ภมู ิปญั ญาโคมลา้ นนา
ท่มี า : https://travel.kapook.com/view232322.html โคมลา้ นนา การจุดโคมประทีปมีวิวัฒนาการและความเป็นมาท่ียาวนานตั้งแต่ครั้งโบราณกาล ซึ่งมีความเช่ือมโยง ระหว่างศาสนาพราหมณก์ บั พระพุ ทธศาสนา ทงั้ นี้เพื่อแสดงใหเ้ ห็นถงึ ความศรทั ธา ความเป็นสิรมิ งคล การสรา้ งแสงสว่างใหก้ บั สถานที่ และเป็นสง่ิ ประดบั ตกแตง่ สรา้ งความสวยงาม แต่เดิมประเพณกี ารจุดโคมจะทาข้นึ เฉพาะในบ้านของเจา้ นายหรอื ผ้มู อี ันจะกินเทา่ นนั้ โดย จะใช้ประทีปหรือเทียนจุดให้เกิดแสงสว่างแล้วนาไปใส่ไว้ในโคม หรือใช้ประทีปท่ีมีลักษณะเป็นประทีปเล็ก ๆ แล้วใช้น้ามันงา น้ามันละหงุ่ หรือน้ามันมะพร้าวใส่ไปยังถ้วยดิน เพื่อให้ไฟติดไส้ที่อยู่ตรงกลางถ้วยหรือประทีป ตามปกติการจุดโคมทากันในวันพระแต่จริง ๆ แล้ว การจุดโคมสามารถจุดได้ทุกวันโดยไม่จากัดเวลาและโอกาส หรือท่ีเรียกกันตามภาษาธรรมว่า “อกาลิโก” ซ่ึงก็แล้วแต่ความพอใจหรือ ความสะดวก เมื่อจุดแล้วจะนาไปแขวนตามชายคาหน้าบ้านให้เป็นท่ีสวยงามและเพื่ อเปน็ การบูชาเทพาอารักษ์ผู้รักษาหอเรือน การ ประดิษฐ์โคมมีเหตุผลอยู่ด้วยกัน ประการแรกคือเพื่ อเป็นพุ ทธบูชา เพื่ อความสวยงาม เพ่ื อเพิ่ มความสว่างไสวให้กับตัวอาคาร บ้านเรือน และเพ่ือเป็นสิรมิ งคลแก่เจ้าของบ้าน ต่อมาชาวนาได้ประยุกต์โคมไฟให้มีรูปแบบการใช้งานท่ีหลากหลายมากขึ้นโดยนาโคมไฟ มาประดิษฐ์เพื่อใช้ในเชิงศาสนา และบูชาพระพุ ทธเจ้าในชว่ งประเพณยี ี่เป็งของชาวล้านนา โดยถือว่าโคมนั้นเปน็ ของสูงที่แสดงถึงแสง สว่าง รุ่งโรจน์ซึ่งตามตานานในคัมภีร์พระธรรมเทศนา อานิสงค์ผางผะติ้ด (ประทีป) ผู้ใดทาโคมไปบูชาในวันเดือนย่ีเป็งตามประเพณี ดงั้ เดิมจะได้รบั ผลบญุ ต่างๆ ท่ีทาใหช้ วี ิตร่มเย็นเป็นสขุ แบง่ ออกเป็น 4 ประเภท ไดแ้ ก่ โคมถือ โคมแขวน โคมต้งั และโคมลอย
ท่มี า : http://baifernfengfeng.blogspot.com/2014/07/blog-post_2479.html ภมู ิปัญญาตุงลา้ นนา
ตุงลา้ นนา การศึกษาช่อและตุงในภาคเหนือเป็นงาน ประดิษฐ์และสร้างสรรค์ทางศิลปะ เป็นภูมิปัญญาเชิงช่างท่ีช่างได้ ใส่จิตวิญญาณแห่งความเคารพและความศรัทธาลงไปในผืนตุง โดยมีนัยทางพุ ทธปรัชญาแฝงเร้นอย่างลึกซึ้งและละเอียดอ่อน เป็นสายใยรักท่ีเช่ือมต่อกันระหว่างโลกนี้กับโลกหลังความตายท่ี เน้นย้าให้ลูกหลานได้สานึกถึงรากเหง้าเผ่าพันธ์ุของตน ตามความ เช่ือคติพุ ทธศาสนาหลอมรวมกับคติความเชื่อเรื่องภูติผีวิญญาณ ในธรรมชาติ ความเช่ือเรื่องการบูชาผีบรรพบุรุษ คือผีปู่ย่า ต่อมา จึงกลายเป็นการดาเนินชีวิตแบบวิถีพุ ทธนับถือผีเป็นการผสานคติ ถือผีกับพุ ทธเข้าด้วยกันอย่างสอดคล้องกลมกลืน เกิดเป็นจารีต เฉพาะถิ่นตามพิธีกรรมของชาวล้านนาชอ่ และตุง มีความสาคัญกับ ศาสนา โดยจะเห็นไดว้ ่าตุงเข้ามามีบทบาทในพิธกี รรมความเชอ่ื ตาม แนววิถีพุ ทธที่ถูกปลูกฝังมาอย่างช้านาน ตุงจึงเป็นวัตถุทานและ เป็นเครื่องสักการะท่ีถวายเป็นพุ ทธบูชา ซึ่งจุดมุ่งหมายของการ ทานตงุ มดี งั น้ี 1. เพื่ อถวายเป็นพุ ทธบูชา สืบอายุพระพุ ทธศาสนาให้ยืนยาว โดย คนล้านนาถือว่าตุงเป็นเคร่ืองสักการะและอยู่ในเครื่องมหาทาน เสมอ การประดิษฐ์และตกแต่งตุงไม่ว่าจะทาด้วยวัสดใุ ด ๆ ล้วนทา ด้วยจิตศรัทธา มีความมุ่งมั่นท่ีจะทาให้ออกมาดีที่สุด ประณีตและ สวยงามท่สี ุดเท่าทคี่ วามรคู้ วามสามารถมอี ยู่ 2. เพ่ืออุทิศถวายเป็นอานิสงส์ให้กบั ตนเองและผทู้ ี่ยังมีชีวติ อยใู่ หม้ ี โชคลาภไม่มีโรคภัย มีความสุขความเจริญ คือสุขในโลกมนุษย์ สวรรคแ์ ละถึงนพิ พาน 3. เพื่ออุทิศถวายใหก้ บั พ่อแม่ ญาติพี่น้องท่ีล่วงลับให้พ้นจากทุกข์ และไปสู่โลกทด่ี ีได้ ที่มา : http://huaisan.rmutl.ac.th
หัตถกรรมตีดาบบ้านขามแดงภูมปิ ญั ญาช่างตีดาบในตานาน สล่าบญุ ตนั ครภู มู ิปญั ญาการตีมีดบา้ นขามแดง เป็นเวลาหลายสิบปีที่เสียงตีเหล็กดังกึกก้องไปทั่วหมู่บ้าน บอกเล่าเร่ืองราวตานานของลูกผู้ชายผู้มีจิตวิญญาณและ ทีม่ าภาพ : Chiang Mai News ความกล้าหาญในการทามีดแหง่ บ้านขามแดง อาเภอห้างฉัตร จังหวัดลาปาง หมู่บ้านขามแดงไดช้ ื่อว่าเป็นหมูบ่ า้ นที่ข้นึ ชื่อในการ ทามีดโบราณและอาจจะกล่าวได้เป็นหมู่บ้านเดียวของจังหวัดลาปางท่ียังคงเอกลักษณ์การทามีดแบบโบราณท่ีสืบทอดมาจาก บรรพบุรุษนับครง่ึ ศตวรรษ บอกเล่าถึงเรอ่ื งราวตานานของลูกผู้ชายผูม้ ีจิตวิญญาณและความกลา้ หาญในการทามีดแห่งบา้ นขาม แดง อาเภอหา้ งฉัตร จงั หวัดลาปาง ชอ่ื เสียงและฝมี ืออันขึน้ ช่อื ในการทามีดได้ขจรขจายไปในหมู่คนรักมีด จนทาให้หมู่บ้านแห่งนี้ กลายเป็นแหล่งผลิตมีดที่ผู้คนต่างถิ่นเดินทางเข้าออก และมาเลือกหาซ้ือมีดฝีมือเลิศไม่เว้นในแต่ละวัน มีดท่ีตีจากเตาบ้านขาม แดงถือได้ว่าเป็นฝีมอื ชัน้ บรมครู ดว้ ยความปราณตี บรรจง จงึ ทาใหม้ ดี ทท่ี าจากบา้ นขามแดงได้รับความนยิ มในหมชู่ าวต่างประเทศ เปน็ จานวนมาก โดยเฉพาะชาวญีป่ ่นุ ถึงกนั ลงทนุ เดินทางข้ามน้าข้ามทะเลเพ่ือมาขอให้ทามีดซามไู ร นอกจากมีฝีมือข้ึนช่ือในการทามีดซามูไรแล้ว ครูภูมิปัญญาอย่างสล่าบุญตัน สิทธิไพศาล ครูภูมิปัญญาด้านการตีมีด แห่งบ้านขามแดงยังมีฝีมือในการทามีดโบราณอย่างตระกูล โบว่ี ,บูมา ,ชิปไฟท์เตอร์ ท่านเริ่มฝึกหัดตีมีดต้ังแต่อายุ 13 ปี ประมาณปี พ.ศ. 2507 กับพ่อซึ่งเป็นตระกูลท่ีสืบทอดการตีดาบจากบรรพบุรุพมาตั้งแต่อดีต โดยพ่อของสล่าบุญตันเป็นผู้ ถ่ายทอดให้ แรกเร่ิมในการฝึกท่านได้ตีดาบก่อน จากน้ันท่านจงึ หนั มาตีมดี อีโต้ มีดทาครัวร่วมดว้ ยทาให้ไมไ่ ด้ตดี าบแบบต่อเนอื่ ง ท่านเล่าให้ฟังว่าดาบที่นิยมกันในสมัยก่อนจะเป็นดาบทรงใบข้าว และทรงว้ายลาปาง ซื้อขายกันคิดเป็นกามือ กาละ 1 บาท ใชเ้ หล็กองั กฤษหรือเหล็กหัวแดง หรือเหลก็ K99 จากนน้ั ก็ใชเ้ หล็กแหนบในการตีดาบ ต่อมาพ่อสล่าบุญตันยึดการตีมีดเป็นหลัก ตั้งแต่ปี พ.ศ.2557 พ่อสล่าตันได้กลับมาเร่ิมตีดาบอย่างจริงจังอีกคร้ัง โดย การส่งเสริมของอาจารย์พงพรรณ เรือนนันชัย เข้ามาร้ือฟื้นปรับปรงุ รปู แบบ ท้ังทรงดาบ ทรงใบง้าว จนทาให้เร่ิมเป็นที่รู้จกั ของ กลุ่มคนท่ีสนใจดาบเมืองจนถึงทุกวันนี้ ปัจจุบันการทามีดของบ้านขามแดงส่วนใหญ่จะส่งตลาดต่างประเทศหรือไม่ก็จะมีลูกค้า เดินทางมาซ้ือเอง ส่วนคนไทยจะให้ความสนใจน้อยมากจะมีเฉพาะกลุ่มคนที่รักมีดเท่าน้ันท่ีมาหาซื้อมีด สนนราคาก็ตกนิ้วละ ประมาณ 300 บาท การทามดี ในแต่ละวันไม่เหมือนกนั วันไหนทต่ี ีมดี ธรรมดาก็จะไดม้ ีกมากหน่อยประมาณวนั ละ 10 เลม่ ขน้ึ ไป ถ้าวันไหนทามีดท่ียากมีความละเอียดก็จะได้น้อยตกวันละ 5 เล่ม เป็นต้น แต่ถ้าวันไหนตีมีดซามูไรก็ใช้เวลาในการทาประมาณ 2 สปั ดาห์จงึ จะแลว้ เสร็จ
ภูมิปัญญา (local wisdom) ด้านอัตลกั ษณ์พ้ื นท่ี โดยเป็นการนาเสนอภูมิปัญญาท้องถน่ิ ใน วตั ถุ และวถิ อี ันมที ม่ี าจากลักษณะเฉพาะท่ีสาคัญของเมือง มคี วามโดดเดน่ มปี ระวัตศิ าสตร์ความเป็นมา หรือการพั ฒนาท่ีสาคัญในอดีตของเมือง และแสดงออกถึงเอกลักษณ์หรือส่งเสริมการรับรู้ถึงอัต ลกั ษณท์ ีส่ าคัญของเมอื ง สามารถเช่อื มโยงสูก่ ารต่อยอดพัฒนาในมติ ติ า่ ง ๆ ทั้งทางสังคม วัฒนธรรม และเศรษฐกจิ ของเมอื งตอ่ ไปได้ สาหรับในการศกึ ษาครัง้ น้ี ไดม้ กี ารกาหนดภูมปิ ัญญาอตั ลักษณ์พื้นท่เี พ่ือการนาเสนอ ประกอบดว้ ย เซรามิก ภมู ปิ ญั ญาท้องถน่ิ สู่อุตสาหกรรมเศรษฐกจิ ระดับโลก วิถีชีวิต (วถิ มี า้ ภูมปิ ญั ญาท่มี าพร้อมกับ ความทันสมัยและความรุ่งเรืองของนครลาปาง และวิถีช้าง) ครั่ง เกษตรเศรษฐกิจกับความเช่ือมโยง ทางภมู ปิ ญั ญา และ โป่งขา่ ม ภมู ปิ ญั ญาแหง่ ความเชื่อและความงามแห่งหนิ แกว้ ธรรมชาติ
ที่มา : https://www.geukma.com/7156/ ภมู ปิ ญั ญาเซรามิคลาปาง
เซรามิคลาปาง จังหวัดลาปางเนื่องจากมี \"ดินขาว\" หรือ \"เกาลิน\" คือดินที่มี สีขาวหรือสีซีจาง ท้ังในสภาพท่ียังไม่ได้เผาและเผาแลว้ คาว่า เกาลิน มาจากภาษาจีนหมายถึงภูเขาสูงที่เป็นแหล่งเกิดดินขาวใน ประเทศจีน ดินขาวลาปางมีแหล่งสาคัญอยู่ที่ อาเภอแจ้ห่ม เป็นดินที่เกิด จากการสลายตวั ของหนิ ฟนั ม้า ซึ่งสามารถนามาทาเน้อื เซรามิค ไดท้ นั ทโี ดย ไม่ต้องเติมวัตถุดิบอ่ืนลงไปอีก ผู้เช่ียวชาญวิเคราะห์ออก มาว่าดินขาว ลาปางอยู่ในตระกูลเดียวกับหินโทเซกิ ของญี่ปุ่น ในกลุ่มอุตสาหกรรม ซารามิคเรียกกันว่า ไชน่าสโตน เมื่อเผาท่ีอุณหภูมิสูงภถึง 1,300 องศา เซลเซียส จะได้เนื้อผลิตภัณฑ์พอร์ซเลน สีขาว แกร่ง ทนไฟสูง เหมาะแก่ การทาถ้วยชามต่างๆ คนค้นพบดินขาว ท่ีนามาทาถ้วยชาม ก็คือ อาปาอี้ (ซิมหยู) แซ่ฉิน ซึ่งอพยพหนี ความยากจนจากจีนมา ในช่วงสงครามโลก คร้ังที่ 1 โดยไปอยู่กับพี่ ชายท่ีเวียดนาม ก่อนจะอพยพมาอยู่ที่ธนบุรี ในปี 2490 อยไู่ ด้ 3 ปี ก็ยา้ ยตามเพื่อนขนึ้ มาทาสวนผกั อยู่เชียงใหม่ ดว้ ยความ ท่ีที่บ้านเกิดในมณฑลกวางตุ้งก็ทาเซรามิค และทาไร่อยู่แล้ว พอไปเห็นหิน ลับ มีดท่ี ชาวบ้าน นามาขายก็ดูออกว่าเป็นแร่ดินขาว สอบถามคนที่นามา ขายถึงได้รู้ว่ามาจาก อ.แจ้ห่ม จ.ลาปาง อาปาอ้ี จึงป่ ันจักรยานไป ตามหา แหล่งแร่ ดินขาว พบท่บี า้ นปางคา่ อ.แจ้หม่ จากนนั้ ไดจ้ า้ งเกวยี นบรรทกุ แร่ ดินขาวออกมา แล้วนาข้ึนรถไฟกลับมาบ้านทดลองป้ ันถ้วยชาม ปรากฏว่า ดินที่ได้มาเป็นเน้ือดินขาว คุณภาพดี เผาที่อุณหภูมิสูงไม่มากเหมาะสาหรบั ก า ร ป้ ั น ถ้ ว ย ช า ม ต่ อ ม า ก็ ไ ด้ ชั ก ช ว น เ พื่ อ น ช า ว จี น ก่ อ ตั้ ง โ ร ง ง า น เครื่องป้ ันดินเผาแห่งแรกขึ้นท่จี ังหวัดลาปาง คือ โรงงานร่วมสามัคคี เมื่อ ปี 2500 ท่มี า : https://www.geukma.com/7156/
ช่วงท่ีผลิตชามไกช่ ่วงแรก ๆ ซ่ึงไม่ได้มเี ครื่องจกั รอะไร ทุกอยา่ ง ต้องใช้แรงคนหมด รวมถงึ ใช้เตาเผามงั กร เปน็ เตาเผาแบบยาว ซง่ึ เผาชาม ไก่ได้ถึง 5,000-8,000 ใบต่อเตา และเผาถ้วยขนมและถ้วยตะไลได้ถึง 2 ห มื่ น ใ บ ต่ อ เ ต า แ ม้ โ ร ง ง า น ร่ ว ม ส า มั ค คี จ ะ เ ลิ ก กิ จ ก า ร ไ ป แ ต่ ง า น เครื่องป้ ันดินเผาของอาปาอ้ี สืบทอด สู่ทายาทรุ่นที่ 2 ภายใต้ช่ือโรงงาน ธนบดีสกุล ยุคน้ันชามไก่ขายดี มาก ๆ ส่วนใหญ่ ขนาด 5-6 นิ้ว จะใช้กัน ตามบ้านหรือข้ึนโต๊ะข้าวต้มผู้ดี ส่วนชาม ขนาดใหญ่ข้ึน คือ 7-8 น้ิว มักจะ เป็นชามท่ีพวกใช้แรงงานนิยมใช้ เพราะกินจุ แต่มาถึงสมัยน้ี รูปแบบของ ถ้วยชาม ตลอดจนลวดลายมีการ พั ฒนา ไปมาก มีมากมายหลายขนาด รวมถึงการใช้ เคร่ืองจักรเข้ามาช่วยผลิตถ้วยชาม นอกจากผลิตเพ่ื อเป็น ภาชนะในครัวเรือนแล้ว ยังใช้เป็นเคร่ืองประดับ ตกแต่ง ไปจนถึงของ สะสมไดอ้ ีกด้วย ที่มา : https://ambiente.messefrankfurt.com/ frankfurt/en/exhibitor- search.detail.html/quality-ceramic-co-
ท่มี า : https://shopee.co.th/แก้วตราไก-่ i.121763812.1856863007
ภมู ิปญั ญารถมา้ ลาปาง
รถม้า เป็นสัญลักษณ์หรือเอกลกั ษณ์อีกหน่ึงอย่างของนครลาปางซ่ึงเปน็ ยานพาหนะในการเดินทางของยุคสมัยก่อน โดยมีท่ีมาจาก เดิมรถม้า เข้ามาในประเทศไทยคร้ังแรกในสมัยรัชกาลท่ี 4 ต่อมาเม่ือสมัยรัชกาลท่ี 5 ทรงส่ังรถม้าเข้ามาเป็นจานวนมากเพ่ื อใช้เป็นรถหลวง กระท่ังรถยนต์เร่ิมเข้ามามี บทบาท รถม้าจึงได้ถูกกระจายออกจากกรุงเทพฯ และในช่วง พ.ศ.2458 ได้มีการวางรางรถไฟขึ้นมาจนถึงลาปาง รถม้าจึงมีบทบาทสาคัญด้วยการเป็น ยานพาหนะรับส่งผู้โดยสารจากสถานีรถไฟจังหวัดลาปางเข้าสู่ตัวเมือง โดยมีรถม้าคันแรกของจังหวัดลาปางเป็นของเจ้าบุญวา ทย์วงศ์มานิต เจ้าผู้ครอง นครลาปาง หลังจากนั้นรถม้าจึงเริ่มมีแพร่หลายทั้งในลาปางและตามเมืองหลกั ตา่ ง ๆ แต่เมื่อเวลาผ่านไปความเจริญของเทคโนโลยีการคมนาคมทาให้รถมา้ ค่อยๆเลือนหายไป เหลือแต่เพี ยงที่จังหวัดลาปางเท่าน้ันท่ียังคงใช้รถม้าเป็นยานพาหนะอยู่มาจนปัจจุบัน และเป็นท่ีนิยมสาหรับนักท่องเท่ียวท่ีมาเที่ยวใน จงั หวัดลาปาง อาจกล่าวไดว้ ่ารถมา้ นนั้ ในปัจจบุ นั ได้เปน็ ยานพาหนะสาหรบั ใช้เพ่ือการทอ่ งเท่ยี วประจาจงั หวัดลาปาง
รถมา้ ลาปาง จุดกาเนิดรถม้าเมืองนครลาปางมีการ อธบิ ายของนักวิชาการต่าง ๆ เป็น 4 แนวทาง 1. สมัยเจ้านรนันทไชยชวลิต คาร์ลบล็อกแห่งสวีเดนบันทึกว่า น่ังรถ ม้าเทียมคู่สมัยเจ้าหลวงนรนันทไชยชวลิต ขับโดยอุปราชเมืองเม่ือ พ.ศ. 2424 ต่อมาเม่ือรถไฟมาถึงนครลาปาง พร้อมขยายโครงการ ทางหลวงเชื่อมเชยี งแสน พ.ศ. 2459 กรมรถไฟจึงได้ระบายรถมา้ ใน กรุงเทพฯ เพ่ือเชื่อมการคมนาคมระหว่างสถานีรถไฟกับทางหลวงใน นครลาปาง จนกลายเปน็ กิจการรถมา้ สาธารณะรบั จ้าง 2. สมัยเจ้าบุญวาทย์วงษ์มานิต (พ.ศ. 2400-65) เจ้าผู้ครองนคร ลาปางคนสุดท้าย นารถม้าคันแรกเข้ามาใช้เป็นการส่วนตัว ตั้งแต่ พ.ศ. 2450 โดยวา่ จ้างแขกปากสี ถานเป็นสารถีและดแู ลมา้ ตอ่ มาแขก คนดังกล่าวได้ชักชวนเพื่ อนซ้ือรถม้ามาทาเป็นรถม้าแท็กซี่ในลาปาง ภายหลังได้ว่าจ้างชาวบ้านเมืองนครลาปางเป็นสารถี พร้อมท้ัง ฝึกสอนให้คนเมืองนครลาปางรู้จักขับรถม้าและเลี้ยงดูม้า ก่อนจะขาย กจิ การรถม้าใหค้ นทอ้ งถิน่ เป็นผู้ดาเนินกจิ การ 3. สมัยบริษทั ต่างประเทศเข้ามาดาเนินกิจการป่าไม้ ชาวตะวันตกทเี่ ข้า มาดาเนินกจิ การป่าไมม้ ฐี านะ เคยชนิ ความสะดวกสบายเป็นวัฒนธรรม ของตนเอง จึงนารถม้าเข้ามาเป็นพาหนะเพื่ ออานวยความสบายแก่ ตนเอง และแสดงความมีฐานะทางสังคม ความนิยมนี้ไดข้ ยายส่สู ังคม เจา้ นายชน้ั สูง และกลมุ่ ผู้มีอันจะกนิ ในเมืองนครลาปางในระยะต่อมา 4. สมัยรถไฟมาถึงเมืองนครลาปาง รถม้าลาปางกาเนิดขึ้นพร้อมๆ กับการเปิดเดินรถไฟสายเหนือ ถึงสถานีรถไฟนครลาปาง ในวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2459 ซ่ึงตรงกับยุคสมัยของเจ้าบุญวาทย์วงษ์มานิต เปน็ ผู้ครองนครลาปาง ซึง่ ในวันนนั้ ยงั มีการเปิดทางหลวงสาย 3
เชื่อมทางรถไฟจากสถานีนครลาปางไปเมืองเชียงราย เชียงแสน มณฑลพายัพ ซ่ึงทาให้เกิดบริการรถม้าสาธารณะ หรือรถม้าแท็กซี่ รับจา้ งบนเสน้ ดงั กล่าว โดยแหล่งรถมา้ ลาปางท่ีสาคัญอยู่ทบี่ า้ นเชียงราย หรอื บา้ น สิงห์ชัย แต่ปัจจุบนั แหล่งใหญ่อยู่บรเิ วณบ้านวังหม้อ ตาบลต้นธงชัย อาเภอเมืองลาปาง มีท้ังโรงฝึก โรงเลี้ยงม้า โรงงานประกอบรถม้า จาหนา่ ย นอกนนั้ กอ็ ยกู่ ระจัดกระจายตามทตี่ ่างๆ บา้ นประตมู ้า บา้ นศรี บญุ เรือง บ้านนากว่ มเหนือ-ใต้ ฯลฯ ร ถ ม้ า เ ป็ น พ า ห น ะ ส า คั ญ ห น่ึ ง ข อ ง ค น เ มื อ ง น ค ร ล า ป า ง นอกจากเกวียน รถม้าแท็กซ่ียังรับส่งผู้โดยสารระหว่างชุมชนต่างๆ ภายในเมืองกับย่านบริเวณการค้าสถานีรถไฟสบตุ๋ย จนกลายเป็น ส่วนหน่ึงของชีวิตประจาวันของคนเมืองนครลาปาง ภายหลัง สงครามโลกครั้งท่ี 2 และการใช้แผนพั ฒนาเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาติ ฉบับที่ 1 (พ.ศ. 2504-09) ความเจริญแบบเมืองใหญ่ก็มา พร้อมกับถนนสายหลักอย่างถนนพหลโยธิน ก็ทาให้วิถีชีวิตเปลี่ยนไป จากเดิมรถม้าแท็กซ่ีท่ีมีผู้นิยมใช้ลดน้อยลง ขณะท่ีภาวะเศรษฐกิจและ ค่าครองชีพท่ีสูงข้ึน รถม้าแท็กซ่ีก็ต้องปรับราคาตามสภาพ จานวน ผใู้ ช้รถมา้ ก็ยงิ่ น้อยลง สุดท้ายรถม้าแทก็ ซ่กี ต็ ้องเปลีย่ นบทบาทเปน็ รถ ม้าบริการนักท่องเที่ยว ซึ่งที่อ่ืนไม่มี เป็นลักษณะเฉพาะของลาปาง จนกลายเปน็ คาขวญั ของเมอื งไปในทส่ี ดุ
ลักษณะท่ัวไปของรถม้าในนครลาปางนั้นเป็นรถแบบเปิดประทุน ท่ีน่ังผู้โดยสารคล้ายคลึงกับที่น่ังของจักรยาน สามลอ้ แต่มขี นาดใหญ่กว่า อยูท่ างตอนหลังของท่ีนัง่ คนบังคบั ซึง่ มีระดบั สูงกวา่ เล็กน้อย นั่งได้คนั ละไม่เกนิ 4 คน สถานีรถม้า ของจังหวัดลาปางอยู่ตรงข้ามสถานีตารวจภูธร อาเภอเมืองลาปาง บนถนนบุญวาทย์ ฝ่ ังเดียวกับศาลากลางจังหวัดหลังเก่า นอกจากน้ยี ังมสี มาคมรถมา้ ท่มี ีสมาชกิ รวมแลว้ ประมาณกวา่ 100 คัน ทางสมาคมจะคอยดแู ลและสง่ เสรมิ อนุรักษ์และฟ้นื ฟู รถม้า ให้คงอยู่ และทางสมาคมก็มีการตั้งราคาค่าบริการสาหรับนักท่องเที่ยวที่มาใช้บริการรถม้าคือให้บริการรอบเมืองรอบใหญ่ ราคา 200 บาท เส้นทางจะผ่านแมน่ ้าวัง ชมบ้านโบราณเก่าๆ สะพานแขวน และสถานท่สี าคญั อกี หลายที่ ส่วนรอบเมืองรอบเลก็ ราคา 150 บาท จะใช้เส้นทางเดียวกับรอบใหญ่แต่จะว่ิงในระยะใกล้กว่า ถ้าเป็นรายชั่วโมงจะคิดชั่วโมงละ 300 บาท สามารถแวะชมวดั โบราณตา่ ง ๆ หรอื สถานทที่ ีต่ อ้ งการแวะชมได้ ซง่ึ ราคานเี้ ปน็ ราคามาตรฐาน
ก๋องปจู า ดุริยศิลปท์ ี่โดดเดน่ และเปน็ เอกลักษณ์ของเมอื งลาปาง ประเพณตี ีก๋องปู่จา กลองศักดิ์สทิ ธิ์แห่งดนิ แดนล้านนาลาปาง เป็นเร่ืองราวการเรียนรู้ การฟ้ืนฟู และส่งเสริมวัฒนธรรม การแข่งขนั ตีก๋องปูจา หนงึ่ ในอัตลกั ษณ์ของเมอื งลาปาง ของท้องถิ่น ท่ีนับวันจะเลือนหายไปจากความทรงจาของผูค้ นให้กลบั มามชี ีวติ ใหม่ได้ ซึ่งก๋องปู่จา หรือกลองบูชาน้ัน แต่เดิมใช้ตเี พ่ือ ทีม่ าภาพ : SSK News TV Online ปลกุ ขวัญกาลงั ใจทหารก่อนทจ่ี ะออกรบกบั ศัตรผู ู้รกุ ราน และยังเป็นกลองทที่ าขึ้น ถวายวดั เพอื่ เป็นพทุ ธบูชาตาม ความเช่ือของคน พื้นถิ่นเหนือท่ีว่า เสียงกลองจะดังไปถึงสวรรค์ช้ันฟ้า เพ่ือให้บรรดาเทพยดาท้ังหลาย เป็นสักขีพยานในการทาบุญทุกครั้ง วัดใน ดินแดนล้านนาจึงมกี ๋องปู่จา ติดตั้งอยู่ในหอกลองทุกวดั ต่อมาเมอื่ สงั คมสงบสุข ก๋องปู่จาจึงได้ถูกใช้เปน็ สัญญาณบอกเหตุต่าง ๆ ใน ชุมชน เช่น เหตุไฟไหม้หรือมีเหตรุ ้ายเกิดข้ึน นัดประชมุ บอกกล่าว หรือใช้ในพิธีการทางศาสนาว่าวนั รุ่งขึน้ จะเปน็ วันพระ หรือตเี พอื่ ถวายเป็นพุทธบูชาพระรัตนตรัยและองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหลังจากพระสวดเทศนาธรรมในวันพระทั้งนี้ขึ้นอยู่กับองค์ ความรู้และศิลปวัฒนธรรมของแต่ละท้องถิ่น ซ่ึงประเพณีตีก๋องปู่จาน้ัน จังหวัดลาปางได้จัดเป็นประเพณีที่ชาวลาปางได้ร่วม อนุรักษ์ฟื้นฟูโดยความร่วมแรงร่วมใจทุกภาคส่วนในจังหวัดลาปาง ประเพณีตีก๋องปู่จาถือเป็นประเพณที ้องถิ่นดั้งเดิมท่ีมีคุณค่าของ จงั หวัดลาปาง ซ่งึ สานกั งานวฒั นธรรมจังหวัดลาปาง สภาวัฒนธรรมจงั หวดั ลาปาง สภาวัฒนธรรมอาเภอเครอื ข่ายวฒั นธรรม จังหวดั ลาปาง และบริษัท ปตท. จากัด (มหาชน) ได้ร่วมกันจัดงานอนุรกั ษ์ก๋องปู่จาตั้งแต่ปีพ.ศ. ๒๕๔๔ เป็นต้นมา เป็นระยะเวลาต่อเนือ่ ง ๒๐ ปี โดยสานักงานวัฒนธรรมจงั หวัดลาปางได้รว่ มมือกับภาคเอกชนคือ ปตท. ท่ีร่วมกนั จดั กจิ กรรมกอ๋ งปู่จาข้นึ มา นอกจากนยี้ งั มีการจัดสร้างโฮงก๋องปจู่ าปี พ.ศ. ๒๕๕๐ ซึ่งปตท.โดยหน่วยธุรกิจน้ามัน ได้สนับสนุนการก่อสรา้ ง \"โฮงก๋องปู่จาเขลางค์นคร\" โดย นาก๋องปูจาจานวน ๙ ชุด ที่ได้มอบให้แก่จังหวัดลาปางเม่ือ พ.ศ. ๒๕๔๗ มาเก็บรักษาไว้ที่ \"โฮงก๋องปู่จา เขลางค์นคร\" ณ วัดพระ เจดีย์ซาวหลัง อาเภอเมืองลาปาง จังหวัดลาปาง ซึ่งภายในอาคารหรือโฮงก๋องนี้ยังได้มีการรวบรวมองค์ความรู้ที่เก่ียวข้องกับ ประเพณีการตีก๋องปู่จา โดยถ่ายทอดผ่านภาพวาดจิตรกรรมฝาผนังท่ีผ่านการระดมความคิดจากครูกลองผู้เช่ียวชาญ ปราชญ์ ชาวบา้ น ครภู มู ปิ ัญญาท้องถ่ิน ตลอดจนศิลปนิ พ้ืนบา้ น เพอ่ื ส่งเสรมิ ต่อยอดคุณคา่ แหง่ การแลกเปลีย่ นเรยี นรู้ประเพณตี ีก๋องปู่จาให้คง อยู่ถึงลูกหลานอยา่ งยั่งยืนตามเจตนารมณส์ ืบไปจากถังนา้ มัน ๒๐๐ ลิตร ท่ีกลายเป็นก๋องปู่จา เพือ่ การฝึกซอ้ มและการแสดงจากการ ลงพื้นที่ ๑๓ อาเภอ เพ่ือตรวจเย่ียมเตรียมความพร้อมก่อนการแข่งขันประจาปี ปัญหาหลักของการฝึกซ้อมพบว่า เยาวชนและ ผสู้ นใจการขาดแคลนกลองเพอ่ื ใชใ้ นการฝกึ ฝนบ้างต้องซ้อมตกี ับกาแพง กระดาษแขง็ หรอื ถงั นา้
ด้วยเหตนุ ี้ ครกู ลองผู้เชีย่ วชาญ ปราชญ์ชาวบ้าน ครูภมู ปิ ญั ญาท้องถ่ินจึงไดร้ ่วมกันคดิ ค้น โดยนาถังน้ามนั ขนาด ๒๐๐ ลติ ร ทีไ่ ม่ได้ใชง้ านแลว้ มาประดิษฐเ์ ปน็ ก๋องปจู่ าเพอ่ื ใชใ้ นการฝกึ ซ้อม โดย นามาประกบด้วยไม้โตเร็ว เลียนแบบกลองจริงที่กาลังสูญหายไปตามกาลเวลา ผ่านการออกแบบโดย อาจารยป์ ราการ ใจดี มหาวิทยาลัยราชภัฏลาปาง และสล่านิติ ตนั หลิม (เสยี ชีวติ แลว้ ) แหง่ บา้ นทุ่ง เกวียน อาเภอห้างฉตั ร จงั หวัดลาปาง โดยไดป้ ระดษิ ฐแ์ ละสง่ มอบใหแ้ กเ่ ยาวชนและผ้สู นใจใน ๑๓ อาเภอ อาเภอละ ๙ ชดุ รวมทั้งส้นิ ๑๑๗ ชุดผ่านสภาวัฒนธรรมอาเภอของแต่ละอาเภอเม่ือต้นปี พ.ศ. ๒๕๕๒ โดยเฉพาะอย่างย่งิ ทจ่ี ังหวดั ลาปาง จากการสารวจจานวนก๋องปจู่ า เมอ่ื ปี พ.ศ. ๒๕๔๔ โดยบริษัท ปตท. จากัด (มหาชน) รว่ มกบั สมาคมชาวเหนือและจังหวดั ลาปาง ทาใหค้ ้นพบความจริงว่า ที่น่ี มีก๋องปู่จามากท่ีสดุ ในประเทศ และอาจจะในโลกก็ว่าไดอ้ ยใู่ นราว ๑,๒๐๐-๑,๓๐๐ ชุด ทั้งยังมีสภาพ สมบูรณเ์ ป็นสว่ นใหญ่ ทว่าสิ่งท่ี น่ากังวลก็คือ ก๋องปู่จาช่างห่างไกลจากการรบั รขู้ องผู้คนว่านีค่ ือ หน่ึงในเอกลักษณข์ องเมอื งลาปาง ความสาเร็จของการอนุรักษ์และฟ้ืนฟูดังกล่าว ล้วนเกิดจากความร่วมแรงร่วมใจของประชาชนชาวลาปางและทุก ฝ่ายที่เก่ียวข้อง โดยเฉพาะอย่างย่ิงบริษัท ปตท.จากัด (มหาชน) โดยคลัง ปิโตรเลียม ลาปางท่ีได้สง่ เสรมิ สนบั สนนุ อนรุ ักษ์และฟน้ื ฟูวัฒนธรรมอันดีงาม ให้เดก็ และเยาวชนของจงั หวัดลาปางไดส้ ืบสานวัฒนธรรมท้องถิ่น โดยมีครกู ๋องปู่จา ซงึ่ เปน็ ปราชญท์ ้องถิ่น เป็นผู้ถา่ ยทอด องค์ความรู้และศลิ ปะการตีก๋องปู่จาไปส่ลู ูกหลานทุกคน ให้เกิดความตระหนัก รักและหวงแหน ตลอดจนภาคภูมิใจในมรดกวัฒนธรรมท้องถิ่นของตนเอง เน่ืองจากในลาปางเป็นจังหวัดท่มี ีก๋องปจู่ ามาก ท่ีสุดในประเทศไทยและในโลก อีกทั้งยังมีสภาพสมบูรณ์แต่ละอา เภอก็จะมีระบาเพลงที่ใช้ตกี ๋องปู่จาแตกต่างกัน เช่น สาวเก็บผักของอาเภอแม่ทะ ย่าจุ้มของอาเภอเมืองปาน หลกเป็ดหลกไก่ พ่ีหนาน เจบ็ ต๊องแกงผักหละของอาเภอวังเหนือ ต้งึ นัง้ ของอาเภอห้างฉตั รพ่อหนานเลก็ และมัดหมูติดหลกั ของอาเภอเมือง ส่วนระบาเพลงสาวหลบั เตอ๊ ะ เสือขบตุ๊ ระบาสาวเกบ็ ผักของพ่อแก้ว วิกุลจรงุ เดช พ่อครู กลองอาเภอแมท่ ะ เปน็ ต้น
“ครงั่ ” เปน็ เกษตรเชงิ พาณิชย์ ทไ่ี ดถ้ กู หล่อหลอมไปกับวถิ ีชีวิตชมุ ชน ทมี่ สี ว่ นในส่งเสรมิ การสร้างรายได้ ให้เกษตรกรให้มีคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ท่ีดีขึ้น และ มีส่วนในการอนุรักษ์พ้ื นท่ีสีเขียวเพื่ อส่ิงแวดล้อมของเรา โดยท่ัวไป วงจรชีวิตของคร่ังโดยปกติจะอยู่ที่ประมาณ 8-12 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพปัจจัยแวดล้อมต่าง ๆ และ ลกั ษณะการทาสวนครงั่ ของเกษตรกร คร่งั ท่ีทารายไดแ้ กจ่ งั หวดั ลาปางในปหี นง่ึ ๆไมน่ อ้ ยกวา่ 300-500 ลา้ นบาท ปจั จุบันน้ีจงั หวดั ลาปางเป็นจังหวดั หนงึ่ ทมี่ เี กษตรกรทมี่ กี ารเล้ียงครัง่ ไม่น้อยกวา่ 6,733 ราย โดยทัว่ ไปเกษตรกร จะเลี้ยงคร่ังบนต้นจามจุรี หรือต้นฉาฉา มีพื้ นท่ีปลูกกระจายอยู่ทุกอาเภอ สาหรับโรงงานท่ีรับซ้ือผลผลิตครั่งใน ประเทศไทยมีทง้ั สนิ้ 6 โรงงาน อยู่ในจงั หวดั ลาปางมี 5 โรงงาน ซ่ึงมากทีส่ ุดในประเทศไทย โดยมีการใช้ประโยชน์ จากครั่งทั้งจากการนามาใชใ้ นครอบครัว และทางอุตสาหกรรม ได้แก่ผลติ ภัณฑเ์ ชลแลค อุตสาหกรรมยาและอาหาร อุตสาหกรรมกระดาษ อตุ สาหกรรมหมึกพิมพ์ อุตสาหกรรมเก่ียวกบั วสั ดุท่ีเปน็ ฉนวนไฟฟา้ และอุตสาหกรรมยาง ข้อมูลโดย ผศ.ดร.กนกวรรณ อู่ทองทรัพย์ อาจารย์ประจามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์ลาปาง จาก เวทเี สวนา (ออนไลน)์ กจิ กรรม Lampang Public Forum สบตุ๋ย ในโครงการวิจัยการพัฒนาพื้นที่การเรยี นรู้และ พิพิธภัณฑ์มีชีวิตย่านสบต๋ยุ ชุดโครงการวจิ ัย การพัฒนาเมืองลาปางสู่เมืองแห่งการเรียนรู้จากฐานทุนทางสงั คม วัฒนธรรม โดยมหาวิทยาลัยสวนดุสิต ศูนย์การศึกษานอกท่ีตั้งลาปาง ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนส่งเสริม วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (ววน.) และ หน่วยบริหารและจัดการทุนวิจัยและนวัตกรรมด้านการพัฒนาระดับ พื้นที่ (บพท.) เมื่อวันที่ 10 กนั ยายน 2564 ในมุมมองจากภมู ิหลังสู่ภูมแิ ห่งอนาคต กล่าวถึง \"คร่งั \" ความสมั พันธ์ ในพื้ นทเี่ ศรษฐกจิ การค้ายา่ น \"สบตุย๋ \" และบทบาทสาคัญทางเศรษฐกิจในจงั หวัดลาปาง...หนึง่ ในสามของสนิ ค้าทมี่ ี บทบาทสาคัญใน \"ย่านสบตุ๋ย\" และทาให้เศรษฐกจิ ของลาปางเฟ่ อื งฟู ขึ้นมา คือ การค้า “ครั่ง” โดยสินค้าประเภท ครัง่ นน้ั ถอื เป็นสนิ คา้ ทเี่ กดิ ขน้ึ และเตบิ โตมาพรอ้ ม ๆ กับอตุ สาหกรรมของโลก เนื่องจากมกี ารประกอบอตุ สาหกรรม หลายชนิดท่ีจาเป็นต้องใชค้ รั่ง
ภมู ิปญั ญาแหง่ ความเชอื่ และความงามแหง่ หนิ แก้วธรรมชาติ “แกว้ โปงขา่ ม” “แก้วโป่งข่าม” เป็นหินแก้วตระกูลแร่ควอทซ์ (Quartz) สีขาวใส หรือที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “แร่เขี้ยวหนุมาน” โดย ตามมาตรความแขง็ ของโมส์ (Moh’s scale of hardness) ควอทซม์ คี ่าความแข็งอยู่ในอนั ดับที่ 7 (ความแขง็ มี 10 อันดับ เพชร แข็งที่สุด คืออันดับ 10) โดยลักษณะของควอทซ์จะมีความโปร่งใส ไปจนถึงทึบแสง และมีหลายสี ควอทซ์จึงจัดเป็นรัตนชาติ ตระกลู ใหญต่ ระกลู หน่ึง และหลายพ้ืนที่ในประเทศไทยพบควอทซ์หลายชนดิ แตช่ นดิ ท่นี ามาทาแกว้ โป่งข่ามนัน้ พบมากท่ี อาเภอ เถนิ จงั หวดั ลาปาง ซึ่งหินชนดิ น้เี ปน็ แร่ธาตทุ ่ีกอ่ กาเนิดมาจากธรรมชาติ มลี กั ษณะเป็นหนิ ควอทซ์สขี าวใส ภายในจะมีมลทินหรือ วตั ถุลักษณะต่าง ๆ ทแี่ ตกตา่ งกนั อยู่ภายในอกี ที โดยชือ่ ของหนิ โป่งข่ามนี้ เปน็ ศัพท์โบราณ ซง่ึ คาว่า “โป่ง” มาจากช่อื ของสถานท่ี ท่ีค้นพบหินโป่งข่ามเป็นครั้งแรกในประเทศไทย ส่วนคาว่า “ข่าม” มีความหมายตามภาษาเหนือว่า อยู่ยง ยั่งยืน คงกระพัน ซึ่ง โดยรวม ๆ แลว้ “หินโป่งข่าม” จึงมีความหมายวา่ เป็นวตั ถทุ ่ีมคี วามมัน่ คง ยั่งยืน และคงกระพนั นั่นเอง แก้วโป่งข่าม เป็นอัญมณีศักดิ์สิทธ์คู่บ้านคู่เมืองของอาเภอเถินมาช้านาน เช่ือกันว่าสามารถคุ้มภัยให้คุณในทางที่ดี เช่ือถือว่าเป็นวัตถุมงคล มีคุณค่าทางไสยศาสตร์ ความอยู่ยงคงกระพัน มีอานาจวาสนาและบารมี เมตตามหานิยม ยศและ ตาแหน่งหนา้ ท่ีการงาน ร่ารวย มั่นคง อยู่เย็นเปน็ สุข ป้องกันไฟ ทั้งยังเป็นอัญมณลี ้าค่าที่มคี ณุ ค่าทั้งทางด้านราคาและดา้ นจิตใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้คนมคี วามเช่ือและศรัทธาต่อความศักดิ์สทิ ธ์ิของแก้วโป่งข่าม ท่ีนอกจากจะมีความสวยงามในตัวของมัน แลว้ ยงั มีคุณคา่ ทางวฒั นธรรม ประวัติศาสตร์ และตานานความเช่ือต่างๆ อกี ด้วย ความเช่อื ในเรื่องแกว้ ศกั ดิ์สิทธข์ิ องชาวล้านนามมี านบั นบั ร้อยนับพนั ปี ดังหลกั ฐานการขุดคน้ พบแกว้ จากกรโุ บราณตาม สถานที่ต่าง ๆ ในเขตทางภาคเหนือ เช่นองค์พระมหามณีรัตนปฏิมากร ซึ่งค้นพบในกรุเจดีย์ท่ีจังหวัดเชียงราย อีกองค์หน่ึงคือ \"องค์พระแก้วดอนเต้า\" (ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ที่วัดพระธาตุลาปางหลวง จังหวัดลาปาง) รวมไปถึงพระแก้วขาวหรภิ ุญชัย หรือ รู้จักกันดใี นช่ือ \"พระเสตังคมณ\"ี ปัจจุบันประดษิ ฐานอยทู่ ่ีวัดเชียงมั่น จังหวัดเชยี งใหม่ ซึงมีอายุเก่าแก่ถึง 1800 ปี ท้ังน้ี สามารถ “แก้วขนเหล็ก” หนง่ึ ในรูปแบบของแก้วโป่งข่าม แบง่ ประเภทของแกว้ โปง่ ขา่ มได้ ดังน้ี ทม่ี าภาพ : PW SaleStone 1. แกว้ เขา้ แก้ว 2. แกว้ พิรุณแสนห่า 3. แกว้ ขนเหลก็ 4. แก้วปวก 5. แกว้ ทราย 6. แก้วหมอกมงุ เมือง 7. แกว้ นางขวัญ (จอมขวัญ) 8. แกว้ วทิ รู สีนา้ ผ้ึง 9. แก้วแร 10. แกว้ มังคละจฬุ ามณี 11. แก้วสามกษัตริย์ 12. แก้วกาบ การเจยี ระไนแกว้ โป่งขา่ ม แสดงใหเ้ หน็ ถึงความรู้ การแสดงออก ทกั ษะการใช้เคร่ืองมอื และภมู ปิ ัญญาของผูป้ ระกอบอาชีพเจยี ระไนแกว้ โปง่ ข่ามที่อาศยั อย่ใู นอาเภอเถนิ จงั หวัดลาปาง ต้ังแตก่ ระบวนการขดุ หาแกว้ โป่งข่าม ตลอดจนความรแู้ ละทักษะของชา่ งตัดและเจียระไน ทตี่ ้องตัดสินใจวา่ จะคงส่วนใดไว้ ทงิ้ สว่ นใดไป แกว้ เม็ดเลก็ ที่มนี า้ ดี ลวดลายดี อาจจะมีคา่ สงู กว่าเมด็ โต ส่งิ น้ขี ึ้นอยูก่ ับศลิ ปะของชา่ งตัดและเจยี ระไน ใน การศกึ ษาและเขา้ ใจถงึ จุดเด่นของแก้วแต่ละหนอ่ ว่าควรออกแบบเป็นรูปพรรณสัณฐานใดบา้ ง ท่ีจะรักษาจุดเด่นไว้ใหม้ ากที่สุดเท่าทจี่ ะมากได้
Search