Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 11 บทที่ 4 เครื่องมือการวิจัย

11 บทที่ 4 เครื่องมือการวิจัย

Published by chawanon, 2021-07-20 11:13:10

Description: 11 บทที่ 4 เครื่องมือการวิจัย

Search

Read the Text Version

65 บทที่ 4 เครื่องมือวิจยั การเก็บรวบรวมข้อมลู เปน็ ข้นั ตอนทส่ี าคัญอยา่ งยง่ิ ข้นั ท่หี นง่ึ ของกระบวนการวิจัยซึง่ จะต้อง ใช้วิชาการและเทคนิคต่าง ๆ เพือ่ ให้ได้ข้อมูลที่มีความแมน่ ตรง (Validity) และเชือ่ ถอื ได้ (Reliability) มากท่ีสดุ เปน็ ขั้นตอนท่ตี อ่ เนื่องมาจากการกาหนดมาตรการหรือเครอื่ งมือที่ใชว้ ัด ตัวแปร และ เม่อื เลือกตัวอย่างจากประชากรทั่วไปแล้ว ก็จะมากาหนดต่อไปจะรวบรวมข้อมลู โดยวิธใี ด ข้อมูลและประเภทของขอ้ มูล ความหมายข้อมูล ขอ้ มลู (Data) หมายถึง ขอ้ เท็จจริงต่าง ๆ ท่ีผู้วจิ ัยจะตอ้ งใช้ในการทดสอบสมมุตฐิ าน หรือ ตอบปัญหาการวจิ ัย ดว้ ยเหตนุ ้กี ารที่ผ้วู ิจยั ทาการเกบ็ รวบรวมขอ้ เทจ็ จรงิ ต่าง ๆ ท่เี กย่ี วข้องมา วิเคราะหก์ ็เพื่อตอ้ งการหาข้อสรปุ หรอื ผลการวิจัยนนั่ เอง ประเภทของขอ้ มลู ประเภทของขอ้ มลู ทางสถิติแบ่งออกเปน็ 3 ประเภท คอื 1. แบง่ ตามลกั ษณะของข้อมูล แบง่ ออกเป็น 2 ลักษณะ คือ ขอ้ มูลเชิงปริมาณ (quantitative data) เป็นข้อมูลท่ีสามารถวดั คา่ เป็นตวั เลขได้ และสามารถบอกคา่ ความแตกต่างได้วา่ มีคา่ มากน้อยเพียงใด เปน็ ข้อมูลทส่ี ามารถหาค่าใหอ้ ยู่ในรู อัตราสว่ นได้ ตัวอยา่ งเช่น รายได้ คะแนน ยอดขายสนิ คา้ อัตราดอกเบ้ีย เป็นต้น ถา้ ค่าของขอ้ มลู ท่ี วัดไดเ้ ป็นจานวนเต็มจะเรยี กข้อมูลน้ีวา่ “ขอ้ มูลเชงิ ปริมาณวิยตุ หรอื ขอ้ มลู เชิงปริมาณแบบไม่ต่อเนือ่ ง (quantitative discrete data)” ตวั อย่างเชน่ รถยนต์จานวน 153 คัน เส้อื จานวน 10 ชนิ้ และถ้าค่า ของขอ้ มลู ท่วี ัดได้เปน็ จานวนจริงจะเรยี กขอ้ มลู นวี้ า่ “ขอ้ มูลเชงิ ปริมาณแบบต่อเนื่อง (quantitative continuous data)” ตัวอยา่ งเช่น น้าหนัก 58.56 กิโลกรัม สว่ นสงู 165.87 เซนติเมตร เป็นตน้ ขอ้ มูลเชงิ คุณภาพ (qualitative data) ) เป็นข้อมูลท่ีไมส่ ามารถวัดคา่ ตัวเลขได้ และไม่สามารถบอกค่าความแตกต่างได้ว่ามีคา่ มากน้อยเพียงใด ตวั อยา่ งเชน่ ความชอบ ความพึง พอใจ ทศั นคติ เป็นตน้ แต่สามารถกาหนดตวั เลขให้กบั ข้อมูลเชิงคุณภาพได้เพื่อนาไปใช้ในการคานวณ ตอ่ ไป ตวั อย่างเชน่ 5=ชอบมากท่สี ดุ 4=ชอบมาก 3=ชอบปานกลาง 2=ชอบนอ้ ย 1=ชอบน้อยทีส่ ดุ เปน็ ตน้ 2.แบ่งตามประเภทของแหล่งข้อมลู ขอ้ มูลทจี่ ะนามาใช้ในการวจิ ยั สามารถทจี่ ะเกบ็ ข้อมลู จากแหลง่ ใหญ่ ๆ ได้ 2 แหลง่ ด้วยกนั คือ แหลง่ ปฐมภูมิ (Primary Source) เปน็ การเกบ็ ข้อมูลจากแหล่งกาเนิดข้อมูลโดยตรง เชน่ ขอ้ มูลที่ไดจ้ ากการใช้แบบทดสอบ แบบสอบถาม การสัมภาษณ์ การทดลอง หรือการใช้แบบสารวจ ตา่ ง ๆ เปน็ ต้น

66 แหลง่ ทตุ ิยภูมิ (Secondary Source) เปน็ การเกบ็ ข้อมูลท่ีมใิ ชแ่ หล่งกาเนดิ ขอ้ มูลโดยตรง แต่ไปเกบ็ รวบรวมจากแหลง่ ท่ีมกี ารเก็บรวบรวมไว้แล้ว เชน่ ข้อมูลจากสานักงานสถิติแหง่ ชาติ สานักงานสถติ ิจังหวัด สามะโนประชากรและข้อมูลจากศูนย์สารสนเทศตา่ ง ๆ เปน็ ตน้ 3. แบ่งตามมาตราของข้อมูล ข้อมลู ต่าง ๆ ทเี่ กบ็ รวบรวมได้สามารถแบง่ ออกตามมาตราของการวัดได้เป็น 4 ระดบั คอื มาตรานามบญั ญตั ิ (Nominal Scale) เปน็ การวดั ในลักษณะของการจาแนกสิ่งตา่ ง ๆ ออกเปน็ จาพวก ประเภทหรอื ชนิด ตามลักษณะหรือคุณสมบตั ิหรอื คุณภาพ โดยกาหนดเป็นช่ือหรอื ตวั เลขใหก้ บั การจาแนกน้ัน ๆ เช่น จาแนกคนตามเพศแลว้ กาหนดชอื่ เรียกเปน็ ชาย หญงิ จาแนก ระดบั การศกึ ษาเปน็ ตา่ กว่าปรญิ ญาตรี ปรญิ ญาตรีและสูงกวา่ ปรญิ ญาตรี ส่วนทีจ่ าแนกแล้วกาหนด เป็นตวั เลข เช่น หมายเลขโทรศพั ท์ บ้านเลขที่ รหสั ไปรษณยี ์ หมายเลขประจาตวั นักกีฬา หมายเลขรถ ตวั เลขที่กาหนดใหไ้ ม่สามารถนามาบวก ลบ คณู หาร กนั ได้ เพราะจะไม่มี ความหมายใด ๆ ในเชงิ ปรมิ าณ สรปุ ไดว้ ่ามาตรานามบัญญัตเิ ป็นการกาหนดชอ่ื หรือหมายเลขให้กบั สิ่งนั้น ๆ เพ่อื ประโยชน์ในการสอ่ื ความหมายให้เขา้ ใจได้ตรงกนั มาตราเรยี งลาดบั (Ordinal Scale) เป็นการวดั ในลกั ษณะของการเปรยี บเทียบกนั ภายในกลมุ่ วา่ ดกี ว่า สวยกว่า สูงกว่า ต่ากวา่ มากกวา่ นอ้ ยกว่า โดยการกาหนดอันดบั ที่ให้กับสง่ิ ตา่ ง ๆ ตามลกั ษณะหรือคุณสมบตั หิ รือคุณภาพของส่งิ นน้ั การเปรยี บเทียบนีไ้ มส่ ามารถบอกได้วา่ มากกวา่ น้อยกวา่ กนั เทา่ ใด ดงั นัน้ ตัวเลขลาดบั ที่เหล่านั้นไมส่ ามารถนามาบวก ลบ คูณ หาร ได้ เพราะไม่มีความหมายเชงิ ปรมิ าณ มาตราอนั ตรภาค (Interval Scale) เปน็ การวดั ทมี่ กี ารแบ่งเป็นช่วง แตล่ ะชว่ งมีขนาด เทา่ กนั โดยมจี ดุ เรมิ่ ตน้ ท่เี รยี กว่า จดุ ศูนยส์ มมุติ (Arbitrary Zero) ยังไม่ใช่จุดศนู ยแ์ ท้ ตัวเลขทไ่ี ด้ จากการวัดจงึ บอกไดเ้ พียงว่าสง่ิ น้ัน ๆ มปี รมิ าณมากกวา่ หรือน้อยกว่ากันเท่าไร แต่ไม่สามารถบอกว่า มากหรือน้อยเปน็ กเี่ ทา่ ของซึง่ กันและกัน เชน่ การวดั อณุ หภมู ิ 0 องศาเซลเซียส ไมไ่ ดห้ มายความ ว่า ไม่มคี วามร้อนอย่เู ลย คะแนนจากการสอบวัดต่าง ๆ เช่น ผลการสอบวิชาสถติ ิ ก สอบได้ 40 คะแนน ข สอบได้ 10 คะแนน ก็บอกได้เพียงวา่ ก สอบได้มากกว่า ข 30 คะแนน แต่ ไมไ่ ดห้ มายความว่า ก มีความรเู้ ป็น 4 เทา่ ของ ข และผทู้ ส่ี อบได้ 0 คะแนนก็ไม่ได้หมายความ ว่า เขาไมม่ ีความรเู้ ลย เพียงแตเ่ ขาทาข้อสอบท่ีกาหนดให้ไมไ่ ด้เลยเท่านนั้ มาตราอตั ราส่วน (Ratio Scale) เป็นการวดั ท่ีมีการแบ่งออกเปน็ ชว่ ง ๆ แต่ละช่วงมีขนาด เท่ากันตลอด และมีจุดเริม่ ต้นท่จี ดุ ศูนย์แท้ (Absolute zero) จงึ ทาใหส้ ามารถบอกผลของการวดั วา่ เปน็ กเี่ ทา่ ของซึ่งกันและกนั ได้ เช่น การวัดน้าหนัก A หนัก 45 ก.ก. B หนกั 135 ก.ก. B หนกั กว่า A 90 ก.ก. B หนักเป็น 3 เทา่ ของ A น้าหนัก 0 ก.ก. หมายความวา่ ไม่มนี ้าหนักเลย การวดั ส่วนสูง ความยาว ระยะทาง อยู่ในมาตราอัตราส่วน

67 เคร่ืองมือท่ใี ชใ้ นการเกบ็ รวบรวมข้อมูล เคร่อื งมือท่ีใช้ในการเกบ็ รวบรวมข้อมูลการวิจัยมหี ลายประเภท อาจจะเป็นเครื่องมือวิจัยที่ ผวู้ ิจยั สรา้ งข้นึ มาใหม่หรอื ดดั แปลงเครือ่ งมือของผู้อนื่ ที่ศึกษาวิจัยในเรื่องที่คล้ายๆ กัน หรืออาจจะใช้ เคร่ืองมือท่ีมีผอู้ ่ืนสรา้ งไว้แล้วทง้ั หมดเลยก็ได้ ตวั อย่างเครื่องมอื ท่ีใชใ้ นการเก็บรวบรวมข้อมูลการ วิจัย เชน่ แบบทดสอบ แบบสังเกตพฤติกรรม แบบสมั ภาษณ์ แบบตรวจสอบรายการ แบบสอบถาม แบบ บันทึกข้อมลู แบบสารวจ เปน็ ต้น การเลือกใช้เครือ่ งมือเกบ็ รวบรวมข้อมลู การวจิ ัย การเลือกใช้เครือ่ งมือเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู การวจิ ัยเร่ิมจากการพจิ ารณาชนดิ ของข้อมูล จากน้นั เลือกวธิ กี ารและเคร่ืองมือเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ทเ่ี หมาะสมกบั ลกั ษณะของข้อมลู ชนดิ ของ ขอ้ มลู แบ่งได้ เปน็ 4 กลมุ่ มีวิธกี ารและเครื่องมือเก็บรวบรวมข้อมลู สรุปได้ดังตาราง 1 ตาราง 1 ชนิดข้อมูล วธิ ีการ และเครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูล ชนดิ ของข้อมลู วิธีการ เคร่อื งมือ 1.ด้านความรู้ ความสามารถ 1.การทดสอบเชงิ ทฤษฎี 2.การทดสอบเชงิ ปฏิบัติ 1.แบบทดสอบภาคทฤษฎี 2.ด้านความรูส้ กึ ความคิดเห็น 3.การประเมินทักษะ 2.แบบทดสอบภาคปฏิบตั ิ เจตคติ 4.การประเมนิ ผลงาน 3.แบบประเมินทกั ษะ 1.การสะท้อน ความรู้สกึ ความ 4.แบบประเมนิ ผลงาน 3.ดา้ นพฤติกรรม คิดเห็น 2.การวัดเจตคติ 3.การประมาณคา่ 1.แบบสอบถาม 4.การสังเกต 2.แบบวดั เจตคติ 3.มาตรประมาณคา่ (rating 1.การสังเกต scale) 2.การตรวจสอบประวตั ิ 4.แบบบันทกึ การสังเกต 3.การสอบถาม 5.แบบสารวจรายการ การสมั ภาษณ์ผทู้ เ่ี กย่ี วขอ้ ง 1.แบบบนั ทกึ การสงั เกต แบบสารวจรายการ 2.แบบบนั ทกึ ข้อมูล 3.แบบสอบถาม แบบบันทกึ การสัมภาษณ์ 4.ดา้ นปฏิสมั พันธ์ 1.เทคนคิ สงั คมมติ ิ 1.แบบวัดเจตคติ แบบสอบถามความต้องการ 2.การสงั เกต 2.แบบบนั ทกึ การสังเกต แบบตรวจสอบรายการ ท่ีมา: ทิวัตถ์ มณโี ชติ, 2554: 105-106.

68 การสรา้ งเครอื่ งมือ ขอ้ มลู ที่ผูว้ จิ ยั ต้องการรวบรวมนน้ั อาจจะรวบรวมข้อมลู จากแหล่งปฐมภูมหิ รือข้อมลู จาก แหลง่ ทตุ ยิ ภูมิก็ได้ ตามลักษณะของงานวิจัย แตใ่ นการเก็บรวบรวมข้อมูลนนั้ จะตอ้ งมเี ครื่องมือทม่ี ี คุณภาพดี ข้อมูลจงึ จะเชอื่ ถอื ได้ และในการใช้เครือ่ งมือเกบ็ รวบรวมข้อมูลก็ควรจะสอดคลอ้ งกบั จุดม่งุ หมายของการวจิ ยั ด้วย ในการเกบ็ รวบรวมข้อมูล อาจจะพจิ ารณาไดจ้ ากเคร่ืองมือทีใ่ ช้อย่ใู น ปจั จบุ ันดงั นีค้ อื 1. แบบสอบถาม (Questionnaire) 2. การสังเกต (Observation) 3. การสมั ภาษณ์ (Interview) 4. แบบทดสอบ (Test) แบบสอบถาม (Questionnaire) แบบสอบถามหรือแบบสารวจ หมายถงึ รายการคาถามทเ่ี ตรียมไวเ้ พื่อถามเรอ่ื งใดเรือ่ งหนงึ่ อนั จะทาให้ได้ข้อเทจ็ จริงต่าง ๆ ทง้ั ในอดตี ปจั จบุ ัน และการคาดคะเนเหตกุ ารณ์ในอนาคต แบบสอบถามหรือแบบสารวจ เป็นเคร่ืองมือชนิดหน่ึงทีน่ ยิ มใชก้ นั มากในงานวจิ ัยเชิงสารวจ ทั้งน้ีเพราะเปน็ วิธีการท่ีสะดวกและสามารถใช้วดั ได้อย่างกว้างขวาง รปู แบบของแบบสอบถามส่วน ใหญ่จะมี 2 ลกั ษณะ คือ 1. แบบปลายเปดิ (Opened form) เป็นแบบสอบถามท่ีไม่ได้กาหนดคาตอบไว้แต่เปิดโอกาส ใหผ้ ู้ตอบตอบอยา่ งอิสระ ตัวอย่าง 1. ทา่ นไดร้ ับประโยชนอ์ ยา่ งไรบ้างในการเข้ารบั การฝึกอบรมเรือ่ งการวจิ ัยเชงิ ปฏบิ ัตกิ ารในคร้งั น้ี 1.1…………………………………………………………………………. 1.2…………………………………………………………………………. 2. ในการจัดฝึกอบรมสมั มนาเกี่ยวกับการวจิ ัยครั้งต่อไป ควรเน้นหลักในเร่ืองใด 2.1……………………………………………………………………… 2.2……………………………………………………………………… ในการทาวจิ ยั ผู้วิจยั ควรหลกี เลย่ี งการสร้างแบบสอบถามปลายเปดิ ดว้ ยทผ่ี ตู้ อบส่วนใหญ่ มักจะไมต่ อบเพยี งเลก็ น้อย อีกทัง้ เปน็ คาถามเพื่อตอบยากเสยี เวลาในการตอบ และสรปุ ผลการวจิ ยั ยากอีกด้วย สว่ นใหญม่ ักสร้างแบบสอบถามปลายเปิด ทดลองใชเ้ พื่อหาคาตอบตา่ ง ๆ ท่ีจะเป็นไปได้ แล้วนามาสร้างเปน็ แบบสอบถามปลายปดิ 2. แบบปลายปดิ (Closed form) เป็นแบบสอบถามท่ีกาหนดตัวเลือกแลว้ ใหผ้ ู้ตอบ เลือกตอบจากตัวอยา่ งท่ีกาหนดไว้ให้ทต่ี รงตามความจรงิ เก่ียวกับผู้ตอบจานวนตัวเลอื กท่ีใหเ้ ลอื กตอบ มีไดห้ ลายลกั ษณะ อาทิ - แบบตรวจสอบรายการ (Check list) - แบบหลายตัวเลอื ก (Multiple Choice) - แบบจดั อันดบั ความสาคญั (Ranking)

69 - แบบมาตราส่วนประเมนิ ค่า (Rating Scale) ตัวอย่าง แบบตรวจสอบรายการ (Check list) 1. วุฒกิ ารศึกษาของทา่ น [ ] ตา่ กว่าปรญิ ญาตรี [ ] ปริญญาตรขี ึ้นไป 2. ท่านเคยมปี ระสบการณ์ดา้ นการบริหารหรือไม่ [ ] มี [ ] ไมม่ ี ตัวอยา่ ง แบบหลายตัวเลอื ก (Multiple Choice) 1. โครงการพฒั นาคณาจารย์ควรมกี ารดาเนินการอย่างไร (โปรดตอบเพยี ง 1ขอ้ ) [ ] โครงการเฉพาะภาคเรียน [ ] โครงการเฉพาะกจิ ตามความจาเป็น [ ] โครงการระยะยาวตามแผนพัฒนามหาวทิ ยาลัย 2. หน่วยงานทม่ี หี น้าทีร่ ับผิดชอบงานดา้ นพฒั นาคณาจารย์ควรอยู่ในลักษณะใด (โปรดตอบ เพียง 1 ขอ้ ) [ ] หน่วยงานกลางมคี ณาจารย์จากคณะต่าง ๆ รว่ มดาเนนิ งาน [ ] หนว่ ยงานท่ีมีเจ้าหน้าท่ีเป็นของตนเองขึน้ ตรงกบั อธิการบดี [ ] หน่วยงานท่ีรวมอยใู่ นแผนกบุคลากร [ ] หนว่ ยงานท่รี วมอยูใ่ นศูนยธ์ ุรกิจวิทยบริการ ตัวอย่าง แบบจดั อันดับความสาคัญ (Ranking) 1. ทา่ นมคี วามต้องการให้มหาวิทยาลัยจัดกจิ กรรมเพื่อการพัฒนา คณาจารยใ์ นดา้ นใด ลงหมายเลขตามลาดบั ความสาคญั ; 1 = มากทีส่ ุด และ เรยี งลาดับไปเรื่อย ๆ [ ] ดา้ นการเรยี นการสอน [ ] ด้านการวิจยั [ ] ดา้ นการบริการสังคม [ ] ด้านการทานบุ ารุงศลิ ปวัฒนธรรม ตัวอย่าง แบบมาตราส่วนประเมินค่า (Rating Scale) 1. ทา่ นมคี วามต้องการจัดกจิ กรรมในเร่ืองการวจิ ัยเพื่อเสริมการสอนเพียงใด [ ] มากท่ีสุด [ ] มาก [ ] ปานกลาง [ ] น้อย [ ] ไมต่ ้องการ

70 ตัวอยา่ ง แบบเลือกตอบได้มากกว่า 1 ตวั เลอื ก 1. ทา่ นคิดวา่ หน่วยงานพฒั นาคณาจารยค์ วรมีขอบเขตการดาเนนิ งานอย่างไร (ตอบ ไดม้ ากว่า 1 ขอ้ ) [ ] เปน็ ศูนยฝ์ กึ อบรม [ ] หน่วยพัฒนาการเรยี นการสอนของอาจารย์ [ ] บริการทางวิชากรเพื่อเสริมความรู้และทักษะด้านการเรยี นการสอน [ ] วจิ ัยเกีย่ วกับงานพฒั นาคณาจารยแ์ ละปัญหาการเรยี นการสอน [ ] เผยแพรค่ วามรูท้ างวชิ าการแกค่ ณาจารยใ์ นรูปของเอกสาร วารสาร จุลสาร ฯลฯ [ ] เปน็ ศูนย์กลางประสานงานกับคณะและภาควชิ าตา่ ง ๆ โดยใหค้ วาม ชว่ ยเหลืองบประมาณ อุปกรณ์ วทิ ยากร [ ] หน่วยงานพิจารณาและจัดสรรคณาจารย์ดูงานฝึกอบรมหรือศกึ ษาต่อ ข้นั ตอนในการสรา้ งแบบสอบถาม ในการสรา้ งแบบสอบถามควรดาเนินตามขน้ั ตอนดงั นี้ 1. วเิ คราะหล์ ักษณะของขอ้ มูลทต่ี ้องการ โดยการวเิ คราะหจ์ ดุ ประสงค์ในการวิจัย กาหนด โครงสรา้ งเนอื้ หาของแบบสอบถาม และรายละเอียดของข้อมลู ต่าง ๆ ทีต่ ้องการ 2. กาหนดรปู แบบคาถาม โดยทาการศึกษาวธิ กี ารสร้างแบบสอบถามจากตาราต่าง ๆ และ จากงานวิจัยทีเ่ ก่ยี วข้อง 3. เขยี นแบบสอบถามฉบับร่าง โดยเขียนตามโครงสร้างเน้ือหาในข้นั ท่ี 1 และตามหลักในการ สร้างและรูปแบบทีก่ าหนดในขั้นที่ 2 4. ให้ผ้เู ชี่ยวชาญพจิ ารณา โดยให้ผู้เชี่ยวชาญพจิ ารณาความถูกต้อง ความเท่ียงตรงของข้อคาถาม แตล่ ะข้อ นาเอาข้อวิเคราะห์เหลา่ นัน้ มาพิจารณาแก้ไขใหเ้ หมาะสม 5. ทดลองใชแ้ ละปรับปรุง โดยนาไปทดลองให้กับผทู้ ่มี ลี ักษณะคล้ายกลุม่ ตวั อย่างประมาณ 5-10 เพ่ือพจิ ารณาความแจ่มชัดของข้อคาถามตา่ ง ๆ หลงั จากตอบเสร็จแล้ว ทาการสัมภาษณ์ผตู้ อบ เกีย่ วกับความเข้าใจในข้อความต่าง ๆ และปัญหาที่พบในขณะตอบ รวมทง้ั ให้วจิ ารณ์แบบสอบถามนั้น ดว้ ย แล้วนาขอ้ มลู เหล่านนั้ มาพิจารณาปรบั ปรุงแบบสอบถาม 6. พิมพ์แบบสอบถามฉบับจริง โดยคานึงถึงความแจ่มชัดในการอธบิ ายจุดประสงค์และวธิ ีตอบ และพจิ ารณาความถูกต้องในเน้ือหาสาระและการพิมพ์ จัดรูปแบบการพิมพใ์ ห้สวยงาม ดังแผนภาพ แสดงขั้นตอนการสร้างแบบสอบถามดงั น้ี

71 1. วเิ คราะห์ลกั ษณะขอ้ งขอ้ มูลท่ีตอ้ งการ 2. ศึกษาวธิ ีสร้างแบบสอบถามและ กาหนดรูปแบบของแบบสอบถาม 3. เขียนแบบสอบถามฉบบั ร่าง 4. ใหผ้ เู้ ชี่ยวชาญพจิ ารณา 5. ทดลองใชแ้ ละปรับปรุง 6. พิมพแ์ บบสอบถามฉบบั จริง ภ1หา.พลกกัทาใ่ีหนนก5ดา.รจ1สดุ รมแ้าุ่งสงหแดมบงาบขยน้ัทสตอ่แี อบนนน่ถากอมนารวสา่ ตรอ้้างงกแาบรบถสามออบะถไารมบา้ ง 2. สร้างคาถามให้ตรงจุดมงุ่ หมายและให้ครอบคลมุ เร่ืองท่ศี ึกษา 3. ควรมโี ครงสร้างของแบบสอบถามครบ 3 ส่วน คือ คาชี้แจง ข้อมูลส่วนตวั และข้อมูล เกย่ี วกับเร่ืองทีต่ ้องการศกึ ษา 4. ไม่ควรใหม้ ีข้อคาถามมากเกินไป เพราะจะทาใหผ้ ูต้ อบเบื่อหน่ายและจะไมไ่ ด้รับความ รว่ มมือ 5. ลักษณะของแบบสอบถามทด่ี ีคอื 5.1 คาถามควรสัน้ กระทดั รดั ดงึ ดูดความสนใจของผตู้ อบ 5.2 คาถามควรมงุ่ คาตอบทีเ่ ฉพาะเจาะจง 5.3 คาถามไมแ่ นะคาตอบ

72 5.4 คาถามควรถามติดตอ่ กนั ไป จากง่ายไปยากตามลาดับ 5.5 ภาษาท่ีใช้ควรให้เหมาะสมกับกล่มุ ตวั อยา่ ง 5.6 รูปแบบของคาถามนา่ สนใจ และพิมพช์ ัดเจน เทคนคิ สาคญั ในการเก็บรวบรวมข้อมูลจากแบบสอบถาม ปัญหาสาคัญของการเกบ็ ข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามกค็ ือไดร้ ับแบบสอบถามมาน้อย เทคนิค สาคญั ทีจ่ ะนาเสนอเพ่ือให้ได้แบบสอบถามกลับคืนมาใหไ้ ด้มากทีส่ ดุ คือ 1. ควรจะได้ขอความรว่ มมอื ในการตอบแบบสอบถาม โดยชีแ้ จงหรอื เขยี นเปน็ จดหมายนา ถงึ วตั ถุประสงค์ของการวิจัย และประโยชน์ของการวิจยั ว่ามอี ะไรบา้ ง พร้อมทงั้ สัญญารับรองวา่ จะ เกบ็ คาตอบไว้เป็นความลบั และจะสง่ ผลการวจิ ัยในภายหลังดว้ ย 2. การเก็บรวบรวมข้อมลู โดยผา่ นทางหน่วยงานตน้ สังกัดของกลมุ่ ตวั อย่างหรอื ผ่านไปทาง เพอื่ นสนิทของกล่มุ ตวั อยา่ ง ก็เป็นวิธีการหนึง่ ท่ีจะชว่ ยให้ได้แบบสอบถามคนื มากเช่นเดยี วกนั 3. การให้ความสนใจติดตามผลแบบสอบถามคนื เปน็ ระยะ ๆ หรอื การเดนิ ทางไปติดตามผล ด้วยตนเอง เพื่อความเกรงใจของผตู้ อบแบบสอบถาม 4. การมีมนษุ ย์สมั พันธท์ ีด่ ีในการเกบ็ รวบรวมข้อมูล 5. ควรจัดพมิ พ์แบบสอบถามใหม้ ีรปู แบบทีน่ ่าสนใจสวยงาม ดึงดดู ตามความสนใจในการตอบ 6. ใหค้ วามสะดวกแกผ่ ูต้ อบในการส่งแบบสอบถามคืนหลงั จากตอบเสร็จอาจใช้วิธีแนบซองที่ จ่าหนา้ ถึงผู้วจิ ยั พรอ้ มท้งั ติดแสตมป์ใหเ้ รยี บรอ้ ย 7. กาหนดชว่ งเวลาการตอบไม่เรว็ หรือนานจนเกินไป 8. แนบส่ิงของมอบเปน็ ท่ีระลึก เช่น เข็มกลัดตดิ เส้ือ ไม้บรรทดั เลก็ ดินสอสี ท้อฟฟ่ี และสิ่งของ ประเภทกิ๊ฟชอปตา่ ง ๆ ตดิ ไปกบั แบบสอบถาม เพอ่ื เปน็ รางวลั จูงใจ (Reinforcement) ในการตอบ แบบสอบถาม ขอ้ ดี ข้อเสียของการเกบ็ ขอ้ มูลโดยใชแ้ บบสอบถาม ข้อดี 1. ประหยดั เวลา งบประมาณ 2. ไดข้ ้อมูลข้ันปฐมภูมิ (Primary Data) 3. ผ้ตู อบมอี สิ ระในการตอบ ข้อเสยี 1. ข้อมลู จะเชื่อถือไดห้ รือไมข่ ึ้นอยู่กับความซื่อสตั ย์ของผู้ตอบ 2. สว่ นมากมักจะยาว ทาใหเ้ สียเวลาผูต้ อบ 3. ผ้วู จิ ัยไมส่ ามารถกระตุ้นให้ผู้ตอบตอบได้ การสังเกต (Observation) การสังเกต คือ การพจิ ารณาปรากฎการณ์ตา่ ง ๆท่ีเกิดข้ึน เพอื่ คน้ หาความจริงของ ปรากฎการณน์ ั้น โดยอาศยั ประสาทสัมผสั ของผสู้ งั เกตโดยตรง ผสู้ ังเกตจะต้องมีการบนั ทกึ สิง่ ทส่ี งั เกต

73 ได้เสมอ ซ่ึงอาจจะบนั ทึกไดห้ ลายลักษณะ แตก่ ารบนั ทกึ ผลการสงั เกตท่ีนับวา่ สะดวกมากกค็ อื การใช้ เคร่อื งมือบนั ทึกประกอบการสังเกตท่ีสาคัญ ได้แก่ 1. แบบตรวจสอบรายการ (Check-lists) มีลักษณะเปน็ ชุดของข้อความทบ่ี ง่ ถงึ พฤติกรรม บุคลกิ ลกั ษณะ หรือกิจกรรมต่าง ๆ ไว้ แล้วผู้สังเกตจะจดบันทึกเฉพาะพฤติกรรมทสี่ ังเกตเห็นได้ 2. มาตราสว่ นประมาณคา่ (Rating Scales) มีลกั ษณะเป็นชุดของคาถามหรือข้อความที่บอก ระดับมากนอ้ ย ซ่ึงมีต้งั แต่ 3 ระดับขน้ึ ไป แล้วใหผ้ ้สู ังเกตเป็นผบู้ นั ทึกและประเมนิ ตามความร้สู ึกของผู้ สงั เกต ลักษณะของการสังเกตที่ดี เพ่อื ให้การสงั เกตมคี วามถูกต้องเท่ียงตรง ลดความลาเอียงและอคติของผู้สังเกตจึงขอกล่าว หลักเกณฑ์สาคญั บางประการในการสังเกต ดังน้ีคือ 1. มจี ดุ มุง่ หมายในการสงั เกตที่แน่นอน เฉพาะเจาะจงการสังเกตเปน็ อย่าง ๆ โดยจะต้อง กาหนดพฤตกิ รรมทตี่ ้องการสังเกตให้ชดั เจนที่สดุ เท่าที่จะทาได้ 2. มกี ารวางแผนแนน่ อน เช่น วิธีการ เวลา การจดบันทกึ เป็นตน้ 3. ควรใช้เครือ่ งมืออื่น ๆ ประกอบการสังเกต เชน่ แบบตรวจสอบรายการหรือมาตราส่วน ประมาณค่า เพื่อให้สามารถประเมนิ ผลการสังเกตได้ง่ายและสะดวกรวดเรว็ ข้ึน 4. ต้องจดบันทึกทท่ี ีส่ งั เกตเห็น เพอื่ ป้องกนั การหลงลืม ความสับสน และควรระมัดระวังใน เรื่องความลาเอยี งหรือความมีอคตดิ ้วย 5. ควรบนั ทึกเฉพาะสง่ิ ทส่ี ังเกตเหน็ เทา่ นัน้ โดยไม่ตีความหมายในขณะนัน้ และไม่ตอ้ งใส่ ความรสู้ กึ สว่ นตัวเขา้ ไปเกยี่ วข้องดว้ ย 6. ข้อมูลที่ไดจ้ ากการสังเกตสามารถทาซ้า และตรวจสอบกับคนอ่ืน ๆ ได้ อนั จะทาใหข้ ้อมลู มี ความเช่อื ถือไดม้ ากยิ่งขึน้ คณุ สมบตั ิทีด่ ีของผสู้ ังเกต ผู้สังเกตที่ดีควรจะมลี ักษณะดังต่อไปนี้ 1. มีความตง้ั ใจในการสังเกต สามารถกาหนดตนเองใหม้ ีสมาธิ และมคี วามตนื่ ตัวอยเู่ สมอ 2. มสี ัมผสั ที่รวดเร็วและมปี ระสิทธภิ าพ 3. มคี วามสามารถทจ่ี ะจดบันทกึ เหตุการณไ์ ดร้ วดเรว็ และถูกตอ้ ง 4. สามารถควบคมุ ความลาเอียงส่วนตวั ได้ 5. มคี วามสามารถในการวนิ ิจวิเคราะห์ เพ่อื การแปลความ ตคี วามและสรปุ ความทส่ี งั เกตได้ อย่างถูกต้อง ข้อดีข้อเสยี ของการสังเกต การเกบ็ รวบรวมข้อมูลมีทั้งข้อดแี ละข้อเสยี จะขอแยกกลา่ วดังต่อไปน้ี ขอ้ ดี จาแนกเปน็ ข้อ ๆ ได้ดงั น้ี 1. มองเหน็ พฤติกรรมทีต่ ้องการจะสังเกตในสถานการณ์จริง ๆ 2. ไมเ่ ป็นการรบกวนผถู้ ูกสังเกต 3. ข้อมูลที่ได้เปน็ ข้อมูลปฐมภูมิ

74 4. สามารถจดบนั ทกึ เหตกุ ารณ์ หรอื พฤตกิ รรมที่ต้องการได้ทันทีที่สังเกต ซ่งึ มีความ คลาดเคลอื่ นน้อย 5. พฤติกรรมทไ่ี ดจ้ ากการสงั เกตเปน็ พฤตกิ รรมจริงมากกวา่ เปน็ การแสร้งทา ข้อเสีย จาแนกเปน็ ข้อ ๆ ได้ดงั นี้ 1. การสังเกตบางครัง้ กระทาไม่ได้โดยสะดวก เชน่ เรื่องสว่ นตวั เร่อื งค่านยิ มต่าง ๆ เป็นต้น 2. เสียเวลามาก ลงทนุ มาก และตอ้ งเกบ็ ข้อมูลดว้ ยตนเอง 3. พฤติกรรมบางอย่างใช้การสังเกตไมไ่ ด้ 4. กระทาได้ไม่ครบถ้วนทุกแง่ทกุ มมุ ตามที่ตอ้ งการ และบางครั้งอาจจะไม่ไดส้ ังเกต พฤติกรรมท่ีควรสงั เกต 5. การสรปุ ผลอาจคลาดเคล่ือน เนื่องจากมีอคติหรือความลาเอยี งส่วนตัวเข้ามาเก่ยี วข้องด้วย ตวั อย่าง แบบสงั เกตการณ์พฤติกรรมการสอนวชิ าคณิตศาสตร์ของนิสติ ฝกึ สอน ช่ือนิสิตฝกึ สอน…………………………………………………….ฝึกสอนชน้ั ………………….. วนั ที่……………………………………………เวลา …………………………………………….. โรงเรียน………………………………………………จังหวดั …………………………………… ขอ้ รายการพฤติกรรม ปฏบิ ตั ิ ไม่ปฏิบตั ิ หมายเหตุ 1 เตรยี มอปุ กรณ์เพอื่ นาเข้าสูบ่ ทเรียน……………………… ……… ……… ……… 2 มกี ารสอบถามผเู้ รียน…………………………………….. ……… ……… ……… 3 เรียงลาดบั อุปกรณ์สะดวกตอ่ การใช้……………………… ……… ……… ……… 4 มีการทดสอบหลังจบบทเรยี น……………………………. ……… ……… ……… ฯลฯ การสัมภาษณ์ (Interview) การสมั ภาษณ์ คือ การเก็บข้อมลู โดยใชก้ ารพดู โดยมีจุดมุ่งหมายทแ่ี น่นอนมีการวางแผนท่ี รดั กมุ เพอ่ื ให้ได้ข้อมลู ทีต่ อ้ งการ แบบของการสมั ภาษณส์ ามารถจาแนกได้ 2 แบบ คือ 1. การสมั ภาษณ์แบบมโี ครงสร้าง (Structured interview) เป็นการสัมภาษณ์ตามแบบ สมั ภาษณท์ ่สี รา้ งขน้ึ ไวก้ ่อนแล้ว โดยใช้คาถามเปน็ แบบเดียวกันกบั ผู้ถูกสมั ภาษณ์ทุกคน 2. การสมั ภาษณ์แบบไม่มโี ครงสร้าง (Unstructured interview) เป็นการสัมภาษณ์ทไ่ี มใ่ ช่ แบบสมั ภาษณ์ เพ่ือให้ผู้สัมภาษณ์และผู้ถกู มีอิสระในการถาม-ตอบได้อยา่ งเต็มที่ ใชค้ าถามยืดหย่นุ ได้ ตามความเหมาะสม

75 ลักษณะของการสัมภาษณท์ ี่ดี 1. ควรจะสร้างบรรยากาศความคุ้นเคย และทาให้ผสู้ ัมภาษณไ์ ว้ใจ 2. รักษาบรรยากาศให้เปน็ ไปตามธรรมชาติ 3. ไวตอ่ ความรสู้ กึ ของผูใ้ ห้สัมภาษณ์ และมองเหตุการณ์อย่างยุติธรรม 4. กะเวลาสัมภาษณใ์ ห้พอเหมาะและเตรยี มคาถามไว้ลว่ งหนา้ หลาย ๆ แบบ 5. ไม่ควรให้คาแนะนาแก่ผูใ้ ห้สัมภาษณ์ และอย่าเอาอารมณ์เขา้ ไปเกย่ี วข้องกับการสัมภาษณ์ 6. แตล่ ะคาถามควรมีคาตอบเดียว และหลีกเลย่ี งคาถามทีเ่ สนอแนะคาตอบ คุณสมบัตทิ ดี่ ขี องผ้สู มั ภาษณ์ ผสู้ มั ภาษณ์ที่ดีควรจะมคี ุณสมบตั ิทส่ี าคัญ ดงั นี้ 1. มมี นษุ ยส์ มั พันธด์ ี เพื่อใหส้ ามารถทางานร่วมกบั คนอ่นื ได้ 2. มไี หวพรบิ ดี เพ่ือการแก้ปัญหาเฉพาะหนา้ ไดท้ นั ต่อเหตุการณ์ 3. มีความละเอียดรอบคอบ เพือ่ นาขอ้ มลู ในเรอื่ งใหญ่และเร่ืองเล็ก ๆ ไปประกอบการแปล ความหมายที่ถูกต้อง 4. มีความรแู้ ละความสนใจในเร่อื งท่จี ะสัมภาษณ์ เพื่อจะได้มีความเข้าใจในข้อคาถาม และ ตคี วามหมายข้อมลู ได้อยา่ งถูกต้อง 5. มีความยตุ ธรรม เพื่อควบคุมความลาเอยี งส่วนตัวได้ และไมม่ ีอคตติ ่อข้อมูลที่ได้มา ข้อดแี ละข้อเสียของการสมั ภาษณ์ การเก็บรวบรวมข้อมูลโดยการสมั ภาษณ์ มที ้งั ขอ้ ดีและข้อเสยี จะขอแยกกลา่ วดงั ต่อไปน้ี ข้อดี จาแนกเปน็ ข้อ ๆ ได้ดงั นี้ 1. ช่วยแกป้ ัญหาการไดร้ ับแบบสอบถามคนื น้อย 2. ไดข้ ้อมูลโดยตรงจากผ้ถู ูกสัมภาษณ์ 3. สามารถซักถามข้อมลู บางอย่าง ที่กลุ่มตวั อยา่ งไม่กลา้ เปิดเผยจาการตอบแบบสอบถามได้ 4. ผู้ตอบมักจะพยายามตอบ เพราะมคี วามเกรงใจ ขอ้ เสยี จาแนกเป็นข้อ ๆ ได้ดังน้ี 1. ส้นิ เปลืองเวลา ค่าใช้จ่าย และกาลังคน 2. ผ้ตู อบอาจเกิดความกลัว หรือเกิดอารมณ์ ทาให้ขอ้ มูลบิดเบือนได้ 3. ความเช่ือถือของข้อมูลน้อย ถา้ ไม่ได้รับความร่วมมือจากผ้ถู ูกสัมภาษณ์ดเี ท่าที่ควร ตวั อยา่ ง แบบสมั ภาษณ์ความคิดเหน็ ในงานวิจัยเรื่อง การพฒั นาคณาจารย์ในมหาวิทยาลัยเอกชนไทย 1. มหาวทิ ยาลัยมีความต้องการที่จะพัฒนาคณาจารย์ โดยเน้นภารกจิ ดา้ นใดในอนาคต เพราะเหตุใด……………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………… 2. ปญั หาอุปสรรคและแนวทางแกไ้ ขในการพฒั นาคณาจารยใ์ นแตล่ ะด้าน 2.1 ด้านการเรียนการสอน………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………

76 2.2 ดา้ นการการวจิ ัย……………………………………………………………… …………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………… 2.3 ดา้ นบริการทางวชิ าการแก่สังคม..…………………………………………… …………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………… 2.4 ดา้ นการทานุบารุงศลิ ปวัฒนธรรม…………………………………………… …………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………… ฯลฯ แบบทดสอบ (Tests) แบบทดสอบคือ ชดุ คาถามท่ีใช้วดั ความรู้ สติปัญญา ความถนัดของแต่ละคนหรือของกลมุ่ คน ในการวดั จึงต้องใช้คาถามเปน็ สิง่ กระตุ้น เพื่อให้ผูต้ อบใชค้ วามสามารถคดิ หาคาตอบ จากจานวน คาตอบท่ีตอบถูก จะเปน็ สิง่ ที่ช้ใี หเ้ ห็นว่า ผตู้ อบมีความรู้ความสามารถในระดับใด ในการแบง่ ประเภท ของแบบทดสอบ สามารถแบ่งได้เปน็ 3 ประเภทด้วยกันคือ 1. แบบสอบวดั ผลสัมฤทธิ์ (Achievement Test) เป็นแบบทดสอบท่ีใช้วัดสรรถภาพทาง สมองในด้านต่าง ๆ สว่ นใหญ่จะเปน็ แบบทดสอบชนิดที่ครูสร้างขนึ้ เอง (Teacher-made Teat) หรอื ไม่กเ็ ป็นแบบทดสอบมาตรฐาน (Standardized Test) 2. แบบสอบวดั ความถนดั (Aptitude Test) เปน็ การทดสอบเพ่ือใชใ้ นการพยากรณ์ หรือ ทานายอนาคตของผ้เู รียนในด้านความถนดั ทางการเรยี น (Scholastic Aptitude Test) หรอื ความ ถนดั ทางด้านอาชีพ (Vocational Aptitude Test) 3. แบบทดสอบวัดบคุ ลิกภาพ (Personality Test) เปน็ การทดสอบที่ใชว้ ัดบคุ ลิกภาพ และ การปรับตัวให้เขา้ กับสังคม ซ่ึงอาจจะเป็นแบบทดสอบวัดเจตคติ (Attitude Test) แบบทดสอบวดั ความสนใจ(Inventory Test) และแบบทดสอบวัดการปรบั ตวั (Adjustment Test) ลักษณะของแบบทดสอบที่ดี ลกั ษณะของแบบทดสอบที่ดี มี 10 ประการ ดงั น้คี ือ 1. มคี วามเที่ยงตรง (Validity) หมายถึง คุณลกั ษณะของข้อสอบทส่ี ามารถวดั ได้ตรงกับ จดุ มุ่งหมายที่ต้องการวดั 2. ความเชอ่ื มน่ั (Reliability) หมายถึง คณุ ลักษณะของข้อสอบทส่ี ามารถวดั ไดแ้ นน่ อนไม่ เปลย่ี นไปเปลีย่ นมา การวัดคร้ังแรกกบั การวัดครง้ั หลัง ๆ ก็ได้ผลเหมือนเดิม 3. มอี านาจจาแนก (Discrimination) หมายถึง คุณลักษณะของข้อสอบทส่ี ามารถจาแนกเด็ก เก่งและเด็กอ่อนได้ 4. มีความยากงา่ ยพอเหมาะ (Difficulty) หมายถงึ ข้อสอบท่ไี ม่ยากและงา่ ยเกนิ ไป 5. มีประสทิ ธิภาพ (Efficiency) หมายถึง ข้อสอบที่วัดไดเ้ ท่ียงตรงและเช่อื ถือได้มากทส่ี ุด สามารถอานวยประโยชนไ์ ด้มาก โดยทเ่ี สียเวลาและคา่ ใชจ้ า่ ยในการวดั น้อย 6. มีความยุติธรรม (Fair) หมายถึง ข้อคาถามทั้งหลายในแบบทดสอบไม่เปดิ โอกาสให้

77 เดก็ คนหน่ึงคนใดได้เปรียบเด็กอนื่ ๆ 7. มีคาถามอยา่ งลึกซง้ึ (Searching) หมายถึง แบบทดสอบท่ีวัดพฤติกรรมในหลาย ๆ ด้าน ท้งั ความรู้ ความเข้าใจ การนาไปใช้ การวเิ คราะห์ การสังเคราะห์ และการประเมินผล 8. มคี าถามจาเพาะเจาะจง (Definite) หมายถึง ข้อคาถามมคี วามชดั เจน ไม่ถามหลายแง่ หลายมุม 9. มกี ารย่วั ยุ (Exemplary) หมายถึง ข้อสอบมีลักษณะท้าทายใหค้ ดิ และย่ัวใหส้ มองพฒั นา ความคิด 10. ความเปน็ ปรนัย (Objectivity) หมายถงึ ข้อสอบมีความชดั เจนในขอ้ คาถาม มีมาตรฐาน ในการใหค้ ะแนน และมีความชดั เจนในการแปลความหมายคะแนน ตวั อยา่ งแบบทดสอบชนิดต่าง ๆ สามารถศึกษาได้จากสานักทดสอบทางการศึกษาและ จติ วทิ ยา มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครนิ ทรวิโรฒประสานมิตร กรมวชิ าการ กระทรวงศกึ ษาธิการ ศูนย์บริการทดสอบ คณะครุศาสตร์ จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั เปน็ ต้น การทดสอบคุณภาพเครือ่ งมือ หลงั จากทไี่ ดผ้ ่านขน้ั ตอนการสรา้ งเคร่อื งมอื วจิ ัยแลว้ ข้นั ตอนตอ่ ไปกค็ ือการทดสอบ คุณภาพของเครือ่ งมือเพ่ือความถกู ต้องและความน่าเชือ่ ถือได้ของขอ้ มลู วิธีการตรวจสอบคุณภาพของ เคร่ืองมือโดยสว่ นใหญจ่ ะนยิ มในคณุ ลักษณะด้านตา่ ง ๆ 5 ด้านคือ 1. ความตรง (Validity) 2. ความเชอ่ื มัน่ (Reliability) 3. ความเป็นปรนัย (Objectivity) 4. อานาจจาแนก (Discrimination) 5. ความยากงา่ ย (Difficulty) ทง้ั นข้ี ้ึนอยูก่ บั ลักษณะของเครื่องมือแต่ละประเภทวา่ จะตรวจสอบคุณสมบัติในดา้ นใดได้บ้าง หรือทดสอบได้ทุกด้าน ซึ่งจะขอกล่าวลกั ษณะและวธิ ีการในแต่ละดา้ น ดังต่อไปนี้ ความตรง (Validity) ความตรงของเคร่ืองมอื หมายถึง ความถูกต้องของเครื่องมือที่สามารถวัดในส่งิ ท่ีตอ้ งการวัด ได้ เช่น ตอ้ งการวัดผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียนวิชาระเบยี นวิธวี จิ ยั ก็ต้องสรา้ งเครือ่ งมือวัดผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียนวิชาระเบยี นวิธวี ิจัยได้ จริง ๆ เป็นต้น ความตรงของเคร่ืองมือจาแนกได้ 4 ประเภท คือ 1. ความตรงตามเนื้อหา (Content Validity) หมายถึง ระดับความสามารถของเคร่ืองมือที่ สามารถวดั ในเน้ือหาที่ต้องการจะวดั ได้ แต่เนื่องจากเครื่องมือวัดไม่สามารถวัดทุกส่ิงอย่างตามเน้ือหาได้ ดงั น้นั เครอื่ งมือจะต้องสามารถวัดตวั อยา่ งหรือตวั แทนของเน้อื หาทีเ่ ปน็ ตวั แทนท่ีดีของเน้ือหา ทั้งหมด ความตรงตามเน้ือหาจงึ มคี วามสาคัญยง่ิ ในการวัดผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี น การออกข้อสอบท่ี ไมต่ รงกบั เรือ่ งท่ีสอน หรือไม่ครอบคลุมเนอ้ื หาทเ่ี รียน ถอื ว่าเป็นการวัดทีข่ าดความตรงตามเนอ้ื หา การตรวจสอบความตรงตามเนื้อหามีหลายวิธกี าร คือ

78 1.1 ถ้าหากเปน็ แบบทดสอบก็ให้นาแบบทดสอบนน้ั ไปเปรียบเทียบกับตาราง วเิ คราะห์หลกั สูตรวา่ คาถามในแบบทดสอบนน้ั ออกครอบคลุมเนื้อหาได้มากนอ้ ยเพยี งใด ถ้า แบบทดสอบทส่ี รา้ งขน้ึ มีสัดส่วนของจานวนข้อคาถามในแต่ละเนื้อหาตรงตามท่รี ะบุไว้ในตาราง วเิ คราะห์หลกั สูตร กแ็ สดงวา่ แบบทดสอบนั้นมคี วามตรงตามเนือ้ หา 1.2 หากเปน็ แบบสอบถาม แบบสมั ภาษณ์ แบบสังเกตการณ์ ผู้วิจัยอาจตรวจสอบ เองได้โดยพจิ ารณาจากระบวนการสรา้ งว่าวดั ไดจ้ รงิ ตามที่ต้องการจะวัดหรือไม่ หรอื ตรงกบั จดุ ประสงค์ทจ่ี ะวัดหรือไม่ หรืออาจตรวจสอบคาตอบกบั ขอ้ เท็จจรงิ อ่นื ๆ เชน่ การสงั เกตพฤติกรรมที่ เกิดขึน้ ว่าสอดคล้องกับพฤติกรรมท่ตี อบในแบบสอบถามหรือไม่เพียงใด เปน็ ตน้ 1.3 ใหผ้ เู้ ช่ยี วชาญหรอื ผรู้ อบรู้เฉพาะในเร่ืองน้นั ๆ ทาการตรวจสอบความตรง อย่าง ที่เรียกวา่ ความตรงเชงิ ประจักษ์ (Face Validity) โดยการตรวจสอบจากแบบสอบถาม แบบ สัมภาษณ์ หรอื แบบสังเกตการณว์ า่ ไดถ้ ามในประเดน็ หลัก ประเด็นย่อย ครอบคลมุ เน้อื หาทีจ่ ะถาม หรอื ไม่ รวมทั้งความชดั เจน และขอ้ เสนอแนะต่าง ๆ ในการแกไ้ ข และเพมิ่ เติมในข้อคาถาม ในกรณีที่ ข้อคาถามใด ผู้เช่ียวชาญมีความเห็นไมต่ รงกันก็ควรแก้ไขปรับปรุงและถ้าผ้เู ชี่ยวชาญมคี วามเห็นในข้อ ใดตรงกนั แลว้ ข้อคาถามข้อน้ันก็มีความตรงตามเนื้อหา 1.4 หาคา่ ดัชนีความสอดคล้องระหวา่ งข้อคาถามกบั จุดประสงคท์ ่ีนามาสร้างเปน็ แบบทดสอบหรือแบบสอบถาม (Index of Item-Objective Congruence) โดยมวี ธิ กี ารดังนีค้ อื 1.4.1 นาขอ้ คาถามและจดุ ประสงคข์ องการสร้างไปให้ผ้ทู รงคณุ วฒุ หิ รือผูเ้ ชี่ยวชาญ ดา้ นเน้อื หาอยา่ งน้อย 3 คน พจิ ารณาแสดงความเห็นและใหค้ ะแนนดังนี้ + 1 เมอื่ แน่ใจว่าข้อคาถามนน้ั วดั ไดต้ รงตามจุดประสงค์ 0 เม่อื ไม่แนใ่ จว่าข้อคาถามนน้ั วัดไดต้ รงตามจดุ ประสงค์ - 1 เมอ่ื แน่ใจว่าข้อคาถามน้นั วัดไม่ตรงตามจุดประสงค์ 1.4.2 คานวณคา่ เฉลยี่ ของคะแนนรายขอ้ โดยสตู ร IOC =  X N เมือ่ IOC แทน ดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อ คาถามกับจุดประสงค์ X แทน ผลรวมของคะแนนความคดิ เห็น ของผเู้ ช่ยี วชาญ N แทน จานวนผูเ้ ช่ยี วชาญ 1.4.3 คดั เลอื กข้อคาถามท่ีมีค่า IOC ต้งั แต่ 0.60 ขนึ้ ไปไวใ้ ช้ตอ่ ไปเพราะถือว่าเปน็ ขอ้ คาถามที่สามารถวดั ไดต้ รงจดุ ประสงค์ท่ีต้องการจะวดั ได้ แตถ่ า้ ค่า IOC ตา่ กวา่ 0.60 ข้อคาถามนั้น กค็ วรตดั ทิ้งไป หรือนาไปแก้ไขปรบั ปรงุ ใหมใ่ ห้ดีขน้ึ ตัวอย่าง นาแบบทดสอบความถนัดฉบับหนง่ึ ไปใหผ้ ้เู ชยี่ วชาญ จานวน 5 คน ตรวจสอบวา่ ข้อสอบแตล่ ะข้อวดั ไดส้ อดคล้องกับจดุ ประสงค์ในแต่ละดา้ นหรือไม่ โดยแยกเป็นแบบทดสอบความ

79 ถนัดดา้ นการจาแนกประเภท 3 ข้อ ดา้ นการอุปมาอุปมยั 3 ข้อ และดา้ นอนุกรมมิตภิ าพ 3 ขอ้ ไดผ้ ล ดังปรากฏในตาราง จงหาค่าความสอดคลอ้ งระหวา่ งขอ้ สอบกับจดุ ประสงค์แต่ละดา้ น และ คัดเลือก ข้อสอบไวใ้ ช้ จุดประสงคด์ ้าน ขอ้ สอบ คะแนนจากผทู้ รงคณุ วฒุ ิคนท่ี รวม 1. การจาแนกประเภท ขอ้ ท่ี 1 2 3 4 5 (X) 2. การอปุ มาอุปมัย 3. อนกุ รมมิตภิ าพ 1 100001 2 111104 3 -1 0 1 1 1 2 4 0 0 -1 -1 1 -1 5 1 0 -1 1 -1 0 6 111014 7 111115 8 -1 -1 0 -1 -1 -4 9 001113 วิธีทา คานวณหาคา่ IOC แต่ละขอ้ โดยสูตร IOC =  X N ในจุดประสงคด์ ้านการจาแนกประเภท ขอ้ 1 IOC = 1 = .20 5 ขอ้ 2 IOC = 4 = .80 5 ข้อ 3 IOC = 2 = .40 5 ในจุดประสงคด์ ้านการอุปมาอุปมยั ข้อ 4 IOC = 1 = -.20 5 ขอ้ 5 IOC = 0 = .00 5 ข้อ 6 IOC = 4 = .80 5 ในจดุ ประสงคด์ ้านอนุกรมมิติภาพ

80 ขอ้ 7 IOC = 5 = 1.00 5 ข้อ 8 IOC =  4 = -.80 5 ข้อ 9 IOC = 3 = .60 5 เพราะฉะนน้ั ขอ้ สอบท่วี ดั ได้สอดคล้องกบั วตั ถุประสงค์ด้านการจาแนกประเภท คือ ข้อ 2 ข้อสอบทวี่ ัดไดส้ อดคล้องกับวัตถุประสงค์ดา้ นการอปุ มาอุปมัยคือข้อ 6 และข้อสอบทวี่ ัดได้สอดคล้องกบั วัตถปุ ระสงคด์ ้านอนุกรมมิติภาพคือข้อ 7, 9 รวมข้อสอบท่ีนาไปใช้ได้ 4 ขอ้ จากท้ังหมด 9 ขอ้ 2. ความตรงตามโครงสรา้ ง (Construct Validity) หมายถึง ความสามารถของเครื่องมือที่ จะวดั ได้ตรงตามลกั ษณะ คุณสมบัติ หรือทฤษฎตี ่าง ๆ ตามโครงสรา้ งในสิ่งท่ีเราตอ้ งการวัด พฤติกรรมท่ีเป็นเป้าหมายของสิ่งที่ต้องการจะวัดกค็ ือ พฤติกรรมท่เี ปน็ โครงสร้าง ของเร่ืองนน้ั ๆ ตามที่กาหนดไวใ้ นทฤษฎี คุณสมบัติ หรือตามคุณลกั ษณะของเร่อื งนนั้ ๆ เช่น แบบวัดทางดา้ น บุคลิกภาพท่ีมีความตรงตามโครงสรา้ งกจ็ ะตอ้ งเป็นเคร่ืองมือทีว่ ัดได้ตรงตามทฤษฎบี ุคลกิ ภาพ โดย ลักษณะของข้อคาถามแต่ละข้อสอดคล้องกบั ทฤษฎีและบุคลกิ ลกั ษณะของบุคคล เปน็ ต้น ดังนั้นก่อน สร้างเครือ่ งมอื ให้มีความตรงตามโครงสร้าง จะต้องศึกษาทฤษฎี ตวั แปร และโครงสรา้ ง พฤติกรรมในเรื่องน้นั ๆ ใหช้ ดั เจนเสียก่อนเพอื่ เครอื่ งมือวัดจะได้มีความตรงตามโครงสรา้ งอย่าง แท้จรงิ การตรวจสอบความตรงตามโครงสร้างของเคร่ืองมือทีจ่ ะใช้วดั ใช้วิธีการเช่นเดยี วกบั การ ตรวจสอบความตรงตามเนื้อหา ตามทไี่ ด้กลา่ วแลว้ หรืออาจจะใชว้ ิธกี ารอ่ืน ๆ อีก เชน่ Item-test Correlation, know group technique หรอื Factor Analysis 3. ความตรงตามสภาพ (Concurrent Validity) หมายถึงเคร่ืองมือที่สามารถวัดได้ตรงกบั สภาพความเปน็ จรงิ กับกลุ่มตัวอย่างทป่ี รากฎอยู่ในปัจจุบัน เชน่ ถา้ เด็กคนหนึ่งเป็นนักเรียนที่เกง่ มาก ในห้องเรยี น เมื่อสร้างแบบทดสอบวัดเดก็ ในห้องนน้ั แลว้ ปรากฎว่าเขาสอบได้คะแนนสงู สดุ แบบทดสอบนี้ก็มีความตรงตามสภาพ การพจิ ารณาตรวจสอบความตรงตามสภาพทาได้โดยนาคะแนนของแบบทดสอบสร้างขน้ึ ใหม่ ไปหาค่าสหสมั พนั ธก์ บั แบบทดสอบเดมิ ท่ีมีค่าความตรงอยู่แล้วโดยใช้สตู รสหสมั พันธข์ องเพียรส์ นั (Pearson Product Moment Correlation) ดังนนั้ 1. หาค่าสัมประสทิ ธส์ิ หสัมพนั ธภ์ ายในโดยใช้สูตร (ลว้ น สายยศ และ อังคณา สาย ยศ. 2540 : 173 ) rXY N  XY - X =  [N X2 -Y(X) 2 ] [ N Y2 - (Y)2 ] เมือ่ rXY แทน สมั ประสิทธส์ิ หสัมพนั ธร์ ะหวา่ งตัวแปร X กบั ตวั แปร Y =N แทน จานวนคนหรอื จานวนคู่ของข้อมูล

81 X แทน ผลรวมของคะแนนดบิ ของตัวแปร X Y แทน ผลรวมของคะแนนดบิ ของตัวแปร Y  XY แทน ผลรวมของผลคณู ของคะแนนตัวแปร X กับคะแนนของตัวแปร Y X 2 แทน ผลรวมของกาลังสองของคะแนน ตัวแปร X Y 2 แทน ผลรวมของกาลงั สองของคะแนน ตัวแปร Y ตวั อย่างนาแบบทดสอบวัดความรู้ทางด้านสุขลักษณะอนามัยไปทดสอบกบั นกั เรียน จานวน 10 คน ได้ผลคะแนนดงั ตาราง จงหาคา่ สมั ประสิทธส์ิ หสัมพนั ธค์ วามตรงตามสภาพของแบบทดสอบ เม่อื นาค่าของคะแนนท่ีได้ไปหาความสมั พนั ธก์ ับคะแนนสอบเดิม คนท่ี คะแนนสอบ(X) คะแนนสอบ(Y) X2 Y2 XY 72 1 9 8 81 64 42 36 30 2 7 6 49 25 64 64 20 3 6 5 36 16 36 36 56 4 8 8 64 64 56 49 72 5 5 4 25 64 48 64 6 6 6 36  XY =496 Y 2= 482 7 7 8 49 8 8 7 64 9 9 8 81 10 6 8 36 X=71 Y=68 X 2= 521 จาก rXY N  XY - X =  [N X2 - (YX) 2 ] [ N Y2 - (Y)2 ] แทนค่าสูตร rXY 100 (496) - (71) (68) =  [10(521)- (71) 2 ] [ 10(482) - (68)2 ] = 4960-4828  (5210-5041 ) (4820-4624 ) 132 =  169.196 = 132 rXY = 0.729 182

82 สัมประสทิ ธสิ์ หสัมพันธข์ องแบบทดสอบชุดนี้มีค่าเท่ากับ 0.725 แสดงวา่ มคี วามตรงตาม สภาพปัจจุบนั ค่อนขา้ งสูง 4. ความตรงตามการพยากรณ์ (Predictive Validity) หมายถงึ เครื่องมือท่ีสามารถวดั ได้ผลสอดคล้องกบั สภาพความเป็นจริงทค่ี วรจะเป็นในอนาคต เช่น แบบสอบวดั แววความเป็นครู เพ่ือ คัดเลือกนักศึกษาเข้าเรียนในคณะศึกษาศาสตร์ ถ้าแบบสอบถามมีความตรงตามการพยากรณ์ได้ จรงิ กแ็ สดงวา่ นักศึกษาทผ่ี า่ นเข้ามาเรียนในคณะศึกษาศาสตร์ สามารถเรยี นในวชิ าชพี ครูไดส้ าเรจ็ มี ความรกั ความชอบ และศรัทธาต่อวชิ าชพี ครจู รงิ ๆ เปน็ ต้น การตรวจสอบความตรงตามการพยากรณ์เปน็ การพจิ ารณาความสัมพันธข์ องตวั พยากรณ์ (Predictor) หรือตัวแปรตาม โดยการหาคา่ สหสมั พนั ธแ์ บบเพียร์สันของคะแนนทัง้ สองชุด เหมือนกับ วธิ ีการตรวจสอบความตรงตามสภาพปัจจบุ ัน ความเช่ือมั่น (Reliability) ความเชือ่ ม่ันของเครือ่ งมือ หมายถึง เคร่ืองมือที่สามารถให้ผลการวัดคงทแ่ี น่นอน มีความคง เส้นคงวา (Consistency) ไม่ว่าจะวัดก่ีครัง้ กต็ าม การตรวจสอบเพ่ือหาค่าความเชื่อมั่นของเคร่ืองมือมี อยู่หลายวธิ ี แตว่ ธิ ที นี่ ิยมกันโดยท่ัวไปมี 5 วิธคี อื 1. แบบสอบซา้ (Test-retest method) นาเคร่ืองมือไปทดสอบกบั คนกลุ่มเดียวกนั สองคร้ังใน เวลาห่างกันพอประมาณ นาผลการวัดทั้ง 2 ครง้ั มาหาค่าสมั ประสทิ ธ์สิ หสัมพันธ์โดยวธิ ีของเพยี รส์ ัน ตวั อยา่ งนกั เรียน 5 คน สอบวชิ าวจิ ยั การศึกษา 2 ครั้ง ได้คะแนนดงั ตารางจงหาค่าความเชื่อมั่นของ แบบทดสอบวิชานี้ คนท่ี X Y X2 Y2 XY 18 7 64 49 56 27 6 49 36 42 35 7 25 49 35 46 8 36 64 48 59 8 81 64 72 X=35 Y=36 X 2= 255 Y 2= 262  XY =253 จาก rXY =  [N X2 N- (XX) 2Y] [ -N YX2 - (Y)2 ] Y แทนคา่ สูตร 5 (253) - (35) (36) rXY =

83  [5(255 - (35) 2 ] [ 5(262) - (36)2 ] = 1265-1260  (1275-1225 ) (1310-1296 ) 5  700 = 5 26.4575 rXY = 0.189 จะเหน็ ไดว้ ่าค่าสมั ประสทิ ธสิ์ หสัมพันธ์มีคา่ ต่ามาก แสดงว่าแบบสอบชุดนมี้ ีคา่ ความเช่ือมน่ั ตา่ มากด้วย 2. แบบคขู่ นาน (Parallel forms method) นาเครื่องมอื วัดสองชดุ ท่เี ท่าเทยี มกันในดา้ น เน้อื หา จานวนขอ้ รูปแบบข้อคาถาม ความยากงา่ ย ค่าเฉลี่ยและความแปรปรวน ไปสอบวัดกับบคุ คล กลมุ่ เดยี วกนั ได้คะแนน 2 ชุด นามาหาคา่ สัมประสิทธ์ิสหสัมพนั ธ์โดยวิธีของเพยี ร์สัน 3. แบบแบง่ ครงึ่ (Split halt method) นาเคร่ืองมือไปสอบวัดกับบคุ คลกลุ่มเดยี วกัน นา ผลการวัดท่ีไดม้ าแบง่ ครึ่ง โดยสว่ นใหญ่จะแบ่งเป็นผลการวัดของข้อคู่กับคี่ แล้วหาค่าสัมประสทิ ธ์ิ สหสมั พนั ธแ์ บบเพียร์สัน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพนั ธท์ ่ีได้เปน็ ค่าความเช่อื มั่นของแบบวดั คร่ึงฉบับ จงึ ตอ้ งนามาปรบั ปรงุ ขยายค่าความเชอ่ื มน่ั เต็มฉบบั โดยใชส้ ตู รของสหเพียร์แมน บราวน์ (Spearman Brown) ดังน้ี rtt = 2rt เม่ือ rtt1 rt แทน คา่ ความเช่ือมนั่ ทัง้ ฉบบั rt แทน ค่าความเชือ่ มน่ั คร่ึงฉบบั ตัวอยา่ ง ค่าสมั ประสิทธิ์สหสมั พนั ธ์ระหว่างคะแนนข้อคู่กบั คะแนนข้อคี่ของแบบวัดฉบับหนึ่งมี คา่ เท่ากบั 0.75 ความเช่อื มั่นของแบบทดสอบทั้งฉบับมีค่าเพยี งใด วิธีทา จากสูตรของสเพียร์แมน บราวน์ rtt = 2rt แทนคา่ 1 rt rtt = 2(0.75) 1  0.75 = 2(0.75) 1  0.75 = 1.50 1.75 = 0.857 ดังนัน้ ความเช่ือมน่ั ของแบบวัดฉบบั นีม้ ีคา่ เทา่ กับ 0.857

84 4. แบบคูเดอร์ – ริชารด์ สัน (Kuder – Richardson) วิธกี ารหาค่าความเชอ่ื ม่ันแบบคเู ดอร์ – ริชารด์ สนั มไิ ด้หาโดยการหาค่าสัมประสิทธส์ิ หสัมพนั ธ์ แตห่ าโดยการตรวจว่าข้อสอบแต่ละข้อมี ความสัมพนั ธ์กับข้อสอบข้ออ่ืน ๆ ในแบบสอบถามชุดเดยี วกัน และมีความสมั พันธ์กับข้อสอบทั้งฉบบั มากน้อยเพยี งใด เป็นทน่ี ิยมใช้กันมากเพราะสอบครั้งเดยี วกบั กลุ่มตวั อย่างกลุ่มเดียวก็สามารถหาค่า ความเชอ่ื มั่นได้ มีสตู รที่ใช้ในการคานวณหาค่าความเช่ือมั่นอยู่ 2 สตู ร คอื KR-20 และ KR-21 โดยมี ขอ้ ตกลงเบือ้ งตน้ 2 ประการคือ ระบบการให้คะแนนเป็น 0 กบั 1 และเนื้อหาในแบบทดสอบเป็นเอก พันธ์ ก. สตู ร KR-20 rtt = n   pq  เม่อื n 1  1  แทSนt2  สัมประสิทธิ์ของความเช่ือมัน่ ของข้อสอบทัง้ ฉบับ rtt n แทน จานวนขอ้ ของข้อสอบ p แทน สัดส่วนของคนทาถกู ในแต่ละขอ้ q แทน สดั สว่ นของคนทาผิดในแต่ละขอ้ (เทา่ กบั 1-p) S 2 แทน ความแปรปรวนของคะแนนท้ังฉบบั t ตัวอยา่ ง แบบทดสอบฉบบั หน่งึ มี 5 ข้อ นาไปทดสอบกับกลุ่มตัวอยา่ งจานวน 10 คน ไดผ้ ล ดังแสดงในตาราง จงหาคา่ ความเชื่อม่ันของแบบทดสอบฉบับน้ี ขอ้ ที่ 1 2 3 4 5 รวม X2 คนท่ี (X) 1 001012 4 2 111115 25 3 111115 25 4 111115 25 5 011114 16 6 111115 25 7 101103 9 8 111104 16 9 110103 9 10 1 0 0 1 0 2 4 p .80 .70 .80 .90 .60 X = 38 X 2= 158 q .20 .30 .20 .10 .40 pq .16 .21 .16 .09 .24 pq = 0.86 หาค่าความเชอ่ื ม่ันโดยใช้สตู ร KR -20 rtt = n   pq   1  n 1  S 2  t

85 จาก S 2 = X 2  (X )2 / N t N 1 แทนค่า S 2 t = 158  (38)2 /10 10 1 1=58 144.4 = 9 1.511 rtt = 5 5   0.86  1 1 S t2    = 5 (0.43) 4 = 0.538 แสดงว่าแบบทดสอบฉบบั นี้มีค่าความเชื่อมนั่ ในระดบั ปานกลาง ข. สตู ร KR-21 ซง่ึ ได้ดัดแปลงมาจากสูตร KR-20 ทีส่ ะดวกและคานวณได้ง่ายกวา่ ดงั นี้ เมอ่ื rtt = n 1คา่ 1สัมปXระสn(ทิ Snธt2ิ์ขอXงค)วามเช่ือม่ันของแบบสอบทั้งฉบับ rtt แทนn  n แทน จานวนข้อของข้อสอบ X แทน ค่าเฉลย่ี ของคะแนน แทน ความแปรปรวนของคะแนนท้ังหมด S 2 t จากข้อมูลข้างตน้ คานวณหาคา่ ความเช่อื มั่นโดยใช้สูตร KR-21 ไดด้ งั น้ี X= X = N 38 10 = 3.80 rtt = 5 5 1   3.8  (5  3.8)   1 5(1.511)    = 5 1  4.56  4 7.555  = 5 (0.396) = 4 0.495

86 จะเหน็ ได้วา่ ค่าความเชอื่ มัน่ จากการคานวณดว้ ยสูตร KR-21 ให้คา่ ความเช่ือมัน่ ในระดับปาน กลาง แตจ่ ะให้ค่าท่ีต่ากว่าจากการคานวณดว้ ยสตู ร KR-20 แต่วิธกี ารคานวณสะดวกและ รวดเร็ว กว่า 5. แบบของครอนบัค (Cronbach) สามารถหาค่าความเชือ่ ม่นั ของเครื่องมือที่สร้างให้คะแนน ได้เกือบทุกประการ เชน่ คะแนนจากแบบสอบความเรียงคะแนนจากแบบสอบอัตนยั คะแนนจาก แบบสอบถาม หรอื คะแนนจากมาตราสว่ นประมาณค่า โดยใช้สูตรการหาคา่ สมั ประสทิ ธิแ์ อลฟา ดังนี้  = n   S 2   1 i    n 1 S 2 t เมอื่  แทน ค่าสัมประสิทธิค์ วามเชือ่ ม่ัน n แทน จานวนขอ้ ของข้อสอบ S 2 แทน ความแปรปรวนของคะแนนรายข้อ i แทน ความแปรปรวนของคะแนนทั้งฉบบั S 2 t ตวั อยา่ ง นาแบบสอบถามมาตราสว่ นประมาณค่า 5 ระดบั จานวน 5 ขอ้ ไปทดสอบกับกลมุ่ ตวั อยา่ ง 5 คน ไดค้ ะแนนดงั แสดงในตาราง จงหาค่าความเช่อื ม่ันของแบบสอบถามชุดนี้ ข้อท่ี 12345 คะแนนรวม Xt คนที่ Xt 2 1. X1 2 2 2 3 3 12 X12 4 4 4 9 9 144 2. X2 1 1 1 2 1 6 X22 1 1 1 4 1 36 3. X3 3 3 3 3 3 16 X32 9 9 9 16 9 256 4. X4 2 3 2 2 2 11 X42 4 9 4 4 4 121 5. X5 2 3 3 3 3 14 X52 4 9 9 9 9 196 Xi 10 12 11 14 12  Xt = 59 Xi 2 22 32 27 42 32  Xt 2= 753 หาค่าความเชอ่ื มนั่ โดยใช้สูตรหาคา่ สมั ประสทิ ธ์แิ อลฟาของครอนบัค ดังนี้ n   S 2   1 i    n 1 S 2 t

87 = จาก S2 =X 2  (X )2 / N N 1 ความแปรปรวนของข้อท่ี 1 ; S12 = 22  (10)2 / 5 = 0.50 = 0.80 5 1 = 0.70 = 0.70 ความแปรปรวนของข้อที่ 2 ; S22 = 32  (12)2 / 5 = 0.80 = 14.2 5 1 ความแปรปรวนของข้อท่ี 3 ; S32 = 27  (11)2 / 5 ความแปรปรวนของข้อที่ 4 ; S42 = 5 1 42  (14)2 / 5 5 1 ความแปรปรวนของข้อท่ี 5 ; S52 = 32  (12)2 / 5 5 1 ความแปรปรวนของคะแนนรวม St 2= 753  (59)2 / 5 5 1 ผลรวมค่าความแปรปรวนรายข้อ  Si 2= 0.5 + 0.80 + 0.70 + 0.70 + 0.80 = 3.5  = n   S 2   1 i    n 1 S 2 t = 5 5 1   3.5i   1 14.2    = 5 (0.7535)  = 4 0.942 แสดงวา่ แบบสอบถามชุดนีม้ ีความเชอ่ื มนั่ ในระดับสูง ความเปน็ ปรนัย (Objectivity) ความเปน็ ปรนัยของเคร่ืองมือ หมายถงึ ลักษณะของเคร่ืองมอื ที่มีความชดั เจนในแง่ของภาษา ท่ใี ชว้ ิธีการตรวจให้คะแนน และการแปลความหมายคะแนน วธิ กี ารตรวจสอบความเป็นปรนัยของเคร่ืองมือก็คือ ควรพิจารณาภาษาที่ใช้ในแตล่ ะข้อคาถามวา่ มคี วามหมายชดั เจนหรือไม่ ผู้อ่านอ่านแลว้ จะเข้าใจตรงกนั หรอื ไม่ มีความหมายเดียวกันหรอื ไม่

88 วิธกี ารตรวจใหค้ ะแนนชดั เจนหรอื ไม่ ตลอดจนการแปลความหมายคะแนนมีความชดั เจนมากน้อย เพยี งใด ผู้วิจัยอาจนาไปทดลองใชก้ ับกลุ่มตวั อย่าง หรือให้ผู้เชี่ยวชาญช่วยสอบทางด้านภาษาทีใ่ ช้ก็ได อานาจจาแนก (Discrimination) คา่ อานาจจาแนกของเคร่อื งมือหมายถึง ความสามารถของเครอื่ งมือทส่ี ามารถจาแนกหรือ แยกผู้ตอบออกเป็น 2 กลุ่มไดจ้ ริง ๆ คอื กลุ่มเก่งกับกลุม่ ออ่ นหรอื กล่มุ ที่มีทัศนคตสิ ูงกบั กลุ่มท่ีมที ศั นคตติ ่า วิธีการตรวจสอบค่าอานาจจาแนกของเครื่องมือสามารถกระทาได้ 2 วธิ ีคอื 1. ในกรณเี ปน็ แบบทดสอบ สามารถหาค่าอานาจจาแนกไดโ้ ดยหาค่าความแตกต่าง ระหว่างสัดสว่ นของคนเก่งทตี่ อบข้อนัน้ ถูกกบั สดั ส่วนของคนออ่ นท่ตี อบข้อนน้ั ถกู ดงั สตู ร r= PH  PL nH  nL หรอื r = PH  PL N /2 เมอ่ื r แทน ค่าอานาจจาแนกเปน็ รายข้อ PH แทน จานวนผตู้ อบถกู ในกล่มุ เก่ง PL แทน จานวนผู้ตอบถกู ในกลมุ่ ออ่ น nH แทน จานวนคนในกล่มุ เก่ง nL แทน จานวนคนในกลมุ่ อ่อน N แทน จานวนคนท้ังหมดในกลุ่มเกง่ และกลุ่มอ่อน ค่าอานาจจาแนกจะมคี ่าอยรู่ ะหว่าง + 1.00 ถงึ – 1.00 r เข้าใกล้ +1 แสดงว่ามคี ่าอานาจจาแนกสงู ใชไ้ ดด้ ี r เข้าใกล้ 0 แสดงว่ามีค่าอานาจจาแนกต่าไมค่ วรใช้ r เขา้ ใกล้ -1 แสดงว่ามคี า่ อานาจจาแนกกลับทศิ ทาง ไม่เหมาะสมท่จี ะนามาใช้ ตัวอยา่ ง ข้อสอบข้อหน่ึง เมื่อไปทดสอบนักเรียนแลว้ นามาวิเคราะห์ ปรากฏตัวเลขที่ตอบ ขอ้ สอบ ดงั ตาราง (ตัวเลือก ค เป็นตัวเลือกที่ถูก) ขอ้ ที่ 1 ตวั เลือก กข ค* ง จ กลมุ่ สูง 20 คน 03 15 2 0 10 8 0 กล่มุ ต่า 20 คน 02 จงวิเคราะห์หาคา่ อานาจจาแนกของข้อสอบขอ้ นี้ PH  PL N /2

89 จาก r = = 15 10 40 / 2 = 0.25 แสดงวา่ คา่ อานาจจาแนกของขอ้ สอบขอ้ น้ีมีค่าต่า 2. ในกรณีเปน็ แบบสอบถามความคดิ เหน็ หรอื มาตราสว่ นประเมนิ ค่าหรือมาตราวดั ทัศนคติ สามารถหาค่าอานาจจาแนกโดยใชส้ ตู รการทดสอบคา่ ที (t-test) แบ่งกลุม่ สงู และกลุ่มตา่ ประมาณ กลุม่ ละ 25-30 % แลว้ แทนค่าในสตู ร t= X H  XL S 2  S 2 H L เม่อื t แทnนH คn่าLอานาจจาแนกความรูส้ กึ หรือทัศนคติ X H แทน คะแนนเฉล่ยี ในกลมุ่ สูง X L แทน คะแนนเฉลยี่ ในกล่มุ ต่า แทน ความแปรปรวนของคะแนนในกล่มุ สงู S 2 H แทน ความแปรปรวนของคะแนนในกลมุ่ ต่า S 2 L nH แทน จานวนคนในกลุ่มสงู nL แทน จานวนคนในกลุม่ ต่า ในการพจิ ารณาค่า t ถ้าข้อความทม่ี ีคา่ t สูง แสดงว่าข้อความนัน้ จาแนกความรู้สกึ หรือทัศนคติ ของผู้ตอบได้ดี และถา้ คา่ t ต่าแสดงวา่ ข้อความนน้ั จาแนกกลมุ่ ไม่ได้ ในกรณีการทดสอบคา่ ทีทรี่ ะดับ นยั สาคัญ .05 ใชเ้ กณฑ์ค่า t มากกวา่ 1.75 ข้นึ ไป ในการตัดสินใจขอ้ นั้นมีอานาจจาแนกใชไ้ ด้ แตถ่ ้าได้ คา่ t ต่ากวา่ 1.75 ก็ควรตัดทิ้งไป เพราะข้อความนนั้ ไม่มคี วามสามารถในการจาแนกกลมุ่ ได้ ตัวอยา่ ง นาแบบวดั ท่เี ปน็ มาตราส่วนประเมินคา่ ข้อหน่งึ ไปสอบวดั กบั กล่มุ ตวั อย่าง 100 คน แยกเรยี งคะแนนเป็นกลุ่มสูงและกลุม่ ต่า กลุ่มละ 25 คน เรียงลาดบั คะแนนตามแสดง ในตารางจงหาค่าอานาจจาแนกของแบบวัดข้อน้ี คาตอบ กลุม่ สงู กลมุ่ ตา่ คะแนน ความถ่ี fx Fx2 คะแนน ความถี่ fx Fx2 (x) (f) (x) (f) เห็นด้วยอยา่ งยงิ่ 5 5 25 125 5 1 5 25 เห็นดว้ ย 4 10 40 160 4 1 4 16 ไมแ่ น่ใจ 3 5 15 45 3 3 9 27 ไมเ่ ห็นด้วย 2 3 6 12 2 10 20 40 ไม่เหน็ ด้วยอย่างยงิ่ 1 2 2 2 1 10 10 10 25 88 344 15 25 48 118

90 คานวณหาค่าอานาจจาแนกจากสตู ร t = XH  XL 2 2 S H  S L nH nL =  fx XH N = 88 = 253.52 X L = 48 = 251..92 จากสูตร S2 = fX 2  (fX )2 N (N 1) S 2 = 25(344)  (48)2 H 25(5 1) = 1.426 S 2 = 25(118)  (48)2 H 25(5 1) = 1.076 แทน t = 3.52 1.92 1.426  1.076 25 25 = 160 0.32 =5 ค่า t ท่คี านวณได้มากกว่า 1.75 แสดงวา่ แบบวัดข้อนี้มีคา่ อานาจจาแนกดีมาก ความยากง่าย (Difficulty) ความยากงา่ ยของเครื่องมือ หมายถงึ คุณสมบัตขิ องแบบทดสอบทส่ี ามารถบอกไดว้ ่า คนส่วนใหญท่ าถูกหรือทาผดิ มากน้อยเพียงใด ถ้าคนสว่ นใหญ่ทาผิด ข้อสอบนั้นก็มีความยาก แต่ถา้ คน ส่วนใหญ่ทาถกู ข้อสอบนั้นกม็ ีความง่าย

91 วิธีการตรวจสอบความยาก ของแบบทดสอบทาได้ 2 ลกั ษณะ คือ 1. การตรวจสอบความยากเป็นรายข้อ โดยการคิดสัดสว่ นระหว่างจานวน ผู้ตอบถกู ในข้อนน้ั ต่อจานวนผู้เขา้ สอบทั้งหมด ตามสตู รดังนี้ P= R N เม่ือ P แทน ค่าความยากของข้อสอบ R แทน จานวนผู้ตอบถูกในข้อนนั้ N แทน จานวนผู้เข้าสอบทงั้ หมด ค่าความยากของแบบทดสอบมีค่าอยู่ระหว่าง 0 ถงึ 1 ถา้ P เข้าใกล้ 0 แสดงวา่ เปน็ ข้อสอบที่ ยากและถ้าคา่ P เข้าใกล้ 1 แสดงวา่ เป็นขอ้ สอบทงี่ ่า ตวั อย่าง จากตารางตวั อย่างการหาคา่ อานาจจาแนก สามารถคานวณหาคา่ ความยากของข้อสอบไดด้ งั น้ี จาก P = R N แทนค่าในสตู ร P = 15 10 40 = 25 40 = 0.625 แสดงว่าข้อสอบมีความยากพอเหมาะ 2. การตรวจสอบความยากงา่ ยท้งั ฉบบั โดยการพจิ ารณาจากคะแนนเฉลี่ยจากผลการทดสอบ ถา้ ได้คะแนนเฉล่ยี ตา่ กวา่ ครึ่งหนงึ่ ของคะแนนเต็ม แสดงว่าขอ้ สอบยากปานกลาง ถา้ ได้คะแนนเฉลีย่ สูงกว่าคร่ึงหนงึ่ ของคะแนนเต็ม แสดงวา่ ขอ้ สอบงา่ ย สรปุ ข้อมูลเป็นข้อเท็จจริงใชใ้ นการทดสอบสมมตุ ฐิ าน ข้อมูลมีมาตราวัด 4 ระดับ ได้แก่ มาตรานามบัญญัติ มาตราเรียงลาดับ มาตราอันตรภาค และมาตราอัตราส่วน เครือ่ งมือมี คณุ ลักษณะในด้าน ความตรง ความเชอ่ื มั่น ความเป็นปรนัย อานาจจาแนก และความยาก งา่ ยเป็นตัวบ่งชีว้ ่าเครื่องมอื มคี ณุ ภาพ การเลือกวิธีการรวบรวมข้อมลู ต้องมคี วามสอดคล้องกับ แบบของการวจิ ยั ตัวแปรที่ศกึ ษาและกลุ่มตัวอย่าง


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook