสอนให้อาศัย เนกขัมมสิตโสมนัส สขุ ใจทอี่ าศยั เนกขัมมะระงับเสยี

74 อุเบกขา การวางเฉยอย่างถูกวิธี วิธีปฏิบัตินั้นก็โดยที่ไม่ปล่อยใจนี้ให้สุขใจจนเป็น เหตใุ หบ้ งั เกดิ ขน้ึ แหง่ ตณั หา คอื ความดน้ิ รนทะยานอยาก เปน็ เหตกุ อ่ กเิ ลสใหฮ้ กึ เหมิ มากขนึ้ โดยทมี่ าพจิ ารณาให้ ทราบความทม่ี สี งิ่ เหลา่ นนั้ อนั เปน็ ทนี่ า่ รกั ใครป่ รารถนา พอใจเป็นสิ่งไม่เท่ียง ใช้ปัญญาที่ชอบพิจารณาให้เห็น ตามเป็นจริงว่า รูป เสียง เป็นต้นเหล่านี้ที่ประสบพบ ผ่านเข้ามาโดยเป็นลาภท่ีได้ เป็นยศ เป็นสรรเสริญ เปน็ สขุ ต่างๆ ท่ไี ด้ เป็นสง่ิ ไม่เท่ียงต้องเกิด-ดับเปน็ ทุกข์ ต้องแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไปเป็นธรรมดา ให้เห็นตาม ความเป็นจริง เม่ือเป็นดั่งนี้ ก็จะเกิดโสมนัสคือสุขใจ ข้ึนมา อีกอย่างหนึ่ง เป็นความสุขใจท่ีเกิดจากปัญญา มองเห็นสัจจะ คอื ความจรงิ โสมนัสคอื สขุ ใจทีเ่ กดิ จาก ปญั ญาชอบทมี่ องเหน็ ความจรงิ น้ี เปน็ เนกขมั มสติ โสมนสั กจ็ ะดบั จะละเคหสติ โสมนสั คอื ความสขุ ใจทอ่ี าศยั เรอื น นน้ั เสยี ได้ จติ ใจทเ่ี คยสขุ ใจแลว้ กล็ งิ โลดกระสบั กระสา่ ย เรา่ รอ้ น กจ็ ะกลบั เปน็ จติ ใจทสี่ งบ ไดค้ วามสขุ ทเี่ กดิ จาก ความสงบ และเมอ่ื เปน็ ดงั นแี้ ลว้ บรรดาลาภ ยศ สรรเสรญิ

สมเด็จพระญาณสังวร 75 สุขที่ได้ทั้งหลายก็จะไม่เป็นอันตราย จะกลายเป็นสิ่งท่ี เปน็ ประโยชน์ คอื ผไู้ ดก้ ็จะไม่หลงใหลในตน จะใช้ลาภ ยศ เป็นต้น เหล่าน้ันไปในทางท่ีเป็นคุณประโยชน์ ทง้ั หลาย เชน่ จะทำ� บญุ อนั ประกอบดว้ ยทานบา้ ง ศลี บา้ ง ภาวนาบ้าง ลาภยศเปน็ ต้นเหล่านัน้ ก็จะไม่เปน็ เชอื้ ของ กิเลสคอื โลภะ ตัณหา แตว่ า่ ถา้ ไมป่ ฏบิ ตั ติ ามนยั ทท่ี รงสง่ั สอนไวน้ ้ี ไดล้ าภ ได้ยศเป็นต้นมาก็หลงใหลฮึกเหิมในลาภในยศที่ได ้ กอ่ โลภะ ตัณหาให้มากขึ้น จิตใจนก้ี จ็ ะกลายเปน็ จติ ใจ ท่หี ิวกระหาย ไม่อ่มิ พอในลาภยศทไี่ ด้ ยง่ิ จะขวนขวาย แสวงหาเข้ามาให้มากข้ึนอีก จนกระท่ังแสวงหาในทาง ที่ผิด ด้วยวิธีการท่ีทุจริตเป็นบาปเป็นอกุศลท้ังหลาย ลาภยศเป็นต้นก็กลายเป็นอันตราย ท�ำลายความดี ความสุขท้ังปวง ดั่งน้ีก็แปลว่าให้โสมนัสที่อาศัยเรือน เหลา่ นเ้ี ขา้ ครอบงำ� ใจ เปน็ เหตใุ หห้ ลงใหลกอ่ โลภะ ตณั หา บาปอกศุ ลใหบ้ ังเกิดข้ึน

76 อุเบกขา การวางเฉยอย่างถูกวิธี แต่ถ้ามาอาศัยวิธีที่พระพุทธเจ้าทรงส่ังสอนดูใจ ของตวั เองวา่ ชกั จะดใี จ ชกั จะเหลงิ อะไรเปน็ ตน้ เสยี แลว้ ก็มานึกถึงสิ่งที่ได้ ก็รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เรื่องของเรื่องเหล่านั้นนั่นแหละ มาเป็นลาภเป็นยศ เปน็ ตน้ ใหม้ องเหน็ อนจิ จะคอื ไมเ่ ทย่ี ง เปน็ สงิ่ ทเ่ี กดิ -ดบั เป็นทุกข์ ทนอยู่ไม่ได้ ต้องแปรปรวนเปล่ียนแปลงไป ใหเ้ กิดสัมมาปัญญาคอื ปัญญาชอบ สมั มาปญั ญาน้กี จ็ ะ ดับความหลงใหลที่เป็นตัวโมหะ ดับโลภะ ตัณหามิให้ บังเกิดครอบง�ำใจ ทั้งได้โสมนัสคือสุขใจ เป็นสุขที่เกิด จากจิตท่ีบริสุทธิ์ เป็นโสมนัสคือสุขใจที่ดีกว่าละเอียด กว่าโสมนัสคือสุขใจอันเกิดจากอาศัยเรือนนั้น และผู้ ปฏิบัติเมื่อได้สุขใจอันเกิดจากเนกขัมมะด่ังนี้ขึ้น จะรู้ ด้วยตนเองว่า โสมนัสคือสุขใจอาศัยเนกขัมมะนี้ดีกว่า ประเสริฐกว่าโสมนัสคอื สขุ ใจท่อี าศยั เรือนอย่างไร เป็น ความสุขที่ไม่เร่าร้อน เป็นความสุขท่ีบริสุทธิ์ ท่ีสงบ นำ� ใหบ้ งั เกดิ กศุ ล นำ� ใหบ้ งั เกดิ บญุ ทงั้ หลายอกี เปน็ อนั มาก อนั นเี้ ปน็ วิธปี ฏบิ ัตปิ ระการที่ ๑

สมเด็จพระญาณสังวร 77 วิธีปฏิบัตลิ ะเคหสติ โทมนสั ประการท่ี ๒ ได้ตรัสสอนให้อาศัยเนกขัมมสิต- โทมนสั สงบระงบั ละเคหสติ โทมนสั กลา่ วคอื เมอื่ บงั เกดิ ความทกุ ขใ์ จขนึ้ มา เพราะเหตทุ ไ่ี ดป้ ระสบความพลาดหวงั การไม่ได้รูป เสียง กล่ิน รส โผฏฐัพพะ และเร่ือง ของเรอ่ื งเหลา่ นน้ั ทนี่ า่ รกั ใครป่ รารถนาพอใจ ทตี่ อ้ งการ หรือจะกล่าวว่าพลาดหวังไม่ได้ลาภ ไม่ได้ยศ ไม่ได้ สรรเสริญ ไม่ได้สุขที่อยากจะได้ ท่ีคาดหวังจะได้หรือ แมว้ า่ ทเ่ี หน็ วา่ ตนสมควรจะได้ หรอื วา่ ระลกึ ถงึ สง่ิ เหลา่ นน้ั ท่ีเคยไม่ได้มาแล้ว ที่เคยอยากได้แล้วเคยไม่ได้มาแล้ว หรอื ทเ่ี คยนกึ วา่ ควรจะไดแ้ ลว้ กไ็ มไ่ ดม้ าแลว้ กเ็ กดิ โทมนสั คือทุกข์ใจข้ึนมา ซ่ึงอาการโทมนัสด่ังน้ีก็เป็นส่ิงที่ทุกๆ คนจะต้องเคยประสบน้อยหรือมาก เมื่อเป็นด่ังน้ีแล้ว จะทำ� อยา่ งไร กไ็ ดต้ รสั สอนใหอ้ าศยั เนกขมั มสติ โทมนสั มาเป็นเคร่ืองดบั อนั เนกขมั สติ โทมนสั ทุกข์ใจอนั อาศัยเนกขัมมะ นนั้ ดงั ทไ่ี ดอ้ ธิบายแล้ววา่ เมอ่ื ประสบอารมณ์ทง้ั หลาย

78 อุเบกขา การวางเฉยอย่างถูกวิธี ดงั กลา่ วกท็ ราบถงึ ความทอ่ี ารมณเ์ หลา่ นนั้ เปน็ สง่ิ ไมเ่ ทย่ี ง พจิ ารณาดว้ ยปญั ญาอนั ชอบ มองเหน็ วา่ รปู เสยี ง เปน็ ตน้ เหล่าน้ันหรือกล่าวอีกอย่างหน่ึงว่า ลาภ ยศ เป็นต้น เหลา่ นั้นเป็นสง่ิ ไมเ่ ทย่ี ง ต้องแปรปรวนเปล่ยี นแปลงไป กเ็ กดิ ปรารถนากระหยมิ่ อยากจะไดว้ โิ มกข์ คอื ความหลดุ พน้ อันยอดเย่ียมอยู่เหมือนอย่างพระอริยะท้ังหลายที่ท่าน บรรลไุ ดอ้ าศยั อยู่ กเ็ กดิ โทมนสั ทกุ ขใ์ จขน้ึ มาเพราะความ กระหยิ่มปรารถนาที่จะได้นั้นเป็นเหตุ คือว่ามานึกถึง ตนเองว่าไม่ได้ไม่ถึงก็อยากจะได้จะถึงขึ้นมาซึ่งอนุตร- วิโมกข์ ความหลุดพ้นอันยอดเย่ียม พูดตรงๆ ก็ว่า อยากไดค้ วามหลดุ พน้ อนั เปน็ วมิ ตุ ตหิ รอื อยากไดม้ รรคผล นิพพานนั่นแหละ ว่าท่านพ้นทุกข์กัน ไม่ต้องมาเป็น ทุกข์ใจกันเหมือนเราทงั้ หลาย แตก่ ็ไม่ได้ ก็เกดิ โทมนัส ทุกข์ใจ ขึ้นมาเพราะเหตุทไ่ี มไ่ ดอ้ นตุ รวิโมกข์นั้น คราวนี้ ก็มาจบั พจิ ารณาตามเคา้ นว้ี ่า บรรดาส่ิง ที่ปรารถนาต้องการน่าใครชอบใจเหล่าน้ัน จะจ�ำแนก ออกเปน็ อารมณ์ ๖ หรอื เปน็ โลกธรรม จำ� แนกออกเปน็ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ก็ตาม เป็นโลกธรรมคือ

สมเด็จพระญาณสังวร 79 เป็นส่ิงท่ีมีประจ�ำโลก ทั้งฝ่ายที่เป็นอิฏฐารมณ์น้ันก็คือ ลาภ ยศ สรรเสรญิ สขุ หรอื วา่ อารมณ์ ๖ นน้ั ทน่ี า่ รกั ใคร่ ปรารถนาพอใจ ท่เี ป็นอนิฏฐารมณ์น้นั ก็คอื วา่ ความ เสื่อมลาภ ความเส่อื มยศ นินทา ทกุ ข์ หรือว่าอารมณ์ ๖ น่ันแหละทไ่ี ม่ชอบใจ ไม่รักไมป่ รารถนา เปน็ สง่ิ ท่ีมี แกบ่ คุ คลทุกคนในโลกน้ี ไม่วา่ จะเป็นอรยิ บุคคล ไมว่ ่า จะเปน็ ปถุ ชุ น กต็ อ้ งประสบ เลอื กไมไ่ ด้ ทงั้ ทน่ี า่ ปรารถนา ทั้งท่ีไม่น่าปรารถนา แต่ว่าท้ัง ๒ อย่างน้ันก็เป็นสิ่งท ี่ ไมเ่ ทย่ี ง เปน็ ทกุ ข์ ทนอยไู่ มไ่ ด้ ตอ้ งแปรปรวนเปลย่ี นแปลง ไป และการทต่ี อ้ งเปน็ ทกุ ขโ์ ทมนสั กเ็ พราะขาดปญั ญาท่ี มองเหน็ ความจรงิ ดง่ั น้ี จติ ใจจงึ ไมห่ ลดุ ไปจากความยดึ ถอื ต้องการ ฉะนั้น โทษจึงอยู่ท่ีว่า ไม่ปฏิบัติให้จิตใจน ี้ หลุดพ้นจากความยึดถือต้องการต่างหาก คือเป็นโทษ ของตนเอง หรือเป็นความผิดของตนเองที่ไม่ปฏิบัติให้ หลุดพ้นจากความยึดถือต้องการได้ เม่ือหลุดพ้นไม่ได้ ยังยึดถือต้องการอยู่ จึงต้องเป็นทุกข์อย่างน้ี จึงต้อง ดิ้นรนต้องการอย่างน้ี ครั้นไม่ได้ก็ต้องเป็นทุกข์อย่างนี้ ท�ำไมพระอริยะทั้งหลายที่ท่านละได้ท่านจึงไม่ต้องทุกข์ กเ็ พราะทา่ นละได้ ทำ� ไมจงึ ไมป่ ฏบิ ตั ใิ หล้ ะไดเ้ หมอื นอยา่ ง

80 อุเบกขา การวางเฉยอย่างถูกวิธี ท่านบ้าง ดเู ขา้ มาดง่ั นใ้ี ห้บังเกดิ โทมนสั คือทุกข์ใจข้นึ มา ทตี่ นเองวา่ เพราะตนเองไมป่ ฏบิ ตั ใิ หไ้ ดใ้ หถ้ งึ อนตุ รวโิ มกข์ คอื ทำ� จติ ใจใหพ้ น้ ได้ จติ ใจของตนเองยดึ ถอื เกยี่ วเกาะอยเู่ อง ปรารถนาอยู่เอง ก็ต้องเป็นทุกข์อยู่เอง ใครจะช่วยได้ จนกวา่ ตนเองจะทำ� จติ ใจของตนเองใหพ้ น้ ไปไดจ้ ากความ ยดึ ถือเกยี่ วเกาะ ก็คลา้ ยๆ กบั วา่ ก�ำเอาถา่ นเพลิงเข้าไว้ ในมือของตนเอง ก็ต้องร้อน ร้อนเข้าก็ร้องว่า ร้อน ร้อน แต่ว่าก็ไม่ยอมปล่อยก้อนถ่านเพลิงท่ีก�ำเอาไว้น้ัน เม่ือเปน็ ดง่ั น้ี ใครก็ช่วยไม่ได้ นอกจากทจ่ี ะแบมอื ออก ปลอ่ ยใหก้ อ้ นถา่ นเพลงิ ทก่ี ำ� ไวน้ นั้ หลดุ ลงไปเสยี และเมอ่ื วางเสียได้แล้ว ความทุกข์ท้ังหลายในใจก็สงบไปด่ังน ้ี ดูให้เกิดโทมนัสคือทุกข์ใจเพราะเหตุนี้แทน แทนที่จะ ไปทุกข์ใจเพราะเหตุท่ีไม่ได้ลาภอย่างน้ัน ยศอย่างนี้ รปู อย่างน้นั เสียงอย่างน้เี ป็นต้น น้เี ปน็ ประการที่ ๒ การปฏิบัติตามวิธีท่ีพระพุทธเจ้าได้ทรงสั่งสอน ไว้นี้ เป็นวิธีปฏิบัติท่ีใช้ปัญญาพิจารณาอันเรียกว่า โยนโิ สมนสกิ าร กร็ วมอยใู่ นการปฏบิ ตั สิ ตปิ ฏั ฐานทงั้ ๔ นี่แหละ แม้การปฏิบัติพิจารณาป่าช้าท้ัง ๙ ก็เป็นวิธี

สมเด็จพระญาณสังวร 81 หนึ่งท่ีท�ำให้มองเห็นสัจจะคือความจริง ว่าในท่ีสุดแล้ว กต็ อ้ งอยปู่ า่ ชา้ ดว้ ยกนั ทง้ั นนั้ หาไดอ้ ยใู่ นบา้ นนต้ี ลอดไป ไม่ ดบั ลงเปน็ ศพเมอ่ื ใด เขากไ็ มเ่ อาไว้ ตอ้ งเอาไปปา่ ชา้ คือจะต้องเปน็ เนกขมั มะกลายๆ นน่ั เอง มชี วี ติ อยกู่ อ็ ยู่ ในบ้านในเรือนก็เป็นเคหสิตะ ส้ินชีวิตเป็นศพก็ต้องไป อยปู่ า่ ชา้ กต็ ้องออกจากบ้านจากเรือนไป ในทสี่ ดุ ไมม่ ี ใครเอาไว้ แตถ่ ้าบุคคลผปู้ ฏิบัตริ ้จู ักทำ� จิตใหอ้ อกเสยี ได้ ท้ังท่ียังมีชีวิตอยู่ก็จะท�ำให้จิตใจนี้ได้พบกับสัจจะคือ ความจริง ได้พบกบั ความบรสิ ุทธิ์ใจ ได้พบบุญ และได้ พบกุศลอีกมาก ทกุ ขักขยญาณ สมาธเิ ปน็ ธรรมปฏบิ ตั นิ ำ� ใจใหส้ งบตงั้ มนั่ ใหเ้ พง่ พนิ จิ ปญั ญาธรรมปฏบิ ตั นิ ำ� ใหเ้ กดิ ความรทู้ วั่ ถงึ ไดม้ พี ระพทุ ธ- ภาษิตที่แสดงไว้แปลใจความว่า “ฌานคือความเพ่ง ย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่มีปัญญา ปัญญาย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่มี ฌานคือความเพ่ง ปัญญาและฌานคือความเพ่งย่อม มีในผใู้ ด ผู้น้นั ยอ่ มอย่ใู นท่ใี กลแ้ หง่ นิพพาน” ดงั่ นี้

82 อุเบกขา การวางเฉยอย่างถูกวิธี การปฏบิ ตั ใิ หม้ สี มาธิ ใหม้ คี วามเพง่ พนิ จิ และการ ปฏิบัติให้มีปัญญาคือความรู้ทั่วถึงจึงเป็นข้อที่พึงกระท�ำ ใหม้ อี ยดู่ ว้ ยกนั การหดั สมาธเิ พอื่ ใหจ้ ติ ไดส้ มาธแิ ตเ่ พยี ง อย่างเดียวก็เป็นข้อท่ีควรหัด และเมื่อหัดให้จิตมีสมาธิ ไดส้ มาธิ กต็ อ้ งใชจ้ ติ ทเี่ ปน็ สมาธนิ นั้ ตอ่ ไป โดยใหเ้ พง่ พนิ จิ เพอื่ ปญั ญาและปญั ญาทพี่ งึ ปฏบิ ตั เิ พง่ พนิ จิ ใหม้ ขี น้ึ ทเี่ ปน็ ยอดปญั ญานน้ั กค็ อื ทกุ ขกั ขยญาณ ความหยง่ั รเู้ ปน็ เหตุ สิ้นทุกข์ ปัญญาที่ท�ำให้ส้ินทุกข์เป็นเหตุให้ส้ินทุกข์ได้ เป็นยอดปัญญา และต้องปฏิบัติให้ถูกทางของปัญญา ดง่ั นี้ จงึ จะพบกบั ความสน้ิ ทกุ ขไ์ ด้ ทางพระพทุ ธศาสนา พระบรมศาสดาไดต้ รสั สอนใหเ้ พง่ พนิ จิ เขา้ มาดคู วามเปน็ ไปแห่งกายและจิตน้ีเองเป็นประการสำ� คญั สติปัฏฐาน ตงั้ สตใิ นกาย เวทนา จติ ธรรม กเ็ ปน็ ขอ้ ปฏบิ ตั เิ พง่ พนิ จิ เขา้ มาใหร้ ทู้ ก่ี ายและใจอนั น้ี ดงั ทไ่ี ดต้ รสั สอนใหก้ ำ� หนด ใหร้ จู้ ักแก้เก่ียวกบั เรอ่ื งโสมนสั คอื ความสขุ ใจ โทมนสั คือความทุกข์ใจ ที่เกิดมีอยู่แก่ตนเองของทุกๆ คน โสมนัสคือความสุขใจนั้นย่อมรวมไปถึงความดีใจด้วย โทมนสั คอื ความทกุ ขใ์ จนน้ั ยอ่ มรวมไปถงึ ความเสยี ใจดว้ ย

สมเด็จพระญาณสังวร 83 อนั ความสขุ ใจทกุ ขใ์ จ ความดใี จความเสยี ใจ ยอ่ ม มีแก่บุคคลทั่วไป และถ้าไม่ก�ำหนดให้รู้จักทางเกิดขึ้น ใหร้ จู้ ักวิธแี ก้ไข กย็ ่อมยากที่จะร�ำงบั ได้ และเม่ือระงบั ไม่ได้ก็เป็นเหตุให้เกิดตัณหาความดิ้นรนทะยานอยาก ใหเ้ กดิ ความโลภ โกรธ หลงในทางตา่ งๆ นำ� ใหป้ ระกอบ กรรมแม้ที่เป็นอกุศลทุจริตต่างๆ เพิ่มความทุกข์ต่างๆ ใหบ้ งั เกดิ ขนึ้ อกี เปน็ อนั มาก ฉะนนั้ การทม่ี ามฌี านหรอื สมาธิเพ่งพินิจ กับปัญญาคือความรู้ทั่วถึงในเร่ืองแห่ง ความสุขใจความทุกข์ใจ รวมทั้งความดีใจความเสียใจ ดงั กล่าวน้ี ตามท่ีพระพทุ ธเจา้ ทรงส่งั สอนไวจ้ ึงเปน็ เรือ่ ง ท่ีควรกระท�ำ ดังท่ีได้แสดงมาแล้ว ตรัสสอนให้ท�ำ ความรู้จักอายตนะภายใน ๖ อายตนะภายนอก ๖ ให้รู้จักสัมผัส ๖ ให้รู้จักมโนปวิจาร ที่เท่ียวไปของใจ ๑๘ ที่ใจนี้ย่อมท่องเที่ยวไปคือตรึกตรองไปในอารมณ ์ ทงั้ หลาย รวมเขา้ กใ็ นเรอ่ื งรปู เสยี ง กลนิ่ รส โผฏฐพั พะ และเรอ่ื งของเรอ่ื งเหลา่ นอี้ นั เปน็ ทตี่ ง้ั แหง่ โสมนสั คอื สขุ ใจ ก็นับเป็น ๖ เป็นท่ีตั้งแห่งโทมนัสคือทุกข์ใจก็เป็น ๖ เป็นท่ตี งั้ แห่งอุเบกขาคือความร้สู กึ เป็นกลางๆ ก็เปน็ ๖

84 อุเบกขา การวางเฉยอย่างถูกวิธี รวมเปน็ ๑๘ ใจย่อมทอ่ งเท่ียวไปอยูใ่ นอารมณท์ ง้ั ๑๘ เหลา่ นี้เทา่ นัน้ เม่ือตรัสสอนให้รู้จักที่ท่องเท่ียวไปของใจท้ังหมด ดั่งน้ีแล้ว ก็ได้ตรัสสอนให้รู้จักว่าแม้โสมนัสคือสุขใจ โทมนสั คอื ทกุ ขใ์ จ กบั อเุ บกขาคอื ความรสู้ กึ ทเี่ ปน็ กลางๆ น้ัน ยงั เป็นไปอาศยั เรือนอนั เรยี กว่าเคหสติ ะก็มี อาศัย เนกขมั มะอนั เรยี กวา่ เนกขมั มสติ ะกม็ ี ฉะนน้ั เมอ่ื โสมนสั หรือโทมนัสหรืออุเบกขาบังเกิดขึ้นแก่จิต ก็ให้ก�ำหนด ใหร้ จู้ กั วา่ เปน็ ฝา่ ยไหน คอื เปน็ ฝา่ ยอาศยั เรอื น เกย่ี วกบั เรอื่ งบา้ นเรอ่ื งเรอื นทง้ั หลาย หรอื วา่ อาศยั เนกขมั มะ คอื การปฏิบัติออกจากบ้านจากเรือน และเม่ือก�ำหนดให้ รจู้ ักดงั่ นีแ้ ลว้ ก็ตรัสสอนวิธีปฏบิ ัติแก้ ทางที่ ๑ ก็ให้อาศัยเนกขัมมสิตะโสมนัส คือ ความสขุ ใจทอ่ี าศยั เนกขมั มะเปน็ เครอ่ื งแกเ้ คหสติ โสมนสั ความสขุ ใจที่อาศยั เรอื น คอื ได้ความสุขใจ ดใี จทีอ่ าศยั เรือน ไดร้ ปู เสียง กลิน่ รส โผฏฐัพพะ และเรอ่ื งของ เรอื่ งเหลา่ นที้ ร่ี กั ใครป่ รารถนาพอใจทง้ั หลาย กส็ ขุ ใจดใี จ ดั่งนี้ ก็ไม่ควรปล่อยใจให้ตนื่ เตน้ เพลิดเพลิน หลงใหล

สมเด็จพระญาณสังวร 85 ไปในสงิ่ เหลา่ นี้ แตใ่ หม้ าหดั พจิ ารณาใหเ้ หน็ ความไมเ่ ทยี่ ง ความแปรปรวน ความเสือ่ มความดับ จนบงั เกดิ ความ สขุ ใจขน้ึ เพราะปญั ญาทเ่ี หน็ ตามเปน็ จรงิ ใหร้ จู้ กั หดั ปฏบิ ตั ิ พจิ ารณาไปดังนีด้ ้วย ทางท่ี ๒ ตรัสสอนให้อาศัยเนกขัมมสิตโทมนัส คือความทุกข์ใจท่ีอาศัยเนกขัมมะแก้เคหสิตโทมนัส ความทุกข์ใจท่ีอาศัยเรือน โดยท่ีเม่ือได้ความทุกข์ใจ เพราะการไม่ไดร้ ูป เสียง กล่ิน รส โผฏฐัพพะ หรอื ว่า เรอ่ื งของเรือ่ งเหลา่ นี้ ที่รกั ใครป่ รารถนาพอใจ ก็ทุกข์ใจ ขึ้นมา เสียใจขึ้นมาด่ังน้ี ก็ต้องหัดพิจารณาแก้เสีย ให้เกิดความเสียใจทุกข์ใจอาศัยเนกขัมมะดีกว่า คือให้ พจิ ารณาใหเ้ หน็ วา่ สงิ่ เหลา่ นนั้ ไมเ่ ทย่ี ง แปรปรวนเสอ่ื มดบั พระอริยะทั้งหลายท่านไม่เป็นทุกข์เพราะท่านไม่ยึดถือ แต่ว่าตนเองต้องเป็นทุกข์เพราะยังยึดถือ เพราะยังไม่ บรรลุวิโมกข์วิมุตติหลุดพ้นเหมือนอย่างท่าน จึงเป็นท่ี น่าทกุ ข์ใจน่าเสียใจส�ำหรับตนเองที่ไมไ่ ดไ้ มถ่ งึ จงึ ต้องมา ทกุ ขอ์ ยา่ งนี้ จงึ ไดเ้ กดิ ความทกุ ขใ์ จเสยี ใจขนึ้ เพราะไมไ่ ด้ ถึงวิโมกข์วิมุตติอันเยี่ยม ซ่ึงท้ัง ๒ ทางน้ีก็ได้อธิบาย ไปแล้ว แตว่ ่ากลา่ วทบทวนโดยย่อ

86 อุเบกขา การวางเฉยอย่างถูกวิธี วธิ ีปฏบิ ตั ิละเคหสติ อุเบกขา ทางที่ ๓ ไดต้ รสั สอนใหอ้ าศยั เนกขมั มสติ อเุ บกขา อเุ บกขาทอี่ าศยั เนกขมั มะ แกห้ รอื ดบั ละเคหสติ อเุ บกขา อเุ บกขาทอี่ าศยั เรอื น อนั อเุ บกขาในทน่ี กี้ ห็ มายถงึ อเุ บกขา เวทนาน่ีแหละ คือความรู้สึกที่เป็นกลางๆ มิใช่ทุกข์ใจ มใิ ช่สขุ ใจ หรอื เรยี กวา่ อทกุ ขมสขุ เวทนา เวทนาท่ีไมใ่ ช่ ทุกข์ไม่ใช่สุข ซึ่งบังเกิดข้ึนแก่บุคคลท่ัวไป ในเมื่อได ้ รับอารมณ์คือเร่ืองรูป เร่ืองเสียง เรื่องกลิ่น เรื่องรส เรื่องโผฏฐัพพะ และเร่ืองของเร่ืองเหล่าน้ีท่ีเป็นกลางๆ ไมพ่ อทจี่ ะใหเ้ กดิ ความสขุ ใจดใี จ ไมพ่ อทจี่ ะใหเ้ กดิ ความ ทกุ ขใ์ จเสยี ใจ จงึ รสู้ กึ เปน็ กลางๆ เฉยๆ ไมส่ ขุ ใจไมท่ กุ ขใ์ จ ไมด่ ใี จไม่เสียใจ อันเวทนาคือความรู้สึกท่ีเป็นกลางๆ ดั่งนี้ ทุกๆ คนยอ่ มไดก้ นั อย่เู ป็นอันมากในวันหนงึ่ ๆ เพราะวา่ นกึ ดู วา่ ในวนั หนงึ่ ๆ นท้ี กุ ๆ คนมตี ากบั รปู ประจวบกนั อยเู่ ปน็ อนั มาก หกู บั เสยี งประจวบกนั อยเู่ ปน็ อนั มาก อายตนะ คอู่ นื่ กเ็ ชน่ เดยี วกนั คอื วา่ ไดเ้ หน็ อะไรทางตาเปน็ อนั มาก

สมเด็จพระญาณสังวร 87 ไดย้ นิ อะไรทางหเู ปน็ อนั มากเปน็ ตน้ และกม็ เี ปน็ อนั มาก ทเ่ี หน็ แลว้ กผ็ า่ นไป ไดย้ นิ แลว้ กผ็ า่ นไป ไมร่ สู้ กึ วา่ เปน็ สขุ หรือเป็นทุกข์อย่างไร วันหน่ึงๆ น้ันจะได้พบอารมณ ์ ดังกล่าวน้ีเป็นอันมาก และมีอุเบกขาอยู่เป็นอันมาก แต่ก็มิได้จับเอาอาการของจิตดังกล่าวน้ีขึ้นมาพิจารณา ให้รจู้ กั จงึ เปน็ อุเบกขาทบี่ ังเกิดข้ึนแล้วก็ผา่ นไปๆ เป็น เรอ่ื งปรกตขิ องทกุ ๆ คน ผทู้ ม่ี ไิ ดป้ ฏบิ ตั ธิ รรมกไ็ ดอ้ เุ บกขา ดัง่ น้ีอยู่เป็นอันมาก ผทู้ ปี่ ฏิบัตธิ รรมก็เชน่ เดยี วกัน แต่ ว่าผู้ที่มิได้ปฏิบัติธรรมคือมิได้จับอุเบกขาด่ังน้ีขึ้นมา พจิ ารณานนั้ ก็เรียกวา่ เปน็ ผทู้ ไ่ี มไ่ ดป้ ญั ญาจากอเุ บกขา ดังกล่าวนี้ จึงเป็นอุเบกขาที่บังเกิดขึ้นแก่คนทั่วไปตาม ปรกติธรรมดา มิได้บังเกิดข้ึนด้วยความรู้อะไร คือไม่ ตอ้ งรอู้ ะไรกไ็ ดอ้ เุ บกขาดงั่ น้ี จงึ เรยี กวา่ อญั ญาณอเุ บกขา อุเบกขาท่ีมิได้เกิดข้ึนด้วยความรู้ หรือเรียกว่าเคหสิต- อเุ บกขา อเุ บกขาทอี่ าศยั เรอื น คอื เปน็ เรอ่ื งของชาวบา้ น ชาวเรอื นทัง้ หลาย กม็ ีอุเบกขาด่ังนก้ี นั อยทู่ วั่ ไป และยังอาจอธิบายเพ่ิมเติมต่อไปอีกได้ด้วยว่า นอกจากเรียกว่ามิใช่อุเบกขาท่ีบังเกิดด้วยความรู้แล้ว

88 อุเบกขา การวางเฉยอย่างถูกวิธี ยังอาจจะเรียกได้ว่าเป็นอุเบกขาที่เกิดข้ึนด้วยความไม่รู้ อกี ดว้ ย คอื เพราะยงั ไมร่ จู้ งึ อเุ บกขาอยไู่ ด้ ดงั เชน่ สรรเสรญิ หรือนินทาซึ่งเป็นโลกธรรมแก่ทุกๆ คน ผู้สรรเสริญ ผู้นินทามิให้ได้ยินก็มีอยู่เป็นอันมาก แต่เพราะมิได้ยิน กไ็ มร่ ู้ เมอ่ื ไมร่ กู้ อ็ เุ บกขาคอื เฉยๆ แตอ่ นั ทจี่ รงิ นน้ั มใิ ชว่ า่ ไมม่ ใี ครนนิ ทา ไมม่ ใี ครเขาสรรเสรญิ ความจรงิ มี มอี ยู่ มากดว้ ย ยงิ่ นนิ ทายง่ิ มมี ากกวา่ สรรเสรญิ เพราะฉะนน้ั ในโลกธรรมจึงได้ยกเอานินทาข้ึนตั้งหน้าสรรเสริญ ว่า ลาภต่อลาภ ยศต่อยศ นนิ ทา สรรเสรญิ แทนท่ีจะว่า สรรเสรญิ นนิ ทา เอานนิ ทาขน้ึ หนา้ วา่ นนิ ทา สรรเสรญิ และสุข ทุกข์ อันแสดงว่าถูกนินทานั้นมากกว่าได้รับ สรรเสริญ แต่ว่าไม่ได้ยินก็ไม่รู้ เมื่อไม่รู้ก็มีอุเบกขา ด่ังน้ีเพราะว่าไม่รู้จึงอุเบกขาอยู่ได้ แต่ว่าครั้นรู้ว่าเขา สรรเสริญ ได้ยินค�ำสรรเสริญก็สุขใจข้ึนมา ได้ยินเขา นินทาก็ทุกข์ใจขึ้นมา ดั่งนี้แหละเป็นอุเบกขาท่ีเรียก เคหสติ อเุ บกขา หรอื อญั ญาณอเุ บกขา อญั ญาณอเุ บกขา จึงแปลได้สองอย่าง อย่างหน่ึงว่าอุเบกขาท่ีบังเกิดขึ้น ด้วยความไม่รู้ เพราะยังไม่รู้จึงอุเบกขา หรืออีกอย่าง หน่ึงก็แปลว่าเป็นอุเบกขาที่มิได้เกิดข้ึนด้วยความรู้ คือ

สมเด็จพระญาณสังวร 89 เป็นเร่ืองของการได้รับอารมณ์ท่ีไม่พอให้โสมนัสหรือ โทมนัสต่างหาก ฉะนน้ั จงึ ไดต้ รสั สอนใหอ้ าศยั เนกขมั มสติ อเุ บกขา แก้เสีย คือให้พิจารณาอารมณ์ท่ีประสบน้ันอยู่เน่ืองๆ แม้ในขณะท่รี สู้ ึกว่าจติ เฉยๆ เปน็ กลางๆ โดยทก่ี �ำหนด พจิ ารณาวา่ ทจ่ี ติ เฉยๆ เปน็ กลางๆ นเ้ี หน็ อะไรหรอื เปลา่ ได้ยินอะไรหรือเปล่าเป็นต้น ก็ย่อมจะตอบได้ว่าก็เห็น กไ็ ดย้ ิน เห็นอะไร ได้ยินอะไร ก็อาจที่จะกำ� หนดไดว้ ่า เห็นสิ่งนั้นๆ ไดย้ นิ สงิ่ น้ๆี แตว่ ่าจติ กเ็ ฉยๆ ก็ได้ความรู้ ขน้ึ วา่ เปน็ อเุ บกขา เพราะวา่ อารมณท์ ป่ี ระสบเหลา่ นเ้ี ปน็ กลางๆ แล้วก็ก�ำหนดอีกว่าท�ำไมจึงเฉยๆ ก็ย่อมจะได้ ความรู้ว่า เพราะอารมณ์ท่ีประสบเหล่านี้ไม่พอที่จะให้ โสมนสั ไมพ่ อทจ่ี ะใหโ้ ทมนสั จงึ เฉยๆ คราวนก้ี ถ็ ามจติ ตอ่ ไปวา่ ถา้ ไปพบอารมณท์ พ่ี อจะใหโ้ สมนสั ทพ่ี อจะให้ โทมนัสแล้วจะเป็นอย่างไร ก็จะตอบได้ว่า ก็จะต้อง โสมนสั ก็จะตอ้ งโทมนสั ก็เพราะอะไร ก็เพราะว่ามไิ ด้ ใช้ปัญญาพิจารณา หรือมิได้พิจารณาให้เกิดปัญญาข้ึน ตามเปน็ จรงิ วา่ อารมณท์ ปี่ ระสบเหลา่ น้ี แมท้ เ่ี ปน็ กลางๆ

90 อุเบกขา การวางเฉยอย่างถูกวิธี เหล่าน้ี กเ็ ป็นสงิ่ ทีไ่ มเ่ ทยี่ ง เปน็ สง่ิ ท่แี ปรปรวน เปน็ ส่ิง ที่เสื่อมไปได้ ดับไปได้ เป็นทุกข์ ต้ังอยู่ไม่ได้ ต้อง แปรปรวนเปล่ียนแปลงไป หัดพิจารณาแม้ในอารมณ์ ท่รี สู้ ึกเฉยๆ นน้ั ให้เหน็ ดัง่ น้ีด้วย ดง่ั น้ีแล้วกย็ อ่ มจะได้ ปญั ญาทรี่ ทู้ วั่ ถงึ ตามเปน็ จรงิ แมใ้ นอารมณท์ เี่ ปน็ กลางๆ เหล่าน้ี และเม่ือได้ปัญญาที่รู้ทั่วถึงตามเป็นจริงข้ึนมา ก็ได้อุเบกขา ความวางเฉยหรือความรู้สึกเป็นกลางๆ เฉยๆ ด้วยปัญญาที่รู้ตามเป็นจริง ด่ังนี้ เรียกว่าเป็น เนกขมั มสิตอเุ บกขา แมอ้ เุ บกขาท้งั ๒ นจี้ ะเป็นอุเบกขาก็จรงิ กย็ งั ไม่ ล่วงพ้นอารมณ์ไปได้ ส�ำหรับอุเบกขาท่ีอาศัยเรือนน้ัน ก็ยังไม่ล่วงพ้นอารมณ์ไปได้ เพราะเม่ือไปพบอารมณ์ โสมนัส กจ็ ะเกดิ โสมนสั ขึ้นมา ถ้าพบโทมนสั ก็โทมนสั ขึน้ มา หรือถา้ ไปรูเ้ ข้า ก็จะโสมนสั โทมนสั ขน้ึ มา จงึ ยงั ไมล่ ว่ งพน้ อารมณไ์ ปได้ สว่ นเนกขมั มสติ อเุ บกขานดี้ ขี นึ้ มากกวา่ แตก่ ย็ งั อยใู่ นขน้ั เวทนาอยนู่ นั่ เอง ยงั ไมล่ ว่ งพน้ อารมณ์ไปได้ ในเมื่อมีอารมณ์แรงๆ คืออารมณ์ท่ีเป็น ท่ีตั้งของโสมนัสโทมนัสแรงๆ อุเบกขาที่อ่อนกว่าก็จะ

สมเด็จพระญาณสังวร 91 ต้ังอยู่ไม่ได้ ก็จะเกิดโสมนัสโทมนัสข้ึนมา ถึงเช่นน้ัน ก็ยังดี ถ้าหัดปฏิบัติให้ได้อยู่ก็จะท�ำให้ใจน้ีได้อุเบกขา ดว้ ยปัญญามากขึน้ วธิ ีปฏบิ ตั ิละเนกขมั มสติ โทมนัส พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงธรรมอบรม แนะน�ำในการปฏิบัติอบรมจิตด้วยวิธีใช้ปัญญาอันเรียก วา่ โยนิโสมนสิการ พจิ ารณาแกเ้ วทนาทางจิต อันเป็น ทต่ี งั้ แหง่ เครอื่ งเศรา้ หมองและทเ่ี ปน็ สว่ นหยาบใหบ้ งั เกดิ เวทนาอนั เปน็ ทต่ี งั้ แหง่ กศุ ลและเปน็ สว่ นละเอยี ด กโ็ ดย อาศยั เวทนาละเวทนานนั่ แหละดงั ทไี่ ดแ้ สดงมาแลว้ โดย ล�ำดับ จะไดแ้ สดงตอ่ เปน็ ทางท่ี ๔ โดยตรสั สอนใหอ้ าศยั เนกขัมมสิตโสมนัสละเนกขัมมสิตโทมนัส กล่าวคือ เมอ่ื มาถงึ ขน้ั นก้ี เ็ หลอื แตเ่ นกขมั มสติ ะ คอื อาศยั เนกขมั มะ ด้วยกัน แตว่ ่าก็ยังมีหยาบมีละเอียด ฉะน้นั จึงให้อาศยั ขอ้ ทลี่ ะเอยี ดกวา่ ละขอ้ ทห่ี ยาบ อนั ขอ้ ทหี่ ยาบนน้ั กไ็ ดแ้ ก่

92 อุเบกขา การวางเฉยอย่างถูกวิธี เนกขัมมสิตโทมนัส ทุกข์ใจหรือเสียใจอาศัยเนกขัมมะ โดยทเ่ี มอื่ ไดป้ ระสบอารมณม์ รี ปู เสยี งเปน็ ตน้ กพ็ จิ ารณา รคู้ วามไมเ่ ทย่ี ง ความแปรปรวน เปลยี่ นแปลง ความเกดิ ความดับ เห็นดว้ ยปัญญาโดยชอบว่า รูป เสยี งเป็นต้น ไม่เท่ียง เป็นทุกข์ ทนอยู่ไม่ได้ มีความแปรปรวน เปล่ยี นแปลงไป และได้นกึ ถงึ พระอรยิ เจ้าท้งั หลายผ้ไู ด้ ประสบวิโมกข์คือความหลุดพ้นอย่างยอดเยี่ยม ก็มี ความกระหยมิ่ รักใคร่ปรารถนาเพ่อื จะได้ประสบวิโมกข์ คอื ความหลดุ พน้ นนั้ จงึ ไดบ้ งั เกดิ โทมนสั คอื ความทกุ ข์ ใจความเสยี ใจ เพราะเหตุแหง่ ความกระหย่ิมปรารถนา นั้นเป็นปัจจัย คือเมื่อปรารถนาแล้วยังไม่ได้สมหวัง ก็เกิดโทมนัสขัดใจเสียใจข้ึนมา เมื่อเป็นดั่งน้ีก็ต้องคิด หกั หา้ มความโทมนสั นน้ั โดยทก่ี ำ� หนดใหม้ คี วามรขู้ น้ึ มา อันการบรรลุวิโมกข์ คือความหลุดพ้นอันยอดเย่ียม มิใช่เกิดขึ้นด้วยอ�ำนาจแห่งความกระหยิ่มปรารถนา อนั เปน็ ตวั ตณั หาความดน้ิ รนทะยานอยาก แตว่ า่ บงั เกดิ ขน้ึ เพราะการปฏิบัติ เมอ่ื ปฏบิ ัติให้ถงึ กย็ ่อมจะได้บรรลุ ผลแห่งการปฏิบัติเอง โดยที่มิต้องกระหยิ่มปรารถนา

สมเด็จพระญาณสังวร 93 แตอ่ ยา่ งใด ความทม่ี คี วามกระหยมิ่ ปรารถนาเสยี อกี เปน็ เคร่ืองฉดุ ร้ังมิให้บรรลุวโิ มกข์ ความหลดุ พ้นได้ ตอ่ เมอื่ วางความกระหยิ่มปรารถนาเสียจึงจะประสบวิโมกข ์ ความหลุดพ้นได้ ดง่ั น้ี ก็ระงับความกระหยิ่มปรารถนา ดังกล่าวเสีย และก็ต้ังใจปฏิบัติอบรมจิตใจสืบต่อไป ในทางแห่งศีล สมาธิ ปัญญา เม่ือปฏิบัติไปด่ังนี้ ผล ของการปฏิบัติก็ย่อมจะปรากฏโดยล�ำดับ ก็ย่อมจะได้ โสมนัสคือความสุขใจโดยล�ำดับ เพราะการปฏิบัตินั้น เปน็ สลั เลขธรรม ธรรมเปน็ เครอ่ื งขดั เกลาจติ ใจใหบ้ รสิ ทุ ธิ์ สะอาด เมื่อจิตใจได้รับการขัดเกลาให้บริสุทธิ์สะอาดก็ ผ่องใส น�ำให้เกิดโสมนัสคือความสุขใจอันเป็นผลแห่ง ความบรสิ ทุ ธผิ์ อ่ งใสนนั้ ขนึ้ เอง ดง่ั นี้ กจ็ ะไดโ้ สมนสั อาศยั เนกขัมมะ นับวา่ เป็นทางปฏบิ ัตทิ ี่ ๔ วธิ ีปฏิบัติละเนกขัมมสติ โสมนัส ต่อจากนั้น ก็ให้อาศัยเนกขัมมสิตอุเบกขา ละเนกขัมมสิตโสมนัสเสยี กลา่ วคือ แมเ้ ปน็ โสมนัสคอื

94 อุเบกขา การวางเฉยอย่างถูกวิธี ความสุขใจอาศัยเนกขัมมะแต่ก็จะน�ำให้เกิดความดีใจ ความตดิ ใจ อนั จะกลายเปน็ กเิ ลสขน้ึ ดงั ทเี่ รยี กวา่ อปุ กเิ ลส ของวิปัสสนา เม่ือเป็นด่ังนี้ก็จะเป็นอันตรายแก่ความ กา้ วหนา้ ของการปฏบิ ตั ิ กบั ทงั้ โสมนสั คอื ความสขุ ใจนนั้ กย็ งั เปน็ ของหยาบ สว่ นอเุ บกขาคอื ความทรี่ สู้ กึ เปน็ กลาง ไม่โสมนัส ไม่โทมนัส เป็นสิ่งท่ีละเอียดกว่า เมื่อเป็น ดง่ั นกี้ จ็ บั พจิ ารณาตวั โสมนสั นน่ั แหละวา่ เปน็ สง่ิ ทไี่ มเ่ ทย่ี ง ตอ้ งแปรปรวน เปลย่ี นแปลง เสอื่ ม ดบั เปน็ อนจิ จะ ไมเ่ ทย่ี ง เปน็ ทกุ ข์ ตอ้ งแปรปรวน เปลย่ี นแปลง ทนอยคู่ งทไ่ี มไ่ ด้ เมอ่ื เปน็ ดงั่ นี้ โสมนสั กจ็ ะสงบเปน็ อเุ บกขา คอื ความรสู้ กึ เปน็ กลางๆ มใิ ชโ่ สมนสั มใิ ชโ่ ทมนสั ดง่ั นเ้ี รยี กวา่ เปน็ เนกขมั มสิตอุเบกขา อุเบกขาท่อี าศัยเนกขมั มะ กเ็ ปน็ อนั วา่ ไดอ้ าศยั เนกขมั มสติ อเุ บกขานล้ี ะเนกขมั มสติ โสมนสั เสีย เป็นทางปฏิบัติท่ี ๕ ว่าถึงทางปฏิบัติทั่วไปซึ่งทุกๆ คน คนแม้มีภูมิ ปฏิบัติไม่สูงนัก ก็พึงใช้ปฏิบัติในทางท้ัง ๕ น้ีดังที่ได้ กลา่ วมาโดยลำ� ดบั คอื ทาง ๑ กอ็ าศยั เนกขมั มสติ โสมนสั ละเคหสติ โสมนสั ทางท่ี ๒ กอ็ าศยั เนกขมั มสติ โทมนสั

สมเด็จพระญาณสังวร 95 ละเคหสติ โทมนสั ทางท่ี ๓ กอ็ าศยั เนกขมั มสติ อเุ บกขา ละเคหสติ อเุ บกขา มาถึงทางที่ ๔ ก็อาศัยเนกขมั มสติ - โสมนัส ละเนกขัมมสิตโทมนัส ทางท่ี ๕ ก็อาศัย เนกขมั มสติ อเุ บกขา ละเนกขมั มสติ โสมนสั เสยี ตอ่ จาก นอี้ กี ๒ ทางเปน็ ทางปฏบิ ตั เิ บอ้ื งสงู แตก่ จ็ ะนำ� มากลา่ ว เป็นทีท่ ราบไวด้ ว้ ย นานตั ตสิตอุเบกขาและเอกตั ตสติ อุเบกขา ทางที่ ๖ ไดต้ รสั แสดงไวว้ า่ อนั อเุ บกขานน้ั กม็ ี ๒ อยา่ ง คอื อเุ บกขาทม่ี ภี าวะตา่ งๆ กนั อยา่ งหนง่ึ เรยี กวา่ นานตั ตสติ อเุ บกขา กบั อเุ บกขาทม่ี ภี าวะเปน็ อยา่ งเดยี วกนั เรยี กวา่ เอกัตตสิตอเุ บกขา อุเบกขาที่มีภาวะต่างๆ กันน้ัน ก็ได้แก่อุเบกขา ในรูปบ้าง อุเบกขาในเสียงบ้าง อุเบกขาในกล่ินบ้าง อุเบกขาในรสบ้าง อุเบกขาในโผฏฐัพพะบ้าง อุเบกขา ในธรรมคือในเรื่องของเร่ืองเหล่านั้นบ้าง ดั่งนี้เรียก อเุ บกขาท่ีมภี าวะต่างๆ กัน

96 อุเบกขา การวางเฉยอย่างถูกวิธี อุเบกขาท่ีมีภาวะเป็นอันเดียวกันนั้น ก็ได้แก่ อุเบกขาที่เป็นข้ันอากาสานัญจายตนะ คืออรูปฌานท่ี เกิดจากการก�ำหนดว่าอากาศไม่มีท่ีสุด อุเบกขาท่ีเกิด จากวิญญาณัญจายตนะ ก�ำหนดว่า วิญญาณไม่มี ทส่ี ดุ อุเบกขาท่เี กิดจากอากญิ จญั ญายตนะ กำ� หนดวา่ น้อยหนึ่งนิดหนึ่งก็ไม่มี อุเบกขาที่เกิดจากเนวสัญญา- นาสัญญายตนะ ก�ำหนดว่ามีสัญญาก็มิใช่ไม่มีสัญญา กม็ ิใช่ดังน้ี วิธปี ฏบิ ัตลิ ะนานตั ตสติ อุเบกขา เม่ือพิจารณาดูแล้ว ก็พึงเห็นได้ว่าอุเบกขาท่ีมี อาการต่างๆ กันน้ันอย่างสูงก็เป็นอุเบกขาในรูปฌาน เพราะว่ารูปฌานนั้นก�ำหนดอารมณ์ของรูปฌานต่างๆ กนั เชน่ รปู ตา่ งๆ กนั ดงั ทก่ี ลา่ ววา่ ในรปู ในเสยี งเปน็ ตน้ สว่ นอเุ บกขาทมี่ อี าการเปน็ อนั เดยี วกนั นนั้ อยา่ งสงู กเ็ ปน็ อเุ บกขาในอรปู ฌาน ตงั้ ตน้ แตก่ ำ� หนดวา่ อากาศไมม่ ที ส่ี ดุ

สมเด็จพระญาณสังวร 97 เพราะในขนั้ อรปู ฌานนไี้ มม่ รี ปู ทตี่ า่ งๆ กนั ขนั้ ตน้ อากาศ ไมม่ ที ส่ี ดุ กเ็ ปน็ ความวา่ งไมม่ ที สี่ ดุ วา่ งตลอดไปหมดเปน็ อันเดียวกัน แมใ้ นขอ้ อ่ืนก็เชน่ เดยี วกัน ฉะนัน้ จึงเรยี ก ว่าอุเบกขาท่ีมีภาวะเป็นอันเดียวกัน ในข้ันน้ีก็ให้อาศัย อุเบกขาที่มีภาวะเป็นอันเดียวกัน ละอุเบกขาท่ีมีภาวะ ตา่ งๆ กนั กเ็ ปน็ อนั วา่ ไดอ้ เุ บกขาทเี่ ปน็ ขน้ั ละเอยี ดทส่ี ดุ นบั เป็นข้นั ที่ ๖ หรือทางท่ี ๖ วิธีปฏบิ ตั ิละเอกัตตสติ อเุ บกขา ทางที่ ๗ อนั เปน็ ทางสดุ ทา้ ยนน้ั กใ็ หอ้ าศยั ความ ไม่มีตัณหา อันหมายถึงธรรมที่ไม่มีตัณหาโดยตรง กค็ อื นพิ พาน หรอื วโิ มกข์ ความหลดุ พน้ อยา่ งยอดเยยี่ ม ละอุเบกขาท่ีมีภาวะเป็นอันเดียวกันน้ัน เพราะว่าแม้ อเุ บกขาทมี่ ภี าวะเปน็ อนั เดยี วกนั อยา่ งสงู เปน็ อเุ บกขาใน รปู ฌานกต็ ามกย็ งั เปน็ ความปรงุ แตง่ คอื เปน็ สงั ขตธรรม ธรรมที่ปรุงแต่งข้ึน และก็กล่าวได้ว่ายังประกอบด้วย

98 อุเบกขา การวางเฉยอย่างถูกวิธี ตัณหาแม้ที่เป็นอย่างละเอียด เพราะมีตัณหาแม้ท่ีเป็น อย่างละเอียดจึงต้องปรุงแต่ง เมื่อเป็นดั่งน้ีแม้อุเบกขา ในขนั้ นก้ี ย็ งั ไมถ่ งึ ทส่ี ดุ ยงั เกดิ ยงั ดบั ฉะนน้ั ในทางปฏบิ ตั ิ จงึ ใหไ้ มย่ ดึ ถอื ปลอ่ ยวางอเุ บกขาแมท้ เ่ี ปน็ อยา่ งละเอยี ด น้ี เม่ือไม่ยึดถือก็หลุดพ้น เม่ือหลุดพ้นก็เป็นอันบรรลุ อนุตรวิโมกข์ คือความหลุดพ้นอันยอดเย่ียม อันเป็น ธรรมทสี่ น้ิ ตณั หา ไมม่ ตี ณั หา ความดนิ้ รนทะยานอยาก สนิ้ เชิงคือนิพพานอันเปน็ ทสี่ ดุ ดัง่ นก้ี เ็ ป็นทางท่ี ๗ สรปุ วิธปี ฏบิ ัติ ทางที่ ๖ และทางท่ี ๗ นเ้ี ปน็ ทางทล่ี ะเอยี ด สำ� หรบั ทางท่ี ๑ ถงึ ทางที่ ๕ นน้ั เปน็ ทางทพี่ งึ ปฏบิ ตั ไิ ดก้ นั ทว่ั ไป และเมอ่ื ไดก้ ำ� หนดทางทไี่ ดท้ รงสง่ั สอนไว้ และไดฝ้ กึ หดั ปฏิบัติด้วยการท่ีมาก�ำหนดดูให้รู้จักเวทนาท่ีบังเกิดข้ึน ในจิตใจของตนเอง คือ โสมนัส โทมนัส อุเบกขา ตลอดจนถึงความดีใจ ความเสียใจ ท่ีสืบเนอ่ื งกนั ไปว่า