Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 4 บทที่ 1 แนวคิดเกี่ยวกับการวิจัย

4 บทที่ 1 แนวคิดเกี่ยวกับการวิจัย

Published by chawanon, 2020-07-13 06:37:20

Description: 4 บทที่ 1 แนวคิดเกี่ยวกับการวิจัย

Search

Read the Text Version

1 เอกสารประกอบการสอน วชิ า การวจิ ัยทางการพยาบาล ดร.ชวนนท์ จนั ทร์สขุ ดร.นฤมล จนั ทรส์ ุข วทิ ยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี ชัยนาท สถาบันพระบรมราชชนก สานกั งานปลดั กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสขุ พ.ศ. 2563

2 บทที่ 1 แนวคิดเกี่ยวกับการวิจยั ๑.๑ ความหมาย และความสาคญั ของการวจิ ยั ความหมายของการวจิ ัย การพยาบาลเป็นวิชาชีพสาขาวิชาหนึ่งที่มีองค์ความรู้ของตนเอง พยาบาลจึงต้องมีการทาวิจัย เพื่อการค้นหาความรู้สาหรับการปฏิบัติการพยาบาลและพัฒนาศาสตร์และวิชาชีพการพยาบาลให้ เจริญก้าวหน้า สาหรับความหมายของการวิจัยทางการพยาบาลได้มีผู้ให้ความหมายไว้หลายท่าน ตัวอย่างเชน่ การวิจัยทางการพยาบาล เป็นการวิจยั สาขาหน่ึง โดยศึกษาในศาสตร์ของพยาบาลและกระทา โดยพยาบาล การวิจัยตามแนวกว้างและลึกในขอบเขตของการพยาบาล ส่วนที่เป็นอิสระ (Independent) และส่วนที่ต้องอาศัยการปฏิบัติจากแผนการรักษาของแพทย์ (dependent) ทั้งในด้าน การส่งเสริมสุขภาพ การป้องกันโรค การรักษาพยาบาล การฟื้นฟูสภาพ และการเตรียมหรือฝึกอบรม พยาบาลหรอื เจ้าหนา้ ที่ที่เกี่ยวข้องกับการพยาบาล (วิจติ ร ศรสี พุ รรณ, 2528) การวิจัยทางการพยาบาล หมายถึง การศึกษาเพื่อแสวงหาข้อเท็จจริงหรือความรู้ใหม่ทางการ พยาบาล เพื่อนาไปตั้งกฎและทฤษฎีและเพื่อหาแนวทางปฏิบัติโดยใช้ระเบียบวิธีวิจัย ( เพชรน้อย สิงห์ ช่างชยั , ศริ ิพร ขมั ภลิขติ , และทศั นยี ์ นะแส, 2539) การวิจัยทางการพยาบาล เป็นการศึกษาค้นคว้าอย่างเป็นระบบ เพื่อให้ได้มาซึ่งความรู้ที่เป็น ประเด็นสาคญั ของวิชาชีพการพยาบาล (Polit & Hungler, 2001) การวิจัยทางการพยาบาล “เป็นการค้นคว้าหาคาตอบที่เป็นข้อสงสัยหรือเป็นประเด็นปัญหา ทางการพยาบาลโดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เพื่อองค์ความรู้ใหม่มีความน่าเชื่อถือและ สามารถนาไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนาศาสตร์ทางการพยาบาล รวมทั้งพัฒนางานที่เกี่ยวข้องกับการ ปฏิบัติการพยาบาล (nursing practice) การบริหารการพยาบาล (nursing administration) และ การศกึ ษาพยาบา (nursing education)” (บุญใจ ศรีสถิตย์นรากรู , 2550) สรุปได้ว่า การวิจัยทางการพยาบาลหมายถึง การศึกษาค้นคว้าอย่างเป็นระบบเพื่อแสวงหา ความรู้หรือข้อเท็จริงใหม่ที่น่าเชื่อถือและเกี่ยวข้องกับวิชาชีพการพยาบาล ซึ่งอาจเป็นองค์ความรู้ ทางด้านการปฏิบัติการพยาบาล การศึกษาพยาบาล และการบริหารการพยาบาล เพื่อเป็นประโยชน์ ต่อการพัฒนาวชิ าชีพการพยาบาล

3 ความสาคัญของการวิจยั การวิจัยได้เข้ามามีบทบาทในการพยาบาลต้ังแต่สมัยของฟลอเรนส์ ไนติงเกล ในระยะแรก การวิจัยทางการพยาบาลได้มีการพัฒนาอย่างช้าๆ แต่ปัจจุบันได้มีการวิจัยอย่างกว้างขวางโดยมุ่งที่จะ พัฒนาองค์ความรู้ทางการปฏิบัติการพยาบาล คุณภาพการพยาบาล การศึกษาพยาบาล และการ บริหารการพยาบาล การวิจยั จึงมีความสาคญั ต่อการพยาบาลโดยสรปุ ดังน้ี 1. สร้างและพัฒนาองค์ความรู้ (body of knowledge) ทางการพยาบาล องค์ความรู้ ทางการพยาบาลได้มาจากการศึกษาปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นทางการพยาบาล มีการนาปรากฎการณ์ น้ันมาทาการวิจัยซ้าแล้วซ้าอีกจนกระทั่งสามารถที่จะสรุปเป็นแนวคิดที่เป็นองค์ความรู้ทางการ พยาบาล นอกจากนี้ แนวคิดทางการพยาบาลที่ได้มาหรือที่มีอยู่แล้วน้ัน ต้องถูกนามาทาการใช้และ ทาการวิจัยต่อไปเพื่อขยายขอบเขตขององค์ความรู้ให้กว้างขวางและลึกซึ้งยิ่งขึ้น ซึ่งการสร้างและ พัฒนาองค์ความรู้ทางการพยาบาลเป็นสิ่งสาคัญในการทาให้วิชาชีพการพยาบาลมีความเจริญเติบโต และก้าวหน้าไปอย่างตอ่ เนือ่ งไม่หยุดยั้ง 2. ทดสอบความรู้ทางการพยาบาล เป็นความสาคัญอีกประการหน่ึงของการวิจัยทางการ พยาบาล เพราะความรู้ต่างๆ ที่ได้มีการสร้างและพัฒนาขึ้นมาจะต้องมีการทาการวิจัยเพื่อทดสอบ และยืนยันความรู้นั้นว่าเป็นไปตามที่กล่าวไว้จริงหรือไม่ ถ้านาไปศึกษาในอีกสถานที่หรือสภาพการณ์ ที่แตกต่างจากเดิมความรู้นั้นจะยังคงใช้ได้หรือไม่ ผลการวิจัยจะเป็นสิ่งยืนยันถึงความสัมพันธ์ต่าง ๆ ของความรู้ทางการพยาบาลนั้น หรืออาจทาให้ได้ข้อค้นพบใหม่ที่จะต้องนาไปศึกษาและประยุกต์ใช้ใน การปฏิบตั ิการพยาบาลต่อไป 3. แก้ปัญหาและพัฒนาการปฏิบัติการพยาบาล พยาบาลสามารถที่จะทาการวิจัยเพื่อ แก้ไขปัญหาในการปฏิบตั ิการพยาบาล ไม่ว่าจะเป็นในขั้นตอนใดของกระบวนการพยาบาล การส่งเสริม สุขภาพ การป้องกันโรค การรักษาพยาบาล และการฟื้นฟูสภาพ นอกจากเพื่อช่วยในการแก้ปัญหา ที่เกิดขึ้นแล้ว การวิจัยจะเป็นสิ่งที่ช่วยพัฒนาวิธีการการปฏิบัติการพยาบาลและกิจกรรมต่างๆ ที่จะให้ การพยาบาลแก่ผู้ป่วยที่มีภาวะความเจ็บป่วยแตกต่างกันได้อย่างเหมาะสม ทาให้มีวิธีการปฏิบัติการ พยาบาลหรอื เครือ่ งมือที่ใชใ้ นการปฏิบัติการพยาบาลใหม่ๆ เกิดขึน้ สิง่ ต่างๆ เหล่านจี้ ะทาให้ผู้ป่วยและ ครอบครัวได้รับบริการทีม่ ีคุณภาพอยู่เสมอ 4. แก้ปัญหาและพัฒนาการบริหารการพยาบาล การบริหารการพยาบาลเป็นการใช้ ทรัพยากรทางการบริหารให้เกิดประโยขน์สูงสุด และสามารถดาเนินงานให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ของ การบริหารที่กาหนดไว้ ปัญหาในการบริหารงานสามารถเกิดขึ้นในทุกข้ันตอนของการบริหารไม่ว่าจะ เป็นการวางแผน การจัดองค์การ การจัดบุคลากร การอานายการ และการควบคุม ปัญหาเหล่านี้

4 บางครั้งก็สามารถจะแก้ไขไปได้โดยวิธีการอื่นๆ แต่บางคร้ังก็จะต้องอาศัยการวิจัยเป็นเคร่ืองมือใน การหาคาตอบหรือวิธีการแก้ปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพและเชื่อถือได้ นอกจากนี้แล้ว การวิจัยใน เทคนิคหรือวิธีการบริหารต่างๆ จะทาให้ผู้บริหารการพยาบาลสามารถนาไปพัฒนาการบริหารการ พยาบาลใหม้ ีประสิทธิภาพและประสิทธิผลยิง่ ข้ึน 5. แก้ปัญหาและพัฒนาการศึกษาพยาบาล การศึกษาพยาบาลเป็นกระบวนการในการ ผลิตพยาบาล ดังนั้นในจัดการด้านการศึกษาพยาบาลจะต้องประกอบด้วย ปัจจัยนาเข้าซึ่งได้แก่ หลักสูตร ผู้เรียน ผู้สอน งบประมาณ และ สิ่งอานวยความสะดวกต่างๆ กระบวนการในการผลิต ตั้งแต่เริ่มรับผู้เรียน การจัดการเรียนการสอนทั้งภาค ทฤษฎีและปฏิบัติ จนกระทั่งผู้เรียนสาเร็จ การศึกษา และยังต้องมีการประเมินผลผลิตว่าเป็นอย่างไร ตรงกับจดุ มุ่งหมายในการผลิตหรือไม่ มี ข้อบกพร่องตรงไหน และควรจะมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงหรือพัฒนาอย่างไร ซึ่งในการดาเนินการ ดังกล่าว สามารถที่จะนาการวิจัยมาใช้เพื่อค้นหาวิธีการที่จะช่วยให้การจัดการศึกษาพยาบาลมี คุณภาพ สามารถผลิตพยาบาลที่มีคุณสมบัติที่สนองต่อความต้องการของสังคมและมีความสามารถ ในการปฏิบตั ิการพยาบาลทีม่ ีคุณภาพ 1.2 ประเภทของการวิจัย การวิจัยจาแนกได้เป็นหลายชนิดด้วยกัน การจาแนกชนิดของการวิจัยว่าเป็นการวิจัยชนิด ใดบ้างนั้น ขึ้นอยู่กับเกณฑ์ที่ใช้ยึดเป็นหลักในการพิจารณา ถ้าใช้เกณฑ์แตกต่างกันก็จะแบ่งการวิจัย ออกเป็นชนิดต่างๆ ไม่เหมือนกัน การจาแนกชนิดของการวิจัยโดยยึดตามเกณฑ์ต่างๆ มีดังนี้ (ภัทรา นิ มาคม, 2539; สิน พนั ธุ์พินจิ , 2549; บุญใจ ศรสี ถิตย์นรากรู , 2550) จาแนกตามประโยชน์ของการวจิ ยั การจาแนกชนิดของการวิจัยโดยยึดประโยชน์ของการวิจัยเป็นเกณฑ์น้ัน ต้องพิจารณาว่าการ ทาวิจัยนน้ั มงุ่ ทีจ่ ะนาผลของการวิจัยไปใช้ประโยชน์หรอื ไม่ อย่างไร จาแนกออกเปน็ 2 ชนิดคอื 1. การวิจัยพื้นฐาน (basic research) หรือการวิจัยบริสุทธิ์ (pure research) หรือการวิจัยเชิง ทฤษฎี (theoretical research) เป็นการวิจัยที่มุ่งเสาะแสวงหาความรู้ใหม่เพื่อสร้างเป็นทฤษฎี หรือ แสวงหาความสัมพันธ์ระหว่างข้อเท็จจริง เป็นการเพิ่มพูนความรู้ให้กว้างขวางและสมบูรณ์ยิ่งข้ึน โดย ไม่ได้คานึงว่าผลของการวิจัยจะนาไปใช้ประโยชน์ได้ทันทีหรือไม่ การวิจัยแบบนี้เป็นการวิจัยเพื่อ ประโยชน์ในการสรา้ งความรู้ในแตล่ ะศาสตร์ (body of knowledge) 2. การวิจัยประยุกต์ (applied research) รวมถึงการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (action research) หรอื การวิจัยเพื่อหาแนวปฏิบตั ิ (operational research) ด้วย เป็นการวิจัยที่มุ่งเสาะแสวงหาความรู้และ ประยุกต์ใช้ความรู้นั้นในทางปฏิบัติหรือเป็นการวิจัยที่นาผลการวิจัยไปใช้ในการแก้ปัญหาโดยตรง การ วิจยั ประยกุ ต์แบ่งออกได้ดงั น้ี

5 2.1 การวิจัยเพื่อแก้ปญั หา (problem solving) เป็นการวิจัยที่มุ่งไปในการแก้ไขปัญหาที่มีอยู่แล้ว เพื่อที่จะแสวงหาข้อเท็จจริงที่เหมาะสมมาเป็นแนวทางในการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้น หรือแก้ไข ปัญหา เช่น การวัดอุณหภูมิ ชีพจร และการหายใจของผู้ป่วยควรจะทาบ่อยคร้ังแค่ไหนเพื่อจะหา แนวทางในการแก้ปัญหาการพกั ผอ่ นนอนหลับของผู้ป่วย 2.2 การวิจัยเพื่อตัดสินใจ (decision making) เป็นการวิจัยที่มุ่งเสาะแสวงหาข้อเท็จจริงเพื่อ นามาตัดสินใจเลือกวิธีปฏิบัติที่ดีที่สุด ดังน้ัน การวิจัยนี้จึงจาเป็นต้องศึกษาข้อดีข้อเสียหรือข้อจากัด ของทางเลือกแตล่ ะวิธี รวมทั้งคุณภาพของการนาไปใช้เพือ่ นามาเป็นข้อสรปุ ในการตัดสินใจเช่น รปู แบบ ของการให้การพยาบาลตามหน้าที่ แบบเป็นทีม และตามระบบเจ้าของไข้ วิธีไหนทีท่ าให้การปฏิบตั ิการ พยาบาลมีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อจะนาไปใช้ในการตัดสินใจเลือกรูปแบบการให้การพยาบาลของหอ ผปู้ ่วย 2.3 การวิจัยเพื่อสร้างเคร่ืองมือหรือหาวิธีการใหม่ (developmental studies) เป็นการวิจัยที่มี ประโยชน์ในการพัฒนาวิชาชีพให้ดีขึ้น โดยการวิจัยเพื่อค้นหาวิธีการใหม่ๆ เพื่อใช้ในการพยาบาลหรือ เคร่ืองมือใหม่ๆ ซึ่งมีประสิทธิภาพและนาไปปฏิบัติได้เช่น การสร้างบทเรียนแบบโปรแกรมเร่ืองการ ดแู ลผู้ป่วยทีท่ า Colostomy สาหรับพยาบาล การพัฒนาแบบประเมินภาวะเสี่ยงต่อการหกล้มในผปู้ ่วย ออร์โธปิดิกส์ เปน็ ต้น 2.4 การวิจัยเพื่อประเมินผล (evaluative research) เป็นการวิจยั เพื่อมุ่งหาคาตอบว่า โครงการ วิธีการ หรอื กระบวนการใหม่ๆ ที่ได้ทดลองทาไปน้ันได้ผลหรือไม่ มีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ตอ้ งการ มากน้อยแค่ไหนเช่น การประเมินประสิทธิภาพของการใช้บทเรียนแบบโปรแกรมเรอ่ื ง การดแู ลผู้ป่วยที่ ทา Colostomy สาหรับพยาบาล ประสิทธิผลของการจัดการอาการปวดหลังผ่าตัดตามมาตรฐานทาง คลินิก ประสิทธิผลของการใช้แนวปฏิบัติการวางแผนจาหน่ายสาหรับผู้ป่วยโรคปอดอุดก้ันเรื้อรังที่มา รบั การรักษาที่โรงพยาบาลแม่ลาว จังหวัดเชยี งราย (สุภาพร ตนั สุวรรณ, 2551) เป็นต้น จาแนกตามจานวนศาสตร์ทเ่ี กี่ยวข้อง การจาแนกชนิดของการวิจัยโดยยึดตามจานวนของศาสตรท์ ีเ่ กีย่ วข้องกบั การวิจยั เปน็ เกณฑน์ ้ัน แบ่งเปน็ 1. การวิจัยเฉพาะศาสตร์ (mono-disciplinary research) เป็นการวิจัยที่มีศาสตร์เกี่ยวข้อง เพียงศาสตร์เดียว เช่น การวิจัยเกี่ยวกับการปฏิบัติการพยาบาลซึ่งการศึกษาเกี่ยวกับการปฏิบัติการ พยาบาลจะใช้ศาสตร์ทางการพยาบาลเพียงศาสตร์เดียว 2. การวจิ ัยสหสาขาวิชา หรอื พหุสาขาวิชา (interdisciplinary research) เปน็ การวิจัยที่ เกี่ยวข้องกับศาสตรต์ ั้งแต่ 2 สาขาขึน้ ไป เช่น การวิจัยเกี่ยวกบั การสาธารณสขุ มูลฐาน ซึ่งเป็นการวิจัย

6 ที่ตอ้ งใชศ้ าสตร์หลายสาขาวิชา หรอื การวิจัยทางการบริหารการพยาบาลในบางครั้งต้องใช้หลักการ บริหารธุรกิจและหลักเศรษฐศาสตร์มาใช้ดว้ ย จาแนกตามความมุ่งหมายของการวจิ ัย การจาแนกชนิดของการวิจัยโดยใช้ความมงุ่ หมายของการวิจัยเป็นเกณฑแ์ บ่งได้เปน็ 3 ชนิด 1. การวิจัยข้นั สารวจ หรอื การวจิ ัยขั้นนา (survey research) เป็นการวิจัยที่มงุ่ ศกึ ษาทว่ั ไป ให้รจู้ กั ปรากฏการณ์หรอื กลุ่มดขี ึน้ เพื่อหาแนวทางที่จะได้ความจรงิ บางประการ หรอื เพื่อให้ทราบ ปัญหาทีแ่ ท้จริง หรอื เพื่อนาไปสร้างสมมติฐานสาหรับจะวิจัยตอ่ ไป การวิจยั ขั้นสารวจเปน็ การศึกษานา ก่อนเริ่มทาการวิจัยจรงิ จงึ ยังไม่มสี มมตฐิ าน เช่น การศึกษาผู้ป่วยแผลกดทบั โดยศึกษาข้อมลู ทว่ั ๆ ไปที่ เกี่ยวข้องกบั ผู้ป่วยแผลกดทับ 2. การวจิ ัยเชิงพรรณนา (descriptive research) เป็นการวิจัยที่มงุ่ ค้นหาข้อเทจ็ จริงใน สภาพการณ์ของสิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบนั วา่ สภาพการณ์หรอื ปรากฏการณ์ทีเ่ กิดขึ้นนั้นเปน็ อย่างไร เกิดข้ึนบ่อยมากน้อยเพียงใด มีการกระจายในกลุ่มประชากรต่าง ๆ อย่างไร มีลกั ษณะทีส่ าคัญอย่างไร บ้าง สว่ นใหญ่จะเป็นการศึกษาทศั นคติ ดังน้ันจึงเปน็ การวิจัยทีม่ งุ่ จะบอกว่า \"เป็นอะไรในปจั จุบนั \" (What is) ไม่ได้มุ่งที่จะหาสาเหตุ เช่น การศกึ ษาผปู้ ่วยแผลกดทับในโรงพยาบาลว่ามีจานวนมากน้อย เท่าใด เปน็ ผู้ป่วยประเภทไหน มีปัจจยั อะไรบ้างที่มคี วามสมั พันธ์กนั กับการเปน็ แผลกดทับ 3. การวจิ ยั แบบสาเหตุ หรือการวิจยั เชิงอรรถาธิบาย (explanatory research) เปน็ การ วิจยั ที่มุ่งศกึ ษาสภาพการณ์หรอื ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นว่า เกิดขึน้ ได้อย่างไร มคี วามสัมพันธ์กบั ข้อเทจ็ จริงอื่นหรอื ปรากฏการณ์อ่นื อย่างไร สาเหตุของปรากฏการณ์น้ันคอื อะไร และทาไม่จึงเปน็ เชน่ นั้น การวิจัยแบบนีเ้ ปน็ การวิจัยที่ชีใ้ ห้เห็นความสมั พันธ์ในเชงิ เหตุผล เช่น การศึกษาผปู้ ่วยแผลกด ทับ โดยศกึ ษาถึงการเกิดแผลกดทับเกิดข้ึนได้อย่างไร มีสาเหตุอะไรบ้างที่ทาให้เกิดแผลกดทับ และการ เกิดแผลกดทบั มีความสัมพันธ์กบั อะไร จาแนกตามวิธีการวิจยั ชนิดของการวิจัยที่จาแนกโดยการยึดวิธีการวิจัยเป็นเกณฑแ์ บ่งเปน็ 3 ชนิดคอื 1. การวิจยั แบบทดลอง (experimental research) เปน็ การวิจยั ทีส่ ร้างสถานการณ์ข้นึ แล้วดู ผลที่ตามมา การวิจัยแบบทดลองนผี้ วู้ ิจัยจะต้องเลือกกลุ่มทีเ่ หมอื นกัน 2 กลุ่ม กลุ่มหนึง่ เปน็ กลุ่ม ทดลองทีเ่ ราจดั สถานการณ์ให้ และอีกกลุ่มเป็นกลุ่มควบคมุ หรอื กลุ่มเปรียบเทียบซึ่งไม่ได้จัด สถานการณ์ใหโ้ ดยผวู้ ิจยั สามารถควบคุมปัจจยั อืน่ ๆ ให้คงที่หรอื เท่ากนั ในระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่ม ควบคุม 2. การวจิ ยั แบบกึง่ ทดลอง (partially experimental research หรอื quasi-experimental research) เปน็ การวิจัยที่สรา้ งสถานการณ์ขึน้ แลว้ ดูผลทีต่ ามมาเชน่ เดียวกบั การวิจัยแบบทดลอง แต่ไม่

7 สามารถทีจ่ ะควบคมุ ปจั จัยต่าง ๆ ให้คงทีห่ รอื เท่ากนั ในระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมทั้งหมด อาจสามารถควบคมุ ได้เพียงบางสว่ นเท่านั้น 3. การวจิ ยั แบบไม่ทดลอง (non-experimental research) เปน็ การวิจยั ที่เก็บข้อมูลทีเ่ ปน็ อยู่ ตามธรรมชาติไม่ได้มีการจดั สถานการณ์หรอื กระตุ้นใหเ้ กิดขึ้น การวิจยั แบบนบี้ อกได้แต่เพียง ความสมั พนั ธ์ระหว่างปัจจยั ที่ศึกษาหรอื ไม่เท่าน้ัน จาแนกตามคุณลักษณะของข้อมลู การจาแนกชนิดของการวิจัยโดยยึดตามคุณลักษณะของขอ้ มลู ทีน่ ามาใช้ในการวิจยั เปน็ เกณฑ์ สามารถจาแนกเป็น 2 ชนิดคือ 1. การวิจยั เชิงคุณภาพ (qualitative research) เปน็ การวิจยั ที่ขอ้ มลู ทีน่ ามาใช้เปน็ ข้อมูลเชิง คณุ ภาพ ซึ่งเป็นข้อมลู ทีไ่ ม่เปน็ ตวั เลข แตเ่ ป็นข้อมูลทีบ่ รรยายลักษณะ สภาพเหตกุ ารณ์ที่เกี่ยวข้อง ดังนนั้ การวิจยั ชนิดน้ีจึงเป็นการวิจยั ทีม่ ุ่งอธิบายเหตุการณ์ตา่ งๆ โดยอาศยั ความคิดวิเคราะห์เพื่อ ประเมินผลหรอื สรปุ ผลเชน่ การวิจัยเกีย่ วกบั ความตอ้ งการของผปู้ ่วยโดยการสัมภาษณ์แบบไม่มี โครงสรา้ งและการสมั ภาษณ์แบบเจาะลึก 2. การวจิ ยั เชิงปรมิ าณ (quantitative research) เปน็ การวิจยั ทีน่ าข้อมลู เชิงปริมาณมาใช้ ข้อมลู สว่ นใหญ่จะเป็นตัวเลข การวิจยั ชนิดน้ีเปน็ การวิจัยที่มงุ่ อธิบายเหตุการณ์ต่างๆ โดยอาศัยตัวเลข ยืนยันแสดงความมากน้อย เชน่ การศกึ ษาพัฒนาการของเดก็ ป่วยในด้านความสูงและนา้ หนกั จาแนกตามเวลา การจาแนกชนิดของการวิจัยโดยใช้เวลาเป็นเกณฑ์ สามารถจาแนกได้เปน็ 3 ชนิดคือ 1. การวิจัยเชิงประวตั ิศาสตร์ (historical research) เป็นการวิจยั ทีแ่ สวงหาข้อเท็จจริงของส่งิ ต่างๆ รวมท้ังเหตุการณ์ที่ผ่านมาในอดีต โดยใช้วธิ ีการทางวทิ ยาศาสตร์ในการรวบรวมข้อมูล แสวงหา ข้อเทจ็ จริง วเิ คราะห์เหตกุ ารณแ์ ละสรปุ ผลอย่างมีเหตุผลเชน่ การวิจยั เกี่ยวกับการจัดการศกึ ษา ทางการพยาบาลของประเทศไทย 2. การวจิ ัยเชิงปัจจุบันหรอื การวจิ ัยรว่ มสมยั (contemporaneous research) เปน็ การวิจยั ที่ ศกึ ษาค้นคว้าข้อเท็จจรงิ ในสภาพปัจจุบนั ว่าเปน็ อย่างไรเชน่ การวิจยั เกี่ยวกับระบบการศกึ ษาพยาบาล ในประเทศไทยปัจจบุ ันนเี้ ปน็ อย่างไร 3. การวจิ ยั เชิงอนาคต (futuristic research) เป็นการวิจัยที่ทานายอนาคตข้างหน้าว่าจะเกิด อะไรขึ้น เช่น การวิจัยเกี่ยวกับความตอ้ งการพยาบาลของประเทศไทยใน 10 ปีขา้ งหนา้ จาแนกตามระดบั การควบคมุ ตวั แปร การจาแนกชนิดของการวิจัยโดยยึดตามระดับการควบคุมได้ สามารถจาแนกได้เป็น 6 ชนิด โดยเรียงลาดบั จากการวิจัยที่ควบคุมได้ตา่ สดุ จนถึงสงู สุดดังนี้

8 1. การศึกษาเฉพาะกรณี (case study) เปน็ การวิจัยที่ศึกษาติดตามกรณีใดกรณีหนึ่งอย่าง ละเอียดลึกซึง้ ทกุ แง่ทกุ มุม ไม่วา่ กรณีที่สนใจศกึ ษาจะเป็น คน กลุ่มคน หรอื สถานการณ์ เช่น ศึกษา เดก็ ทีม่ ีปัญหาทางด้านจติ ใจอย่างหนึ่ง ก็จะศกึ ษาเดก็ อย่างละเอียดโดยศึกษาย้อนหลังไปในอดีต พร้อม ท้ังศกึ ษาในสภาพปัจจบุ นั 2. การวจิ ัยเอกสาร (documentary research) เป็นการศึกษาหาความสัมพันธ์โดยการ วิเคราะห์จากเน้ือเร่ืองของเอกสาร บนั ทึก หรือสิ่งตีพมิ พ์ตา่ ง ๆ ทีม่ อี ยู่แล้ว เพือ่ ให้ทราบความเป็นไป แนวคิดรูปแบบ หรอื ความผิดพลาดอ่นื ๆ เช่น การศกึ ษารูปแบบของการเขยี นบนั ทึกการพยาบาล 3. การวจิ ยั สนาม (field research) เปน็ การวิจยั ที่มลี ักษณะคล้ายกับการศกึ ษาเฉพาะกรณี แตไ่ ม่ได้ศึกษาเฉพาะกรณีเดียวแต่เป็นการศกึ ษากลุ่มคนหรอื สิ่งอื่น ๆ โดยผู้วิจยั ต้องออกไป สงั เกตการณ์ทว่ั ๆ ไปในสถานที่ที่เหตกุ ารณ์นั้นเกิดขึน้ จริงเชน่ การศกึ ษาเกี่ยวกับวิธีการรักษาพยาบาล ของชาวเขา 4. การวจิ ยั เชิงสารวจ (survey research) เปน็ การวิจัยทีม่ กี ารเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกบั ลกั ษณะหรอื สภาพโดยท่วั ๆ ไป ดว้ ยการใชแ้ บบสอบถามหรอื การสัมภาษณ์ สามารถควบคุมตวั แปรได้ โดยการแบ่งประเภทของผู้ตอบและประเภทของคาถามเช่น การศกึ ษาเกีย่ วกับความคิดเหน็ ของ ประชาชนต่อบริการสาธารณสขุ ของรฐั 5. การวจิ ัยเชิงปฏิบัติการ (action research) เปน็ การวิจัยเพื่อแก้ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นใน หนว่ ยงานหรอื เพือ่ ปรับปรงุ ระบบและวิธีการปฏิบัติงาน โดยผู้วิจัยเป็นผู้หนึ่งที่มบี ทบาทสาคญั ในการ เปน็ ผู้อานวยความสะดวกในการแก้ไข ปรับปรุง และใช้การมีสว่ นรว่ ม รวมท้ังการสร้างแรงจูงใจให้ ผปู้ ฏิบตั ิงานเข้าร่วมเป็นผู้ช่วยกนั ปรับปรงุ งานด้วยตวั เองเชน่ การวิจยั ที่เกี่ยวกบั ปญั หาการลาออกของ เจ้าหน้าที่พยาบาลเช่น การศกึ ษาเรื่อง การใชก้ ารวิจัยปฏิบัติการแบบมีสว่ นร่วมเพื่อพฒั นาองค์กรแห่ง การเรียนรู้ : กรณีศกึ ษาโรงเรียนบ้านแม่หงานหลวง อาเภอแม่แจม่ จังหวัดเชียงใหม่ (วริศา ไชยศรีหา, 2550) 6. การวิจัยแบบทดลอง (experimental research) เปน็ การวิจยั ทีจ่ ัดสถานการณใ์ ห้ และ สามารถควบคุมปจั จยั ต่าง ๆ ระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคมุ หรอื กลุ่มเปรียบเทียบให้คงที่ เป็น การวิจยั ชนิดที่สามารถควบคมุ ได้สงู สดุ เช่น การวิจยั เรื่อง การพัฒนาเทียนหอมโดยใช้เทคนิคการ ออกแบบการทดลอง (พลวริน พลยิ่ง, 2551) การวิจัย 3 ชนิดแรก เป็นการวิจัยทีผ่ ู้วจิ ยั ไม่สามารถควบคมุ ได้โดยตรงเพราะเป็นการศึกษา เหตกุ ารณท์ ีเ่ กิดขึน้ ก่อนแล้ว และผวู้ ิจยั ไม่สามารถทีจ่ ะเลือกสุ่มตัวอย่างมาศกึ ษาเฉพาะบางหน่วยได้ จงึ เรียกว่าเปน็ ex post facto research ส่วนการวิจยั 3 ชนิดหลงั เรียกรวม ๆ ว่า controlled research

9 จาแนกตามเนือ้ หาการพยาบาล การพยาบาลจัดแบ่งออกเป็น 3 ด้านด้วยกนั คือ การปฏิบตั ิการพยาบาล (nursing practice) การศกึ ษาพยาบาล (nursing education) และการบริหารการพยาบาล (nursing administration) ดงั นนั้ ชนิดของการวิจัยจงึ จาแนกตามเนือ้ หาของการพยาบาลออกเปน็ 3 ชนิดคอื (เพชรนอ้ ย สงิ หช์ ่างชัย, ศริ ิพร ขมั ภลขิ ิต, และทัศนีย์ นะแส,2539) 1. การวิจยั ทางการปฏิบตั ิการพยาบาล เปน็ การวิจยั ที่ศึกษาเกีย่ วกับการปฏิบัติการ พยาบาลท้ังหมด ไม่ว่าจะเปน็ ด้านการรกั ษาพยาบาล การส่งเสริมสุขภาพ การป้องกนั โรค หรือการ ฟื้นฟสู มรรถภาพ 2. การวจิ ยั ทางการศึกษาพยาบาล เปน็ การวิจัยทีศ่ ึกษาเกี่ยวกับหลกั สูตรวิธีการสอน การ ประเมินผล การสอน ฯลฯ ในด้านการศกึ ษาพยาบาล 3. การวจิ ัยทางการบรหิ ารการพยาบาล เป็นการวิจยั ในด้านที่เกีย่ วข้องกบั การบริหารงาน ทางการพยาบาลและการพัฒนาบคุ ลากรทางการพยาบาล ๑.๓ ประโยชน์ของการวิจัย การวิจัยนับว่ามีประโยชน์อย่างมากในปัจจุบัน ซึ่งจะเห็นได้ว่าศาสตร์ที่มีความเจริญก้าวหน้า อย่างรวดเร็วน้ันเกิดจากมีการทาวิจัย หรือมีการศึกษาค้นคว้าหาความรู้ใหม่ ๆ อยู่ตลอดเวลาซึง่ จะเห็น ได้ชัดเจนในศาสตร์ทางด้านการแพทย์ แต่ถ้าศาสตร์ใดนักวิชาการในศาสตร์น้ันไม่ค่อยได้ทาการวิจัยกัน หรือทาการวิจัยแล้วก็ไม่ได้นาไปใช้ประโยชน์ ศาสตร์น้ันๆก็จะเจริญก้าวหน้าช้า ผลงานที่ได้จากการทา วิจัยก่อให้เกิดประโยชน์หลายอย่างซึ่งก็ขึ้นอยู่กับจุดมุ่งหมายของผู้ทาวิจัยเองว่าต้องการนาผลการวิจัย ไปใช้อะไร แตพ่ อจะสรปุ ได้เปน็ ข้อ ๆ ดงั น้ี 1. ก่อให้เกิดความรู้ใหม่ ๆ เพิ่มมากขึ้น ในสาขาวิชาที่ทาวิจัยซึ่งเป็นการวิจัยที่มุ่งแสวงหา ข้อความรู้ ความจริงในสิง่ ที่ยงั ไม่มีใครรู้ อาจจะเป็นกฎ หรอื ทฤษฎี 2. ก่อใหเ้ กิดเทคโนโลยีใหม่ ๆ ทีท่ นั สมยั อยู่เสมอซึง่ เป็นการวิจัยที่มุ่งประดิษฐ์หรือสร้างอุปกรณ์ ที่จะนามาใช้เพือ่ อานวยความสะดวกใหแ้ ก่มนุษย์ 3. ใช้เป็นข้อมูลในการกาหนดนโยบาย หรือวางแผนในการปฏิบัติงาน ซึ่งเป็นการวิจัยเพื่อหา ข้อมลู ในด้านต่าง ๆ สาหรับนามาใช้ในการบริหารในหน่วยงาน 4. ช่วยให้ได้แนวทางในการเลือกวิธีปฏิบัติ ในการทางานว่าจะเลือกวิธีใดที่ประหยัด รวดเร็ว และได้ผลดีที่สดุ 5. ช่วยในการให้แก้ปญั หาต่าง ๆ ได้ตรง และอย่างมเี หตุมผี ลทีเ่ ชอ่ื ถือได้

10 6. ใช้ในการติดตามและประเมินผลของหน่วยงานหรือโครงการต่าง ๆ จะทาให้เราทราบถึง ผลสาเร็จของงานหรือโครงการว่ามีมากน้อยแค่ไหน มีปัญหาอุปสรรคในการปฏิบัติอะไรบ้าง เพื่อ นามาใช้เปน็ ข้อมูลในการแก้ไขปรบั ปรงุ โครงการตอ่ ไป 7. ช่วยใหไ้ ด้เทคนิคสาหรับการพฒั นาบคุ ลากรและหนว่ ยงานใหม้ ีประสิทธิภาพมากยิง่ ขึน้ ๑.๔ จรรยาบรรณนกั วจิ ยั การวิจัยทางการพยาบาลส่วนใหญ่จะเป็นการศึกษาในมนุษย์ และในการดาเนินการวิจัยจะต้อง มีการติดต่อกับบุคคลต่างๆที่เกี่ยวข้อง เม่ือทาการวิจัยเรียบร้อยแล้วต้องมีการเผยแพร่ผลการวิจัย ซึ่งจะต้องมีผู้นาผลการวิจัยน้ันไปใช้ ดังน้ันผู้วิจัยต้องมีจริยธรรมในการวิจัยจึงจะทาให้การวิจัยนั้นมี คณุ ค่าและเปน็ ประโยชน์อย่างแท้จริง หลักจริยธรรมในการวิจัยทางการพยาบาลน้ันได้พัฒนามาจากหลักจริยธรรมการทาวิจัยใน มนุษย์ซึ่งพัฒนามาจากจรรยาบรรณนูเรมเบิร์ก (The Nuremberg Code) และคาประกาศเฮลซิงกิ (The Helsinki Declaration) ซึ่ง วิจิตร ศรีสุพรรณ (2547) ได้สรุปว่า ประกอบด้วยหลักสาคัญ 6 ประการ ได้แก่ 1. การได้ประโยชน์ (beneficence-doing good) โดยโครงการวิจยั นั้น ๆ จะต้องให้เกิดประโยชน์ สูงสดุ และความเสี่ยงหรือภยันตรายน้อยที่สดุ (balancing risk and benefit: minimizing risk, maximizing benefit) ต่อผู้เข้าร่วมวจิ ยั 2. การไม่เป็นอันตราย (non-maleficence - doing no harm) ซึ่งในการทาวิจัยนั้นผู้วิจัยต้องไม่ ยอมให้การตัดสินใจใดๆ ที่ทาให้ผถู้ กู วิจัยเสี่ยงตอ่ อนั ตรายหรอื ได้รับการบาดเจบ็ ไม่ว่าจะเป็นอนั ตรายที่ เกิดจากการกระทาหรอื ละเว้นการกระทา 3. ความซื่อสัตย์ (fidelity-trust) โดยผู้วิจัยจะต้องไม่กระทาการใด ๆ อันเป็นการหลอกลวงให้ ผเู้ ข้าร่วมวจิ ยั ตัดสินใจเข้าร่วมในการวิจัย 4. ความยุติธรรม (justice-being fair) โดยให้การดูแลผู้รับบริการท้ังที่เป็นผรู้ ่วมวิจัยและไม่เข้า ร่วมวจิ ัยอย่างเท่าเทียมกันยกเว้นกรณีที่เปน็ ปัจจยั ทดลอง 5. ความจริง (verification-telling the truth) โดยผู้วิจัยจะต้องบอกความจริงท้ังหมด ท้ังที่เสี่ยง อนั ตรายและเปน็ ประโยชน์จากการเข้าร่วมวจิ ยั 6. ความลับ (confidentiality-safeguarding) โดยข้อมูลของผู้ร่วมวิจัยจะต้องได้รับการปกปิด เป็นความลบั การเปิดเผยข้อมูลจะเปิดเผยได้เป็นกลุ่ม โดยไม่มีข้อมูลเฉพาะบุคคลที่สามารถทาให้สืบ หาผทู้ ีใ่ ห้ขอ้ มูลได้ (anonymity)

11 จากหลักจริยธรรมการทาวิจัยในมนุษย์ดังกล่าว ในการทาวิจัยของพยาบาลจึงควรใช้ จรยิ ธรรมในการวิจยั ทางการพยาบาลดังนี้ 1. การเคารพในสิทธิของผู้ถูกวิจัย เป็นสิ่งสาคัญประการแรกที่ผู้วิจัยจะต้องคานึงถึงเพราะผู้ ถูกวิจัยมีสิทธิที่จะตัดสินใจในทุกเร่ืองที่มีผลกระทบต่อตนเอง มีสิทธิส่วนบุคคลที่ใครจะล่วงละเมิด ไม่ได้ การเคารพในสิทธิของผู้ถกู วิจัยจาแนกเป็น 2 ประการ คือ 1.1 ผู้วิจัยต้องคานึงถึงความปลอดภัยจากอันตรายและผลกระทบที่อาจเกิดจากการ วิจัย ผู้วิจัยจะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบว่าการวิจัยที่จะทานั้นมีอันตรายต่อผู้ถูกวิจัยหรือไม่ โดยเฉพาะการวิจัยที่เป็นการทดลอง ถ้าการทดลองนั้นมีผลเสียต่อผู้ถูกวิจัยจะต้องหาวิธีป้องกันหรือ หากไม่มีวิธีการป้องกันก็ต้องยกเลิกการทาวิจัยน้ัน สาหรับผลกระทบต่อผู้ถูกวิจัยก็เช่นกัน ผู้วิจัย จะต้องพิจารณาผลกระทบต่อผู้ถูกวิจัยในทุกๆ ด้าน เพราะในบางคร้ังผลการวิจัยอาจกระทบต่อ สถานภาพในการทางานของผู้ถูกวิจัย 1.2 ผวู้ ิจยั ตอ้ งเคารพในความเป็นบุคคลของผถู้ กู วิจยั โดย 1.2.1 ให้สิทธิในการตัดสินใจเข้าร่วมการวิจัย ผู้วิจัยจะต้องอธิบายให้ผู้ถูกวิจัย เข้าใจว่าการวิจัยครั้งนี้เป็นการศึกษาเร่ืองใด มีวิธีการอย่างไร และผลที่อาจเกิดต่อผู้ถูกวิจัยมีอะไร เพื่อให้ผู้ถูกวิจัยเป็นผู้ตัดสินใจด้วยตนเองว่าต้องการจะเข้าร่วมในการวิจัยหรือไม่ ถ้าผู้ถูกวิจัยยินยอม ควรจะให้ลงชือ่ รับทราบในแบบฟอร์มที่ผู้วจิ ัยจดั ทาขนึ้ 1.2.2 ต้องปกปิดแหล่งข้อมูลและเก็บข้อมูลเปน็ ความลับ ไม่นาไปเปิดเผยโดยระบุ ชือ่ บุคคลที่ให้ขอ้ มลู ในรายงานวิจยั หรือนาเสนอใหบ้ คุ คลอืน่ ได้รบั ทราบ 1.2.3 ให้สิทธิในการปกปิดข้อมูลบางอย่างแก่ผถู้ ูกวิจัย เพราะข้อมูลบางอย่างเป็น ข้อมูลทีผ่ ู้ถูกวิจัยไม่ตอ้ งการเปิดเผยใหบ้ คุ คลอื่นได้รับทราบ 1.2.4 ให้สิทธิในการถอนตัวจากผวู้ ิจัย ผถู้ ูกวิจยั มีสทิ ธิที่จะถอนตัวจากการวิจัยได้ ทกุ เวลาทีต่ อ้ งการ ในบางครง้ั เมือ่ ทาการวิจัยไปแล้วอาจมสี ถานการณ์อืน่ ทีเ่ ข้ามา มีผลต่อผู้ถูกวิจยั ขอ ถอนตัวจากการวิจัยเชน่ แพทย์อนุญาตใหก้ ลบั บ้างหรอื มีธุระส่วนตัวทีเ่ รง่ ด่วนในขณะที่กาลังดาเนินการ วิจยั อยู่ผถู้ ูกวิจัยกม็ ีสิทธิทีจ่ ะขอถอนตวั จากการเข้าร่วมการวิจยั ได้ เปน็ ต้น 2. ผู้วิจัยจะต้องมีความซื่อสัตย์และปฏิบัติตามที่กาหนดไว้ ถ้าผู้วิจัยไม่ซื่อสัตย์ในขั้นตอนใด ขั้นตอนหนึ่งจะทาให้ผลการวิจัยไม่ถูกต้องตรงตามความเป็นจริง ความรู้ที่ได้จากการวิจัยนั้นถ้ามี ผนู้ าไปใช้อาจก่อให้เกิดผลเสียหายตามมาได้ 3. ผู้วิจัยจะต้องมีความยุติธรรมไม่ลาเอียง ในการวิจัยบางครั้งจะมีผลประโยชน์ที่ผู้วิจัยได้รับ ซึ่งจะต้องมีการพิจารณาผลประโยชน์เหล่านั้นอย่างยุติธรรมเช่น ในการวิจัยบางเร่ืองผู้วิจัยได้รับทุน สนับสนุนการวิจัยเป็นจานวนมาก ผู้วิจัยจะต้องพิจารณาให้ค่าตอบแทนแก่ผู้เก็บรวบรวมข้อมูลหรือผู้

12 ถูกวิจัยอย่างยุติธรรม นอกจากนี้ ผู้วิจัยจะต้องขจัดความลาเอียงในการเลือกประชาการกลุ่มตัวอย่าง ในการวิจยั อีกด้วย นอกจากนี้ สภาวิจัยแห่งชาติได้กาหนดจรรยาบรรณนักวิจัยซึง่ เปน็ หลกั เกณฑท์ ีค่ วรประพฤติ ปฏิบัติของนกั วิจัยทัว่ ไป เพื่อให้การดาเนินงานวิจยั ต้ังอยู่บนพืน้ ฐานของจรยิ ธรรมและหลักวิชาการที่ เหมาะสม ตลอดจนประกันมาตรฐานของการศกึ ษาค้นคว้า ให้เปน็ ไปอย่างสมศกั ดิ์ศรแี ละเกียรติภูมขิ อง นักวิจยั ดงั นี้ (สานกั งานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ, 2541) 1. นกั วิจัยต้องซือ่ สตั ย์และมีคุณธรรมในทางวิชาการและการจดั การ นกั วิจัยต้องมคี วามซือ่ สัตย์ต่อตนเองไม่นาผลงานของผู้อ่นื มาเป็นของตน ไม่ลอกเลียนงาน ของผู้อน่ื ต้องให้เกียรตแิ ละอ้างถึงบคุ คลหรอื แหล่งทีม่ าของข้อมูลทีน่ ามาใช้ในงานวิจัย ต้องซื่อตรงตอ่ การแสวงหาทุนวิจยั และมีความเปน็ ธรรมเกี่ยวกับผลประโยชน์ทีไ่ ด้จากการวิจัย 2. นกั วิจยั ตอ้ งตระหนกั ถึงพนั ธกรณใี นการทาวิจยั ตามขอ้ ตกลงที่ทาไว้กบั หนว่ ยงานที่ สนับสนนุ การวิจัยและตอ่ หนว่ ยงานท่ตี นสังกัด นักวิจยั ต้องปฏิบตั ิตามพันธกรณีและขอ้ ตกลงการวิจัยที่ผู้เกีย่ วข้องทุกฝ่ายยอมรับร่วมกัน อทุ ิศเวลาทางานวิจยั ใหไ้ ด้ผลดีที่สดุ และเป็นไปตามกาหนดเวลา มีความรบั ผดิ ชอบไม่ละทิง้ งานระหว่าง ดาเนนิ การ 3. นกั วิจัยตอ้ งมีพื้นฐานความรู้ในสาขาวิชาการท่ีทาวิจัย นกั วิจัยต้องมพี ื้นฐานความรใู้ นสาขาวิชาการที่ทาวิจัยอย่างเพียงพอและมีความรู้ความ ชานาญหรือมีประสบการณ์เกีย่ วเนื่องกับเรื่องทีท่ าวจิ ยั เพือ่ นาไปสู่งานวิจัยที่มคี ุณภาพ และเพื่อป้องกนั ปญั หาการวิเคราะห์ การตีความ หรอื การสรุปที่ผิดพลาด อนั อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่องานวิจยั 4. นกั วิจัยต้องมีความรับผิดชอบตอ่ สิ่งทีศ่ ึกษาวิจยั ไม่ว่าเปน็ สิง่ ท่มี ีชวี ิตหรอื ไมม่ ีชวี ิต นกั วิจัยต้องดาเนินการด้วยความรอบคอบระมัดระวัง และเทีย่ งตรงในการทาวิจยั ทีเ่ กี่ยวข้อง กบั คน สัตว์ พืช ศลิ ปวฒั นธรรม ทรัพยากร และสิง่ แวดล้อม มีจิตสานึกและปณิธานที่จะอนรุ กั ษ์ ศลิ ปวฒั นธรรม ทรพั ยากร และสง่ิ แวดล้อม 5. นกั วิจยั ตอ้ งเคารพศกั ดิศ์ รี และสิทธิของมนุษยท์ ี่ใชเ้ ปน็ ตัวอยา่ งในการวิจัย นกั วิจัยต้องไม่คานึงถึงผลประโยชน์ทางวิชาการจนละเลย และขาดความเคารพในศกั ดิ์ศรี ของเพือ่ นมนษุ ย์ ต้องถือเป็นภาระหน้าทีท่ ีจ่ ะอธิบายจดุ มุ่งหมายของการวิจยั แก่บุคคลที่เปน็ กลุ่ม ตวั อย่างโดยไม่หลอกลวงหรอื บีบบังคับ และไม่ละเมิดสิทธิสว่ นบุคคล 6. นักวิจยั ตอ้ งมีอิสระทางความคิด โดยปราศจากอคติในทกุ ขั้นตอนของการทาวิจยั นกั วิจยั ต้องมีอิสระทางความคิด ต้องตระหนกั ว่าอคติสว่ นตนหรือความลาเอียงทางวิชาการ อาจส่งผลใหม้ ีการบิดเบือนข้อมลู และข้อค้นพบทางวิชาการ อันเปน็ เหตใุ ห้เกิดผลเสียหายต่องานวิจัย

13 7. นักวิจยั พึงนาผลงานวิจยั ไปใชป้ ระโยชน์ในทางท่ชี อบ นักวิจยั พึงเผยแพร่ผลงานวิจัยเพื่อประโยชนท์ างวิชาการ และสังคมไม่ขยายผลข้อค้นพบจน เกิดความเปน็ จรงิ และไม่ใช้ผลงานวิจัยไปในทางมิชอบ 8. นักวิจยั พึงเคารพความคิดเหน็ ทางวิชาการของผูอ้ ื่น นักวิจัยพึงมีใจกว้าง พร้อมทีจ่ ะเปิดเผยข้อมูลและข้ันตอนการวิจัย ยอมรับฟังความคดิ เหน็ และเหตุผลทางวิชาการของผอู้ ื่น และพร้อมทีจ่ ะปรบั ปรุงแก้ไขงานวิจยั ของตนให้ถกู ต้อง 9. นักวิจยั พึงมีความรบั ผิดชอบต่อสังคมทุกระดับ นักวิจัยมีจติ สานึกทีจ่ ะอุทิศกาลงั สตปิ ัญญาในการทาวิจยั เพือ่ ความก้าวหนา้ ทางวิชาการ เพื่อความเจรญิ และประโยชน์สุขของสังคมและมวลมนุษยชาติ ๑.๕ การเขียนโครงร่างการวจิ ยั โครงการวิจัย (research proposal) เปน็ แผนงาน โครงการ ที่แสดงรายละเอียดและข้ันตอนของ การดาเนินการวิจัยที่กาหนดไว้ล่วงหน้า (เพชรน้อย สิงห์ช่างชัย ศิริพร ขัมภลิขิต และทัศนีย์ นะแส. 2539). การเขียนโครงการวิจัยจึงเปรียบเสมือนการเขียนแบบแปลนก่อนการสร้างบ้าน ที่จะต้องมีการ กาหนดส่วนประกอบต่างๆ ของบ้านไว้ล่วงหน้า เพื่อที่จะทาการสร้างบ้านได้ถูกต้อง นอกจากนี้ โครงการวิจัยยังเป็นสิ่งที่ชี้ให้เห็นเจตนารมณ์ของและพันธกิจของนักวิจัยและเป็นตัวแทนของนักวิจัยที่ จะนาเสนอเน้ือหาการวิจัยต่อผู้เกี่ยวข้อง (สิน พันธุ์พินิจ, 2549) ดังนั้น ในโครงการวิจัยจึงต้อง กาหนดแผนการดาเนินงานแต่ละข้ันตอน ตลอดจนระยะเวลาในการทาวิจัยและงบประมาณที่ใช้ในการ ทาวิจัยเรื่องนั้นๆ ด้วย วตั ถุประสงคข์ องการเขียนโครงการวิจัย เหตุผลที่นักวิจัยต้องเขียนโครงการวิจัยนั้นแตกต่างกัน ทั้งนี้เนื่องจากนักวิจัยแต่ละคนอยู่ใน สถานะภาพทีต่ ่างกัน อย่างไรก็ตาม วัตถุประสงค์หลักของการเขียนโครงการวิจัยสามารถสรุปได้ดังนี้ (เพชรนอ้ ย สงิ ห์ช่างชยั ศริ ิพร ขัมภลิขติ และทัศนยี ์ นะแส. 2539; วิจติ ร ศรีสพุ รรณ, 2547) 1. เพือ่ ใช้เปน็ กรอบในการดาเนินการวิจัย โครงการวิจัยจะเป็นสิ่งที่นักวิจยั สามารถใช้เป็น แนวทางในการดาเนินการวิจัย ให้ดาเนินการวิจัยได้ถูกต้อง ไม่ออกนอกขอบเขตหรือหลงทาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานวิจัยที่นักวิจัยหลายคนร่วมกันทา จาเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเขียนโครงการวิจัย เพื่อใช้เป็นแนวทางในการทาวิจัยที่ถูกต้องครบถ้วน นอกจากนี้ การวางแผนโตรงการวิจัยทีด่ ียังช่วยให้

14 ใช้ทรัพยากรอย่างประหยัด บริหารเวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพ และใช้เป็นเคร่ืองมือสาหรับกากับ ติดตามการวิจัยได้อกี ด้วย (สิน พันธ์ุพินิจ, 2549) 2. เพื่อใช้เสนอขออนุมัติในการทาวิจัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าหากผู้ที่ทาวิจัยเป็นนกั ศึกษา ที่กาลังทาการวิจัยเพื่อวิทยานิพนธ์ จาเป็นจะต้องเขียนโครงการวิจัยเพื่อเสนอขออนุมัติในการทาจาก คณะกรรมการของสถานศึกษาน้ันๆ หรือในกรณีที่นักวิจัยจาเป็นต้องขอความร่วมมือในการทาวิจัย จากหน่วยงานต่างๆ ในการขออนุญ าตเก็บข้อมูลและการขอข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการวิจัย โครงการวิจัยจงึ เป็นสิ่งที่ช่วยบอกถึงวตั ถุประสงค์และสิ่งที่นักวิจัยต้องการจะทาให้แก่เจ้าของหน่วยงาน น้ันๆ พิจารณาอนมุ ัตใิ ห้ทาวิจัยหรือไมอ่ นุมัตใิ ห้ทาวิจัยได้ 3. เพื่อใช้เสนอขอทุนอุดหนุนการวิจัย ในการทาวิจัยทุกคร้ัง ผู้วิจัยจะต้องมีค่าใช้จ่ายใน การทาการวิจยั ไม่มากก็น้อย ดังน้ัน การแสวงหาแหล่งทุนเพื่อสนับสนุนการวิจัยจึงมีความจาเป็นอย่าง ยิ่ง ซึ่งโครงการวิจัยก็จะเป็นสื่อที่ใช้นาเสนอต่อผู้พิจารณาตัดสินให้ทุนอุดหนุนการวิจัยทราบถึง ความ เป็นมาความสาคัญของปญั หาการวิจัยนั้นๆ ตลอดจนวัตถุประสงค์ของการวิจยั และประโยชน์ที่คาดว่า จะได้รับจากงานวจิ ยั นั้นๆ ซึ่งจะมีสว่ นสาคัญในการพิจารณาตดั สินการให้ทนุ อุดหนุนการวิจยั ด้วย ส่วนประกอบของโครงการวิจยั การเขียนข้อเสนอโครงการวิจัยนั้น อาจมีรายละเอียดปลีกย่อยที่ต่างกันออกไปขึ้นกับ ข้อกาหนดของหน่วยงานที่ผู้วิจัยจะต้องนาข้อเสนอโครงการวิจัยน้ันๆ ไปนาเสนอ อย่างไรก็ตาม ส่วนประกอบหลกั ของโครงการวิจยั ประกอบด้วยส่วนสาคญั หลักๆ 3 ส่วนคือ สว่ นท่ี 1 สว่ นนา ประกอบด้วยข้อมลู ตอ่ ไปนี้ 1.1 ชื่อโครงการวจิ ยั 1.2 สาขาของงานวิจยั 1.3 ประเภทของงานวิจัย 1.4 ชื่อและรายละเอียดเกี่ยวกับผทู้ าการวิจยั ส่วนท่ี 2 ส่วนเนื้อหา คือส่วนที่ประกอบด้วยสาระสาคัญของโครงการวิจัย ซึ่งประกอบด้วย ส่วนย่อยๆ ดังต่อไปนี้ 2.1 ความเปน็ มาและความสาคญั ของปญั หา 2.2 วตั ถปุ ระสงค์ของการวิจยั 2.3 คาถามการวิจยั 2.4 สมมตฐิ านการวิจยั (ถ้ามี) 2.5 นิยามศัพท์ 2.6 ขอบเขตของการวิจัย

15 2.7 ข้อตกลงเบือ้ งตน้ 2.8 เอกสารและงานวิจยั ที่เกี่ยวข้อง 2.9 กรอบแนวคิดการวจิ ยั 2.10 วิธีการดาเนินการวจิ ยั  แบบการวิจยั  ประชากรและกลุ่มตวั อย่าง  เครื่องมือที่ใชใ้ นการเก็บรวบรวมข้อมลู  วิธีการเก็บรวบรวมข้อมลู 2.11 วิธีการวิเคราะหข์ ้อมลู 2.12 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รบั ส่วนท่ี 3 แผนการดาเนินการวจิ ัย ประกอบด้วย 3.1 ระยะเวลาการดาเนินการวจิ ยั 3.2 งบประมาณทีใ่ ชใ้ นการวิจัย 3.3 เอกสารอ้างองิ 3.4 ภาคผนวก หลักการเขียนเนื้อหาในสว่ นประกอบของโครงการวิจยั การเขียนรายละเอียดในโครงการวิจัยน้ันจาเป็นต้องมีข้อมูลทีส่ าคัญพอสังเขป เพื่อทีจ่ ะช่วยสื่อ ให้ผู้อ่านโครงการเข้าใจว่าผู้วิจัยได้วางแผนการดาเนินงานวิจัยของตัวเองอย่างไร ซึ่งรายละเอียดของ เน้ือหาในแต่ละประเด็นในโครงการวิจัยพอจะสรุปได้ดังนี้ (เพชรน้อย สิงห์ช่างชัย ศิริพร ขัมภลิขิต และทศั นยี ์ นะแส. 2539; วิจติ ร ศรสี พุ รรณ, 2547; บญุ ใจ ศรสี ถิตย์นรากูร, 2550) 1. ชื่อโครงการวิจัย ชื่อโครงการวิจัยหรือชื่อเร่ืองวิจัย เป็นส่วนแรกที่จะสื่อความหมายให้ ผู้อ่านทราบว่าผู้วิจัยต้องการจะศึกษาอะไร ตัวแปรหลักของการศึกษาคืออะไร กลุ่มตัวอย่างคือใคร สาหรับงานวิจัยบางเร่ืองอาจระบุถึงช่วงระยะเวลาที่ทาการศึกษา และ/หรือสถานที่เก็บรวบรวมข้อมูล อีกด้วย ซึ่งการกาหนดชื่อโครงการวิจัยที่ดีควรใช้ภาษาที่ชัดเจน เข้าใจง่าย ไม่ยาวเกินไป และไม่ใช้ ศพั ท์เทคนิคมากจนเกินความจาเป็น การเขียนชื่อโครงการควรเขียนชื่อทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ทีส่ อดคล้องตรงกนั 2. สาขาของงานวิจัย การแบ่งสาขาของงานวิจัยน้ันอาจมีการแบ่งที่แตกต่างกันขึ้นกับ สถาบันที่ให้ทุนที่เป็นผู้แบ่งว่าจะจัดงานวิจัยลักษณะหนึ่งๆ อยู่ในสาขาใด ซึ่งถ้าผู้วิจัยจะเขียนโครงการ

16 เพื่อขอทุนวิจัยจากสถาบันนั้นๆ ก็ต้องจัดงานวิจัยตามการแบ่งของสถาบันที่ตนเองจะขอทุนเช่น สภา วิจยั แห่งชาติได้แบ่งการวิจัยทางดา้ นการพยาบาลอยู่ในสาขาวิทยาศาสตร์การแพทย์ เป็นต้น 3. ประเภทของงานวิจัย เป็นการจัดประเภทของงานวิจัยชิ้นหนึ่งว่าเป็นงานวิจัยประเภทใด นั้น ขึ้นอยู่กับเกณฑ์ที่ใช้ในการแบ่งเช่น แบ่งตามประโยชน์ของงานวิจัย แบ่งตามระดับการควบคุมตัว แปร แบ่งตามเวลา ฯลฯ ดงั นั้นงานวิจัยเร่ืองหน่ึงๆ อาจถกู จดั ประเภทได้หลายประเภท แตใ่ นการเขียน ประเภทของงานวิจัยในโครงการวิจัยน้ันขึ้นกับผู้วิจัยจะเลือกใช้เกณฑ์ใดเกณฑ์หนึ่งในการแบ่ง และ เลือกนาเสนอจากเกณฑ์ใดเกณฑ์หนง่ึ เท่านน้ั 4. ชื่อและรายละเอียดเกี่ยวกบั ผวู้ ิจยั ซึ่งจะประกอบด้วยชือ่ ของหวั หน้าโครงการวิจัย ผรู้ ่วม โครงการวิจัยและปรึกษาโครงการวิจัย ส่วนรายละเอียดของบุคคลที่เกี่ยวข้องเหล่านี้มักจะระบุคุณวุฒิ ตาแหน่ง และประสบการณใ์ นการทาการวิจัย 5. ความเป็นมาและความสาคัญของปญั หา เปน็ ส่วนที่กล่าวถึงเหตุผลของการทาวิจัยว่ามี เหตุจูงใจใดทาให้ผู้วิจัยสนใจที่จะทาการวิจัยเร่ืองนี้ มีความจาเป็นหรือความสาคัญอย่างไรจึงต้องทา การวิจัยเร่ืองน้ันๆ ถ้าไม่ทาอาจก่อให้เกิดปัญหาอะไรหรือไม่ หรือถ้าทาแล้วจะเกิดประโยชน์หรือผลดี อย่างไร ซึ่งในการเขียนความเป็นมาและความสาคัญของปัญหา ควรจะแสดงให้ผู้อ่านเห็นว่างานวิจัย เรื่องที่ต้องการทาจะทาให้เกิดความก้าวหน้าทางวิชาการอย่างไร และเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานของ ตนเองอย่างไร ซึ่งจะเป็นส่วนช่วยชักจูงให้ผู้อ่านเห็นว่างานวิจัยชิ้นน้ันมีคุณค่าของความสาคัญเพียงพอ สมควรที่จะต้องทาการวิจยั หลกั การเขียนความเปน็ มาและความสาคัญของปญั หานนั้ ส่วนใหญ่นยิ มเขียนเริ่มต้นจากแนวคดิ กวา้ งๆ เกยี่ วกับเร่อื งที่ทาวิจยั กอ่ น แล้วเขยี นให้แคบลงถงึ ประเด็นปญั หาที่จะทาวิจยั ผลกระทบหรอื ผลเสียที่ อาจเกิดขึ้นจากสภาพปญั หานั้นๆ ถา้ ปญั หาไมไ่ ด้รบั การแกไ้ ข แนวคิดเกย่ี วกบั การศึกษาเพื่อการแก้ปัญหานน้ั และผลที่คาดว่าจะได้รับจากการศึกษาวิจัย ตามลาดบั สาหรับความยาวของความเปน็ มาและความสาคญั ของปญั หาน้ัน ขึน้ อยู่กบั ความชัดเจนเพียงพอทีจ่ ะทาให้ผอู้ า่ นเข้าใจปญั หาวิจยั และความสาคัญของปญั หาของ งานวิจยั แต่ละเรอ่ื ง ซ่งึ อาจยาวตั้งแต่ครง่ึ หน้าถงึ 5 หนา้ กระดาษก็ได้ 6. วตั ถุประสงค์ของการวิจัย เป็นส่วนที่บอกถึงเป้าหมายหรือสิ่งที่ผู้วิจัยต้องการศึกษาวิจัย ว่าต้องการศึกษาอะไร ศกึ ษากับใคร ศึกษาในแง่มุมใด การเขียนวัตถุประสงค์ ควรเขียนในรูปประโยค บอกเล่าด้วยสานวนที่กระชับ ชัดเจน และถ้างานวิจัยนั้นต้องการศึกษาหลายประเด็นควรแยก วตั ถุประสงค์เป็นข้อๆ เรียงลาดบั ตามการคน้ หาคาตอบ 7. คาถามการวิจัย คาถามการวิจัยเป็นการกาหนดปัญหาที่แน่นอนว่าผู้วิจัยต้องการคาตอบ อะไรจากงานวิจัยน้ันๆ ซึ่งในการเขียนคาถามการวิจัยน้ัน ในบางงานวิจัยผู้วิจัยอาจจะไม่เขียนก็ได้ การเขียนคาถามการวิจยั ใหเ้ ขียนในรูปประโยคคาถาม และแยกคาถามเป็นข้อๆ ให้ชดั เจน

17 8. สมมติฐานการวิจัย เป็นการคาดคะเนคาตอบของปัญหาการวิจัย โดยอาศัยข้อมูลจาก การศึกษาค้นคว้าจากเอกสารและงานวิจัยทีเ่ กีย่ วข้อง เป็นแนวทางในการต้ังสมมติฐาน ซึง่ งานวิจัยบาง เรื่องก็ไม่จาเป็นต้องเขียนสมมติฐานการวิจัยก็ได้ ข้ึนกับลักษณะของงานวิจัยและข้อมูลจากการศึกษา เอกสารงานวิจยั ทีเ่ กีย่ วข้องว่าจะเพียงพอต่อการตง้ั สมมติฐานหรอื ไม่ 9. นิยามศัพท์ เป็นการให้คาจากัดความของคาศัพท์เฉพาะต่างๆ ที่ใช้ในการวิจัย เพื่อให้ผู้ที่ เกี่ยวข้องกับโครงการวิจัยและการทาวิจัยได้เข้าใจตรงกัน ซึ่งคาที่จะต้องนิยามได้แก่ ตัวแปรที่ใช้ใน การวิจัย คาศัพท์ที่ไม่ได้ใช้ในความหมายที่เป็นสากลหรือศัพท์ที่มีความหมายไม่แน่นอน และศัพท์ เฉพาะที่อาจเข้าใจเฉพาะคนบางกลุ่มเท่านั้น การเขียนนิยามศัพท์ของงานวิจัย ต้องเขียนเป็นลักษณะ นิยามเชิงปฏิบัติการณ์ (operational definition) คือ เป็นพฤติกรรม หรือการแสดง หรือการปฏิบัติท่ สามารถสังเกตได้ รับรู้ได้ หรือประเมินได้ มีสาระคลอบคลุมและสอดคล้องกับสาระในแนวคิดทฤษฎี ของตวั แปรที่ศกึ ษา และตอ้ งบอกด้วยว่าจะได้ขอ้ มูลจากกลุ่มใด และสามารถเกบ็ ข้อมูลได้โดยวิธีใด 10. ขอบเขตของการวิจัย เป็นการกาหนดกรอบของการวิจัยว่า ต้องการศึกษาครอบคลุม ประชากร ตัวแปร หรือสถานที่แค่ไหน การเขียนขอบเขตของการวิจัยจะต้องกล่าวถึงประชากรหรือ กลุ่มตัวอย่างที่จะใช้ในการวิจัยว่าเป็นใคร จากัดขอบเขตการวิจัยไว้แค่ไหน จะศึกษาตัวแปรอะไรบ้าง ตลอดจนกล่าวถึงสภาพแวดล้อมตา่ งๆ ที่ผู้วจิ ยั ต้องการจากดั ขอบเขตไว้ด้วย 11. ข้อตกลงเบื้องต้น เป็นเง่ือนไขของการวิจัยและสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการวิจัย ที่ถือว่าเป็น ความจริงโดยไม่ต้องมีการพิสูจน์ เพื่อความเข้าใจตรงกันระหว่างผู้อ่านและผู้ที่ทาการวิจัย อย่างไรก็ ตาม โครงการวิจัยบางเรื่องก็ไม่จาเป็นต้องมีข้อตกลงเบื้องต้น หากคิดว่าผอู้ ่านรายงานวิจัยกบั ผู้วิจัยมี ความเข้าใจในเรื่องน้ันๆ ตรงกนั อยู่แลว้ 12. เอกสารและงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้อง คือส่วนที่ผู้วิจัยจะแสดงหลักฐานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับ การวิจัยทีม่ อี ยู่ เพือ่ แสดงให้เหน็ ว่า การทางานวิจัยเร่อื งนั้นต้ังอยู่บนหลกั การ มีความรทู้ ีเ่ ป็นพืน้ ฐานของ การศึกษาเพียงพอ และมีวิธีการดาเนินการวิจัยที่สามารถทาการวิจัยได้สาเร็จ ซึ่งในส่วนนี้ จะต้อง ประกอบด้วยเน้ือหาที่ได้จากการทบทวนวรรณกรรมโดยสังเขปและกรอบแนวคิดในการทาวิจยั ที่ชัดเจน อย่างไรก็ตาม ถ้าเป็นการเขียนโครงการวิจัยเพื่อวิทยานิพนธ์ของนักศึกษาเพื่อเสนอขออนุมัติในการทา วิทยานิพนธ์ เนื้อหาในส่วนนี้อาจต้องมีรายละเอียดพอสมควรเพื่อแสดงให้อาจารย์ผู้พิจารณาทราบว่า นักศึกษาได้มกี ารศกึ ษาค้นคว้าเอกสารทีเ่ กีย่ วข้องมามากพอสมควรแล้ว 13. กรอบแนวคิดการวิจัย ซึ่งในบางครั้งอาจเรียกว่ากรอบมโนทัศน์การวิจัย (conceptual framework or conceptual research framework) เป็นความคิดรวบยอดที่เกิดจากการบูรณาการแนวคิด และทฤษฎีที่รวบรวมได้จากการทบทวนวรรณกรรม โดยกรอบแนวคิดการวิจัยต้องแสดงให้เห็นถึง

18 ความสัมพันธ์ของมโนทัศน์ (concepts) ปรากฎการณ์ (phenomena) หรือตัวแปรต่างๆ ที่ผู้วิจัยจะศึกษา อย่างชัดเจน 14. วิธีการดาเนินการวิจัย หรือระเบียบวิธีวิจัย เป็นส่วนที่จะทาให้ผู้อ่านทราบว่าผู้วิจัยมี แนวทางในการดาเนินการวิจยั อย่างไร ซึ่งจะประกอบด้วยส่วนต่างๆ ดงั ตอ่ ไปนี้ 14.1 แบบการวิจัย เป็นการบอกให้ผู้อ่านทราบว่างานวิจัยที่จะทาน้ันเป็นงานวิจัยแบบใด เชน่ งานวิจัยแบบทดลอง งานวิจัยเชิงสารวจ การวิจัยเชิงพรรณนา ฯลฯ 14.2 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง จะต้องระบุลักษณะของประชากร จานวนและขนาด ของกลุ่มตวั อย่าง ตลอดจนวิธีได้ขนาดตวั อย่างและการสุ่มหรอื เลือกตวั อย่างทีเ่ หมาะสมด้วย 14.3 เครือ่ งมือที่ใชใ้ นการเกบ็ รวบรวมข้อมูล ควรกล่าวถึงลกั ษณะของเครื่องมอื ทีใ่ ชใ้ น การวิจัย ท้ังเครื่องมือที่ใชใ้ นการรวบรวมข้อมูลและเครอ่ื งมอื ที่ใชใ้ นการทดลอง ตลอดจนวธิ ีการที่จะ ใช้ในการตรวจสอบหรือทดสอบเพื่อยืนยันว่าเคร่ืองมือน้ันๆ มีประสิทธิภาพดี มีความเที่ยง (reliability) ความตรง (validity) ความเหมาะสมในการใช้ (feasibility) เป็นต้น 14.4 วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล ควรกล่าวถึง ข้ันตอนของการเก็บรวบรวมข้อมูล เริ่ม ตั้งแต่การติดต่อ การเตรียมงาน การเก็บรวบรวมข้อมูลว่าจะทาอย่างไรบ้าง เก็บข้อมูลในระหว่างวัน เวลา และสถานทีใ่ ด 15. วิธีการวิเคราะห์ข้อมูล ควรระบุสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อตอบคาถามการวิจัย แตล่ ะส่วนใหช้ ัดเจน พร้อมทั้งบอกวิธีการที่จะวิเคราะหข์ ้อมูลด้วยว่าจะวิเคราะหโ์ ดยวิธีใดเช่น ใช้เคร่อื ง คอมพิวเตอร์และโปรแกรมคอมพิวเตอร์ชนิดใดในการวิเคราะหข์ ้อมลู 16. ประโยชน์ท่ีคาดว่าจะได้รับ เป็นการเขียนถึงคุณค่าของงานวิจัย หลังจากการดาเนินการ วิจัยบรรลุตามวัตถุประสงค์แล้ว ซึ่งมีหลักการเขียนคือ 1) ควรเขียนเป็นข้อๆ โดยเริ่มจากข้อที่เป็น ประโยชน์โดยตรงก่อน แล้วจึงเขียนเรียงลาดับไปสู่ข้อที่เป็นประโยชน์ทางอ้อม 2) ระบุว่าผู้วิจัยคาดว่า จะได้อะไรจากการวิจยั คร้ังนี้ และจะนาผลที่ได้น้ันไปใช้ประโยชนก์ ับใครและใช้อย่างไร 17. แผนการดาเนินการวิจัย เปน็ แผนการดาเนินงานวิจยั ของผวู้ ิจยั ที่กาหนดไว้ล่วงหน้าว่าจะ ทาอะไรในช่วงเวลาใด และใช้เวลาเท่าไหร่ ซึ่งมักนิยมเขียนในลักษณะของตารางปฏิบัติงานวิจัยหรือ Gantt Chart ดงั ตัวอย่างในตารางที่ 1

19 ตารางที่ 1 แสดงตวั อย่างการเขียนแผนการดาเนินการวิจัยในลกั ษณะ Grant chart ลาดบั กิจกรรม พ.ศ. 2555 มิ.ย ก.ค ส.ค ก.ย ต.ค พ.ย ธ.ค ม.ค. ก.พ มี. ค. เม. ย. พ. ค. 1. ศึกษาเอกสารทีเ่ กี่ยวข้อง 2. จดั ทาโครงการวิจัยเสนอขอรบั ทนุ 3. จดั ทาเครือ่ งมือ 4. รวบรวมข้อมูล 5. วิเคราะห์ข้อมลู 6. อภิปรายผลการวิจยั 7. จัดทารายงานการวิจัยฉบับสมบรู ณ์ 18. งบประมาณท่ีใช้ในการวิจัย การจัดทางบประมาณการวิจัยคือการที่ผู้ทาวิจัยได้กาหนด และคาดคะเนถึงทรัพยากรที่ต้องใช้ในการทาวิจัยท้ังหมดตั้งแต่เริ่มทาวิจัยจนกระทั่งเขียนและพิมพ์ รายงานว่าต้องใช้อะไรบ้าง ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการจัดหาหรือจัดจ้างเป็นจานวนเงินเท่าไหร่ ในการ เขียนงบประมาณมักนิยมแบ่งเป็นหมวดต่างๆ คือ  หมวดค่าตอบแทน ได้แก่ ค่าตอบแทนผู้วิจัย ผู้วิเคราะห์ข้อมูล ที่ปรึกษางานวิจัย ผู้ ประสานงานการเกบ็ ข้อมลู และผู้ตอบแบบสอบถาม ค่าจา้ งพิมพ์ ฯลฯ  หมวดค่าใช้สอย ได้แก่ ค่าลิขสิทธิ์แบบสอบถาม ค่าธรรมเนียมของหน่วยงานต้นสังกัด (overhead charge) ค่าใช้จ่ายในการเก็บรวบรวมข้อมูล ค่าเดินทาง ค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าที่พัก ค่าน้ามนั เช้อื เพลิง ค่าโทรศพั ท์ ค่าถ่ายเอกสาร ค่าทาปกรปู เล่มรายงาน ฯลฯ  หมวดค่าวัสดุ ได้แก่ ค่าวัสดุสานักงาน ค่าแสตมป์ ค่าดิสเก็ต ซองจดหมาย ฯลฯ  หมวดค่าจา้ งชัว่ คราว ได้แก่ ค่าจา้ งคนงาน เจ้าหนา้ ที่ ผชู้ ่วยวิจยั เปน็ รายเดือน  หมวดค่าครุภณั ฑ์ ได้แก่ ครุภณั ฑ์ที่ซือ้ มาเพื่อใช้ในการวิจัย เช่น โต๊ะ ตเู้ ก็บ เอกสาร กล้อง ถ่ายรปู เครือ่ งบันทึกเสียง เครื่องคอมพวิ เตอร์ ฯลฯ 19. เอกสารอ้างอิง เป็นรายช่ือทรพั ยากรสารสนเทศ เชน่ หนงั สือ บทความ เอกสาร และเว็บ ไซด์ ซึ่งเป็นแหล่งข้อมลู ที่ใชใ้ นการเขียนโครงการวจิ ัยครั้งนี้ 20. ภาคผนวก เป็นส่วนที่นาเสนอข้อมูลอื่นๆ ที่ผู้วิจัยคิดว่าเกี่ยวข้องและมีประโยชน์กับ โครงการวิจัย แต่ไม่สามารถนาไปเขียนลงในส่วนใดส่วนหนึ่งในโครงการวิจัยได้เช่น แบบสอบถามที่ ผู้วิจัยวางแผนว่าจะนาของผู้อื่นหรือที่เคยได้พัฒนาไว้แล้วมาใช้เป็นต้น แต่ถ้าหากไม่มีส่วนนี้ก็ไม่ จาเปน็ ต้องเขียนไว้

20 ลักษณะของโครงการวิจัยท่ดี ี การที่ผู้วิจัยได้เขียนข้อเสนอโครงการวิจัยน้ัน ก็เพื่อที่จะได้นาเสนอหรือแสดงต่อบุคคลหรือ หน่วยงานต่างๆ ได้พิจารณา ดังนั้น ในการเขียนโครงการวิจัยจึงต้องมีความระมัดระวังรอบคอบ เพื่อให้ได้โครงการวิจัยที่สมบูรณ์ ซึ่งลักษณะของโครงการวิจัยที่ดีซึ่งควรยึดเป็นแนวทางในการเขียน โครงการวิจัยมีดังนี้ (ภัทรา นิมาคม, 2539; เพชรน้อย สิงห์ช่างชัย ศิริพร ขัมภลิขิต และทัศนีย์ นะแส, 2539; วิจติ ร ศรีสุพรรณ, 2547) 1. มีความถกู ต้องในเนื้อหาสาระ มีหลักฐานและขอ้ เท็จจริงที่สามารถอ้างอิงได้ 2. มีความนา่ เชอ่ื ถือ ไม่เขียนแบบเลือ่ นลอยในลักษณะที่ผู้วจิ ยั คิดเอาเอง 3. มีสาระสาคญั ครบถ้วนทุกหวั ข้อตามข้ันตอนของกระบวนการวิจัย 4. ใช้ภาษาชดั เจน กะทดั รัด สามารถสื่อความหมายใหผ้ อู้ ่านเข้าใจได้อย่างรวดเร็ว 5. มีความมั่นคงหรอื คงทีใ่ นการใชถ้ ้อยคา ท้ังฉบับ 6. มีการนาเสนอข้อมลู ทีต่ ่อเน่อื งสัมพันธ์อย่างเปน็ เหตุเปน็ ผล 7. มีความสมเหตสุ มผลในด้านของงบประมาณ ปัญหาในการเขียนโครงการวจิ ยั จากการประเมินข้อเสนอโครงการวิจัยที่ผ่านมาพบว่า โครงการวิจัยหลาย ๆ โครงการยังมี ความไม่สมบูรณ์ ซึ่งอาจเป็นผลให้โครงการวิจัยไม่ได้รับการอนุมัติ ซึ่ง ภัทรา นิมาคม (2539) เสนอ ว่า ปัญหาหรอื ข้อบกพร่องทีพ่ บจากการเขียนโครงการวิจัยบ่อย ๆ มีดังนี้ 1. เขียนความเป็นมาและความสาคัญของปัญหาการวิจัยไม่ชัดเจนในเชิงเหตุผล โดยกล่าว ขึน้ มาลอยๆ ขาดการอ้างองิ 2. วตั ถปุ ระสงค์ของการวิจัย เขียนไม่ชดั เจน ไม่ครอบคลมุ ตัวแปรทีเ่ กี่ยวข้อง 3. เขียนความสาคัญ เกินขอบเขตของการวิจยั 4. มีขอ้ บกพร่องในการทบทวนวรรณกรรมทีเ่ กี่ยวข้อง ดังน้ี 4.1 มีการศกึ ษาค้นคว้ามาน้อย 4.2 กาหนดหัวข้อในการเขียนโครงการไม่เหมาะสม 4.3 เสนอเน้ือหาทีไ่ ม่เกีย่ วข้องเกินความจาเปน็ 4.4 เสนอเน้ือหาแบบตัดต่อ เรียงไม่เป็นลาดับไม่มีการสังเคราะห์และสรุปในแต่ละหัวข้อให้ เปน็ ความสมั พนั ธ์ระหว่างเอกสารและงานวิจัยทีค่ ้นคว้ากบั ปัญหาวจิ ยั ที่กาลังทาอยู่ 4.5 เสนอลาดับเนื้อหา ไม่เหมาะสม 4.6 ใช้แหล่งข้อมูลทุติยภูมิมากกว่าแหล่งปฐมภูมิ โดยคัดลอกมาจากรายงานการวิจัยที่มี ผทู้ ามาก่อน

21 สรุป การวิจัยทางการพยาบาลเป็นการวิจัยสาขาหนึ่งซึ่งศึกษาในศาสตร์ของการพยาบาลและ /หรือ กระทาโดยพยาบาล ซึง่ การวิจัยมีความสาคัญต่อการพฒั นาองค์ความรู้ การทดสอบความรู้ และ การ แก้ปัญหาทางการปฏิบัติการพยาบาล การบริหารการพยาบาล ตลอดจนการศึกษาพยาบาล การ วิจัยสามารถจาแนกได้หลากหลายชนิดขึ้นกับเกณฑ์ที่ใช้ยึดเป็นหลักในการพิจารณา ดังนั้น งานวิจัย ชนิ้ หนึง่ อาจถูกจาแนกได้เปน็ หลายชนิดตามเกณฑ์ทีน่ ามาอ้างอิง ซึ่งการวิจัยทางการพยาบาลน้ัน ผู้วิจัย จะต้องมีจริยธรรมในการวิจัยทางการพยาบาล และยึดถือจรรยาบรรณของนักวิจัยเป็นแนวทางในการ ทาวิจัย เพื่อให้งานวิจยั น้ันมคี ณุ ค่าและเปน็ การพัฒนาวิชาชีพการพยาบาลอย่างแท้จรงิ การเขียนโครงการวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้วิจัยใช้เป็นแนวในการดาเนินการวิจัยตลอด โครงการ นอกจากนีโ้ ครงการวิจยั จะเปน็ ตวั ควบคมุ มิใหผ้ วู้ ิจัยทาการวิจยั ออกนอกแนวทางทีก่ าหนดไว้ รูปแบบของโครงการวิจัยโดยท่ัวไป ประกอบด้วยส่วนสาคัญ 3 ส่วน คือ 1) ส่วนนาเรื่อง ซึ่งจะ บอกถึงชื่อโครงการวิจัย ชื่อผู้ทาวิจัย หน่วยงานที่ผู้ทาวิจัยสังกัด ฯลฯ ส่วน 2) ส่วนสาระสาคัญของ โครงการวิจัย ซึ่งประกอบด้วยปัญหาการวิจัย วัตถุประสงค์ของการทาวิจัย เอกสารงานวิจัยที่ เกีย่ วข้องและวธิ ีการดาเนินการวจิ ยั และ 3) แผนการปฏิบตั ิตามข้ันตอนกระบวนการวิจัย ลักษณะของโครงการวิจัยที่ดีน้ัน ต้องมีชื่อโครงการที่ชัดเจน เป็นงานวิจัยที่คุ้มค่า ควรค่าแก่ การลงทุน มีกระบวนวิจัยที่ถูกต้องตามลักษณะการดาเนินการวิจัยที่ดี กาหนดระยะเวลาและ งบประมาณเหมาะสมกบั ลกั ษณะของงานวิจัยน้ัน ๆ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook