Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore บทบาทของทาสเจดีย์กับการสร้างรัฐศาสนา ณ เมืองพุกาม ประเทศเมียนมาร์

บทบาทของทาสเจดีย์กับการสร้างรัฐศาสนา ณ เมืองพุกาม ประเทศเมียนมาร์

Published by sompong.srn, 2022-06-01 14:25:32

Description: บทบาทของทาสเจดีย์กับการสร้างรัฐศาสนา ณ เมืองพุกาม ประเทศเมียนมาร์

Search

Read the Text Version

บทบาทของทาสเจดีย์กับการสร้างรฐั ศาสนาในชมุ ชนโบราณ เมอื งพกุ าม ประเทศเมียนมาร์ The Role of Dasacetiya (The Slave in Pagoda) with the Creation of a State Religion at Ancient Pagan, Myanmar ธนรัฐ สะอาดเอีย่ ม1, พระครปู ริยัติวสิ ุทธิคุณ2 และ พระครปู ัญญาสุธรรมนเิ ทศ3 Received: May 01, 2020 Thanarat Sa-ard-iam1, Phrakhrupariyatvisuttikhun2, and Revised: July 07, 2020 Phrakhrupanyasudhammanites Accepted: August 29, 2020 ([email protected]) บทคดั ย่อ บทความวชิ าการนี้มีวัตถุประสงค์ 3 ประเดน็ คือ (1) เพ่ือศึกษาแนวคิดเร่ืองทาส และทาสเจดีย์ในพระพุทธศาสนา (2) เพื่อศึกษาเมืองพุกามด้านประวัติศาสตร์และ ความสำคัญ และ (3) เพื่อศึกษาบทบาทของทาสเจดีย์ด้านพระพุทธศาสนาที่เมืองพุกาม ใช้ วธิ ีการศกึ ษาเชงิ เอกสารจากข้อมูลปฐมภูมิ คือ พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบบั มหาจฬุ าลงกรณ ราชวิทยาลัย จำนวน 1 เล่ม คือ เล่มที่ 28 และ ข้อมูลทุติยภูมิ จำนวน 20 รายการ ประกอบด้วย หนังสือวิชาการ จำนวน 13 เล่ม รายงานการวิจัยจำนวน 1 เล่ม วารสาร จำนวน 5 เลม่ และเอกสารอิเล็กทรอนกิ ส์ จำนวน 1 รายการ นำเสนอเชงิ พรรณนาวเิ คราะห์ ผลการศึกษาพบว่า เมืองพุกามเป็นราชธานีที่รุ่งเรืองด้วยอารยธรรมแบบ พระพุทธศาสนาในประเทศเมียนมาร์ ในอดีตพุกามมีโครงสร้างการปกครองที่ประกอบด้วย (1) พระมหากษัตริย์ (2) เจ้าเมือง คือพวกเมียวทุคยี (Myothugyi) และ (3) ทาส คือ คยูน (Kyun) และทาสท่ีนายอุทศิ ใหพ้ ระพทุ ธศาสนาเรยี กว่า พยาคยูน (Paya Kyun) ทาสนั้นเปน็ ชนชั้นกรรมาชีพมีฐานะทางสงั คมทต่ี ่ำสดุ ทาสทีน่ ายทาสอุทศิ ใหก้ บั พระพุทธศาสนามีหน้าที่ ในการสร้าง และทำนุบำรงุ ศาสนสถาน เรียกว่า “ทาสเจดยี ์” ในความเป็นรัฐของอาณาจักร พกุ ามนน้ั มีเอกลักษณ์ความเปน็ รัฐศาสนา โดยมที าสเจดียเ์ ป็นกลไกในการชว่ ยสรา้ งรฐั ซ่ึง 1 บณั ฑิตศกึ ษา สาขาวิชาพระพทุ ธศาสนา มหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั วิทยาเขตสรุ ินทร์ 2 สาขาวิชาพระพทุ ธศาสนา มหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั วทิ ยาเขตสุรนิ ทร์ 3 สาขาวชิ ารัฐศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย วทิ ยาเขตสรุ ินทร์

408 | Journal of MCU Humanities Review Vol.7 No.1 (January – June) 2021 มอี งค์ประกอบ 5 ประเด็น คอื (1) สร้างอตั ลักษณร์ ัฐดว้ ยพทุ ธศาสนา (2) ขจัดลัทธนิ อกรีต (3) ยดึ มัน่ ในพระรัตนตรยั (4) สร้างระบบศกั ดนิ า (Feudalism) ที่เอื้อตอ่ ความมนั่ คง และ (5) กระจายอำนาจการปกครองในระบบศักดนิ า (Feudalism) ทาสเจดยี เ์ หล่านี้ จึงเป็นผู้ ปดิ ทองหลงั องค์พระเจดีย์แหง่ เมืองพกุ าม กลุม่ ทาสเหล่าน้ถี ึงแม้มีฐานะทางสังคมท่ีต่ำ แต่ ทรงคุณค่า คือ ไดส้ ร้างสรรค์พุทธศิลปะใหอ้ นชุ นไดช้ น่ื ชม และฝากไวเ้ ปน็ มรดกใหก้ ับอารย ธรรมของประเทศเมียนมาร์ตราบเทา่ ทุกวันน้ี คำสำคัญ: บทบาท, ทาสเจดยี ,์ รฐั ศาสนา, เมืองพุกาม, ประเทศเมียนมาร์ Abstract The three purposes of this academic article were: (1) to study the concept of slaves and slaves in the Buddhist pagodas (2) to study Pagan city, history, and importance and (3) to study the role of Buddhist pagoda slaves in Pagan. In this paper is used the documentary presentations from the primary sources namely; the Thai Tipitaka Mahachulalongkornrajavidyalaya edition 1 book namely Volume 28 and from secondary souses which there are 20 items, consisting of 13 academic books, 1 research report, 5 journals, and 1 electronic document. Presents descriptive analysis. The results found that the former Pagan capital city that flourished with the Buddhist civilization of Myanmar. In the past, Pagan has a governance structure that consists of (1) king (2) the ruler (myutugyi) and (3) slaves (kyun) and slaves which the owner dedicated to Buddhism called paya kyun. The slaves that the owner devoted to Buddhism was responsible for creating and preserving religious places called “ Dasacetiya (the slave in pagoda)” in the state of the Pagan kingdom. With a unique state of religion which has Dasacetiya (the slave in pagoda)\" as a mechanism of the creation of the state that has 5 elements, namely (1) creating a state identity with Buddhism, (2) eliminating heresy, (3) adhering to the triple gem, (4) create a feudalist system

วารสาร มจร มนษุ ยศาสตรป์ รทิ รรศน์ ปีท่ี 7 ฉบบั ที่ 1 (มกราคม - มถิ นุ ายน) 2564 | 409 for contributing to the stability of the state and (5) decentralizing power in feudalism. Therefore, the Dasacetiya (the slave in pagoda) is the people who stand behind the golden pagoda in all over the Pagan field. These people, even though they have a low social status but they are still valuable for the creation of the Buddhist arts for the new generations to appreciate and deposited as a heritage for the civilization of Myanmar up until today. Keywords: Role, Dasacetiya (the slave in Pagoda), Religious State, Pagoda, Pagan, Myanmar บทนำ เมอื่ พระพทุ ธศาสนาไดเ้ ขา้ มาเผยแผใ่ นดินแดนสุวรรณภูมิ ในพุทธศตวรรษที่ 3 ในยุคของพระเจ้าอโศกมหาราช ซึ่งดินแดนสุวรรณภูมิในยุคนั้น เป็นดินแดนที่มีความ หลากหลายทางเชื้อชาติ ศาสนา และศิลปวัฒนธรรม และเมื่อพระพุทธศาสนาได้รับการ ยอมรับและมีศาสนิกชนมจี ติ ศรทั ธาไดน้ ำเอาหลกั พุทธธรรมไปประพฤติในวิถีชีวิต ทำให้เกิด การผสมผสานระหว่างพระพุทธศาสนากบั วฒั นธรรมท้องถิ่นทมี่ ีอย่เู ดิม กระท่ังกลายเป็นพหุ วัฒนธรรมเชิงพุทธ หมายความว่า พระพุทธศาสนาช่วยสร้างวัฒนธรรม ทั้งวัฒนธรรมท่จี ับ ตอ้ งได้ (tangible culture) และวฒั นธรรมทีจ่ ับตอ้ งไมไ่ ด้ (intangible culture) ให้กบั นานา อารยประเทศ และช่วยการสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับสังคม การเมือง เศรษฐกิจ การศึกษา และประวัติศาสตร์โดยใช้โครงสร้างของกลุ่มชน (ethnicity) เช้ือชาติ (race) สถานะของ ครอบครวั (socioeconomic status) เพศ (gender) ความสามารถพเิ ศษ (exceptionalities) ภาษา (language) ศาสนา (religion) บทบาททางเพศ (sexual orientation) และพื้นที่ทาง ภมู ศิ าสตร์ (geographical area)” (ประพันธ์ กลุ วินจิ ฉยั , 2557) ของแต่ละอารยธรรม ซ่ึงใน อดตี นน้ั พระพุทธศาสนาเกดิ ข้ึนในชมพทู วปี ท่ีมีวฒั นธรรมเดียวคือเกษตรกรรม แต่เมอ่ื มีการ ผสมผสานกับวัฒนธรรมของแต่ละถิ่นเขา้ ไป ทำให้พระพทุ ธศาสนามีลักษณะการผสมผสาน ทางวฒั นธรรม จนกลายเป็นพหุวฒั นธรรมท่ีเชิงพทุ ธมีอตั ลกั ษณะเฉพาะถนิ่ ในทีส่ ุด เมืองพุกาม หรือ เมืองปากาน (Pagan) เป็นอาณาจักรโบราณของประเทศ เมยี นมาร์ ในช่วง พ.ศ.1587-1830 (นวลจันทร์ คำปงั สุ, 2551) และได้ชอื่ ว่าเป็นราชธานี

410 | Journal of MCU Humanities Review Vol.7 No.1 (January – June) 2021 แหง่ แรกของประเทศเมียนมาร์ เอกลักษณอ์ ย่างหน่ึงของเมอื งพุกามทสี่ อื่ สารตอ่ ชาวโลก และ เป็นทร่ี จู้ ักของนกั ท่องเท่ยี วกค็ อื “เมืองแหง่ ทะเลเจดีย”์ หรือ “ดินแดนแห่งเจดีย์สี่พันองค์” เมอื งพุกามเปน็ สถานทีซ่ ่ึงพระพทุ ธศาสนาเคยเจรญิ รุ่งเรือง กระทัง่ พระราชาผู้ครองราชย์ใน ราชธานีพุกาม คือพระเจ้าอนิรุทธ์ มีการปกครองแบบราชาธิปไตย (พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต), 2553) โดยการนำระบบศักดินามาใช้ ทั้งนี้ เพื่อเอื้อประโยชน์ต่อการ ปกครองประเทศที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ และพื้นแผ่นดินเป็นจำนวนมาก ผลแห่งการ ปกครองแบบราชาธิปไตยและยึดระบบการบริหารแบบศักดินา ส่งผลเชิงบวกต่อ พระพทุ ธศาสนาโดยตรง นั่นคือการสรา้ งศาสนสถาน คอื “พระเจดีย์” เปน็ จำนวนมาก ซงึ่ ในการก่อสร้างพระเจดีย์และการทำนุบำรุงรักษาพระเจดีย์ที่มีจำนวนมากนี้ สิ่งหนึ่งท่ี ปรากฏเด่นชัดในประวัติศาสตร์ของเมือพุกาม คือ การมี “ทาสเจดีย์” ผู้คอยทำหน้าที่ ก่อสรา้ งและทำนบุ ำรุงพระเจดีย์อย่างสม่ำเสมอ (สธุ ดิ า ดันเลศิ , 2555) ดงั นั้น ในบทความนี้ จงึ มงุ่ นำเสนอบทความของทาสเจดยี ์ท่เี มอื งพุกามในรัชสมัยของพระเจา้ อนรุ ุทธ์เทา่ น้นั ซึ่ง ความเป็นทาสเจดีย์ของประชาชนเมืองพุกามในยุคของพระเจ้าอนุรุทธ์นั้น ย่อมเป็น เครื่องบง่ ชวี้ า่ รปู แบบการปกครองทน่ี ำเอาศาสนามาชว่ ยสง่ เสริมการปกครอง หรอื เรียกว่า “รัฐศาสนา” นั้นได้เกิดขึ้นในราชอาณาจักรพุกาม ซึ่งมีความสัมพันธ์ระหว่างสถาบัน พระพุทธศาสนากับกลุ่มทาสเจดีย์ ที่เอื้อต่อการสร้างรัฐศาสนาแบบพุกาม ผู้เขียนจึงขอ นำเสนอรายละเอยี ดเป็นลำดับดังต่อไปน้ี ทาสเจดีย์ คอื ผู้ปดิ ทองหลงั องคพ์ ระเจดยี ์ แนวคดิ เกีย่ วกับระบบทาส แนวคิดเร่อื งทาสนั้น มมี าต้ังแต่บรรพกาลในทกุ สงั คมมนุษย์ทัง้ ฝัง่ โลกตะวันตกมี กรีก เป็นต้น และฝัง่ โลกตะวันออกมีอินเดียเป็นต้น ซึ่ง“ระบบทาส (Slavery) นี้ เป็นการ บังคับใช้แรงงาน (Compulsive Labor) ของบุคคลที่ตกอยู่ในสถานต่ำกว่าในสงั คม และ ถูกลดทอนสถานภาพจนถึงขั้นต่ำกว่ามนุษย์โดยถูกระบุในทางกฎหมายว่า เป็นทรัพย์สนิ (Chattle/Property) ใต้อาณัติการถือครองของบุคคลอื่น ไร้ซ่ึงอิสรภาพและถูกใช้กำลัง บังคับขู่เข็ญกักขงั อยู่ตลอดเวลา ทาสยังถูกใช้แรงงานอย่างหนักจนเจบ็ ป่วยบาดเจ็บพิการ ตลอดจนตกเปน็ เหย่ือการประทษุ ร้ายจนถึงแกค่ วามตายไดโ้ ดยนายทาส ในกรณที ี่ทาสน้ัน

วารสาร มจร มนุษยศาสตร์ปริทรรศน์ ปีท่ี 7 ฉบบั ที่ 1 (มกราคม - มิถุนายน) 2564 | 411 มีฐานะเป็นทรัพย์สมบัติ รูปแบบการบังคับใช้แรงงานเช่นนี้ มีอยู่คู่สังคมมนุษย์มาอย่าง ยาวนาน… (ทัศสภา อุมะวิชนี, 2557) ซึ่งในส่วนของโลกซีกตะวันตกนั้น ปรากฏหลักฐานวา่ มีอยู่ตั้งแต่ในยุคอารยธรรมกรกี โบราณ ดังจะเห็นได้จากงานเขียนของ Aristotle ซึ่งเขา เห็นว่า “ทาสคือเครื่องจักร (Machine) ที่มีชีวิต” สังคมจำเป็นต้องมีทาสเพื่อขับเคล่อื น ระบบเศรษฐกิจ (อัธยา โกมลกาญจน์, 2541) จากหลักฐานทางประวัตศิ าสตร์พบว่า ยุค กรกี โบราณน้นั พวกทาสได้แก่บุคคลท่มี หี นี้สินและยอมขายตนเองลงเปน็ ทาส รวมท้ังเชลย ศกึ ท่ถี กู กวาดต้อนมาจากการทำสงคราม (เจษฎา ทองขาว, 2542) ดังนั้น แนวความคิดเรื่องทาส จึงเป็นแนวความคิดเกี่ยวกับระบบการใช้ แรงงานคนผู้มสี ถานะทางสังคมต่ำทสี่ ุด และเปน็ ระบบท่มี นษุ ยส์ ร้างข้ึนเพ่ือเอ้ือประโยชน์ ตอ่ ระบบเจ้าขนุ มลู นายหรอื ระบบศักดนิ า (Feudalism) เพือ่ ใช้ในการปกครองดแู ลขา้ ทาส แรงงาน ทง้ั นี้ เพอ่ื การมีทาสไวส้ ำหรบั ใช้แรงงาน เพอื่ ชว่ ยกจิ การต่าง ๆ ท้ังระดบั ประเทศ ชาติและระดบั ปจั เจกบคุ คล ความหมายและประเภทของ “ทาส” ในทางพระพุทธศาสนา ความหมาย: ทาส ตรงกับศพั ท์ภาษาบาลีว่า “ทาสี” และ “ทาโส” ซึ่งแปลวา่ หญิงบ่าวและชายบ่าว ตามลำดับ ซึ่งแปลเป็นภาษาองั กฤษว่า “a Female slave, a maid- servant, and a slave a servant” (พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระจันทบุรีนฤนาท, 2537) ดังนนั้ บคุ คลผู้เป็นทาส มีทัง้ เพศหญิงและเพศชาย มที ั้งเป็นเดก็ และผใู้ หญ่ ซ่งึ ทาสเหลา่ น้ัน มี หนา้ ท่ีในการรับใชบ้ ุคคลผู้เป็นเจา้ นายของทาส ทั้งในรูปขององค์กร เช่น รฐั หรอื ราชสำนัก และปัจเจกชน มีอำมาตย์ เปน็ ต้น ประเภท: ในวรรณคดีของพระพทุ ธศาสนามปี รากฏศัพท์บาลวี ่าด้วยคำวา่ “ทาส” ไว้หลายประเภท เช่น ทาสเชลย ศัพท์บาลีคอื กรมมานีต ทาสติดที่ดิน ศัพท์บาลีคือ กสฺสก ทาส และ ภูมิทาส ทานในเรือน ศัพท์บาลีคือ อนฺโตชาต ทาสในเรือนเบี้ย ศัพท์บาลีคือ อา มายทาส อามายทาสี และอนโตชาต ทาสรับใช้ ศพั ทบ์ าลีคอื วเิ สสติ เสวก ทาสสมัครใจ ศัพท์ บาลคี ือ ทสพฺโยปคคฺ และ ทาสสนิ ไถ่ ศพั ท์บาลีคอื ธนกฺกตี และอีกคำหนึง่ คอื ทาสทาน ศพั ท์ บาลีคือ ทาสทาน (พระมหาโพธิวงศาจารย์ (ทองดี), 2559) และในอรรถกถาธรรมบทก็ ปรากฏมศี ัพทบ์ าลวี า่ ด้วย “ทาส” อีกพอประมาณ เชน่ “ทาสกมฺมกรโปริส แปลวา่ ประชมุ

412 | Journal of MCU Humanities Review Vol.7 No.1 (January – June) 2021 แห่งบุรุษผู้เป็นทาสและกรรมกรทั้งหลาย ทาสกมฺมกรา แปลว่า อันว่าทาสและกรรมกร ทั้งหลาย ทาสกมฺมกราทีหิ แปลว่า อันชนทั้งหลายมีทาสและกรรมกรเป็นต้น ทาสทารก แปลวา่ เดก็ ผ้เู ปน็ ทาส ทาสทาสิโย แปลว่า อันว่าทาสและทาสีทัง้ หลาย เป็นตน้ ” (บุญสืบ อนิ สาร, 2555) ดงั น้ัน ในสมยั พุทธกาลน้ัน ไดม้ กี ารแบง่ ทาสออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่ ทาสเกดิ ภายใน คือ ลูกที่เกิดจากทาส (ทาสี) ย่อมเป็นทาสเช่นเดียวกับมารดาผู้ให้กำเนิด ทาสท่ี ชว่ ยมาดว้ ยทรพั ย์ คือ ทาสทนี่ ายทาสซอื้ ตัวมาจากนายเงนิ ผู้อื่น แลว้ นำมาเปน็ ทาสของตน ทาสที่เขานำมาเป็นเชลย คือ ทาสที่ถูกกวาดต้อนมาภายหลังจากที่กษัตริย์เป็นผู้ชนะ สงคราม ฝ่ายทแ่ี พส้ งครามก็จะถูกจบั เป็นทาส และบุคคลท่ียอมเป็นทาสเอง คือ ทาสท่ยี อม ขายตนเองลงเป็นทาสเพ่ือใหไ้ ดร้ บั การเลี้ยงดูหรอื คุ้มครองจากผู้เป็นนาย (เจษฎา ทองขาว และคณะ, 2560) และในวธิ รุ ชาดกได้ระบุทาสไว้จำนวน 4 ประเภทดว้ ยกัน คือ (1) ทาสใน เรือนเบีย้ (2) ทาสท่ีซ้ือมาด้วยทรัพย์ (3) ทาสท่ียอมตนเขา้ เป็นข้าเฝา้ และ (4) ทาสเชลย (ขุ.ชา. (ไทย) 28/1445/409, อ้างใน พระศรีคมั ภีรญาณ, 2557) ความหมายและประเภทของ “ทาส” ในบรบิ ททว่ั ไป ความหมาย: ในวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี ได้ให้ความหมายไว้ว่า ทาส หมายถึง บุคคลซ่ึงถูกนับสิทธิเสมือนสิ่งของของผู้อื่น ไม่มีอิสระในการดำรงชีวติ และมีหนา้ ที่รบั ใช้ ผอู้ ่ืนโดยมิไดร้ บั การตอบแทนจากเจา้ ของ (นายทาส) เชน่ การรบั ใชท้ างด้านแรงงาน และ หากไมเ่ ชื่อฟังคำสง่ั อาจถูกลงโทษไดต้ ามแต่นายทาสจะกำหนด ยกเวน้ เป็นการกระทำอัน ทำใหถ้ ึงแกค่ วามตาย (วิกิพีเดยี สารานกุ รมเสรี, 1 กมุ ภาพนั ธ์ 2563) ประเภท: จากขอ้ มลู ของวกิ ิพีเดีย สารานกุ รมเสรีได้ระบวุ า่ ในประเทศไทย ทาส ไดถ้ กู แบ่งออกเปน็ 7 ชนดิ (ในสมยั กรงุ ศรอี ยธุ ยาเปน็ ตน้ มา โดยในสมัยก่อนหนา้ น้ันยงั เป็น ข้อถกเถียงของนักวิชาการ) ได้แก่ (1) ทาสสินไถ่- เป็นทาสที่มีมากที่สุดในบรรดาทาส ทั้งหมด โดยเงือ่ นไขของการเป็นทาสชนิดนี้ คือ การขายตวั เป็นทาส เช่น พ่อแม่ขายบุตร สามีขายภรรยา หรือขายตัวเอง ดังนั้น ทาสชนิดนี้จึงเป็นคนยากจน ไม่สามารถเลี้ยงดู ครอบครัวหรอื ตนเองได้ จึงไดเ้ กิดการขายทาสข้ึน โดยสามารถเปลี่ยนสถานะกลับไปเมื่อมี ผมู้ าไถ่ถอน และทาสชนิดนที้ ีป่ รากฏในวรรณคดีไทย คือ นางสายทอง ซึง่ ขายตวั ใหก้ ับนาง

วารสาร มจร มนุษยศาสตรป์ ริทรรศน์ ปีท่ี 7 ฉบับท่ี 1 (มกราคม - มิถุนายน) 2564 | 413 ศรีประจันนนั่ เอง (2) ทาสในเรอื นเบ้ีย-เด็กทเ่ี กดิ ขึน้ ระหวา่ งที่แม่เปน็ ทาสของนายทาส ทาส ชนดิ นไ้ี มส่ ามารถไถ่ถอนตนเองได้ (3) ทาสที่ไดร้ บั มาด้วยมรดก - ทาสที่ตกเปน็ มรดกของนาย ทาส เกิดข้นึ กต็ ่อเมอื่ นายทาสคนเดมิ เสยี ชวี ิตลง และไดม้ อบมรดกใหแ้ กน่ ายทาสคนต่อไป (4) ทาสท่านให้ – ทาสที่ได้รับมาจากผู้อ่ืนอีกทีหน่ึง (5) ทาสที่ช่วยไวจ้ ากทัณฑโ์ ทษ - ในกรณีที่ บคุ คลน้นั เกิดกระทำความผิดและถกู ลงโทษเป็นเงนิ ค่าปรับ แต่บุคคลน้ัน ไม่มคี วามสามารถ ในการชำระคา่ ปรับ หากวา่ มผี ้ชู ่วยเหลือใหส้ ามารถชำระค่าปรับได้แล้ว ถอื ว่าบุคคลน้ันเป็น ทาสของผู้ใหค้ วามช่วยเหลือในการชำระค่าปรับ (6) ทาสท่ีช่วยไว้ให้พ้นจากความอดอยาก - ในภาวะที่ไพร่ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองให้ประกอบอาชีพได้แล้ว ไพร่อาจขายตนเองเป็น ทาสเพ่อื ให้ได้รับการช่วยเหลือจากนายทาส และ (7) ทาสเชลย - ภายหลงั จากไดร้ ับการชนะ สงคราม ผู้ชนะสงครามจะกวาดต้อนผู้คนของผู้แพ้สงครามไปยังเมืองของตน เพื่อนำผู้คน เหล่าน้นั ไปเป็นทาสรับใช้ (วกิ พิ ีเดยี สารานุกรมเสร,ี 1 กุมภาพันธ์ 2563) ส่วน สุธิดา ตันเลิส ได้แบ่งประเภททาสออก 5 ประเภท คือ ทาสเชลย ทาสวัด ทาสในเรือนเบ้ียหรือทาสมรดก และทาสสินไถ่ รวมถึงทาสแบบใหม่ คือ ทาสท่ีถูกไล่ล่า (สุธิดา ตันเลิศ, 2555) ดังนั้น จากการแบ่งประเภททาสทั้งจากคัมภีร์พระพุทธศาสนาและ ศาสตร์สมยั ใหมน่ ้นั โดยสรปุ แลว้ ทาสน้ันมี 2 กล่มุ คอื กลุม่ ท่ี 1 ทาสเกิดในสภาวะปกติ คือ กลุม่ ทาสท่ีเปน็ มรดก, ทาสสนิ ไถ,่ ทาสในเรือนเบย้ี เป็นตน้ และกลุ่มท่ี 2 ทาสเกิดในภาวะ สงคราม คอื กล่มุ ทาสท่ีเกดิ ขนึ้ จากผลของสงคราม มีอยใู่ นรูปของผแู้ พส้ งคราม ถูกจับใน ฐานะเชลยศกึ เปน็ ต้น ทาสเจดยี ์ คือ ใคร? ประเทศอินเดียในสมัยพทุ ธกาลนั้นไดม้ กี ารแบง่ ทาสออกเปน็ 4 ประเภทดงั ทไ่ี ด้ กล่าวไปแลว้ นั้น การนำเอาคนลงเป็นทาสในสมัยพุทธกาล เป็นประเพณีท่ีสบื ทอดมาจาก ระบบวรรณะ ตามคติความเชื่อของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ทาสจึงมีลักษณะเป็นเหมือน ทรัพย์สินอย่างหนึ่งของนายทาส และมีหน้าที่รับใช้และทำตามคำสั่งของนายทาสอย่าง เดยี วเท่าน้นั (เจษฎา ทองขาว และคณะ, 2560) และเมอ่ื อิทธพิ ลแนวคดิ ระบบวรรณะของ อินเดียได้แผ่ขยายไปยังอาณาจกั รโบราณในทวีปเอเชีย การขายตนเองลงเปน็ ทาสหรอื การ ขายคนในครอบครัวลงเป็นทาส เป็นวัฒนธรรมที่ชาวเอเชียให้การยอมรับโดยทั่วไปว่า

414 | Journal of MCU Humanities Review Vol.7 No.1 (January – June) 2021 สามารถทำได้ ทาสจงึ กลายเปน็ แรงงานท่ีสำคญั และกลายเปน็ เครื่องมือในการจดั ระเบียบชน ชั้นทางสังคมที่หยั่งรากลึกอยู่กับวิถีในการดำเนินชีวิตของชาวเอเชีย ที่ได้รับอิทธิพลทาง วัฒนธรรมจากอารยธรรมอินเดียโบราณมาอย่างช้านาน (เจษฎา ทองขาวและคณะ, 2560) ดังนั้น ในบรรดาทาสทั้งหลาย ทาสที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา คือ “ทาสวัด ซึ่งคำว่า หมายถึง สมาชิกสงั คมกลุ่มท่รี ับใช้ศาสนสถาน เรยี กชือ่ ต่างกนั เชน่ เลกวัด ทาสจังหัน ข้อย โอกาส พวกเขาได้รบั อภิสิทธิ์มากทีส่ ุดซึ่งไม่ต้องเข้ารับการเกณฑ์แรงหรือออกทัพจับศึก” (สุธิดา ตันเลศิ , 2555) ซึ่งทาสเหล่าน้ีเรียกอีกอย่างหนึ่งก็คือ ‘ทาสเจดีย์’ ซึ่งมาจากคำวา่ ทาส + เจดีย์ ซ่งึ แปลวา่ ทาสของพระเจดยี ์ อนั หมายถึง บคุ คลท่คี อยดแู ลเอาใจใส่พระเจดีย์ ในพระพุทธศาสนา และทาสเหล่าน้เี กดิ ข้ึนจากการอุทิศของพระมหากษัตรยิ ์ที่มอบหมายให้ ทาสเหล่านี้ดูแลรักษาพระเจดีย์องค์สำคัญแต่ละแห่ง ซึ่งทาสเหล่าน้ีพวกเขาได้อภิสิทธิ์มาก ทส่ี ุด ซ่งึ ไม่ตอ้ งเข้ารบั การเกณฑ์แรงงานหรอื ออกรบทัพจับศกึ (สธุ ิดา ตันเลิศ, 2555) ในแตส่ ่วนของประเทศเมยี นมาร์ในอดตี น้ัน ไดป้ รากฏหลักฐานว่า ในระยะเวลา เดียวกันนี้เอง หลักฐานทางประวัติศาสตร์ได้ระบุถึงการขยายอำนาจของเมียนมาร์จาก ตะวนั ตกเฉียงเหนอื ดงั น้นั กษัตริย์จึงเปน็ ผู้มีอำนาจเพียงผู้เดยี วในการรับส่ังให้ทาสวัดเข้า ทำงานรบั ใชก้ องทัพคราวศกึ สงคราม ทาสวดั เป็นทาสทม่ี พี ฒั นาการสืบเนื่องมากที่สดุ ทาส วัดประเภทหน่งึ อาจะได้รบั การตคี วามวา่ เปน็ ทาสกษตั รยิ ์ เนื่องจากพวกเขาแมจ้ ะต้องโทษ แต่พวกเขาต้องอาศยั ศาสนาเป็นเกราะปอ้ งกนั อันตราย ดังท่ี หลุย เดอร์ คารเ์ นอร์ (Louis de Carne) ได้แสดงทรรศนะต่อทาสประเภทน่วี า่ “...ทาสกษัตริย์ คือ ทาสที่แท้จรงิ ไม่ว่า พวกเขาจะถูกจับเปน็ เชลยศกึ ในการสงคราม หรือผู้ท่ีไดร้ ับอภัยโทษจากคดคี วามต่าง ๆ ทุก คนที่เป็นอาชญากรนั้น สามารถเปน็ ไทไดห้ ากพวกเขาสามารถหลบหนี้เข้าไปในเขตวดั วา อารามได้ นีค้ อื การป้องกนั ศาสนาจักรในเง่อื นไขทไี่ ดก้ ลายมาเปน็ ทาสหรืออาจเปน็ นักบวช ตลอดชวี ติ ...” (Carne, 2000 อ้างใน สุธิดา ตันเลศิ , 2555) ดังนั้น ทาสเจดีย์ คือ บรรดาทาสผู้ที่เจ้าของหรอื เจา้ นาย ท้ังกษตั ริย์และเจ้านาย ระดับต่าง ๆ อุทิศถวายใหเ้ ปน็ ทาสวดั หรือ เลกวดั ในพุทธศาสนา ซง่ึ ทาสเจดีย์เหลา่ นมี้ ีหนา้ ที่ ในการรับใช้ดแู ลพุทธศาสนสถาน ทั้งก่อสร้าง ทำนุบำรุง และเอาใจใส่ดแู ลศาสนสถานต่าง ๆ ทไี่ ดร้ ับมอบหมาย บางยคุ กลุม่ ทาสเจดียเ์ หลา่ นี้ไดร้ ับอภสิ ทิ ธิ์ไมต่ ้องเข้าไปเป็นเกณฑ์แรงงาน และเป็นทหารเพื่อออกช่วยรบกับทางการ แต่บางอาณาจักรก็ต้องออกไปเป็นแรงงานและ ออกไปช่วยรบกบั ทางการด้วย ทัง้ น้ีก็ขนึ้ อยู่กบั พระราชา ผคู้ รองอาณาจกั รต่าง ๆ ในยุคน้ัน ว่ามรี าโชบายในเรื่องนีอ้ ยา่ งไร

วารสาร มจร มนษุ ยศาสตรป์ รทิ รรศน์ ปที ี่ 7 ฉบับที่ 1 (มกราคม - มถิ นุ ายน) 2564 | 415 สงั คมชนชั้นของเมยี นมาร์ในยุคก่อนอาณานคิ ม กอ่ นท่ีอังกฤษจะยึดครองเมยี นมารเ์ ปน็ อาณานคิ ม เพ่ือให้เมยี นมาร์เปล่ยี นแปลง ตามแบบท่อี งั กฤษมาปกครองน้นั เมยี นมาร์มโี ครงสรา้ งทางสงั คมทีเ่ ปน็ เอกลกั ษณ์เฉพาะ คือ มีระบบกษัตริย์และพระพุทธศาสนาที่มีอิทธิพลในสังคมอย่างมาก มีขุนนางข้าราชการ ปกครองดูแลประชาช นตามระบบไพร่ ทาส เครือญาติอุปถัมภ์ ดังนั้น องค์ประกอบของ โครงสร้างสังคมเมียนมาร์ในยุคก่อนอาณานิคมนั้น ได้แก่ พระมหากษัตริย์ ศาสนาพุทธ เมียวทคุ ยี (Myothugyi เจา้ เมือง) และประชาชน ซ่ึงมีท้ังเสรชี นและทาส เสรีชนมี 2 พวก คือ อามูดัน (Ahmudan) กับ อทิ (Athi) ส่วนทาสจะมีทาสที่รับใช้นายเรยี กว่า คยูน (Kyun) และทาสวัดเรยี กว่า พยาคยนู (Paya Kyun) องค์ประกอบทง้ั หมดนั้น คือ โครงสร้างของสงั คม เมียนมาร์ และทำให้สังคมเมียนมาร์รวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน (บุญเทียม พลายชมพู, 2559) และในส่วนของการควบคุมพลเมืองเมียนมาร์ในสมัยโบราณก่อนตะวันตกเข้ามา คือ การจดั ระเบยี บเกณฑแ์ รงงานประชาชนเป็นเสรีนิยมและทาส รวมทงั้ หมด 3 ประเภท คือ 1. อามูดัน (Ahudan) คือ พวกที่ต้องรับใช้ราชการเพื่อแลกเปลี่ยนกับ สวัสดิการในด้านการชลประทาน จะโดยสมัครใจหรือไม่ก็ตาม พวกนี้มีหน้าที่ต้องรับใช้ หลวงและได้รับการยกเว้นจากการเสียภาษีรายหัว (Per Capital Tax) ต้องถูกเกณฑ์ แรงงาน 3-4 เดอื นตอ่ ปี เพือ่ รบั ใช้กษตั ริย์ 2. อทิ (Athi) คือ ไพร่ที่สงั กัดมูลนาย (ตรงกับไพร่สมของไทย) พวกนี้ต้องให้ แรงงานของตนกับนายคนใดคนหนึ่งที่ตนขึ้นอยูโ่ ดยเฉพาะ และต้องเสียภาษรี ายหัวให้แก่ รัฐแทนการเกณฑแ์ รงงาน พวกนี้ รวมทั้งพวกช่างฝีมือและพอ่ ค้าดว้ ย 3. คยูน (Kyun) คือ ทาส มีทั้งแบบตกทอดในสกุล คือ ลูกหลานที่เกิดมาตอ้ ง เป็นทาสด้วย และแบบไม่ต้องทอดในสกุล ได้แก่ลูกหนี้ หรือเชลยศึก ราคาซือ้ ขายทาสใน เมยี นมาร์มักตกลงกันในตลาดประมลู ทาสที่หลบหนมี ูลนายมคี วามผิดฐานฝา่ ฝืนกฎหมาย ผิดสญั ญาแพง่ ชำระหน้ี แต่มใิ ช่เปน็ อาชญากร จารึกของเมยี นมาร์สมัยพุกาม มกี ล่าวถึงคติ เกี่ยวกับทาสว่า มักเกิดจากการกระทำที่ไม่เหมาะสมของทาสเกือบทัง้ หมด เช่น ทาสหนี จากนายเก่าไปหานายใหม่ การดำเนินคดีก็ดำเนินคดีกบั นายใหม่มใิ ชต่ ัวทาสเอง ทาสมสี ทิ ธ์ิ ที่จะได้อาหารและเสือ้ ผา้ ตลอดจนการดแู ลยามเจ็บไข้ได้ป่วย และสวัสดิการที่ดีจากนาย ของตน ในเมียนมาร์สมัยก่อนตะวันตกเข้ามายังมีทาสอีกชนิดหนึ่ง เรียกว่า พยาคยูน

416 | Journal of MCU Humanities Review Vol.7 No.1 (January – June) 2021 (Paya Kyun) คอื ทาสท่สี มัครใจอุทิศเป็นข้าของสงฆ์ โดยหวังจะได้บุญกุศล หรอื มิฉะน้ันก็ เปน็ ทาสท่ีมาจากการบริจาค ท่ีเรยี กวา่ การกัลปนาของผเู้ ป็นนาย โดยยกทง้ั ทด่ี ินและผู้คน ให้วัด เพราะหวงั ในผลบุญ พยาคยนู ไดร้ ับการยกเวน้ ไม่ตอ้ งเสยี ภาษรี ายหัว และการเกณฑ์ แรงงานหลวง จึงทำให้ทาสพวกนี้มีมากกว่าพวกอื่น (บุญเทียม พลายชมพู, 2559) จาก หลกั ฐานท่ปี รากฏน้ัน ทำใหเ้ หน็ เชงิ ประจักษ์วา่ ทาสผู้ทท่ี ำหนา้ ทีใ่ นงานด้านพุทธศาสนาใน ราชอาณาจกั รพกุ าม กค็ ือ พยาคยนู (Paya Kyun) หรือเรียกวา่ ทาสเจดียท์ ีใ่ ช้ในบรบิ ทงาน ชิ้นนี้ ซึ่งกลุ่มทาสเหล่ามีเปน็ แกนหลกั ในการสร้างความเจรญิ รุ่งเรืองของพระพทุ ธศาสนา เปรียบดงั ผู้ปดิ ทองหลงั องค์พระเจดีย์จำนวนมากมายในราชอาณาจักรพกุ าม เมอื งพุกาม: ดนิ แดนแหง่ เจดีย์สี่พนั องค์ คำว่า “พุกาม” น้ีเป็นชื่อเรียกอาณาจักรโบราณท่ีตั้งอยู่ริมฝัง่ แม่น้ำเอยาวดีใน ประเทศเมียนมาร์ คำวา่ “พกุ าม” น้ี มชี ือ่ เรยี กท่แี ตกต่างด้วยสำเนยี งและภาษาท่ีแตกต่าง กันออกไปเช่นคำว่า “ปะกั่น” (นวลจันทร์ คำปังสุ, 2551) บ้าง ภาษาอังกฤษปัจจุบันว่า “Pagan” ในประวตั ขิ องประเทศเมยี นมาร์น้นั ในปี “พ.ศ.1587 (ค.ศ.1044) พระเจ้าอนุรุทธ มหาราช (อนุรุทธ แปลว่าผู้สงบ) หรืออโนรธามังช่อ ในภาษาเมียนมาร์ออกเสียงว่า “อโนยะธา” (Anowrahta) ตั้งอาณาจักรพุกาม ปราบมอญ รวมเมียนมาร์เป็นอันเดียว ได้คร้ังแรก” (พระพรหมคุณาภรณ์ ป.อ.ปยุตฺโต, 2553) สำหรับพระเจ้าอนุรุทธมหาราช พระองค์ทรงปราบดาภิเษกขึ้นครองราชย์บัลลังก์ในปี ค.ศ.1044 ทรงพลิกโฉมหน้า ประวัติศาสตร์พุกามด้วยการพิชิตราชธานีของมอญลงในปี 1507 จากข้อมูลระบุว่า “อาณาจักรพุกามถือว่าเป็นอาณาจกั รแรกของชนชาวเมยี นมาร์” (ภภพพล จนั ทร์วิวัฒนกุล, 2558) โดยพระเจา้ อนุรทุ ธ์แห่งเมอื งพุกามน้ัน เป็นกษัตรยิ ์ของชนชาวมรัมมะท่ีรุนแรง นับถอื พทุ ธศาสนาแบบตันตระ แต่ไดเ้ ปลยี่ นพระทัยมานบั ถอื พทุ ธศาสนาเถรวาท หลงั จากพบ กบั พระเถระชาวตะเลง (รามญั หรือมอญ) แห่งเมืองสะเทิม (คือ สธุ รรมนคร หรอื สุธรรมปรุ ะ) นามวา่ อรหันต์ (ช่อื เดมิ สุธรรมทสั สี) ตอ่ มาเมื่อพระเจา้ อนรุ ทุ ธ์ไปตเี มอื งสะเทมิ ได้ ไดอ้ ญั เชิญ พระไตรปิฎกมาเมืองพุกาม แม้พุกามจะเป็นผู้ชนะในการศึกสงคราม แต่มอญก็ชนะใน การศึกษา เพราะพุกามได้รับเอาวัฒนธรรมตะเลงมาเป็นของตนต้ังแตภ่ าษา วรรณคดี และ ศาสนา เปน็ ต้นไป” (พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยตุ โฺ ต), 2553) เมื่อพระพทุ ธศาสนาแบบ

วารสาร มจร มนษุ ยศาสตรป์ ริทรรศน์ ปที ่ี 7 ฉบบั ที่ 1 (มกราคม - มถิ ุนายน) 2564 | 417 เถรวาทได้เข้ามามอี ทิ ธพิ ลในราชอาณาจักรพุกาม ทำใหเ้ มอื งพกุ ามมีความเจริญรุ่งเรืองใน หลายด้าน โดยเฉพาะหลกั ฐานที่เดน่ ชัดทส่ี ุดกค็ อื เจดีย์จำนวนมากที่ถกู ตอ้ งสร้างข้ึน และ จากหลักฐานทางโบราณคดพี บวา่ “โบราณสถานในพุกามมจี ำนวนมาก บางเอกสารกล่าว ว่ามีถึงหมืน่ แหง่ บา้ งก็ว่าถึง 5 พนั แห่ง แต่ในเอกสารของปแิ อร์ ปชี ารด์ (Pierre Pichard, 1992-1995) ทไ่ี ดเ้ ข้ามาสำรวจ ทำผัง และเกบ็ รายละเอยี ดไว้ต้ังแตป่ ี พ.ศ. 2523 ได้กล่าว ว่า ในสมัยอังวะ พระเจ้าโมหะยิน (Mohnyin) (เมื่อราวพุทธศตวรรษที่ 21) เคยไปให้คน นับได้ถึงพันแห่ง และในเอกสารที่ปิแอร์ ปีชาร์ด (Pierre Pichard, 1992-1995) และ ยูเนสโก (UNESCO) เข้ามาสำรวจ ทำผัง และถ่ายรูปเก็บรายละเอียด ระบุว่ามีจำนวน โบราณสถานเกือบ 25,000 แห่งแล้ว ปัจจุบันเชื่อกันว่าน่าจะมีโบราณสถานถึง 4,000 แห่ง…” (ภภพพล จนั ทร์ววิ ฒั นกุล, 2558) ทาสเจดยี ์กับความรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนาท่เี มืองพกุ าม ในความเจริญรุง่ เรอื งของอาณาจักรพุกามนัน้ สถาบันท่ีมีความสำคัญและเป็น แกนกลางให้ชาวพุกามมีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดยี วกัน และสามารถสร้างรัฐศาสนาในแบบ ของชาวพุกามได้ นนั่ คอื สถาบนั พระพุทธศาสนา ในความเปน็ สถาบนั ของพระพุทธศาสนานั้น เนื่องมาจากพระพุทธศาสนาช่วยค้ำจุนโครงสร้างนามธรรมของสังคมพุกามเอาไว้ อย่าง มั่นคง ในประเด็นนี้ ผู้เขียนขอนำเสนอปัจจัยที่ส่งผลให้ความเป็นรัฐศาสนาของพุกาม ประสบความสำเร็จในการสรา้ งอาณาจักร โดยมชี นชั้นกรรมาชีพผใู้ ชแ้ รงงาน กรรมกรแบก หาม คอื “ทาส” แตเ่ ปน็ ทาสท่ีเก่ยี วข้องกับพระพุทธศาสนาโดยตรง ในบทความจึงใช้คำว่า “ทาสเจดีย์” โดยผ้เู ขยี นขอแยกไวเ้ ป็น 5 ประเดน็ ดงั มีรายละเอียดตอ่ ไปน้ี 1. สรา้ งอตั ลกั ษณร์ ัฐด้วยพทุ ธศาสนา: ในการปกครองแผน่ ดินให้มเี อกภาพนนั้ สิ่งท่ีจำเป็นและเป็นกลไกของการลอมรวมใจของคนในชาติก็คอื “ศาสนา” ซึ่งศาสนานน้ั เป็นสถาบันสำคัญท่ีค้ำจุนโครงสรา้ งทางนามธรรมของสังคมเอาไว้ โดยเฉพาะในสมยั พระ เจ้าอนุรุทธมหาราช ผู้ปกครองเมืองพุกาม ได้ทรงมีจิตศรัทธาและรับเอาพระพุทธศาสนา จากเมอื งสะเทิม ดว้ ยการมชี ัยชนะต่อ พระเจา้ มนหู ะ ซึ่งเมือ่ การรบกเ็ สรจ็ ส้นิ ...เมอ่ื สะเทิม ยอมแพ้...กองทัพเมียนมาร์เข้าค้นเมืองได้พระไตรปฎิ ก จับพระเจ้ามนูหะใส่ตรวนทองคำ และจบั ข้าราชสำนักใสห่ ลงั ช้าง แห่แผนขบวนทพั ท่ไี ด้ชัยชนะไปตลอดทางจนถงึ เมืองพุกาม

418 | Journal of MCU Humanities Review Vol.7 No.1 (January – June) 2021 พวกเชลยที่ถูกกวาดตอนไปกรุงพุกามในครั้งนัน้ มีทั้งพระสงฆ์ นักปราชญ์ นักเขียนจารกึ และช่างฝีมือ ...ในส่วนข้อมูลของดี.จี.ฮอลล์ (D.G.E.HALL) ให้ข้อมูลเสริมตรงนี้ไว้ว่า... ความสำเร็จทสี่ ำคญั ย่งิ ของพระองค์ ได้แก่ชัยชนะเหนืออาณาจักรมอญแหง่ สะเทมิ เช่ือกัน ว่าพระองค์ทรงอปุ การะภิกษุมอญรูปหนึง่ คือ ชินอรหันต์ ผู้ทีท่ รงมอบหมายให้ชักจูงชาว เมียนมาร์มานบั ถอื พุทธศาสนานกิ ายหนี ยาน การกระทำกอ่ ให้เกิดการชิงชยั กบั คณะสงฆซ์ ง่ึ เรียกกันว่า อารี ซึ่งมีอำนาจทางตอนเหนือ พวกนี้นับถือนิกายมหายาน ปฏิบัติพิธีกรรม ตามลัทธิตันตระและพิธีกรรมทางเพศอื่น ๆ พระองค์ต้องการพระไตรปิฎกภาษาบาลีที่ ถูกต้องมาสั่งสอนประชาชนพลเมือง จึงทรงเข้าตีและยึดครองสะเทิม เพราะที่นั่นมี พระไตรปฎิ กภาษาบาลที ่ีครบชดุ (มลั ลกิ า ภูระธน และพระระพนิ พุทธฺ สิ าโร, 2559) ดังนัน้ เมอื่ พระพุทธศาสนาได้เข้ามามอี ทิ ธพิ ลในราชอาณาจกั รพุกาม และได้รบั ราชปู ถมั ภ์จากพระราชา ส่งผลใหเ้ จรญิ รุ่งเรืองและพระสงฆ์ในนกิ ายพทุ ธศาสนาแบบเถรวาท ในยุคน้ันมีอิทธพิ ลตอ่ ราชสำนกั พระเจ้าอโนธราเปน็ อย่างมาก “พระสงฆ์เปน็ ครูสอนหนังสือ แกเ่ ยาวชนในระดบั ต้น พระสงฆ์จะได้รบั ของถวายทีใ่ ห้อย่างท่มุ เทจากเศรษฐีท่ีหวังในส่วน ผลบุญ จนกระทั่งภูมิประเทศของเมียนมาร์สมัยอาณาจักรพกุ ามเต็มไปด้วยเจดีย์ สถาน สักการะนับเป็นพัน ๆ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงค่านิยมชาวพมา่ ในเรื่องความเชื่อในผลบุญเป็น อย่างมาก (บญุ เทียม พลายชมภู, 2549) และนอกจากนีย้ งั มีขอ้ มูลที่สอดคล้องกันคือ “ใน การศึกษาชั้นต้น จึงมีอิทธิพลต่อการสร้างแนวความคิดต่าง ๆ พระสงฆ์จะได้รับของที่ บรรดาเศรษฐที ี่หวงั ในผลบญุ กศุ ลถวายให้อยา่ งทมุ่ เท ทเี่ รยี กว่า “การกัลปนา” มีท้ังถวาย ที่ดินอันกว้างใหญ่ พร้อมทั้งอาคารเช่น วัดวาอาราม เจดีย์ สถานสักการะต่าง ๆ ผู้คนข้า ทาสบรวิ ารข้าวของเครอ่ื งใช้ต่าง ๆ ทำใหม้ ีเจดยี แ์ ละสถานสกั การะนบั พัน ๆ ในพุกาม ผู้คน ข้าทาสบริวารที่เป็นของวัด ก็เพาะปลูกทำมาหากินในที่ดินที่กัลปนา ทรัพย์สมบัติรายได้ ต่าง ๆ ก็เป็นของวัด สิ่งเหล่านี้เป็นส่วนหนึง่ ที่ทำให้อำนาจของกษัตริย์ลดน้อยลง เพราะ การที่หมู่บ้านเป็นหมู่ ๆ รวมทั้งคนและที่ดินถูกยกให้แก่สถาบันทางศาสนา มีผลทำให้ กษตั รยิ ต์ อ้ งขาดคนรับใช้งานหลวง ขาดรายได้ ซึ่งแต่เดมิ เคยได้รับจากแหลง่ ดังกล่าว ทำให้ สถานภาพของกษัตรยิ ์และรัฐคลอนแคลนลง อาจถือได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของความอ่อนแอ ของรัฐพุกามกไ็ ด้” (วิรัช นิยมธรรม, 2551)

วารสาร มจร มนุษยศาสตร์ปรทิ รรศน์ ปที ่ี 7 ฉบับท่ี 1 (มกราคม - มถิ ุนายน) 2564 | 419 ดังนั้น ในช่วงท้ายของสมยั พกุ าม กษัตริยพ์ กุ ามจงึ ตอ้ งปรับปรุงทางศาสนาใหม่ โดยได้ออกระเบียบว่าด้วยการยึดครองที่ดินของวัด จัดการทำบุญเสียใหม่ แต่ความ พยายามดังกล่าว เพื่อสนองความมั่นคงของรัฐและลดอำนาจทางศาสนาได้รับผลสำเรจ็ พอประมาณเท่านั้น ดังนั้น จึงเป็นเชิงประจักษ์ว่าเมื่อพุกามเข้าครอบครองดินแดนของ มอญ ซึ่งอยู่ในแผ่นดินตอนล่าง มีผลให้วัฒนธรรมมอญแผไ่ ปในวังหลวง ทั้งทางด้านศึกษา ศาสนา ศิลปกรรม ตัวอักษร และวรรณกรรม การสร้างวิหารเจดีย์ต่าง ๆ สมัยพุกาม ล้วน ได้รับอิทธพิ ลจากมอญทั้งสิ้น พระพุทธศาสนาและพระสงฆม์ ีบาทสำคญั ยิ่ง เช่น กำหนดคำ สาบานอนั น่าสะพรงึ กลวั ท่ีใช้ในกันในการพจิ ารณาสอบสวนคดี พระเป็นผู้สอนหนังสือให้แก่ เด็ก (หม่อง ทิน อ่อง, 2549) รูปแบบการปกครองแบบราชอาณาจักรพุกามยุคต้น จึงเป็น รูปแบบการปกครองทีเ่ ปน็ รัฐศาสนาโดยตรง ซง่ึ เมอ่ื พระพุทธศาสนาไดร้ บั การอุปถมั ภโ์ ดยตรง จากพระราชา ย่อมมีความเจริญรุ่งเรอื งโดยมีหลกั ฐานคอื เจดีย์น้อยใหญ่เป็นจำนวนมากท่ีถูก สร้างขน้ึ และเจดยี ์เหล่าน้ี ผทู้ ีอ่ ย่เู บื้องหลงั การกอ่ สรา้ งและสร้างสรรค์พุทธศิลปกรรมให้กับ ชาวเมยี นมาร์ ก็คือทาสเจดีย์ ซง่ึ เปรียบดังผ้ปู ิดทองหลงั องคพ์ ระเจดยี ์ ซง่ึ อาจจะวา่ มีบทบาท เพยี งนอ้ ยนิด แตม่ ีพละกำลังมหาศาล ในการสรา้ งองค์พระเจดีย์อยา่ งมากมาย 2. ขจดั ลทั ธนิ อกรีต: จากข้อมูลหลกั ฐานพบวา่ ตอนตน้ ของสมัยพกุ ามมีการนบั ถอื พุทธศาสนาแบบตนั ตรทิ ่เี ช่ือไสยศาสตร์ควบคู่ไปกับการนบั ถอื และเซ่นสรวงภูตผีปีศาจ ซงึ่ เป็นความเช่ือพืน้ เมืองดัง้ เดมิ มกี ารเซ่นสรวงประจำปี พระเจ้าแห่งทอ้ งฟา้ ซ่ึงเช่ือว่าสิง สถิตอยู่ยอดเขาโปปา (Mount Popa) มีการบูชาศาลซึ่งเป็นที่เร่ร่อนของผี 36 ตัว ที่ เรียกว่า การนับถอื ผีนัต มีการใช้เวทมนต์คาถา (หม่อง ทิน อ่อง, 2549) ด้วยเหตแุ ละผล เมอ่ื พระเจา้ อนุรทุ ธ์ต้องการปกครองแผน่ ดนิ ของพระองคใ์ ห้มนั่ คง ราชกจิ แรกทพี่ ระองคพ์ งึ ปฏิบัติ คือ การชำระราชอาณาจกั รของพระองค์ให้บริสทุ ธ์ิ โดยเฉพาะในลัทธคิ วามเชื่อเก่า แบบเก่าๆ ที่ยังมีอิทธิผลต่อชาวพุกาม ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ซึ่งการขจัดลัทธินอกรีต เหลา่ นี้ จึงเปน็ ราโชบายในการสร้างชาติ โดยใช้พทุ ธศาสนาเปน็ แกนกลางของสงั คมในการ ปกครองราชอาณาจักร ในการขจัดลทั ธินอกรีตนี้ มผี ลอาจจะไมม่ ีผลโดยตรงตอ่ บรรดาทาส เจดีย์ และมผี ลโดยออ้ ม คอื ผ่านมาทางสถาบันพระพทุ ธศาสนา ซง่ึ สถาบันพระพทุ ธศาสนา นเี้ ปน็ สถาบนั ทางสงั คมทโี่ อบอุ้มความเป็นรัฐศาสนาของพุกามเอาไว้ และทาสเจดยี ์กย็ ังคง ทำได้รับผลจากการเขา้ ไปมสี ว่ นในการสร้างและดแู ลเจดยี ์ในพระพุทธศาสนานน่ั เอง

420 | Journal of MCU Humanities Review Vol.7 No.1 (January – June) 2021 3. ยึดมั่นในพระรัตนตรัย: เมื่อพระเจ้าอนุรุทธ์ เกิดจิตศรัทธาและได้รับเอา พระพุทธศาสนาแบบเถรวาทจากเมอื งสะเทมิ ซึ่งอยทู่ างตอนใต้ พร้อมกบั กวาดต้อนพระเจา้ มนูหะพรอ้ มอคั รมเหสเี ป็นเปน็ เชลยศกึ แตใ่ นความเปน็ เมยี นมาร์ในยุคนั้น ถงึ แม้จะมีการ รับเอาพระพุทธศาสนาแบบเถรวาทเข้ามาแล้วแต่ยังคงนับถือศาสนาท้องถิ่นที่ เร ียกว่า “ผนี ัต” อย่างมเิ สอ่ื มคลา้ ย สมดงั ดร.ตันทูน นักประวัตศิ าสตรช์ าวเมียนมาร์ ได้เคยแสดง ทศั นะเกยี่ วกับทัศนะของชาวเมยี นมาร์วา่ “...เมียนมาร์นั้นแมจ้ ะได้รบั อิทธิพลต่อต่างชาติ แต่ก็ยงั รักษาวถิ ชี ีวติ ดง้ั เดมิ ไว้ได้ ดังเชน่ สงั คมเมยี นมาร์กลายเปน็ สงั คมพุทธท่ีเหนียวแน่น เพราะอิทธพิ ลจากอินเดียก็จริง แตช่ าวเมียนมาร์กม็ อิ าจละทิง้ ความเชือ่ ในเรอ่ื งผนี ตั ซึ่งเป็น ความเชื่อดั้งเดิม ศาสนาพุทธกลับเป็นหลักยึดในชีวิต และวัดก็เป็นหัวใจของชุมชน โดยเฉพาะตามหมูบ่ ้าน แม้แตค่ วามเจรญิ ทางอตุ สาหกรรมกไ็ ม่อาจทำลายวิถพี ุทธของชาว เมียนมาร์ อีกทั้งเมยี นมาร์เคยรบั เอาวฒั นธรรมแขกและจนี มากอ่ นด้วยซ้ำ เหน็ ได้จากงาน ศิลปะ สถาปตั ยกรรม และค่านิยมชาวเมยี นมาร์...” (วรี ัช นิยมธรรม, 2551) ดงั นั้นจึงเป็นหลกั ฐานเชงิ ประจักษ์วา่ “ตอนต้นของสมยั พุกามมีการนับถือพุทธ ศาสนาแบบตันตรทิ เี่ ช่ือไสยศาสตร์ควบคู่ไปกับการนับถอื และเซน่ สรวงภูตผปี ีศาจ ซ่ึงเป็น ความเช่ือพน้ื เมืองดั้งเดิม มกี ารเซน่ สรวงประจำปี พระเจา้ แหง่ ท้องฟ้า ซงึ่ เช่ือวา่ สิงสถิตอยู่ ยอดเขาโปปา (Mount Popa) มีการบูชาศาลซ่ึงเป็นทีเ่ ร่รอ่ นของผี 36 ตวั ทีเ่ รียกว่า การ นับถอื ผนี ัต มีการใชเ้ วทมนต์คาถา และดวงดาวเป็นหลกั ให้ชาวพุกามมคี วามมั่นใจในการ ต่อส้กู บั โรคภัยไขเ้ จบ็ โชคร้ายและการเกบ็ เกยี่ วที่ไม่ไดผ้ ล มกี ารสักตามตัว และการดื่มยา วิเศษท่ใี ชเ้ วทมนตผ์ สม เชื่อวา่ ทำใหอ้ ยูย่ งคงกระพัน (หม่อง ทนิ อ่อง, 2549) ดังนั้น เพื่อให้ความเป็นรัฐที่มั่นคงและมีความเป็นเอกเทศจากอำนาจการ ครอบงำจากอิทธิพลของลัทธิความเชื่อที่เก่าแก่ พระเจ้าอนุรุทธ์ จึงได้ทำการลด ความสำคญั ของ “ผีนัต”ลงให้เหลือแค่ 36 ตัว แล้วเอาพระอินทรเ์ ป็นไปหัวหน้าของผนี ตั และเอาผีนัตเหล่านี้มาเป็นผู้คอยดูแลรักษาปกป้องเจดีย์ ดังท่ี อูกองตั้ง ได้เขียนเอาไว้ว่า “พุกามแหง่ เมียนมาร์” โดยมองประวตั ศิ าสตร์บนฐานคดิ ของพุทธศาสนาท่ีตนศรทั ธาและให้ ค่าไว้สงู ยง่ิ จึงเสนอข้อคดิ ให้ชาวเมยี นมาร์รู้สกึ เทิดทูนมรดกทางวัฒนธรรมของชาวเมียนมาร์ เพื่อให้สำนึกทีจ่ ะรักษา ศาสนา เผ่าพันธุ์ และประเพณีของชาติตน และด้วยพุทธศาสนา เป็นสว่ นหนงึ่ ของชาติ จึงให้ความสำคญั ตอ่ สำนึกในหน้าท่ตี อบแทนและปกป้องประเทศชาติ เพื่อพิทักษ์แผ่นดินพทุ ธศาสนา ท้ายสุด คือ ให้บังเกิดความปีตยิ ินดีท่ีเกิดเปน็ ชาวเมยี นมาร์

วารสาร มจร มนุษยศาสตรป์ รทิ รรศน์ ปที ่ี 7 ฉบับที่ 1 (มกราคม - มถิ นุ ายน) 2564 | 421 และเป็นชาวพุทธพุกามของอูกอง พุกามจึงมีกลิ่นไอของธรรมะอันงดงามตรึงใจ แต่ก็แฝง แนวคิดทางการเมอื งแบบชาตินิยม ตามแนวทางของรัฐบาลเมียนมาร์ไว้อย่างลงตวั (วิรชั นยิ มธรรม, 2551) ดังน้นั การนำเอาพระพทุ ธศาสนาขึน้ มามีอิทธพิ ลเหนอื ศาสนาพน้ื บา้ นหรอื ผีนัต กเ็ พือ่ เป็นการสรา้ งจดุ ยนื ทางบา้ นเมอื ง โดยการนำเอาพระพทุ ธศาสนามาเปน็ จุดศูนยก์ ลาง หรอื จุดรวมใจของคนพกุ ามทว่ั ทง้ั ประเทศ ซ่งึ ในความเป็นจุดศนู ยร์ วมของจติ จติ หรอื ความ มั่นคงในพระรัตนตรัยนี้ จึงเป็นเครื่องสะท้อนได้ชดั เจนวา่ พระพุทธศาสนานี้เป็นศาสนา แห่งรัฐพกุ าม หรือเมอื งพกุ ามเป็นรฐั ศาสนาโดยปริยาย 4. สร้างระบบศักดินาที่เอื้อต่อความม่ันคง: ทางด้านการปกครอง อำนาจใน การบริหารของพุกามรวมอยู่ทางเมียนมาร์ตอนบน ประชากรของเมียนมาร์ตอนบนมีไม่ มากนัก และอยู่กันอย่างกระจัดกระจาย ที่ดินมีอยู่มากมาย กษัตริย์แห่งพุกามจึงใช้การ ปกครองระบบศักดินา หรือระบบกินเมือง ที่เรียกว่า เมียวซา (Myosa) โดยทรง พระราชทานศกั ดินาแกเ่ จ้านาย พระราชวงศ์ ขนุ นางขา้ ราชการ เพื่อใหค้ นเหล่านั้นมีสิทธิ ถือครองที่ดินจำนวนหนึ่ง เป็นการบำเพ็ญความดี ความชอบในหน้าที่ราชการ ที่ดิน เหลา่ นั้น มักอยู่ไกลจากเมืองหลวง หรอื มอบหมายให้ไปปกครองดูแลหวั เมืองหรอื หมบู่ า้ น” (บญุ เทียม พลายชมภ,ู 2549) “ผู้มศี กั ดินาดังกลา่ วจะได้รับรายไดจ้ ากการเกบ็ ภาษผี ลผลิต พืชผลต่าง ๆ ในเมือง หรือหมู่บ้านที่อยู่ใต้ปกครอง เป็นการช่วยให้พวกเจ้านายขุนนาง ข้าราชการที่มอี ยูม่ ากมายขณะนนั้ สามารถดำรงชพี อยไู่ ด้ และในระบบเมยี วซามกี ารจดั ชนช้ัน คือ พวกข้าราชการ เรียกว่า อามูดัน (Ahmudan) ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในท่ีหลวง ซึ่งมีการ ชลประทาน” (บุญเทียม พลายชมภู, 2549) “กลุ่มชนอกี พวก คือ คนสามัญเรียกว่า อทิ (Athi) อาศัยอยู่ในที่ของตน...ส่วนมากจะเป็นทาสที่ดินอยู่กับวัด ที่เจ้านายข้าราชการ เศรษฐีอุทิศให้กับวัด จึงมีหน้าที่ปฏิบัติต่อวัด โดยไม่เกี่ยวข้องกับรัฐมากนัก” (บุญเทียม พลายชมภู, 2549) ดังนั้น ระบบการปกครองแบบศักดินาหรือระบบกินเมือง ที่เรียกวา่ เมียวซา (Myosa) นี้ ส่งผลให้มีขา้ ทาสบริวารที่ขึ้นตรงกับเจ้านาย หรือผู้ถือกรรมสิทธิ์ใน ทด่ี นิ และขา้ ทาสรับใช้ และขา้ ทาสบรวิ ารนี้มหี น้าทหี่ ลักในการช่วยเมียวซาทำงาน รวมท้ัง ช่วยเมียวซาในการกอ่ สร้างพระเจดีย์องคน์ ้อย องค์ใหญต่ ามกำลังหรือสิทธิแห่งศักดินาท่ี เมยี วซาผเู้ ปน็ เจ้านายได้รับน่ันเอง

422 | Journal of MCU Humanities Review Vol.7 No.1 (January – June) 2021 5. กระจายอำนาจการปกครอง: เนื่องจากระบบการเมืองสมัยพกุ าม เป็นระบบ การปกครองแบบราชาธิปไตย ซึ่งมีพระมหากษัตริย์ปกครองสูงสุดเพียงพระองคเ์ ดยี ว แต่ เมื่อเหตกุ ารณ์บ้านเมืองเปล่ียนแปลง คือ หลังจากที่เมืองพกุ ามมีการขยายอาณาเขตการ ปกครอง ในสมัยของพระเจ้าอนุรุทธ์ ส่งผลให้ไม่สามารถปกครองและดูแลประชาชนได้ อย่างทั่วถึง ทำให้ราชอาณาจักรมีความอ่อนแอ ในประเด็นนี้ บังอร ปิยะพันธุ์ ได้แสดง ทัศนะไว้ว่า “...เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้รัฐขาดแคลนแรงงานและอ่อนแอลง ในด้านการ ควบคุมคน กษัตริย์แห่งพุกามจะแต่งตั้งหัวหน้า เรียกว่า เมียวทุคยี (Myotukyi) ให้ ควบคุมดูแลราษฎรที่เป็นชาวบ้าน ซึ่งส่วนใหญจ่ ะมิใช่ชาวเมียนมาร์ ตำแหน่งเมียวทุคยีนี้ เป็นตำแหนง่ ตกทอดสายโลหติ กันได้ ชาวบา้ นมีหนา้ ท่ตี ้องเสียภาษนี อกเหนือไปจากการไป รับใช้หลวง เช่น การเกณฑ์แรงงาน และการเป็นทหาร...) (บังอร ปิยพันธุ์, 2537 อ้างใน บุญเทียม พลายชมภู, 2549) ซึ่งเมื่อมีการกระจายอำนาจการปกครองในระบอบศักดินา (Feudalism) โดยการแต่งต้ังหัวหน้าผู้ทำหน้าที่ดูแลหัวเมอื งต่าง ๆ ที่เรียกว่า เมียวทุคยี (Myotukyi) ซึ่งตำแหน่งนี้ยอมมีสิทธิในการครอบครองพื้นดินท่ีตนเองได้รับในฐานะของ หวั หนา้ เมอื ง และมีสทิ ธิในการมีขา้ ทาสสำหรับใชห้ รอื ชว่ ยใช้แรงงานในกิจการต่าง ๆ และ หากสังเกตได้จากจำนวนและขนาดเจดีย์ในเมืองพุกามนนั้ มขี นาดใหญ่ เลก็ ตามลำดบั ซ่ึง มีความเป็นไปได้ที่ขนาดของเจดีย์ที่แตกต่างเหล่านี้ เกิดขึ้นจากการสร้างของผู้ดำรง ตำแหนง่ ‘เมียวทคุ ยี’ ท่เี กิดจติ ศรัทธาต่อพระพทุ ธศาสนาและสรา้ งเจดียโ์ ดยการบัญชาให้ ข้าทาสบริวารของตนเองเป็นแรงงานสำคญั ในการสร้าง ในบรรดาเจดีย์ในเมืองพุกาม หากเป็นเจดยี ์องค์ใหญส่ ุดจะเป็นเจดีย์ที่กษัตริย์ สร้าง และองค์ที่มีขนาดเล็กถัดมาเป็นการสร้างโดยเหล่าขุนนาง อำมาตย์ ลดหลั่นลงมา ตามบรรดาศักด์ิ นอกจากเจดยี ช์ เวซโี กนแล้ว ยงั มเี จดยี ์สำคัญ ๆ อีกหลายองค์และวัดสำคัญ ๆ อกี เชน่ เจดยี ์ชเวซนั ดอ อานันทวิหาร เจดยี ต์ ะเบียงนิว วดั พะยาตองซู วดั ตโิ ลมินโล เจดีย์ ธัมมะยังจี เจดีย์ตะบิญญพยา เป็นต้น” (วีกีพิเดีย สารานุกรมเสรี, 1 กุมภาพันธ์ 2562) ดังนัน้ ขา้ ทาสท่ที ำหนา้ ทีด่ ูแลเจดยี ์เหลา่ น้ี หรอื ท่ีเรยี กว่า “ทาสเจดยี ์” จงึ มบี ทบาทสำคัญ อย่างเดน่ ชัดในการการสร้างเจดยี ใ์ นเมอื งพุกาม กระทั่งเมืองพุกามกลายมาเป็นเมอื งแห่ง ทะเลเจดยี ์ทางพระพุทธศาสนา ดงั ทป่ี รากฏร่องรอยหลักฐานท่คี งเหลอื ในปัจจบุ นั

วารสาร มจร มนุษยศาสตร์ปริทรรศน์ ปีที่ 7 ฉบับท่ี 1 (มกราคม - มถิ ุนายน) 2564 | 423 บทสรุป เมืองพกุ าม ดินแดนแห่งทอ้ งทะเลเจดยี ์ เป็นเมืองท่ไี ด้ขึ้นชอ่ื วา่ เปน็ ราชธานีแห่ง แรกของประเทศเมยี นมาร์ และเปน็ เมอื งท่มี คี วามเจริญรุ่งเรอื งในด้านต่าง ๆ เป็นอยา่ งมาก ในความเป็นเมืองที่มีอารยธรรมเป็นของตนเองของพุกาม พระพุทธศาสนาเป็นสถาบัน สำคญั ท่ีคำ้ จนุ โครงสร้างทางนามธรรมของสังคมเอาไว้ พระพทุ ธศาสนาแบบเถรวาทได้เข้า มาสู่พุกามหลังจากทพ่ี ระเจ้าอนรุ ทุ ธ์ได้ยกทพั ไปตเี มอื งสะเทิมหรือเมืองสธุ รรมวดีทางตอนใต้ แล้วอญั เชิญพระไตรปฎิ ก พร้อมกวาดต้อนเอาพระเจา้ มนูหะและอัครมเหสี เจา้ ผูค้ รองนคร สุธรรมวดี พร้อมด้วยพระสงฆ์ นักปราชญ์ ราชบัณฑิต ช่างฝีมือ ช่างศิลปะสกุลต่าง ๆ ส่งผลใหอ้ าณาจักรพกุ ามนี้ เปน็ อาณาจกั รท่ีมคี วามรปู แบบการปกครองแบบรฐั ศาสนา คือ มีพระพุทธศาสนาเป็นศูนย์กลางการปกครอง ในท่ามกลางความเจริญรุ่งเรืองของ อาณาจักรพุกามนี้ ผู้ที่อยู่เบื้องหลังการช่วยสรรสร้างศิลปกรรมเชิงสกุลช่างพุกาม ให้มี เอกลกั ษณ์และแสดงความเปน็ อาณาจักรทม่ี อี ารยธรรมเป็นเอกลักษณ์ของตนเอง กลุ่มชน เหลา่ นีก้ ็คือ ทาสเจดยี ์ หรือเมยี นมาร์เรียกวา่ พยาคยูน (Paya Kyun) ซึง่ เป็นเชลยศึกบ้าง เปน็ ขา้ ทาสบริวารบ้างทเ่ี จา้ ของหรือนายยกมอบให้เปน็ ทาสในพระเจดีย์ ทาสเจดีย์เหล่านี้ จงึ เป็นผูป้ ดิ ทองหลงั องค์พระเจดียแ์ หง่ เมืองพุกาม ใหเ้ หลืองอร่ามทั่วทอ้ งทงุ่ พกุ าม กลมุ่ ชน เหลา่ นถี้ งึ แม้มฐี านะทางสงั คมท่ีตำ่ แตก่ ลมุ่ คนเหลา่ น้ียังทรงคุณค่า คอื เป็นผ้สู รรสร้างพุทธ ศิลปะให้อนุชนได้ชื่นชม และฝากไว้เป็นมรดกให้กับอารยธรรมของประเทศเมียนมาร์ ตราบเท่าทุกวนั นี้ รายการอา้ งองิ เจษฎา ทองขาว และคณะ. (2542). พระพทุ ธศาสนากบั ศักดิ์ความเปน็ มนษุ ย์: ทา่ ทีและ การปฏบิ ตั ติ อ่ ทาส. วารสารนติ ิสงั คมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม่, 10(2), 90-91. จำนงค์ ทองประเสรฐิ . (2542). พระพทุ ธศาสนากับสงั คมและการเมอื ง. กรงุ เทพฯ: ต้นออ้ 1999. ทศั สภา อุมะวิชน.ี (2557). การปะทะกนั ของแนวคิดอดุ มการณ์สมัยใหม่ในงานประวตั ศิ าสตร์ นิพนธ์ทาสยุคโบราณ. วารสารประวัตศิ าสตร์ ธรรมศาสตร์, 1(1), 12-57. นวลจันทร์ คำปงั สุ. (2551). เมียนมาร์. พิมพค์ รัง้ ที่ 3, กรงุ เทพฯ: หน้าต่างสู่โลกกวา้ ง. บุญเทยี ม พลายชมภ.ู (2549). เมยี นมาร์: ประวัตศิ าสตร์ อารยธรรม และความสัมพันธ์ ระหวา่ งประเทศ. กรงุ เทพฯ: โอเดยี นสโตร์.

424 | Journal of MCU Humanities Review Vol.7 No.1 (January – June) 2021 บญุ สบื อินสาร, (2555). พจนานุกรมบาลี-ไทย ธรรมบทภาค 1-4 รว่ มฉลองจตรุ มงคล, กรุงเทพฯ: อมรนิ ทรพ์ ร้นิ ต้ิงแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน). ประพนั ธ์ กลุ วินิจฉัย. (2557). วิเคราะหเ์ รอ่ื งพระพุทธรปู ในฐานะปชู นียวัตถุของชาวพุทธ, วารสารวจิ ัยพุทธศาสตร Buddhist Research Journal, 1(1), 111. พระเจา้ บรมวงศ์เธอ กรมพระจนั ทบุรนี ฤนาถ. (2537). ปทานกุ รม บาลี ไทย องั กฤษ สนั สกฤต (พมิ พ์ครง้ั ท่ี 4). กรงุ เทพฯ: มหามกุฎราชวิทยาลัย. พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยตุ ฺโต). (2553). กาลานกุ รม พระพทุ ธศาสนาในอารยธรรมโลก, นครปฐม: วัดญาณเวศวนั . พระมหาโพธวิ งศาจารย์ (ทองดี ป.ธ.9). (2559). พจนานกุ รมไทย-บาลี, กรุงเทพฯ: วดั ราช โอรสารามราชวรวหิ าร. พระศรคี มั ภีรญาณ. (2557). พจนานกุ รมพระไตรปฎิ กภาษาไทย ฉบบั มหาวิทยาลยั มหาจุฬา ลงกรณราชวทิ ยาลยั (รายงานการวิจยั ). สถาบันวิจยั พุทธศาสตร:์ มหาวทิ ยาลยั มหา จฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย. พิพฒั น์ พสธุ ารชาติ. (2545). รฐั กบั ศาสนา บทความวา่ ด้วยอาณาจกั ร ศาสนจักร และเสรภี าพ. กรุงเทพฯ: ศยาม. ภภพพล จนั ทรว์ ัฒนกลุ . (2555). ประวตั ศิ าสตรแ์ ละประวัติศาสตร์ศลิ ปะเมยี นมาร์, กรงุ เทพฯ: เมืองโบราณ. มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. (2539). พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจฬุ าลงกรณราช วิทยาลัย. กรงเทพมหานคร: โรงพิมพม์ หาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย. มัลลกิ า ภรู ะธน พระระพิน พุทฺธิสาโร. (2559). เมียนมาร์: พระอดึ อัดท่วี ัดมนูหะ การสอ่ื สาร ทางการเมืองและตวั ตน. วารสารพทุ ธศาสนาอาเซียนศึกษา, 1(1), 57-72. วกิ พิ ีเดยี สารานกุ รมเสรี. (2563). ทาส. สืบค้น 1 กุมภาพนั ธ์ 2562, จาก https://th.wikipedia.org/wiki/ วริ ชั นยิ มธรรม. (2551). คิดแบบเมยี นมาร์ ว่าด้วยชาตแิ ละวรี ะบุรุษในตำราเรยี น. มหาสารคาม: สำนกั พิมพม์ หาวิทยาลยั มหาสารคาม. สุธิดา ตันเลิศ. (2555), ขา่ : ทาสในมณฑลลาวตะวนั ออกและมณฑลลาวตะวันออกเฉียงเหนอื ระหวา่ ง ค.ศ. 1779-1904. วารสารวิจิตรศลิ ป์, 3(2), 229-296. หมอ่ ง ทิน อ่อง. (2549). ประวตั ิศาสตร์เมยี นมาร์. (เพช็ รี สุมิตร, ผแู้ ปล) (พิมพ์ครั้งท่ี 3). กรงุ เทพฯ: มูลนิธิโตโยต้าแห่งประเทศไทย. อธั ยา โกมลกาญจน์. (2541). ประวตั ศิ าสตรอ์ ารยธรรมกรีก-โรมนั (พมิ พค์ รง้ั ที่ 5). กรุงเทพฯ: มหาวทิ ยาลยั รามคำแหง.