Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ประวัติศาสตร์ไทย

ประวัติศาสตร์ไทย

Published by Chanisara Chaipanha, 2023-08-14 07:28:36

Description: เรียบเรียงโดย นางสาวชนิสรา ไชยปัญหา ม.6/5 เลขที่29

Search

Read the Text Version

Cmyk

คมู่ ือการสอนอบรมวิชา ประวัตศิ าสตรช์ าตไิ ทย (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๕) โรงเรยี นนายรอ้ ยพระจลุ จอมเกลา้ พ.ศ. ๒๕๖๕ 1-aw-��������.indd 1 ประวัติศาสตร์ชาติไทย ก 11/12/2565 BE 20:54

คู่มอื การสอนอบรมวิชาประวตั ิศาสตร์ชาติไทย (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๕) พิมพ์ครั้งที่ ๑ พ.ศ. ๒๕๕๑ กองทพั บกจัดทำ� พมิ พ์ครงั้ ที่ ๒ ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๕ โรงเรียนนายร้อยพระจลุ จอมเกลา้ กองทพั บกจดั ท�ำ จำ� นวน ๒,๐๐๐ เลม่ ข้อมูลทางบรรณานกุ รมของหอสมุดแห่งชาติ National Library of Thailand Cataloging in Publication Data นายรอ้ ยพระจลุ จอมเกล้า, โรงเรยี น ค่มู อื การสอนอบรมวิชาประวัตศิ าสตร์ชาติไทย (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๕) นนทบุร:ี โรงพิมพ์วชั รนิ ทร์ พ.ี พ.ี , ๒๕๖๕. จ�ำนวน ๒๗๒ หน้า ๑. ไทย – ประวัติศาสตร.์ I. ช่อื เรื่อง. 959.3 DS 571 ISBN 978-616-422-090-4 พิมพ์ท่ี บริษัท โรงพิมพว์ ชั รินทร์ พี.พ.ี จำ� กดั (สำ� นักงานใหญ)่ 11/12/2565 BE 20:54 เลขท่ี ๑๗๗ หมู่ ๑ ซอยสำ� เรจ็ พัฒนา ๓ ต. ปลายบาง อ. บางกรวย จ. นนทบุรี ๑๑๑๓๐ โทร ๐๒-๔๙๗-๖๑๘๓ ข ประวัติศาสตร์ชาติไทย 1-aw-��������.indd 2

1-aw-��������.indd 3 ประวัติศาสตร์ชาติไทย ค 11/12/2565 BE 20:54

ง ประวัติศาสตร์ชาติไทย 11/12/2565 BE 20:54 1-aw-��������.indd 4

1-aw-��������.indd 5 ประวัติศาสตร์ชาติไทย จ 11/12/2565 BE 20:54

ฉ ประวัติศาสตร์ชาติไทย 11/12/2565 BE 20:54 1-aw-��������.indd 6

ค�ำนำ� “คู่มือการสอนอบรมวิชาประวัติศาสตร์ชาติไทย (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๕)” เล่มน้ีพัฒนา มาจาก “คมู่ อื การสอนอบรมวชิ าประวตั ศิ าสตรช์ าตไิ ทย” ซงึ่ กองทพั บกจดั ทำ� และพมิ พเ์ ผยแพรใ่ น พ.ศ. ๒๕๕๑ ส�ำหรับใช้เป็นเคร่ืองมือในการส่งเสริมความรู้ด้านประวัติศาสตร์ชาติไทยให้กําลังพลระดับต่าง ๆ เม่ือก�ำลัง พลเข้ารับการอบรมหลักสูตรต่างๆ และได้รับการ “ถ่ายทอดความรู้ทางด้านวิชาประวัติศาสตร์ชาติไทย...” หรือเมื่อสําเร็จการฝึกศกึ ษาแล้ว ทง้ั นีม้ เี ปา้ หมายส�ำคญั เพ่อื ให้ “...เกิดความภาคภมู ิใจ ความรัก และความ หวงแหนในความเปน็ ชาตไิ ทยในอนั จะนํามาซง่ึ ความรกั ความสามคั คขี องประชาชนชาวไทยทงั้ ประเทศสบื ไป” เพอ่ื บรรลเุ ปา้ หมายขา้ งตน้ การจดั ทำ� คมู่ อื การสอนอบรมวชิ าประวตั ศิ าสตรช์ าตไิ ทย เมอ่ื พ.ศ. ๒๕๕๑ กองทพั บกไดก้ ำ� หนดวตั ถปุ ระสงคไ์ วด้ ังนี้ ๑. รจู้ กั และภาคภมู ใิ จในคณุ คา่ ของมรดกทางธรรมชาตบิ นพน้ื แผน่ ดนิ ไทยทมี่ อี ายยุ าวนานนบั ลา้ น ปีและมีมรดกทางโบราณคดีท่ีแสดงให้เห็นว่า พ้ืนแผ่นดินไทยเป็นแหล่งกําเนิดอารยธรรมท่ีสําคัญแห่งหนึ่ง ของโลก ๒. ร้จู ักและเขา้ ใจถงึ พัฒนาการทางประวัตศิ าสตรช์ าติไทยตงั้ แตอ่ ดตี จนถงึ ปจั จบุ นั ๓. ตระหนักและภาคภูมิใจในความอุตสาหะ กล้าหาญ และเสียสละของบรรพชนไทยและคน ต่างเช้ือชาติวัฒนธรรมที่ร่วมกันสร้าง พัฒนา ปกป้องเอกราชของชาติและมรดกของบรรพชนให้อยู่รอด เป็นปึกแผ่นและเจริญรุง่ เรอื งมาได้จนถงึ ปจั จบุ ัน ๔. รู้สึกภาคภูมิใจท่ีได้เกิดเป็นพลเมืองไทย ตลอดจนรู้สึกหวงแหนมรดกของชาติและความเป็น ชาติไทย ๕. ศึกษาบทเรียนจากประวัติศาสตร์ชาติไทยท้ังในแง่บวกและลบ และเห็นคุณค่าของการศึกษา ประวตั ศิ าสตรช์ าติไทย ๖. มคี วามจงรกั ภกั ดตี อ่ สถาบนั พระมหากษตั รยิ ์ และตระหนกั ถงึ บทบาทของสถาบนั พระมหากษตั รยิ ์ ในสงั คมไทย ทง้ั ในอดตี และปัจจบุ ัน ปลายปี ๒๕๖๔ พลเอกหญิง ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร. สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงทราบว่า คู่มอื ดงั กลา่ วจัดทำ� มานานแล้ว อีกทง้ั ผจู้ ดั ทำ� คณะเดมิ สว่ นใหญค่ อื อาจารยก์ องวชิ าประวตั ศิ าสตร์ สว่ นการศกึ ษา โรงเรยี นนายรอ้ ยพระจลุ จอมเกลา้ จึงมีพระราชด�ำริให้กองวิชาประวัติศาสตร์ฯ พิจารณาปรับปรุงเนื้อหาให้ครบถ้วนและทันสมัย เพื่อเป็น คู่มือในการฝึกอบรมและประกอบการเรียนการสอนต่อไป โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้าจึงได้รับสนอง พระราชด�ำริ และได้ต้งั คณะกรรมการข้ึนปรับปรงุ คูม่ ือดังกล่าว ประวัติศาสตร์ชาติไทย ช 1-aw-��������.indd 7 11/12/2565 BE 20:54

ในการปรับปรุงหนังสือ คณะกรรมการฯ ได้คงวัตถปุ ระสงค์เดิมไว้ ยกเว้นขอ้ ๑ เน้ือหาส่วนนจ้ี งึ ถกู ตัดออกไป และไดป้ รับปรุงเพมิ่ เตมิ เน้ือหาส่วนอื่นใหท้ นั สมัยทัง้ ดา้ นวชิ าการและเหตุการณ์ทางประวตั ศิ าสตร์ เนื้อหาในหนงั สือจงึ ครอบคลมุ มาถงึ ปีปัจจบุ นั คอื พ.ศ. ๒๕๖๕ ส่วนการนำ� เสนอยังคงรูปแบบเดมิ ในลักษณะ ของแผนบทเรยี น (lesson plan) ในแตล่ ะบทประกอบดว้ ยแนวคดิ หลกั วตั ถปุ ระสงค์ และเนอื้ หาสำ� คญั โดยยอ่ เพื่อสามารถท�ำความเข้าใจประวัติศาสตร์ชาติไทยต้ังแต่ต้นจนถึงปัจจุบันได้ในเวลาอันรวดเร็ว เมื่อน�ำไป ใช้อบรม หรือถ่ายทอดความรู้ ก็สามารถยกเหตุการณ์ส�ำคัญๆ ซ่ึงอยู่ส่วนท้ายของแต่ละบทเป็นตัวอย่าง หรอื บทเรยี น ได้อย่างชัดเจน โรงเรียนนายร้อยพระจลุ จอมเกลา้ หวังเป็นอยา่ งยิ่งวา่ เมือ่ อ่านและนำ� หนังสือเลม่ น้ไี ปใช้ นอกจาก จะบรรลเุ ป้าหมายคอื การสรา้ ง “ความภาคภูมิใจ ความรกั และความหวงแหนในความเป็นชาตไิ ทย” แล้วจะ เกิดผลตามพระราชดำ� รใิ นพลเอกหญงิ ศาสตราจารย์เกยี รติคณุ ดร. สมเด็จพระกนษิ ฐาธริ าชเจ้า กรมสมเดจ็ พระเทพรตั นราชสดุ า ฯ สยามบรมราชกุมารี ซง่ึ พระราชทานไวเ้ มื่อ พ.ศ. ๒๕๓๕ วา่ “การเรียนรู้ประวัติศาสตร์ทําให้เราเข้าใจสังคมของเรา ท้ังในด้านสิ่งที่เป็นมาแล้ว สิ่งท่ีเป็นอยู่ ในปัจจบุ นั และส่งิ ท่ีจะดําเนนิ ตอ่ ไปในอนาคต ไดแ้ จม่ ชัดขึ้น”๑ พลโท (ปิยพงศ์ กลิน่ พนั ธ์)ุ ผ้บู ัญชาการโรงเรียนนายรอ้ ยพระจลุ จอมเกลา้ ๒๕๖๕ ๑ พลโทหญิง สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี, “บทนํา,” เอกสารประกอบการคําสอนวิชาประวัติศาสตร์ไทย กองวชิ าประวตั ิศาสตร์ ส่วนการศกึ ษา โรงเรยี นนายรอ้ ยพระจุลจอมเกล้า, ๑๐ กันยายน ๒๕๓๕ ซ ประวัติศาสตร์ชาติไทย 1-aw-��������.indd 8 11/12/2565 BE 20:54

คำ� ชแี้ จงจากกองบรรณาธิการ เพอื่ ใช้ “คมู่ อื การสอนอบรมวชิ าประวตั ศิ าสตรช์ าตไิ ทย (ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๕)” เลม่ นส้ี ำ� หรบั เตรยี มการสอนหรอื การอบรมไดอ้ ย่างรวดเรว็ จึงขอแนะน�ำวิธีการอา่ นคู่มอื ฯ ดังนี้ ๑. หนังสือแบ่งเป็น ๗ บท แต่ละบทประกอบด้วย ๓ ส่วน ได้แก่ ๑) ส่วนน�ำ (แนวคิดหลัก วัตถุประสงค์หลัก เน้ือหาหลัก และบทเรียนที่ได้รับ ๒) กรณีศึกษา และ ๓) หนังสืออ่านเพ่ิมเติมและ แหลง่ ที่มาของข้อมลู (ระบเุ ปน็ หมายเลขตามทีป่ รากฏในบรรณานกุ รมท้ายเลม่ ) ๒.บทที่๑ใหอ้ า่ นสว่ นนำ� (แนวคดิ หลกั วตั ถปุ ระสงคห์ ลกั และเนอื้ หาหลกั ) เพอื่ ทำ� ความเขา้ ใจลกั ษณะ ของการศกึ ษาประวตั ศิ าสตร์ หากต้องการรายละเอยี ดและเพิม่ ความเขา้ ใจ ให้อา่ นกรณีศกึ ษา ซ่งึ จะช่วยให้ผู้ สอนใชห้ นงั สอื ประวตั ศิ าสตรช์ าตไิ ทยเลม่ นด้ี ว้ ยความมน่ั ใจวา่ มคี วามเปน็ วชิ าการ อกี ทง้ั จะชว่ ยใหพ้ รอ้ มรบั ฟงั การตีความและอธิบายความทางประวัติศาสตร์ที่ต่างออกไป ตลอดจนรู้แหล่งข้อมูลออนไลน์ท่ีใช้ค้นคว้า เพ่ิมเตมิ ได้ ๓. บทที่ ๒ - ๗ แบง่ ตามพฒั นาการของประวตั ศิ าสตรช์ าตไิ ทยเปน็ ๖ ชว่ งเวลาสำ� คญั ตง้ั แตต่ น้ จนถงึ ปีปัจจุบนั ใหอ้ า่ นสว่ นนำ� ของแตล่ ะบท เพ่ือท�ำความเข้าใจแนวคดิ หลัก วตั ถุประสงคห์ ลัก เนอ้ื หาหลัก และ บทเรียนท่ีได้รบั ในแตล่ ะชว่ งเวลา ส่วนน้เี ขียนข้นึ อย่างกระชับเพ่อื ใหอ้ า่ นไดใ้ นเวลาจำ� กดั และผสู้ อนสามารถ น�ำไปอบรมได้ หากต้องการท�ำความเข้าใจหรือได้รายละเอียดเพิ่มขึ้น ให้ศึกษาเพิ่มเติมจากกรณีศึกษา ซึ่ง อยู่ถดั ไปในแตล่ ะบท ๔. กรณศี กึ ษา เปน็ เรือ่ งเฉพาะ เขียนขึ้นเพ่อื ให้ง่ายตอ่ การศกึ ษาเพิ่มเติมและน�ำไปสอนไดใ้ นเวลา ทจี่ ำ� กดั แตล่ ะเรอื่ งจงึ มคี วามสมบรู ณใ์ นตวั สว่ นใหญม่ หี วั ขอ้ วา่ ดว้ ยวตั ถปุ ระสงค์ ภมู หิ ลงั เนอ้ื หา และบทเรยี น ท่ีได้รับ สามารถเลือกอ่านและยกข้ึนมาสอนเป็นเร่ืองได้ แต่มีบางเรื่องที่มีเนื้อหาคาบเกี่ยวไปถึงช่วงเวลา อน่ื ดว้ ย บทเรยี นที่ไดร้ ับ ผ้สู อนสามารถอธบิ ายความเพม่ิ เตมิ ได้ แตค่ วรองิ ข้อเท็จจรงิ ท่มี หี ลกั ฐานยนื ยัน ซ่ึง ในปัจจุบนั สามารถเข้าค้นควา้ ได้จากเว็บไซต์ หรือสงิ่ พิมพต์ ่างๆ นอกจากนัน้ ตอนทา้ ยของแต่ละเรอ่ื งได้ระบุ เลขรายชื่อหนงั สืออา่ นเพม่ิ เตมิ และแหล่งทม่ี าของขอ้ มลู ซึง่ รวมไวใ้ นบรรณานกุ รมทา้ ยเล่ม ๕. คำ� อธิบายและที่มาของภาพ รวมอย่ทู า้ ยเล่มเปน็ รายการต่อจากบรรณกุ รม 1-aw-��������.indd 9 ประวัติศาสตร์ชาติไทย ฌ 11/12/2565 BE 20:54

สารบญั ค�ำน�ำ หน้า ค�ำชี้แจงจากกองบรรณาธกิ าร ช ฌ บทท่ี ๑ ประวัติศาสตร์ : ความหมาย วิธีการศึกษา และแนวคิด ๑ ส่วนนำ� : แนวคิดหลัก วตั ถปุ ระสงค์หลกั และเนอื้ หาหลกั ๓ ๑.๑ กรณศี กึ ษา ๔ ๑.๒ ประวตั ศิ าสตร์ : ความหมาย เหตผุ ลทตี่ ้องศึกษา และวธิ กี ารศึกษา ๔ ๑.๓ ประวัติศาสตร์ทอ้ งถิน่ : ความหมาย แนวคิดพนื้ ฐาน และวธิ ีการศึกษา ๑๒ สำ� นกั คดิ และวาทกรรมในการผลติ ความรทู้ างประวตั ศิ าสตร์ และหลกั ฐานสำ� คญั ทาง ๑.๔ ประวตั ศิ าสตรไ์ ทยสมยั ใหมใ่ น “หอจดหมายเหตตุ า่ งประเทศ ทลู กระหมอ่ มอาจารย”์ ๑๗ ๑.๕ หลกั ฐานทางประวตั ศิ าสตรฝ์ ่ายไทยสมยั กรุงศรีอยุธยาจนถึงกอ่ นสมัยใหม่ ๒๓ ข้อท่ีควรตระหนักในการศึกษาประวัติศาสตร์ไทยตั้งแต่สมัยเริ่มแรกจนถึงปลาย ๑.๖ พุทธศตวรรษที่ ๑๙ ๒๔ ขอ้ พจิ ารณาเกยี่ วกบั เนอ้ื หาการศกึ ษาประวตั ศิ าสตรไ์ ทยในปจั จบุ นั ๒๖ บทที่ ๒ การก่อตัวและพัฒนาการของบ้านเมืองในประเทศไทยตั้งแต่สมัยเร่ิมแรกจนถึง ๓๑ ปลายพุทธศตวรรษท่ี ๑๙ ๓๓ ๒.๑ ส่วนน�ำ : แนวคดิ หลกั วตั ถุประสงค์หลกั เนอ้ื หาหลกั และบทเรยี นที่ไดร้ ับ ๓๔ ๒.๒ กรณศี กึ ษา ๓๔ ๒.๓ การก่อตวั ของบ้านและเมืองในดนิ แดนทปี่ ัจจบุ นั คือประเทศไทย ๒.๔ การวางหลกั ปกั ฐานบ้านเมืองในช่วงต้นพุทธกาล-พทุ ธศตวรรษที่ ๗ : การกอ่ ตัวยุค ๓๕ ๒.๕ โลหะ พฒั นาการของบา้ นเมอื งในชว่ งพุทธศตวรรษท่ี ๘ - ๑๑ : สู่แว่นแควน้ เครือญาตทิ าง ๓๗ วัฒนธรรมและการเมอื งกบั ความสมั พันธ์กบั ฟูนนั จีน และอนิ เดีย ๓๘ บา้ นเมอื งในชว่ งพุทธศตวรรษที่ ๑๒ - ๑๖ : โลกของวัฒนธรรมทวารวดี บ้านเมืองในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และบนคาบสมุทรไทยช่วงพุทธศตวรรษที่ ๔๐ ๑๒ - ๑๖ : อศี านปรุ ะ ศรีโคตรบูรณ์ ศรวี ิชัย กับก�ำเนิดความสัมพันธก์ บั จีนในระบบ การค้าแบบบรรณาการ ญ ประวัติศาสตร์ชาติไทย 1-aw-��������.indd 10 11/12/2565 BE 20:54

๒.๖ บ้านเมืองชว่ งพุทธศตวรรษที่ ๑๖ - ๑๙ : “ยุคขอม เขมร ลวะปรุ ะ - ลพบุร”ี ๔๑ ๒.๗ อวู่ ัฒนธรรมและการสรา้ งบา้ นแปงเมืองของชนเผ่าไทตงั้ แต่พุทธศตวรรษที่ ๑๒ ๔๒ ๒.๘ แวน่ แคว้นสำ� คัญในดินแดนประเทศไทยตั้งแต่พทุ ธศตวรรษที่ ๑๘ เปน็ ต้นมา : โลก ของคนไทและสยามประเทศ ๔๔ ๒.๙ พ่อขนุ รามค�ำแหงมหาราช ๔๕ บทที่ ๓ การรวมอาณาจกั รและพัฒนาการ (พ.ศ. ๑๘๙๓ - ๒๔๓๕) ๔๙ สว่ นนำ� : แนวคดิ หลัก วัตถปุ ระสงคห์ ลกั เน้อื หาหลัก และบทเรยี นท่ีได้รบั ๕๑ ๓.๑ กรณีศกึ ษา ๕๕ ๓.๒ ภาพรวมพฒั นาการทางการเมอื งการปกครองจากสมัยสโุ ขทยั จนถึงปัจจบุ ัน ๕๕ ๓.๓ กิจการทหารบกไทยสมัยสุโขทัย - สมยั ต้นรตั นโกสนิ ทร์ (พ.ศ. ๑๗๙๒ - ๒๔๑๐) ๕๙ ๓.๔ สงครามระหว่างไทยกบั เพอื่ นบ้านท่ีสำ� คญั ในสมัยอยุธยาจนถึงตน้ รัตนโกสินทร์ ๖๒ ๓.๕ การติดตอ่ กบั ต่างประเทศในสมยั อยธุ ยา ๖๕ ๓.๖ การเขา้ มาของศาสนาอสิ ลาม ประมาณพทุ ธศตวรรษท่ี ๒๐ ๖๖ ๓.๗ การเขา้ มาของศาสนาคริสต์นิกายโรมนั คาทอลิกในสมยั อยธุ ยา ๖๘ ๓.๘ ใต้ร่มพระบรมโพธิสมภารในสมัยอยุธยา - สมัยรัตนโกสินทร์ ๗๐ ๓.๙ การปกครองตนเองและชุมชนชาวต่างชาติในสมัยอยุธยา - สมัยรตั นโกสนิ ทร์ ๗๑ ๓.๑๐ สมเดจ็ พระรามาธิบดที ่ี ๑ (พระเจ้าอู่ทอง พ.ศ. ๑๘๙๓ - ๑๙๑๒) ๗๓ ๓.๑๑ สมเดจ็ พระบรมราชาธิราชที่ ๒ (พ.ศ. ๑๙๖๗ - ๑๙๙๑) ๗๔ ๓.๑๒ การผนวกอาณาจกั รสุโขทยั (พ.ศ. ๑๙๘๑) ๗๕ ๓.๑๓ สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ (พ.ศ. ๑๙๙๑ - ๒๐๓๑) ๗๗ ๓.๑๔ สมเดจ็ พระรามาธบิ ดที ี ่ ๒ (พ.ศ. ๒๐๓๔ - ๒๐๗๒) ๗๙ ๓.๑๕ สมเด็จพระศรสี ุรโิ ยทยั (พ.ศ. ๒๐๙๒) ๘๑ ๓.๑๖ การเสียกรุงศรอี ยุธยาครั้งท่ี ๑ (พ.ศ. ๒๑๑๒) ๘๓ ๓.๑๗ สมเดจ็ พระนเรศวรมหาราช (พ.ศ. ๒๑๓๓ - ๒๑๔๘) ๘๔ ๓.๑๘ สมเดจ็ พระนารายณ์มหาราช (พ.ศ. ๒๑๙๙ - ๒๒๓๑) ๘๕ ๓.๑๙ พันทา้ ยนรสิงห์ วีรบรุ ษุ แหง่ ความซื่อสัตย์ (พ.ศ. ๒๒๔๗) ๘๖ ๓.๒๐ การตอ่ สขู้ องชาวบ้านบางระจนั (พ.ศ. ๒๓๐๙) ๘๗ ๓.๒๑ การเสยี กรงุ ศรอี ยุธยาครั้งที่ ๒ (พ.ศ. ๒๓๑๐) ๘๗ ๓.๒๒ สมเดจ็ พระเจ้าตากสนิ มหาราช (พ.ศ. ๒๓๑๐ - ๒๓๒๕) ๘๙ การไดอ้ าณาจกั รลา้ นนาในสมยั ธนบรุ ี (พ.ศ. ๒๓๑๗) ๙๐ ประวัติศาสตร์ชาติไทย ฎ 1-aw-��������.indd 11 11/12/2565 BE 20:54

๓.๒๓ การไดอ้ าณาจกั รล้านชา้ งในสมยั ธนบุรี (พ.ศ. ๒๓๒๑) ๙๒ ๓.๒๔ สมเดจ็ เจา้ พระยามหากษตั ริย์ศึก (พ.ศ. ๒๓๑๑ - ๒๓๒๕) ๙๔ ๓.๒๕ พระยาพชิ ยั ดาบหกั ในสมยั ธนบรุ ี ๙๖ ๓.๒๖ พระราชกรณยี กจิ ทส่ี �ำคญั ของรชั กาลที่ ๑ - รชั กาลท่ี ๔ ๙๗ ๓.๒๗ บทบาทของบคุ คลส�ำคญั ในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ ๑๐๐ ๓.๒๘ สงครามเก้าทัพ (พ.ศ. ๒๓๒๘) ๑๐๔ ๓.๒๙ ท้าวเทพกระษัตรีและท้าวศรสี นุ ทร (พ.ศ. ๒๓๒๘) ๑๐๕ ๓.๓๐ การสังคายนาพระไตรปิฎก (พ.ศ. ๒๓๓๑) ๑๐๖ ๓.๓๑ การเปดิ การค้าเสรีกบั ชาติตะวันตก (พ.ศ. ๒๓๖๙ และ พ.ศ. ๒๓๙๘) ๑๐๘ ๓.๓๒ ทา้ วสรุ นารี (พ.ศ. ๒๓๖๙) ๑๑๐ บทท่ี ๔ การสรา้ งรัฐชาติ (พ.ศ. ๒๔๓๕ - ๒๔๗๕) ๑๑๓ ส่วนนำ� : แนวคิดหลกั วตั ถุประสงคห์ ลัก เนือ้ หาหลัก และบทเรียนที่ได้รบั ๑๑๕ ๔.๑ กรณีศึกษา ๑๑๗ ๔.๒ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ อย่หู วั (พ.ศ. ๒๔๑๑ - ๒๔๕๓) ๑๑๗ การแกไ้ ขความขดั แย้งทางความคดิ และทางอ�ำนาจระหวา่ ง ๔.๓ กลุ่มคนรุ่นใหมก่ บั คนรุน่ เกา่ ในรชั กาลท่ี ๕ ๑๑๙ ๔.๔ การปฏิรูปประเทศให้ทันสมัย : การวางรากฐานความเจริญของบ้านเมือง ๑๒๑ ๔.๕ การปฏริ ูปการปกครองในรัชกาลที่ ๕ ๑๒๔ ๔.๖ การปฏริ ปู การทหารในรชั กาลท่ี ๕ - รชั กาลที่ ๗ (พ.ศ. ๒๔๑๑ - ๒๔๗๕) ๑๒๖ ๔.๗ บทบาทของฝา่ ยหนา้ ในการพัฒนาบา้ นเมืองในรัชกาลท่ี ๕ - รัชกาลท่ี ๗ ๑๒๙ ๔.๘ บทบาทของเจ้านายสตรใี นการพัฒนาบา้ นเมอื งในรัชกาลที่ ๕ - รัชกาลที่ ๗ ๑๓๒ ๔.๙ จักรวรรดินยิ มกบั การเสยี ดินแดนของไทยในรชั กาลที่ ๕ ๑๓๕ ๔.๑๐ กรณีพระยอดเมอื งขวาง (พ.ศ. ๒๔๓๖) ๑๓๗ ๔.๑๑ วกิ ฤตการณ์ ร.ศ. ๑๑๒ กับความพยายามรักษาเอกราชของชาติ ๑๓๘ ๔.๑๒ การสร้างการยอมรบั จากนานาชาติในรัชกาลที่ ๕ ๑๔๐ ๔.๑๓ ปัญหาเกีย่ วกับสทิ ธิสภาพนอกอาณาเขต และการแกไ้ ข ๑๔๓ ๔.๑๔ พระบาทสมเด็จพระมงกฎุ เกล้าเจ้าอยหู่ วั (พ.ศ. ๒๔๕๓ - ๒๔๖๘) ๑๔๔ ๔.๑๕ แนวทางชาตินยิ มสมยั ใหม่ในรชั กาลท่ี ๖ ๑๔๕ ๔.๑๖ การรวมมณฑลเทศาภบิ าลเป็นภาคในรชั กาลท่ี ๖ (พ.ศ. ๒๔๕๘) ๑๔๗ ดสุ ติ ธานี : เมอื งจำ� ลองการปกครองแบบประชาธปิ ไตย (พ.ศ. ๒๔๖๑) ๑๔๗ ฏ ประวัติศาสตร์ชาติไทย 11/12/2565 BE 20:54 1-aw-��������.indd 12

๔.๑๗ ไทยเขา้ ร่วมสงครามโลกครงั้ ท่ี ๑ (พ.ศ. ๒๔๖๐ - ๒๔๖๑) ๑๔๙ ๔.๑๘ ก�ำเนดิ ธงไตรรงค์ (พ.ศ. ๒๔๖๐) ๑๕๐ ๔.๑๙ โคลงพระราชนิพนธ์ “สยามานสุ สติ” (พ.ศ. ๒๔๖๑) ๑๕๑ ๔.๒๐ การพฒั นาการศึกษาในรชั กาลท่ี ๖ ๑๕๒ บทที่ ๕ จากราชอาณาจักรสยามส่รู าชอาณาจักรไทย (พ.ศ. ๒๔๗๕ - ๒๔๘๙) ๑๕๕ ส่วนนำ� : แนวคดิ หลกั วตั ถปุ ระสงคห์ ลัก เนือ้ หาหลัก และบทเรียนทไ่ี ดร้ ับ ๑๕๙ ๕.๑ กรณศี ึกษา ๑๖๔ ๕.๒ การเปลย่ี นแปลงการปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕ และหลัก ๖ ประการของคณะราษฎร ๑๖๔ ๕.๓ รชั กาลท่ี ๗ กบั การพระราชทานรัฐธรรมนญู พ.ศ. ๒๔๗๕ ๑๖๕ ๕.๔ ความขดั แยง้ เคา้ โครงการเศรษฐกิจแห่งชาตแิ ละรฐั ประหาร (พ.ศ. ๒๔๗๖) ๑๖๖ ๕.๕ กบฏบวรเดชและการสละราชสมบัติของรัชกาลที่ ๗ (พ.ศ. ๒๔๗๖ - ๒๔๗๗) ๑๖๗ ๕.๖ การเลอื กตงั้ สภาผู้แทนราษฎรและการเร่ิมตน้ การเมอื งระบบรฐั สภา (พ.ศ. ๒๔๗๖) ๑๖๙ ๕.๗ กจิ การทหารบกไทยตั้งแตร่ ัชกาลที่ ๘ - ปัจจุบัน (ตงั้ แต่ พ.ศ. ๒๔๗๗) ๑๗๐ การขึ้นมามอี �ำนาจของจอมพล ป. พิบลู สงคราม และลัทธิชาตินิยม ๕.๘ (พ.ศ. ๒๔๘๑ - ๒๔๘๗) ๑๗๓ ๕.๙ นโยบายสรา้ งชาติ (พ.ศ. ๒๔๘๒ - ๒๔๘๕) ๑๗๔ ๕.๑๐ รัฐนิยมและการปฏวิ ตั ิวฒั นธรรมไทย (พ.ศ. ๒๔๘๒ - ๒๔๘๕) ๑๗๕ ๕.๑๑ การเรียกรอ้ งดนิ แดนคืนจากฝร่งั เศส (พ.ศ. ๒๔๘๓ - ๒๔๘๔) ๑๗๗ ๕.๑๒ สงครามโลกครง้ั ที่ ๒ (พ.ศ. ๒๔๘๒ - ๒๔๘๘) ๑๗๘ ขบวนการเสรีไทย (พ.ศ. ๒๔๘๔ - ๒๔๘๘) ๑๗๙ บทที่ ๖ การพัฒนาชาตใิ นยุคสงครามเย็น (พ.ศ. ๒๔๘๙ - ๒๕๓๔) ๑๘๑ สว่ นน�ำ : แนวคิดหลัก วัตถุประสงค์หลัก เน้ือหาหลัก และบทเรียนทไ่ี ดร้ บั ๑๘๗ ๖.๑ กรณีศึกษา ๑๘๙ ๖.๒ ไทยกับองค์การสหประชาชาต ิ (พ.ศ. ๒๔๘๙ - ปจั จุบัน) ๑๘๙ ๖.๓ ไทยเข้าร่วมรบในสงครามเกาหลี (พ.ศ. ๒๔๙๓ - ๒๔๙๖) ๑๙๑ ๖.๔ ยคุ แห่งการพัฒนาประเทศตามแผนพฒั นา ฯ (พ.ศ. ๒๕๐๔ - ๒๕๔๔) ๑๙๓ ๖.๕ ไทยกบั สมาคมประชาชาติแหง่ เอเชียตะวันออกเฉยี งใต้ (พ.ศ. ๒๕๑๐ - ปจั จบุ ัน) ๑๙๕ ๖.๖ ไทยเขา้ ร่วมรบในสงครามเวียดนาม (พ.ศ. ๒๕๑๐ - ๒๕๑๖) ๑๙๘ การต่อสู้กับพรรคคอมมวิ นสิ ตแ์ หง่ ประเทศไทย (พ.ศ. ๒๔๙๕ - ๒๕๔๓) ๒๐๐ ประวัติศาสตร์ชาติไทย ฐ 1-aw-��������.indd 13 11/12/2565 BE 20:54

๖.๗ การพฒั นาชนบทและพนื้ ทีห่ ่างไกลของรชั กาลท่ี ๙ ๒๐๓ ๖.๘ พระราชกรณยี กิจของรชั กาลที่ ๙ ๒๐๕ ๖.๙ พระราชกรณยี กจิ ของพระบรมวงศานวุ งศ์ฝา่ ยในสมัยรัชกาลที่ ๙ ๒๐๗ ๖.๑๐ การชว่ ยเหลอื ผอู้ พยพจากประเทศเพอื่ นบา้ นในยคุ สงครามเยน็ พ.ศ. ๒๕๑๘ - ๒๕๒๙ ๒๑๒ บทท่ี ๗ การพัฒนาชาติภายใตป้ รชั ญาของเศรฐกิจพอเพยี ง (พ.ศ. ๒๕๓๕ - ปัจจบุ นั ) ๒๑๕ ส่วนนำ� : แนวคดิ หลัก วัตถุประสงคห์ ลัก เน้อื หาหลกั และบทเรยี นทีไ่ ดร้ บั ๒๑๗ ๗.๑ กรณศี กึ ษา ๒๑๙ ๗.๒ ไทยในยคุ เปล่ยี นผ่าน (พ.ศ. ๒๕๓๕ - ๒๕๔๐) ๒๑๙ ๗.๓ คนเป็นศูนยก์ ลางการพฒั นา (พ.ศ. ๒๕๔๐ - ปจั จบุ ัน) ๒๒๐ ๗.๔ ภาวะออ่ นแอของเศรษฐกจิ ไทยกอ่ นการประยกุ ตใ์ ช้ “ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง” ๒๒๒ ๗.๕ ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียงในรัชกาลที่ ๙ (พ.ศ. ๒๕๔๒) ๒๒๔ ๗.๖ การถวายรางวลั ความสำ� เรจ็ สงู สดุ ดา้ นการพฒั นามนษุ ยแ์ ดร่ ชั กาลที่ ๙ (พ.ศ. ๒๕๔๙) ๒๒๖ ๗.๗ พระราชกรณียกจิ ของรัชกาลที่ ๑๐ ๒๒๗ พระราชกรณยี กจิ ของพระบรมราชวงศ์ในรชั กาลที่ ๑๐ ๒๓๐ บรรณานกุ รม ๒๓๓ คำ� อธบิ ายและทมี่ าของภาพ ๒๕๐ รายชอื่ ผเู้ ขยี น ๒๕๗ กองบรรณาธิการ ๒๕๘ ฑ ประวัติศาสตร์ชาติไทย 11/12/2565 BE 20:54 1-aw-��������.indd 14

๑บทท่ี ประวัติศาสตร์ : ความหมาย วิธกี ารศึกษา และแนวคิด 2-aw-�����1-�������������-18.5x26 cm.indd 1 11/12/2565 BE 21:33

2-aw-�����1-�������������-18.5x26 cm.indd 2 11/12/2565 BE 21:33

แนวคิดหลกั ประวัติศาสตร์เป็นความรู้เกี่ยวกับการกระท�ำของมนุษย์ในอดีตที่ได้จากการศึกษาด้วยวิธีการทาง ประวัติศาสตร์ ซ่ึงให้ความส�ำคัญกับข้อเท็จจริงที่ถูกต้องและเช่ือถือ เพ่ือใช้อธิบายความเชิงสาเหตุและผล ความรทู้ างประวตั ศิ าสตรเ์ ปลย่ี นแปลงและแตกตา่ งกนั ไดต้ ามขอ้ เทจ็ จรงิ การตคี วามและอธบิ ายความของผศู้ กึ ษา ตลอดจนเรือ่ งและวัตถปุ ระสงค์ของการศึกษา “ประวัติศาสตร์ชาติ” (national history) เป็นการศึกษาประวัติศาสตร์เร่ืองหน่ึง ซึ่งให้ความส�ำคัญ กับการเป็นรฐั ชาติ (nation-state) หรอื ประเทศชาตติ ามแนวคิดตะวนั ตก แตล่ ะชาติหรอื ประเทศต่างมแี นวทาง การศึกษาประวัติศาสตร์ชาติต่างกัน แต่มีวัตถุประสงค์ตรงกันคือ ให้ผู้เรียนรู้สึกภาคภูมิใจและเกิดส�ำนึกของ ความเปน็ ชาตริ ่วมกัน เพอ่ื ใหร้ กั ชาตแิ ละร่วมกันสร้างและพฒั นาชาติตามอดุ มการณ์ของแตล่ ะชาติ วัตถุประสงค์หลัก ๑. ทราบและเขา้ ใจความหมายของประวตั ศิ าสตร์ เหตผุ ลของการศกึ ษาประวตั ศิ าสตร์ รวมทง้ั การศกึ ษา ประวตั ิศาสตรช์ าติ วธิ ีการศึกษา ตลอดทั้งแนวคดิ ในการตคี วามและอธิบาย ๒. ทราบข้อที่ควรตระหนกั และขอ้ พิจารณาในการศกึ ษาประวัตศิ าสตรไ์ ทย ๓. ศกึ ษาหลักฐานทางประวัตศิ าสตร์สมัยอยุธยาถึงกอ่ นสมัยใหม่ ๔. เสนอแหลง่ ที่มาของหลักฐานเก่ียวกบั ประวัตศิ าสตรไ์ ทยออนไลน์ เน้ือหาหลัก ความหมายของ “ประวัติศาสตร์” (history) โดยทั่วไปหมายถึงเหตุการณ์เกี่ยวกับการกระท�ำ ของมนุษย์ในอดตี โดยเจาะจงหมายถึงการศึกษาเกี่ยวกับเหตุการณด์ ังกล่าว ซง่ึ เปน็ วชิ าหน่งึ ท่อี าจจัดอยูใ่ นสาขา วชิ ามนษุ ยศาสตรห์ รอื สงั คมศาสตร์ ในฐานะท่ีประวัติศาสตร์เป็นวิชาหรือศาสตร์ ประวัติศาสตร์ท�ำหน้าที่ศึกษาค้นหาความจริงเพื่อ ท�ำความเข้าใจเหตุการณ์เก่ียวกับการกระท�ำของมนุษย์ในอดีต ซึ่งต้องตอบค�ำถามพ้ืนฐาน ๕ ค�ำถามว่า ใคร ท�ำอะไร อย่างไร ที่ไหน เม่ือไหร่ เพื่อใช้ตอบค�ำถามส�ำคัญว่า ท�ำไมหรือเพราะเหตุใดมนุษย์จึงกระท�ำ เรือ่ งนนั้ ๆ เป็นการอธิบายความเชงิ เหตแุ ละผล ในปัจจุบัน นกั วิชาการได้อาศยั แนวคิดหรอื ทฤษฎตี า่ งๆ ในสาขา วชิ ามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตรม์ าหาความสัมพันธข์ องข้อเทจ็ จรงิ เพอ่ื ตอบค�ำถามนี้ เพื่อตอบค�ำถามเหล่านั้นได้อย่างน่าเช่ือถือและเป็นท่ียอมรับ ประวัติศาสตร์ได้พัฒนาวิธีการศึกษา ท่ีมีลักษณะเฉพาะของตน เรียกว่า “วิธีการทางประวัติศาสตร์” (historical method) ซึ่งให้ความส�ำคัญมาก กับการประเมินความน่าเช่ือถือของข้อเท็จจริงและหลักฐานประเภทลายลักษณ์ที่น�ำมาศึกษา การตอบค�ำถาม ทางประวัตศิ าสตร์จงึ ต้องผ่านกระบวนการคดิ วิเคราะห์และสงั เคราะห์ตง้ั แตต่ น้ จนจบกระบวนการศึกษา อยา่ งไรก็ตาม การตอบคำ� ถามทางประวัตศิ าสตรข์ ึ้นอยู่กับองค์ประกอบส�ำคัญ ๔ องค์ประกอบ ไดแ้ ก่ ๑) เร่อื งท่ศี กึ ษา และแนวเร่ือง หรือพล็อต (plot) ๒) ขอ้ เท็จจริงท่ีได้มาจากหลกั ฐานประเภทลายลกั ษณอ์ กั ษร เพอ่ื ตอบคำ� ถามพนื้ ฐานตามเรอ่ื งทศ่ี กึ ษา ๓) การตคี วามและการอธบิ ายความของผศู้ กึ ษา เพอื่ หาความหมายและ ประวัติศาสตร์ชาติไทย 3 2-aw-�����1-�������������-18.5x26 cm.indd 3 11/12/2565 BE 21:33

ท�ำความเข้าใจกับข้อเท็จจรงิ และคำ� ตอบทไี่ ด้ ๔) ผศู้ กึ ษา ซ่ึงเปน็ ผูก้ ำ� หนดเร่อื งทศี่ ึกษา และแนวเร่ือง หรอื พล็อต ดงั นน้ั ความรู้ แนวคดิ หรอื ทฤษฎี และทศั นะหรอื มมุ มองของผศู้ กึ ษามอี ทิ ธพิ ลตอ่ การศกึ ษาประวตั ศิ าสตรต์ ง้ั แตต่ น้ จนจบกระบวนการศึกษา โดยเฉพาะการตคี วามและอธิบายความ และการตอบค�ำถามส�ำคัญ เนอื่ งจากการศกึ ษาประวตั ศิ าสตรเ์ นน้ การอธบิ ายความเชงิ สาเหตแุ ละผล (causes and consequences) ท�ำให้ต้องศึกษาการกระท�ำของมนุษย์เชิงเหตุการณ์และพัฒนาการ แต่พัฒนาการน้ันยาวนาน บางครั้งจึงต้อง กำ� หนดขอบเขตทศี่ กึ ษา โดยคำ� นงึ ถงึ เนอ้ื หาหรอื ประเดน็ พนื้ ท่ี ระยะเวลาหรอื ยคุ สมยั เชน่ ประวตั ศิ าสตรก์ ารเมอื ง ไทยในสมยั อยธุ ยา ประวัตศิ าสตร์ท้องถนิ่ นครนายก “ชาติ” ก็เป็นเรื่องหนึ่งท่ีมีการศึกษา เรียกว่า “ประวัติศาสตร์ชาติ” (national history) ทั้งน้ีเพ่ือ ให้ทราบ และเข้าใจความเป็นมาของชาติหรือประเทศ มีเน้ือหาครอบคลุมทุกด้าน ได้แก่ การเมือง เศรษฐกิจ สังคม ศิลปวฒั นธรรม โดยทั่วไป การศกึ ษาประวตั ิศาสตร์มจี ุดมุ่งหมายที่จะแสดงให้เหน็ พัฒนาการของชาตนิ ้นั ๆ และท�ำให้ประชาชน มีความส�ำนึกของความเป็นชาติร่วมกัน เพื่อบรรลุเป้าหมายหรืออุดมการณ์ของชาติ ซงึ่ แตกตา่ งกนั ไปในแตล่ ะประเทศหรอื ชาติ การศึกษาประวัติศาสตร์ชาติเป็นกระบวนการหนึ่งของการสร้างประเทศหรือรัฐชาติ พร้อมกับ การสรา้ งรฐั ชาติ (nation-state) ในยโุ รปในศตวรรษท่ี ๑๙-๒๐ (พทุ ธศตวรรษท่ี ๒๔-๒๕) ตามหลกั การทว่ี า่ รฐั ชาติ ตอ้ งมเี ขตแดนทแี่ นน่ อน มรี ฐั บาลกลาง มปี ระชาชนทมี่ สี ำ� นกั ของความเปน็ ชาตริ ว่ มกนั รฐั บาลแตล่ ะประเทศมกั ใช้ การศึกษาประวตั ิศาสตร์ชาตเิ ปน็ เครอ่ื งมือสร้างสำ� นึกดังกล่าว ทำ� ให้การศกึ ษาประวัติศาสตรช์ าติให้ความส�ำคัญ กบั ประวตั ศิ าสตรส์ ว่ นกลาง เพอ่ื กำ� หนดอดุ มการณข์ องชาติ ในระยะหลงั จงึ มกี ารศกึ ษาประวตั ศิ าสตรใ์ นพน้ื ทเ่ี ลก็ ลง กวา่ ระดบั ชาติ เรยี กวา่ “ประวตั ศิ าสตรท์ อ้ งถน่ิ ” (local history) อยา่ งไรกต็ าม โดยทวั่ ไป การศกึ ษาประวตั ศิ าสตร์ ทอ้ งถิ่นก็ยังมีประวตั ิศาสตร์ชาตเิ ป็นกรอบ การท�ำความเข้าใจลักษณะหรือธรรมชาติของวิชาประวัติศาสตร์หรือการศึกษาประวัติศาสตร์ต้ังแต่ต้น ในบทน้ี จะช่วยให้เข้าใจการศึกษาประวัติศาสตร์ในแง่ของความหมาย แนวคิด และวิธีการศึกษา เหตุผลท่ีต้อง ศึกษา ตลอดจนแหลง่ ขอ้ มลู หรือหลกั ฐานประวตั ิศาสตร์ต่างๆ โดยเฉพาะอยา่ งย่งิ แหลง่ ขอ้ มูลออนไลน์ ซงึ่ ค้นควา้ ได้ง่ายในปัจจุบัน และจะช่วยให้เข้าใจว่า เพราะเหตุใดความรู้ทางประวัติศาสตร์จึงมีเร่ืองและประเด็นศึกษา จำ� นวนมาก แมเ้ ป็นเรือ่ งทเ่ี คยมผี ู้ศึกษามาบา้ งแลว้ กม็ กี ารน�ำเสนอขอ้ สรุปใหมอ่ ยู่เสมอ บ้างกม็ กี ารตีความและ อธิบายความในแนวทางเดียวกัน บ้างก็แตกต่าง เกิดเป็นประเด็นโต้แย้งและถกเถียง อีกทั้งยังมีส�ำนักคิดและ วาทกรรมที่แตกต่างกันในการตคี วามและอธบิ ายความ กรณศี กึ ษา ๑.๑ ประวตั ิศาสตร์ : ความหมาย เหตผุ ลท่ีต้องศกึ ษา และวธิ กี ารศึกษา ในการศึกษาประวัติศาสตร์ ผู้ศึกษาควรเข้าใจความหมายของประวัติศาสตร์และเหตุผลที่ต้องศึกษา ประวตั ิศาสตรเ์ ป็นเบ้ืองตน้ เสียกอ่ น เพอ่ื จะไดท้ ราบว่า ประวตั ิศาสตรศ์ กึ ษาอะไร และมีความส�ำคัญอะไร จากนน้ั จึงท�ำความเข้าใจกับลักษณะหรือธรรมชาติของวิชาประวัติศาสตร์ เพื่อให้ทราบถึงวิธีการศึกษาที่เรียกว่าวิธีการ ทางประวตั ศิ าสตร์ ซ่งึ เป็นกระบวนการศกึ ษาท่เี ป็นระบบ อาศัยขอ้ เทจ็ จรงิ และหลักฐาน แตก่ ็มกี ารตีความ และ 4 ประวัติศาสตร์ชาติไทย 2-aw-�����1-�������������-18.5x26 cm.indd 4 11/12/2565 BE 21:33

อธิบายความ ซึ่งอาจแตกต่างกันได้ตามข้อเท็จจริง หลักฐาน ทัศนะและแนวทางการศึกษาของผู้ศึกษาแม้แต่ “ประวัตศิ าสตรช์ าต”ิ ก็เป็นแนวทางหนึ่งของการศึกษาประวตั ศิ าสตร์ หัวข้อนจ้ี ะกลา่ วถงึ ความหมายของประวัตศิ าสตร์ เหตผุ ลทตี่ ้องศกึ ษาและศกึ ษาอย่างไร อีกทง้ั กลา่ วถึง ความหมายของประวัตศิ าสตร์ชาต ิ ตอนท้ายได้ยกตัวอยา่ งแหลง่ ข้อมลู และหลกั ฐานเกย่ี วกับประวตั ศิ าสตรไ์ ทย ที่มีหนว่ ยงานออนไลนไ์ ว้ สำ� หรบั คน้ ควา้ ตอ่ ไป ๑. ประวตั ิศาสตรค์ อื อะไร ? มีค�ำนิยามหรือความหมายของค�ำว่า “ประวัติศาสตร์” (history) เป็นจ�ำนวนมาก เน่ืองจาก นักประวัติศาสตร์ซ่ึงมีผลงานเขียนด้านประวัติศาสตร์ ทั้งนักประวัติศาสตร์อาชีพ คือผู้ท่ีฝึกศึกษาด้านน้ีโดยตรง และนักประวัติศาสตร์สมัครเล่น คือผู้ฝึกศึกษาด้านนี้ด้วยตนเอง ต่างให้ค�ำนิยามหรือความหมายไว้ต่างๆ กันซ่ึงย่อมเป็นไปตามปรัชญา ทัศนะ และประสบการณ์ของการศึกษาประวัติศาสตร์ของผู้ให้ความหมาย โดยมคี วามหมายที่ควรทราบจากนักประวัติศาสตร์ ดังน้ี ขจร สขุ พานชิ เร่ืองราวของคนทีม่ ีการจดบันทกึ ไว้ นิธิ เอยี วศรีวงศ์ และอาคม พฒั ยิ ะ การศกึ ษาอดตี แตอ่ ดตี ทปี่ ระวัตศิ าสตรศ์ ึกษาคือ อดีตของมนษุ ย์ “มนุษยเ์ ป็นศนู ยก์ ลางของการศกึ ษาประวตั ิศาสตร”์ หลวงวจิ ิตรวาทการ เร่ืองราวว่าด้วยความเปน็ ไปของมนุษย์ซง่ึ เกิดขน้ึ เสรจ็ สนิ้ ไปแลว้ และมหี ลกั ฐาน ยืนยันว่าเปน็ จริง แถมสขุ นมุ่ นนท์ การไตส่ วนเขา้ ไปใหร้ ถู้ งึ ความจรงิ เกย่ี วกบั พฤตกิ รรมของมนษุ ยชาตทิ เี่ กดิ ขนึ้ ในชว่ งใด ช่วงหน่งึ ของอดีต วินัย พงศ์ศรเี พยี ร เรอ่ื งราวหรือเหตกุ ารณ์เกี่ยวกบั มนุษย์ซงึ่ ได้เกิดข้นึ แลว้ ในอดีต คาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx) เรื่องราวของการต่อส้ทู างชนช้ัน ดกั ลาส เดวสิ (Douglas Davies) เรอื่ งของการตคี วาม อ.ี เอช. คาร์ (E. H. Carr) ขบวนการอันต่อเนอื่ งของกรยิ าตอบโตร้ ะหวา่ งประวตั ศิ าสตรก์ ับขอ้ เท็จจริง เป็นบทสนทนาที่ไม่รู้จบระหว่างอดีตกับปัจจุบัน...ขบวนการของกริยาตอบโต้ระหว่างนักประวัติศาสตร์กับข้อ เท็จจริง มิใช่บทสนทนาระหว่างปัจเจกบุคคลท่ีเป็นนามธรรมและอยู่โดดเดี่ยว แต่เป็นเร่ืองระหว่างสังคมวานน้ี กบั สงั คมวันน้ี แฟรงก์ จี. วลิ ลิสตัน (Frank G. Williston) ทุกสง่ิ ทีค่ นได้ท�ำ ไดค้ ดิ ได้หวัง และไดร้ ู้สึก ลิโอโปลด์ วัน รังเก (Leopold von Ranke) ประวัติศาสตร์ต้องการแสดงให้เห็นแต่เพียงว่า เกิดอะไรขึ้นจริงๆ หลุยส์ กอตสช์ อล์ค (Louis Gottschalk) เร่ืองราวของมนุษย์ (ในอดตี ) ท่ีกล่าวตามลำ� ดบั เวลา อาร.์ จ.ี คอลลงิ วดู (R. G. Collingwood) ขบวนการแหง่ การคน้ หา เมอ่ื พบแลว้ ใหแ้ สดงสง่ิ ทพี่ บออกมา เฮโรโดตสั (Herodotus) การไต่สวน Historia (Histories) สรุปได้ว่าประวัติศาสตร์มี ๒ ความหมาย คือ ๑) ความหมายกว้าง หมายถึงเร่ืองราวเกี่ยวกับอดีต ของมนุษย์ซึ่งมีหลักฐานยืนยันโดยเฉพาะอย่างย่ิงการจดบันทึก และ ๒) ความหมายเฉพาะ ซ่ึงหมายถึง การศกึ ษาเร่อื งราวตา่ งๆ ในอดีตท่ีมีมนษุ ยเ์ ป็นศนู ยก์ ลางของการศกึ ษา เชน่ พฤติกรรม กิจกรรม ความรสู้ ึกนึกคิด เปน็ การอนมุ านจากขอ้ เทจ็ จรงิ ทไี่ ดจ้ ากหลกั ฐานประเภทตา่ งๆ ดว้ ยวธิ กี ารทางประวตั ศิ าสตร์ แลว้ รายงานผลทไ่ี ด้ ประวัติศาสตร์ชาติไทย 5 2-aw-�����1-�������������-18.5x26 cm.indd 5 11/12/2565 BE 21:33

ในอดตี คนไทยใช้คำ� อนื่ เรยี กเรอ่ื งราวในอดีต เชน่ ตำ� นาน โบราณคดี พงศาวดาร ประวตั ิความเป็นมา ภายหลังเมื่อค�ำว่า “ประวัติศาสตร์” เป็นที่ยอมรับแพร่หลาย ค�ำเดิมจึงมีความหมายเฉพาะ เช่น ต�ำนาน คอื เรอื่ งที่บอกเล่าต่อๆ กนั มา ซงึ่ มกั เกย่ี วข้องกบั สถานท่ี เมือง โบราณคดี คอื ชอ่ื วชิ าซ่ึงศกึ ษาเร่ืองราวในอดตี ของ มนษุ ยเ์ ชน่ เดยี วกบั ประวตั ศิ าสตร์ แตเ่ นน้ ศกึ ษาหาขอ้ มลู จากหลกั ฐานชน้ั ตน้ ทไี่ มใ่ ชล่ ายลกั ษณอ์ กั ษร พงศาวดาร คอื หนังสอื ประวตั ิศาสตร์ประเภทหนึ่งซ่งึ สว่ นใหญ่เกี่ยวกับพระราชวงศแ์ ละพระมหากษัตริย์ หรอื ท่เี รยี กวา่ พระราช พงศาวดาร ประวตั ิ หมายถงึ เรอ่ื งราวของบคุ คล อาคารสถานท่ี สถาบนั หรอื องคก์ ารทไ่ี ลเ่ รยี งตามลำ� ดบั เหตกุ ารณ์ และมักไมม่ กี ารวเิ คราะหว์ ิจารณ์ ๒. ทำ� ไมตอ้ งศกึ ษาประวัติศาสตร์ ? การศึกษาประวัติศาสตร์เกิดประโยชน์ท้ังในด้านเน้ือหา และวิธีการศึกษา สิ่งส�ำคัญซึ่งเกิดข้ึนตลอด กระบวนการศกึ ษาคอื การคดิ วิเคราะหอ์ ิงข้อเทจ็ จรงิ (factual analysis) เพอื่ การตดั สินใจที่รอบคอบ (critical thinking) และมีความคดิ เหน็ อิงข้อเท็จจรงิ (factual opinion) ด้านเน้ือหา การศึกษาประวัติศาสตร์ช่วยให้มีความรู้และเข้าใจเกี่ยวกับความเป็นมาจากอดีตจนถึง ปจั จุบนั ของมนษุ ย์ในทุกด้าน เช่น การเมือง เศรษฐกจิ สงั คม และศลิ ปวัฒนธรรม หรอื อารยธรรม ซงึ่ เกย่ี วพันกัน ตั้งแตร่ ะดับบคุ คล ชุมชน สังคม ประเทศชาติ โลก และพัฒนาสบื เน่อื งต่อมาจนถงึ ปัจจุบนั การศกึ ษาเร่อื งราว หรอื ความเปน็ มาดงั กลา่ ว โดยทว่ั ไปเปน็ เหตกุ ารณท์ สี่ ำ� คญั (historical significance) หรอื เปน็ จดุ เปลย่ี น (turning point) ซงึ่ ทำ� ใหเ้ หตกุ ารณต์ า่ งๆ ทดี่ ำ� เนนิ มาเปน็ ปกตอิ ยา่ งตอ่ เนอ่ื ง (continuity) เปลย่ี นแปลง (change) ทศิ ทาง อยา่ งชดั เจน การจะเหน็ เรอื่ งราวนน้ั ไดต้ อ้ งมกี ารจดั ลำ� ดบั เหตกุ ารณ์ (chronology) เกดิ เปน็ พฒั นาการของเหตกุ ารณ์ (development) ทเ่ี ชอื่ มอดตี อนั ไกลโพน้ หรอื ระยะใดระยะหนงึ่ กบั อดตี ใกลต้ วั ของคนในแตล่ ะรนุ่ ขณะเดยี วกนั การศึกษาหาความสัมพันธ์ของเหตุการณ์เชิงสาเหตุและผล (cause and consequence) ท�ำให้เห็นถึงการ ให้เหตุผล (reasoning) ทางประวัติศาสตร์ การศึกษาประวัติศาสตร์จึงช่วยให้มนุษย์เข้าใจความเป็นมา หรือ สถานการณใ์ นปัจจุบันได้ดขี ้ึน โดยเฉพาะการอธบิ ายเหตุและผลทางประวัติศาสตร์ นอกจากนน้ั เหตุการณ์หน่ึงๆ ไม่ไดเ้ กดิ โดดๆ แตม่ ีเหตุการณอ์ ่ืนทเี่ กิดขึ้นพรอ้ มๆ กัน หรอื ในช่วงเวลา เดียวกัน เหตุการณ์หนึ่งๆ จึงเป็นปมที่ซับซ้อน (complexity) การศึกษาสภาพแวดล้อมหรือบริบททาง ประวัติศาสตร์ (historical context) ของเหตุการณ์ที่ก�ำลังศึกษาจึงเป็นเรื่องจ�ำเป็น เพราะท�ำให้เห็น เหตุการณ์หรือสถานการณ์แวดล้อม (circumstantial events) ซึ่งอาจเป็นปัจจัยสนับสนุนให้เกิด เหตุการณ์ส�ำคัญน้ันๆ สภาพแวดล้อมทางประวัติศาสตร์จึงช่วยให้ผู้ศึกษาเข้าใจสาเหตุและผลของเหตุการณ์ ที่ก�ำลงั ศกึ ษาได้อยา่ งรอบดา้ นและชว่ ยลดอคติ การรู้และเขา้ ใจเรื่องราวในอดีตอย่างรอบดา้ น และมีอคติแต่น้อย จะท�ำให้บทเรียนเก่ียวกับความส�ำเร็จและความล้มเหลวท่ีถอดมาได้น่าเช่ือถือและใช้ประโยชน์ได้ แม้เหตุการณ์ คลา้ ยๆ เดมิ เกดิ ขนึ้ อยเู่ สมอ แตป่ ระวตั ศิ าสตรไ์ มเ่ คยซำ�้ รอยเดมิ เพราะเวลาเคลอื่ นไปตลอดเวลา การรเู้ ทา่ ทนั สาเหตุ และปัจจัยที่ท�ำให้เกิดผลที่ตามมาซ่ึงเป็นได้ท้ังเหตุการณ์ดีหรือร้าย ท�ำให้มนุษย์สามารถเตรียมตัวเผชิญ กบั ผลที่จะเกิดข้นึ หรือพยายามปอ้ งกนั ไมใ่ หผ้ ลร้ายเกดิ ข้นึ หรือช่วยลดความรนุ แรงลงได้ ดา้ นวธิ กี ารศกึ ษา การศกึ ษาประวตั ศิ าสตร์ คอื การไตส่ วนหรอื การคน้ ควา้ หาความจรงิ อยา่ งคดิ วเิ คราะห์ ด้วยการคิดแบบประวตั ิศาสตร์ (historical thinking) และใช้วิธีการทางประวตั ิศาสตร์ (historical method) ในการศกึ ษาขอ้ เท็จจรงิ ทางประวัติศาสตร์ (historical fact) ซ่ึงเปน็ ขอ้ มูล (information) ท่ีได้จากแหลง่ ที่มา ของขอ้ มลู (source) เรยี กวา่ หลกั ฐาน ซงึ่ ทงั้ แหลง่ ทมี่ าของขอ้ มลู และขอ้ มลู ตอ้ งผา่ นการประเมนิ หรอื วพิ ากษค์ ณุ คา่ 6 ประวัติศาสตร์ชาติไทย 2-aw-�����1-�������������-18.5x26 cm.indd 6 11/12/2565 BE 21:33

แลว้ วา่ ถกู ตอ้ งและนา่ เชอ่ื ถอื เพอื่ ตคี วาม (interpretation) และอธบิ ายความ (explanation) สำ� หรบั ตอบคำ� ถาม ทต่ี งั้ ไวต้ ่อไป ซงึ่ สว่ นใหญเ่ ปน็ การตอบแบบพรรณนา (narrative) คอื รอ้ ยเรยี งเป็นเรื่องราว (story) เกิดเปน็ งาน เขยี นทางประวตั ศิ าสตร์ ในการศึกษาประวัติศาสตร์ มีการศึกษางานเขียนทางประวัติศาสตร์ เรียกว่า “ประวัติศาสตร์นิพนธ์” (historiography) เนอื่ งจากการศกึ ษาประวตั ศิ าสตรข์ น้ึ อยกู่ บั หลกั ฐานและขอ้ เทจ็ จรงิ การตคี วาม หรอื แปลความ และอธิบายความเกย่ี วกบั อดีตของคนสมยั หลัง (หรอื ปจั จุบันของแตล่ ะรุ่น) เพือ่ มงุ่ หวังทจ่ี ะเขา้ ใจปจั จบุ ันของตน ดังนั้นหลักฐานและข้อเท็จจริงที่ค้นพบใหม่ ตลอดจนปรัชญา ความรู้สึกนึกคิด ผลประโยชน์ของคนแต่ละคน แต่ละสมยั ทต่ี า่ งกัน อาจทำ� ให้การตคี วามและอธิบายความต่างกนั ไป จึงมีการศกึ ษางานเขยี นทางประวตั ศิ าสตร์ เพอื่ ศกึ ษาวธิ ศี กึ ษา การตคี วามและอธบิ ายความ การนำ� เสนอ ตลอดทง้ั ปรชั ญาและความคดิ ของผเู้ ขยี นทแี่ สดงออก โดยตรงหรือแฝงอยู่ในงานเขียน ซึง่ กค็ ือการประเมินคุณคา่ หรอื วิพากษ์งานเขียนทางประวตั ศิ าสตรน์ ่นั เอง ดงั นัน้ ประโยชนท์ ไี่ ดจ้ ากการศกึ ษาประวตั ศิ าสตรแ์ ละประวตั ศิ าสตรน์ พิ นธจ์ งึ เปน็ กระบวนการพฒั นาทกั ษะการรจู้ กั คดิ วเิ คราะหท์ ไี่ ดจ้ ากการคดิ แบบประวตั ศิ าสตร์ และวธิ กี ารทางประวตั ศิ าสตร์ ตงั้ แตก่ ารรจู้ กั วธิ ตี ง้ั คำ� ถาม การคน้ หา แหล่งขอ้ มลู หรอื หลกั ฐาน การจดบนั ทึกข้อมูล การประเมนิ คณุ ค่าความถกู ตอ้ งและความน่าเชือ่ ถือของทัง้ ข้อมูล และแหล่งขอ้ มูล เพือ่ หาข้อเทจ็ จรงิ ทางประวตั ิศาสตร์ การตีความหรือแปลความข้อเท็จจรงิ การหาความสำ� คัญ และความสัมพันธ์ของข้อเท็จจริงเชิงเหตุและผล การสรุปความและอธิบายความ เพ่ือเรียบเรียงเป็นเรื่องราว ตลอดทัง้ รูแ้ ละเขา้ ใจผลงานทางประวัตศิ าสตรห์ รอื ประวตั ิศาสตรน์ พิ นธ์อย่างรูเ้ ทา่ ทนั อกี ด้วย ๓. ศึกษาประวตั ิศาสตรอ์ ยา่ งไร ? การศกึ ษาประวตั ศิ าสตรต์ อ้ งอาศยั การคดิ แบบประวตั ศิ าสตร์ และวธิ ศี กึ ษาประวตั ศิ าสตร์ ซง่ึ เปน็ ทกั ษะ ซึง่ ฝึกหดั กนั ได้ต้งั แตก่ ารศกึ ษาในโรงเรียน คอื ๑) การคดิ แบบประวตั ิศาสตร์ และ ๒) วิธกี ารทางประวตั ศิ าสตร์ ๓.๑ การคิดแบบประวัติศาสตร์ (historical thinking) คืออะไร ? การคิดแบบประวัติศาสตร์เป็น การคดิ อยา่ งทนี่ กั ประวตั ศิ าสตรค์ ดิ ซงึ่ แสดงออกทางทกั ษะในการอา่ นเขยี นทางประวตั ศิ าสตร์ (historical literacy) ทกั ษะเหลา่ นเ้ี กยี่ วขอ้ งกบั วธิ กี ารทางประวตั ศิ าสตรน์ นั่ เอง เชน่ การตงั้ คำ� ถาม การคน้ ควา้ รวบรวมและประเมนิ คณุ คา่ หลกั ฐานประเภทตา่ งๆ (sourcing) การตคี วาม การอธบิ ายความ การสรปุ และนำ� เสนอ อยา่ งไรกด็ ี เพอื่ ความชดั เจน ไดม้ ผี สู้ รปุ กรอบความคดิ หลกั หรอื ทกั ษะในการคดิ แบบประวตั ศิ าสตรไ์ วห้ ลายกรอบ จะกลา่ วถงึ เพยี ง ๓ กรอบ ไดแ้ ก่ ๑) The Big Six ๒) เกณฑ์มาตรฐานการคดิ แบบประวตั ศิ าสตร์ มารแ์ ชล มาโพซา และโยฮนั วอสเซอร์มนั น์ และ ๓) การคดิ แบบประวัตศิ าสตรข์ องมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ๓.๑.๑ The Big Six ปีเตอร์ เซชัส และทอม มอร์ตัน (Peter Seixas และ Tom Morton) สรุปการคดิ แบบประวัตศิ าสตรไ์ ว้ ๖ ความคิดหลกั ซ่งึ ตอ้ งมที กั ษะต่างๆ ได้แก่ ๑) ความส�ำคญั ทางประวัตศิ าสตร์ (historical significance) กำ� หนดไดว้ ่าอะไรมคี วามสำ� คญั ทางประวัตศิ าสตร์ (establish historical significance) เปน็ การพจิ ารณาวา่ ผู้คน เหตกุ ารณ์ และพัฒนาการ อะไรท่ีท�ำให้เกิดการเปล่ียนแปลงอย่างลึกซึ้งต่อผู้คนจ�ำนวนมาก หรือเป็นเรื่องท่ีมีความหมายส�ำคัญในเร่ืองราว ทางประวตั ศิ าสตร์ (narratives) ๒) หลักฐานอ้างอิง (evidence) เป็นการใช้หลักฐานอ้างอิงท่ีได้จากแหล่งข้อมูลช้ันต้นหรือ หลักฐานชั้นต้น (use primary source evidence) ประวัติศาสตร์เป็นการตีความข้อมูลท่ีได้จากแหล่งข้อมูล หรือหลักฐานชั้นต้น (primary source) จึงต้องรู้จักตัวหลักฐานว่าเป็นประเภทไหน ใครสร้าง สร้างเม่ือไหร่ ประวัติศาสตร์ชาติไทย 7 2-aw-�����1-�������������-18.5x26 cm.indd 7 11/12/2565 BE 21:33

วตั ถปุ ระสงคข์ องการสรา้ ง คา่ นยิ มและทศั นะของผสู้ รา้ ง การวเิ คราะห ์ ตวั หลกั ฐานตอ้ งดบู รบิ ททางประวตั ศิ าสตร์ การตคี วามตอ้ งดูหลกั ฐานอื่นประกอบ ๓) ความต่อเน่ืองและการเปล่ียนแปลง (continuity and change) ระบุได้ว่าอะไรคือ เหตกุ ารณท์ ี่เกิดต่อเนอื่ ง อะไรคอื เหตุการณท์ ที่ ำ� ใหเ้ กดิ การเปลย่ี นแปลง (identify continuity and change) อะไรเป็นจุดเปลี่ยน (turning point) ที่ท�ำให้เส้นทางเคล่ือนไปทางประวัติศาสตร์นั้นเปลี่ยนไปอีกทิศทางหน่ึง การประเมินการเคล่ือนไปทางประวัติศาสตร์ท่ีเกิดขี้นในระยะยาวท�ำให้ประเมินความก้าวหน้าและเส่ือมถอยได้ การก�ำหนดยุคสมัย (periodization) เป็นกระบวนการตีความและตัดสินว่า เหตุการณ์หรือพัฒนาการใด ประกอบกันเขา้ เปน็ ยคุ สมยั ได้ ๔) สาเหตุและผล (cause and consequence) การวเิ คราะห์ หรอื แยกแยะหาสาเหตแุ ละผล (analyze cause and consequence) เปน็ การพจิ ารณาวา่ เพราะเหตใุ ดจงึ เกดิ เหตกุ ารณข์ นึ้ และเหตกุ ารณท์ เ่ี กดิ นน้ั มผี ลอยา่ งไร การเปลยี่ นแปลงมสี าเหตจุ ำ� นวนมาก และเกดิ ผลจำ� นวนมาก ทำ� ใหเ้ กดิ ปมซบั ซอ้ นของสาเหตแุ ละผล ท้ังในระยะสั้นและระยะยาวท่ีเกี่ยวข้องกัน เหตุการณ์หนึ่งๆ ต้องมี ๑) ตัวแสดงในอดีตหรือในประวัติศาสตร์ (historical actor) ซึ่งเป็นบคุ คลหรอื กลมุ่ บคุ คลทท่ี �ำให้เกิดเหตุการณ์ และ ๒) สถานการณ์หรือปจั จยั ทางการ เมอื ง เศรษฐกจิ สงั คม และวัฒนธรรม ๕) ทศั นะทางประวตั ศิ าสตร์ (perspectives) การเขา้ ใจทศั นะทางประวตั ศิ าสตร์ (take historical perspectives) จะท�ำให้เข้าใจทัศนะการมองโลกหรือโลกทัศน์ (ความเช่อื คา่ นิยม และแรงจูงใจ) ของคนในอดตี ว่าตา่ งจากปัจจบุ นั จึงตอ้ งหลกี เล่ยี งการใชม้ าตรฐานปจั จบุ นั ตัดสินตวั แสดงในอดีต การเขา้ ใจสภาพแวดล้อมหรอื บรบิ ททางประวัติศาสตร์จะช่วยใหเ้ ข้าใจโลกทัศนข์ องตวั แสดงในอดีตได้ดีที่สุด การยอมรับโลกทศั น์ของตวั แสดง ในอดีตคอื การอนมุ านว่าผู้คนในอดีตรูส้ ึกและคดิ อยา่ งไร ตวั แสดงแตล่ ะคนมกี ารรบั รเู้ หตกุ ารณท์ แ่ี ตล่ ะคนเขา้ ไป เกีย่ วขอ้ งตา่ งกนั โดยมีหลักฐานยนื ยัน ๖) จริยธรรมทางประวัติศาสตร์ (ethical dimension of historical interpretations) เปน็ การตคี วามประวตั ศิ าสตรใ์ นทางจรยิ ธรรม ในการเขยี นประวตั ศิ าสตร์ ผเู้ ขยี นตดั สนิ อดตี ดา้ นจรยิ ธรรมโดยตรง และโดยอ้อม การตัดสินอย่างมีเหตุผลจะต้องยอมรับบริบททางประวัติศาสตร์ ต้องระวังไม่ใช้มาตรฐานปัจจุบัน ไปตดั สนิ อดตี วา่ ผดิ หรอื ถกู ๓.๑.๒ เกณฑม์ าตรฐานการคดิ แบบประวตั ศิ าสตร์ มารแ์ ชล มาโพซา และโยฮนั วอสเซอรม์ ันน์ (Marshall Maposa และ Johan Wassermann) สรุปกรอบความคิดหลักของการคิดทางประวัติศาสตร์ ซงึ่ ไดจ้ ากงานเขยี นของนกั วชิ าการจำ� นวนมากทเี่ สนอไวใ้ นเวลาตา่ งๆ กนั แลว้ กำ� หนดเปน็ เกณฑม์ าตรฐาน ๕ เกณฑ์ หรือมิติ (dimension) ส�ำหรับเป็นกรอบความคิดหลักเพื่อใช้วัดทักษะในการอ่านเขียนทางประวัติศาสตร์หรือ การคิดแบบประวัติศาสตร์ ได้แก่ ๑) ความรู้ (knowledge) เกี่ยวกับเหตุการณ์และเร่ืองราว (narratives) ซง่ึ เกณฑน์ ท้ี ำ� ใหเ้ นน้ ความจำ� ๒) ความเขา้ ใจเกยี่ วกบั แนวคดิ หลกั ทางประวตั ศิ าสตร์ (conceptual understanding) เช่น เวลา สาเหตุและผล การเปล่ียนแปลงและการต่อเน่ือง ๓) งานเก่ียวกับหลักฐาน (วิธีทางประวัติศาสตร์) (source work -historical method) เช่น การรวบรวมและประเมินแหล่งทีม่ าขอ้ มลู หรือหลักฐาน (sourcing) การวิเคราะห์และประเมินคุณค่าหลักฐาน ๔) ส�ำนึกทางประวัติศาสตร์ (historical consciousness) เช่น การเขา้ ใจความเชอื่ มโยงระหวา่ งอดตี ปจั จบุ นั และอนาคต และ ๕) ภาษาทางประวตั ศิ าสตร์ (historical language) การเขา้ ใจและใช้ภาษาทางประวัติศาสตรซ์ ่ึงอาจมีลกั ษณะเฉพาะ 8 ประวัติศาสตร์ชาติไทย 2-aw-�����1-�������������-18.5x26 cm.indd 8 11/12/2565 BE 21:33

๓.๑.๓ การคิดแบบประวัติศาสตร์ของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย แบ่งเป็น ๕ วิธีการ ได้แก่ ๑) จัดความคิดตามล�ำดับเหตุการณ์ (chronological thinking) คือการเข้าใจถึงมิติของเวลา อดีต ปัจจุบัน อนาคต เพื่อจัดล�ำดับเหตุการณ์ตามเวลาท่ีเกิด ให้เห็นความต่อเน่ืองและการเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์ ๒) เขา้ ใจประวตั ศิ าสตร์ (historical comprehension) เปน็ การทำ� ความเขา้ ใจประวตั ศิ าสตรจ์ ากการอา่ น การฟงั เรอื่ งราวในอดตี การรจู้ กั โครงสรา้ งเรอ่ื งราวในอดตี เชน่ การเกดิ เหตกุ ารณ์ และผลทต่ี ามมา การเขา้ ใจอดตี ในสายตา ของคนในอดตี ๓) วเิ คราะหแ์ ละตคี วามประวตั ศิ าสตร์ (historical analysis and interpretation) รจู้ กั เปรยี บเทยี บ ความเหมอื นและความตา่ งระหวา่ งเรอื่ งราวในอดตี กบั ปจั จบุ นั วเิ คราะหไ์ ดว้ า่ ความตา่ งในเรอ่ื งราวตา่ งๆ ทำ� ไมจงึ มี อทิ ธพิ ลตอ่ พฤตกิ รรมของมนษุ ย์ ๔) มคี วามสามารถทางการวจิ ยั ประวตั ศิ าสตร์ (historical research capabilities) การรู้จักตั้งค�ำถามเมื่อเจอหลักฐานและข้อมูลประเภทต่างๆ การรู้จักเรียบเรียงเร่ืองราวทางประวัติศาสตร์ และ ๕) การวเิ คราะหป์ ระเดน็ ทางประวตั ศิ าสตร์ และการตดั สนิ ใจ (historical issues: analysis and decision-making) ระบปุ ญั หาทค่ี นในอดตี เผชญิ และพจิ ารณาวา่ การตดั สนิ ใจแกป้ ญั หาในอดตี ถกู ตอ้ งเหมาะสมหรอื ไม่ เพราะเหตใุ ด ๓.๒ วธิ กี ารทางประวตั ศิ าสตร์ (historical method) หรอื บางครง้ั เรยี ก ระเบยี บวธิ ี ทางประวตั ศิ าสตร์ (historical methodology) เป็นวิธีค้นคว้าวิจัย ซึ่งเป็นความสามารถหนึ่งที่ต้องมีในการศึกษาประวัติศาสตร์ โดยท่ัวไปก�ำหนดไว้ ๕ ขน้ั ตอน ไดแ้ ก่ ๑) การตง้ั คำ� ถามหรอื กำ� หนดปญั หาทจี่ ะศกึ ษา คำ� ถามหรอื ปญั หาอาจไดม้ าจาก (๑) ความสนใจใครร่ ู้ ถงึ ความเปน็ มาเกยี่ วกบั ผคู้ น เหตกุ ารณ์ พฒั นาการในประเดน็ ตา่ งๆ ซงึ่ จะนำ� ไปสกู่ ารหาคำ� ตอบเกยี่ วกบั ความเปน็ มา (๒) ความสงสยั ว่าอะไรจรงิ หรือเทจ็ เก่ยี วกับผคู้ น เหตกุ ารณ์ พัฒนาการตา่ งๆ น�ำไปสู่การค้นหาความจรงิ หรอื ค�ำตอบท่ีคิดว่าถูกต้องและน่าเช่ือถือท่ีสุด (๓) การพยายามท�ำความเข้าใจเก่ียวกับผู้คน เหตุการณ์ พัฒนาการ ตา่ งๆ ในปจั จบุ นั มกั นำ� ไปสกู่ ารหาคำ� ตอบเกย่ี วกบั สาเหตแุ ละผล เหตกุ ารณเ์ ปลย่ี นแปลงทส่ี ำ� คญั ขนั้ ตอนของการ ตงั้ คำ� ถามนย้ี งั รวมถงึ การวางแผนการคน้ ควา้ และรวบรวมแหลง่ ทม่ี าของขอ้ มลู หรอื หลกั ฐานทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั คำ� ถาม ๒) การค้นคว้าและรวบรวมหลักฐานท่ีเกี่ยวข้องกับค�ำถาม ส่วนใหญ่คือแหล่งท่ีมาของข้อมูล หรือหลกั ฐานประเภทลายลักษณอ์ ักษร เช่น หนงั สือ จารกึ ต�ำนานท่ีตีพมิ พแ์ ลว้ พงศาวดาร เอกสารจดหมายเหตุ รวมทั้งท่ีอยู่ในรูปอิเล็กทรอนิกส์และดิจิทัลด้วย หรือหลักฐานท่ีเป็นภาษา เช่น ค�ำให้สัมภาษณ์ ค�ำบอกเล่า หรอื เรอ่ื งเล่า (oral tradition) คลปิ ภาพยนตร์ บทสนทนาทางสือ่ อเิ ลก็ ทรอนิกสต์ า่ งๆ เชน่ ไลน์ เฟซบุ๊ก หรือที่ไม่ เปน็ ภาษา เชน่ ภาพถา่ ย โดยทวั่ ไปข้อมูลที่ค้นหาในเบอื้ งตน้ ตอ้ งตอบคำ� ถามตอ่ ไปนี้ ไดแ้ ก่ ใคร (Who ?) ทำ� อะไร (What ?) เม่ือไร (When ?) อยทู่ ไ่ี หน (Where ?) อย่างไร (How ?) และทำ� ไม (Why ?) ซงึ่ เป็นคำ� ถามพน้ื ฐาน ทใ่ี ช้ในการศกึ ษาศาสตรต์ ่างๆ รวมทั้งวิชาประวัตศิ าสตรด์ ว้ ย ๓) การประเมินคุณค่าของหลักฐาน เพื่อให้ได้ค�ำตอบท่ีถูกต้องและน่าเชื่อถือที่สุด การศึกษา ประวัติศาสตร์ให้ความส�ำคัญกับการตรวจสอบ ประเมินหรือวิพากษ์แหล่งที่มาของข้อมูล (source) ท่ีได้ใน เบื้องตน้ และขอ้ มูล (information) ทีไ่ ดต้ อ่ มา การประเมนิ ความถูกต้องและนา่ เชื่อถือ หรือการวิพากษห์ ลกั ฐาน แบง่ เปน็ ๒ ลกั ษณะ ไดแ้ ก่ วพิ ากษ์ หลกั ฐานภายนอกหรอื แหลง่ ทม่ี าของตวั หลกั ฐาน (source material) เพื่อประเมนิ วา่ เป็นของแทห้ รือของปลอม และหลักฐานภายในหรือข้อมูลที่ได้จากหลักฐานเพื่อประเมินว่าข้อมูลที่ได้จากหลักฐานท่ีว่าแท้น้ันมีระดับ ความถูกตอ้ งและน่าเช่อื ถอื เพยี งใด อย่างไรก็ตาม โดยทั่วไปสามารถแบ่งหลักฐานเป็น ๒ ประเภท ได้แก่ ๑) หลักฐานช้ันต้น (primary source) คอื หลักฐานที่สร้างขึ้นหรอื บนั ทึกในสมยั ของเหตกุ ารณท์ ่ีศึกษา หรือเปน็ ข้อมูลท่ีไดจ้ ากประจักษ์พยาน ประวัติศาสตร์ชาติไทย 9 2-aw-�����1-�������������-18.5x26 cm.indd 9 11/12/2565 BE 21:33

หรอื ผอู้ ยูร่ ่วมหรือเห็นเหตกุ ารณ์โดยตรง และ ๒) หลกั ฐานชั้นรอง (secondary source) คือ หลักฐานที่สร้างขน้ึ หรอื บนั ทกึ ภายหลงั จากเหตกุ ารณ์ หรอื เปน็ ขอ้ มลู ทไ่ี ดจ้ ากคำ� บอกเลา่ ของผอู้ น่ื หลกั ฐานชนั้ รองเปน็ หลกั ฐานหรอื ขอ้ มูลที่น่าเชื่อถือนอ้ ยกวา่ หลกั ฐานช้นั ต้น ผลงานทไ่ี ด้จากการตคี วามหลกั ฐานชัน้ ตน้ เชน่ บทความ รายงานวิจยั และวทิ ยานพิ นธ์ อาจชว่ ยประเมนิ และตัดสนิ ความนา่ เชือ่ ถอื ของข้อมลู และหลกั ฐานได้ ๔) การตีความและอธิบายข้อมูล เพ่ือตอบค�ำถาม การตีความเป็นการหาความหมายข้อมูลท่ีได้ เริ่มตั้งแตค่ วามหมายของค�ำตามพจนานกุ รม หรอื ตามบรบิ ทสงั คมขณะน้ัน ตลอดจนความหมายแฝง หรอื ความ หมายระหว่างบรรทัดที่ผู้สร้างหลักฐานต้องการสื่อ ส่วนการอธิบายความเป็นการหาความสัมพันธ์ของข้อมูล เพ่อื ตอบคำ� ถามทต่ี ้งั ไว้ในขอ้ ๑) ขั้นตอนน้ีข้ึนกับความรู้และความคิดของผู้ศึกษาอยู่มาก หากผู้ศึกษามีความรอบรู้ในศาสตร์ต่างๆ อย่างกว้างขวางจะช่วยให้ไวต่อการเข้าใจความหมายตามตัวอักษร และความหมายท่ีผู้สร้างหลักฐานซ่อนไว้ อีกท้ังมองเห็นความสัมพันธ์ของข้อมูล เช่น ทฤษฎีทางสังคมศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ และรัฐศาสตร์ ช่วยให้เห็น ความสัมพันธ์ของข้อมูลในด้านเศรษฐกิจ หรือการเมืองการปกครองได้ชัดเจนขึ้น ขณะเดียวกันข้อเท็จจริงทาง ประวัติศาสตร์ที่ได้ในขั้นตอนนี้อาจใช้โต้แย้งทฤษฎีในศาสตร์สาขาอ่ืนหรือแม้แต่ข้อสรุปท่ีได้จากการศึกษา ประวตั ศิ าสตร์ดว้ ย ๕) สรปุ ผลและนำ� เสนอ เปน็ การเรยี บเรยี งขอ้ มลู เพอ่ื ตอบคำ� ถามทตี่ ง้ั ไว้ โดยทว่ั ไป การตอบคำ� ถาม มักจะเร่ิมต้นด้วยการกล่าวถึงภูมิหลัง หรือความเป็นมาของค�ำถาม แล้วตอบค�ำถามด้วยข้อเท็จจริงที่ถูกต้อง และน่าเชอ่ื ถือ พร้อมอ้างองิ หลักฐานเพือ่ บอกแหล่งที่มาให้ตรวจสอบย้อนกลบั อย่างไรก็ดี เหตุการณ์หรือเร่ืองราวจะเป็นอย่างไร และด�ำเนินไปเช่นไร มักถูกก�ำหนดด้วยโครงเร่ือง (narrative structure) แกนเรื่องหรือเส้นเร่ือง (theme) หรือหัวข้อ (topic) หรือประเด็น (issue) ท่ีผู้ศึกษา ก�ำหนด ประกอบกับผู้ศึกษาอาจต้องการศึกษาประวัติศาสตร์เพ่ือวัตถุประสงค์ใดโดยเฉพาะ หรือเพื่อให้เร่ืองท่ี ศกึ ษาสอดคลอ้ งกบั งบประมาณหรอื เวลา การศกึ ษาประวตั ศิ าสตรจ์ งึ ถกู กำ� หนดใหแ้ คบเขา้ ดว้ ยการแบง่ เปน็ พนื้ ที่ ช่วงเวลา และเนื้อหา ท�ำใหม้ ีการแบง่ เป็นประวัติศาสตร์ชาติ ทอ้ งถ่นิ การเมือง เศรษฐกจิ ฯลฯ โดยท่ัวไปในการน�ำเสนอ ผู้ศึกษามักเรียบเรียงเหตุการณ์เป็นเรื่องราวตามแนวนอนหรือเส้นเวลา ส�ำหรับอธิบายเชิงสาเหตุ (cause) และผล (consequence หรือ effect) ซ่ึงเกิดขึ้นตามล�ำดับเวลา พรอ้ มกบั การทำ� ความเขา้ ใจเหตกุ ารณแ์ ละเรอ่ื งราวดงั กลา่ ว ดว้ ยการศกึ ษาบรบิ ทของเหตกุ ารณ์ (contextualization) ซ่ึงเกิดในแนวตั้งของช่วงเวลาเดียวกัน ท้ังนี้เพื่อตอบค�ำถามว่าเพราะเหตุใดหรือท�ำไม การกระท�ำ เหตุการณ์ หรอื เรอ่ื งราวนน้ั จงึ เกดิ ขน้ึ หรอื อะไรอยเู่ บอื้ งหลงั เหตกุ ารณห์ รอื เรอื่ งราวนน้ั อาจเพอ่ื หาสาเหตสุ ะสม (underlying cause) และสาเหตุปัจจุบันหรือโดยตรง (immediate หรือ direct cause) ตลอดจนปัจจัยสนับสนุน (contributing factor) ในการทำ� ความเขา้ ใจนอ้ี าจมกี ารใชท้ ฤษฎขี องศาสตรอ์ น่ื ๆ ทเ่ี กย่ี วขอ้ งมาใชห้ าความสมั พนั ธ์ ของขอ้ เทจ็ จรงิ หรอื อาจใชก้ ารศกึ ษาเปรยี บเทยี บ ขน้ั ตอนเรยี บเรยี งและนำ� เสนอนี้ ผศู้ กึ ษาตอ้ งใชท้ กั ษะทางภาษา มากเพอ่ื เรยี บเรยี งและอธบิ ายความให้เข้าใจได้ โดยสรุป การศึกษาประวัติศาสตร์ต้องมีการคิดแบบประวัติศาสตร์ และวิธีการทางประวัติศาสตร์ ซ่ึงมีการคิดวิเคราะห์ในทุกขั้นตอนอย่างเป็นกระบวนการต้ังแต่ตั้งค�ำถามจนกระทั่งตอบค�ำถามและเรียบเรียงน�ำ เสนอ 10 ประวัติศาสตร์ชาติไทย 11/12/2565 BE 21:33 2-aw-�����1-�������������-18.5x26 cm.indd 10

๔. ประวตั ศิ าสตรช์ าตคิ อื อะไร ? การศกึ ษาประวตั ศิ าสตรช์ าตเิ ปน็ การศกึ ษาเชงิ พนื้ ทท่ี มี่ เี ขตแดนของประเทศเปน็ ตวั กำ� หนด เชน่ เดยี วกบั การศึกษาประวัติศาสตร์เชิงพ้ืนที่ในระดับที่ใหญ่ขึ้น เช่น ภูมิภาค ทวีป หรือระดับเล็กรองจากชาติ เช่น ภาค จงั หวัด อำ� เภอ ต�ำบล หมบู่ า้ น การศกึ ษาประวตั ิศาสตร์มีวัตถุประสงค์ คือ การรจู้ กั ความเปน็ มาของชาติ และ พัฒนาการด้านตา่ งๆ โดยรวมทางดา้ นการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และศลิ ปวฒั นธรรม โดยทั่วไปมกั เริ่มตง้ั แต่อดตี อนั ไกลโพน้ จนถงึ ปจั จุบนั อย่างไรก็ตาม ประวัติศาสตร์ชาติมุ่งสร้างความภาคภูมิใจและความรักชาติ เพื่อสร้างส�ำนึกทาง ประวัติศาสตร์ร่วมกันของคนในชาติและหลอมรวมความรู้สึกนึกคิด จิตใจ ทัศนคติ ตลอดจนอุดมการณ์ให้เป็น อันหนงึ่ อนั เดยี วกัน และมที ิศทางเดียวกัน วินัย พงศ์ศรเี พยี ร นักวิชาการดา้ นประวตั ศิ าสตร์กล่าวถึงความสำ� คัญ ของการศกึ ษาประวตั ศิ าสตรช์ าตไิ วว้ า่ “การเรยี นรปู้ ระวตั ศิ าสตรช์ าตเิ ทา่ กบั เปน็ การทำ� ความรจู้ กั สงั คมของตนเอง นอกจากนี้ประวัตศิ าสตร์เท่านนั้ ที่จะชว่ ยปลูกฝังความรกั มาตุภูมิ ความมุง่ ม่ันในปณธิ านแห่งชาติและความเขา้ ใจ วฒั นธรรมประจ�ำชาติ” โดยทัว่ ไปแต่ละชาติให้ความส�ำคญั กบั เหตกุ ารณ์ทางประวัติศาสตร์ตา่ งกัน ซึ่งอาจขึน้ อยูก่ ับอดุ มการณ์ ของชาตินั้นๆ แตส่ ่วนใหญ่มักเป็นเรือ่ งราวของความส�ำเร็จมากกว่าความล้มเหลว แท้ทจ่ี รงิ ความล้มเหลวในอดีต เป็นบทเรียนที่ได้รบั ทางประวัติศาสตรท์ ส่ี �ำคัญสำ� หรับเรยี นรู้เพ่อื ป้องกนั ไม่ใหเ้ กดิ ข้ึนอกี พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงพระราชนิพนธ์งานเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ไทย จ�ำนวนมาก ทรงให้ความส�ำคัญกับการศึกษาประวัติศาสตร์ชาติไทยทั้งสองด้าน และมีพระราชด�ำรัสเกี่ยวกับ เรอ่ื งนี้ไว้ เมอื่ ทรงประกอบพิธเี ปดิ “โบราณคดีสโมสร” วนั ท่ี ๒ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๔๕๐ ดงั น้ี “...ประเทศทงั้ หลายซง่ึ ไดค้ วบคมุ กนั เปนชาตแิ ลเปนประเทศขนึ้ ยอ่ มถอื วา่ เรอ่ื งราว ของชาตติ นแลประเทศตนเปนสงิ่ สาํ คญั ซง่ึ จะพงึ ศกึ ษาแลพงึ สงั่ สอนกนั ใหร้ ชู้ ดั เจนแมน่ ยาํ เปนวิชาอันหนึ่ง ซ่ึงจะได้แนะนําความคิดแลความประพฤติ ซ่ึงจะพึงเห็นได้เลือกได้ใน การที่ผิดแลชอบชั่วแลดี เปนเครื่องชักนําให้เกิดความรักชาติแลรักแผ่นดินของตัว ถึงว่า เรอ่ื งนั้นจะเปนเรอื่ งที่ช่ัวชา้ ไม่ดอี ยา่ งใด ก็เปนเครือ่ งท่จี ะจาํ ไว้ในใจ เพ่อื จะละเว้นเกียจกัน ไม่ให้ความช่วั ความไมด่ นี ั้นปรากฏขนึ้ อกี ...” ๕. แหล่งข้อมูลและหลกั ฐานเก่ียวกบั ประวัตศิ าสตรไ์ ทยออนไลน์ ในอดตี แหลง่ ขอ้ มลู และหลกั ฐานเกยี่ วกบั ประวตั ศิ าสตรไ์ ทยคอื หอจดหมายเหตแุ ละหอ้ งสมดุ ทงั้ ในไทย และตา่ งประเทศ หลกั ฐานหรือทม่ี าของข้อมูลมีสภาพเป็นวตั ถุ เช่น เอกสาร หนงั สอื ไมโครฟอร์ม ซึ่งผคู้ ้นควา้ ต้องเดินทางไปค้นคว้าเอง แต่ในปัจจุบัน ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสารสนเทศท�ำให้มีการน�ำวัตถุหลักฐาน เหล่าน้ันแปลงเป็นดิจิทัลและเผยแพร่ทางเว็บไซต์ ส่วนการผลิตสื่อจ�ำนวนมากก็อยู่ในรูปอิเล็กทรอนิกส์และ เผยแพร่ทางเว็บไซตเ์ ชน่ กนั เพื่อให้ผศู้ กึ ษารู้จกั แหล่งคน้ คว้าดังกลา่ ว ขอยกตัวอย่างบางรายการ ดงั นี้ ๕.๑ ผลงานวิจัย และบทความทางวชิ าการ เช่น โครงการเครอื ขา่ ยหอ้ งสมุดในประเทศไทย และ Thai Journals Online (ThaiJO) ๕.๒ ส่ิงพมิ พเ์ กา่ (หนังสือ บทความ ภาพ) เช่น คลงั ความรู้ กรมศลิ ปากร, หนังสือเก่าชาวสยาม, หอสมุดแหง่ ชาติของไทย, หอ้ งสมุดดจิ ิทัลวชิรญาณ, Journal of Siam Society ประวัติศาสตร์ชาติไทย 11 2-aw-�����1-�������������-18.5x26 cm.indd 11 11/12/2565 BE 21:33

๕.๓ เอกสารจดหมายเหตุ เช่น หอจดหมายเหตุแห่งชาติประเทศต่างๆ ห้องสมุดกองวิชา ประวตั ศิ าสตร์ สว่ นการศกึ ษา โรงเรยี นนายรอ้ ยพระจลุ จอมเกล้า ๕.๔ หนงั สือพิมพ์ เชน่ หอสมดุ ประเทศตา่ งๆ เชน่ ไทย สงิ คโปร์ สหรฐั อเมริกา ออสเตรเลีย หนังสืออา่ นเพ่ิมเตมิ และแหลง่ ที่มาของข้อมูล เลขอา้ งองิ ในบรรณานกุ รม ๑๘ ๒๑ ๗๖ ๑๒๕ ๑๒๙ ๑๙๓ ๒๕๔ ๒๗๓ ๒๗๕ ๒๗๗ ๑.๒ ประวัติศาสตร์ทอ้ งถน่ิ : ความหมาย แนวคิดพื้นฐาน และวิธีการศึกษา ประเทศไทยให้ความส�ำคัญกับการศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถ่ินต้ังแต่ช่วงปฏิรูปการปกครองในสมัย พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั (พ.ศ. ๒๔๑๑-๒๔๕๓) เนอ่ื งจากองคค์ วามรดู้ า้ นประวตั ศิ าสตรท์ อ้ งถนิ่ มปี ระโยชนส์ ำ� หรบั ผปู้ กครองในการปกครองและบริหารบ้านเมือง ๑. ประวัติศาสตร์ทอ้ งถิ่นคืออะไร ประวัตศิ าสตรท์ ้องถนิ่ หมายถงึ เหตกุ ารณค์ วามเปน็ มาหรือเรื่องราวของทอ้ งทใ่ี ดทอ้ งที่หน่ึงโดยเฉพาะ มีหลักฐานบันทึกและมีอัตลักษณ์ของชุมชนร่วมกัน การศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถ่ินนอกจากผู้ศึกษาจะได้รับ ความรู้จากพน้ื ท่ที ่ีศกึ ษาแล้ว ผู้ศกึ ษายงั จะไดร้ บั คุณลกั ษณะพเิ ศษจากการศกึ ษาดว้ ย เชน่ การเป็นคนชา่ งสงั เกต การมมี นษุ ยสมั พนั ธท์ ดี่ ี การสอื่ สาร การถา่ ยทอดทางภาษา ฯลฯ นบั เปน็ องคค์ วามรพู้ นื้ ฐานทเ่ี ปน็ ประโยชนส์ ำ� หรบั ตนเองและชมุ ชน ความหมายของท้องถ่ิน (local) ในพจนานุกรม The Oxford English Dictionary (1993: 379) ได้อธบิ ายคำ� ว่า local ไวว้ ่า เปน็ คำ� ที่มาจากรากศัพทภ์ าษาละตนิ คอื คำ� วา่ Localis แปลวา่ สถานที่ (place) ซงึ่ หมายถงึ เขตพ้นื ท่จี �ำเพาะ (Definite Place of Definite District) ทเี่ ปน็ สว่ นย่อยของประเทศ พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ ได้อธิบายความหมายของค�ำว่า ท้องถิ่น หมายถึง ทอ้ งทใี่ ดทอ้ งทหี่ นง่ึ โดยเฉพาะ เชน่ เวลาทอ้ งถน่ิ ประเพณที อ้ งถนิ่ เนน้ ถงึ ลกั ษณะทางสภาพแวดลอ้ มทางภมู ศิ าสตร์ และทางธรรมชาตทิ มี่ ีความเป็นขอบเขตเฉพาะพื้นทน่ี น้ั ๆ เปน็ สำ� คัญ ดา้ นการปกครอง อธบิ ายวา่ ทอ้ งถน่ิ คอื เขตการปกครองทกี่ ฎหมายปกครองของประเทศนนั้ กำ� หนดขนึ้ เชน่ ในตา่ งประเทศไดม้ กี ารแบง่ เขตการปกครองเปน็ เมอื ง (Town) นคร (City) มหานคร (Metropolitan) เปน็ ตน้ สว่ นการแบง่ พนื้ ทกี่ ารปกครองของไทย ตามพระราชบญั ญตั กิ ารปกครองทอ้ งท่ี พ.ศ. ๒๔๕๗ และพระราชบญั ญตั ิ ระเบยี บบรหิ ารราชการแผน่ ดนิ พ.ศ. ๒๕๓๔ สามารถจดั แบง่ ชมุ ชนออกได้ ๖ ประเภท ไดแ้ ก่ ชมุ ชนหมบู่ า้ น ชมุ ชน เขตสุขาภบิ าล ชมุ ชนเขตเทศบาลตำ� บล ชมุ ชนเขตเทศบาลเมือง ชมุ ชนเขตเทศบาลนคร และชุมชนเขตกรุงเทพ พนื้ ทชี่ มุ ชนดงั กลา่ วขา้ งตน้ จดั เปน็ ชมุ ชนในเขตการปกครองทอ้ งถน่ิ ทม่ี กี ารจดั ตง้ั ตามกฎหมายใหเ้ ปน็ หนว่ ยองคก์ ร การปกครองทอ้ งถิ่น 12 ประวัติศาสตร์ชาติไทย 2-aw-�����1-�������������-18.5x26 cm.indd 12 11/12/2565 BE 21:33

ดังน้ัน ท้องถิ่นจึงอาจหมายถึงขอบเขตของพ้ืนที่ระดับย่อยตามเขตการปกครองหรือเป็นหน่วยงาน ระดบั รองไปจากหน่วยงานใหญ่ ได้แก่ หมบู่ ้าน ตำ� บล อำ� เภอ จังหวัด ค�ำว่า “ท้องถ่ิน” จึงขึ้นอยู่กับการจ�ำกัดขอบเขตทางพ้ืนท่ีดังกล่าว และเม่ือน�ำไปใช้ประกอบกับ ค�ำใดจะใหค้ วามหมายเฉพาะเจาะจงในเร่อื งน้ัน เชน่ ประเพณที ้องถน่ิ ภมู ิปัญญาประจ�ำท้องถิน่ เปน็ ตน้ ๒. ความหมายและขอบเขตของประวตั ศิ าสตร์ท้องถน่ิ : ค�ำนยิ ามของนกั วิชาการทอ้ งถิ่น สุเทพ สุนทรเภสัช ให้ความหมายไว้ดังนี้ “ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น เป็นเรื่องที่ศึกษาเก่ียวกับหมู่บ้าน เพียงหมู่เดียวหรือกลุ่มเดียว เมืองขนาดเล็กหรือขนาดกลาง (อาณาเขตทางภูมิศาสตร์ไม่ใหญ่เกินกว่าจังหวัด) หนว่ ยของการศึกษาประวัติศาสตรท์ อ้ งถน่ิ อาจจะเปน็ หมู่บ้านหนึง่ หรอื หมูบ่ า้ นหลายๆ หม่บู า้ นที่มคี วามสัมพันธ์ เป็นอนั หน่ึงอันเดียวกัน หรือเมอื งขนาดเลก็ ทสี่ มาชกิ ของชุมชนท้องถนิ่ นัน้ ตา่ งกม็ ีความสำ� นกึ ซง่ึ เปน็ อันหนึง่ อนั เดียวกนั ทางวัฒนธรรมสังคมและการเมือง...” ธิดา สาระยา อธิบายว่าประวัติศาสตร์ท้องถ่ิน หมายถึง “การลงไปศึกษาประวัติศาสตร์ของสังคม ทอ้ งถน่ิ ทมี่ มี วลชนเปน็ ตวั เคลอ่ื นไหว คอื ประวตั ศิ าสตรท์ อ้ งถนิ่ หรอื อกี นยั หนงึ่ ประวตั ศิ าสตรท์ อ้ งถน่ิ คอื กระบวนการ ศึกษาประวัติศาสตร์สงั คมท่เี ป็นมวลชน เปน็ ประวตั ิศาสตรท์ ีค่ นภายในท้องถ่นิ เชอ่ื ว่าเป็นจริงซง่ึ ในที่นี้จะใชค้ �ำว่า ประวัติศาสตร์จากภายใน (History from the inside) ประวัติศาสตร์ท้องถ่ินเป็นประวัติศาสตร์ท่ีมีชีวิต และ dynamic เสมอ ประวตั ศิ าสตรจ์ ากภายในมไิ ดค้ าดหมายหาขอ้ เทจ็ จรงิ จากขอ้ มลู แตเ่ ปน็ ประวตั ศิ าสตรท์ ถ่ี กู เชอ่ื วา่ เป็นเช่นนนั้ ประวตั ิศาสตร์แบบน้จี ึงเกดิ จากแรงสะท้อนทางความคดิ ของคนในสงั คม ซึง่ ปรากฏในรปู ของต�ำนาน นิทานพื้นบา้ น เร่ืองปรมั ปรามาแล้วแตอ่ ดตี และโดยการสมั ภาษณส์ บื สวนในปจั จบุ ัน...” ธิดา ยังเห็นว่า “ประวัติศาสตร์ท้องถ่ินนั้นไม่ใช่เป็นแต่เพียงอดีตเท่าน้ัน แต่เป็นปัจจุบันด้วยเพราะ คนท�ำให้ประวัติศาสตร์เกิดข้ึน ส�ำนึกของคนท่ีมีต่อประวัติศาสตร์ ต่อมรดกทางวัฒนธรรมและความเป็นมาของ ตัวเองในปัจจุบันก็คือส่วนหน่ึงของประวัติศาสตร์ท่ีเมื่อมองจากอนาคต ในส่วนน้ีก็จะเป็นประวัติศาสตร์... พดู งา่ ยๆ กค็ อื เปน็ การศกึ ษาถงึ ความเขา้ ใจเกยี่ วกบั สำ� นกึ ทางประวตั ศิ าสตรข์ องคนในปจั จบุ นั ดว้ ย...ประวตั ศิ าสตร์ ท้องถิ่นเป็นประเภทหนงึ่ ของประวตั ศิ าสตรส์ ังคม คือเราศกึ ษากลมุ่ คนในสังคมไม่จำ� กดั เน้ือท่ี และกไ็ ม่ต้องจ�ำกดั ขอบเขตอะไรเพราะเปน็ เรอ่ื งของสังคม แต่มันมแี งม่ ุมตา่ งๆดว้ ย” การศึกษานิยามของค�ำว่า “ท้องถ่ิน” ที่นักวิชาการผู้ทรงความรู้ให้ค�ำนิยามไว้ข้างต้น พอสรุปได้ว่า ท้องถิ่น หมายถึงบริเวณอันเป็นที่ต้ังถ่ินฐานและการด�ำเนินชีวิตของหมู่คนหมู่หนึ่งๆ ซึ่งในที่น้ันๆ นอกจาก จะมีบุคคลจ�ำนวนหนึ่ง แล้วยังต้องมีสภาพแวดล้อมท่ีเป็นปัจจัยส�ำหรับการด�ำเนินชีวิตของคนอีกด้วย เช่น ทรัพยากรธรรมชาติ ศิลปวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณี ภูมิปัญญาท้องถ่ิน นอกจากนี้ยังมีข้อเสนอว่า การศึกษาเร่ืองชุมชนควรเน้นความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคน ในขณะที่ท้องถิ่นควรเน้นความสัมพันธ์ระหว่าง คนกบั สภาพแวดลอ้ มในพน้ื ที่ ทอ้ งถน่ิ โดยความหมายทวั่ ไปมกั จะหมายถงึ พน้ื ทใี่ นชมุ ชนใดชมุ ชนหนงึ่ โดยเฉพาะ และชุมชนดังกล่าวมีการจัดโครงสร้างระบบการปกครองอย่างเป็นทางการ ในท่ีนี้ ได้แก่ หน่วยการปกครอง ท้องถิ่นต่างๆ และพื้นที่ที่ต้ังถิ่นฐานของชุมชน ความหมายดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงความส�ำคัญของท้องถ่ิน ดังตอ่ ไปน้ี ๑. ท้องถ่ินในลักษณะของพ้ืนท่ีของชุมชนท่ีมีความสัมพันธ์ระหว่างคนในชุมชนบนพ้ืนท่ีใดพื้นท่ีหนึ่ง และมีความสมั พันธร์ ะหว่างคนกับพน้ื ทด่ี ว้ ย ท้องถ่ินในลักษณะนีจ้ ึงยดึ โยงระหวา่ งคนในชุมชนให้มีความสมั พันธ์ กบั พนื้ ทท่ี ค่ี นเหลา่ นนั้ อาศยั อยู่ เชน่ วถิ ชี วี ติ ของคนในพน้ื ทท่ี ำ� การเกษตรเปน็ อาชพี หลกั ชมุ ชนใดทอี่ าศยั อยใู่ กลท้ ะเล ประวัติศาสตร์ชาติไทย 13 2-aw-�����1-�������������-18.5x26 cm.indd 13 11/12/2565 BE 21:33

กจ็ ะถูกยดึ โยงเข้ากบั วถิ ีชีวติ แบบชาวประมง เปน็ ตน้ ๒. มกี ารจดั ระบบความสมั พนั ธด์ งั กลา่ วใหเ้ ปน็ ระบบระเบยี บกฎเกณฑใ์ นการอาศยั อยรู่ ว่ มกนั ใชป้ ระโยชน์ จากพนื้ ทรี่ ว่ มกนั และรวมไปถงึ การพฒั นาพน้ื ทขี่ องตนใหม้ คี วามเจรญิ และเปน็ ทอ่ี ยอู่ าศยั ของคนในชมุ ชนไดต้ อ่ ไป เพอ่ื ใหก้ ารจดั ระเบยี บดงั กลา่ วเปน็ ไปดว้ ยความเรยี บรอ้ ย ใหค้ นในชมุ ชนหรอื พนื้ ทมี่ สี ว่ นรว่ มในการบรหิ ารพฒั นา ชุมชนหรือพื้นที่ของตน จ�ำเป็นต้องมีการจัดระบบการปกครอง คือหน่วยการปกครองท้องถิ่น ดังน้ันท้องถิ่น ในลักษณะที่สองจึงมีลักษณะการปกครองทอ้ งถ่ินทีม่ ีอยู่ควบคไู่ ปกับชุมชนท้องถนิ่ โดยสรุป ท้องถ่ินหมายถึงบริเวณพื้นท่ีใดพื้นที่หน่ึงท่ีมีรูปแบบของการจัดระเบียบทางการปกครอง ซง่ึ คนในทอ้ งถ่นิ น้นั ๆ มีความสมั พันธ์กนั มกี ารจดั ระเบยี บและโครงสรา้ งทางสังคมของการอยู่ร่วมกนั ในท้องถ่นิ บางครง้ั มกั จะมคี วามหมายรวมความถงึ ชมุ ชนดว้ ย ลกั ษณะของทอ้ งถนิ่ จะมฐี านะเปน็ องคก์ ร หรอื หนว่ ยทางสงั คม ที่มีองคป์ ระกอบเก่ยี วเน่ืองและสมั พนั ธต์ อ่ กนั ๓. ความเปน็ มาของการศึกษาประวัตศิ าสตรท์ อ้ งถ่นิ ไทย ต้งั แต่สมยั ธนบรุ ีเป็นตน้ มา รฐั ไทยได้เรม่ิ ขยายอิทธิพลทางการเมอื งเข้าไปยังดนิ แดนต่างๆ ที่อยเู่ ลยเขต ท่ีราบลุ่มภาคกลางออกไปมากย่ิงข้ึน ทั้งทางตอนเหนือ ตะวันออกเฉียงเหนือ และทางตอนใต้ ความรู้เก่ียวกับ “ท้องถิ่น” ดังกล่าวจึงมีความส�ำคัญส�ำหรับรัฐไทย ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลพื้นฐานส�ำหรับการจัดการปกครอง หรือสร้างความชอบธรรมทางการเมืองและเพ่ือผลประโยชน์ของด้านเศรษฐกิจ ต่อมาเมื่อรัฐไทยได้รับอิทธิพล ของชาติตะวันตกมากข้ึนนับตง้ั แต่รชั กาลที่ ๔ เป็นต้นมา ความกระตือรือรน้ ในเรอ่ื งราวของ “ทอ้ งถิน่ ” ย่ิงมมี าก เป็นล�ำดับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเก่ียวกับประวัติความเป็นมาของหัวเมืองและชุมชนต่างๆ ทั้งนี้ก็เพราะเร่ือง ราวดังกล่าวนับเป็นหลักฐานท่ีส�ำคัญส�ำหรับการเจรจากับชาติมหาอ�ำนาจตะวันตก ไม่ว่าจะเป็นอังกฤษหรือ ฝร่ังเศส เพื่อยืนยันสิทธิการครอบครองดินแดนของหัวเมือง แม้ว่าสังคมไทยจะคุ้นเคยกับ “ประวัติศาสตร์ ท้องถ่ิน” มานานแล้ว แต่การศึกษาท่ีมีลักษณะสืบค้นแบบวิชาการนั้น เพิ่งเริ่มภายหลัง พ.ศ. ๒๕๑๖ เมื่อภาคประชาชนมีความรู้สึกส�ำนึกและหวงแหนในเร่ืองสิทธิมากข้ึน อย่างไรก็ตาม การศึกษาด้าน ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นในประเทศไทยมีความก้าวหน้าท้ังในด้านของเนื้อหา แนวคิด ตลอดจนถึงวิธีการ และ เป้าหมายของการศึกษา จนอาจกล่าวได้ว่าในปัจจุบันน้ี วิชาประวัติศาสตร์ท้องถ่ินได้เข้ามามีบทบาทส�ำคัญ ในการพัฒนาสังคมไทย โดยเฉพาะอย่างย่ิงการศึกษาในแนวทางใหม่ที่มุ่งไปสู่ชุมชนท้องถิ่น เพ่ือค้นหาความรู้ ต่างๆ อย่างละเอียดและรอบด้าน น�ำข้อมูลเหล่านี้ไปใช้เป็นฐานส�ำหรับการวางนโยบายพัฒนาท้องถิ่น ที่ยึดเอาประชาชนเป็นศูนย์กลางอย่างแท้จริง นอกจากน้ีองค์ความรู้และกระบวนการวิจัยท่ีเปิดโอกาสให้ ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมจะเป็นประโยชน์โดยตรงกับพวกเขาในการเรียนรู้เร่ืองราวตัวเอง การจัดท�ำหลักสูตร ทอ้ งถนิ่ เพอื่ ใหค้ นรนุ่ หลงั ไดส้ บื ทอด การตระหนกั ในประวตั ศิ าสตรแ์ บบใหมท่ เ่ี หน็ ความสำ� คญั คณุ คา่ ของประชาชน มากขน้ึ สำ� นึกดงั กล่าวย่อมทำ� ให้ชมุ ชนมคี วามเข้มแขง็ ตระหนกั เห็นในคุณค่า ซึ่งเรยี กวา่ “ทุนทางวัฒนธรรม” ท่มี ีอย่ใู นชมุ ชนจนสามารถเผชิญกับความเปลย่ี นแปลงอยา่ งรวดเร็วของสังคมโลกปจั จุบันได้อย่างม่ันคง ค�ำว่า “ประวัตศิ าสตรท์ ้องถนิ่ ” (Local history) เปน็ คำ� ทเ่ี ริ่มใช้ในสงั คมไทยราวตน้ ทศวรรษ ๒๕๑๐ เพราะจะเห็นได้วา่ ในชว่ งเวลากอ่ นหน้าน้ัน ผบู้ กุ เบิกประวัติศาสตร์ท้องถน่ิ ในแบบวิชาการกล่มุ แรกๆ ในทศวรรษ ๒๕๐๐ไมว่ า่ จะเปน็ สงวนโชตสิ ขุ รตั น ์ ประมลู อทุ ยั พนั ธ ์ุ หวนพนิ ธพุ นั ธ์ุฯลฯ ลว้ นใชค้ ำ� วา่ “ประวตั ทิ อ้ งที่ตำ� นานทอ้ งถนิ่ หรอื ประวตั บิ า้ นเมอื ง” ในเชงิ ความหมายของ “ประวตั ศิ าสตรท์ อ้ งถนิ่ ” ทเ่ี ขา้ ใจกนั ในปจั จบุ นั อาจารยน์ ธิ ิ เอยี วศรวี งศ์ นับเป็นนักประวัติศาสตร์คนแรกๆ ท่ีใช้ค�ำว่า “ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น” ในความหมายประวัติของบ้านเมือง 14 ประวัติศาสตร์ชาติไทย 2-aw-�����1-�������������-18.5x26 cm.indd 14 11/12/2565 BE 21:33

ตาม “ทอ้ งถนิ่ ” ตา่ งๆ ดงั ทไี่ ดเ้ ขยี นไวใ้ นคำ� นำ� หนงั สอื ประวตั ศิ าสตรอ์ สี าน ของ เตมิ วภิ าคยพ์ จนกจิ เมอ่ื พ.ศ. ๒๕๑๓ หลังจากน้ัน “ประวัติศาสตร์ท้องถ่ิน” ก็เป็นชื่อที่ใช้เรียกส�ำหรับการศึกษาในด้านน้ีมากขึ้นในสังคมไทย กระแสความสนใจเกิดขึ้นไดด้ ้วยปัจจัยส�ำคญั หลายประการ ดงั เช่น ๑) สงั คมไทยมพี ฒั นาการทางประวัติศาสตรแ์ ละวัฒนธรรมทเ่ี ปน็ ของตวั เองมายาวนาน ๒) การส่งเสริมจากภาครัฐ ผ่านคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงศึกษาธิการ เพอื่ ทำ� ใหป้ ระวตั ศิ าสตรข์ องชาตมิ คี วามเปน็ เอกภาพ เขม้ แขง็ โดยมเี รอ่ื งราวความเปน็ มาของทอ้ งถน่ิ รองรบั อยา่ ง สมเหตสุ มผล ๓) ความสำ� นึกของภายในชุมชนท่ตี ระหนักใหค้ วามส�ำคญั กับความเป็นมาของท้องถิน่ ๔. แนวคิดพน้ื ฐานส�ำหรบั การศึกษาประวตั ิศาสตร์ทอ้ งถน่ิ เป็นกรอบพ้ืนฐานส�ำคัญท่ีจะช่วยให้ผู้ศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่นมีทิศทางส�ำหรับการศึกษาท�ำให้เห็น ความคลา้ ยคลึง หรอื ความแตกต่างระหว่างสังคมศาสตร์สาขาอื่นๆ ๔.๑ การสำ� นกึ ถงึ การมอี ยตู่ ลอดเวลาของทอ้ งถน่ิ ในอดตี เมอื ง (ทอ้ งถนิ่ ) ตา่ งๆ ยอ่ มมวี ถิ เี ปน็ ของตนเอง เชน่ เดยี วกบั ศนู ยก์ ลางของรฐั คอื มกี ำ� เนดิ และพฒั นาการทางดา้ นตา่ งๆ ไมว่ า่ จะเปน็ การเมอื งการปกครอง เศรษฐกจิ สงั คมและวฒั นธรรมทมี่ คี วามสบื เนอ่ื งและเปลยี่ นแปลงอยใู่ นชว่ งเวลาตา่ งๆ ตลอดจนรงุ่ เรอื งและถดถอย ตามปจั จยั ที่ผู้ศึกษาจะต้องค�ำนึงถึงอยู่เสมอ แม้ว่าเหตุการณ์ดังกล่าวอาจไม่มีความส�ำคัญในระดับสังคมท่ีใหญ่กว่า หรือมีผลกระทบไปถึงศูนย์กลางของรัฐ แต่สิ่งท่ีเกิดขึ้นในท้องถิ่นหรือเมืองก็ย่อมมีความหมายและความส�ำคัญ ต่อท้องถิ่นหรือเมืองนั้นๆ ยกตัวอย่างเช่น มีเหตุการณ์ไฟไหม้ น้�ำท่วมครั้งใหญ่ในท้องถ่ินแห่งหน่ึง เหตุการณ์น้ี เมื่อมองภาพรวมในประวัติศาสตร์แล้วย่อมไม่มีความส�ำคัญ หรือส่งผลกระทบต่อรัฐหรือชาติแต่อย่างใด แตเ่ หตกุ ารณด์ งั กลา่ วอาจมผี ลตอ่ สงั คมในทอ้ งถนิ่ นนั้ ๆ อยา่ งใหญห่ ลวงเพราะอาจมผี คู้ นลม้ ตายจำ� นวนหนงึ่ ผลติ ผล ตา่ งๆ เสยี หายทำ� ให้อดอยากอนั เปน็ เหตุใหต้ ้องอพยพไปหาทที่ �ำกินใหมห่ รือหางานท�ำในเมอื ง เปน็ ต้น สิง่ เหลา่ น้ี คือความเปล่ียนแปลงที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตในท้องถิ่นท้ังส้ิน ประวัติศาสตร์ท้องถ่ินจึงย่อมมีความเป็นมาที่เป็น ของตัวเองขึ้นอยู่กับบริบทภายในของ “ท้องถ่ิน” น้ันๆ การส�ำนึกถึงการมีอยู่ของท้องถิ่นน้ันจึงย่อมหมายถึงว่า เราจำ� ต้องพิจารณาประวตั ิศาสตร์ท้องถนิ่ ดังกล่าวเป็นเอกเทศทีม่ ีความหลากหลายไปตาม “หนว่ ย” ของท้องถนิ่ ทีเ่ ราเลือกศึกษา ๔.๒ ความสัมพันธร์ ะหวา่ งทอ้ งถนิ่ กับศนู ยก์ ลางและกบั ทอ้ งถ่นิ อ่นื ๆ เรอ่ื งราวความเป็นมาของผคู้ น ใน “ทอ้ งถน่ิ ” หรอื ทเ่ี รยี กวา่ ประวตั ศิ าสตรท์ อ้ งถนิ่ ซง่ึ มอี ยอู่ ยา่ งสบื เนอ่ื งและเปลย่ี นแปลงมาจากอดตี นนั้ มเี นอ้ื หา และค�ำถามพน้ื ฐานท่เี ราจะต้องค�ำนงึ ถึงอยอู่ ย่างนอ้ ย ๔ ประเดน็ ดังน้ ี ๑) การเมอื ง ทอ้ งถนิ่ ทีเ่ ราเลอื กศกึ ษามกี ารแบง่ สรรอำ� นาจทางการเมืองกนั อย่างไร อ�ำนาจดังกลา่ ว มที ่ีมาอย่างไร สืบทอดกนั อย่างไร ๒) สังคม ในท้องถ่ินดังกล่าวมีการควบคุม ร่วมมือหรือจัดต้ังในทางสังคมกันอย่างไร สถานภาพ ของคนกลมุ่ ตา่ งๆ แบง่ แยกกนั อย่างไร ทำ� ไมสงั คมจงึ ด�ำรงอยู่ได้ยาวนาน ๓) เศรษฐกิจ ท้องถิน่ ผลติ หรือทำ� มาหากนิ อย่างไร มีความสมั พนั ธ์ทางการผลิตอย่างไร แลกเปลี่ยน หรือกระจายผลผลิตอย่างไร ๔) วัฒนธรรม ท้องถ่ินสร้างสรรค์วัฒนธรรมอะไรบ้างที่ช่วยให้สังคมด้านต่างๆ ด�ำรงอยู่ได้ ท�ำไม ท้องถิ่นจึงมีวัฒนธรรมดังกล่าว มีการรับวัฒนธรรมภายนอกมาเพิ่มเติมและส่งอิทธิพลต่อสังคมภายนอก ประวัติศาสตร์ชาติไทย 15 2-aw-�����1-�������������-18.5x26 cm.indd 15 11/12/2565 BE 21:33

หรือไม่ อยา่ งไร ฯลฯ ๔.๓ ความเปลย่ี นแปลงทใ่ี หค้ วามสำ� คญั กบั ปจั จยั ภายใน เนอ่ื งจากประวตั ศิ าสตรท์ อ้ งถน่ิ มพี ฒั นาการ ที่เป็นของตัวเอง การศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่นจึงต้องอธิบายให้เห็นการเปล่ียนแปลงจากภายใน ด้วยการ พจิ ารณาปจั จยั ภายในอยา่ งละเอยี ด เชน่ การปฏริ ปู การปกครองในสมยั รชั กาลท่ี ๕ หรอื แผนพฒั นาเศรษฐกจิ และ สงั คมแห่งชาติ ฯลฯ เปน็ ปจั จัยภายนอกที่ก่อให้เกดิ การเปลยี่ นแปลงใน “ท้องถิน่ ” ต่างๆ อย่างแนน่ อน แต่ปจั จัย เหล่าน้กี ็ไม่อาจทำ� ให้ท้องถ่ินเปลี่ยนแปลงไปในลักษณะเดยี วกัน หรอื ในช่วงเวลาเดียวกนั ได้ทง้ั หมด เพราะแต่ละ ท้องถ่ินย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขของแต่ละท้องถิ่น เช่น ระยะทางน่าจะเป็นตัวอย่างรูปธรรมที่ชัดเจนได้ว่า เปน็ อปุ สรรคสำ� คญั ทไี่ มใ่ หอ้ ทิ ธพิ ลของศนู ยก์ ลางเขา้ ไปเปลยี่ นแปลงทอ้ งถนิ่ บรเิ วณชายขอบไดอ้ ยา่ งรวดเรว็ เหมอื น กับพ้ืนที่ใกล้ๆ ศูนย์กลาง นอกจากน้ีเราก็ต้องพิจารณาด้วยว่า แม้อิทธิพลจากภายนอกจะเข้ามายังท้องถ่ินแล้ว แต่ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในท้องถิ่นแต่ละแห่งก็มีลักษณะแตกต่างกันไปตามปัจจัยภายในท่ีด�ำรงอยู่ การจะเข้าใจวิถีของความเปล่ียนแปลงน้ี จึงมีความสลับซับซ้อนท่ีเราก็จะต้องพิจารณามาทั้งจากปัจจัยภายใน ลกั ษณะของผนู้ ำ� ทรพั ยากร วถิ วี ฒั นธรรม ฯลฯ ของแตล่ ะทอ้ งถนิ่ ไดป้ รบั ตวั กบั ปจั จยั ภายนอกอยา่ งไร ทง้ั หมดนคี้ อื องค์ความรสู้ ำ� คญั ทน่ี กั เรยี นประวตั ศิ าสตร์ท้องถนิ่ ควรจะตอ้ งคำ� นึงศกึ ษาเพอ่ื ประกอบความเข้าใจชมุ ชน ๕. วิธีการศึกษาประวัติศาสตรท์ ้องถิน่ หนงั สอื แนวคดิ และแนวทางการศกึ ษาประวตั ศิ าสตรท์ อ้ งถนิ่ ของ ทวศี ลิ ป์ สบื วฒั นะ ไดเ้ สนอเนอ้ื หาไวว้ า่ วิธีการศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถ่ินมิได้แตกต่างจากการศึกษาประวัติศาสตร์ท่ัวไป ส่วนส�ำคัญอยู่ที่แนวคิด ในการศึกษา หลักฐาน และขั้นตอนในการศึกษาที่ประกอบด้วย การรวบรวมข้อมูลหลักฐาน จากเอกสาร ลายลกั ษณอ์ กั ษรทางราชการ พงศาวดาร เอกสารจากท้องถิน่ ตำ� นาน นิทาน นยิ าย เอกสารจากบคุ คล ขอ้ มูล จากการสัมภาษณ์บุคคล จัดเวทีชาวบ้านแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ หรือข้อมูลจากโบราณสถาน โบราณวัตถุใน ท้องถ่ิน เป็นต้น จากน้ันเป็นข้ันตอนของการตรวจสอบข้อมูล ตีความและเรียบเรียง ซ่ึงเป็นระเบียบวิธีวิจัย ทางประวัติศาสตร์พื้นฐานที่ผู้ศึกษาควรเข้าใจเป็นอย่างดี การศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถ่ินมีเร่ืองหลากหลาย ให้ท�ำการศึกษา ประเด็นท่ีน่าสนใจเป็นเร่ืองเก่ียวกับความเป็นมา และความเปลี่ยนแปลงในท้องถิ่น ของตนเอง รวมท้ังการปรับตัวของผู้คนท้ังในท้องถ่ินของตนเองและท้องถิ่นอื่นที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้อาจ เป็นเร่ืองที่เก่ียวข้องระหว่างท้องถิ่นกับประวัติศาสตร์ชาติ และอาจรวมถึงประเทศเพื่อนบ้านด้วยเพื่อให้เห็น ชีวิตของผู้คนในท้องถ่ิน การศึกษาจึงควรเริ่มต้นจากจุดท่ีใกล้ตัวแล้วค่อยๆ ขยายออกไปกว้างมากข้ึนเป็น ล�ำดับ ในการศึกษาเร่ืองของท้องถ่ินถึงแม้ประวัติศาสตร์ท้องถ่ินไม่มีทฤษฎีของตนเอง แต่ในการศึกษาได้ใช้ กรอบแนวคิดเพ่ือให้ท�ำการศึกษาได้รวดเร็วและมีระบบมากขึ้น กรอบแนวคิดท่ีน�ำมาศึกษาเรื่องของท้องถ่ิน มักให้ความส�ำคัญกับองค์ประกอบทางสังคมซ่ึงน�ำมาใช้ในการวิเคราะห์ ดังนั้นในการศึกษาจึงให้ความส�ำคัญ กบั ความสัมพนั ธข์ ององค์ประกอบตา่ งๆ คือ โครงสรา้ งสงั คม (social structure) อาจเป็นระบบเครือญาติหรือ โครงสรา้ งสงั คมรปู แบบอน่ื ๆ ศกึ ษาสภาพภมู ศิ าสตร์ หรอื สภาพแวดลอ้ ม (geography) และวฒั นธรรม (culture) ซึ่งท�ำให้มนุษย์ในสังคมนั้นสามารถอยู่ด้วยกันได้ การศึกษาเพ่ือท�ำความเข้าใจท้องถิ่น จึงควรให้ความส�ำคัญกับ การศึกษาสภาพทางภูมิศาสตร์ด้วย ดังท่ีสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกมุ ารี ไดพ้ ระราชทานแนวคดิ สำ� คญั สำ� หรบั การศกึ ษา ไวใ้ นหนงั สอื ภมู ศิ าสตรก์ บั วถิ ชี วี ติ ไทย ความวา่ 16 ประวัติศาสตร์ชาติไทย 11/12/2565 BE 21:33 2-aw-�����1-�������������-18.5x26 cm.indd 16

“...การตง้ั ถน่ิ ฐานท่ีทำ� มาหากนิ และสงิ่ กอ่ สรา้ งถาวรวตั ถขุ องมนษุ ย์ ไมว่ า่ จะเปน็ อดีตหรือปจั จบุ ัน จะมี ความเกยี่ วข้องกับสภาพภมู ศิ าสตร์ ดิน น้�ำ และทรพั ยากรธรรมชาติอื่นๆ การศึกษาหรือความร้ใู นด้านนี้จงึ เปน็ ประโยชน์ตอ่ ความเข้าใจสถานะและความเป็นอยู่ของมนษุ ย์ ... ” หนังสอื อา่ นเพิม่ เตมิ และแหล่งทม่ี าของขอ้ มลู เลขอา้ งอิงในบรรณานุกรม ๔๓ ๙๒ ๙๘ ๑๐๓ ๑๐๔ ๑๐๗ ๑๑๕ ๑๗๕ ๑.๓ ส�ำนักคดิ และวาทกรรมในการผลติ ความรทู้ างประวัติศาสตร์ และหลักฐานส�ำคัญทางประวตั ิศาสตร์ไทยสมยั ใหมใ่ น “หอจดหมายเหตตุ ่างประเทศ ทูลกระหม่อมอาจารย”์ ส�ำนักคิดและวาทกรรมคืออะไร มีความหมายความส�ำคัญอย่างไร และท�ำไมการเรียน การสอน การอบรมวิชาประวัติศาสตร์จึงควรต้องให้ความสนใจ หรือต้องมีความรู้ในเรื่องนี้ไว้เป็นพื้นฐานก่อน เร่ืองนี้ คงเขา้ ใจเขา้ ถงึ ไมย่ ากหากเปรยี บเทยี บกบั การแสวงหาความรทู้ างวชิ าอนื่ ๆ เพราะใชห้ ลกั คดิ และมวี ธิ กี ารเดยี วกนั ซง่ึ กค็ งไมต่ า่ งกนั มากนกั กลา่ วคอื กอ่ นจะเขา้ ใจเขา้ ถงึ ตวั เนอ้ื หาของวชิ าตา่ งๆ ไมย่ กเวน้ ทางวทิ ยาศาสตร์ สง่ิ แรกสดุ ที่ควรต้องรู้ก็คือที่มาของความรู้น้ัน มาจากไหน มาได้อย่างไร จากใคร มีวัตถุประสงค์อย่างไร มีความน่าเช่ือ หรอื ไม่ เพยี งใด และในฐานะผอู้ า่ นผศู้ กึ ษาจะตรวจสอบตดิ ตามความรใู้ หท้ นั สมยั ทนั เหตกุ ารณต์ อ่ ไปในแนวทางใด วิชาประวัติศาสตร์ก็เช่นกัน ดังนั้นการจะท�ำความเข้าใจเน้ือหาทางประวัติศาสตร์หรือรายละเอียด ของเรอื่ งราวในอดตี อยา่ งรอบดา้ น จงึ จำ� เปน็ ตอ้ งมคี วามรใู้ นเชงิ หลกั คดิ ปรชั ญา และแนวคดิ ทฤษฎที มี่ าพรอ้ มกบั ข้อเสนอน้ัน ซ่ึงถือเป็นท่ีมาหรือเป็นพ้ืนฐานรองรับความรู้ทางประวัติศาสตร์น้ันเสียก่อน เพราะสิ่งนี้จะช่วยให้ เราเข้าใจเขา้ ถึงเนือ้ ในของความรู้ จากผคู้ นฝ่ายตา่ งๆ ในการผลิตความรู้ทางประวตั ิศาสตร์ไดอ้ ย่างดยี งิ่ เนอื่ งจากความรทู้ างประวตั ศิ าสตรท์ พ่ี บเหน็ โดยทวั่ ไปทงั้ ในรปู แบบงานวจิ ยั ตำ� ราเรยี น งานเขยี นบนั ทกึ ส่วนตวั เชิงสารคดีกต็ าม มกั มคี ำ� อธบิ ายหลายกระแส หลากส�ำนกั คดิ ท่ีตา่ งพยายามนำ� เสนอ ส่งิ ที่เกดิ ขน้ึ ในอดตี จากมมุ มองของแตล่ ะฝา่ ย ซง่ึ แตล่ ะฝา่ ยนกี้ ม็ กั เลอื กมอง เลอื กใหค้ วามสำ� คญั เพยี งบางสว่ นบางเรอื่ งราวในอดตี นน้ั เพราะเปน็ ทย่ี อมรบั กนั ทวั่ ไปวา่ เรอ่ื งราวในอดตี มจี ำ� นวนมาก แตใ่ นเรอ่ื งราวจากอดตี จำ� นวนมากน้ี จะมคี วามหมาย และถูกนำ� มาเสนอในวิชาประวัตศิ าสตรห์ รือไมข่ ึน้ อยู่กับมมุ มองของผคู้ นในปัจจบุ ันว่าจะเลือกมองสิ่งใดสำ� คญั พินิจในแง่น้ี การน�ำเสนอเนื้อหาทางประวัติศาสตร์จึงมิได้เกิดขึ้นลอยๆ ในเชิงการแสวงหาความรู้ อยา่ งแทจ้ รงิ ทไ่ี มม่ อี ะไรเจอื ปนเลย แมว้ า่ ผศู้ กึ ษาวจิ ยั ผเู้ ขยี น ตา่ งไดพ้ ยายามและอา้ งความเปน็ กลางตามหลกั วชิ า แล้วก็ตามหากแท้จริงแล้วทุกฝ่าย ทุกคน ต่างมักมีแนวคิดทฤษฎี ปรัชญา อคติ ที่เกี่ยวข้องกับทรรศนะ หรือ การใหค้ ุณคา่ ของคนปจั จบุ นั ทีม่ ตี ่อการกระท�ำของมนุษย์ในอดีตเสมอ ซ่ึงแม้อาจเปน็ อดตี ท่ียอ้ นกลบั ไปไกลมาก แตค่ นปจั จบุ นั กย็ งั คงมที รรศนะตอ่ เรอ่ื งราวในอดตี นนั้ แตกตา่ งกนั ไปตามความคดิ ของฝา่ ยตนอยา่ งไมแ่ ปรเปลย่ี น ดว้ ยเหตนุ ้ี การอา่ น การเรยี นการสอนวชิ าประวตั ศิ าสตรท์ ดี่ ี จงึ จำ� เปน็ ตอ้ งมคี ำ� ถามจำ� นวนมากมาประกอบดว้ ย เชน่ ท�ำไมเราต้องการจะรู้ รู้ไปท�ำไม จะรู้ได้อย่างไร ด้วยวิธีการใด และความรู้จากอดีตนั้นถูกต้องเป็นความจริง ประวัติศาสตร์ชาติไทย 17 2-aw-�����1-�������������-18.5x26 cm.indd 17 11/12/2565 BE 21:33

มากนอ้ ยเพยี งใด ค�ำถามเหล่าน้ีน่าสนใจและถือเป็นค�ำถามพ้ืนฐานท่ีดี หากผู้คนคิดเป็นและรู้จักตั้งค�ำถามกับส่ิงรอบๆ ตวั เรา และผรู้ ู้ นกั ประวตั ศิ าสตรอ์ าจตอบได้ แตเ่ ชอ่ื หรอื ไมว่ า่ ไมม่ ใี ครรจู้ รงิ ทางประวตั ศิ าสตร์ แมผ้ รู้ นู้ นั้ จบปรญิ ญาเอก ด้านนี้โดยตรง ได้รับต�ำแหน่งศาสตราจารย์มาก็ตาม และท่ีส�ำคัญคือ ประวัติศาสตร์ก็ไม่ได้มีความจริงอยู่เพียง หน่ึงเดียว เพราะประวัติศาสตร์ที่มีการเรียนการสอนกันในทุกระดับ มีการอบรมกัน มีการใช้ต�ำนานเร่ืองเล่า ท้ังหลายเพื่อให้ความรู้แก่ผู้คนในสังคม ต่างก็เกิดจากการให้คุณค่าบางส่ิง ด้วยการเสริม ปรุงแต่ง มิใช่ความรู้ อยา่ งแทจ้ ริง ความรู้อย่างแท้จริงท่ีพอจะกล่าวได้ในอดีต น่ันก็คือ อดีตคืออดีต มิใช่ปัจจุบันและมิใช่อนาคต แต่มีความเกี่ยวพันกันอยดู่ ้วยไม่ทางหนง่ึ กท็ างใด สว่ นจะเก่ยี วพนั กนั อย่างไร มากน้อยเพียงใด ในส่วนไหน ฯลฯ กข็ น้ึ อยกู่ บั มมุ มองของแตล่ ะคน แตล่ ะฝา่ ย และดว้ ยเพราะขนึ้ อยกู่ บั มมุ มองของแตล่ ะคน แตล่ ะฝา่ ยเชน่ น้ี จงึ กลา่ ว ได้ว่า ความจริงทางประวัติศาสตร์มีความหลากหลายค�ำอธิบาย หรือมากด้วย “วาทกรรม” ซ่ึงก็คือชุดความรู้ ทแี่ ตกตา่ งกนั อยมู่ าก และ “วาทกรรม” เหลา่ นมี้ กั ถกู ใชเ้ พอ่ื การตา่ งๆ ตามความมงุ่ หมายของรฐั สงั คม และผคู้ นทมี่ ี ความรู้ มีหน้าที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการเรียนการสอนและการศึกษาวิจัยโดยท่ีผู้คนเหล่านี้จะส�ำนึก รู้สึกตัว หรอื ไม่ก็ตาม แม้ผู้คนที่มีความรู้เหล่านี้ อาจจะส�ำนึกหรือไม่ ในการใช้และให้คุณค่าในการสร้างความรู้เพ่ือการใด ก็ตาม แต่ก็คือผู้ที่ผลิตความรู้ทางประวัติศาสตร์ และแน่นอนว่าพวกเขาย่อมจะผลิตความรู้ทางประวัติศาสตร์ ตามที่คิดท่ีเห็น หรือตามมุมมองของตนเป็นหลัก จึงท�ำให้ความรู้ทางประวัติศาสตร์ท่ีเกิดขึ้นในแต่ละยุคสมัย ในแต่ละฝ่าย ต่างก็มีเน้ือหาหลายแบบและอาจตรงกันข้ามเลยก็ได้ ท้ังๆ ที่แต่ละฝ่าย แต่ละกลุ่ม ได้ผ่านการ ฝึกฝนมาอยา่ งดีย่ิง คอื มกี ารยึดหลกั คดิ และวิธีการทางประวตั ิศาสตรอ์ ย่างเคร่งครัด อกี ทัง้ ยงั อาศยั การวิเคราะห์ หลักฐานต่างๆ อย่างรอบด้านแล้วก็ตาม จึงถือเป็นเร่ืองปกติและเป็นที่ยอมรับกันได้ ดังข้อคิดจากพระราชด�ำริ ที่พลเอกหญิง ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร. สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี หรอื ทูลกระหม่อมอาจารย์ ทรงสอนนกั เรยี นนายร้อยในเรื่องความแตกต่างนี้ไว้วา่ เป็นเรอื่ ง ของ “การมองต่างมุมกัน” เรื่องนี้จะพบเห็นได้ว่า เร่ืองราวในเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หน่ึง หรือประวัติศาสตร์ของชาติก็เช่นกัน มกั มคี ำ� อธบิ ายทแี่ ตกตา่ งกนั หลากหลายแนวทาง เพราะสง่ิ สำ� คญั ในการสรา้ งความรนู้ นั้ มกี ารใชแ้ ละการใสค่ ณุ คา่ ของคนปจั จบุ นั เขา้ ไปดว้ ย และสง่ิ นม้ี ใิ ชเ่ กดิ ขน้ึ เพยี งในสงั คมไทยเทา่ นนั้ แตท่ กุ ประเทศ ทกุ สงั คม ลว้ นตา่ งกเ็ ผชญิ กบั ความหลากหลายและแปลกใหมจ่ ากการตคี วาม การใหค้ ำ� อธบิ ายเรอื่ งราวในอดตี ทไ่ี มเ่ คยเปน็ อนั หนง่ึ อนั เดยี วกนั เสมอมา ดังตัวอย่างความรู้ทางประวัติศาสตร์ท่ีเกิดจากหลากหลายมุมมอง และการให้คุณค่าท่ีไม่เหมือนหรือ ตรงกนั ขา้ ม เช่น ประวัตศิ าสตรจ์ ากฝา่ ยรัฐ ย่อมแตกตา่ งไปจากข้อเสนอทางความรขู้ องฝ่ายตอ่ ต้านรัฐ นอกจากนี้ ยงั มอี กี หลายกรณที ม่ี กั ใสค่ ณุ คา่ ทตี่ รงกนั ขา้ มในเรอื่ งราวของอดตี เชน่ ฝา่ ยโลกทนุ นยิ มตะวนั ตกกบั ฝา่ ยคอมมวิ นสิ ต์ หรอื สังคมนยิ ม ฝา่ ยซ้ายใหม่ หรอื กรณีฝา่ ยท่คี ิดเห็นต่าง ฝ่ายคนรุ่นใหม่กบั คนร่นุ เก่า ฯลฯ แนน่ อนว่าฝ่ายต่างๆ เหล่าน้ีย่อมจะคิดและให้ค�ำอธิบายเร่ืองราวทางประวัติศาสตร์ของโลก ของชาติ หรือของกลุ่มผู้คนไม่เหมือนกัน หรืออาจตรงกันข้ามเลย บรรยากาศเช่นนีม้ ใี หพ้ บเหน็ กันบ่อยๆ ดังในสังคมไทยปจั จบุ นั เมอ่ื เปน็ เชน่ นจี้ รงิ แลว้ เราตอ้ งตระหนกั ไวเ้ สมอวา่ ความรทู้ างประวตั ศิ าสตรม์ หี ลายแบบขนึ้ อยกู่ บั แตล่ ะ ฝา่ ยจะมองจะคดิ เห็น ให้คุณค่าและน�ำเสนอความรูน้ นั้ สสู่ ังคม ท้ังนเ้ี พื่อเป้าหมายของฝ่ายตนและส่วนทีเ่ กีย่ วขอ้ ง ซึ่งย่อมมีวัตถุประสงค์ทางการเมืองทั้งท่ีดีและไม่ดีตามมาด้วย และความพยายามในการเสนอความรู้นี้ถือเป็น 18 ประวัติศาสตร์ชาติไทย 2-aw-�����1-�������������-18.5x26 cm.indd 18 11/12/2565 BE 21:33

ส่วนหนึ่งของการต่อสู้ในเชิง “วาทกรรม” จากส�ำนักคิดต่างๆ ซ่ึงมิใช่มีเฉพาะในต่างประเทศเท่าน้ัน ของไทย เราก็มีเช่นกัน ทั้งน้ีเพราะกลุ่มผู้ที่คิดและน�ำเสนอความรู้ต่างๆ นี้มักมีความต่อเน่ืองหรือแพร่หลายจนกลายเป็น กลุ่มหรอื ขบวนการทเ่ี ราเรียกไดว้ า่ เป็น “สำ� นักคดิ ” (Schools of Thought) และความรูท้ ีถ่ ูกผลติ ถูกน�ำเสนอ ออกมาสู่สังคมก็คือ “วาทกรรม” (Discourse) หรือความรู้ชุดหน่ึงซ่ึงอาจทรงพลังหรือเป็นที่ยอมรับอย่าง กวา้ งขวางก็ได้ และในความเปน็ จรงิ แล้ว ในแต่ละสงั คม ไมว่ ่าจะมเี สรภี าพ มคี วามคดิ เห็นอย่างเสรหี รือไมก่ ต็ าม ย่อมมพี วกส�ำนกั คดิ และผลิตความรทู้ างประวัตศิ าสตรอ์ อกมาในหลากหลาย “วาทกรรม” ดว้ ยกนั หนงั สอื เลม่ น้ี คอื “คมู่ อื การสอนอบรมวชิ าประวตั ศิ าสตรช์ าตไิ ทย” กถ็ อื เปน็ วาทกรรมหนง่ึ ขององคค์ วามรู้ ในวิชาประวัติศาสตร์ชาติไทย และเจ้าส�ำนักคิดใหญ่ก็คือกองทัพบกซึ่งมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อน�ำความรู้ในอดีต ทมี่ คี ณุ คา่ อนั ดงี ามและเหมาะสมตอ่ การนำ� มาปลกู ฝงั ใหแ้ กก่ ำ� ลงั พล เพอ่ื ไดเ้ รยี นรเู้ รอ่ื งราวทด่ี ใี นอดตี และสามารถ น�ำมาใช้ปฏิบัติในปัจจุบัน รวมท้ังการรักษา สืบสานสิ่งที่มีคุณค่าอันดีงามน้ีต่อๆ ไป ทั้งนี้ก็เพ่ือให้เกิดความ เปน็ เอกภาพ มอี ตั ลกั ษณ์ ทง้ั ในเชงิ ความคดิ และการปฏบิ ตั ไิ ปในแนวทางเดยี วกนั ในการบรรลภุ ารกจิ หลกั รว่ มกนั ของการพฒั นาหนว่ ยงานของตน สังคม และประเทศชาตเิ พื่อ “ชาติ ศาสน์ กษตั รยิ ์ และประชาชน” อย่างไรก็ดี แม้ว่ากองทัพบกมีจุดหมายเพ่ือการนี้เป็นการเฉพาะก็จริง คือการเน้นการอบรมปลูกฝัง ก�ำลังพลของหน่วยงาน เพอื่ ให้มีการยดึ ม่นั อุดมการณ์ในหลักการเดียวกนั อย่างมั่นคง แตจ่ รงิ ๆ แล้ว การนำ� เสนอ ความรทู้ างประวตั ศิ าสตรช์ าตไิ ทยนี้ กม็ ไิ ดม้ าจากทรรศนะหรอื การมองจากมมุ ของทหารอยา่ งสดุ โตง่ เชน่ ในแบบ ทหารนิยม ชาตินิยมอย่างรุนแรง หากแต่ยังมีความรู้จากผู้รู้ท่ีน�ำเสนออย่างสมเหตุสมผล และเป็นสิ่งท่ีมีคุณค่า มาประกอบเข้าด้วยกนั ดงั เช่น แนวทางสันติวธิ ีซ่งึ กม็ ีอยูเ่ ชน่ กันในเชิงยทุ ธศาสตร์และยุทธวิธที างทหาร เพ่อื แสดง ใหเ้ หน็ ถงึ ความสำ� คญั ของการบรหิ ารจดั การความขดั แยง้ ในสงั คมไทยปจั จบุ นั ซงึ่ มหี ลายรปู แบบหลากมติ ทิ กี่ ำ� ลงั พลควรตอ้ งเขา้ ใจเขา้ ถงึ แนวทางสนั ตวิ ธิ มี ากกวา่ เพยี งการใชก้ ำ� ลงั และอาวธุ เทา่ นน้ั จงึ จะชว่ ยกอ่ เกดิ ความสงบสขุ และสามารถอยรู่ ว่ มกนั บนความหลากหลาย และการยอมรบั ความแตกตา่ ง รจู้ กั การใหอ้ ภยั รวมถงึ การเคารพซง่ึ กนั และกนั ทสี่ ำ� คญั ยง่ิ กค็ อื การนำ� เสนอความรทู้ างประวตั ศิ าสตรข์ องคมู่ อื เลม่ น้ี มไิ ดเ้ นน้ ใหท้ กุ คนตอ้ งเชอื่ ตามเนอื้ หา อย่างตายตัวหรือยุติกับเร่ืองราวต่างๆ ท่ีได้รับการศึกษาวิจัยมาแล้วในระดับหน่ึง หากคณะผู้จัดท�ำได้อาศัย หลักวิชาการท้ังหลักคิด วิธีการทางประวัติศาสตร์อย่างตรงไปตรงมา อีกทั้งยังได้เปิดกว้างให้กับผู้สนใจท่ัวไป หรือก�ำลังพลท่ีสนใจ ได้มีโอกาสในการค้นคว้าต่อไปจากงานศึกษาวิจัยใหม่ๆ รวมถึงหลักฐานช้ันต้นท้ังในและ ต่างประเทศที่เปิดเผยในปจั จุบันนี้ ดังจะเหน็ ต่อไปในเน้ือหาของคู่มือน้ี เพราะในแต่ละบทนอกจากมเี นือ้ หาหลัก ท่ีต้องการจะสื่อสารแล้วยังมีแหล่งข้อมูลอ้างอิง บทความ หนังสืออ่านค้นเพิ่มเติมในรายละเอียดของแต่ละเร่ือง ซ่ึงบทความและหนังสือที่แนะน�ำเหล่านี้เป็นชุดความรู้ใหม่ท่ีทันสมัยทันเหตุการณ์ของการศึกษาวิจัยทาง ประวัตศิ าสตร ์ นอกจากน้ีทางคณะผู้จัดท�ำยังได้เพิ่มเติมอีกส่วนหน่ึง ที่ผู้สนใจทางประวัติศาสตร์ไทยสมัยใหม่ คงมโี อกาสคน้ ควา้ ขอ้ มลู ใหมต่ อ่ ไปไดจ้ ากเอกสารสำ� คญั ของไทยจากหอจดหมายเหตตุ า่ งประเทศ ใน “คลงั ขอ้ มลู ” ดจิ ทิ ลั ของ “หอจดหมายเหตตุ า่ งประเทศ ทลู กระหมอ่ มอาจารย”์ ซงึ่ กเ็ ปน็ ไปตามพระราชประสงคข์ อง พลเอกหญงิ ศาสตราจารยเ์ กยี รตคิ ณุ ดร. สมเดจ็ พระกนษิ ฐาธริ าชเจา้ กรมสมเดจ็ พระเทพรตั นราชสดุ า ฯ สยามบรมราชกมุ ารี ที่ทรงส่งเสริมและทรงสนับสนุนให้มีการค้นคว้าและจัดเก็บรวบรวมเอกสารส�ำคัญทางประวัติศาสตร์ไทยจาก ตา่ งประเทศ ตงั้ แต่ พ.ศ. ๒๕๓๕ เปน็ ต้นมา ปจั จบุ นั เอกสารในหอจดหมายเหตตุ า่ งประเทศแห่งน้ี มขี ้อมูลใหม่ ข้อมูลลับมากกว่า ๓ แสนแผ่นจาก ๑๐ กว่าประเทศ เปิดให้ผู้สนใจสามารถเข้าถึงและน�ำไปใช้ได้ทางระบบ ออนไลน์ (online) ประวัติศาสตร์ชาติไทย 19 2-aw-�����1-�������������-18.5x26 cm.indd 19 11/12/2565 BE 21:33

ส�ำหรับหลักฐานส�ำคัญทางประวัติศาสตร์ไทยสมัยใหม่ใน “หอจดหมายเหตุต่างประเทศ ทูลกระหม่อมอาจารย์” อาจถือเป็นเรื่องใหม่ก็ได้ ยังไม่มีการแนะน�ำในแวดวงวิชาการและก�ำลังพลในกองทัพ บกมากนัก แต่มีความหมาย ความส�ำคัญมากยิ่ง โดยเฉพาะส�ำหรับผู้สนใจศึกษาวิจัยประวัติศาสตร์ไทยอย่าง รอบดา้ น เนอื่ งจากหอจดหมายเหตตุ า่ งประเทศแหง่ นมี้ ขี อ้ มลู ใหมใ่ นระดบั ลบั -ลบั ทสี่ ดุ ตงั้ แตใ่ นชว่ งกอ่ น ระหวา่ งและ ภายหลงั สงครามโลกครงั้ ท่ี ๒ จนถงึ ปจั จบุ นั ในชว่ งตน้ ของยคุ หลงั สงครามเยน็ ซง่ึ ขอ้ มลู ใหมเ่ หลา่ นม้ี จี ำ� นวนมากมาย และหลากหลายท่ไี ดจ้ ากการค้นคว้าและเกบ็ รวบรวมมาจากหอจดหมายเหตขุ องประเทศต่างๆ ตามพระราชดำ� ริ และพระราชประสงค์ของพลเอกหญิง ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จ พระเทพรัตนราชสดุ า ฯ สยามบรมราชกมุ ารี ตง้ั แต่ พ.ศ. ๒๕๓๕ เพื่อเปดิ บริการให้นกั วิชาการ ผสู้ นใจสามารถ เขา้ ถงึ และนำ� ไปใช้ต่อไป ทง้ั นดี้ ้วยพระองค์ทรงเห็นวา่ ปญั หาจดุ อ่อนทส่ี ำ� คญั ประการหนง่ึ ของการศึกษาวิจยั ทาง ประวตั ิศาสตร์ไทยก็คอื มกี ารใชห้ ลักฐานเอกสารจากต่างประเทศไม่มากนัก การศกึ ษาวจิ ยั ทางประวตั ศิ าสตรโ์ ดยทว่ั ไปนน้ั จำ� เปน็ อยา่ งยงิ่ ทจ่ี ะตอ้ งอาศยั หลกั ฐานขอ้ มลู จำ� นวนมาก และรอบดา้ นเทา่ ทจ่ี ะคน้ หามาได้ จงึ จะชว่ ยทำ� ใหก้ ารผลติ ความรใู้ นเรอื่ งราวนน้ั มคี วามนา่ เชอื่ ถอื เปน็ ทยี่ อมรบั กนั ในเชงิ วชิ าการ และนา่ จะมีพลงั ในการอธิบายมากกว่า “วาทกรรม” อ่ืนๆ กไ็ ด้ ดงั พระราชด�ำริของทูลกระหมอ่ ม อาจารย์ ซึง่ ทรงสอนนักเรยี นนายร้อยในวิชาประวตั ศิ าสตรไ์ ทย เม่อื วันท่ี ๓๐ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๖ ความตอน หนึ่งจากหวั ข้อ “วตั ถุประสงค์และขอบเขตการศกึ ษา และวิธีการทางประวตั ิศาสตร”์ ความว่า “การศกึ ษาเรอ่ื งราวในอดตี จ�ำเปน็ อยา่ งยงิ่ ทจ่ี ะตอ้ งพงึ่ หลกั ฐาน เพอื่ ใหไ้ ดข้ อ้ มลู หรอื ข้อสนเทศที่จะน�ำมาใช้ในการศึกษาวิจัย การหาข้อมูลมีได้หลายวิธี อาจใช้การ อ่านหลักฐานที่เป็นเอกสารลายลักษณ์ การสัมภาษณ์ การสังเกต การส�ำรวจ พ้ืนที่ร่องรอยท่ีเกิดเหตุ ตรวจดูสิ่งของเครื่องใช้ ภาพแผนที่ ท้ังนี้ข้ึนอยู่กับหัวข้อ ท่ีเราจะศึกษาค้นคว้า การหาข้อมูลหรือหลักฐาน ควรหาหลักฐานให้ได้มาก ท่ีสุด และหลากหลาย เพ่ือตรวจสอบ ตรวจทานกันและกัน ให้มั่นใจว่าจะจ�ำลอง ภาพในอดีตได้ใกล้เคียง ข้อผิดพลาดทางประวัติศาสตร์ (historical fallacy) ประการหนง่ึ คอื การมงุ่ คน้ ควา้ หลกั ฐานประเภทเดยี ว มองไปในทางเดยี ว และละเลยหลกั ฐานอ่นื ๆ ท่มี ีอยู่ จะท�ำให้ไมไ่ ดค้ �ำอธิบายท่ีรอบดา้ นและมีน้ำ� หนักนา่ เชอื่ ถือ” ตามแนวทางการทรงสอนน้ี จะเห็นได้ว่าหลักฐานทางประวัติศาสตร์มีหลากหลายชนิดและรูปแบบ แตอ่ าจแบ่งเป็นสองสว่ นใหญ่ คือมีท้งั ส่วนท่เี ปน็ ลายลกั ษณ์อักษรและไม่เป็นลายลักษณ์อกั ษร และทั้งสองสว่ นน้ี ก็คอื “ข้อมูลดบิ ” และถอื เป็น “เครอื่ งมอื ” ไปในตวั ของการศกึ ษาวิจยั ทางประวตั ิศาสตร์ เนื่องจากการอธิบาย เร่อื งราวในอดีตน้นั จำ� เปน็ อย่างย่ิงทตี่ อ้ งอาศยั หลกั ฐานเป็นเคร่ืองยืนยันหรือเป็นพยานรองรบั ในเหตุการณน์ นั้ ๆ หลักฐานทุกชิน้ กไ็ ม่จ�ำเปน็ เสมอไปท่จี ะบอกความจริง ความถูกต้องครบถว้ นสมบูรณ์ จ�ำเป็นตอ้ งมีการตรวจสอบ ตามวธิ กี ารทางประวตั ศิ าสตรอ์ ยา่ งจรงิ จงั เพอ่ื ใหไ้ ดข้ อ้ เทจ็ จรงิ จากหลกั ฐานตา่ งๆ มาประกอบการเขยี นการอธบิ าย เร่ืองราวในอดตี ท่ีเกิดขนึ้ หลักฐานส�ำคัญทางประวัติศาสตร์ไทยโดยหลักๆ แล้วมีสองส่วนใหญ่ คือจากภายในของไทยและ อกี สว่ นหนงึ่ มาจากตา่ งประเทศซงึ่ หลกั ฐานทงั้ สองนมี้ คี วามสำ� คญั พอๆกนั เพราะตา่ งกม็ บี ทบาทและอทิ ธพิ ลทม่ี สี ว่ น ในการชว่ ยใหก้ ารอธบิ าย การเขยี นเรอื่ งราวในอดตี เปน็ ไปอยา่ งสมบรู ณห์ รอื รอบดา้ นยง่ิ ขนึ้ หากมกี ารใชห้ ลกั ฐาน 20 ประวัติศาสตร์ชาติไทย 2-aw-�����1-�������������-18.5x26 cm.indd 20 11/12/2565 BE 21:33

ทั้งสองส่วนน้ีตรวจสอบซึ่งกันและกัน ซ่ึงเรื่องนี้ถือเป็นสิ่งส�ำคัญ เนื่องจากเร่ืองราวของไทยในอดีตที่ผ่านมา แมจ้ ะยาวไกลจากปจั จบุ นั อยา่ งมากกต็ าม แตม่ กั ไดร้ บั อทิ ธพิ ลจากตา่ งประเทศ หรอื มชี าวตา่ งประเทศเขา้ มาตดิ ตอ่ และมีรายงานเก่ียวกับเหตุการณ์ในไทยเสมอมา เอกสารต่างประเทศเหล่าน้ีจึงทรงคุณค่าต่อประวัติศาสตร์ไทย อยา่ งยิ่ง อย่างไรก็ตาม การศึกษาวิจัยทางประวัติศาสตร์ไทยจ�ำนวนมาก ไม่ว่าจะในรูปของการเขียนเรื่องราว ในอดตี ในเชงิ วชิ าการ เชงิ สารคดนี น้ั นกั วชิ าการและนกั เขยี นของไทยสว่ นมาก กลบั มกั อาศยั เพยี งหลกั ฐานสำ� คญั ที่มีอยภู่ ายในประเทศไทยเป็นหลกั ท้งั น้ีอาจเน่ืองจากสงั คมไทยยงั คงขาดแคลนหลกั ฐานสำ� คญั จากตา่ งประเทศ ทั้งจากชาติมหาอ�ำนาจทางตะวันตก สหรัฐอเมริกา และยุโรป และเพื่อนบ้านในเอเชีย เช่น เกาหลี จีน ญ่ีปุ่น และอินเดีย รวมถึงกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนเช่นกัน ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะการไปค้นคว้า และอ่านเอกสารจากต่างประเทศน้ันมีต้นทุนสูงและด้วยข้อจ�ำกัดทางด้านภาษา จึงท�ำให้นักวิชาการ นิสิต นักศึกษา รวมทั้งประชาชนผู้สนใจทั่วไปไม่สามารถเข้าถึงได้ ไม่มีโอกาสได้ใช้แหล่งข้อมูลจากต่างประเทศ อย่างเท่าที่ควรนัก และท�ำให้เราจ�ำเป็นต้องพ่ึงพาหลักฐานชั้นรองจากบรรดานักวิชาการต่างประเทศ โดยเฉพาะในโลกตะวันตก เช่น งานเขียนภาษาอังกฤษ เป็นส่ิงทดแทนเพ่ือทดแทนส่วนส�ำคัญที่ขาดหายไปน้ี พระองค์จึงทรงรเิ ริม่ และดำ� เนนิ การ “หอจดหมายเหตุต่างประเทศ ทูลกระหมอ่ มอาจารย”์ และผลเชงิ รูปธรรม ที่ได้จะพบเห็นว่า ข้อเด่นและผลผลิตส�ำคัญประการหนึ่งในการด�ำเนินการของหอจดหมายเหตุแห่งนี้ ในรอบสามทศวรรษท่ีผ่านมาน้ัน คือ การรวบรวม จัดเก็บและเผยแพร่เอกสารส�ำคัญทางประวัติศาสตร์ จากหอจดหมายเหตุตา่ งประเทศจากทวั่ โลก ซ่ึงปจั จุบนั มีเอกสารใน “คลงั ขอ้ มลู ” ดิจทิ ัล (digital collections) ใน “หอจดหมายเหตตุ า่ งประเทศ ทลู กระหม่อมอาจารย”์ ที่เกบ็ มาจากมากกวา่ ๑๐ ประเทศแล้ว และมเี อกสาร สำ� คญั ทเ่ี ปน็ ขอ้ มลู ชดุ ใหม่ ขอ้ มลู เดน่ ๆ สำ� หรบั การศกึ ษาประวตั ศิ าสตรไ์ ทยสมยั สงครามโลกครงั้ ท่ี ๒ สมยั สงครามเยน็ และตอ่ เน่ืองมาในช่วงตน้ ของยุคหลงั สงครามเยน็ จ�ำนวนมากกวา่ ๓ แสนแผน่ ในจ�ำนวนเอกสารข้อมลู มากกว่า ๓ แสนแผน่ น้ี แม้ว่าสว่ นใหญ่หนักไปทางเอกสารลับของโลกตะวนั ตก โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา ฝร่ังเศส เยอรมนี ออสเตรเลยี และองั กฤษ แต่เอกสารส�ำคัญจากเพอื่ นบ้านทางเอเชยี กเ็ รมิ่ มมี ากขนึ้ จากเกาหลใี ต้ กมั พชู า จนี ญป่ี นุ่ เวยี ดนาม ไตห้ วนั และอนิ เดยี ซง่ึ เอกสารสำ� คญั จากทงั้ โลกตะวนั ตก และเอเชียน้ีมีข้อมูลเด่นๆ ท่ีถือเป็นข้อมูลใหม่ในการศึกษาวิจัยประวัติศาสตร์ไทยที่น่าสนใจในหลายเหตุการณ์ ด้วยกัน ตั้งแต่ช่วงก่อนและระหว่างสงครามโลกคร้ังท่ี ๒ เช่น การเปล่ียนแปลงการปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕ ลทั ธชิ าตนิ ยิ มในชว่ งของรฐั บาลจอมพล ป. พบิ ลู สงคราม การเรยี กรอ้ งดนิ แดนและสงครามไทย-อนิ โดจนี -ฝรง่ั เศส บทบาทและอิทธิพลของญ่ีปุ่นในสงครามโลกคร้ังท่ี ๒ ขบวนการเสรีไทย และต่อเนื่องมาในสมัยสงครามเย็น เช่น ความสัมพันธ์กับสหภาพโซเวียต/รัสเซีย กับจีนสมัยใหม่ ไทยกับสงครามเกาหลี การก่อต้ังสมาคมอาเซียน สงครามลาว-เวยี ดนาม และในชว่ งรอยตอ่ กบั สมยั ยคุ หลงั สงครามเยน็ เชน่ ไทยกบั กลมุ่ อนิ โดจนี ในสมยั ประชาคม อาเซยี น เปน็ ตน้ คุณค่าของ “หอจดหมายเหตุต่างประเทศ ทูลกระหม่อมอาจารย์” แห่งน้ี จึงถือเป็นต้นแบบของ “คลังข้อมลู ” ดิจิทัลจากเอกสารต่างประเทศ ดว้ ยเพราะเป็นโครงการท่ีพระองค์ทรงริเร่มิ และดำ� เนนิ การมาอย่าง โดดเดน่ และเปน็ ครง้ั แรกในแวดวงวชิ าการ ทงั้ ดา้ นการรวบรวมและจดั เกบ็ ตวั เอกสารตา่ งประเทศ และดา้ นการนำ� เอกสารดงั กลา่ วออกไปเผยแพรส่ ผู่ คู้ นในวงกวา้ ง เพอ่ื การใชป้ ระโยชนห์ รอื การประยกุ ตใ์ ชใ้ นดา้ นตา่ งๆ เชน่ การเรยี น การสอน การวจิ ยั ในเชงิ ลกึ การเขยี นงานสรา้ งสรรคท์ างประวตั ศิ าสตรไ์ ทยสมยั ใหม่ การจดั งานสมั มนาทางวชิ าการ และการเปดิ ใหบ้ รกิ ารความรแู้ ละเผยแพรเ่ อกสารจากตา่ งประเทศแกน่ กั วชิ าการ นสิ ติ นกั ศกึ ษา และผสู้ นใจทวั่ ไป ประวัติศาสตร์ชาติไทย 21 2-aw-�����1-�������������-18.5x26 cm.indd 21 11/12/2565 BE 21:33

สามารถเขา้ ถงึ แหลง่ ขอ้ มลู ดงั กลา่ วทาง on-site และระบบหอ้ งสมดุ อเิ ลก็ ทรอนกิ สอ์ ยา่ งทวั่ ถงึ ถงึ อยบู่ า้ นกค็ น้ หาอา่ น ไดส้ ะดวก ซง่ึ การดำ� เนนิ การตามพระราชดำ� รแิ ละพระราชประสงคข์ องพระองคน์ ี้ ถอื เปน็ เรอื่ งพน้ื ฐานทนี่ า่ สนใจยง่ิ ของประชาคมในแวดวงวชิ าการประวตั ศิ าสตร์ การศกึ ษาและการพฒั นาประเทศในปจั จบุ นั เพอ่ื การสรา้ งอนาคต บนฐานขององค์ความรู้ท่ีมีเหตุมีผลจากหลักฐานข้อเท็จจริงให้มั่นคงสืบต่อไป เหตุผลส�ำคัญท่ีกล่าวได้เช่นน้ี กเ็ พราะการทรงรเิ รมิ่ โครงการดา้ นการใหบ้ รกิ ารทางวชิ าการตา่ งๆ นน้ั ถอื เปน็ การวางรากฐานสำ� คญั ของการพฒั นา ทางวิชาการ ทางการศึกษาวิจัยต่อไปให้กับอาจารย์ นิสิต นักศึกษา และผู้สนใจท่ัวไปสามารถน�ำองค์ความรู้ ทั้งจากหลักวิชาการ งานวิจัยเดิมและข้อมูลท่ีพบมาในชุดใหม่ๆ จากเอกสารส�ำคัญจากต่างประเทศดังกล่าว ไปพัฒนาตอ่ ไป โดยทรงมุ่งหวังไว้ว่า “เราหวังว่าจะร่วมคิด ร่วมวจิ ารณเ์ พอ่ื ให้ความรวู้ ิชาการงอกเงยขึ้นมาอกี ” ดังใจความตอนหนึง่ ท่ีพระองค์ตรสั ไว้ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๕๘ ความว่า “...ข้าพเจ้าดีใจท่ีมีนักศึกษาสถาบันต่างๆ เริ่มมาใช้เอกสารท่ีเราไปรวบรวม มาต้ังแต่เม่ือ ๒๐ ปีมาแล้ว และจะพยายามรวบรวมมาเพิ่มเติมอีก ในคร้ังนี้ได้จัดการ ประชุมวิชาการเร่ืองเอกสารจดหมายเหตุเป็นคร้ังแรก นอกจากความร่วมแรงร่วมใจใน กองวิชาประวัติศาสตร์ ส่วนการศึกษา โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้าแล้ว ยังได้รับ ความสนับสนุนจากอาจารย์ นักศึกษา และผู้รู้ภายนอกอีกหลายท่านที่ช่วยส่งบทความ และมาร่วมประชุมท้ังเป็นผู้พูด และผู้ฟัง ซ่ึงเราหวังว่าจะร่วมคิด ร่วมวิจารณ์เพ่ือให้ ความรูว้ ชิ าการงอกเงยขึ้นมาอีก...” จงึ เชอื่ วา่ หากผใู้ ช้ ผอู้ า่ น ผรู้ บั การอบรมจากคมู่ อื นี้ มเี วลาไดค้ น้ อา่ นหลกั ฐานสำ� คญั ทางประวตั ศิ าสตรไ์ ทย สมยั ใหม่เพมิ่ เตมิ ใน “หอจดหมายเหตุต่างประเทศ ทลู กระหมอ่ มอาจารย”์ แลว้ ยอ่ มจะช่วยท�ำใหเ้ กดิ การพัฒนา ความรวู้ ชิ าการงอกเงยขน้ึ มาอกี ตอ่ ไป ตามพระราชดำ� รแิ ละพระราชประสงคข์ องพระองค์ แมว้ า่ การอธบิ ายเนอ้ื หา ทางประวตั ศิ าสตรข์ อง “วาทกรรม” ตา่ งๆ นน้ั ขนึ้ อยกู่ บั ทรรศนะกจ็ รงิ แตก่ ารมหี ลกั ฐานทห่ี นกั แนน่ ยอ่ มถอื เปน็ สงิ่ ดี ท�ำให้การอธิบายนั้นมีพลัง ดังเช่นพระราชด�ำริของทูลกระหม่อมอาจารย์ ทรงพระราชนิพนธ์ไว้ความตอนหน่ึง จากหนงั สอื “เรอื่ งเลา่ จากทหารวชิ าการอาวโุ ส: การคน้ ควา้ และอา่ นเอกสารทางประวตั ศิ าสตร์ เพอ่ื สรา้ งคน สรา้ งชาติ และสรา้ งทหารอาชพี ” (๒๕๖๔) ความวา่ “การเขยี นบทความหรอื หนงั สอื วชิ าการมเี รอื่ งของความคดิ เหน็ ทแี่ ตล่ ะคน มีความคิดของตนอาจไมเ่ หมือนผู้อ่นื แต่ในแง่ข้อมูลนา่ จะมีขอ้ มูลทเ่ี ที่ยงตรงมากท่สี ุดเทา่ ทีจ่ ะทำ� ได้” 22 ประวัติศาสตร์ชาติไทย 11/12/2565 BE 21:33 2-aw-�����1-�������������-18.5x26 cm.indd 22

๑.๔ หลกั ฐานทางประวัติศาสตรฝ์ า่ ยไทยสมยั กรงุ ศรีอยธุ ยาจนถงึ ก่อนสมัยใหม่ การศกึ ษาประวัตศิ าสตร์ไทยมหี ลักฐานทางประวัติศาสตรท์ ีส่ ะท้อนให้เหน็ ถึงพัฒนาการและเหตุการณ์ ทเี่ กดิ ขน้ึ ในหว้ งเวลานนั้ ๆ ไดแ้ ก่ หลกั ฐานประเภทลายลกั ษณอ์ กั ษร เชน่ จารกึ พงศาวดาร ตำ� นาน นบั เปน็ หลกั ฐาน ท่ีศึกษากันอย่างแพร่หลายมากท่ีสุด และหลักฐานที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร ผู้สนใจศึกษาประวัติศาสตร์ไทย จงึ ควรมคี วามเขา้ ใจหลกั ฐานประเภทลายลกั ษณอ์ กั ษรประเภทตา่ งๆ ในทนี่ จี้ ะอธบิ ายถงึ ความสำ� คญั ของหลกั ฐาน ทางประวัติศาสตร์ไทย ประเภทจารกึ ต�ำนาน พระราชพงศาวดาร จดหมายเหตุ เอกสารการปกครอง ทงั้ ในดา้ น ของเนือ้ หาและคุณคา่ ต่อการศึกษาประวตั ิศาสตร์ ดงั น้ี จารึก เป็นหลักฐานประเภทลายลักษณ์อักษรท่ีเก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย เน่ืองจากบันทึกเร่ืองราว ไว้บนวัสดุท่ีมีความคงทน เช่น แผ่นศิลา โลหะ จึงนับเป็นหลักฐานช้ันต้น เพราะอยู่ในสภาพหลักฐาน ดั้งเดิมโดยตลอด จารึกเก่าที่สุดท่ีค้นพบคือจารึกที่ใช้ตัวอักษรปัลลวะ สถานที่ค้นพบจารึกเก่าแก่ คือบริเวณ ทเี่ คยเปน็ ทต่ี งั้ ของอาณาจกั รโบราณ เชน่ อาณาจกั รทวารวดี อาณาจกั รศรวี ชิ ยั เปน็ ตน้ จารกึ ทพี่ บในประเทศไทย ประกอบดว้ ยจารึกทางศาสนาซงึ่ มีจ�ำนวนมากทีส่ ดุ เช่น จารกึ เยธัมมา บนแผน่ อิฐและพระพทุ ธรปู จารึกเกี่ยวกับ บุคคลเพ่ือสรรเสริญพระเกียรติคุณหรือบันทึกพระราชกรณียกิจ เช่น จารึกวัดศรีชุม เกี่ยวกับประวัติของ มหาเถรศรศี รทั ธาราชจฬุ ามนุ ี จารกึ ทเ่ี ปน็ คำ� สตั ยป์ ฏญิ าณ เชน่ ศลิ าจารกึ อกั ษรแบบสโุ ขทยั จารกึ ประกาศของทาง ราชการ ทม่ี วี ตั ถปุ ระสงคแ์ จง้ ขอ้ ความใหท้ ราบและใหป้ ระชาชนถอื ปฏบิ ตั ติ าม เชน่ ศลิ าจารกึ กฎหมายลกั ษณะโจร มบี ทลงโทษผูก้ ระทำ� ความผดิ ฐานลักขโมยทรัพย์สิน บังคับใช้ในอาณาจกั รสุโขทัย เปน็ ต้น เนือ้ หาของจารึกทำ� ให้ ผูศ้ กึ ษาได้ทราบถึงกจิ กรรมท่ีสำ� คัญของผคู้ นในอดีต ปรากฏชอื่ สถานที่ วนั เดอื นปี ทช่ี ัดเจน ตำ� นาน หมายถงึ หลกั ฐานทางประวตั ศิ าสตร์ ซง่ึ มที ม่ี าจากเรอ่ื งเลา่ สบื ตอ่ กนั มา และไดม้ กี ารบนั ทกึ เปน็ ลายลักษณ์อักษรในภายหลัง เร่ืองราวของต�ำนานจะเก่ียวข้องกับประวัติศาสตร์ของราชวงศ์กษัตริย์ บ้านเมือง ประชาชน และสังคมในอดีต ด้วยเหตุที่ต�ำนานเป็นเร่ืองเล่าสู่กันฟัง จึงรวมเอานิทานพื้นบ้าน อิทธิปาฏิหาริย์ เหตกุ ารณ์อศั จรรย์เขา้ ไวด้ ว้ ย สะท้อนถึงความคดิ ความเชื่อ คา่ นยิ มของผคู้ นในยุคน้ันๆ ได้เป็นอย่างดี ตัวอย่าง ตำ� นานทสี่ ำ� คญั เชน่ ตำ� นานมลู ศาสนา บนั ทกึ เรอื่ งราวเกย่ี วกบั พระพทุ ธศาสนาสมยั ลา้ นนา แตง่ โดยพระพทุ ธกาม และพระพทุ ธญาณ ระหวา่ ง พ.ศ. ๑๙๙๙-๒๐๕๓ ในชว่ งรชั สมยั พระเจา้ ตโิ ลกราช ตำ� นานจามเทววี งศ์ บนั ทกึ เรอื่ งราว การกำ� เนดิ เมอื งลำ� พนู ลำ� ปาง และเขลางคน์ คร ในชว่ งปลายพทุ ธศตวรรษที่ ๑๒-๑๙ ตำ� นานสงิ หนวตั กิ มุ าร บนั ทกึ เรื่องราวเกยี่ วกบั การกอ่ ตงั้ อาณาจักรโยนกเชียงแสน ปัจจบุ นั คืออำ� เภอเชียงแสน จังหวดั เชียงราย พระราชพงศาวดาร เป็นบันทึกเรอ่ื งราวของพระมหากษตั รยิ ์ พระราชกรณยี กจิ พระราชส�ำนกั อนั เปน็ เร่ืองราวในขอบเขตศูนย์กลางแห่งอ�ำนาจโดยเรียงเหตุการณ์ท่ีเกิดข้ึนตามกาลเวลา วิธีการเขียนประวัติศาสตร์ ในรปู แบบพระราชพงศาวดารเรม่ิ มมี าตงั้ แตส่ มยั กรงุ ศรอี ยธุ ยา และสบื ทอดตอ่ มาในสมยั กรงุ รตั นโกสนิ ทรต์ อนตน้ ในดา้ นเนอ้ื หาจะแสดงใหเ้ หน็ ถงึ รปู แบบการปกครองแบบสมบรู ณาญาสทิ ธริ าชย์ พระมหากษตั รยิ ท์ รงอยใู่ นสถานะ สมมตุ เิ ทพในการปกครองบา้ นเมอื งใหเ้ กดิ ความสงบสขุ รม่ เยน็ พระราชพงศาวดารสำ� คญั ทบี่ นั ทกึ เหตกุ ารณส์ ำ� คญั ในสมยั กรุงศรอี ยธุ ยา ได้แก่ พระราชพงศาวดารฉบบั หลวงประเสริฐอักษรนติ ิ นอกจากนี้ยงั มีฉบบั อ่นื ๆ ซ่งึ ชำ� ระ ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ คือ พระราชพงศาวดารฉบับพันจันทนุมาศ ฉบับจักรพรรดิพงศ์ (จาด) ฉบับสมเด็จ พระพนรตั น์ ฉบบั บริตชิ มวิ เซยี ม และฉบบั พระราชหตั ถเลขา จดหมายเหตุ เปน็ บนั ทกึ รว่ มสมยั ทจี่ ดเรอ่ื งราวในวนั เวลาใกลเ้ คยี งกบั ทม่ี เี หตกุ ารณเ์ กดิ ขน้ึ โดยทวั่ ไปแลว้ จะเปน็ การบนั ทกึ เพยี งเหตกุ ารณเ์ ดยี วหรอื เหตกุ ารณท์ มี่ รี ะยะเวลาอนั สนั้ เทา่ นน้ั บนั ทกึ ซง่ึ ถอื วา่ เปน็ จดหมายเหตุ ประวัติศาสตร์ชาติไทย 23 2-aw-�����1-�������������-18.5x26 cm.indd 23 11/12/2565 BE 21:33

ทางประวัติศาสตร์มีหลายประเภท ประกอบด้วย จดหมายเหตุของหลวงท่ีบันทึกเหตุการณ์ของฝ่ายปกครอง ในสมัยกรุงศรีอยุธยาได้มีการเก็บรวบรวมในหอศาสตราคม เช่น จดหมายเหตุพระราชพิธีโสกันต์เจ้านาย จดหมายเหตสุ มโภชชา้ งเผอื ก เปน็ ตน้ จดหมายเหตโุ หร เปน็ บนั ทกึ เหตกุ ารณแ์ ตเ่ ฉพาะทโี่ หรเหน็ วา่ มคี วามสำ� คญั โดยเรยี งตามลำ� ดบั วนั เวลา และจดหมายเหตชุ าวตา่ งชาติ ทบี่ นั ทกึ เรอ่ื งราวเกยี่ วกบั ประเทศไทยของชาวตา่ งชาติ ทเี่ ขา้ มาตดิ ตอ่ กบั ประเทศไทยในสมยั ตา่ งๆ นบั ตง้ั แตก่ รงุ ศรอี ยธุ ยาเปน็ ตน้ มา ทง้ั ทางดา้ นการเมอื ง เศรษฐกจิ และ สงั คม เช่น จดหมายเหตวุ ันวลิต จดหมายเหตุลาลแู บร์ จดหมายเหตขุ องหมอบรดั เลย์ เปน็ ต้น เอกสารการปกครอง คือ เอกสารการติดต่อในหน่วยราชการต่างๆ มีต้ังแต่รัชกาลพระบาทสมเด็จ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (รัชกาลที่ ๑ พ.ศ. ๒๓๒๕-๒๓๕๒) เป็นต้นมา ส�ำหรับประวัติศาสตร์ไทย ชว่ งกอ่ นสมยั ใหม่ มหี ลกั ฐานเอกสารการปกครองทสี่ ำ� คญั คอื เอกสารประเภทใบบอก หมายถงึ หนงั สอื รายงานจาก หวั เมอื งตา่ งๆ หรอื รายงานตรวจราชการทส่ี ง่ กลบั ไปยงั สว่ นกลาง เพอ่ื กราบทลู เรอ่ื งการปฏบิ ตั ริ าชการในหวั เมอื งตอ่ พระมหากษตั รยิ ท์ ง้ั เรอื่ งการสง่ สว่ ย การทำ� นา การปราบปรามโจรผรู้ า้ ย สารตรา ไดแ้ ก่ หนงั สอื สง่ั การของเสนาบดี มไี ปถงึ เจา้ เมอื งกรมการเมอื งในราชการตา่ งๆ สว่ น ศภุ อกั ษร คอื หนงั สอื สงั่ การของเสนาบดไี ปยงั เจา้ ประเทศราช หรือหนงั สอื จากเจา้ ประเทศราชมายังเสนาบดี มีเน้อื หาส่ังการในเรอื่ งตา่ งๆ เช่น การพระราชทานแตง่ ตัง้ เลือ่ น ถอดยศ ศักดินา เจ้าเมือง การสง่ั การให้จัดเกบ็ ภาษสี ่วยสงิ่ ของ เงนิ หรอื การเกณฑ์แรงงาน เป็นต้น หนังสืออ่านเพิ่มเติมและแหล่งท่ีมาของข้อมูล เลขอา้ งอิงในบรรณานุกรม ๑๗๐ ๑๘๓.๑ ๑๙๖.๑ ๑.๕ ข้อทคี่ วรตระหนกั ในการศึกษาประวัติศาสตรไ์ ทย ตัง้ แต่สมยั เร่ิมแรกจนถึงปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๙ ประวัติศาสตร์ไทยยุคเริ่มแรกประกอบด้วยเรื่องราวของผู้คนในดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มี ความสมั พนั ธก์ นั และแลกเปลย่ี นวฒั นธรรมหรอื วถิ ชี วี ติ กนั ในทกุ ดา้ น ไมว่ า่ จะเปน็ ดา้ นการเมอื ง เศรษฐกจิ หรอื สงั คม การศกึ ษาอยา่ งตอ่ เนอื่ งนำ� ไปสกู่ ารพบหลกั ฐาน และการตคี วามใหมๆ่ อนั มผี ลใหอ้ งคค์ วามรอู้ าจมกี ารปรบั เปลย่ี น และชดั เจนยิง่ ข้นึ ในการศึกษาประวตั ศิ าสตร์ไทยยุคเรม่ิ แรก มีข้อทีค่ วรตระหนักคอื ๑. วิธีการทางประวัติศาสตร์ การศึกษาเรื่องราวในอดีตของดินแดนที่ปัจจุบันคือประเทศไทย (ตง้ั แตส่ มยั เรม่ิ แรกจนถงึ ปลายพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๙) ซง่ึ ไดใ้ ชว้ ธิ กี ารศกึ ษาประวตั ศิ าสตรแ์ บบตะวนั ตก ไดเ้ รม่ิ ตน้ ขน้ึ ในช่วงต่อระหว่างพุทธศตวรรษท่ี ๒๔-๒๕ เน่ืองจากความจ�ำกัดของหลักฐานทางประวัติศาสตร์ในเวลาน้ัน มีผลให้องค์ความรู้ ทฤษฎี แนวความคิด หรือเนื้อหา ซ่ึงได้รับการยอมรับในช่วงเวลาดังกล่าว อาจได้รับความ น่าเช่ือถือน้อยลงในยุคปัจจุบัน เมื่อมีการส�ำรวจ ค้นพบ วิเคราะห์ ตีความ หลักฐานทางประวัติศาสตร์ใหม่ ๆ ตัวอย่างทช่ี ัดเจนคอื การศึกษา เรือ่ งถนิ่ กำ� เนดิ ของคนไทย ในช่วงต่อระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๒๔-๒๕ (สมัยรัชกาลท่ี ๖–๙) กระแสชาตินิยมและอิทธิพลนักคิด ตะวันตก มีผลให้เกิดการอธิบายทฤษฎีเกี่ยวกับถ่ินก�ำเนิดของคนไทยในหลายแนวทาง ทฤษฎีท่ีจดจ�ำกันมาก 24 ประวัติศาสตร์ชาติไทย 2-aw-�����1-�������������-18.5x26 cm.indd 24 11/12/2565 BE 21:33

และเป็นทฤษฎีท่ีปรากฏในแบบเรียนของกระทรวงศึกษาธิการเพื่อสร้างกระแสความรักชาติ (ในช่วงระหว่าง สงครามโลกคร้ังท่ี ๑-๒ ต่อเน่ืองถึงยุคสงครามเย็น) กล่าวว่า คนไทยมีถ่ินก�ำเนิดอยู่ท่ีเทือกเขาอัลไต (บริเวณ ชายแดนระหว่างประเทศรสั เซยี จีน มองโกเลยี และคาซคั สถาน) ตอ่ มาถกู ขับไล่ ต้องอพยพถอยรน่ ลงมาทางใต้ ระลอกแล้วระลอกเล่า เป็นระยะทางหลายหม่ืนกิโลเมตร จนกระทั่งในราวพทุ ธศตวรรษที่ ๑๘ จึงมาตัง้ ถนิ่ ฐาน ณ ดินแดนท่เี ปน็ ประเทศไทยในปัจจบุ ัน โดยมกี รงุ สุโขทัยเปน็ ราชธานแี ห่งแรก ต่อมาในช่วงทศวรรษ ๒๕๑๐ การตื่นตัวทางวิชาการมีผลให้เกิดการศึกษา วิพากษ์ ความน่าเช่ือถือ ของทฤษฎีถ่ินกำ� เนดิ ของคนไทยทภี่ เู ขาอัลไต ในทส่ี ดุ นกั วิชาการจึงลงความเห็นวา่ ทฤษฎดี ังกลา่ วไม่น่าเปน็ ไปได้ โดยใหเ้ หตุผลวา่ มากกว่า ๒,๕๐๐ ปมี าแล้ว บรรพบุรษุ ของ “คนไทย” ในปัจจุบนั นา่ จะสืบเช้ือสายมาจากผคู้ น หลายเผา่ พันธุ์ทม่ี ีความสมั พนั ธ์กนั ต้ังถน่ิ ฐานอยู่รว่ มกัน มีประวตั ิศาสตรแ์ ละวัฒนธรรมรว่ มกนั ในอาณาบริเวณ กวา้ งใหญไ่ พศาล ครอบคลมุ ดนิ แดนภาคใตข้ องประเทศจนี ลมุ่ แมน่ ำ้� โขงตอนบน แมน่ ำ�้ ดำ� ทางเหนอื ของเวยี ดนาม ลาว พม่า ทางตะวนั ออกของอนิ เดีย และดนิ แดนท่ีปัจจบุ นั คือประเทศไทย ๒. โลกท่ีไม่มีเส้นพรมแดนท่ีแน่นอน ความสัมพันธ์ และประสบการณ์ทางประวัติศาสตร์ร่วมกัน ของผู้คนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก่อนเจ้าอาณานิคมตะวันตกเข้ามายึดครองดินแดนในภูมิภาคเอเชีย ตะวนั ออกเฉียงใต้ (ในราวพทุ ธศตวรรษท่ี ๒๓) นน้ั บา้ นเมืองในดินแดนแถบนย้ี ังไมม่ ีเส้นพรมแดนดงั เช่นปจั จบุ นั ผู้คนในเอเชียตะวัออกเฉียงใต้ไม่ถูกแบ่งแยกอย่างชัดเจนโดยเขตแดนรัฐชาติสมัยใหม่ ผู้คนจึงมีความสัมพันธ์กัน และมีประสบการณท์ างประวตั ศิ าสตรร์ ว่ มกนั ๓. การตง้ั ถน่ิ ฐานของผคู้ นหลายเผา่ พนั ธแ์ุ ละการสรา้ งบา้ นแปงเมอื ง ผคู้ นหลายเผา่ พนั ธต์ุ า่ งตงั้ ถนิ่ ฐาน อยรู่ ว่ มกนั กระจดั กระจาย ไปทวั่ ทง้ั ภมู ภิ าคเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใตร้ วมทง้ั ดนิ แดนทป่ี จั จบุ นั คอื ประเทศไทย เกดิ เปน็ บา้ นเลก็ เมืองน้อย บนเสน้ ทางการค้า และเตบิ โตเปน็ แว่นแควน้ ขนาดใหญ่ บางแควน้ ยงั มีคนต้งั ถนิ่ ฐานตอ่ เนอื่ ง มาถงึ ทุกวนั นี้ บางแควน้ กล็ ่มสลายไป ๔. ลกั ษณะความสมั พนั ธแ์ ละการแลกเปลย่ี นวฒั นธรรม (หรอื วถิ ชี วี ติ ในทกุ ดา้ น) ผคู้ นและบา้ นเมอื งใน เอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใตม้ คี วามสมั พนั ธก์ นั ทง้ั ระดบั ภมู ภิ าค และดนิ แดนโพน้ ทะเล ในลกั ษณะตา่ งๆ เชน่ การสมรส การท�ำสงคราม การค้าขาย การเผยแผ่ศาสนาและศิลปวิทยาการ ฯลฯ ลักษณะความสัมพันธ์ดังกล่าวน�ำไปสู่ การแลกเปล่ียนวัฒนธรรมหรือวิถีชีวิตในทุกด้าน ทั้งในทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ศิลปวิทยาการ ปรัชญา ศาสนา ฯลฯ ๕. รปู แบบความสมั พันธข์ องบา้ นเมือง ในยคุ เรมิ่ แรกของประวัติศาสตร์ ความสมั พันธข์ องบ้านเมอื ง มลี กั ษณะเปน็ การรวมตวั อยา่ งหลวมๆ เปน็ “เครอื ขา่ ยทางวฒั นธรรมและการเมอื ง” (วถิ ชี วี ติ ในทกุ ดา้ น การเมอื ง เศรษฐกิจ สังคม) : แวน่ แควน้ เครือญาตใิ นมิตติ า่ งๆ ซงึ่ นักวชิ าการอาจเรียกชอ่ื ต่างกันไป เช่น รฐั เจา้ ฟา้ มณฑล (Mandala) อาณาจกั ร ๖. การก�ำหนดยุคสมัยของประวัติศาสตร์ไทยตั้งแต่สมัยเร่ิมแรกจนถึงปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๙ การก�ำหนด “ยุค” ทางประวัติศาสตร์ไทยในช่วงเวลาน้ี เกิดจากการตีความหลักฐานทางประวัติศาสตร์ท่ีมี ความเหมอื นหรือคล้ายคลงึ กัน ซ่ึงเปน็ เครอ่ื งแสดงว่า “ร่วมสมยั กัน” หลักฐานดังกล่าว เชน่ โบราณสถาน โบราณ วัตถุ การวางผังเมือง การสร้างคูน�้ำ คันดิน จารึก (ภาษามีความส�ำคัญมากเพราะแสดงความเป็นหมู่เหล่า) บันทึกนกั เดินทางชาวจนี อินเดีย กรกี โรมัน ต�ำนาน ปรัมปราคติ พงศาวดาร ฯลฯ ๗. แผน่ ดนิ ระหว่างสองมหาสมุทรและอารยธรรม ดินแดนที่ปัจจบุ นั คือประเทศไทยมีความส�ำคัญคอื เป็นดินแดนอุดมสมบูรณ์ดึงดูดให้ประชากรหลายเผ่าพันธุ์เคล่ือนย้ายมาต้ังถ่ินฐาน ก่อให้เกิดพัฒนาการทาง ประวัติศาสตร์ชาติไทย 25 2-aw-�����1-�������������-18.5x26 cm.indd 25 11/12/2565 BE 21:33

ประวตั ศิ าสตรข์ องผคู้ นและวฒั นธรรม ในลกั ษณะทม่ี กี ารผสมผสานกนั ดา้ นเผา่ พนั ธแ์ุ ละวฒั นธรรม บา้ นเมอื งเหลา่ นี้ มพี ฒั นาการอยา่ งตอ่ เนื่อง เปน็ บา้ น เมือง แควน้ อาณาจกั ร ประเทศ และมกี ารสรา้ งวัฒนธรรมท่เี ป็นเอกลกั ษณ์ ของตนเองขึ้น ซ่ึงสืบเนื่องมาเป็น “วัฒนธรรมไทย” นอกจากนั้น การท่ีประเทศไทยมีท�ำเลท่ีตั้งอยู่ตรงกลาง ระหว่างมหาสมุทรอินเดียกับแปซิฟิก ก่ึงกลางอารยธรรมโบราณ-อินเดียทางตะวันตก และจีนทางตะวันออก อยู่บนเส้นทางคมนาคมตดิ ต่อระหวา่ งประเทศทั้งทางบกและทางทะเล มผี ลทำ� ใหเ้ ปน็ ชุมทางการคา้ ระหว่างโลก ทางซกี ตะวนั ตก คอื อนิ เดยี ตะวนั ออกกลาง อาณาจกั รโรมนั ตะวนั ออก และโลกทางซกี ตะวนั ออก คอื จนี และญป่ี นุ่ หนงั สืออา่ นเพ่มิ เติมและแหล่งทมี่ าของข้อมลู ๒๓๙ เลขอา้ งองิ ในบรรณานุกรม ๗๑ ๙๐ ๑๗๑.๑ ๒๐๐ ๒๒๔ ๑.๖ ขอ้ พจิ ารณาเกี่ยวกบั เน้ือหาการศึกษาประวัตศิ าสตรไ์ ทยในปจั จบุ นั ปัจจบุ นั มีประเด็นทค่ี วรอภิปรายเกีย่ วกบั การน�ำความรูป้ ระวัตศิ าสตรไ์ ปใชใ้ นการสอนและอบรม ดงั น้ี ๑. แนวคิดชาตินิยมในแบบเรียนทางประวัติศาสตร์ของไทย โดยเฉพาะฉบับกระทรวงศึกษาธิการ ดว้ ยความมงุ่ หมายส�ำคัญในการปลุกจิตส�ำนกึ เพอื่ ความรักชาติ เน้ือหาจึงมกั กลา่ วถึงการตอ่ สทู้ ร่ี นุ แรงผา่ นระบบ ชาตนิ ยิ มแบบทางการ (official nationalism) เนอ้ื หาแบบชาตนิ ยิ มในแบบเรยี นไดส้ รา้ งปมปญั หาทางประวตั ศิ าสตร์ ให้เกิดขึ้นโดยเฉพาะอย่างย่ิงคือความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับเพื่อนบ้าน และได้มีการผลิตและถ่ายทอดซ้�ำ จนสามารถยดึ พน้ื ทใ่ี นการรบั รปู้ ระวตั ศิ าสตรม์ ากกวา่ ชอ่ งทางอน่ื ๆ การศกึ ษาวชิ าประวตั ศิ าสตรช์ าตไิ ทยมลี กั ษณะ เป็นแหล่งบ่มเพาะอุดมการณ์ลัทธิชาตินิยมมากกว่า “ศาสตร์” เพ่ือสร้างปัญญาในการท�ำความเข้าใจอดีตและ ปจั จบุ ัน จงึ มีประวตั ิศาสตร์บาดแผล (wounded history) ซ่ึงเปน็ เรอ่ื งทอี่ ่อนไหวและละเอยี ดอ่อนอยู่มาก ปจั จบุ นั วชิ าประวตั ศิ าสตร์ เปน็ รายวชิ าบงั คบั ในกลมุ่ สาระการเรยี นรสู้ งั คมศกึ ษา ศาสนา และวฒั นธรรม ของนกั เรยี นตง้ั แตร่ ะดบั ประถมศกึ ษาปที ่ี ๑ จนถงึ ระดบั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ ๖ เปน็ ระยะเวลา ๑๒ ปี การกลอ่ มเกลาสำ� นกึ ทางประวตั ศิ าสตรไ์ ดก้ ระทำ� ผา่ นระบบการสอนในโรงเรยี น อกี ทง้ั แบบเรยี นประวตั ศิ าสตรท์ อ่ี ยภู่ ายใตก้ ารควบคมุ ของกระทรวงศึกษาธิการน้ันมีอิทธิพลอย่างมากต่อการปลูกฝังและสร้างพื้นท่ีแห่งความทรงจ�ำในอดีตชุดแรก ของคนไทย ซ่ึงผา่ นกระบวนการขัดเกลาทางตรงแกเ่ ยาวชนอย่างตอ่ เนื่องนานนบั ทศวรรษ การขัดเกลาทางสังคมต้ังแต่วัยเด็กนับเป็นช่วงเวลาที่มีความส�ำคัญในการปลูกฝังอุดมการณ์ทัศนคติ มากที่สุด โรงเรียนและสถาบันการศึกษาล้วนมีบทบาทส�ำคัญในการท�ำสงครามยึดพ้ืนที่ทางความคิด ทางประวัติศาสตร์ (war of position) ดงั น้นั การนำ� ประวตั ิศาสตรช์ าตินยิ มไปใชใ้ นการปลกุ ระดมความรักชาติ ควรตอ้ งระมดั ระวงั ถึงการกระทบกระทงั่ และความสัมพนั ธ์ระหวา่ งประเทศด้วย การแสดงออกในความรักชาติไม่จ�ำเป็นจะต้องกระท�ำด้วยความรุนแรงเสมอไป แต่ความรักชาติน้ัน อาจปลกู ฝงั ไดจ้ ากความมรี ะเบยี บวนิ ยั ภายในชาติการมคี วามซอื่ สตั ยส์ จุ รติ การใชส้ นั ตวิ ธิ ใี นการแกไ้ ขปญั หา การเหน็ แกป่ ระโยชนส์ ว่ นรวมของชาตโิ ดยไมจ่ ำ� เปน็ ตอ้ งไปโจมตหี รอื ดถู กู เหยยี ดหยามเพอ่ื นบา้ น แมป้ จั จบุ นั ในสงั คมไทย ไดต้ น่ื ตวั กบั ขา่ วการเขา้ สปู่ ระชาคมอาเซยี นทม่ี กั จะปรากฏตามสอื่ ตา่ งๆ มกี ารเตรยี มความพรอ้ มในดา้ นการเรยี น 26 ประวัติศาสตร์ชาติไทย 2-aw-�����1-�������������-18.5x26 cm.indd 26 11/12/2565 BE 21:33

ภาษาองั กฤษและภาษาเพอื่ นบา้ นในอาเซยี น ตามโรงเรยี นหรอื หนว่ ยงานตา่ งๆ กม็ กี ารจดั กจิ กรรมเกย่ี วกบั อาเซยี น มกี ารเพมิ่ วชิ าอาเซยี นศกึ ษาขน้ึ มาในหลกั สตู ร เรอื่ งราวในแบบเรยี นอาเซยี นศกึ ษาสว่ นมากเปน็ เรอื่ งพนื้ ฐานทว่ั ไป เชน่ ธงชาติ สญั ลกั ษณ์ ตราแผ่นดิน เงินตรา แผนที่ สถานทส่ี ำ� คญั ของแตล่ ะชาติ กล่าวถงึ ประวตั ิความเป็นมาของ อาเซียนโดยย่อในภาพรวม อย่างไรก็ตามเป็นท่ีน่าแปลกใจว่าเรื่องราวเก่ียวกับประวัติศาสตร์ของเพ่ือนบ้านมีอยู่ นอ้ ยมาก อกี ทงั้ ไมไ่ ดช้ ว่ ยทำ� ใหเ้ ราเขา้ ใจสงั คมวฒั นธรรมของเพอ่ื นบา้ นไดด้ ขี น้ึ เลยหลงั จากเมอื่ ศกึ ษาบทเรยี นทไ่ี ดร้ บั ทั้งหมดแลว้ เน้ือหาสว่ นใหญ่ยงั คงไกลตวั ใชป้ ระโยชนจ์ รงิ ได้น้อย โดยเฉพาะปัญหาในเชงิ ประวตั ิศาสตร์ระหวา่ ง ไทยกับเพ่ือนบ้านก็ไม่ได้ถูกปลูกฝังหรือคลี่คลายในการปรับเสริมสร้างทัศนคติในเชิงบวกหรือเปิดมุมมองใหม่ๆ แบบเรียนในรายวชิ าประวัตศิ าสตร์ไทยเองก็ยงั คงวนเวียนมเี นื้อหาสาระแบบเดิม ๆ ๒. รัฐในอดีตไม่ได้มีความเป็นตัวแทนคนไทยท้ังหมด ในการเรียนประวัติศาสตร์ต้องเข้าใจเร่ือง ความเปน็ มาของแวน่ แควน้ ในดนิ แดนประเทศไทยวา่ ไมไ่ ดม้ พี ฒั นาการเปน็ เสน้ ตรงจากสโุ ขทยั อยธุ ยา ธนบรุ ี และ รตั นโกสินทร์ รปู แบบของรัฐจารีตในเอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใต้ และแวน่ แคว้นโบราณทอ่ี ย่ใู นดินแดนประเทศไทย ไม่ไดม้ ีเพียงแตอ่ าณาจกั ร ๔ แหง่ ในข้างตน้ เท่านัน้ หากแต่ยังมรี ัฐโบราณอีกจ�ำนวนมาก เชน่ ลา้ นนา พะเยา ละโว้ สุพรรณภมู ิ นครศรธี รรมราช ศรีวชิ ยั ลงั กาสุกะ (ปตั ตานี) ในสมัยนั้นยงั ไม่ได้มี “ประเทศไทย” มแี ต่แวน่ แควน้ และบ้านเมืองท่ีรวมตัวกันเป็นรัฐ แต่ไม่ได้มีรัฐใดท่ีเป็นตัวแทนของความเป็นไทยทั้งหมดได้อย่างครบถ้วน รัฐไทยส่วนกลางมีอ�ำนาจเหนือดินแดนในบริเวณลุ่มแม่น้�ำเจ้าพระยาตอนบนและตอนล่างเป็นหลัก สยามเพง่ิ เกดิ ระบบรัฐชาติสมยั ใหม่ในรชั สมยั พระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกล้าเจ้าอยู่หวั รชั กาลที่ ๕ ๓. อาณาเขตของระบบรัฐจารีตไม่มีขอบเขตที่แน่นอนทางดินแดน แตกต่างกับรัฐชาติสมัยใหม่ รฐั ในภมู ภิ าคเหลา่ นไี้ ดร้ บั อทิ ธพิ ลจากการแพรก่ ระจายของอารยธรรมอนิ เดยี (Indianization) แวน่ แควน้ เหลา่ นมี้ ี โครงสรา้ งการปกครองแบบหลวมๆ (Loose Structure State) ซง่ึ ยงั ไมม่ อี าณาเขตและพรมแดนทแ่ี นน่ อนเดน่ ชดั ขอบขา่ ยของอ�ำนาจรัฐมีลักษณะเปน็ ปรมิ ณฑลแหง่ อำ� นาจ (Mandala) ทีส่ ามารถเปลี่ยนแปลงไปไดต้ ามยคุ สมยั ขึ้นอยู่กับสถานภาพทางอ�ำนาจและบุญบารมีของผู้น�ำรัฐสยามในเวลาน้ัน ซ่ึงมีลักษณะคล้ายกับแสงเทียนท่ี สอ่ งสวา่ งมากในบรเิ วณศนู ยก์ ลางของอำ� นาจ และคอ่ ยๆ จางหายไปเมอื่ ไกลออกไป เขตแดนยอ่ มเตม็ ไปดว้ ยรอยปรุ ไม่ชัดเจนและอ�ำนาจอธิปไตยทั้งหลายจะค่อยๆ จางลง จนกลืนหายเข้าสู่กันและกันจนแยกไม่ออก มีลักษณะ คล้ายกบั วงกลมหลายๆ วงทบั ซ้อนกนั ๔. พรมแดนทแี่ บง่ อาณาเขตสมยั กอ่ นคอื พรมแดนทางวฒั นธรรม อาณาจกั รกอ่ นสมยั ใหมใ่ นภมู ภิ าคน้ี ไม่เคยมีเส้นแบ่งเขตแดนที่ชัดเจนโดยรอบแบบพรมแดนในปัจจุบัน สาเหตุไม่ได้มาจากปัญหาทางเทคนิค เช่น ขาดแคลนอุปกรณ์ ผู้มีความรู้ หรือปัญหาคมนาคม แต่อาจจะมาจากไม่มีความคิดเร่ืองเส้นแบ่งเขตแดน อยูใ่ นความรับรู้ อำ� นาจทางการเมอื งไม่แน่นอน เขตแดนปราศจากเสน้ พรมแดนทางภมู ิศาสตรท์ ่แี น่นอนกำ� หนด ชดั เจนลงไป การกำ� หนดเสน้ เขตแดนกอ่ นการเขา้ มาของมหาอำ� นาจตะวนั ตกขนึ้ อยกู่ บั วฒั นธรรมและความคนุ้ เคย ได้แก่ ภาษา เส้ือผ้า ศาสนา และความเป็นเครือญาติ เสื้อผ้าเป็นสัญลักษณ์ความเป็นกลุ่มก้อนของเชื้อชาติ สว่ นสญั ลกั ษณท์ ี่ใช้ก�ำหนดเขตแดนมกั เปน็ สัญลักษณ์ทางธรรมชาติ (natural landmark) เช่น ภเู ขา ต้นไม้ ล�ำนำ�้ หรอื สงิ่ ทีม่ นุษย์สร้างขน้ึ เช่น วัด ก�ำแพง ฯลฯ ๕. แผนที่ส่วนใหญ่ถูกสร้างข้ึนเพื่อแสดงศูนย์กลางจักรวาลและชนชั้นระหว่างผู้ปกครองและ ผอู้ ยใู่ ตป้ กครองเปน็ หลกั อยา่ งไรกต็ ามกย็ งั มแี ผนทบี่ างสว่ นทสี่ รา้ งขนึ้ เพอื่ แสดงเสน้ ทาง เชน่ เสน้ ทางการเดนิ ทาง เส้นทางการค้า มีลักษณะเป็นแนวดิ่งในการอธิบายรูปแบบจักรวาลวิทยาแบบไตรภูมิ ไม่ใช่แผนท่ีในแนวราบ เพื่อใช้อธิบายเขตแดนหรือพรมแดนทางภูมิศาสตร์ในรูปแบบแผนท่ีรัฐกิจ เป็นคนละชุดความคิดกับแบบใหม่ ประวัติศาสตร์ชาติไทย 27 2-aw-�����1-�������������-18.5x26 cm.indd 27 11/12/2565 BE 21:33

ในระบบสุริยจักรวาล แผนท่ีในการรับรู้ในระบบจารีตไม่จ�ำเป็นต้องมีตัวตนอยู่จริง ต่างกับมโนทัศน์ของแผนที่ สมัยใหมซ่ ่งึ มตี ้นแบบมาจากตะวันตก ๖. รัฐเล็กบางรัฐอาจอยู่ใต้อ�ำนาจรัฐใหญ่สองรัฐในเวลาเดียวกัน เรียกว่าสองฝั่งฟ้าหรือบางครั้ง อาจจะเป็นสามฝั่งฟ้า ธรรมเนียมปฏิบัติซ่ึงแสดงว่ารัฐเล็กใดอยู่ใต้อ�ำนาจรัฐใหญ่คือ การส่งเครื่องบรรณาการ และการส่งไพร่พลเขา้ ช่วยเหลอื ในยามเกดิ ศึกสงคราม ประวัติศาสตร์แบบชาตินิยมมักพบความเข้าใจผิดว่า เมืองข้ึน หรือประเทศราชหนึ่งเป็นเมืองขึ้น ของสยามเทา่ นนั้ แทท้ จ่ี รงิ ขอบขา่ ยอำ� นาจอยา่ งสยาม พมา่ เวยี ดนามซอ้ นทบั กนั เพราะตา่ งมปี ระเทศราชรว่ มกนั ได้ เปน็ ปรากฏการณท์ เ่ี กดิ ขน้ึ บอ่ ยครงั้ ในอดตี เชน่ สยามและเวยี ดนามมอี ำ� นาจเหนอื ลาวและกมั พชู าในบางชว่ งเวลา อำ� นาจซอ้ นทบั แบบนใ้ี นอดตี ไมใ่ ชป่ ญั หาทที่ ำ� ใหต้ อ้ งรบราฆา่ กนั เสมอไป แตอ่ าจมกี ารแบง่ ปนั เพราะทกุ รฐั สมยั เกา่ ขอแคป่ ระเทศราชยอมสวามิภักดแิ์ ละสง่ บรรณาการสม�่ำเสมอเป็นอันใชไ้ ด ้ ๗. การขยายอำ� นาจทางการเมอื งมาจากแนวคิดเรื่องจักรพรรดิราช ผู้นำ� รฐั จารตี ในเอเชียตะวันออก เฉยี งใต้ต่างพยายามแสวงหา แข่งขัน ในการขยายอิทธิพลอำ� นาจท้ังทางการเมือง เศรษฐกจิ สังคมและวัฒนธรรม เพือ่ สั่งสมบารมภี ายใตแ้ นวคิด “จักรพรรดริ าช” หรอื “การเปน็ ราชาเหนือราชา” เพราะพระราชาน้ันหมายถึง กษัตริย์ที่เป็นใหญ่มีขอบเขตแห่งอ�ำนาจเพียงรัฐหรือแคว้นเดียว แต่พระเจ้าจักรพรรดิคือพระราชาที่เป็นใหญ่ เหนือทุกเมือง การแสดงแสนยานุภาพแห่งองค์พระราชาคือการปะทะกันระหว่างปริมณฑลแห่งอ�ำนาจเพื่อ ช่วงชิงความเป็นศูนย์กลางระหว่างกันในภูมิภาค รวมถึงการส่ังสมก�ำลังคนและอ�ำนาจเพื่อความม่ันคงของรัฐ เป็นหลัก คตคิ วามเชอ่ื ในพระพทุ ธศาสนาเชอ่ื วา่ จกั รพรรดริ าชทรงเปน็ ผมู้ อี ำ� นาจ แตไ่ มใ่ ชก้ ำ� ลงั ซง่ึ ดเู หมอื นจะขดั แยง้ กบั ความเปน็ จรงิ ดว้ ยเหตนุ ช้ี นชนั้ นำ� ในหมรู่ ฐั จารตี นำ� คตเิ รอื่ งจกั รพรรดริ าชในการใชก้ ำ� ลงั อำ� นาจมาปรบั ใชก้ บั การขยายอาณาจักรเพ่ือจรรโลงพระพุทธศาสนา ในกรณีที่มีอ�ำนาจไม่มากพออาจจะใช้การเป็นจักรพรรดิราช ในทางธรรมซงึ่ มบี ญุ บารมที างธรรมสงู สง่ กวา่ กษตั รยิ อ์ งคอ์ น่ื ในละแวกเดยี วกนั สงิ่ เหลา่ นท้ี ำ� ใหเ้ กดิ เหตกุ ารณแ์ ละ ความขดั แยง้ ในประวตั ศิ าสตรต์ ามมา ไมว่ า่ จะเปน็ กจิ กรรมสงครามการแยง่ ชงิ เจา้ ฐานะปรมิ ณฑลแหง่ อำ� นาจ เชน่ สงครามช้างเผือกระหว่างพระมหาจักรพรรดิและพระเจ้าบุเรงนอง การแข่งขันบารมีในการอุปถัมภ์ท�ำนุบ�ำรุง พระพทุ ธศาสนา เป็นตน้ ๘. ปจั จยั ทางเศรษฐกจิ คอื การกวาดตอ้ นผคู้ นและทรพั ยส์ นิ เพอื่ ใชเ้ ปน็ ฐานในการผลติ ดา้ นกสกิ รรม และแรงงาน อีกท้ังยังมีความมุ่งหมายเพื่อก�ำจัดคู่แข่งทางการค้าหรือผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ด้านสังคมคือ ความต้องการได้รับการยอมรับสถานภาพเป็นพระราชาที่ประพฤติธรรม มีบุญและบารมีเหนือพระราชาองค์อ่ืน ท้ังปวงในภมู ิภาคเดยี วกนั ๙. คตจิ ักรพรรดริ าชไดเ้ ส่อื มถอยลดบทบาทความสำ� คญั ไปเม่ือรฐั แบบจารตี (Traditional State) ถกู แทนทดี่ ว้ ยรฐั ประชาชาติ (Nation State) ซงึ่ เปน็ ระบบรฐั รปู แบบใหมท่ ตี่ ะวนั ตกสรา้ งขนึ้ มาแทนทรี่ ฐั รปู แบบเดมิ ด้วยการก�ำหนดเส้นพรมแดนให้รัฐมีอาณาเขตท่ีแน่นอนแตกต่างจากรัฐจารีตซึ่งมีขอบเขตแห่งอ�ำนาจตามระบบ ปริมณฑลทางอ�ำนาจ การเข้ามาจากภายนอกของอังกฤษจากการท�ำสงครามกับพม่า ได้ปิดฉากการแข่งอ�ำนาจ เชงิ บารมรี ะหวา่ งไทยกบั พมา่ ลงอยา่ งสนิ้ เชงิ เพราะผลจากสงครามระหวา่ งองั กฤษกบั พมา่ เกดิ แนวคดิ ใหม่ องั กฤษ ไม่ได้เรียกร้องเอาสิ่งท่ีแสดงบารมีของกษัตริย์ในระบบจักรพรรดิราช เช่น ต้นไม้เงินต้นไม้ทอง การส่งส่วย การริบทรัพย์จับเชลย แต่เปล่ียนเป็นการยึดดินแดนภายใต้ลัทธิจักรวรรดินิยมตะวันตก ซ่ึงต้องการดินแดนเพื่อ กอบโกยทรัพยากรส�ำหรับสร้างความมั่งคั่งและมั่นคง รวมถึงเพ่ือเป็นการขยายเกียรติภูมิของรัฐชาติตะวันตก 28 ประวัติศาสตร์ชาติไทย 2-aw-�����1-�������������-18.5x26 cm.indd 28 11/12/2565 BE 21:33

ภายหลงั การปฏวิ ัติอตุ สาหกรรม ๑๐. สมยั จอมพล ป. พบิ ลู สงคราม มกี ารสรา้ งวาทกรรมและจนิ ตภาพเรอื่ งชาตไิ ทยใหเ้ กนิ เลยออกไป นอกเขตของรฐั ชาตไิ ทย เพอื่ ปลกุ ระดมความรกั ชาตแิ ละเรยี กรอ้ งดนิ แดนทค่ี นื จากชาตมิ หาอำ� นาจ การสรา้ งแผนท่ี ประวตั ศิ าสตรข์ องแบบเรยี นประวตั ศิ าสตรไ์ ทยในแตล่ ะยคุ สมยั อาจไมถ่ กู ตอ้ งตรงความเปน็ จรงิ เสมอไป แตเ่ ปน็ เพยี ง จนิ ตกรรมของผปู้ ระดษิ ฐแ์ ผนทขี่ นึ้ เพอ่ื อธบิ ายประวตั ศิ าสตรใ์ หเ้ ปน็ รปู ธรรม ตามแนวคดิ “ประวตั ศิ าสตรช์ าตนิ ยิ ม” ที่เน้นความรุ่งเรืองยิ่งใหญ่ของชาติไทยกว่าความเป็นจริงในอดีต นอกจากน้ัน ยังมีการสร้างวาทกรรม การเสียกรุงศรีอยุธยาคร้ังท่ีสอง รวมถึงการสร้างให้พม่าเป็นศัตรูร่วมของชาติ แล้วผ่านกระบวนการถ่ายทอด และผลิตซำ�้ ผา่ นทางแบบเรียน หนงั สือพิมพ์ วิทยุ ละคร รวมถงึ การสรา้ งอนสุ าวรยี ์ สถาปตั ยกรรมแห่งชาต ิ ๑๑. ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น (Local History) ยังขาดพื้นท่ีในการอธิบาย ถูกหลงลืม ละเลยกดทับ ในการสร้างการยอมรับร่วมบนพื้นฐานแห่งความแตกต่าง ท�ำให้วัฒนธรรมท้องถ่ินมีสถานภาพเป็นอ่ืน ด้อย เป็นรองกว่าวัฒนธรรมท่ีประกอบสร้างข้ึนจากรัฐส่วนกลาง ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นจึงตกอยู่ในสภาวะชายขอบ ทางวฒั นธรรม นำ� มาสปู่ มปญั หาทางประวตั ิศาสตรใ์ นด้านการขาดความเปน็ เอกภาพของรัฐ หนังสอื อ่านเพิม่ เตมิ และแหล่งทม่ี าของขอ้ มลู เลขอา้ งอิงในบรรณานกุ รม ๗๓ ๗๔ ๑๐๙ ๒๔๔ ๒๕๗ 2-aw-�����1-�������������-18.5x26 cm.indd 29 ประวัติศาสตร์ชาติไทย 29 11/12/2565 BE 21:33

การจดั เกบ็ สำ� เนาเอกสารจดหมายเหตุประวัตศิ าสตรไ์ ทยจากตา่ งประเทศในโครงการพระราชด�ำริ ก่อนมสี �ำเนาเอกสารดจิ ิทัล 30 ประวัติศาสตร์ชาติไทย 11/12/2565 BE 21:33 2-aw-�����1-�������������-18.5x26 cm.indd 30

๒บทที่ การก่อตวั และพฒั นาการ ของบา้ นเมืองในประเทศไทย ตั้งแต่สมยั เรมิ่ แรกจนถึงปลายพุทธศตวรรษท่ี ๑๙ 3-aw-�����2-�������������-18.5x26 cm.indd 31 11/12/2565 BE 21:33

3-aw-�����2-�������������-18.5x26 cm.indd 32 11/12/2565 BE 21:33

แนวคดิ หลัก ประมาณ ๒,๕๐๐ ปี ผู้คนวางหลักปักฐาน สร้างบ้านแปงเมือง จัดองค์กร และระเบียบในสังคม ในดินแดนที่เป็นประเทศไทยปัจจุบัน ต่อมาได้มีพัฒนาการตามล�ำดับ เกิดเป็นหน่วยการปกครองที่อาจเรียกว่า แว่นแคว้น หรอื อาณาจักร และรบั อารยธรรมจากภายนอก แควน้ และอาณาจักรเหล่านเี้ องท่เี ปน็ รากฐานส�ำคญั ของอาณาจกั รของคนไทที่จะเกดิ ขน้ึ ในเวลาต่อมา วัตถุประสงค์หลัก เพื่อให้ทราบถึงการก่อตัวและพัฒนาการของบ้านเมืองในประเทศไทยต้ังแต่สมัยเร่ิมแรกจนถึง ปลายพทุ ธศตวรรษที่ ๑๙ ในฐานะทเ่ี ปน็ สว่ นหนงึ่ ของประวตั ศิ าสตรท์ เ่ี กยี่ วขอ้ งกบั อาณาบรเิ วณทเ่ี ปน็ ประเทศไทย ในปจั จุบนั เน้อื หาหลกั เมอื่ ราว ๓๐,๐๐๐ ปที ี่แลว้ ไดป้ รากฏรอ่ งรอยการตงั้ ถน่ิ ฐานของมนษุ ย์ยุคแรกๆ บนดินแดนที่ปัจจบุ นั คือ ประเทศไทย จุดเปล่ียนแปลงที่ส�ำคัญเกิดข้ึนเมื่อประมาณ ๒,๕๐๐ ปี เมื่อผู้คนวางหลักปักฐาน สร้างบ้าน แปงเมอื ง จดั องคก์ ร และระเบยี บในสงั คม การวางหลกั ปกั ฐานของบา้ นเมอื งในยคุ เรม่ิ แรกตงั้ แตต่ น้ พทุ ธกาล (ประมาณ ๒๕๐๐ ปมี าแลว้ ) เกดิ จาก การที่ผู้คนพากันมาต้ังถิ่นบนเส้นทางการคมนาคม และแหล่งทรัพยากรท่ีส�ำคัญ ประกอบกับความสัมพันธ์ ระหว่างกลุ่มคนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กับผู้คนจากดินแดนที่ห่างไกลท้ังจากตอนใต้ของจีน ตอนกลาง ของเวยี ดนาม และจากอนิ เดยี มผี ลใหผ้ คู้ นตา่ งเผา่ พนั ธอ์ุ พยพมาตง้ั ถน่ิ ฐานรว่ มกนั แลกเปลยี่ นสนิ คา้ ประสบการณ์ วิทยาการและวัฒนธรรม โดยเฉพาะอย่างย่ิงพุทธศาสนาท่ีเริ่มเข้ามาเผยแผ่ ปัจจัยเหล่าน้ีกระตุ้นสังคม ในแถบน้เี จริญกา้ วหน้าเพ่มิ ข้ึนตามลำ� ดับ พุทธศตวรรษที่ ๘-๑๑ บ้านเมืองภูมิภาคต่าง ๆ ของประเทศไทยในปัจจุบันได้พัฒนาเป็นแว่นแคว้น ทมี่ คี วามสมั พนั ธก์ ันหลวมๆ และมีการตดิ ตอ่ กบั บ้านเมืองทัง้ ในภมู ิภาคและดนิ แดนทีห่ า่ งไกล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อาณาจักรฟูนัน (พนม) ในกัมพูชาที่เป็นมหาอ�ำนาจในภูมิภาค รวมทั้งอินเดียท่ีอิทธิพลทางศิลปวิทยาการ และจีนที่มีอทิ ธพิ ลทางการค้า พุทธศตวรรษที่ ๑๒-๑๖ ปรากฏแคว้นทวารวดีเป็นเครือข่ายทางการค้าและวัฒนธรรมที่ไม่มี การรวมตัวทางการเมอื ง หรือศนู ยก์ ลางทางการเมืองทเี่ ดน่ ชดั แต่มีรปู แบบทางศิลปกรรม โบราณวัตถุ โบราณ สถาน จารกึ ภาษามอญ ซ่ึงปรากฏเปน็ อาณาบริเวณทีก่ ว้างขวางท้งั ในภาคกลาง ภาคเหนือ และภาคตะวันออก เฉียงเหนอื ของประเทศไทยในปัจจุบัน ในเวลาเดียวกันในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ แถบอีสานตอนล่าง ปรากฏแคว้นส�ำคัญคืออิศานปุระ ซ่ึงมีความสัมพันธ์กับกัมพูชา ส่วนอีสานตอนบนปรากฏแคว้นศรีโคตรบูรณ์ บนคาบสมุทรไทยปรากฏแคว้น ตามพรลิงค์ : นครศรธี รรมราช ซ่งึ มคี วามสมั พนั ธก์ บั อาณาจักรศรีวิชยั บนหมู่เกาะ และในเวลานี้ความสมั พนั ธก์ บั จีนท�ำให้เกดิ รปู แบบความสัมพันธ์การคา้ แบบบรรณาการ ประวัติศาสตร์ชาติไทย 33 3-aw-�����2-�������������-18.5x26 cm.indd 33 11/12/2565 BE 21:34

พุทธศตวรรษท่ี ๑๖-๑๙ ขอมหรือเขมรได้เข้ามามีอิทธิพลในดินแดนประเทศไทยในปัจจุบันอย่าง กว้างขวาง ดังปรากฏหลักฐานทางด้านศิลปวัฒนธรรมจ�ำนวนมาก แต่ความสัมพันธ์ทางการเมืองการปกครอง ยังคลุมเครือในบางช่วงอาจจะปรากฏการเข้ามาปกครองโดยตรง แต่บางช่วงอาจเป็นความสัมพันธ์ฉันรัฐ เครอื ญาติ ประกอบกบั มีการแข็งเมืองเป็นระยะ ๆ ชนเผ่าไทเป็นกลุ่มคนที่ถิ่นฐานกระจัดกระจายอยู่ในอาณาบริเวณกว้างใหญ่ไพศาลหลายพันตาราง กิโลเมตรเป็นกลุ่มคนท่ีมีวัฒนธรรมเฉพาะ กระแสธารแห่งประวัติศาสตร์ได้พัดพาให้คนไทได้สร้างบ้านแปงเมือง จนพัฒนาการเป็นประเทศของตนเองในดนิ แดนทปี่ จั จบุ นั คอื ประเทศไทย พุทธศตวรรษที่ ๑๘ เป็นต้น คนไทได้เข้ามาวางหลักปักฐานสร้างอาณาจักรในบริเวณลุ่มแม่น�้ำปิง วัง ยม นา่ น และเจา้ พระยา ผสมกลมกลนื กบั ผคู้ นในเขตทรี่ าบสงู และคาบสมทุ ร เกดิ เปน็ เครอื ขา่ ยรฐั เครอื ญาติ อนั ไดแ้ ก่ แว่นแคว้นทางตะวันออกของแม่น�้ำเจ้าพระยามีศูนย์กลางที่ละโว้ อโยธยา แว่นแคว้นทางตะวันตกของแม่น�้ำ เจา้ พระยา มศี นู ย์กลางทสี่ ุพรรณภมู ิ แวน่ แควน้ ทางภาคเหนอื มีศนู ย์กลางทล่ี ้านนา สโุ ขทยั แวน่ แควน้ ทางภาคใต้ มีศูนย์กลางท่ีนครศรีธรรมราช แว่นแคว้นเครือข่ายรัฐเครือญาติเหล่านี้เองคือ ท่ีมาของสยามประเทศหรือ ประเทศไทยในปัจจุบัน บทเรยี นทไ่ี ดร้ ับ ประชาชนในดินแดนประเทศไทยและเพื่อนบ้านใกล้เคียงต่างมีความสัมพันธ์กันมานาน มีผลให้เกิดการผสมกลมกลืนด้านเผ่าพันธุ์ การแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมหรือวิถีชีวิตทางการเมือง เศรษฐกิจ สงั คมเครือญาติ สงคราม การค้า และศลิ ปวทิ ยาการ ได้กลายเปน็ วฒั นธรรมเฉพาะของผู้คนในภูมิภาค ผ้คู นใน ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมท้ังประเทศไทย ควรท่ีจะร่วมมือกันพัฒนาภูมิภาคให้ก้าวหน้ารุ่งเรือง และ สนบั สนนุ งานของประชาคมอาเซียนให้บรรลุวตั ถุประสงค์ กรณีศึกษา ๒.๑ การกอ่ ตวั ของบ้านและเมอื งในดินแดนทป่ี จั จบุ ันคือประเทศไทย วตั ถปุ ระสงค์ เพ่ือใหท้ ราบสาเหตแุ ละผลของการรวมตวั ของผู้คนเปน็ บ้านและเมอื ง ภูมหิ ลงั และเนอ้ื หา ระหว่าง ๓๐,๐๐๐-๒,๕๐๐ ปีมาแล้ว ดินแดนท่ีปัจจุบันคือประเทศไทย ได้ปรากฏการต้ังถิ่นฐานของ ผคู้ นกระจดั กระจายไปทว่ั ประเทศ ผคู้ นเหลา่ นมี้ คี วามเจรญิ ในระดบั ตา่ ง ๆ ซงึ่ ในแตล่ ะภมู ภิ าคอาจกำ� หนดชว่ งเวลา ของ “ยุคหนิ เก่า ยคุ หินกลาง ยคุ หนิ ใหม่” แตกตา่ งกันไปตามความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของเครอื่ งมือเคร่อื งใช้ ท่ีค้นพบ จุดเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์ท่ีส�ำคัญเกิดข้ึนในช่วงต้นพุทธกาล (ประมาณ ๒,๕๐๐ ปีมาแล้ว) เมอ่ื สงั คมเขา้ สู่“ยคุ โลหะ”ผคู้ นหลายพวกหลายเหลา่ ตา่ งตง้ั ถน่ิ ฐานอยรู่ ว่ มกนั เปน็ กลมุ่ บางกลมุ่ อาจแยกอยโู่ ดดเดย่ี ว ในขณะบางกลมุ่ ตดิ ตอ่ กนั สมั พนั ธก์ บั ผคู้ นในทอี่ น่ื ๆ ดว้ ยเหตนุ เี้ อง ระดบั ความเจรญิ ของแตล่ ะกลมุ่ ชนจงึ ไมเ่ ทา่ กนั การขยายตัวของกลุม่ ชน และการเคล่อื นย้ายลงสทู่ ี่ราบลุ่มท�ำใหเ้ กดิ การกอ่ ตวั และวางหลักปักฐานของ 34 ประวัติศาสตร์ชาติไทย 3-aw-�����2-�������������-18.5x26 cm.indd 34 11/12/2565 BE 21:34

บ้านเมือง เน่ืองจากชัยภูมิเหมาะแก่การต้ังบ้านเรือน มีท่ีราบลุ่มเหมาะแก่การปลูกข้าว ใกล้แม่น�้ำสายใหญ่ๆ สามารถใช้เป็นเส้นทางติดต่อกับชุมชนต่าง ๆ ท้ังในประเทศ และติดต่อกับต่างประเทศไกล ๆ ส่ิงท่ีส�ำคัญคือ การวางหลักปักฐานของบ้านเมือง ก่อให้เกิดการจัดองค์กรและการก�ำหนดระเบียบกฎเกณฑ์ เพ่ือให้กลุ่มคน ได้อยู่ร่วมกันอย่างมีระเบียบ ร่วมมือกันสร้างบ้านแปงเมือง สร้างสาธารณูปโภคต่าง ๆ เช่น การขุดคันน�้ำคูดิน ส�ำหรบั กักน้�ำไวบ้ รโิ ภค ทำ� การเกษตร ป้องกนั ศตั รู ภยั ธรรมชาติ เปน็ ต้น บทเรียนท่ีได้รับ การวางหลักปักฐาน พัฒนาการของสังคมและบ้านเมืองมีผลให้ต้องจัดองค์กรเพ่ือให้ผู้คน อยู่ร่วมกนั อยา่ งมีระเบยี บและมีความสงบของสงั คม หนังสืออ่านเพ่ิมเติมและแหลง่ ทีม่ าของขอ้ มลู เลขอา้ งองิ ในบรรณานุกรม ๒๐๐ ๒๓๙ ๒๔๐ ๒.๒ การวางหลักปักฐานบ้านเมอื งในยุคโลหะ (ชว่ งตน้ พุทธกาล-พุทธศตวรรษท่ี ๗) วัตถุประสงค์ เพือ่ ให้ทราบการก่อตวั และปจั จยั ทนี่ �ำไปสคู่ วามเจริญกา้ วหนา้ ของบ้านเมืองตัง้ แตย่ คุ โลหะเป็นตน้ มา ภูมหิ ลังและเนื้อหา การวางหลักปักฐานของบ้านเมืองในยุคเร่ิมแรกเกิดจากการที่ผู้คนพากันมาตั้งถิ่นฐานบนเส้นทาง การคมนาคม และแหลง่ ทรัพยากรทส่ี ำ� คัญ ประกอบกบั ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งกลุ่มคนในเอเชยี ตะวันออกเฉยี งใต้ กับผู้คนจากดินแดนที่ห่างไกลท้ังจากตอนใต้ของจีน ตอนกลางของเวียดนาม และจากอินเดีย มีผลให้ผู้คน ตา่ งเผ่าพนั ธอุ์ พยพมาตั้งถ่นิ ฐานร่วมกนั แลกเปล่ียนสนิ คา้ ประสบการณ์ วทิ ยาการ และวัฒนธรรม โดยเฉพาะ อย่างยิง่ พทุ ธศาสนาทเ่ี ริม่ เข้ามาเผยแผ่ ปัจจยั เหลา่ นก้ี ระตนุ้ สงั คมในแถบน้เี จรญิ กา้ วหนา้ เพิม่ ข้นึ ตามล�ำดบั ตงั้ แตต่ น้ พทุ ธกาล (ประมาณ ๒,๕๐๐ ปมี าแลว้ ) หลกั ฐานทางประวตั ศิ าสตรไ์ ดช้ ใี้ หเ้ หน็ วา่ หมบู่ า้ นอสิ ระ ไดพ้ ฒั นาเปน็ “บา้ นเมอื ง” เนอ่ื งจากการตดิ ตอ่ สมั พนั ธก์ บั สงั คมภายนอก ทางดา้ น เศรษฐกจิ และศลิ ปวทิ ยาการ มีผลให้เกิดบ้านเมืองบนเส้นทางติดต่อ บ้านเมืองหลายแห่งได้ปรากฏการตั้งถิ่นฐานอย่างต่อเนื่อง (บางแห่ง จนถึงปจั จบุ นั ) เช่น นครชยั ศรี ละโว้ (ลพบรุ )ี พิมาย หริภญุ ไชย ฯลฯ ประเด็นท่นี ่าสนใจคือ การที่บ้านเมอื งเหลา่ นี้ มคี วามสมั พันธ์ทางดา้ นเศรษฐกิจ มกี ารแลกเปล่ยี น สนิ คา้ ป่า แรธ่ าตุ กบั สินค้าจำ� เป็น และฟุ่มเฟอื ย จากบ้าน เมอื งทีเ่ จริญกว่า ๑) การตง้ั ถน่ิ ฐานเกดิ บา้ นเมอื งบนเสน้ ทางการคา้ คมนาคม จากทร่ี าบไปสทู่ ส่ี งู ตามปา่ เขา ดงั จะเหน็ ได้ จากการพบหลักฐาน เช่น ลูกปัดแก้ว ก�ำไลส�ำริด หินสี เคร่ืองมือเหล็ก เศษภาชนะเคร่ืองปั้นดินเผา กลองมโหระทึก ฯลฯ ในแหลง่ ตา่ ง ๆ ดงั นี้ ก. ลุ่มแม่น้�ำแม่กลอง-ท่าจีน และแควสาขา เป็นเส้นทางติดต่อคมนาคมที่ส�ำคัญ ได้ปรากฏ มีการตั้งถิ่นฐานอย่างต่อเน่ือง จากยุคเหล็กเร่ือยมา แถบกาญจนบุรี (บ้านเก่า เมืองสิงห์) ราชบุรี (ทะเลสาบ จอมบงึ คูบวั ) ประวัติศาสตร์ชาติไทย 35 3-aw-�����2-�������������-18.5x26 cm.indd 35 11/12/2565 BE 21:34


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook