Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 15 บทที่ 7 การเผยแพร่ผลงานวิจัยและการนำผลการวิจัยไปใช้

15 บทที่ 7 การเผยแพร่ผลงานวิจัยและการนำผลการวิจัยไปใช้

Published by chawanon, 2021-07-21 08:39:54

Description: 15 บทที่ 7 การเผยแพร่ผลงานวิจัยและการนำผลการวิจัยไปใช้

Search

Read the Text Version

99 บทที่ 7 การนาผลการวจิ ยั ไปใช้ในการปฏิบัติการพยาบาล การอภิปรายผลการวิจยั และการเขียนรายงานการวจิ ัย แนวทางการอภิปรายผล 1. การเริม่ ตน้ อภปิ รายผลผู้วจิ ัยอาจกลา่ วถงึ ส่งิ ทตี่ ้องศกึ ษาหรอื วัตถุประสงค์ การวจิ ัยเพื่อ เกริน่ นาํ หรอื บอกผอู้ ่านใหท้ ราบว่างานวจิ ัยเรื่องนก้ี าํ ลังศกึ ษาอะไร และ ได้ผลการวจิ ัยเป็นอยา่ งไร โดย นําเสนอผลการวิจัยทไี่ ด้ว่ามีอะไรบา้ ง ทั้งนี้ ผวู้ ิจยั ควร อภปิ รายผลตามหัวขอ้ หรอื ประเด็นท่ีศกึ ษา เชน่ ตามวัตถุประสงค์การวจิ ยั ซง่ึ อาจจะทําใหก้ ารอภปิ รายผลเขา้ ใจไดง้ ่าย ชัดเจน ไม่สบั สนและไม่ ซ้ําซ้อนกัน 2. หลงั จากนําเสนอผลการวิจยั ไปแล้ว ผวู้ ิจยั จะต้องหาขอ้ มลู หรือหลกั ฐานมา ยืนยันผลท่ไี ด้ เพอ่ื ให้มีความน่าเชื่อถอื โดยยืนยนั ผลทไ่ี ด้ในลกั ษณะของความ สอดคล้องหรือไมส่ อดคลอ้ ง (ขดั แย้ง) กบั ผลการวจิ ยั ในอดีต เช่น หากสอดคลอ้ ง ผู้วจิ ยั อาจระบุว่าผลการวจิ ยั ของตนสอดคลอ้ งกบั งานวิจยั ในอดีตของใครบา้ ง ใน ประเด็นใด หรือหากไม่สอดคลอ้ ง ผวู้ จิ ยั ก็ต้องระบใุ ห้ชัดเจนวา่ ผลการวิจัยของ ตนไม่ สอดคล้องกบั งานวิจัยในอดีตในประเดน็ ใด เพราะเหตุใด 3. กรณีท่ีไมม่ ีงานวจิ ยั ในอดีตมาอ้างอิง เนอื่ งจากงานวจิ ัยที่ทาํ อาจเปน็ เรอื่ งใหม่ หรอื ไมม่ ี ผู้ใดศกึ ษามาก่อน ทาํ ใหผ้ ู้วิจัยไม่สามารถยืนยนั ความสอดคล้องงานวจิ ยั ของ ตนเองกบั งานวจิ ยั ในอดตี ได้ หากเป็นเช่นนนั้ ผูว้ ิจยั จําเป็นตอ้ งอภปิ รายผลโดยเน้นไปที่ แนวคดิ และทฤษฎที เ่ี กีย่ วข้อง โดยอาจ นาํ ข้อมูลเชงิ หลักการ แนวคิด หรอื ทฤษฎีที่ เก่ียวข้องมาสนบั สนนุ ผลการวิจัยแทน ในบางกรณที ี่ผวู้ จิ ยั ไม่สามารถหาข้อมลู เชิง วิชาการมาอ้างอิงได้ อาจจําเป็นต้องใชข้ อ้ มูลทุตยิ ภมู อิ ืน่ ท่มี ีความน่าเช่อื ถอื มา อ้างองิ แทน เช่น ข้อมูลจากหนังสือพมิ พ์ วารสาร หรอื แหลง่ ขอ้ มลู บคุ คลท่เี ชื่อถอื ได้ เปน็ ต้น 4. หลังจากผวู้ ิจัยหาขอ้ มูลมายืนยนั ขอ้ ค้นพบโดยการเปรียบเทียบกับงานวิจัยใน อดตี หรือ แนวคดิ และทฤษฎีแลว้ ส่งิ ต่อไปคอื การให้เหตุผลวา่ เพราะเหตใุ ดผลการวิจัยจงึ เปน็ เช่นนัน้ โดยขยาย ความหรอื อธบิ ายข้อค้นพบน้นั ในเชงิ เหตุและผล ซงึ่ จะทาํ ให้การ วจิ ัยมีความนา่ เช่ือถือมากขึน้ ทัง้ น้ี ผู้วจิ ยั ควรใหเ้ หตุผลประกอบโดยอ้างอิงจากแนวคดิ หลกั การ ทฤษฎที ่ีมอี ยู่ เพ่อื ให้การอภิปรายผลน้ัน มีความสมเหตสุ มผลและมีความ นา่ เชื่อถอื เพราะสิ่งเหล่าน้ีจะแสดงให้เหน็ วา่ ผู้วิจยั มีความร้แู ละความ เขา้ ใจในสิ่งที่ ตนเองศึกษามากนอ้ ยเพยี งใด และมีการประมวลความรู้ตา่ งๆ เพ่อื นํามาอ้างองิ หรอื สนับสนุนผลการวิจยั ของตนไดอ้ ยา่ งไร การเขียนรายงานการวจิ ัย (Research Report) รายงานการวิจยั เป็นเอกสารท่สี าํ คญั ของการทาํ วจิ ัย เป็นขัน้ ตอนสดุ ท้ายทีท่ าํ ให้ การวิจัยเสรจ็ สมบรู ณ์อย่างแท้จรงิ การเขยี นรายงานการวจิ ัยจึงเปน็ ประโยชน์ต่อผวู้ จิ ยั เองและตอ่ ผอู้ ่นื ทง้ั น้กี ารวจิ ยั จะมคี ุณคา่ นอ้ ยมาก ถ้าไม่ไดร้ บั การตีพิมพ์เผยแพรส่ สู่ าธารณชน ดงั นั้นนักวิจยั ทุกคน จาํ เป็นตอ้ งศึกษา รปู แบบและเรียนรู้เทคนิคการเขยี นรายงานการวิจยั เพื่อทจ่ี ะไดเ้ ขียนใหถ้ ูกต้องตามหลกั การเขยี น

100 รปู แบบของรายงานการวิจัย โดยท่วั ไปรูปแบบของรายงานการวิจัย ประกอบด้วย 3 สว่ นสําคัญ คอื ส่วนหน้า ส่วนเนอ้ื เรือ่ ง และสว่ นท่ีเปน็ เอกสารอ้างอิง ซง่ึ แตล่ ะส่วนประกอบดว้ ยสว่ นยอ่ ย ดงั น้ี 1. ส่วนหน้า (Preliminary section) ประกอบดว้ ย 1) หน้าช่อื เรื่อง (Title page) 2) บทคดั ยอ่ (Abstract) 3) หน้าประกาศคณุ ูประการหรอื กิตติกรรมประกาศ (Acknowledgment page) 4) หน้าสารบญั (Table of Contents) 5) หนา้ สารบัญตาราง (List of Tables) 6) หน้าสารบญั ภาพประกอบ (List of Figures) 2. ส่วนเน้อื เรอ่ื ง (The Body of the Report) ประกอบด้วย 5 สว่ นดงั ต่อไปน้ี 1) บทนาํ (Introduction) 2) เอกสารงานวจิ ัยท่ีเกย่ี วขอ้ ง (Review of Related Literature) 3) วิธีดาํ เนนิ งานวิจัย 4) ผลการวิเคราะห์และแปลความหมาย 5) สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ 3. ส่วนหลัง - เอกสารอา้ งอิง ประกอบดว้ ย 1) บรรณานุกรม (Bibliography) 2) ภาคผนวก (Appendix) ลกั ษณะการเขยี นรายงานการวจิ ัย 1. ส่วนหนา้ ประกอบด้วย 1) หนา้ ช่อื เรื่อง (Title page) คอื หนา้ แรกถดั จากปกนอก โดยมขี ้อความเหมือนกับปกนอก ทุกอย่าง คือชือ่ เรอ่ื ง ช่ือผู้วิจัย สถานทท่ี าํ งาน และวันเดือนปที ่เี สนอผลงานวิจยั ใช้กระดาษ เช่นเดยี วกบั กระดาษรายงาน 2) บทคดั ยอ่ (Abstract) บางสถาบันอาจนาํ ไปไวส้ ่วนหน้า เป็นการกล่าวถึงงานวิจยั ใน ลักษณะย่อ เสนอแต่สาระสําคัญ เขียนอย่างกะทัดรดั แต่ได้ใจความครอบคลมุ หัวขอ้ สําคญั ๆ ไดแก่ จดุ มงุ่ หมายของการวจิ ยั วิธดี าํ เนนิ การศึกษา ซึ่งกล่าวถึงกลุ่มตัวอยา่ ง และการได้มาของกล่มุ ตวั อยา่ ง เคร่อื งมอื ทใี่ ช้ สถิติที่ใชใ้ นการวเิ คราะห์ขอ้ มูล และผลวิจัยท่ีได้ 3) หน้าประกาศคณุ ปู ระการหรือกิตติกรรมประกาศ (Acknowledgment page) หน้านีไ้ ว้ สาํ หรบั ผูว้ ิจัยเขียนกล่าวแสดงความขอบคณุ ผทู้ ่ีให้ความชว่ ยเหลือในการดําเนนิ งานวจิ ัย ไม่มีกกตายตวั ว่าตอ้ งกลา่ วถึงผู้ใดบ้าง เช่นครูบาอาจารย์ ผ้ใู ห้คําแนะนํา เพอ่ื น บิดามารดา ผเู้ ชยี่ วชาญ ผู้ให้ทนุ โดย ปกตกิ ารกล่าวขอบคุณผู้ท่ใี ห้ความช่วยเหลอื มกั ไมเ่ กิน 1 หนา้ 4) หน้าสารบญั (Table of Contents) เปน็ ส่วนสาํ คญั ที่ขาดไม่ไดเ้ พราะเปน็ การบอกวา่ อะไร อยู่ตรงไหน ชว่ ยให้ผูอ้ า่ นๆด้เห็นโครงสร้างของรายงานการวจิ ัยท้งั หมด และสะดวกในการคน้ หาอ่าน

101 หวั ขอ้ ทต่ี ้องการไดอ้ ยา่ งรวดเร็วยงิ่ ข้นึ นยิ มแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ สารบัญเนื้อเรอื่ ง สารบญั ตาราง สารบัญภาพประกอบ ข้อควรระวังในการเขียนสารบญั กค็ อื ขอ้ ความทป่ี รากฏในสารบญั ต้องเหมอื นกับทีป่ รากฏ อยู่ภายในเล่มทุกประการ ไมค่ วรย่อหรอื เขียนใหม่ ในการจัดทาํ เปน็ รายงานสว่ นหนา้ นไ้ี มน่ ยิ มบอกเปน็ ตัวเลข มักใชต้ วั อกั ษร เร่มิ จาก ก, ข, ค, ง,……. จนหมดสว่ นน้ี แล้วจงึ ไปข้นึ หน้า 1 ในสว่ นเนื้อเรอื่ ง 2. ส่วนเน้ือเรื่อง (The Body of the Report) หมายถงึ เนอ้ื หาท้งั หมดของการวจิ ัย เปน็ ส่วนที่สําคัญที่สุด เพราะเปน็ ส่วนท่แี สดงสาระสาํ คัญ ของการวิจยั ทีน่ ิยมแบง่ เสนอเป็นบท ดงั น้ี บทท่ี 1 บทนํา (Introduction) ประกอบดว้ ยสว่ นย่อย ๆ ได้แก่ ความเป็นมาและความสาํ คญั ของปัญหา กลา่ วถงึ ทม่ี าของปัญหาการทําวิจยั มูลเหตุจูงใจทีท่ าํ ให้ศกึ ษาเรือ่ งนี้ การเขียนสว่ นนีม้ กั กลา่ วถึง ข้อความนาํ เรอื่ งท่เี ชอื่ มโยงเขา้ สูเ่ นื้อเร่ืองทท่ี ําวิจยั การนาํ เรอื่ งไม่ควรยาวหรือกว้างเกนิ ไป เพราะอาจนาํ เขา้ สู่เร่อื งยาก ส่วนน้ีอาจมกี ารอา้ งองิ ไดต้ ามสมควร แต่ ไม่ควรอ้างมากเกินไป จนเหมือนกบั เอาขอ้ ความทอี่ า้ งองิ มาต่อ ๆ กนั ในตอนสดุ ทา้ ยของสว่ นนตี้ ้อง สรปุ ใหไ้ ด้วา่ “ด้วยเหตดุ งั กล่าวจงึ ทาํ ใหเ้ กิดการวิจัยข้นึ ” วตั ถุประสงคข์ องการวิจยั เปน็ การเขยี นถงึ ส่ิงทีต่ อ้ งการศึกษา ท่คี ่อนข้างเฉพาะเจาะจง เพอื่ ใหผ้ อู้ า่ นเข้าใจชัดเจนว่าผ้วู ิจัยตอ้ งการศึกษาอะไรบ้าง(วธิ ีการเขียนเสนอไวใ้ นเนอื้ หาบทท่ี 2) สมมตุ ิฐานการวจิ ยั เปน็ การคาดคะเนคําตอบตอ่ ปัญหาทว่ี จิ ัยไว้ล่วงหน้าอย่างมเี หตผุ ล และ ต้องเขียนให้สอดคลอ้ งกบั วัตถุประสงคก์ ารวจิ ยั (วธิ กี ารเขยี นเสนอไวใ้ นเนือ้ หาบทที่ 2) ความสําคญั ของการศกึ ษา เปน็ การกล่าวถงึ ผลของการศกึ ษาว่าจะเกิดอะไร ทาํ ใหไ้ ดอ้ ะไรบา้ ง สามารถนําไปใช้แก้ไขปัญหา และปรบั ปรุงอะไรได้บา้ ง ขอบเขตการวิจยั เปน็ การกําหนดกรอบของการวิจยั วา่ ตวั ปัญหาน้ีมขี อบขา่ ยในการศกึ ษา ครอบคลุมกลมุ่ ใดบา้ ง สิง่ ท่ตี ้องกลา่ วถึง คอื ลกั ษณะประชากร กลุม่ ตัวอยา่ ง เครือ่ งมือ ชว่ งเวลาท่ี ศกึ ษา แต่ไมจ่ ําเป็นต้องระบรุ ายละเอียดมาก ข้อตกลงเบอ้ื งต้น เป็นการกําหนดเงอ่ื นไขกบั ผอู้ า่ นวา่ งานวจิ ัยเรอ่ื งนี้มขี อ้ ตกลงอะไรบ้าง เพือ่ ใหเ้ กดความเข้าใจตรงกัน เม่ือวา่ อ่านผลการวิจัยจะได้ยอมรับภายใตข้ ้อตกลงนั้น ๆ นิยามศัพทเ์ ฉพาะ เป็นการใหค้ าํ จํากดั ความตวั แปรทศี่ กึ ษา คาํ บางคํา ใหเ้ ปน็ ท่ีเขา้ ใจตรงกนั วา่ หมายถึงอะไร และวัดไดอ้ ย่างไรในการวจิ ัยนั้น ๆ ความหมายของคําทน่ี ิยามให้นยิ ามตามที่ใช้จริง ๆ ไม่ใช่นิยามตามทฤษฎหี รือตามความหมายสากล ขอ้ จํากดั ของการวิจยั เปน็ การระบุถงึ ความคลาดเคล่อื นของงานวจิ ัย ที่ผู้วจิ ยั ไม่ต้องการให้ เกิดข้นึ เป็นการบอกว่าการวจิ ัยนีม้ ีข้อควรพจิ ารณาในการนําไปใช้ตอ่ อยา่ งไร การเขียนขอ้ จํากดั ของ การวจิ ัย แสดงใหเ้ ห็นวา่ ผวู้ ิจยั ได้คํานงึ ถึงเร่อื งน้ี และพยายามควบคมุ แตไ่ มส่ ามารถทําได้ บทท่ี 2 เอกสารและงานวิจยั ทเ่ี กีย่ วข้อง (Related Literature) ในสว่ นนีเ้ ป็นการรวบรวมเอกสาร และผลงานวิจยั ทเ่ี กีย่ วข้องกบั เร่อื งทว่ี จิ ัย คําวา่ “เกยี่ วข้อง” ในที่น้ีอาจเกยี่ วกบั ตวั แปรแต่ละตัว หรือผลการวจิ ยั ตามสมมุติฐานทก่ี าํ หนดไว้ การเขียน รายงานในบทนไ้ี มใ่ ช่เปน็ การนําเอาทฤษฎแี ละผลการวจิ ัยที่เกี่ยวขอ้ งมาเขยี นเรียบเรยี งตามลาํ ดับตอ่ ๆ กัน ใหค้ รบถ้วน ผวู้ ิจัยตอ้ งจัดระบบหรอื วางโครงเรอ่ื งเลือกสรรเฉพาะเน้ือหาสาระท่จี าํ เปน็ มาเขียน

102 ตามโครงเรื่อง (รายละเอียดเสนอไว้ในเนอ้ื หาบทท่ี 2) บทที่ 3 วิธดี ําเนินการวจิ ัย ในส่วนน้ชี ่วยให้ผ้อู า่ นทราบรายละเอยี ดวธิ ดี าํ เนนิ การวจิ ัย โดยทว่ั ไปมีหัวขอ้ ดงั น้ี ประชากร ระบุถึงประชากรทีศ่ ึกษาว่า ได้แก่กลมุ่ ใด มจี าํ นวนเทา่ ใด หรือประมาณเทา่ ใด กลุ่มตัวอย่าง กล่าวถึงลักษณะกลุ่มตวั อยา่ ง วิธีสมุ่ กลมุ่ ตัวอยา่ ง และขนาดของกลุม่ ตวั อยา่ ง การอธบิ ายวิธีการสมุ่ กลุ่มตัวอยา่ ง เขยี นใหช้ ัดเจน โดยเขยี นให้เหน็ ตามลําดับข้ันการสุ่มเป็นขอ้ ๆ อาจ แสดงรายละเอยี ดจาํ นวนประชากรและกล่มุ ตวั อย่าง โดยแสดงในรปู ตารางประกอบดว้ ย เครื่องมือ ระบใุ ห้ทราบว่ามีเครอื่ งมอื ชนิดใดบ้าง ผ้วู ิจยั สรา้ งข้ึนเองหรือดัดแปลงมาจากผู้อ่ืน ลกั ษณะของเครอ่ื งมือเป็นอย่างไร มวี ธิ กี ารตอบอยา่ งไร มีเกณฑ์การใหค้ ะแนนอย่างไร ยกตัวอยา่ ง เครื่องมือและวิธกี ารตอบประกอบดว้ ย (หรือนาํ ไปแสดงในภาคผนวกก็ได้) ต่อจากน้นั กลา่ วถงึ การ ตรวจสอบคณุ ภาพเครอ่ื งมอื โดยเฉพาะค่าความเทยี่ งตรง (Validity) และความเชอ่ื มน่ั (Reliability) ควรระบุค่าความเชื่อม่นั เป็นตวั เลขด้วย ตัวแปรทีศ่ ึกษา กล่าวถงึ ตัวแปรอสิ ระและตัวแปรตาม โดยบอกว่าแต่ละกลมุ่ มตี วั แปรย่อย อะไรบา้ ง กรณที มี่ ีการควบคมุ ตัวแปรก็ระบุไว้ใหช้ ดั เจน การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล ใหร้ ะบุว่าขัน้ ตอนในการเก็บรวบรวมขอ้ มลู ทาํ อย่างไร ใครเปน็ คนเก็บ มวี ธิ ีการอย่างไร ถา้ เป็นการทดลอง ต้องบรรยายถึงข้นั ตอนในการทดลองอยา่ งชดั เจน การวเิ คราะหข์ ้อมูล เป็นการกลา่ วถงึ การใช้สถิตใิ นการวเิ คราะห์ข้อมูล ได้แกส่ ถติ ทิ ใี่ ช้ในการ หาคณุ ภาพเครื่องมอื และสถิตทิ ใ่ี ชท้ ดสอบสมมตุ ิฐาน โดยแสดงให้เห็นถงึ สูตรทใ่ี ช้ และความหมายของ สัญลักษณ์ต่าง ๆ ในสตู รดว้ ย บทท่ี 4 ผลการวเิ คราะห์ขอ้ มูลและแปลผล บทนน้ี บั ว่าเปน็ หัวใจสาํ คัญของรายงานการวจิ ัย เพราะเปน็ การเสนอข้อค้นพบทไี่ ด้ การ นาํ เสนอในบทน้ี ควรมกี ารเรียงลาํ ดบั ให้เหมาะสม สอดคล้องกับจดุ มุ่งหมายการวิจยั (หรอื สมมตุ ิฐาน การวิจยั กไ็ ด้ กรณที ีส่ มมตุ ิฐานรับกับจดุ ม่งุ หมายเปน็ ข้อ ๆ การนาํ เสนอโดยทัว่ ไปเสนอในรูปแบบของ ตารางผลการวเิ คราะหค์ วบคู่ไปกบั เหตุผลหรืออธิบายตาราง ขอ้ ควรระวัง การเสนอผลการวิเคราะห์ขอ้ มลู บทนี้ เป็นการเสนอผลตา่ ง ๆ ตามทว่ี ิเคราะห์ได้ ไมค่ วรเสนอความคิดเห็นส่วนตัว หรอื อธิบายเพ่มิ เตมิ ถึงสาเหตทุ ี่ทาํ ใหผ้ ลออกมาเปน็ อย่างนี้ บทท่ี 5 สรุป อภปิ รายผล และขอ้ เสนอแนะ เป็นบทสดุ ท้ายของตัวรายงานเปน็ การนาํ เสนอตอ่ จากบทท่ี 4 ท่ีวา่ ด้วยผลการวเิ คราะหข์ ้อมูล มาสรุปหรือเขียนอยา่ งย่อ ๆ เอาเฉพาะประเดน็ ทเ่ี ปน็ ผลจริง ๆ โดยเขยี นสรุปเปน็ ข้อ ๆ โดยเนน้ การ ตอบคาํ ถามต่อจุดมงุ่ หมายที่ตั้งไวอ้ ย่างครบถ้วน โดยเขยี นในรปู ของขอ้ ความท่คี ลา้ ยคลึงกับการเขยี น สมมุติฐาน เพ่อื ชี้ใหเ้ ห็นวา่ ผลการวจิ ัยน้นั สอดคลอ้ งหรอื ขดั แยง้ กับสมมตุ ฐิ าน จึงตอ้ งนําข้อเท็จจริงจาก ทฤษฎแี ละผลงานวิจยั ท่พี บ ในลักษณะคลา้ ยคลงึ กันมาแสดงประกอบเทียบเคียงไวด้ ว้ ย นอกจากนี้ อาจนาํ ข้อสังเกตบางประการ ท่ผี ู้วิจยั ได้พบเกี่ยวเน่ืองกับการไดผ้ ลการวจิ ยั นัน้ มากล่าวไว้ด้วย ทัง้ นเี้ พื่อ ช่วยใหผ้ ูอ้ า่ นเกิดความรู้ความเข้าใจเก่ยี วกบั ปญั หานน้ั ๆ อยา่ งละเอยี ดลึกซง้ึ กวา่ เดิม เป็นการช้ีให้เหน็ ถงึ แงม่ ุมและวิธกี ารทีจ่ ะศกึ ษาปัญหาวจิ ยั นน้ั ต่อไปอกี ด้วย เม่ือกล่าวอภิปรายผลแลว้ ก็เป็นการใหข้ อ้ เสนอแนะ ในกรณีการนําผลการวิจัยไปใชใ้ หเ้ กิด

103 ประโยชนใ์ นลกั ษณะต่าง ๆ และการเสนอแนะเพ่อื การทําวจิ ัยต่อไป ซ่งึ การเสนอแนะต้องอยภู่ ายใน ขอบเขตข้อมูลทไี่ ดม้ าเท่านน้ั 3. ส่วนหลัง เอกสารอ้างองิ ประกอบดว้ ย 1. บรรณานุกรม (Bibliography) เปน็ ส่วนทอ่ี ยตู่ ่อจากบทสดุ ท้ายของตวั รายงาน เป็นการ รวบรวมเอกสารทใ่ี ชอ้ ้างอิง รวมท้งั เอกสารอน่ื ๆ ทใ่ี ช้คน้ คว้าเก่ยี วกบั การทําวิจัยและการเขียนราย งาน การเขียนบรรณานกุ รม ให้เรียงตามลําดับตัวอกั ษร โดยเรยี งจากเอกสารภาษาไทยกอ่ น แล้วจึง เรยี งภาษาอังกฤษตาม วิธีการเขียน เริม่ จากชื่อผู้แต่ง ฃ่อื หนังสอื สํานกั พิมพ์ (โรงพิมพ)์ ปีท่พี ิมพ์ ตัวอยา่ งเชน่ กลุ ยา ตนั ตผิ ลาชีวะ. \"การประเมนิ ผลการเรยี นการสอนด้านการศึกษาพยาบาล,\" วารสาร การศึกษาพยาบาล. 3(2) : 40-59 ; 2535. จนิ ตนา ยูนิพนั ธ์. การเรยี นการสอนทางพยาบาลศาสตร์. กรุงเทพฯ : คณะครุศาสตร์ จฬุ าลงกรณ์ มหาวิทยาลยั , 2527. โชติ เพชรชื่น. เทคนิคการประเมนิ หลักสูตร. สํานักทดสอบทางการศึกษาและจิตวิทยา มหา วิทยาลัยศรนี ครินทรวิโรฒ ประสานมิตร, ม.ป.ป. อํานวย เลศิ ชยันตี. การศึกษาความสัมพนั ธร์ ะหว่างความสามารถทางสมองกบั ความสามารถ ดา้ นการคิดแกป้ ญั หาในวิชาคณติ ศาสตร์ของนกั เรยี นในระดับช้นั มัธยมศึกษา. ปรญิ ญา นพิ นธ์ กศ.ด กรงุ เทพฯ : มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครนิ ทรวิโรฒ ประสานมติ ร, 2523. อัดสาํ เนา. The Board of Censors of the Royal College of General Practitioners. \"The Modified Essay Question,\" Journal of the Royal College of General Practitioners. 21: 373- 385 ; 1971. Brennan, R. L. Elements of Generalizability Theory. Iowa : The American College Testing Program, 1983. ก่อนการเสนอรายการของบรรณานุกรม ควรมีใบนาํ กอ่ น โดยเขียนคําว่าบรรณานกุ รมไว้ตรง กลางหนา้ 2. ภาคผนวก อยู่ตอ่ จากบรรณานุกรม เปน็ สว่ นทนี่ าํ รายละเอียดปลกี ย่อยของเน้ือหาท่ีไม่ จําเปน็ ต้องใส่ไว้ในส่วนของเนือ้ หามารวมไว้ทา้ ยเลม่ เพอ่ื การอ้างองิ ในรายละเอยี ด เชน่ ตวั เครอื่ งมอื รายละเอียดคณุ ภาพเคร่อื งมือ ภาพประกอบบางอยา่ งเกย่ี วกับการทดลอง ภาคผนวกอาจมหี ลายตอน แยกเขียนเปน็ ภาคผนวก ก. ภาคผนวก ข. ไปตามลาํ ดับ เทคนคิ การเขียนรายงานการวจิ ยั การเขยี นรายงานการวจิ ยั แตกตา่ งจากการเขยี นเรียงความหรอื บทความทวั่ ไป เพราะการ เขียนรายงานการวิจยั เปน็ การอธิบายขอ้ เทจ็ จริงของการศกึ ษาค้นคว้าหวั ขอ้ ปญั หาการวจิ ัย ซตึ่ ้อง รายงานไปตามความเป็นจรงิ และมกี ารแสดงความคิดเห็นบ้าง แต่ก็มีหลกั ฐานและเอกสารการวิจัย ชว่ ยยนื ยัน การเขียนรายงานการวจิ ยั ที่มีคณุ คา่ ต้องเปน็ การเขยี นทที่ ําให้ผู้อา่ นเขา้ ใจงา่ ย และมคี วาม เข้าใจถกู ตอ้ ง และตอ้ งเปน็ การเขียนที่ถูกตอ้ งตามรูปแบบ โดยควรเขียนในลกั ษณะต่อไปนี้

104 1. ใชภ้ าษาท่ีชัดเจน เขา้ ใจงา่ ย ตรงไปตรงมา 2. ใช้ภาษาเขยี น เขียนดว้ ยประโยคกะทัดรดั ไม่เยนิ่ เยอ้ ระวงั การใชภ้ าษาพูด 3. ใช้ประโยคทีเ่ ป็นอดีต และเปน็ การเขยี นรายงานถงึ ส่งิ ตา่ ง ๆ ท่ีเกิดขน้ึ แล้ว 4. ไมค่ วรใช้ภาษาตา่ งประเทศ ถา้ มภี าษาไทยอยูแ่ ลว้ 5. ไมค่ วรใช้อักษรยอ่ โดยทว่ั ไปนยิ มเขียนด้วยคําเตม็ 6. ไม่ใชส้ รรพนามบรุ ุษตา่ ง ๆ การแทนตัวเองใชค้ าํ วา่ “ผูว้ ิจยั ” ถ้าตอ้ งการแทนผู้อนื่ ให้ ระบชุ ่ือ นามสกลุ ของผู้น้นั เช่น “กุลยา ตนั ตผิ ลาชีวะ” เปน็ ตน้ 7. คําอธิบายในการเขียนรายงานต้องถกู ตอ้ งตามหลกั วิชา โดยมหี ลกั ฐานยืนยนั หรอื มี เอกสารอา้ งองิ ไม่ควรกลา่ วอา้ งอย่างเลอ่ื นลอย 8. สะกดการนั ตใ์ หถ้ ูกตอ้ ง การสะกดผิดอาจทําใหค้ วามหมายผิดพลาดได้ 9. ใชเ้ ครอ่ื งหมายวรรคตอนใหถ้ กู ต้อง รวมทั้งเครือ่ งหมายอนื่ ๆ 10. ควรมคี วามคงท่ี (Consistency) ในการใช้คําศัพท์ต่าง ๆ ถา้ ใชค้ ําใดให้ใชค้ ําน้ันตลอดใน การเขยี นรายงานฉบับนัน้ เชน่ ใชค้ าํ ว่า “ผูป้ ว่ ย” ไม่ใชว่ ่า “คนไข”้ บ้างปะปนกัน 11. การเขยี นตัวเลข เขยี นให้เปน็ ระบบเดียวกันตลอด เชน่ ทศนยิ ม 3 หลัก ไปโดยตลอดให้ เหมือนกนั 12. สูตรสถิตติ ่าง ๆที่เปน็ สูตรมาตรฐาน เช่นการหาคะแนนเฉลยี่ สว่ นเบยี่ งเบนมาตรฐาน ก็ ไมจ่ าํ เป็นต้องเขยี นไวใ้ นรายงานการวิจยั และไมต่ ้องแสดงวธิ ีคาํ นวณดว้ ย 13. การเขียนรายงานทงั้ ฉบบั ควรมกี ารลาํ ดบั ความที่ดีเปน็ ระบบ มคี วามสัมพันธ์ ต่อเนื่องกนั อย่างราบรื่น ไม่ใชส้ ํานวนซาํ้ กนั ในที่ใกล้ ๆ กนั ฐานขอ้ มลู การวิจัยทางการพยาบาล การสืบค้นข้อมูลจากแหล่งสารสนเทศประเภทต่างๆ ทางการพยาบาลและสาธารณสุข เป็น ทักษะท่ีสาคัญสาหรับนักศึกษาพยาบาล เพ่ือให้สามารถค้นหาข้อมูล เอกสาร งานวิจัยประกอบการ เรียน และยังเป็นทักษะสาคัญเพื่อพัฒนาความรู้ความสามารถในการประกอบวิชาชีพในอนาคต การสืบค้นวิจัยทางการพยาบาลเป็นกระบวนการในการค้นหาสารสนเทศวิจัยทางการพยาบาลที่ จัดเก็บในทรัพยากรสารสนเทศประเภทต่างๆ หรือแหล่งสารสนเทศประเภทต่างๆ ที่สารสนเทศถูก จัดเก็บไว้ตามหัวข้อ หรือตามประเภทของทรัพยากรสารสนเทศ ในปัจจุบันการค้นหาสารสนเทศวิจัย ทางการพยาบาล นี้ผู้ค้นสามารถค้นจากเครอื่ งคอมพิวเตอร์ทเ่ี ชื่อมต่อกับโปรแกรมจัดเก็บและค้นคืน สารสนเทศ รวมทั้งการเช่ือมต่อกับระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เพื่อให้ผู้ค้นได้รับสารสนเทศท่ีตรงกับ ความต้องการในการนาไปใช้ประโยชน์มากทีส่ ดุ ขนั้ ตอนการสบื คน้ วจิ ยั ทางการพยาบาล 1.การทาํ ความเข้าใจกับความต้องการสารสนเทศของผูต้ อ้ งการคน้ สารสนเทศ 1.การคดั เลือกระบบค้นคืนสารสนเทศที่เหมาะสม 2.การกาํ หนดความต้องการสารสนเทศในรปู แนวคดิ และคําค้น 3.การกาํ หนดกลยทุ ธก์ ารค้น

105 การดาเนินการค้นและทบทวนผลการค้น การกาํ หนดคาํ สาํ คัญ (Keyword) หรอื หวั เรอ่ื ง (Subject) ทีใ่ ชใ้ นการสบื คน้ 1.การค้นวลี (Phrase searching) โดยใชเ้ ครอื่ งหมายอัญประกาศ “……………….” เมอ่ื ตอ้ งการกาํ หนดให้ค้นเฉพาะหนา้ เอกสารที่มีการเรียงลาํ ดบั คําตามทีก่ าํ หนด 2.การตัดคาํ (Word stemming) โดยใชเ้ ครื่องหมาย * ตามท้ายคาํ เพ่ือตอ้ งการคน้ หาคําที่ ข้ึนต้นดว้ ยตวั อักษรทีก่ ําหนด 3.คาํ พ้องความหมาย (Synonym) โดยการใชค้ าํ เหมอื นท่ีมคี วามหมายเดียวกนั หรอื ใกล้เคยี ง กัน เพือ่ ช่วยใหค้ ้นเรื่องท่คี รอบคลมุ 4.เขตขอ้ มูลเพอื่ การค้น (Field Searching) ระบุคําท่ตี ้องการคน้ ให้ปรากฏในเขตข้อมลู ที่ ตอ้ งการ เช่น ช่ือเรอ่ื ง ช่อื ผ้แู ตง่ หัวเร่อื ง สาระสงั เขป เป็นต้น 5.ภาษาธรรมชาติ การกําหนดคําหรือวลีที่เปน็ ภาษาทีพ่ ดู กันทวั่ ไป การสืบค้นวิจยั ทางการพยาบาล 1.กาํ หนดวตั ถปุ ระสงคก์ ารคน้ คนื เพอ่ื ให้สามารถกาํ หนดขอบเขตของแหล่งข้อมลู ท่จี ะค้นใหแ้ คบลง 2.ประเภทของข้อมูลหรือสารสนเทศที่สามารถค้นคนื ได้ ขอ้ มลู และสารสนเทศบนอินเทอรเ์ น็ตมีหลายประเภทควรกาํ หนดใหเ้ หมาะสมกบั ความต้องการนามาใช้งาน 3.บริการบนอนิ เทอรเ์ นต็ บริการคน้ ขอ้ มลู บนอนิ เทอร์เนต็ มหี ลากหลาย ควรเลอื กใหเ้ หมาะกบั ความตอ้ งการ สารสนเทศทีน่ ามาใช้งาน 4.เคร่อื งมือหรือโปรแกรมสาหรับการคน้ คืน ◦Search engine เป็นโปรแกรมสาหรบั การค้นคนื ทมี่ ีอยู่มากมายหลายเว็บไซต์ ทน่ี ิยมมาทส่ี ุดคอื Google การประเมนิ การสืบคน้ วิจยั ทางการพยาบาล 1.ความน่าเชื่อถือของผู้เขียนและผูร้ บั ผิดชอบในการจัดทํา 2.ความทันสมยั ของสารสนเทศและขอ้ มลู 3.การจัดการรูปแบบท่มี ีรูปแบบ มคี วามเหมาะสมทีจ่ ะนามาใช้ประโยชน์ทางการศึกษา มี หลกั ฐานการอา้ งองิ ทมี่ ขี องข้อมูล 4.คุณภาพของสารสนเทศหรอื เน้อื หาท่ีนําเสนอ 4.1ผู้เขยี นนาํ เสนอข้อเท็จจรงิ และใหค้ วามคดิ เหน็ หลายดา้ น 4.2 มกี ารอ้างองิ ผลงานหรือทฤษฏีทเ่ี กย่ี วข้องกบั งานเขยี น 4.3 ระบบวตั ถุประสงคข์ องเอกสารชดั เจน 4.4 ขอ้ มูลหรือสารสนเทศที่นาํ เสนอสอดคล้องกบั วัตถปุ ระสงค์ที่ระบุไว้ 4.5 การนําเสนอสารสนเทศถกู ตอ้ ง เท่ยี งตรง 5.มีความคมุ้ คา่ โดยพิจารณาจากค่าใชจ้ า่ ย

106 แหล่งสารสนเทศวจิ ยั ทางการพยาบาล 1.แหลง่ สารสนเทศสําหรับสืบคน้ ทรัพยากรสารสนเทศ หอ้ งสมุดของสถาบนั ทางการศึกษาทางการพยาบาลและสุขภาพ โดยสบื คน้ ผา่ นทางระบบ OPAC : Online Public Access Catalog ของแตล่ ะห้องสมดุ 2.แหล่งสารสนเทศท่ใี หข้ ้อมูลขา่ วสารที่ทนั สมัยทางการพยาบาลและสุขภาพ หนว่ ยงานและสถาบันที่เก่ยี วกบั วิชาชพี พยาบาล โดยสามารถค้นหาข้อมูล ข่าวสาร ที่ เกีย่ วกับการพยาบาลและสุขภาพ ผา่ นทางเวบ็ ไซตข์ องหน่วยงานน่นั ๆ 2.แหล่งสารสนเทศท่ีให้บรกิ ารเอกสารทางวิชาการและงานวจิ ยั สาํ นกั พมิ พว์ ารสารวิชาการทางการพยาบาล หรอื หนว่ ยงานทีว่ ชิ าชีพที่ผลิตเอกสารและ งานวจิ ยั ทางการพยาบาล โดยสามารถสืบค้นเอกสารฉบับสมบรู ณ์ หรือบทคดั ยอ่ ของเอกสารผ่านทาง ระบบเครือขา่ ยอนิ เทอรเ์ น็ต แหลง่ สบื คน้ วิจัยทางการพยาบาลวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนีชัยนาท ฐานข้อมูล Clinicalkey for Nursing 1. เขา้ ใช้ทเี่ ว็บไซตว์ ิทยาลยั http://www.bcnchainat.ac.th เลือกเมนูฐานขอ้ มูล clinicalkey 2. เข้าใชง้ านโดยตรงทเี่ วบ็ ไซต์ http://www.clinicalkey.com/nursing User name: [email protected] Password : clinicalkey 3. เข้าใชง้ านผ่านเว็บไซตห์ อ้ งสมุด http://202.129.38.9/ULIB61/

107 ฐานข้อมลู ThaiLIS (ฐานขอ้ มูลรายงานการวิจยั , วทิ ยานิพนธ์) 1. เขา้ ใช้ทเ่ี วบ็ ไซตว์ ิทยาลัย http://www.bcnchainat.ac.th เลอื กเมนูฐานขอ้ มลู ThaiLIS 2. เขา้ ใชง้ านโดยตรงท่ีเวบ็ ไซต์ http://dcms.thailis.or.th/tdc/ 3. เขา้ ใชง้ านผ่านเว็บไซตห์ อ้ งสมุด http://202.129.38.9/ULIB61/ ไปท่ี ฐานขอ้ มูลออนไลน์ เลือกเมนู Digital collection (ThaiLIS)

108 ข้อดีของการสืบค้นวจิ ัยทางการพยาบาลทางอนิ เตอรเ์ น็ต 1.ข้อมลู และสารสนเทศมคี วามหลากหลายท้ังเน้ือหาและแหล่งทม่ี า 2.ขอ้ มูลและสารสนเทศที่คน้ คืนได้มคี วามทนั สมัยมาก 3.สะดวกในการค้นคืน ไมม่ ีข้อจากดั ในแง่เวลาและสถานท่ใี นการคน้ หาขอ้ มลู 4.สามารถค้นหาได้รวดเรว็ โดยใช้ Search Engine 5.ข้อมลู และสารสนเทศที่ค้นคนื มามปี ระโยชน์มาก สามารถนามาใช้จดั หมวดหมู่ ทําขอ้ มูล บรรณานกุ รม และนํามาจัดการต่อไดง้ า่ ย 6.ส่งเสรมิ การเรียนรูด้ ้วยตนเอง และการเรียนรตู้ ลอดชวี ิต ข้อดขี องการสบื ค้นวิจัยทางการพยาบาล 1.ข้อมูลและสารสนเทศท่ีมใี นอินเทอรเ์ น็ตมีจานวนมากหลากหลาย ทาให้ ผ้คู น้ หา สารสนเทศได้สารสนเทศท่ไี ม่ตรงตามความตอ้ งการ ซง่ึ ทาํ ใหเ้ สียเวลาในการคน้ หา 2.ขอ้ มลู และสารสนเทศบนอนิ เทอรเ์ น็ตมีการปรับปรงุ อยเู่ สมอ ทาํ ให้บางครัง้ ไมส่ ามารถ ยอ้ นกลบั ไปยงั แหล่งข้อมูลเดมิ ที่เคยสบื ค้นได้ 3.แหลง่ ท่มี าของข้อมลู และสารสนเทศบนอินเทอร์เนต็ มคี วามหลากหลายมาก จึงตอ้ ง ตรวจสอบความน่าเชอ่ื ถอื ของแหล่งทม่ี าวา่ มีมากน้อยเพียงใด การประเมนิ ความนา่ เช่ือถือของงานวิจัย การประเมนิ งานวจิ ัย หมายถงึ การตดั สนิ คุณภาพของผลงานวจิ ยั ว่ามคี วาม เชอื่ ถอื ได้ มากนอ้ ยแคไ่ หน โดยใช้ข้อมูลจากการประเมนิ ส่วนต่างๆ ของรายงานการวิจัย การอา่ นรายงานการวิจัย มจี ุดมงุ่ หมายเพอ่ื หาขอ้ ความรูค้ วามจรงิ รายงานการ วจิ ยั ทุกเรื่อง ไมใ่ ชว่ า่ จะเชื่อถอื ไดท้ กุ เร่อื งเสมอไป บางเรื่องอ่านแลว้ ยอมรับได้ บางเร่ือง ยอมรับไม่ได้ ดังนน้ั การที่ เราจะตดั สนิ ว่างานวจิ ยั เรื่องใดน่าเชื่อถอื ไดม้ ากน้อยแค่ เราจะต้องมีวิธกี ารประเมนิ ซงึ่ รายละเอียดจะ ไดก้ ล่าวตอ่ ไป หลกั เกณฑ์ท่ัวไปสาหรับการประเมินงานวจิ ัยหลักเกณฑ์ท่ัวไปทีใ่ ช้ในการ ประเมนิ งานวจิ ัยมี 2หลกั เกณฑ์ คอื 1. ความเท่ียงตรงภายใน (Internal validity) งานวิจัยใดมีความเที่ยงตรงภายใน แสดงว่า ข้อค้นพบในการวิจัยเร่ืองนั้นต้องสมเหตุสมผล นั่นคือถ้าเป็นการวิจัยเชิงทดลอง ผลของการทดลองก็ จะต้องเกิดจากตัวแปรทดลองหรือตัวแปรต้น ไม่ใช่เกิดจากตัวแปร หรือเหตุอื่นๆ ถ้าเป็นการวิจัยเชิง ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรจะต้องเป็นความสัมพันธ์โดยตรงไม่ผ่านตัวแปรใดตัวแปรหนึ่งมาก่อน ดังน้ันในการตรวจสอบความเที่ยงตรงภายใน เราจะตอ้ งพิจารณาความสามารถในการควบคมุ ตัวแปร เกินของแบบวิจยั การวดั ตวั แปรและการวเิ คราะห์ข้อมูล เปน็ ต้น 2. ความเทีย่ งตรงภายนอก(External validity) เป็นการประเมินว่าขอ้ คน้ พบท่ไี ด้ จากกลุ่ม ตัวอย่างสรุปพาดพิงไปยังประชากรเป้าหมายนั้นถูกต้อง ครอบคลุมหรือไม่ ดังนั้น วิธีการให้ได้มาซึ่ง กลุ่มตัวอย่างท่ีจะเป็นตัวแทนของประชากรนับว่ามีความสําคัญอย่างยิ่ง การกําหนดกรอบของ ประชากรให้ชัดเจนก่อนสุ่มตัวอย่างจึงมีความจําเป็นท่ีจะทําให้กลุ่มตัวอย่างเป็นตัวแทนท่ีดีของ ประชากร

109 สมหวัง พิธิยานวุ ัฒน์ ได้เขียนไวใ้ นหนังสือการประเมนิ ผลงานวจิ ยั มีข้อคาํ ถาม 12 ขอ้ ดงั นี้ 1. ผู้วจิ ัยได้กําหนดและเขียนปญั หาอยา่ งกระจา่ งแจ้งหรือไม่ 2. ปญั หาทว่ี ิจัยมีหลกั การหรอื ทฤษฎีรองรบั หรือไม่ 3. ปญั หาท่ีวิจัยมคี วามสาํ คัญเพียงใด 4.ผวู้ ิจยั ได้ศึกษางานเขยี นทางวิชาการที่เกีย่ วขอ้ งหรือไมถ่ า้ มีงานเขยี น ที่ เก่ียวข้องตรงประเด็นกบั ปญั หาท่ีวิจัยเพียงใด 5.สมมตุ ฐิ านในการวิจยั มหี รือไม่ ถ้ามีผู้วจิ ัยไดเ้ ขียนสมมุตฐิ านอย่างชดั เจนเพียงใด 6. มกี ารกาํ หนดคาํ นยิ ามปฏิบัตกิ ารของส่งิ ทม่ี งุ่ วดั อยา่ งเหมาะสมและเพียงใด 7. ผวู้ ิจยั ไดบ้ รรยายถงึ วธิ ีการวิจยั หรือวิธตี อบปญั หาอย่างชดั เจนหรอื ไม่ วจิ ัยได้ ศกึ ษาจากกล่มุ ตัวอย่างหรอื ศึกษาจากขอ้ มูลประชากร ถ้าศึกษาจากกลมุ่ ตัวอย่างไดม้ าซึ่งกลุ่มตวั อยา่ ง อยา่ งไร เหมาะสมเพียงใด 8. แหล่งของความคลาดเคลอื่ นอนั จะทําให้ผลการวจิ ยั ผดิ พลาดมีอะไรบา้ ง ผูว้ ิจยั ไดม้ ีวธิ ีการควบคุมความคลาดเคลือ่ นเหลา่ นีอ้ ย่างไรบา้ ง 9. ผวู้ จิ ัยใชร้ ะเบยี บวธิ ที างสถิติวเิ คราะหข์ ้อมลู หรอื ไม่ ถ้าใชร้ ะเบียบ เหล่านนั้ มี ความเหมาะสมเพยี งใด 10. ผวู้ จิ ัยไดร้ ายงานผลการวจิ ยั ชดั เจนเพยี งไร 11. ผู้วจิ ยั ไดล้ งขอ้ สรุปอยา่ งชัดแจ้งหรือไม่ ข้อมูลสนับสนนุ ขอ้ สรปุ ไดส้ รปุ พาดพิง เกินขอ้ มลู หรอื ไม่ 12. ขอ้ กําจัดในการวจิ ัยเรื่องนี้มหี รือไม่ ผวู้ จิ ัยไดเ้ ขียนอธบิ ายไวอ้ ย่างไร การใช้หลกั ฐานเชิงประจกั ษ์ในการนาผลการวิจัยไปใชใ้ นการการพยาบาล การใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ในการปฏิบัติการพยาบาล (Evidence-based Practice หรือ EBP) มีความหมายในเชิงกระบวนการว่า การค้นหา การประเมินและการประยุกต์ใช้หลักฐานทาง วิทยาศาสตร์ในการให้การพยาบาล การจัดการและการดูแลสุขภาพ โดยมีเป้าหมายหลักในการช่วย ให้ผู้ปฏิบัติการสามารถทําการตัดสินใจ (Decision making) ในการเลือกให้การพยาบาลที่ดีท่ีสุด สําหรับผู้ใช้บริการ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ ประสิทธิผล ความคุ้มทุน และกําจัดหรือป้องกัน อนั ตรายที่อาจเกิดขึ้นจากการปฏิบตั กิ ารพยาบาลนั้น ๆ กระบวนการใช้ EBP ทางการพยาบาลน้นั ประกอบด้วย 5 ขั้นตอน ดงั นี้ ขัน้ ตอนท่ี 1 การกาํ หนดประเดน็ ปัญหาทางคลินิกและการประเมนิ ความจําเป็น ในการปรับปรุงวธิ ปี ฏิบัติเดิม ขั้นตอนท่ี 2 การสืบคน้ และรวบรวมงานวจิ ัยที่เกย่ี วขอ้ ง ขั้นตอนที่ 3 การวิเคราะห์และสังเคราะห์หลกั ฐานที่ได้จากงานวจิ ัยเพ่อื สร้าง แนวทางการปฏบิ ัตกิ ารพยาบาล ขั้นตอนท่ี 4 การสรา้ งและทดลองใช้ EBP เพอื่ ประเมินผล ขน้ั ตอนท่ี 5 การนํา EBP ทมี่ กี ารปรบั ปรงุ ไปใชใ้ นการปฏบิ ัตใิ นองค์กร

110 ข้ันตอนท่ี 1 การกําหนดประเด็นปัญหาทางคลินิก เป็นขั้นตอนแรกของ กระบวนการพัฒนา EBP และเป็น ขั้นตอนที่สําคัญในการท่ีจะได้ข้อมูลเร่ิมต้นของการพัฒนา EBP โดยเริ่มจากการใช้ประสบการณ์และสร้างความคิดรวบยอดจากตัวผู้ร วบรวมข้อมูลในปัญหาหรือ ประเดน็ ทม่ี คี วามจําเปน็ ต้องปรับปรงุ วธิ กี ารพยาบาลทปี่ ฏบิ ัตอิ ยเู่ ดมิ ให้มคี วามชดั เจน และครอบคลุม ถึงสาเหตุของปัญหา และส่ิงต่าง ๆ ท่ีเก่ียวข้องกับปัญหา ซึ่งอาจมาจากปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นประจําใน หน่วยงาน หรือปญั หาที่ได้จากการสังเกตการปฏิบัติทางคลินิกหรือในชุมชนท่ีผ่านมา ซ่ึงอาจมีวิธีการ ปฏิบัติที่หลากหลายต่างกัน และได้ผลท่ีต่างกันในหลายกรณี เช่น วิธีการดูแลผู้ป่วยเบาหวานใน ชมุ ชน ที่มีแผลกดทับควรจะมีวิธีปฏิบัติแนวใด จะใช้นํ้าผึ้งบริสทุ ธิ์ หรือน้ําเกลือปราศจากเช้ือ 0.9% (NSS) หรอื เบตาดีน เพื่อที่จะทําให้แผลตื้นและหายเร็วขึ้น ความไม่ชัดเจนนี้เองที่พยาบาลจะต้องสืบ ค้นหา หลักฐานเชิงประจักษ์ หรือคําตอบจากงานวิจัย เพื่อหาวิธีการดูแลแผลที่เหมาะสม นอกจากน้ันการแก้ปัญหาจากประสบการณ์ทางคลินิกท่ีปฏิบัติอยู่ อาจเกิดความผิดพลาดทั้งด้าน กฎหมายและจริยธรรม จึงตอ้ งมกี ารสืบคน้ หาคาํ ตอบและหลักฐานสนับสนนุ จากงานวิจัยตอ่ ไป ข้ันตอนที่ 2 เป็นขั้นตอนการสืบค้นและ รวบรวมงานวิจัย เพ่ือค้นหาข้อมูล ในการตอบประเด็นปัญหาในขั้นตอนแรก ผู้พัฒนา EBP ควรได้ทําการรวบรวมประเด็นที่สําคัญใน การสืบค้น ตลอดจนคําสําคัญที่จะใช้ในการสืบค้น (Key words) เพ่ือทําการสืบค้นงานวิจัยจาก ฐานข้อมูลทางการพยาบาลในระบบสารสนเทศ (CD-ROM) เช่น CINAHL (Cumulative Index of Nursing and Allied Health Literature), MEDLINE, Cochrance Database และฐานข้อมูลการ วิจัยทางการพยาบาลในประเทศไทย ที่จัดทําโดยคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล (รศ.ดร. ฟองคํา ติลกสกุลชัย และคณะ) นอกจากนยี้ ังอาจสืบคน้ ได้จากฐานข้อมูลทางอินเตอรเ์ น็ต และ Web site ท่ีเก่ียวข้อง เช่น Pubmed (ฐานข้อมูลสําหรับสืบค้นข้อมูลบรรณานุกรมและบทคัดย่อ วารสารภาษาอังกฤษทางด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์ มากกว่า 14 ล้านรายการ ตั้งแต่ ค.ศ.1951 ถึงปัจจุบัน), Joannabriggs.com (สําหรับค้นหาข้อมูลงานวิจัยทางการพยาบาล สามารถค้นข้อมูล บท คัดย่อ และบทความเต็ม (Full Text) ได้โดยการเป็นสมาชิกผ่าน Web site) หรืออาจสืบค้น งานวิจัยด้วยมือ (Manual Searching) เช่น งานวิจัยท่ีไม่ได้ลง ตีพิมพ์ในวารสาร หรือไม่ได้อยู่ใน ระบบฐานข้อมูล สารสนเทศ ซงึ่ การสืบค้นด้วยมอื น้ีจะใชเ้ วลาในการสบื คน้ มาก จึงควรทจ่ี ะกําหนด กรอบในการสืบค้นที่ชัดเจนโดยกําหนดอายุของงานวิจัยที่ต้องการสืบค้นย้อนหลังไปก่ีปี เป็นต้น นอกจากน้ี ยังทําการสืบค้นงานวิจัยที่ไม่ได้ตีพิมพ์ หรืองานวิทยานิพนธ์ได้จากห้องสมุดของ สถาบันการศึกษาพยาบาลต่าง ๆ นอกจากน้ันแลว้ โดยนยิ ามของ EBP ท่ีเป็นการใช้หลักฐานที่ดที ่ีสุด เท่าท่ีมี ร่วมกับการตัดสินทางคลินิกนั้น จะเห็นได้ว่าการทบทวนหรือสืบค้นงานวิจัยอย่างเป็นระบบ (Systematic Reviews) จดั เป็นวธิ ีการในการรวบรวมและทบทวนงานวิจยั ท่ีสามารถใช้เป็นหลักฐาน ทีด่ ที ี่สดุ (best evidence) และมีประสิทธภิ าพมากที่สุด (5) เน่ืองจากการทบทวนงานวิจยั อย่างเป็น ระบบท่ีมีคุณภาพดีน้ัน เป็นผลของกระบวนการวิจัยที่เข้มแข็งและเชื่อถือได้ ดังน้ันในการสืบค้น งานวิจัยจะต้องมีการประเมินความน่าเชื่อถือของงานวิจัยน้ัน ๆ ท้ังในเร่ืองของการออกแบบงานวิจัย การวิเคราะห์และแปลผลข้อมูล รวมท้ังความเหมาะสม สอดคล้องกับการนํามาประยุกต์ใช้ใน สถานการณก์ ารปฏบิ ัติจรงิ

111 ข้นั ตอนท่ี 3 เปน็ การวิเคราะห์และสังเคราะห์หลกั ฐานทไ่ี ดจ้ ากงานวิจัย เพ่อื นํามาสร้างแนวทางการปฏิบัตกิ ารพยาบาล ขั้นตอนน้ีผูพ้ ัฒนา EBP จะต้องอ่านงานวิจัยท่ผี า่ นการคดั กรอง เลือกสรร วเิ คราะห์ และสรา้ งข้อสรปุ ขององค์ความรูท้ ีไ่ ดจ้ ากงานวิจยั แตล่ ะเร่ือง นาํ ผลการวจิ ยั ทไ่ี ดม้ าสกัดและเรยี บเรียงเพือ่ ท่จี ะนาํ ไปสกู่ ารใช้เปน็ แนวปฏบิ ัติ ซงึ่ การอา่ นงานวิจัยนนั้ จะต้องมีการประเมนิ คุณภาพงานวจิ ยั หรอื หลกั ฐานเชิงประจักษ์ ควบค่กู ันไปด้วย โดยแบ่งระดับของ หลักฐานเชงิ ประจกั ษท์ ไี่ ด้เปน็ 4 ระดับ ได้แก่ ระดับท่ี 1 หรือระดับ A เป็นหลักฐานที่ได้จากงานวิจัยท่ีเป็นการวิเคราะห์เชิง อภิมาน (Meta-Analysis) หรืองานวิจัยเดี่ยวของงานวิจัยประเภททดลองท่ีมีการสุ่มกลุ่มตัวอย่าง (Randomized Controlled Trials) ระดับที่ 2 หรือระดับ B ได้แก่ งานวิจัยประเภทก่ึงทดลอง (Quasi- experimental design) หรืองานวิจัยเชิงทดลองท่ีไม่มีการสุ่มกลุ่มตัวอย่าง (Non-Randomized Controlled Trials) ระดับที่ 3 หรือระดับ C ได้แก่ งานวิจัยที่เป็นการศึกษาเชิงเปรียบเทียบ หา ความสมั พนั ธ์หรือเป็นการศกึ ษาเชงิ พรรณนา (Descriptive Design) ระดับท่ี 4 หรือระดับ D ได้แก่ หลักฐานจากความเห็นร่วมกัน หรือฉันทามติ (Consensus) ของกลุ่มผู้เช่ียวชาญในเรื่องน้ัน ๆ เน่ืองจากยังไม่มีการทําวิจัยในเร่ืองท่ีต้องการ หรือ งานวจิ ยั ไม่มคี วามสอดคลอ้ งกบั บรบิ ทของการปฏบิ ตั ิ (6) นอกจากจะประเมินคณุ ภาพงานวิจัยหรือหลักฐานเชงิ ประจกั ษด์ งั กล่าวแล้ว ยัง ต้องมเี กณฑใ์ นการคดั เลอื กงานวจิ ยั ทใ่ี ชง้ านวิจยั มากกว่าหนึ่งเรอื่ ง เน่อื งจากการพัฒนานวัตกรรมหรอื การแก้ปญั หาทางคลนิ กิ ส่วนใหญไ่ มส่ ามารถทําไดโ้ ดยใชง้ านวจิ ัยเพยี งเรือ่ งเดยี ว โดยอาจใช้งานวิจยั บูรณาการ หรอื Integrative Review ในการวเิ คราะห์และประเมินเพ่อื นาํ มาสรา้ งนวัตกรรมทางการ พยาบาลก็ได้ ส่วนการประเมนิ งานวิจยั ทจ่ี ะนาํ มาใชจ้ ะต้องคาํ นึงถึงความสอดคล้องกบั ปัญหาทาง คลนิ กิ (Clinical Relevance) การมีความหมายในเชงิ ของศาสตร์ (Scientific Merit) ในแงข่ องความ แม่นตรง (Accurate) ความน่าเชอ่ื ถอื (Believable) และการมคี วามหมายทางคลนิ ิก (Meaningful) รวมท้ังจะต้องนาํ ไปใช้ในการปฏบิ ัติได้ (Implementation Potential) ในแงข่ องการเทยี บเคียง ความรู้สูก่ ารปฏบิ ัตจิ ริง (Transferability of the findings) ความเป็นไปได้ในการปฏิบตั ิ (Feasibility of implementation) และความคมุ้ ทุนในการนาํ ไปใช้ (Cost-benefit Ratio) (7) ข้ันตอนท่ี 4 ของการพัฒนา EBP จะเป็นการสร้างแนวปฏิบัติการพยาบาล จากงานวิจยั หรือหลักฐานเชิงประจักษ์ท่ีสังเคราะห์ได้ โดยอาจสรา้ งเปน็ คู่มือปฏบิ ัติการทางคลินิกที่มี การกําหนด วัตถุประสงค์อย่างชัดเจน มีการระบุประโยชน์หรือ ผลลัพธ์ท่ีจะเกิดขึ้นจากการใช้ แนวทางการปฏิบัติการพยาบาลที่สร้างข้ึน รวมท้ังมีการกําหนดหรือระบุลักษณะกลุ่มผู้ป่วยหรือ กลุ่มเป้าหมาย การให้ ความหมายของคําสําคัญท่ีใช้ใน EBP (Definition of Key terms) เพอ่ื ท่ีจะใหผ้ ู้ใช้เข้าใจความหมายตรงกัน รวมท้งั ขอบเขตของการนํา EBP ไปใช้ด้วย ส่วนในการเขียน ขั้นตอนปฏิบัตินั้น จะต้องมีการลําดับขั้นตอนที่ชัดเจน ใช้ภาษาท่ีเข้าใจง่ายสําหรับบุคลากรทุกระดับ เพ่ือที่จะไม่ให้เกิดความสับสน หรือความยุ่งยากในการแปลความหมายของศัพท์หรือภาษาที่ เฉพาะเจาะจงของการวิจัย เมื่อได้แนวทางปฏิบัติออกมาแล้ว ก็จะต้องนําไปทดลองใช้ในหน่วยงานที่

112 เกี่ยวข้อง จากน้ันจึงทําการประเมินผลการใช้ทั้งด้านผลลัพธ์ (Outcome Evaluation) และ กระบวนการ (Process Evaluation) เพื่อท่ีจะได้นําไปสู่การปรับแก้ก่อนนําไปใช้ปฏิบัติจริงใน หน่วยงาน ขั้นตอนที่ 5 เป็นขั้นตอนสุดท้ายของการพัฒนา EBP จะเป็นการนํา EBP ที่มี การปรับปรุงแล้วไปใช้ในการปฏิบัติจริงในองค์กร ซ่ึงจะต้องมีการเตรียมความพร้อมของบุคลากรท่ี เก่ียวข้อง การประสานความร่วมมือใน องค์กร ตลอดจนการผลักดันให้เกิดการเปล่ียนแปลงการ ปฏิบัติในองค์กร โดยมีมาตรฐานการปฏิบัติที่ไปในแนวทางเดียวกันตาม EBP ท่ีพัฒนาได้ในข้ันตอนนี้ พยาบาลต้องใช้บทบาทและศักยภาพในการเปน็ ผู้นาํ การเปล่ียนแปลง การถา่ ยทอดวิธีการปฏิบตั ิและ สรา้ งความตระหนกั ให้บุคลากรทีเ่ กี่ยวขอ้ งในองค์กรเหน็ ความสําคัญและร่วมมอื จึงเป็นเรอ่ื งทที่ ้าทาย และแสดงศักยภาพของพยาบาลเป็นอย่างมาก ปัจจยั ทีเ่ ออื้ ต่อการนาผลการวิจยั ไปใช้ 1. ลักษณะของงานวิจยั ทางการพยาบาล มีงานวิจยั ท่ีเกย่ี วขอ้ งกบั เรอื่ งท่ตี อ้ งการแกป้ ญั หา และงานวิจัยน้ันๆได้รบั การตีพิมพ์เผยแพร่ งานวิจยั เป็นท่ีน่าเชื่อถอื โดยมีความสอดคล้องกนั และ ความถกู ตอ้ งของงานวิจัยในแตล่ ะสว่ น 2. ลกั ษณะของการส่ือสารและการนาเสนอผลงานวจิ ยั ทางการพยาบาล งานวิจยั ทางการ พยาบาลทมี่ กี ารตพี มิ พเ์ ผยแพร่ รวมทัง้ มีการนําเสนอผลการวจิ ัยทีช่ ดั เจนและงา่ ยตอ่ การทาํ ความ เขา้ ใจ จะทําใหผ้ ้ทู ต่ี อ้ งการนาํ ผลการวจิ ัยนัน้ ไปใช้สามารถนําไปใชใ้ นทางปฏิบัติไดจ้ ริง 3. ลักษณะของพยาบาล ความสามารถของพยาบาลในการระบุปัญหาหรือประเดน็ ในการ ปฏบิ ตั ิการพยาบาล ลักษณะของพยาบาลผู้บริหารทีจ่ ะส่งเสริมใหม้ ีการนาํ ผลวิจัยไปใช้ เปน็ ผบู้ ริหารท่ี มีความเปน็ ผนู้ ําจะเปน็ ผูท้ ม่ี วี ิสัยทัศน์ เหน็ การณไ์ กล พรอ้ มท่จี ะเปลย่ี นแปลง บริหารงานโดยมุ่งเน้น ผลลพั ธ์ และสง่ เสรมิ การใชผ้ ลวจิ ัยในการปฏบิ ัติงาน ผบู้ ริหารท่ีสามารถจัดสรรทรพั ยากรไดเ้ พียงพอตอ่ การสนับสนนุ ใหเ้ กิดการนําผลวิจัยไปใช้ ผู้บริหารท่สี ่ือสารกับผู้ปฏบิ ตั ิงานได้ชัดเจนถงึ ความสาํ คัญของ การนาํ ผลการวจิ ัยไปใช้ และให้แรงจงู ใจในการนําผลการวิจยั ไปใช้ รวมท้งั หาโอกาสใหน้ กั วจิ ัยรนุ่ ใหม่ และนกั วจิ ยั ท่ีมคี วามเชี่ยวชาญได้พบปะพูดคุยกนั 4. ลกั ษณะขององคก์ ร สง่ิ แวดลอ้ มหรือบรรยากาศในองคก์ ารท่ที กุ คนในหนว่ ยงานมคี วาม มุ่งมัน่ ทจ่ี ะระดมความคิดวเิ คราะห์ (critical thinking) และใชผ้ ลวจิ ัยในการปฏิบตั กิ ารพยาบาล องค์กรทีม่ แี หลง่ ทรพั ยากรท่ีเอื้ออาํ นวยในการนาํ ผลการวจิ ยั ไปใช้ เช่น เงนิ ทุนสนบั สนนุ การวจิ ัย หอ้ งสมุดและคอมพวิ เตอรท์ ี่จะใช้เป็นแหล่งค้นควา้ คณะกรรมการวิจยั เป็นตน้ อปุ สรรคของการนาผลการวจิ ัยไปใช้ 1. ลักษณะของงานวิจัยทางการพยาบาล ได้แก่ ไม่มกี ารทาํ วิจยั ในเรอ่ื งนั้นๆ หรอื งานวจิ ัย ทท่ี ําเสรจ็ แล้วแต่ไมไ่ ด้ตีพิมพเ์ ผยแพร่ พยาบาลไมม่ ่นั ใจวา่ ผลงานวิจยั ทางการพยาบาลเรือ่ งนน้ั ๆเป็นที่ นา่ เช่อื ถือ เนื่องจากวิธีดาํ เนินการวิจัยไม่เหมาะสม ผลการวิจยั ท่ีไดไ้ มเ่ ป็นเหตุเป็นผล หรือการ นําเสนอผลการวิจัยไม่ชดั เจน มีขอ้ จาํ กัดของการวิจัยในเรือ่ ง sample size หรอื design ซึ่งทาํ ให้ เกิดขอ้ จํากดั ในการ generalize นอกจากนัน้ งานวจิ ยั ทไ่ี มไ่ ดศ้ กึ ษาจากปรากฏการณใ์ นการปฏิบตั ิการ พยาบาล จะทําให้พยาบาลไมเ่ ข้าใจหรอื ไม่สามารถแปลผลการวจิ ัยได้

113 2. ลกั ษณะของการสอ่ื สารและการนาเสนอผลงานวจิ ยั ทางการพยาบาล ประกอบด้วย บทความหรือรายงานการวจิ ัยทางการพยาบาลหาอ่านได้ยาก การนําเสนองานวจิ ยั ไม่ชดั เจน ข้อเสนอ จากรายงานการวิจัยทางการพยาบาลถงึ การนําผลการวิจัยไปใช้ไม่ชดั เจน สถิตทิ ี่ใชว้ เิ คราะห์ใน งานวจิ ัยยากแก่การเข้าใจ 3. ลักษณะของพยาบาล ไดแ้ ก่ การไม่ตระหนักถงึ ความสําคญั ของการวิจยั และเหน็ วา่ ประโยชน์ทไ่ี ด้รับจากการนําผลวจิ ัยทางการพยาบาลไปใชม้ เี พยี งเล็กน้อย พยาบาลที่มีวฒุ ิการศกึ ษา ตํ่ากวา่ ปรญิ ญาตรี จะไม่มีความเขา้ ใจงานวิจยั หรอื มองไมเ่ หน็ ความสาํ คญั ของงานวจิ ัยอย่างเตม็ ที่ พยาบาลทไ่ี มค่ นุ้ เคยกบั การเปล่ยี นแปลง และไมอ่ ยากใหม้ กี ารเปลยี่ นแปลงเกดิ ขึ้น พยาบาลขาด ความรู้และทักษะในการอ่านและวพิ ากษ์งานวิจัย รวมทั้งการแปลผลค่าสถิติตา่ งๆ พยาบาลขาด ทักษะในการตง้ั คาํ ถามหรือมองประเด็นในการทาํ วจิ ยั นอกจากนนั้ ผ้บู ริหารการพยาบาลท่ีไมเ่ หน็ ความสําคัญของการนําผลการวิจยั ไปใชใ้ นการพยาบาล หรือไมส่ ่งเสริมใหม้ ีการทาํ วจิ ยั ในหนว่ ยงานก็ จะทําใหไ้ มเ่ กดิ การนาํ ผลวิจยั ทางการพยาบาลไปใช้ในการพัฒนาคุณภาพบรกิ ารพยาบาล 4. ลักษณะขององคก์ ร อปุ สรรคดา้ นองค์กรได้แก่ ขาดทรพั ยากร เชน่ ไมม่ เี งนิ สนบั สนนุ ไม่ มเี วลาอา่ นงานวจิ ยั เน่อื งจากภาระงานมาก ขาดผ้เู ชย่ี วชาญท่ีจะช้ีแนะการนําผลวจิ ัยไปใช้ พยาบาล รูส้ กึ วา่ ไมม่ อี ํานาจพอทจ่ี ะเปลีย่ นแปลงวธิ กี ารดแู ลผปู้ ว่ ยโดยใช้ผลการวจิ ยั ทางการพยาบาล พยาบาล ผ้รู ว่ มงานไมส่ นบั สนุนการนําผลวจิ ัยไปใช้ กลยุทธก์ ารสง่ เสรมิ การใชผ้ ลงานวิจยั 1. ใหค้ ณุ คา่ แกง่ านวิจัย (Value research utilization) 2. ประสานกบั ผูน้ ําทางการพยาบาล (Collaborate with nurse leaders) ผู้บรหิ ารการ พยาบาลและผู้นําทางการศึกษาพยาบาลควรมีการประสานงานกัน เพือ่ นักวิชาการจะชว่ ยใหผ้ ู้บริหาร การพยาบาลมองเหน็ แนวทางการนาํ ผลวิจัยไปใช้ และชว่ ยเตรยี มพยาบาลให้มีทักษะในการประเมนิ งานวิจัยและเลอื กผลวิจยั ไปใช้ 3. จดั การดาํ เนนิ งานให้เกดิ การผสมผสานผลงานวิจัยไปใชใ้ นการปฏบิ ัติ (Integrate research findings) เช่น การจัดให้มคี ณะกรรมการพัฒนาคุณภาพการพยาบาลท่ีใหข้ ้อเสนอแนะ การปรบั ปรงุ คุณภาพการพยาบาลโดยใชข้ ้อค้นพบจากงานวจิ ัย เปน็ ตน้ 4. นโยบายการใช้ผลงานวจิ ยั (Institutionalize research utilization) การใชผ้ ลงานวจิ ัย ควรทําในรปู ของนโยบายของหนว่ ยงานหรอื องคก์ รดว้ ย นอกเหนือจากการใช้ผลงานวจิ ยั โดย พยาบาลแต่ละคนเองแล้ว นั่นคอื ทุกคนในหนว่ ยงานต้องถอื ปฏบิ ตั เิ ปน็ หนา้ ท่ีรับผดิ ชอบ โครงการการ นาํ ผลวิจัยไปใช้ในการปฏบิ ตั กิ ารพยาบาลตอ้ งอยใู่ นแผนกลยทุ ธข์ องกลุ่มงานการพยาบาล และมกี าร แต่งต้งั คณะกรรมการวิจยั ดําเนนิ งานด้วย 5. ใชผ้ ลงานวจิ ัยอย่างเปน็ รูปธรรม (Operationalize research utilization) การใช้ ผลงานวจิ ัยควรมที ศิ ทางใหช้ ดั เจน เนน้ การนําไปใช้ในคลนิ กิ และในการบรหิ ารองค์กร ผ้บู ริหารต้อง จดั หา ทรัพยากร เช่น ผู้ทรงคณุ วุฒิ เงิน และเวลาทีใ่ ช้ในกิจกรรมท่ีช่วยให้เกิดการนําผลวจิ ัยไปใช้ 6. ความมุ่งม่นั ของผนู้ ําทางการพยาบาล (Commitment of leaders) ทจ่ี ะให้เกดิ การ เปลี่ยนแปลง เพอ่ื เปน็ การรับประกันคุณภาพบริการพยาบาลทีป่ ฏิบัตโิ ดยมพี ้ืนฐานมาจากความรทู้ าง

114 วทิ ยาศาสตรท์ ี่เป็นระบบและเปน็ เชงิ ประจักษ์แลว้ การนาเสนอผลงานวิจัย ผลการวจิ ยั ทท่ี าํ ขนึ้ ควรมกี ารเผยแพร่เพ่อื ใหผ้ เู้ กย่ี วข้องนําไปใช้ประโยชนไ์ ด้ การเผยแพร่ ผลงานการวิจยั ทําไดห้ ลายวิธี ในท่ีน้จี ะกลา่ วถึงการเผยแพรผ่ ลงานวิจัย 3 วธิ ี ไดแ้ ก่ 1. การนําเสนอดว้ ยวาจา (Oral Presentation) 2. การนาํ เสนอผลงานด้วยโปสเตอร์ (Poster Presentation) 3. การเขียนบทความวิจัยเพือ่ พมิ พ์เผยแพร่ในวารสารวิชาการ การนาเสนอด้วยวาจา (Oral Presentation) การนําเสนอดว้ ยวาจา มเี ทคนิคการนาํ เสนอดังน้ี การเตรียมการ มดี ังนี้ 1. คน้ หาแหลง่ /การจดั ประชุมที่จะไปนําเสนอผลงานวจิ ยั ทส่ี อดคลอ้ งกบั เรอื่ งทที่ าํ วจิ ัย ทงั้ ในประเทศ และต่างประเทศ เช่น จากจดหมายประชาสัมพันธ์ หรือการประชาสัมพนั ธ์ทาง เครอื ข่ายคอมพวิ เตอร์ เปน็ ตน้ โดยต้องตรวจสอบว่าทีป่ ระชมุ วชิ าการน้นั มรี ายงานการประชุม (Proceeding) ด้วย 2. สมัครลงทะเบียนไปนาํ เสนอผลงาน โดยระบุวิธกี ารนาํ เสนอด้วยวาจา ศกึ ษาวิธีการ ลงทะเบยี นใหล้ ะเอยี ด เช่น ลงทะเบียนดว้ ยจดหมายราชการ โทรสาร ทาง e-mail การจ่าย คา่ ลงทะเบยี น และตอ้ งการใหส้ ่งเอกสารอะไรประกอบการสมคั รบ้าง (ถา้ ตา่ งประเทศให้ดูท่ี Call for Abstract) ฯลฯ 3. ตดิ ตามผลการตอบรับให้ไปนาํ เสนอจากผูจ้ ัด ระหวา่ งรอผลการตอบรบั ควรเตรยี ม เนื้อหาสาํ หรับการนาํ เสนอไปพร้อมกนั ด้วย 4. เม่อื ไดร้ ับการตอบรับแลว้ ศึกษารายละเอียดของวิธกี ารนําเสนอใหด้ ี ผู้จดั จะแจง้ เวลา และข้ันตอนการนําเสนอมาให้วา่ ใช้เวลาคนละกีน่ าที ภาษาทใี่ ช้นาํ เสนอ สถานท่ี/ห้องประชมุ ส่ือ ประกอบการพูด เชน่ power point ผูจ้ ัดให้นําสือ่ ไปเตรียมลงเครอ่ื งคอมพวิ เตอรก์ อ่ นเวลาพดู เมื่อไร ทีใ่ ด เพือ่ จะไดเ้ ตรียมตัวลว่ งหนา้ ไดท้ นั ตามกําหนดเวลา การเตรียมเอกสารผลงานประกอบการเสนอ โดยทวั่ ไปในปัจจบุ ันการนําเสนอด้วยวาจาจะมเี วลาค่อนข้างจํากัด ประมาณ 10-15 นาที สาํ หรบั นําเสนอ และ 5-10 นาทสี าํ หรบั การซกั ถาม การนําเสนอดว้ ยวาจาจะแตกต่างจากการ นําเสนอดว้ ยโปสเตอร์ ตรงท่นี ักวิจัยต้องนาํ เสนอผลงานวิจยั ตอ่ ท่ีประชุม ซึ่งมีคนน่ังฟังอย่หู ลายคน ดังน้ัน จึงตอ้ งเตรยี มทงั้ เอกสารและความพร้อมของนักวจิ ยั ในการนาํ เสนอผลงาน ทง้ั นี้ในปจั จุบนั สอื่ ที่ ใชใ้ นการนําเสนอผลงานสว่ นใหญใ่ ชส้ ไลด์ หรอื Power point โดยนักวจิ ัยจะต้องเตรียม ดังนี้

115 1. การวางแผน นกั วจิ ยั ต้องหาข้อมลู เก่ยี วกบั สถานที่ที่นาํ เสนอ ขนาดหอ้ งและเวที ตําแหนง่ เครอ่ื งฉาย ตําแหนง่ ของผนู้ าํ เสนอ ขนาดจอ ขอ้ กําหนดในการนําเสนอด้วยวาจา ลักษณะและ จํานวนผเู้ ขา้ ประชุม ซ่ึงสิง่ เหล่านีจ้ ะช่วยในการวางแผนวา่ จะเสนอรปู แบบใด รวมท้ังกําหนดระยะเวลา และคา่ ใชจ้ ่ายในการเตรยี มสไลดด์ ้วย 2. การออกแบบ นกั วจิ ัยต้องต้องตัดสินใจว่าจะเลอื กเนอ้ื หาสาระส่วนใดจากรายงานการ วิจยั ทั้งฉบับไปนาํ เสนอด้วยวาจา โดยกําหนดวตั ถุประสงค์ของการนําเสนอด้วยวาจาก่อนว่า ต้องการ ให้เกิดผลประโยชน์อันใดตอ่ ผู้ชม หรอื ตอ้ งการเสนอนวัตกรรม เพราะวตั ถปุ ระสงคท์ ่ตี ่างกันทาํ ให้การ เตรียมการนาํ เสนอด้วยวาจาต่างกันด้วย เมอ่ื กาํ หนดวัตถปุ ระสงค์แล้วจึงออกแบบสไลด์ โดยมแี นวทาง ดังน้ี 2.1 เลือกพืน้ หลงั ของสไลด์ทเี่ หมาะกบั ผปู้ ระชุม ทงั้ นส้ี ไลด์ทางวชิ าการไม่นยิ มมรี ปู การ์ตนู หรือภาพ animation 2.2 กําหนดจํานวนสไลด์ โดยปกตหิ ากใช้เวลานําเสนอ 10-15 นาที สไลดไ์ มค่ วรเกิน 10 แผน่ ซงึ่ ประกอบด้วย 1) ช่ือเรือ่ งและช่ือผ้วู จิ ัย 2) ความเปน็ มาหรือปัญหาการวิจยั 3) ความสาํ คญั และประโยชน์ของการวิจยั 4) วัตถปุ ระสงคก์ ารวจิ ัย 5) กรอบแนวคดิ การวจิ ัย 6) รูปแบบ การวิจยั และกล่มุ ตัวอย่าง 7) การเกบ็ และวเิ คราะหข์ ้อมูล 8) ผลการวิจยั ที่สาํ คัญ 9) สรุปอภิปรายผล และ 10) ขอ้ แสนอแนะจากการวจิ ัย 2.3 ใชล้ ูกเลน่ เชน่ ภาพในบางสไลด์ เพ่อื ดงึ ดูดความสนใจ แต่ไมค่ วรใชท้ กุ สไลด์ เพราะ จะทาํ ใหน้ า่ เบือ่ และควรเป็นภาพท่เี กี่ยวข้องกบั การวจิ ัย 2.4 เลือกชนิดและขนาดตัวอักษรใหเ้ หมาะสมกบั ตําแหนง่ ทีผ่ ู้เขา้ ประชุมจะเห็นไดช้ ดั หากใช้ภาษาองั กฤษไมค่ วรใชต้ วั พิมพ์ใหญ่ทัง้ หมด เพราะทําใหอ้ า่ นยาก และอย่าใช้ชนดิ ของตวั อกั ษร มากกว่าสองชนิด หากตอ้ งการเนน้ คาํ ให้ใชต้ วั หนาดีกวา่ การใช้สตี ัวอกั ษรทแ่ี ตกต่างกัน ควรใช้ สญั ลกั ษณใ์ ห้นอ้ ยทสี่ ดุ และควรพสิ ูจนอ์ กั ษรอยา่ ให้มคี ําผดิ 2.5 ใช้สพี อเหมาะไมม่ ากหรอื น้อยเกินไป และใชโ้ ทนสไี ม่ขดั กัน สีพ้นื หลงั ไม่ควรใช้สจี ัดจ้าน จนทาํ ใหต้ วั อักษรหรอื ภาพไมเ่ ด่น 2.6 จาํ นวนข้อความตอ่ หนงึ่ สไลด์ไม่ควรมีเกิน 7 บรรทดั และหลกี เลย่ี งการ copy ตาราง หรือข้อความจากบทความวิจยั มาวางบนสไลด์ 2.7 ควรมีการตรวจทานการสะกดคําในทกุ สไลด์ การนาเสนอดว้ ยวาจา การนาํ เสนอด้วยวาจาน้ันผู้นําเสนอจะต้องเตรียมตัวมากกว่าการนําเสนอดว้ ยโปสเตอร์ ท้งั นี้ เนอื่ งจากจะมผี ูฟ้ ังจํานวนมากกว่าในเวลาและพื้นที่ท่กี ําหนดไว้ ดงั น้ัน ในการเตรียมตวั นําเสนอจะตอ้ ง เตรียมตวั กอ่ นนาํ เสนอ ระหวา่ งนําเสนอและหลังนําเสนอ โดยมแี นวทางกว้างๆ สําหรับผ้นู าํ เสนอ จะตอ้ งเตรียมการ ดังนี้

116 1. กอ่ นนาเสนอ มีดงั นี้ 1.1 ตอ้ งมกี ารซ้อมนําเสนอโดยทําเสมอื นจริง ไดแ้ ก่นาํ เสนอพรอ้ มกับการแสดงสไลด์ และ ลักษณะการวางตวั เชน่ ยืนหรือนง่ั ฝกึ การเคล่อื นไหวรา่ งกายการสบตาผฟู้ ังขณะนาํ เสนอ นอกจากน้ี จะตอ้ งนาํ เสนอตามกรอบเวลาทก่ี าํ หนดไว้ ซง่ึ อาจนําเสนอใหเ้ พ่อื นชว่ ยวิจารณ์ 1.2 เตรียมเสอื้ ผา้ เครอ่ื งแต่งกายใหเ้ หมาะสมกบั กาลเทศะ รวมถึงการแต่งหนา้ ของ สุภาพสตรี และรองเท้าของสภุ าพสตรคี วรเป็นรองเทา้ ทีใ่ ส่ถนัดเดนิ แล้วไมม่ ีเสียงดงั 1.3 เตรียมไฟลส์ าํ รองโดยอาจบันทกึ ท้งั ในแผ่นซดี ี และแฮนดไ้ี ดรฟ์ 1.4 สอบถาม version ของ power point ท่สี ถานทป่ี ระชุมใช้ 1.5 ควรไปถึงที่ประชมุ ก่อนเวลาเพ่อื ตรวจสอบไฟล์ขอ้ มลู เพราะบางครง้ั อาจมีความ คลาดเคล่ือนของสี ตวั อักษร และตรวจสอบหอ้ งทน่ี าํ เสนอ 1.6 ควรพักผอ่ นใหเ้ ต็มที่ในวันก่อนนาํ เสนอ 2. ระหว่างนาเสนอ มีดังน้ี 2.1 ควรต้งั สตแิ ละสร้างความมัน่ ใจใหก้ ับตนเอง อย่าสร้างความกดดันให้ตนเอง หาก ร้สู กึ ตื่นเตน้ ใหห้ ายใจเขา้ อกลกึ ๆ เพอ่ื เปน็ การผ่อนคลาย 2.2 เร่ิมต้นดว้ ยการทักทายผู้ฟงั ซ่ึงไมค่ วรเกนิ สามตําแหนง่ เชน่ กรรมการ นักวิจัยและ ผู้มเี กียรติทุกทา่ น แล้วตอ่ ดว้ ยการแนะนําตนเองและเรอื่ งทจ่ี ะนาํ เสนอ 2.3 การนาํ เสนอควรเปน็ ในลกั ษณะของการเล่าเรื่อง ไมใ่ ช่การอา่ นสไลด์ให้ฟงั หรือก้ม หนา้ อา่ นจากขอ้ ความทีเ่ ตรียมมาตลอดเวลา (อาจเหลอื บดไู ด้บ้าง) ควรมีการสบตาผู้ฟงั เป็นระยะ ควร พูดใหช้ ัดเจนตามหลกั การออกเสียง พดู ช้าๆ ชดั ๆ หากมผี สู้ อบถามอาจตอบคาํ ถามทันทหี รอื ช้ีแจงว่า ขอตอบหลงั นําเสนอเสร็จ และพยายามยมิ้ ให้ผ้ฟู ังไม่ควรทาํ หน้าตาเครง่ เครยี ดตลอดเวลาหรอื ทํา ท่าทางเหมือนไม่ม่นั ใจในผลงานของตนเอง ระวังเรอ่ื งการใชอ้ วจนะภาษา โดยเฉพาะมอื ไม่ควรโบกมอื หรือขยบั มือไปมามากเกินไป 2.4 หากยนื นําเสนอ ระวงั อย่ายนื บงั สไลด์ และไมค่ วรเดนิ ไปมาบนเวทีมากเกินไป และ ควรยืนด้วยทา่ ทที ี่สุภาพไมแ่ ยกขาออกจากกันมากจนเกินไป 2.5 หลีกเลย่ี งการขนเอกสารหรอื กระเปา๋ ข้นึ ไปบนเวที เพราะนอกจากไมม่ ีประโยชนแ์ ล้ว ทําให้ภาพลกั ษณข์ องผู้นําเสนอดูไม่มน่ั ใจด้วย 2.6 กรณีที่มสี ญั ญาณเตือนหมดเวลาจะต้องรวบรดั เนอื้ หาใหจ้ บตามเวลาทก่ี าํ หนด 3. ช่วงหลังนาเสนอ มีดงั นี้ 3.1 ควรแสดงความของคณุ ผู้ดาํ เนินรายการผูป้ ระสานงาน 3.2 อย่ารีบปดิ สไลดท์ ีน่ ําเสนอเพราะอาจมผี ูส้ นใจซกั ถาม หากมผี ูซ้ กั ถามควรต้ังใจฟังคาํ ถาม และตอบคาํ ถามดว้ ยความสภุ าพ บางคาํ ถามหากตอบไม่ไดก้ ไ็ ม่ควรฝืน หรือตอบแบบไม่ถูกต้อง ควร ขอบคณุ ผูถ้ ามและบอกวา่ ประเดน็ นี้จะนําไปหาขอ้ มูลเพิม่ เตมิ 3.3 บางคร้งั อาจมีคนให้ข้อเสนอแนะ (แตไ่ มใ่ ชก่ ารถาม) ถา้ เปน็ ไปไดค้ วรน้อมรบั ข้อเสนอแนะ นน้ั ไม่ควรพยายามอธบิ ายหรือชแ้ี จง ซึ่งจะทาํ ใหเ้ หมอื เป็นการโต้เถียง

117 3.4 ไม่ควรบอกแกผ่ ู้ฟงั วา่ หมดเวลานาํ เสนอหรอื หมดเวลาซักถามแล้ว แต่ควรรอใหก้ รรมการ หรอื ผดู้ ําเนินรายการเปน็ ผูบ้ อก 3.5 เมื่อกรรมการหรอื ผูด้ าํ เนินรายการบอกหมดเวลา ควรขอบคณุ อกี ครง้ั แล้วปิดสไลดแ์ ละลง จากเวทีนาํ เสนอ การนาเสนอผลงานด้วยโปสเตอร์ (Poster Presentation) การสอ่ื สารโดยโปสเตอร์เป็นวิธที ่คี ่อนข้างผ่อนคลาย มพี ธิ กี ารนอ้ ยกวา่ และเป็นวธิ ีเดียวทจี่ ะ ทาํ ใหเ้ กิดปฏสิ มั พันธ์ สนทนาโต้ตอบกนั ได้ระหวา่ งผทู้ ส่ี นใจในเร่ือง (วชิ าชีพ) เดียวกัน และถอื กนั ว่า เป็นเคร่ืองมอื ท่มี ีประสิทธิภาพของการมีส่วนรว่ มในความร้คู วามชํานาญ เพราะผูน้ ําเสนอสามารถให้ ความกระจา่ งกบั ผ้สู นใจในงานทที่ าํ ทุกประเดน็ คาํ ถามไดอ้ ยา่ งดี ทง้ั ยังเปิดโอกาสให้นาํ เสนอแนวคดิ ริเร่ิมได้ดว้ ย การนําเสนอผลงานดว้ ยโปสเตอรเ์ ป็นจดุ เร่มิ ตน้ ทด่ี ขี องนักวจิ ัยหนา้ ใหม่เพราะดู “น่ากลัว” นอ้ ยกวา่ การนําเสนอดว้ ยปากเปล่า ผู้นําเสนอจึงไมค่ อยกงั วล การแลกเปลย่ี นความคดิ เห็นทําไดด้ แี ละ สบายกวา่ เพราะสนทนาโต้ตอบกนั ได้แบบ “ตวั ต่อตวั ” การถกแถลงอภิปรายดาํ เนินไปราบรื่นกวา่ ผู้นาํ เสนอเป็นผทู้ ่ศี กึ ษาวจิ ยั ในเรอ่ื งที่นาํ เสนอตอ่ เน่อื งกันมาระยะหน่ึงแล้ว ดงั นนั้ จะร้รู อบเรือ่ งที่ นําเสนออย่างดี การอธบิ ายจงึ เป็นไปในลกั ษณะของผ้ทู รี่ ูม้ าแล้วอย่างดแี ละนา่ เล่ือมใส ขณะเดียวกนั ยงั อาจทาํ ให้เกิดการสรา้ งเครอื ขา่ ยและความสมั พันธ์ทีด่ ีระหวา่ งผู้ทส่ี นใจในเรอื่ งทาํ นองเดยี วกัน เป็น ประโยชน์อยา่ งย่งิ กบั งานท่ีกาํ ลังศึกษาวิจัยอยู่ ขณะเดียวกันก็เป็นการพัฒนาความชํานาญในการทาํ วจิ ัยและการควบคุมงานวจิ ัย ตัวผู้เสนองานท่จี ดั เตรยี มและทาํ โปสเตอร์ออกมาด้วยตนเองก็จะเกิด ความรสู้ กึ ว่าประสบความสําเร็จในงานทที่ าํ คุณค่าทีส่ ําคัญอกี ประการหนึ่งของการเผยแพร่ผลงานด้วยโปสเตอร์คอื เพม่ิ ความชาํ นาญใน การอ่าน-เขียนงานวิจยั และการสื่อสารดว้ ยการเขยี น ยิง่ กวา่ นนั้ อาจมีคาํ ถามในบรรยากาศสบาย ๆ จากผทู้ ่ีไมไ่ ด้เป็นนักวทิ ยาศาสตรก์ ็ได้ จึงถอื เปน็ การฝึกหัดการสอ่ื สาร/ตดิ ตอ่ /ตอบคําถามกับประชาชน ทวั่ ไป โปสเตอร์เป็นการสอ่ื สารข้อมูลทีอ่ าศยั การมองเห็นเป็นหลกั ลักษณะของโปสเตอร์ทีด่ ีต้อง ออกแบบให้ “เตะตา” กระตุ้นความสนใจ ชวนดู องคป์ ระกอบเรยี บงา่ ย แตจ่ บั ใจ โปสเตอรท์ อี่ อก แบบอยา่ งดจี ะสือ่ ข้อมูลขา่ วสารใหค้ วามรู้ได้ชดั เจนถงึ วิธกี ารทําวจิ ยั ตัวอยา่ งที่ใช้ ผลการวจิ ัยและ ความหมายของผลการวจิ ัยทไี่ ด้ ดงั นั้น ก่อนจะลงมอื ทาํ โปสเตอรต์ ้องพิจารณาให้ละเอียดและวางแผน ใหร้ อบคอบ มิฉะนัน้ จะต้องเสยี ทงั้ เวลาและค่าใช้จา่ ยมากเกนิ จาํ เปน็ และถ้าดาํ เนนิ การมาดีและ รอบคอบแล้ว การนําเสนอโดยโปสเตอร์ก็ให้ผลตอบแทนคุ้มคา่ ลักษณะทัว่ ไปของโปสเตอรท์ น่ี ําเสนอผลงานทางวิทยาศาสตรส์ ุขภาพ แบง่ ออกไดเ้ ป็น 2 ชนดิ คอื ผลงานการวิจยั และผลงานทางคลนิ กิ โปสเตอรง์ านวิจยั ควรสรปุ ถงึ การศึกษาให้ผู้สนใจชมให้ ละเอียดพอ แตต่ ้องระวงั ไม่ให้มากเกินไป โปสเตอร์ทีเ่ ป็นงานทางคลินิก ควรสรุปประเดน็ หลกั ของ โปรแกรมหรอื บรกิ ารทศี่ กึ ษา เพื่อใหผ้ สู้ นใจสามารถนาํ ไปปรับใช้กับหน่วยงานของตนได้ ขั้นตอนแรกก่อนที่นกั วิจยั จะทาํ โปสเตอร์ คือสง่ บทคดั ย่อไปให้คณะกรรมการจดั การประชุม พจิ ารณากอ่ น เมือ่ ไดร้ ับการตอบรับใหเ้ สนอผลงานดงั กลา่ วดว้ ยโปสเตอรไ์ ด้ (ซง่ึ จะมาพรอ้ มกับ คําแนะนําและรายละเอยี ดของการนาํ เสนอโปสเตอร์) จงึ ลงมอื ทํา ท้งั น้ตี อ้ งวางแผนเรือ่ งเวลา

118 ล่วงหน้า ประมาณ 50-60% ของผทู้ ี่เคยเสนอโปสเตอรแ์ ล้ว พบวา่ ตอ้ งใช้เวลาจดั ทํา 10 ถึง กวา่ 20 ชว่ั โมง โดยเฉพาะผทู้ ี่ยังไมม่ ีประสบการณ์มากอ่ น ผทู้ ใี่ ช้เวลานอ้ ยกว่า 10 ช่ัวโมง มกั จะเคย เสนอผลงานดว้ ยโปสเตอร์มากอ่ น ขอ้ ควรพิจารณาท่ีสําคัญในการจัดทาํ โปสเตอร์ คอื คา่ ใช้จา่ ย ขอ้ ความภายในโปสเตอร์ การ ออกแบบ และการนาํ เสนอ ค่าใชจ้ า่ ย คา่ ใช้จ่ายนี้รวมตง้ั แต่คา่ ออกแบบ ไปจนถึงค่าใช้จา่ ยในการผลิตโปสเตอร์ ซ่ึงยังขึน้ อยกู่ บั จํานวนแผน่ และวัสดุท่ใี ช้ทําโปสเตอร์ การทําโปสเตอร์เชน่ นอ้ี าจไม่จําเป็นต้องใชช้ ่าง แตง่ านท่ี ออกมาควรสะทอ้ นถงึ ผ้เู สนอในเชงิ บวก ถา้ หน่วยงานน้นั มแี ผนกช่างเขียนกราฟกิ (graphic) ก็ควรใช้ บรกิ ารเชน่ น้ี เพอื่ ใหง้ านที่ออกมาดีข้ึน แตถ่ า้ ไมม่ กี อ็ าจตอ้ งใช้คอมพิวเตอรช์ ่วย ซ่ึงพบวา่ ประหยดั ค่าใชจ้ า่ ยไดม้ ากทีเดียว (มีรายงานว่าผู้นาํ เสนอโปสเตอร์เรียนรเู้ ทคนิคและโปรแกรมวาดรปู ต่าง ๆ จากคอมพิวเตอร์ จากการเตรยี มโปสเตอร์นเ้ี อง) พบว่าผทู้ ีม่ ที นุ สนับสนุนการทําโปสเตอรจ์ ะมี คา่ ใชจ้ ่ายสงู กวา่ ผทู้ ีไ่ มม่ ีทนุ สนบั สนนุ ขอ้ ความภายในโปสเตอร์ ใชห้ ัวข้อตามที่ผู้จัดประชุมกําหนด โดยท่ัวไปจะประกอบดว้ ย ชื่อเร่ือง ช่ือผ้วู ิจยั บทคัดย่อ วตั ถุประสงค์ วิธีการ ผล ถกแถลง และสรปุ หลักการใหญข่ องข้อความที่ใชใ้ นโปสเตอร์ คือ เขา้ ใจงา่ ย ส้นั ตรงประเดน็ และชดั เจน บทคดั ย่อ บทคัดย่อเป็นสงิ่ จําเปน็ ท่สี ุดด้วยเหตุผล 2 ประการ คือ เปน็ ส่ิงทดี่ ึงความสนใจ ของผ้อู ่านได้ทนั ที หลังจากช่ือเร่อื ง และเปน็ สิ่งทแี่ ยกตีพิมพ์ตา่ งหากโดยตวั เอง ผ้นู พิ นธค์ วรติดต่อผู้จัดการประชมุ /ผู้ทเ่ี กีย่ วข้อง เพ่ือทราบรูปแบบของบทคดั ย่อของการ ประชุม/วารสาร ทงั้ ควรเสนอบทคดั ยอ่ ใหก้ บั ผู้จัดการประชุมล่วงหน้าหลายสัปดาหห์ รือเดอื นก่อนการ ประชมุ ซง่ึ หมายถึงก่อนการเขยี นรายงานฉบบั สมบูรณ์ นอกเหนอื จากข้อกําหนดของคณะผู้จัดประชุม หรอื วารสารหรือความพิเศษของงานแลว้ มีข้อแนะนาํ เปน็ แนวปฏิบัติในการเขียนบทคัดยอ่ ดังนี้ 1. กลา่ วถึงวัตถุประสงค์ของการศกึ ษาด้วยประโยคเพยี ง 1-2 ประโยค และถา้ ทาํ ได้ ควร กลา่ วถึงวธิ ที าํ เลก็ น้อย เช่น “ We conducted a 2-month double-blind crossover study in endoscopically confirmed duodenal ulcer patients to assess healing rates with Ferquel and placebo.” 2. กล่าวถงึ ส่งิ ท่ีพบ ส่วนนี้เป็นส่วนท่ใี ช้เนอ้ื ท่มี ากที่สดุ เพราะเปน็ ส่ิงทีผ่ ู้อ่านจะมองหาใน บทคดั ยอ่ อาจใสต่ ารางหรอื กราฟสรุปไวด้ ว้ ย (ถ้ากติกาอนญุ าต) เพราะจะดึงดูดความสนใจได้ดกี วา่ และบอกเรือ่ งราวไดม้ ากกว่าท่ีใช้ประโยคอธิบาย 3.กลา่ วถงึ ความเห็นทีส่ าํ คัญของผู้วจิ ัยถ้ามีเนื้อทพ่ี อควรสรปุ ความเหน็ หลักเป็นข้อ ๆ สง่ิ ท่ีมกั พบเป็นขอ้ ผิดพลาดในการเขียนบทคดั ย่อเสมอคือใหข้ ้อมลู ซํ้ากับในช่อื เรอื่ ง บทคดั ยอ่ จะต้องพมิ พ์ควบค่ไู ปกบั ชอ่ื เร่อื งเสมอ ฉะนน้ั ช่ือเรอื่ งจะทําหนา้ ทสี่ ือ่ ขอ้ มลู ใหเ้ ป็นบางส่วนแลว้ เชน่ ถา้ ช่ือเรื่องคอื “Double-blind, Placebo-controlled Study of Ferquel in Duodenal Ulcer.” ก็

119 จะเสยี ทัง้ เวลาและเนื้อทถี่ า้ ยงั เขยี นในบทคดั ยอ่ ดว้ ย “Conducted a double-blind, placebo- controlled study of Ferquel in duodenal ulcer patients.” ช่อื เรื่อง ควรส้ัน ไม่ควรเกิน 10 คํา แตต่ ้องบอกถงึ เนือ้ ความในโปสเตอร์ได้ ถึงกับมผี กู้ ลา่ ว วา่ ชื่อเร่ืองคือ ความยอ่ ของบทคัดยอ่ (condensed abstract) ใตช้ ื่อเรอื่ งให้ระบชุ ่อื ผ้นู พิ นธ์ ตําแหน่ง/ ฐานะ และหน่วยงานท่ีสังกดั และเพอ่ื ให้ดงึ ดูดผู้สนใจทีเ่ ข้าชม ควรใช้ตวั อกั ษรสูงประมาณ 1 น้วิ เปน็ อยา่ งนอ้ ย เพ่อื ให้มองเหน็ ไดจ้ ากระยะ 3-4 ฟุต ถา้ ใช้วธิ พี ิมพ์ ควรพิมพ์ด้วยตวั หนา และถ้าใช้ ภาษาอังกฤษควรใชอ้ กั ษรตัวใหญ่ (upper case) กับตัวเลก็ (lower case) ผสมกนั ไป เพราะพบว่า เม่อื ใช้ชื่อเรือ่ งเป็นอักษรตัวใหญห่ มด ตอ้ งใชเ้ วลาอา่ นนานกว่า เพราะสายตาคนเรามกั จะหยดุ ทกุ ตวั อกั ษร วตั ถุประสงค์ การนําเสนอผลงานด้วยโปสเตอร์ ตามท่ปี ระชมุ วชิ าการตา่ ง ๆ น้นั ผ้ทู เี่ ขา้ ชม โปสเตอร์มกั เปน็ ผู้สนใจในสายงานเดียวกนั อยแู่ ลว้ ดงั น้นั ผอู้ ่านสามารถเขา้ ใจถงึ ธรรมชาตแิ ละ ขอบเขตการวจิ ยั ท่ีท่านเสนอไดไ้ ม่ยาก จงึ ไม่จาํ เปน็ ต้องให้รายละเอียด ควรระบวุ ตั ถปุ ระสงคด์ ้วย ประโยคเพียง 2-3 ประโยค คําถามหรือสมมติฐานของการวจิ ัย ควรระบเุ ป็นรายการหรอื วลีหรือ ถ้อยคํา (bulleted statement) เพื่อให้อา่ นง่าย ไม่ควรใช้เนื้อความมาก ขา่ วสารทใ่ี หค้ วรใหอ้ ่านจบ ง่าย ๆ ภายในเวลาสนั้ ๆ เชน่  Placebo-controlled  Randomized crossover  Four weeks per treatment regimen เปน็ ตน้ ซงึ่ จะเหน็ ว่าใชค้ ําเพียง 9 คํา แตถ่ า้ เขยี นเปน็ ประโยคจะต้องใชค้ าํ เพ่ิมขนึ้ อีกมาก วิธกี ารหรอื กระบวนการ โปสเตอร์ท่ีเป็นงานวจิ ยั ควรกล่าวถงึ ข้อสรุปส้ัน ๆ การวางแผน การวิจัย กรอบทฤษฎีหรอื หลักการ ส่วนวธิ ีการและกระบวนการเกบ็ และรวบรวมขอ้ มลู ควรระบุ เครือ่ งมอื ทใี่ ช้เก็บขอ้ มูลและวัดความผันแปร นัน่ คือ ใหค้ วามรู้จนพอทจ่ี ะเขา้ ใจได้วา่ ศกึ ษาวจิ ัยอยา่ งไร นนั่ คอื เสนอเฉพาะประเดน็ หลัก และมีรายละเอียดไม่มาก (ผู้อ่านทสี่ นใจรายละเอียดอาจสอบถาม จากผนู้ าํ เสนอโปสเตอร์ ไดเ้ อง) การวเิ คราะหข์ อ้ มูล ควรบอกว่าวเิ คราะห์ขอ้ มูลอยา่ งไร ถ้าใช้สถิติ ให้บอกชื่อสถติ ิทใ่ี ชแ้ ละ ระดับนัยสําคญั ดว้ ย ควรใชส้ ัญลักษณช์ ้ใี ห้เหน็ ถึงผลท่ีมนี ยั สําคัญ อธบิ ายถงึ ตวั อย่างสัน้ ๆ เชน่ อายุ เพศ เศรษฐานะ เปน็ ตน้ ท่สี าํ คัญและตอ้ งไมล่ มื คอื จํานวนตวั อยา่ งทงั้ หมด ควรใช้แผนภมู หิ รือ กราฟสรปุ ขอ้ มลู ผล ใช้ผลการค้นพบทเี่ ดน่ และเปน็ ผลของคําถามแตล่ ะคาํ ถามของการวิจยั หรอื สมมติฐาน อย่าใส่ตัวเลขมากเกนิ จนเสยี ความมีนยั สาํ คัญไป การใชว้ ลสี ้ัน ๆ เรียงลาํ ดับ จะช่วยให้อา่ นงา่ ยข้นึ เปรยี บเทียบการนาํ เสนอ 2 รปู แบบ ดงั ต่อไปน้ี แบบที่ 1 : นําเสนอเชิงอักษรศาสตร์ The treatment produced reductions in fever, decreases in swelling, increase in appetite, weight gain, sharper responses to stimuli and better coordination. แบบท่ี 2 : นาํ เสนอด้วยถอ้ ยคํา

120 The treatment produced favorable changes in:  temperature  swelling  appetite  body weight  responses to stimuli  coordination สงั เกตดวู า่ แบบใดจะอา่ นไดง้ า่ ยกวา่ บางกรณีการนําเสนอเป็นแผนผงั (diagram) จะยิง่ ดูง่าย ข้ึน ถกแถลง ส่วนน้ีอาจตัดออกจากโปสเตอร์เลยกไ็ ด้ ถา้ ผู้นิพนธ์จะอยเู่ พ่ือร่วมถกแถลงกบั ผู้สนใจซกั ถามได้ตามตารางเวลาท่ีกําหนด แตถ่ ้าจะใสไ่ ว้ ใหใ้ ช้หลักการเดียวกับการเขียนรายงานการ วจิ ยั แต่ให้ส้นั กวา่ การออกแบบโปสเตอร์ ถ้าออกแบบโปสเตอรไ์ มด่ ี ผชู้ มก็จะขาดความสนใจความร้ทู ีน่ ักวจิ ัยพยายามเสนอ ตรงกนั ขา้ ม ถา้ ออกแบบโปสเตอรไ์ ด้ดี สะดดุ ตาผูช้ ม ผชู้ มก็จะเขา้ มาตดิ ตามอา่ นจนเห็นความสาํ คญั ของงานทีเ่ สนอ ได้ ในการออกแบบน้ี นอกจากจะต้องออกแบบใหด้ ึงดดู ความสนใจของผเู้ ข้าชมแลว้ ยงั ต้องออกแบบ ใหส้ ะดวกต่อการขนสง่ ดว้ ย (นําติดตวั ) เพอ่ื ให้โปสเตอรอ์ ่านได้ง่าย ควรปฏบิ ัติดังต่อไปน้ี คือ 1. ใช้ตัวหนงั สือที่สามารถอา่ นได้ในระยะ 3-4 ฟุต และควรเป็นตัวอักษรที่อา่ นได้งา่ ย ถา้ ใช้ ตวั หนงั สอื เลก็ ไปจะทาํ ใหผ้ ชู้ มเพยี งแต่มองผ่านไปโดยไมค่ ดิ จะหยุดอ่าน/ใหค้ วามสนใจ เม่อื ใช้ ภาษาอังกฤษ เน้ือความภายในไม่ควรใช้อักษรตวั ใหญ่ทุกตวั เพราะอา่ นยาก ควรหลีกเลี่ยงการใช้ ตวั หนงั สือ/ตวั เลขทีเ่ ขยี นไว้ขา้ งบน (superscript) หรอื เขียนไวข้ ้างล่าง (subscript) เพราะอ่านยาก เช่นกนั 2. ถา้ พืน้ เปน็ สอี ่อน การใชต้ ัวหนงั สือสเี ข้มช่วยใหเ้ ห็นได้ดี ควรหลกี เล่ียงตัวหนงั สอื สเี ขม้ บน พื้นสเี ขม้ ถ้าจะใชพ้ ื้นสเี ขม้ ควรใช้ตวั หนังสือสีออ่ น ในโปสเตอร์ 1 แผ่น ไม่ควรมีสีที่ตดั กนั เกินกว่า 3 สี ไมค่ วรใช้สที ่ีสอ่ งแสงเรอื ง ยิ่งกว่านน้ั การใชส้ ียงั ช่วยแยกความแตกต่างของแต่ละเรือ่ ง และเน้น ความสําคัญไดด้ ดี ้วย การใชผ้ ้าสสี วย ๆ ตกแตง่ เปน็ พ้นื หรอื ตกแต่งรอบ ๆ ฉากท่ใี ช้ตดิ โปสเตอร์ ชว่ ย เพิ่มความงามและดึงดูดสายตาได้ดี 3. เน้ือความในโปสเตอรค์ วรสรุปให้สน้ั และตรงประเด็น มฉิ ะนน้ั ผู้ชมอาจหมดความสนใจได้ งา่ ย 4. การยอ่ หนา้ ส่งเสรมิ การอ่านได้มากกว่าการนาํ เสนอแบบทอ่ น/ตอน (blocked paragraphs) ถ้าทาํ เป็นหัวข้อย่อยไดจ้ ะสะดวกตอ่ ผู้อา่ น 5. ภายในกราฟควรมีเฉพาะขอ้ มูลท่ีน่าสนใจสําหรบั กลมุ่ บคุ คลทีเ่ ข้าชม และจะดงึ ดูดความ สนใจไดด้ ียิ่งขึ้น ถา้ เปน็ กราฟสี (ดกี วา่ ดํา-ขาว) เพราะเห็นความแตกต่างได้ง่ายกว่า หวั ขอ้ กราฟและ การตดิ ฉลาก (label) ดว้ ยอักษรทึบจะเดน่ ดีกว่า มรี ายงานว่าการใช้กราฟและรปู เปน็ สง่ิ จูงใจผชู้ ม ไดม้ ากที่สุดอย่างหนึง่ รปู หนงึ่ รปู มคี า่ เทียบเท่าประมาณ 4000 คํา 6. การเรียงโปสเตอร์กส็ าํ คญั เชน่ กนั ควรเรียงเปน็ ลาํ ดบั อาจใส่ตัวเลขเล็ก ๆ แสดงลําดับไว้ ด้วยกด็ ี 7. ควรติดโปสเตอรใ์ หอ้ ย่ใู นระดบั สายตา อย่าให้สูงหรอื ตาํ่ เกนิ ไป

121 การพสิ จู นอ์ ักษร คณะผนู้ พิ นธ์ควรชว่ ยกนั ตรวจพสิ จู น์อกั ษร เพอ่ื ปอ้ งกันความผดิ พลาด บอ่ ยคร้ัง การจดั ทํา โปสเตอร์ ทาํ ด้วยความเร่งด่วนจนไม่มีเวลาตรวจทาน ควรพจิ ารณาเป็นพิเศษในส่วนของช่ือเรือ่ ง ตาราง ตัวยอ่ คําอธิบายภาพ/รปู สว่ นใหญแ่ ลว้ มกั ตรวจทานในส่วนเนอ้ื หา จงึ มักพบขอ้ ผดิ พลาดใน สว่ นดงั กลา่ วนีไ้ ดง้ ่าย การตรวจพสิ จู น์อักษร ควรแยกทําเป็นข้นั ตอน เชน่ ตอนแรกอ่านความถกู ตอ้ งของส่งิ ท่ี นําเสนอ ครัง้ ทส่ี องจึงอา่ นเพื่อดคู วามถกู ต้องของตวั สะกด การใช้เคร่ืองหมายวรรคตอน การใช้ ตัวหนงั สอื ตวั ใหญ่ และควรหาผูท้ อ่ี ยูน่ อกวงการของทา่ น แต่มคี วามรคู้ วามสามารถทางวชิ าการมาช่วย อ่าน การพิสจู นอ์ ักษร ควรอ่านจากหน้าไปหลงั และจากหลังย้อนกลบั มาหนา้ การอา่ นย้อนกลับจะ ช่วยไม่ให้พลาด เพราะไมไ่ ด้อา่ น แต่เปน็ การดทู ีละคํายอ้ นกลบั จึงพลาดยากกว่า ควรทดลองติดตัง้ โปสเตอรท์ ีท่ ําเรยี บรอ้ ยแลว้ ในรูปแบบทจี่ ะไปตดิ ต้งั ท่ที ี่ประชุมวชิ าการ ก่อนเพื่อตรวจทานความเรยี บรอ้ ยและพสิ จู น์อักษรดว้ ย การแสดงโปสเตอร์และการนาเสนอ การแสดงโปสเตอรอ์ าจมีตลอดการประชุมวชิ าการ หรอื จัดแสดงไว้เฉพาะเวลาท่ีกาํ หนด ผู้นํา เสนอต้องแตง่ กายใหเ้ หมาะสมดูเปน็ นักวชิ าการ/วิชาชีพ ควรเตรียมบทคดั ย่อเพื่อแจกผู้ชมที่สนใจ และถ้าตอ้ งการสร้างเครือขา่ ย ควรเตรียมนามบัตรไว้ด้วย ถ้าจะใหด้ ี ควรเตรยี มอุปกรณ์ท่ีจาํ เป็นใน การติดตั้งโปสเตอรไ์ ปเอง รวมทงั้ อุปกรณท์ ใี่ ช้แก้คําผิดทอี่ าจพบภายหลังจากการตดิ ตั้งโปสเตอรแ์ ลว้ ด้วย เช่น นํา้ ยา/เทปลบคาํ ผิด ปากกาเขยี นโปสเตอร์, เข็มหมดุ , เทปกาว เป็นตน้ การนําเสนอผลงานโดยโปสเตอร์เปน็ วิธกี ารท่ใี หค้ วามเพลิดเพลนิ และมปี ระสิทธภิ าพในการ ทําใหเ้ กดิ ปฏสิ มั พนั ธร์ ะหว่างผเู้ สนอและผ้ชู ม มกี ารสนทนาระหว่างผูร้ ่วมวิชาชีพ แนวปฏิบัติทใี่ ห้ไวน้ ้ี เชือ่ ว่าจะทาํ ให้ประสบความสําเร็จ โดยเสียค่าใชจ้ ่ายไมม่ าก เนือ้ ความในโปสเตอร์และการออกแบบ ควรจะใหเ้ ห็นจดุ เดน่ ของการศึกษาดว้ ย ส่งิ ท่ี ”ควร” และ “อยา่ ” ทาํ ในการทําโปสเตอร์สรุปได้ ดังน้ีคอื ส่ิงท่ี “ควร” และ “อยา่ ” ทําในการทําโปสเตอร์ ควร : อยา่ :  เขียนบทคัดย่อตามแนวทแ่ี นะนาํ  ใส่บทคดั ยอ่ ลงบนโปสเตอร์  วางแผนเวลา  ใช้อกั ษรตวั ใหญห่ มด  หาแหล่งทรพั ยากร  ใหช้ ่ือเร่ืองยาวกว่า 10 คํา  วางแผนงบประมาณ  ใชส้ ีตัดกันมากกวา่ 2-3 สี  ผังการวางองคป์ ระกอบต่าง ๆ ของโปสเตอร์  ใชโ้ สตทศั นปู กรณ์ในโปสเตอร์  สัน้ ๆ และตรงประเดน็  เลือกใช้สีตัดกนั  เลอื กรูปแบบและขนาดตัวอักษรใหอ้ ่านง่าย

122 แนวปฏิบตั ทิ ใี่ ห้ไวน้ ้ีเปน็ เพยี งแนวทางเทา่ นน้ั ผนู้ ิพนธอ์ าจต้องปรบั เปล่ียนใหเ้ หมาะสม ตามแตก่ รณี ท้ังนเี้ พียงเพ่ือให้การส่อื สารข้อมลู สาํ เรจ็ ตามท่ีคาดหวงั การเขยี นบทความวจิ ัยเพอื่ พิมพ์เผยแพรใ่ นวารสารวชิ าการ การ เขยี นบทความวจิ ัยเป็นภารกิจ สําคญั อกี ประการหน่ึงของนกั วิจัย นอกจากจะมีความรู้ ความเข้าใจในกระบวนการทําวิจยั และวธิ เี ขียนรายงานการวจิ ัยแล้ว การนาํ ผลงานวิจัยมาพมิ พ์ เผยแพรน่ ้นั จะต้องมวี ิธกี ารนําเสนอในรปู ของบทความ วิจัยสาํ หรบั การพมิ พใ์ นวารสารวชิ าการอีกดว้ ย ความสามารถในการเขยี นบทความวิจัยนั้นมคี วามจําเป็นทีต่ ้องมพี ื้นฐานความ สามารถใน กระบวนการวจิ ยั เชน่ ระเบยี บวิธีวจิ ัย คาํ ศัพทแ์ ละความหมายที่เป็นภาษาวิจยั มีความสามารถในการ ทาํ วิจยั ไดจ้ นเสร็จสมบรู ณถ์ กู ตอ้ งตามแบบแผนของการวิจยั รวมท้งั สามารถเขยี นรายงานการวิจยั ฉบบั สมบรู ณ์ได้ถูกต้อง ขนั้ ตอนสําคญั ต่อมาคือความสามารถในการนาํ ผลการวิจัยนัน้ นําเสนอในรูปของ บทความ วิจัย และหลงั จากที่บทความวิจยั ไดร้ ับการเผยแพรไ่ ปแล้ว ความสามารถท่อี าจจะต้องใช้ ต่อมาคือความสามารถในการชีแ้ จงปกปอ้ งผลงานและการ ค้นพบตามทบี่ ทความวิจัยไดก้ ล่าวอา้ งถึง ความสามารถเหลา่ นเ้ี ปน็ ความสามารถทจ่ี าํ เป็นตอ้ งมอี ย่ใู นนกั วจิ ัย การพฒั นาความสามารถเหลา่ นใ้ี ห้กบั นกั วิจัยรุ่นใหม่จงึ เปน็ ความจาํ เป็นอย่างมาก ประเภทของบทความวิจัย ใน การเขียนบทความวจิ ยั ต้องทาํ ความเข้าใจกบั ประเภทของงานวิจัยกอ่ น งาน วิจยั สามารถ จาํ แนกได้หลายประเภทข้ึนอยูก่ บั เกณฑท์ ่ีนํามาใช้ในการจาํ แนกประเภท ของการวิจยั แต่ละประเภท จะมกี ารดาํ เนนิ การวจิ ยั แตกตา่ งกัน ตัวอยา่ งประเภทของการวจิ ยั ได้แก่ 1. การวจิ ัยเชิงทดลอง (Experiment Research) 2. การวจิ ยั เชงิ สหสมั พนั ธ์ (Correlational Research) 3. การวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุ (Causal-comparative Research) 4. การวจิ ยั เชงิ สํารวจ (Survey Research) 5. การวิจัยเชิงประวัติศาสตร์ (Historical Research) 6. การวจิ ยั เชงิ คณุ ภาพ (Qualitative Research) อยา่ ง ไร กต็ าม กล่มุ ผลงานวชิ าการน้ันแบง่ เป็น 3 กลมุ่ ได้แก่ การศกึ ษาค้นควา้ ทดลอง เพอ่ื หาความรู้ใหม่ (Investigation) การพฒั นา (Development) และ การประเมิน (Evaluation) เปน็ กลุ่มผลงานวิชาการท่ีใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตรห์ รือวิธวี จิ ยั ในการ ศึกษาทง้ั สนิ้ ถงึ แม้วา่ การ วิจยั ในแต่ละประเภทจะมคี วามแตกต่างในกระบวนการในการทําวจิ ัย การเก็บข้อมลู การวเิ คราะห์ ขอ้ มลู ตัวแปรทศ่ี กึ ษา รวมทง้ั การเขยี นรายงานการวิจยั กต็ าม แตเ่ มอ่ื มกี ารเขยี นบทความวิจัยเพือ่ การ พมิ พ์เผยแพรแ่ ล้วจะมสี ่วนสําคญั ที่ เหมอื นกันคอื ทกุ ประเภทของการวิจัยจะมจี ดุ ประสงค์หรอื เป้าหมายของการเผยแพรผ่ ลงานการวจิ ยั นนั้ ซง่ึ จุดประสงค์หรือเป้าหมายของการเผยแพร่ ผลงานวจิ ัยในรูปของบทความวจิ ยั สามารถจาํ แนกได้เป็น 2 ประเภท ได้แก่ 1. บทความวิจัยทีม่ จี ุดประสงคเ์ พ่อื ต้องการแสดงผลการวิเคราะห์ (Analytical Paper) ซง่ึ เปน็ บทความวิจยั ทม่ี ีจดุ ประสงคห์ รอื เปา้ หมายเพื่อต้องการแสดงถงึ ผลที่ เกดิ ขึ้นจากการไดศ้ ึกษา

123 ตามกระบวนการของการวจิ ยั การนาํ เสนอบทความวิจัยประเภทน้ีจะแสดงถึงข้นั ตอนและ กระบวนการรวมทั้งผลท่ไี ด้ จากการทาํ วจิ ัย เป็นบทความวิจยั ทใ่ี ช้กระบวนการคิดวเิ คราะห์ในการ บรรยายถึงผลทีเ่ กดิ ข้นึ จาก การวิจยั โดยตรงไม่มกี ารโต้แยง้ หรือสนบั สนนุ ความคดิ ของใครหรือเรื่องใด เป็นการเฉพาะ 2. บทความวจิ ัยท่ีมจี ดุ ประสงค์เพ่ือตอ้ งการแสดงผลโตแ้ ยง้ หรอื ชวนเชิญ (Argumentative or Persuasive Paper) ซึ่งเป็นบทความวิจัยที่มจี ดุ ประสงคห์ รอื เปา้ หมายเพ่อื ต้องการแสดงผลการวจิ ยั โต้แย้งหรอื ชกั จูงให้เชอื่ ถือผลของการวจิ ยั ว่าเป็นความจรงิ ทีส่ มบรู ณ์ถกู ต้อง กวา่ อีกความคิดหนึ่งหรอื เชื่อถือได้กว่าผลการวิจยั ของผู้อนื่ บทความวจิ ยั ประเภทน้เี ป็นบทความวจิ ัยที่ เขยี นขึน้ จากงานวิจัยทไี่ ด้รบั ทนุ ใน การทาํ วจิ ยั หรอื ความตอ้ งการในการสนับสนุนและคดั ค้านประเดน็ ทางวชิ าการเรือ่ ง ใดเร่อื งหนึ่ง ส่วนประกอบของบทความวิจัยเพื่อพิมพเ์ ผยแพร่ การ เขยี นบทความวิชาการเพือ่ ให้ได้รับการพิมพ์เผยแพร่ในวารสารวชิ าการทง้ั รูปแบบ ท่ีเป็น การพิมพ์บนกระดาษ หรอื เป็น วารสารอเิ ลก็ ทรอนิกส์ ทเี่ ผยแพร่ผา่ นอินเตอร์เน็ตน้ันแตกต่างจากการ เขียนรายงานวิจัยของนักศึกษา เพื่อส่งอาจารย์ หรือการทําวิทยานิพนธ์ของนักศึกษา การกําหนด รูปแบบการเขียน จํานวนคํา และจํานวนหน้าท่ีกําหนดในแต่ละวารสารวิชาการท่ีขอรับการพิมพ์ บทความวิจัยเป็น ปัจจัยสําคัญท่ีผู้เขียนบทความวิจัยต้องตระหนักเป็นอันดับแรก เพราะแต่ละ วารสารวชิ าการนั้นมีข้อกําหนดไมเ่ หมอื นกนั ความคิดและความเข้าใจในรูปแบบของการเขยี นรายงาน การวิจัยฉบับสมบรู ณใ์ น ระหว่างทีศ่ กึ ษาอยใู่ นมหาวทิ ยาลยั ทม่ี กี ารแยกส่วนเป็นแต่ละบท ในแต่ละบท จะมีหัวข้อที่กําหนดไว้ว่ามีหัวข้ออะไรบ้างตามแบบแผนที่แต่ละ มหาวิทยาลัยกําหนดข้ึนนั้นแตกต่าง จากการเขยี นบทความวิจยั ท่ีพิมพ์ในวารสาร วิชาการ ผู้เขียนบทความวิจัยตอ้ งปรับความคิดและความ เข้าใจในการเขยี นใหม่ โดยต้องศกึ ษาจากข้อกําหนดของวารสารทตี่ ้องการให้พมิ พ์บทความวิจัยว่ามีข้อ กําหนดอย่างไร ซ่ึงทุกวารสารจะมีข้อกําหนดให้ท้ังข้อกําหนดท่ีเป็นรูปแบบทางกายภาพต้นฉบับของ บทความเช่น การใช้ขนาดตัวอักษร แบบตัวอักษร การจัดคอลัมน์ การอ้างอิง รวมทั้งความยาวของ บทความ และรูปแบบของการเขยี น เช่น การเรียงลําดับเนื้อหา วิธีการเขยี นบทคดั ย่อ การเขียนบทนํา การเขียนกระบวนการวจิ ัย และการสรุปและอภิปรายผล เป็นต้น ผูเ้ ขียนบทความวิจัยต้องยอมรบั และ ทําตามข้อกําหนดของวารสารวิชาการนั้น ยกเว้นจะมีเหตุผลท่ีดีในการชี้แจงให้วารสารวิชาการทราบ เป็ น เรื่อ ง ๆ ไป ท้ั งนี้ อ ยู่ ใน ดุ ล พิ นิ จ ข อ งก อ งบ รรณ าธิก ารว ารส ารซ่ึ งอั น เป็ น ที่ สิ้ น สุ ด การ เขียนบทความวิจัย เป็นท้ังศาสตร์และศิลป์ ส่วนท่ีเป็นศาสตร์หมายถึง มีหลักการ ขั้นตอนและแนวทางการเขียนท่ีชัดเจน กําหนดไว้เป็นท่ีเข้าใจได้ตรงกัน ส่วนท่ีเป็นศิลป์น้ัน เป็นสิ่งท่ี สามารถทาํ ได้เฉพาะตนในแต่ละคน ไมส่ ามารถทําให้เขยี นได้เหมือนกันทุกคนทั้งท่มี ีแนวทางและความ เข้าใจขอ้ กาํ หนด ของการเขียนและวิธกี ารเขียนตรงกนั กต็ าม ความสามารถในการเขยี นท่ีไมเ่ หมือนกัน นี้เป็นศิลปะของการเขียนท่ีต้องมีการ ฝึกและพัฒนาในแต่ละบุคคลเท่านั้น ความสามารถนี้จึงเป็น ความสามารถเฉพาะตน อย่าง แท้จริง อย่าลืมว่าการเขียนรายงานการวิจัยเป็นการบูรณาการ ปรากฏการณ์หรือสิ่งท่ีเกิด ข้ึนจากการไปทําการวิจัยซึ่งอยู่ภายนอกตัวผู้วิจัย โดยเชื่อมโยงกับกับสิ่งท่ี อยู่ภายในตัวผู้วิจัยคือความรู้และความคิดในการ ดําเนินงานและการอภิปรายผลวิจัย แต่ที่สําคัญอีก

124 ประการหนึ่งคือ ผู้อ่านงานวิจัยไม่ได้คาดหวังในการอ่านว่าจะอ่านเรื่องราวหรือความรู้ที่ ท่านผู้วิจัย รู้อยู่แล้ว แต่ต้องการความรู้ที่ท่านกําลังหาอยู่หรือกําลังวิจัยอยู่เช่นกันบทความวิจัย ทั้งประเภท Analytical Paper และ Argumentative or Persuasive Paper ที่พิมพ์เผยแพร่ในวารสารที่เป็น กระดาษ หรือวารสารอิเล็กทรอนิกส์นั้นต้องส้ันและกระชับแต่ครบถ้วน พื้นที่การพิมพ์แม้เพียง หนึ่ง ตัวอักษรหรือ หนึ่ง คําก็มีความหมายมากในการจัดหน้าทําวารสาร และอาจมีผลต่อการ รับ หรือ ปฏิเสธ การพิมพ์ได้ อย่างไรก็ตามถึงจะมขี ้อกําหนดตน้ ฉบับเพือ่ การพิมพท์ เ่ี ข้มงวดแตกต่างกัน แต่จะมี ส่วนประกอบและแนวทางการเขียนบทความวิจยั ท่อี ยูบ่ นพื้นฐานของหลกั การทเี่ หมือนกนั ดังน้ี 1. ชื่อเรื่อง (Title) ผู้เขียนบทความวิจยั อาจมีปัญหากับกองบรรณาธิการของวารสารที่ ต้องการให้ ปรบั ปรงุ ชอื่ เรือ่ งใหก้ ะทัดรัด และถกู ต้องตามหลักการใช้ภาษา แต่ผู้เขียนอาจไมส่ ามารถทํา ได้เนื่องจากช่ือเรื่องเป็นชื่อท่ีผู้วิจัยไม่ได้ กําหนดขึ้นเอง แต่เป็นเจ้าของทุนวิจัยเป็นผู้กําหนดให้ หรือ เป็นชื่อเร่ืองที่ตั้งขึ้นโดยผา่ นคณะกรรมการทมี่ ีความเข้าใจและมคี วาม ต้องการให้ชือ่ หัวข้องานวิจัยส่ือ ความตามที่ต้องการ แต่กองบรรณาธิการไม่ทราบ จึงเป็นหน้าท่ีของผู้วิจัยต้องอธิบายให้บรรณาธิการ วารสารวชิ าการนั้นเขา้ ใจ ดงั นนั้ ในการเร่ิมโครงการวจิ ัยผู้วิจยั ควรตระหนกั ถึงช่อื เรอื่ งใหม้ าก ควรมกี าร พินิจพิเคราะห์ให้รอบคอบ และใช้ช่อื เร่ืองท่ีเหมาะสมและสื่อความได้ตรงตามจดุ ประสงค์ของงานวิจัย กอ่ นท่ีจะปล่อยให้ล่วงเลยมาจนถึงข้ันตอนของการพิมพ์เผยแพร่ อย่าสําคัญผิดว่าชื่อเรื่องนั้นไม่สําคัญ โดยให้ความสาํ คัญกบั กระบวนการและผล วิจัยมากกว่า เพราะความจริงแลว้ ชือ่ เร่ืองน้ันมคี วามสําคัญ มากไม่น้อยกว่ากระบวนการและผล การวิจัยเลย ก่อนดําเนินการวิจัยต้องศึกษาวิธีการต้ังชื่อให้ เหมาะสมเสียก่อน และการใช้คําในการต้ังชื่อเร่ืองจึงมีความสําคัญมาก เช่น ในการวิจัยเก่ียวกับการ สร้างหรือการพัฒนาอย่างใดอย่างหนึ่ง ความแตกต่างของการสร้างและการพัฒนามีดังน้ี “การสร้าง” เป็นการดําเนินการตามแบบที่ได้กําหนดไว้ ผลของการสร้างต้องได้ตามแบบที่กําหนดไว้ไม่มากกว่า หรือน้อยกว่าแบบท่ีกําหนด การสร้างเป็นกิจกรรมท่ีเกิดขนึ้ หลังจากท่ีมีการออกแบบไว้แล้ว การสร้าง จึงเป็นการดําเนินการตามแบบท่ีได้กําหนดไวแ้ ล้วจากผลของกระบวนการของ การออกแบบ คณุ ภาพ ของการสรา้ งอยูท่ ่ีความสามารถทาํ ไดต้ ามแบบท่ีกาํ หนดไวก้ ารประเมนิ จึงดู ทกี่ ระบวนการและผลที่ได้ ตามแบบหรือไม่อย่างไรซ่ึงเป็นเกณฑ์สําหรับการตัดสิน คุณค่าของการสร้าง ส่วน “การพัฒนา” น้ัน เป็นกระบวนการท่ที ําขน้ึ (สร้างขน้ึ ) ให้ดีทส่ี ุดเท่าที่จะเป็นได้ โดยใชฐ้ านของความรู้ความคิดหรอื สิง่ ที่มี อยูแ่ ล้ว การพัฒนาจึงเปน็ การดําเนนิ การที่มีการทดสอบ ปรับปรงุ เพอ่ื ใหไ้ ดค้ ุณภาพสูงสุด และไม่ทราบ ก่อนว่าคุณภาพท่ีสูงสุดน้ันจะอยู่ที่ใด การกําหนดเกณฑ์เพื่อการพัฒนาจึงมีความสําคัญเพ่ือใช้เป็น เป้าหมายของการพัฒนา กระบวนการวิจัยซ่ึงมีฐานมาจากกระบวนการทางวิทยาศาสตร์จึงนํามาใชใ้ น กระบวนการ พัฒนาเพ่ือให้ได้คุณภาพสูงสุด หรือไม่ต่ํากว่าเกณฑ์ที่กําหนดไว้ อย่างไรก็ตามใน กระบวนการของ “การพัฒนา” น้ันมี “การสร้าง” อยู่ด้วย ดังน้ัน “การสร้าง” จึงเป็นส่วนหน่ึงของ การพัฒนาเสมอ แต่การสร้างไม่จําเป็นต้องมีกระบวนการพัฒนาตามความหมายน้ีเป็นต้น การ เขียนชื่อเร่ืองงานวิจัยเป็นภาษาอังกฤษนั้นควรระมัดระวังการใช้คําและการส่ือ ความหมาย และควรเขียนให้ตรงกับความหมายมากกว่าเขียนแปลตามคําศัพท์ ปัจจุบันไม่นิยมใช้ คํา นําหน้าคํานาม(Article)เช่น A, An และ The เป็นตัวแรกสําหรับการเขียนช่ืองานวิจัยภาษาอังกฤษ และ ไม่นยิ มการขึ้นต้นชื่อเรอ่ื งวา่ A Study of... เปน็ ตน้

125 2. บทคดั ยอ่ (Abstract) ควรมีทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ถงึ แม้วา่ บทความวจิ ยั จะเปน็ ภาษาอังกฤษแตถ่ า้ พิมพ์ในวารสารประเทศไทยกค็ วรมี บทคดั ย่อภาษาไทยดว้ ย ควรเขยี นอยา่ ง สนั้ ตรงประเดน็ ประกอบด้วย จดุ ประสงค์ แบบแผนการดําเนินการวิจยั และผลการวจิ ยั ท่ไี ด้ ถ้ามี ตัวเลขทม่ี คี วามสําคัญต้องแสดงไว้ รวมท้ังสถิตแิ ละกระบวนการวิเคราะหข์ ้อมลู ด้วย รวมท้งั ข้อเสนอแนะและปญั หาท่ีนําไปสู่การทาํ วจิ ัยต่อไป ความยาวภาษาไทย ไม่เกิน 15 บรรทัด และ สําหรบั ภาษาอังกฤษ พยายามอย่าใหเ้ กนิ 200 คาํ โดยเขยี นใหอ้ ยใู่ นย่อหนา้ เดยี วเท่าน้นั การเขียน ภาษาองั กฤษให้เขียนเป็น Past Tense เนอื่ งจากเปน็ การสรุปผลท่ไี ด้ทาํ สําเร็จไปแลว้ บทคดั ยอ่ ต้องมี ความสมบูรณใ์ นตัวเองไมม่ ีการอา้ งองิ ข้อมูลจากตารางหรือแหล่ง อา้ งองิ อ่ืน ๆ อกี ถา้ จําเป็นตอ้ งการ กล่าวถึงภูมหิ ลงั และวรรณคดีท่ีเก่ียวขอ้ งควรมไี ม่เกิน 2-3 ประโยค เขยี นใหค้ รอบคลมุ รายงานวจิ ัยทั้ง ฉบบั อยา่ งกระชับ มีการตรวจสอบการใช้คําและตัวสะกดตามหลักไวยากรณใ์ หถ้ กู ต้อง ในการส่ง บทความเพอื่ เผยแพร่ในวารสารที่เปน็ วารสาร อเิ ล็กทรอนกิ ส์ จํานวนคําจะถกู จํากดั ตาม Template ที่กาํ หนดไว้ ถ้ามีความยาวเกนิ ระบบจะ ไม่รับ หรือ ปฏิเสธ ขอ้ ความท่ยี าวเกินทันที จงึ จาํ เปน็ ต้อง เขยี นให้อยูใ่ นจํานวนคาํ ทร่ี ะบบการรบั ต้นฉบับแบบอิเลก็ ทรอนกิ ส์ กําหนดอยา่ งเคร่งครดั วารสารบาง ฉบับให้มกี ารกําหนด คาํ สําคญั (Keywords) ไวด้ ว้ ย ไม่เกิน 5 คํา 3. บทนาํ (Introduction) เปน็ การเขยี นถงึ ภูมหิ ลงั หรือความเปน็ มาและความสาํ คญั ของ ปญั หาวจิ ัย การเขยี นบทนําเรมิ่ จากการกลา่ วถึงสภาวการณ์ท่สี มบรู ณแ์ ละความดีงามตามอดุ มคติ (Ideal) พยายามให้อยใู่ นขอบเขตทใ่ี กลเ้ คยี งกับปญั หาวิจัยใหม้ ากทส่ี ดุ แสดงทม่ี าและภมู ิหลงั ใหท้ ราบ ถึงความเป็นมาในการทาํ วิจัย เปน็ การนําเขา้ สู่ปัญหาวจิ ยั (Problem) บรรยายสภาพระหว่างช่องว่าง ของความเป็นจรงิ กับสิ่งทเี่ ปน็ อดุ มคติ การแสดงคําตอบหรือทางแก้ของปัญหาวา่ เป็นอยา่ งไร (Solution) จะต้องทาํ อะไรบ้างในการแก้ปัญหานน้ั รวมทั้งนาํ เสนอวิธีการในการได้มาถงึ แนวทาง ใน การแกป้ ญั หา (Application) น่นั คอื การทตี่ ้องทาํ การวจิ ัยน้ีขน้ึ ตามกระบวนการและวธิ กี ารของ กระบวนการ วิจยั ที่เหมาะสม การเขยี นต้องมีเทคนิคในการเขยี นบูรณาการใหส้ อดคล้องกันและสร้าง ความเช่ือถือ และจูงใจใหผ้ อู้ า่ นงานวจิ ยั สนใจตดิ ตามทง้ั กระบวนการและผลของการวจิ ัยทีจ่ ะนาํ มาใช้ แก้ปญั หาที่กลา่ วถงึ น้ี (ใช้ตวั ย่อ IPSA ซึง่ มาจากคําว่า Ideal, Problem, Solution, Application สาํ หรบั การจดจาํ การเขียนบทนาํ ในรายงานการวิจัย) ความยาวในส่วนนไี้ ม่เกนิ 2 หน้า ในส่วนนจ้ี ะ รวบรวมเอาวตั ถุประสงค์ ปัญหาวิจยั สมมตุ ิฐาน และประโยชนข์ องการวจิ ัยรวมอยดู่ ้วย 4. วธิ กี ารวจิ ัย (Research Methodology) หรอื อุปกรณ์และวิธีวิจัย (Materials and Methods) ในหวั ข้อนไี้ ม่จาํ กดั ความยาวไวเ้ ป็นการเฉพาะ ผู้อา่ นอาจต้องการอ่านเฉพาะเรอ่ื งที่สนใจ เท่าน้นั การเขียนต้องแสดงให้เห็นถึง ขั้นตอน วิธกี าร การเลือกตวั อย่าง การเก็บขอ้ มูล การวเิ คราะห์ ขอ้ มลู สถิติ เครอื่ งมือ สตู ร รวมท้ังสมการทใี่ ช้ เปน็ ต้น หรอื ถา้ เป็นการวิจัยทางวทิ ยาศาสตร์ทนี่ าํ วสั ดุ อปุ กรณพ์ เิ ศษมาใชใ้ นการวจิ ยั อาจตอ้ งกล่าวถึงแยกไว้โดยเฉพาะ รวมทัง้ ระบุช่อื กระบวนการหรือ ช้นิ สว่ นตา่ งๆ ทนี่ ํามาใชว้ จิ ัย เชน่ เน้ือเยือ่ หรือสารเคมที ีใ่ ช้ แตจ่ ะไม่กลา่ วถึงอปุ กรณ์พนื้ ฐานท่ีมอี ยู่ ทวั่ ไปในห้องปฏบิ ตั กิ ารวิทยาศาสตร์ รูปแบบการเขียนถา้ เป็นภาษาอังกฤษอาจตอ้ งใช้ Passive Voice มากกว่า Active Voice ถงึ แมว้ า่ เป็นตอนท่ผี ้วู ิจัยหรือมผี ู้กระทาํ ไดล้ งมอื กระทาํ (Active Voice) เป็น ส่วนมาก แตจ่ ะเขยี นในรปู ทีส่ ิ่งหนึ่งสิ่งใดเป็นผูถ้ กู กระทํา (Passive Voice) และหลีกเลี่ยงการใช้สรรพ นาม ตา่ ง ๆ เชน่ ฉนั เธอ เขา เรา ( I, You, He/She, We) เปน็ ต้น การเขยี นตอ้ งเขยี นใหเ้ ป็นประโยค

126 และอย่ใู นรปู ของ Past Tense ถา้ เปน็ ภาษาไทยต้องบรรยายใหแ้ สดงถงึ ส่ิงท่ีไดก้ ระทําผ่านไปแล้วด้วย หลกี เล่ยี งวลี พยายามไมก่ ลา่ วถึงภูมหิ ลงั ของการกระทาํ และภมู หิ ลงั ของสิง่ ที่อยใู่ นกระบวนการ วิจัย ในตอนนี้ ละเวน้ ข้อมลู ท่ีไม่เก่ยี วข้องกับการวจิ ยั ในตอนน้ีก่อน อยา่ กลา่ วถึงเรือ่ งเดยี วกนั ซ้ําอกี การใช้ แผนภูมิหรือแผนภาพอธบิ ายใหใ้ ช้เม่อื สอ่ื ความดีกว่าและส้นั กว่าคํา บรรยายเท่านนั้ 5. ผลการวจิ ยั (Results) จาํ นวนหนา้ ในตอนน้ีตอ้ งคาํ นวณจากภาพรวมของบทความ ทงั้ ฉบับให้เหมาะสม การเขยี นผลวจิ ัยควรเขียนผลใหก้ ระชบั ตรงตามทคี่ ้นพบ มีตาราง ภาพประกอบ และคาํ บรรยายควรอยใู่ กล้กับตารางหรือภาพทใี่ ชป้ ระกอบ จะยงั ไม่มีการแสดงความคิดเหน็ ประกอบการบรรยายผลวิจยั นําเสนอเฉพาะสงิ่ ทค่ี ้นพบและปรากฏในการวิจยั เท่าน้ัน ไมน่ ําข้อมลู ดิบ มาแสดง ไมน่ าํ วิธีการคํานวณมาแสดง ไมน่ ําเสนอข้อมลู เดยี วกนั มากกว่าหนึง่ คร้งั ควรบรรยาย ตามลําดบั การเกิดผลและตรรกะของการวิจยั มีการลาํ ดับภาพ หรอื ตารางอยา่ งเป็นระบบและมชี ื่อ ตารางหรอื ภาพสําหรบั การกลา่ วถึง ท้ังภาพและตารางตอ้ งมคี วามสมบรู ณ์ในตัวเองใหม้ ากทส่ี ุด ไมอ่ า้ ง ถึงแหลง่ ขอ้ มูลอนื่ ๆ อกี ถ้าไม่มเี หตุผลที่ดพี อ 6. การอภิปรายผลหรือการวิจารณ์ผล (Discussion) ในตอนนอ้ี าจเป็นการสรุปผลและ ขอ้ เสนอแนะต่าง ๆ ทผี่ วู้ ิจยั สามารถนํามาเสนอได้ ตอนน้นี บั เป็นตอนที่ผวู้ ิจยั จะได้แสดงความรู้ ความสามารถ การคดิ วิเคราะห์ และใหเ้ หตุผลกบั ส่ิงท่ีปรากฏในผลการวจิ ัย ความยาวไม่ควรเกิน 5 หนา้ เปา้ หมายของตอนนเ้ี พ่อื การแปลผลจากคา่ สถติ แิ ละอภปิ รายผลทค่ี ้นพบตามที่ผู้ วิจยั ตอ้ งการ เป็นการนาํ สว่ นที่อยู่ภายในตัวของผวู้ จิ ัยมาบรู ณาการกับผลการวิจยั ท่ีเกิด ขน้ึ จากการกระทําซงึ่ อยู่ ภายนอกตัวผู้ วจิ ัย การอภิปรายผลต้องทาํ อยา่ งลึกซ้งึ ท่เี หมาะสมพอควร (Appropriate Depth) หมายถงึ ต้องอธิบายปรากฏการณต์ ามกลไกทใ่ี ช้ในกระบวนการวจิ ัยท่ที ําใหบ้ ังเกิด เป็นผลการวจิ ัยนั้น วา่ ไดม้ ีการ ยอมรบั หรอื ปฏิเสธ สมมตุ ฐิ านหรอื ไม่อย่างไร ผลการวจิ ัยทําใหเ้ กดิ คาํ ถามใหม่หรอื ไม่ มี ข้อสงสัยอยา่ งไรในผลการวจิ ัยเมื่อมีเงอ่ื นไขอ่ืน ๆ เช่น ตวั อย่าง (Samples) ขัน้ ตอน เวลา และ กระบวนการของการวิจัยเปล่ยี นไป เปน็ ต้น การสรุปผลจะทาํ ไม่ไดถ้ า้ งานวิจัยยังไมส่ ําเรจ็ ต้องรอ จนกว่าวิจยั สาํ เรจ็ สมบรู ณ์แลว้ จึงจะสรุปผล การอธิบายเฉพาะผลท่เี กดิ ข้ึนเป็นสาระสําคัญของขั้นตอน น้ี และแสดงใหเ้ ห็นถึงโอกาสทจี่ ะทาํ ให้ผลวจิ ัยเปลีย่ นแปลงได้รวมท้ังถา้ เปน็ การ ทดลองทาง วิทยาศาสตรพ์ ึงแสดงให้เห็นว่าการทดลองคร้งั เดียวไมส่ ามารถตอบคําถาม ได้ทง้ั หมด เปดิ โอกาสให้มี การศึกษาต่อเนอ่ื ง อาจมีการอา้ งองิ ผลงานของผอู้ น่ื หรอื ของผ้วู จิ ัยเองในอดีตทสี่ อดคลอ้ งหรอื ขัด แย้ง กับผลวิจยั ครัง้ นต้ี อ้ งดาํ เนินการอยา่ งเป็นธรรม ความผดิ พลาดทม่ี ักเกดิ ขึ้นในการอภิปรายผลคือ การ ขยายความของผลวิจยั เสียจนมากเกินไปซ่ึงอาจไม่เป็นจรงิ ได้ ทาํ ใหผ้ ลวิจยั ไมน่ ่าเช่ือถือไปดว้ ยทัง้ ๆ ท่ี ผลนนั้ เปน็ ความจรงิ ทเ่ี กิดขน้ึ จากกระบวนการวิจยั กต็ าม ดงั นนั้ ในการอภิปรายผลจงึ ควรเป็นการให้ เหตผุ ลของการเกดิ ผลวจิ ยั ตามกลไกหรอื กระบวนการท่ีใชใ้ นการวจิ ัยน้ันอยา่ งเคร่งครดั จะดีกว่าการ ขยายความจนเกินจริง ได้ 7. การอ้างอิง (Reference) การอา้ งอิงใหใ้ ช้แบบแผนหรอื รปู แบบการอ้างองิ ท่ี วารสารวิชาการนน้ั กําหนด สาํ หรบั ในวารสารภาษาอังกฤษระดบั นานาชาติมีการใช้รูปแบบการอ้างอิง ตามแบบของ APA (American Psychological Association), MLA ( Modern Language Association), AMC (American Medical Association), ACE ( American Chemical Society), CSE (The Council of Science Editors), Turabian and Chicago และอ่นื ๆ รวมทงั้ แบบที่

127 วารสารวชิ าการแตล่ ะฉบับกาํ หนดข้ึนเอง สว่ นในประเทศไทย นน้ั ใช้ตามแบบท่วี ารสารทางวิชาการ เปน็ ผกู้ าํ หนดข้ึนซง่ึ อาจจะอ้างองิ รูปแบบ การอา้ งอิงแบบใดแบบหนง่ึ หรือแบบที่สถานศึกษาใด สถานศกึ ษาหน่ึงใช้เปน็ แนวทางสาํ หรับนกั ศกึ ษาในการเขยี น อา้ งอิง และบรรณานกุ รมเมอื่ มกี ารทํา รายงานหรือทาํ วิทยานพิ นธ์ ความสาํ คญั ของการอ้างอิงนนั้ มีมากเพราะจะทําให้ไมถ่ กู กล่าวหาวา่ ลอก เลยี นผลงาน ของผู้อน่ื หรอื Plagiarism ซง่ึ นอกจากจะเป็นการผิดจรยิ ธรรมของนกั วชิ าการแล้วยงั ผดิ กฎหมาย และอาจมผี ลต่อการพจิ ารณาผลงานวชิ าการเพือ่ เข้าสตู่ าํ แหน่งทางวิชาการดว้ ย คาแนะนาการเขียนบทความวิจัย ใน การเร่ิมเขียนบทความวิจัยน้ัน ผเู้ ขียนจะมีความเหน่ือยลา้ มาจากการทําวิจัยและ การเขยี นรายงานการวิจัยฉบับ สมบูรณอ์ ยูแ่ ลว้ แมบ้ างท่านอาจจะยังไม่ได้เขยี นรายงานการวจิ ยั ฉบับ สมบูรณ์เสร็จสน้ิ ก่อนการ เขยี นบทความวจิ ยั เพือ่ การพิมพ์เผยแพรก่ ็ตาม แตข่ อให้พึงระลึกเสมอว่าการ เผยแพรผ่ ลงานเป็นขั้นตอนหน่งึ และเปน็ ภารกจิ ทีส่ าํ คญั ของการทาํ วิจยั ให้เสรจ็ ส้ินสมบรู ณ์ และความ กงั วลน้จี ะมมี ากสําหรบั ผ้ทู ีเ่ รมิ่ ทําวิจยั และต้องเขยี นบทความวิจยั เพื่อพมิ พเ์ ผยแพรใ่ น วารสารวชิ าการคําแนะนําสําหรับนักวิจยั ใหม่มดี ังนี้ 1. นับตั้งแตเ่ ริ่มตน้ ทีจ่ ะทําวจิ ัย และในระหว่างทําการวจิ ัยให้เกบ็ ขอ้ มูล และบันทกึ เรอื่ งราว และเหตุการณใ์ นการดําเนนิ การวจิ ยั ไว้ให้ครบถ้วน ทงั้ ดว้ ยการเขียนจดบันทกึ การบันทึกเสียง การ บันทึกเป็นภาพถ่าย หรือ วดี ีทัศน์ มีการระบุวันท่ี เวลา และสถานทใี่ หค้ รบถ้วนทุกครง้ั ทม่ี กี ารบนั ทึก 2. นําสิง่ ทบ่ี นั ทึกไว้มาเรียงลําดับตามวัน เวลา ท่ีเกิดข้ึน หรือตามข้ันตอนของการทําวจิ ยั 3. นํารายงานการวจิ ัยฉบับสมบรู ณม์ าอา่ นและทาํ ความเข้าใจให้ละเอยี ด จะเปน็ การดมี าก ถา้ ท่านมีรายงานการวจิ ยั ฉบับสมบรู ณ์เรยี บร้อยแลว้ เพราะจะทาํ ใหท้ า่ นทราบภาพรวมของงานวิจยั ทัง้ หมด 4. เขยี น Outline หรอื โครงร่างทป่ี ระกอบดว้ ยหัวขอ้ ตา่ ง ๆ สําหรับที่จะเขียนในบทความ วจิ ยั 5. คน้ หาแหลง่ อ้างองิ และทาํ การบนั ทกึ ไว้สําหรับการเขียนในหัวขอ้ ต่าง ๆ เพอ่ื หลกี เลยี่ ง การลอกเลยี นผลงานผอู้ ืน่ หรือ Plagiarism 6. ดาํ เนนิ การเขยี นตามหัวขอ้ ในโครงรา่ งและเขียนตามขอ้ แนะนาํ ในแต่ละตอนจาก บทความ น้ีด้วยภาษาและสํานวนการเขยี นของตนเองจากความเขา้ ใจในองค์รวมของงานวจิ ยั อย่างดี แล้ว 7. เม่ือเสรจ็ แลว้ นําไปพมิ พ์ต้นฉบับแล้วพักท้ิงไวไ้ ม่น้อยกว่า 2 วนั แตไ่ มค่ วรเกิน 5 วนั ใช้ เวลาที่พักน้นั คดิ วเิ คราะห์ถงึ การนําเสนอข้อมลู ในส่วนตา่ ง ๆ แตล่ ะตอนในบทความวิจยั 8. กลับมาเพิ่มเติม แกไ้ ข ตัดท้งิ ปรับปรงุ สว่ นต่าง ๆ จนเห็นว่าได้ทาํ อยา่ งเหมาะสมและดี ทส่ี ดุ แล้ว 9. ใหผ้ ู้อ่ืนทอ่ี ยใู่ นกลมุ่ พวกเดยี วกนั (Peer) อา่ นบทความวิจัยนี้ก่อน และขอความเห็นเพ่อื การปรบั ปรุง จากน้นั นาํ มาปรับปรุงแก้ไข ขยายความหรือคงไว้ตามทผ่ี วู้ ิจยั เห็นสมควร และเตรยี มการ ช้ีแจงป้องกนั ในประเดน็ ปญั หาทอ่ี าจเกดิ ข้ึนเมอ่ื บทความวิจัยได้ รับการพมิ พเ์ ผยแพรแ่ ลว้

128 10. ตรวจความถกู ต้องของต้นฉบบั ในดา้ นรปู การพมิ พ์ การอา้ งอิง ความชดั เจนหรอื คณุ ภาพ ของภาพประกอบและตารางตามแบบตามท่วี ารสารวิชาการกาํ หนด รวมท้งั การใช้คํา ตวั สะกด และ ไวยากรณ์