Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore มิตรสิ่งแวดล้อมด้วยรูปแบบ Ecoprint

มิตรสิ่งแวดล้อมด้วยรูปแบบ Ecoprint

Published by Sudaporn Suboonpiam, 2022-08-20 12:35:22

Description: มิตรสิ่งแวดล้อมด้วยรูปแบบ Ecoprint

Search

Read the Text Version

รายงานโครงงานวทิ ยาศาสตร์ ประเภททดลอง เรื่อง มิตรสิ่งแวดล้อมด้วยรปู แบบ Ecoprint เด็กหญิงสายใจ โดย เด็กหญิงอุรสั ยา เด็กหญิงทองศิริ แสงคำ ชน้ั มธั ยมศึกษาปีที่ 2/2 ดาวเรือง ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 2/2 - ชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 2/2 ครทู ่ีปรึกษาโครงงาน นางวชิราภรณ์ เงาทอง นางสาวสุดาภรณ์ สบื บุญเปีย่ ม โรงเรียนราชประชานเุ คราะห์ 22 จงั หวดั แม่ฮอ่ งสอน สำนักบริหารงานการศกึ ษาพิเศษ สำนักงานคณะกรรมการการศกึ ษาขนั้ พ้ืนฐาน กระทรวงศกึ ษาธกิ าร รายงานฉบับนี้เปน็ ส่วนประกอบของโครงงานวิทยาศาสตร์ ประเภททดลอง ระดบั ชัน้ มัธยมศึกษาตอนต้น เนือ่ งในงานมหกรรมความสามารถทางศลิ ปหตั ถกรรม วิชาการ และเทคโนโลยขี องนกั เรียน ปีการศึกษา 2565 วันท่ี 22 สิงหาคม พ.ศ. 2565

เร่ือง มติ รส่ิงแวดล้อมดว้ ยรปู แบบ Ecoprint เด็กหญิงสายใจ โดย เด็กหญิงอุรัสยา เด็กหญิงทองศริ ิ แสงคำ ชน้ั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 2/2 ดาวเรอื ง ช้ันมัธยมศกึ ษาปีที่ 2/2 - ช้นั มัธยมศึกษาปีท่ี 2/2 ครทู ปี่ รกึ ษาโครงงาน นางวชิราภรณ์ เงาทอง นางสาวสุดาภรณ์ สบื บญุ เปยี่ ม โรงเรยี นราชประชานุเคราะห์ 22 จังหวัดแม่ฮอ่ งสอน สำนกั บรหิ ารงานการศึกษาพเิ ศษ สำนักงานคณะกรรมการการศกึ ษาข้ันพนื้ ฐาน กระทรวงศกึ ษาธิการ

ก ชอ่ื โครงงาน มติ รส่งิ แวดลอ้ มดว้ ยรูปแบบ Ecoprint ชอ่ื ผจู้ ัดทำโครงงาน เดก็ หญงิ สายใจ แสงคำ เดก็ หญิงอุรัสยา ดาวเรอื ง ครทู ปี่ รึกษาโครงงาน เด็กหญิงทองศริ ิ - นางวชริ าภรณ์ เงาทอง E-mail นางสาวสดุ าภรณ์ สบื บญุ เป่ียม โรงเรียน [email protected] , ปกี ารศกึ ษา ราชประชานุเคราะห์ 22 อำเภอ ปาย จงั หวัด แมฮ่ อ่ งสอน 2565 บทคัดยอ่ ปจั จุบันท่ัวโลกได้ตระหนักถึงปัญหาส่ิงแวดลอ้ มและผลิตภณั ฑ์ท่ีเป็นพิษจากสีสังเคราะห์ จงึ ทำให้เกิดกระบวนใชส้ ี จากธรรมชาติจากพืชและสัตว์ทดแทนสีสังเคราะห์ขึ้นเพือ่ ลดปัญหาดังกล่าว ซ่ึงวิธีการพิมพ์มีสารช่วยติดประเภทต่างหรือกรดเป็นวิธีที่ได้รับความนิยม (ภัทรานิษฐ์ สิทธินพพันธ และคณะ, 2557) สีทีใ่ ช้ย้อมเสอ้ื ผ้าน้นั มักทำมาจากสารเคมี มรี าคาสูง และสารเคมีที่ใชอ้ าจ มีอันตราย ตอ่ ร่างกายของเราได้ การย้อมสีผ้าด้วยสีธรรมชาติเป็นทางเลือกท่ีดี และนับเป็นภูมิปัญญาท่ีสืบทอด ต่อกันมาแตใ่ นอดีต โดยกระบวนการย้อมสามารถหาสีย้อมได้จากวัสดุธรรมชาติท่มี ีในท้องถน่ิ ซึ่งเป็น เศษวสั ดเุ หลือใช้ มคี วามปลอดภัยและเป็นมติ รต่อส่ิงแวดล้อม ทงั้ ยังนำของที่เหลอื ใช้มาสร้างมูลคา่ เพิ่ม โดยการนำไปย้อมสีลงบนผืนย้อมผ้าในรูปแบบ Eco print ที่ดำรงเอกลักษณ์ในรูปแบบและสีสัน คอื เสน้ ใยฝา้ ยท่เี ป็นวตั ถุดิบจากธรรมชาตทิ ่ีเรียบง่าย และเปน็ การยอ้ มผา้ ท่ีผา่ นกระบวนการพิมพ์ลาย ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมไม่ได้มีการออกแบบท่ีตายตัว แต่ได้ลวดลายที่เป็นธรรมชาติ โดยใช้วิธีการ พิมพ์ลงบนผืนผ้าหรือย้อมผ้าด้วยใบไม้ ผ่านการถ่ายโอนสีและโครงสร้างจากใบไม้ด้วยความร้อนสู่ ท่ีผลิตจากเส้นใยธรรมชาติ ผ้าฝ้าย ผ้าไหม แต่สิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ในความเรียบง่ายเป็นมิตรกับ สงิ่ แวดล้อมนี้ ไม่เป็นท่ีนิยมของคนไทย แต่กลับเปน็ ที่นิยมของชาวต่างชาติ คนยุคปัจจบุ ันไม่ยอมรับ การถ่ายทอดเกี่ยวกับด้านความรู้สึก ความภาคภูมิใจ หรือ รสนิยมเพื่อสืบสานต่อจากบรรพบุรุษ และประกอบกับการได้รับอารยธรรมจากตะวันตกในช่วงยุค ท่ีคนไทยเลียนแบบฝร่ัง จึงมีรสนิยม ทีเ่ ป็นแบบฝรั่งเพราะคิดว่าทนั สมยั ในการทำโครงงานสีย้อมผ้าจากธรรมชาติในรูปแบบ Eco print น้ีมีการทดลองหา ตวั แปรท่ีมีคณุ สมบัตขิ องการจับสใี นการยอ้ ม ในครั้งน้ีคณะผจู้ ัดทำได้เลือกตัวแปรที่ใช้ในการช่วยให้สี ติดดังนี้ น้ำเกลือ น้ำสนิมจากเศษเหล็ก น้ำปูนใส และตัวแปรท่ีมีคุณสมบัติในการช่วยให้สีติดดีที่สุด พบวา่ 1.นำ้ สนมิ 2.นำ้ เกลอื และ3.น้ำปนู ใส ตามลำดบั

ข กติ ตกิ รรมประกาศ โครงงานนี้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี เนื่องจากได้รับความช่วยเหลืออย่างดียิ่งของ คุณครูวชิราภรณ์ เงาทอง และคุณครูสุดาภรณ์ สืบบุญเป่ียม คุณครทู ่ีปรึกษาโครงงานผู้ให้คำแนะนำ และขอ้ คดิ เห็นต่าง ๆ ของโครงงาน มิตรสง่ิ แวดล้อมดว้ ยรปู แบบ Ecoprint มาโดยตลอด ขอบคุณ คุณครูวชิราภรณ์ เงาทอง และคุณครูสุดาภรณ์ สืบบุญเปี่ยม ท่ีกรุณา สละเวลาอันเป็นคุณค่าย่ิงเป็นครูผู้สอนโครงงานพร้อมทั้งให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์ต่อการ ทำโครงงาน มิตรส่งิ แวดลอ้ มด้วยรูปแบบ Ecoprint ขอบคุณผ้ปู กครองของคณะผู้จัดทำทุก ๆ ทา่ นที่ให้ความอนุเคราะห์ในการจัดหาเครื่องมือ และส่วนผสมในการทำโครงงาน มติ รสิ่งแวดล้อมด้วยรปู แบบ Ecoprint และให้คำแนะนำในการใช้งาน เป็นอยา่ งดขี อขอบคณุ เพื่อน ๆ ท่ีได้ให้ความชว่ ยเหลอื ในการทำโครงงาน คณะผูจ้ ดั ทำจงึ ขอกราบขอบพระคณุ เปน็ อยา่ งสงู ไวณ้ โอกาสนี้ คณะผู้จดั ทำ เด็กหญิงสายใจ แสงคำ เด็กหญิงอรุ สั ยา ดาวเรอื ง เด็กหญิงทองศริ ิ -

สารบัญ ค บทคดั ยอ่ หนา้ กิตตกิ รรมประกาศ ก สารบญั ข สารบัญ(ต่อ) ค สารบัญตาราง ง สารบญั ภาพ จ บทที่ 1 บทนำ ฉ 1 1.1 ท่ีมาและความสำคญั ของโครงงาน 1 1.2 วัตถุประสงค์ของการศกึ ษา 2 1.3 สมมตฐิ านของการศกึ ษา 2 1.4 ขอบเขตของการศกึ ษาโครงงาน 2 1.5 ตวั แปรท่ีต้องการศึกษา 2 1.6 นิยามศพั ท์เฉพาะ 3 1.7 ประโยชน์ท่ีคาดว่าจะได้รบั 3 บทที่ 2 เอกสารทีเ่ กยี่ วข้อง 4 2.1 การสกัดสธี รรมชาติ 4 2.2 ชนดิ ของผา้ หรือเส้นใย 4 2.3 การทดสอบวา่ เป็นใยธรรมชาติ หรอื 6 ใยสงั เคราะห์ 10 2.5 การเลือกใช้สารชว่ ยติดสีในการย้อมผ้า 10 2.6 ข้อจำกดั ของการย้อมสีธรรมชาติ 11 2.7 เทคนิคการทำ Blanket (การห่มผ้า) 12 2.8 ขอ้ มูลทางพฤกษศาสตร์ 18 บทท่ี 3 การดำเนนิ การและการศึกษา 18 3.1 เครือ่ งมอื และอุปกรณ์ 18 3.2 วัตถุดิบที่ใช้ 18 3.3 ข้ันตอนการปฏบิ ตั ิ 20 บทที่ 4 ผลการศกึ ษา

สารบญั (ต่อ) ง บทท่ี 5 สรุปและอภิปรายผลการทดลอง หน้า 5.1 สรุปผลการทดลอง 22 5.2 อภิปรายผลการทดลอง 22 5.3 ขอ้ เสนอแนะ 22 22 บรรณานุกรม 23 ภาคนวก 24 ภาคผนวก ก ภาพกิจกรรม ภาคผนวก ข ผลงานนกั เรียน ภาคผนวก ค แบบทดสอบความพึงพอใจ

สารบัญตาราง จ ตารางท่ี 1 แสดงเฉดสีชนดิ ของพืช หน้า ตารางที่ 2 สยี อ้ มผ้าและเส้นใยธรรมชาตจิ ากพชื 7 8 (Vegetable dyes) 9 ตารางท่ี 2 สีย้อมผ้าและเส้นใยธรรมชาติจากพชื 20 (Vegetable dyes) (ต่อ) ตารางที่ 4.1 ศึกษาสีทีไ่ ดจ้ ากการนำใบราชพฤกษ์ ใบสัก และใบชงโคท่แี ชไ่ ว้ในสารจบั สี ทงั้ 3 ชนิด

สารบัญภาพ ฉ ภาพที่ 2.1 แสดงรปู ลักษณ์ลักษณะใบราชพฤกษ์ หน้า ภาพท่ี 2.2 แสดงรปู ลกั ษณ์ลักษณะใบสกั 13 ภาพที่ 2.3 แสดงรปู ลักษณ์ลักษณะใบชงโค 14 ภาพที่ 4.1 ผลการทดสอบความพึงพอใจ 16 21 จากใบราชพฤกษ์ ใบสักและใบชงโค โดยใช้สารชว่ ยติดสี 3 ประเภท



1 บทที่ 1 บทนำ 1.1 ทม่ี าและความสำคญั ของโครงงาน ปั จ จุบั น ท่ั วโลก ไ ด้ ต ระ ห นั ก ถึ ง ปั ญ ห า สิ่ ง แว ด ล้ อ ม แ ล ะ ผ ลิ ต ภั ณ ฑ์ ที่ เป็ น พิ ษ จา ก สีสังเคราะห์ จึงทำให้เกิดกระบวนใช้สี จากธรรมชาติจากพืชและสัตว์ทดแทนสีสังเคราะห์ขึ้นเพ่ือลด ปัญหาดังกล่าว ซ่งึ วธิ ีการพิมพ์มีสารช่วยติดประเภทต่างหรือกรดเปน็ วิธีทไี่ ดร้ ับความนิยม (ภัทรานิษฐ์ สทิ ธินพพันธ และคณะ, 2557) สีท่ีใช้ย้อมเสื้อผ้าน้ันมักทำมาจากสารเคมี มีราคาสูง และสารเคมีท่ีใช้ อาจมีอันตรายต่อร่างกายของเราได้ การย้อมสีผ้าด้วยสีธรรมชาติเป็นทางเลือกที่ดี และนับเป็นภูมิ ปญั ญาท่ีสืบทอดต่อกันมาแต่ในอดีต โดยกระบวนการยอ้ มสามารถหาสยี อ้ มไดจ้ ากวสั ดธุ รรมชาตทิ ่ีมีใน ทอ้ งถ่ิน ซง่ึ เป็นเศษวสั ดุเหลอื ใช้ มคี วามปลอดภัยและเปน็ มิตรตอ่ สงิ่ แวดล้อม ทงั้ ยงั นำของทเ่ี หลอื ใช้มา สรา้ งมูลคา่ เพ่มิ โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 22 จังหวัดแม่ฮ่องสอน สภาพทางภูมิศาสตร์ พื้นที่ สว่ นใหญ่เป็นปา่ และภูเขาสูง มีพืชพันธ์ุหลากหลายชนิดท่ีสวยงามและน่าสนใจ แต่ปัญหาที่พบจะเกิด ในช่วงฤดูแลง้ พืชพันธ์ุไม้ตา่ ง ๆ ล้วนดูแหง้ แล้งรว่ งล่นเต็มพ้ืนไปหมดทำให้ส่งิ แวดลอ้ มในโรงเรียนไม่น่า อยู่ ถึงแมว้ า่ ใบไม้ที่รว่ งน้ันจะแลดไู ร้คา่ แตค่ ิดไม่ถึงว่ายงั สามารถสร้างมูลค่าได้อีก โดยการนำไปย้อมสี ลงบนผืนย้อมผา้ ในรูปแบบ Eco print อาศัยความเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่น ที่ดำรงเอกลักษณ์ในรปู แบบ และสสี ันคือ เส้นใยฝ้ายท่ีเป็นวัตถุดิบจากธรรมชาติท่ีเรยี บง่าย และเป็นการย้อมผา้ ท่ีผา่ นกระบวนการ พมิ พ์ลายท่ีเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมไมไ่ ดม้ ีการออกแบบท่ีตายตัว แต่ได้ลวดลายที่เปน็ ธรรมชาติ โดยใช้ วธิ กี ารพมิ พ์ลงบนผนื ผา้ หรือยอ้ มผ้าดว้ ยใบไม้ ผ่านการถา่ ยโอนสีและโครงสร้างจากใบไม้ด้วยความรอ้ น สู่ผ้าที่ผลิตจากเส้นใยธรรมชาติ ผ้าฝ้าย ผ้าไหม แต่สง่ิ ที่เปน็ เอกลักษณ์ในความเรียบง่ายเป็นมิตรกับ สิ่งแวดล้อมน้ี ไมเ่ ปน็ ที่นิยมของคนไทย แต่กลับเปน็ ที่นยิ มของชาวต่างชาติ คนยคุ ปจั จุบันไม่ยอมรับ การถ่ายทอดเกี่ยวกับด้านความรู้สึก ความภาคภูมิใจ หรือ รสนิยมเพ่ือสืบสานต่อจากบรรพบุรุษ และประกอบกับการได้รับอารยธรรมจากตะวันตกในชว่ งยุค ที่คนไทยเลียนแบบฝรั่ง จึงมรี สนิยมท่ี เปน็ แบบฝรัง่ เพราะคดิ ว่าทนั สมยั การย้อมผา้ ด้วยสีธรรมชาติซึ่งพบว่านอกจากจะดีต่อส่ิงแวดลอ้ มแล้ว สีสันที่ได้ยังเปลี่ยนไปตามการใช้ตัวท่ีช่วยทำให้สีติดมากข้ึน ท่ีเรียกกันว่าตัว ฟิกสี(Mordant) รวมถึง สภาพอากาศดว้ ย ทางคณะผู้จัดทำจึงเล็งเห็นถึงความสำคัญของการใช้สีย้อมผ้าจากสิ่งท่ีอยู่รอบตัวจาก ธรรมชาติแทนการใช้สีย้อมผ้าจากสารเคมี ท้ังนี้จึงมีความสนใจศึกษาสีท่ีได้จากใบไม้ท่ีมีรูปลักษณ์ สวยงาม ได้แก่ ใบคูน หรือลมแล้ง ใบสัก และใบชงโค ใบพืชทั้ง 3 ชนิด พบมากที่สุดใน โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 22 จังหวัดแม่ฮ่องสอน ลวดลายที่แตกต่างและติดทน เป็นการ

2 เพิ่มมูลค่าให้กับผืนผ้า เปน็ การประหยัดค่าใช้จ่าย และอีกท้ังยังเป็นการสร้างจิตสำนึกในการอนรุ ักษ์ รกั ษ์สิ่งแวดล้อมอกี ดว้ ย 1.2 วัตถปุ ระสงค์ของการศกึ ษา 1. เพ่ือเปรียบเทียบสีย้อมผ้าจากใบคูนใบสักและใบชงโคในการทำปฏิกิริยากับสารช่วยสี ติดใบชนิดใดติดสีและให้ลวดลายไดด้ ีทสี่ ุด 2. เพ่อื เพมิ่ มลู ค่าของผืนผา้ และสรา้ งจติ สำนึกในการอนุรักษร์ กั ษ์สิ่งแวดล้อม 1.3 สมมุตฐิ านของการศึกษาคน้ คว้า ถ้านำ้ สนิมจากเหลก็ มผี ลทำให้เกิดปฏกิ ริ ิยาทางเคมตี ่อใบไม้โดยการดดู สีหรือทำให้ใบไม้ คายสีออกมามากท่ีสุด ดังนน้ั ใบไม้ท่ีแช่ในน้ำสนิมก็สามารถให้สีลวดลายบนผืนผ้าได้ชัดกว่าใบไม้ท่ีแช่ ในน้ำสนมิ 1.4 ขอบเขตของการศกึ ษาค้นควา้ 1.4.1 กรอบของการศกึ ษา 1. ขอบเขตด้านกลุ่มตัวอยา่ ง - ใบราชพฤกษ์ - ใบสัก - ใบชงโค 1.4.2 สถานท่ีทำโครงงาน โรงเรยี นราชประชานุเคราะห์ 22 จงั หวดั แม่ฮอ่ งสอน 1.4.3 ระยะเวลาในการทำโครงงาน มิถุนายน 2565 - สงิ หาคม 2565 1.5 ตัวแปรที่ต้องการศึกษา ตัวแปรตน้ ชนิดของใบพืช ตวั แปรตาม การใหล้ ายสบี นผนื ผา้ ตัวแปรควบคมุ 1) ผ้าฝา้ ย ขนาด 40x60 cm. 2) นำ้ ปรมิ าณ 1000 ml. 3) พลาสตกิ ถงุ รอ้ น ขนาด 40x60 cm. 4) ไม้กลม ยาว 50 ml. 5) เชอื กปอ ยาว 200 ml. 6) น้ำสม้ สายชู 1000 ml. 7) สารสม้ ปรมิ าณ 90 g 8) เบกก้ิงโซดา 80 กรัม 9) น้ำสนมิ ปริมาณ 1000 มลิ ลิลิตร 10) ใบไมส้ ำหรบั การพิมพ์ 11) หมอ้ นง่ึ จำนวน 1 ชุด 12) เตาแกส๊ จำนวน 1 ชุด

3 1.6 นิยามศัพท์เฉพาะ สีธรรมชาติ คือ สีท่ีสกัดได้จากวัตถุดิบท่ีมาจาก พืช สัตว์ และแร่ธาตุต่างๆ ซ่ึงเกิดข้ึนจาก กระบวนการตามธรรมชาติแหล่งวัตถุดิบของสีธรรมชาติสามารถหาได้จากต้นไม้ใบไม้ และจาก บางส่วนของสัตว์หลายชนิด สามารถให้สีสันตามท่ีเราต้องการ และด้วยกรรมวิธีการผลิตที่แตกต่าง กันท าให้ผลิตภณั ฑท์ ่ไี ดม้ ีความสวยงามและสีสนั ทห่ี ลากหลาย การย้อมโดยใช้สารช่วยสีติด (Mordant dyeing) การย้อมด้วยวิธีน้ีเป็นการย้อมแบบใช้ สารช่วยสีติดหรือสารช่วยย้อม สารจะทำหน้าที่ช่วยให้การยึดติดเส้นใยกับสีย้อมได้ดีขึ้น โดยเม่ือแช่ หรือตม้ เส้นใย น้ำสนิมจะเกิดปฏิกิรยิ าสีย้อมจะซึมเข้าไป ทำใหส้ ีทไ่ี ด้จากการย้อมมีความคงทน ไมต่ ดสี หรอื ซดี งา่ ย นอกจากนี้ยังมี น้ำเกลือ นำ้ ปนู ใส เป็นต้น 1.7 ประโยชนท์ ีค่ าดวา่ จะไดร้ บั 1) ไดผ้ ลิตภัณฑ์สีย้อมผา้ จากใบพชื ชนิดต่าง ๆ ที่สวยงาม 2) เปน็ การนำสิ่งท่ีอยูร่ อบตัวท่ีได้จากธรรมชาตใิ นโรงเรยี นมาเพ่มิ มลู ค่า 3) นำความรู้ท่ีไดจ้ ากการศึกษาไปใชใ้ นชวี ิตประจำวนั 4) เป็นการสร้างจิตสำนึกในการอนรุ กั ษ์รักษ์สงิ่ แวดล้อม

4 บทท่ี 2 เอกสารท่เี กี่ยวข้อง 2.1 การสกัดสีธรรมชาติ ..........สธี รรมชาติเปน็ สีทีไ่ ด้จากพืช สตั ว์ และแรธ่ าตุตา่ งๆ สามารถนำมาย้อมไดท้ งั้ แบบยอ้ มร้อนและแบบ ยอ้ มเย็น สธี รรมชาติเป็นสีทีต่ ้องอาศยั สารช่วยในการกระต้นุ ชว่ ยให้สีออกเร็ว และใหส้ ีตดิ แนบกบั เส้น ไหม ทำใหส้ ีไม่ตกเวลาซัก (วษิ ณุ ดาทอง,2553) 2.2 ชนดิ ของผ้าหรือเสน้ ใย แบ่งออกเป็น ๒ ประเภท คือ ๑. ผา้ หรือเส้นใยท่ไี ดจ้ ากพชื เชน่ ผ้าฝ้าย ๒. ผา้ หรือเส้นใยทไ่ี ด้จากสตั ว์ เช่น ผา้ ไหม ผา้ ขนแกะ เส้นใยเซลลูโลสสังเคราะห์แสง เส้นใยท่ีประกอบด้วยเซลลูโสสแปลงรูป (Regenerated cellulose ) ที่นำกลับมาใช้ใหม่ เซลลูโลสเป็นวัตถุดิบที่ได้มาจาก ไม้ เช่น ไผ่ ฟาง หรือฝ้าย จึงมี คุณสมบัติเหมือนฝ้าย คือ ไม่มีประจุบวกหรือลบ จึงไม่สามารถจับกับโครงสร้างของสีจากพืชได้ จำเปน็ ต้องมตี วั ชว่ ย คอื สารชว่ ยติดสี (ประจุบวก) น่ันเอง 2.2.1 ฝ้าย (Cotton) ช่ือวิทยาศาสตร์ Gossypium spp. วงศ์MALVAVEAE ฝ้ายจัดเป็นพืชไร่ที่มีความสำคัญ ทางเศรษฐกจิ เน่ืองจากเปน็ วตั ถุดิบหลกั สำหรับผลติ เส้อื ผ้าเครื่องนงุ่ ห่ม และข้าวของเคร่ืองใช้หรอื วัสดุ ทางการแพทย์ต่างๆ ซ่ึงมีการนำมาใช้มากท่ีสุดเม่ือเปรียบเทียบกับเส้นใยชนิดอ่ืน ๆ การปลูกฝ้ายใน ประเทศไทยมีมานานนับร้อยปี โดยเฉพาะฝ้ายพ้ืนเมือง Gossypium arboretum ซ่ึงชาวบ้านใน ชุมชนภาคเหนือหรือภาคอสี านรู้จักการทอผ้าฝ้ายด้วยมอื ใช้กันในครัวเรือนมานานแลว้ มีการปลูกฝา้ ย หีบฝ้าย ปั่นด้ายด้วยมือ โดยใช้เครือ่ งหีบแยกเมล็ดออกจากปุย เรียกว่า อ้ิว และนำปุยท่ีได้มาปั่นเป็น เส้นด้ายฝ้ายด้วยหลาและกง และนำไปใช้ในการทอผ้าพื้นเมืองด้วยก่ีกระตุกหรือหูกทอผ้า โดยทำ ลวดลายที่สวยงามด้วยภูมิปัญญาท่ีส่ังสมมาของไทยแต่โบราณ เช่น ผ้าฝ้ายยกดอก ฝ้ายตีนจก ฝ้าย มัดหมี่ ผ้าซิ่น ผ้าขาวม้า ผ้าดิบ ต่อมาได้มีการนำเข้าฝ้ายเขมร หรือฝ้าย Gossypium hirsutum เข้า มาปลูกและมีการส่งเสรมิ ให้มีการปลูกฝ้ายเป็นพืชเศรษฐกิจในเวลาต่อมา และมีการนำเข้าฝ้ายหลาย กลุ่ม เพื่อการพัฒนาปรับปรุงพันธ์ุให้ได้ฝ้ายที่ผลผลิตสูงและคุณภาพดี ต้านทานโรคแมลง หน่วยงาน ทางการเกษตรได้พัฒนาพันธ์ุฝ้ายออกมาหลายสายพนั ธ์ุ ซ่ึงมที ั้งฝา้ ยรุ่นเก่าท่ีตอ้ งใช้สารเคมีควบคุมโรค แมลง และฝา้ ยล่าสุดเป็นรุ่นใหม่ที่สามารถปลูกในสภาพปลอดสารเคมปี ลอดภัยตอ่ สงิ่ แวดล้อม 2.2.2 ไหม (Silk) มีตน้ กำเนดิ การเลย้ี งมาจากประเทศจีนเมื่อ 4500 ปีกอ่ น และได้แพร่กระจายไปท่ีเกาหลีและ ญ่ีปุน่ ในเวลาต่อมา เสน้ ใยไหม คอื โปรตีนทห่ี นอนไหมขบั ออกมาเพ่ือป้องกันตวั มันเองขณะเป็นดักแด้

5 เส้นใยจะมีความยาวต่อเน่ือง (Filament) จนกลาย “รังไหม” (Silk cocoon) ซึ่งรังไหมนี้คือช่วงชีวิต หน่ึงของผีเสื้อกลุ่ม Lepidopteran ท่ีอยู่ในวงศ์ BOMBYCIDAE การจำแนกไหม สามารถจำแนก ออกเป็น 2 ประเภท คอื 1) ไหมเล้ียง (Mulberry silk) หรือมีช่ือทางวิทยาศาสตร์ว่า Bombyx Mori เป็นหนอน ไหมท่มี นุษย์เพาะขน้ึ เล้ยี งโดยใชใ้ บหมอ่ นสดเปน็ อาหาร 2) ไหมป่า (Wild silk) เป็นไหมท่ีมนุษย์ไม่ได้เพาะเล้ียง ในต่างประเทศ เช่น จีน จะมีไหม ป่าที่เรียกว่าไหมทาชาร์ (Tussah silk) เป็นจำนวนมาก ไหมป่าเลี้ยงตัวเองด้วยใบต้นโอ๊ค ในประเทศ ไทยมีการพัฒนาการเลยี้ งไหมป่าพันธ์ุอีร่ี (Eri silk) เป็นสายพันธ์ุท่มี ีสีขาว รังไหมพันธุ์อรี ่ีเป็นไหมป่าท่ี กินใบมันสำปะหลังและใบละหุ่งเป็นอาหาร ไหมป่าจะให้เส้นใยที่มีสีขาวหม่นหรือสีน้ำตาล มีความ หยาบ ไม่สมำ่ เสมอทำให้เส้นใยไหมมีเนือ้ สัมผัสคล้ายขนสัตว ปจั จบุ นั การเลีย้ งไหมในประเทศไทยมมี ากในภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือ ภาคเหนอื ภาคกลาง บางจังหวัด ทีน่ ิยมเล้ียงมี 3 ชนิด คือ พันธ์ไุ ทยพ้ืนบ้าน พันธุ์ไทยลูกผสม ทั้งสองชนิดน้ีมสี ีเหลือง และ พนั ธุ์ต่างประเทศลูกผสม เปน็ พันธ์ุผสมระหว่างไหมพันธุ์ไทยและไหมพนั ธจ์ุ ีน 108 ลักษณะรงั ไหมเป็น สีขาวใหป้ ริมาณเส้นใยท่ยี าวกวา่ วงจรชีวิตของไหมประกอบด้วย 4 ระยะ คือ ระยะไข่ ระยะตัวหนอน ระยะดักแด้และระยะผเี ส้ือ 2.2.3 ผ้าทใ่ี ช้ในการพิมพล์ ายใบไม้ต้องเป็นเสน้ ใยธรรมชาติไดแ้ ก่ 1) ผา้ ฝ้าย (Cotton) สามารถใชไ้ ด้ทง้ั ผา้ ทอโรงงานและทอมือ 2) ผา้ เรยอน (Rayon) หรอื ผ้าซีกวง เป็นผา้ ที่ทำจากเซลลโู ลสของพืชจงึ มีคุณสมบัติ ในการตดิ สไี ด้ เปน็ ผา้ ท่ีมีนำ้ หนกั 3) ผ้าใยไผ่ (Bamboo) เปน็ ผา้ ท่ีทำจากเซลลูโลสของไผ่จงึ มคี ณุ สมบตั ใิ นการติดสไี ด้ 4) ผา้ ไหม (Silk) มีโครงสร้างเปน็ โปรตนี ท่ีเปน็ ประจบุ วกและลบ จงึ สามารถตดิ สีไดด้ ี แต่ตอ้ งระวงั ในการใชส้ ารช่วยตดิ สีสนิมเหลก็ จะทำใหเ้ ส้นใยเปื่อยไดง้ ่าย 5) ผ้าขนสัตว์ (Wool) มีโครงสร้างเป็นโปรตีนเชน่ เดยี วกับไหม จงึ สามารถติดสไี ดด้ ี แต่ต้องระวังในการใช้สารช่วยติดสสี นมิ เหล็ก จะทำใหเ้ สน้ ใยเป่ือยไดง้ า่ ย 6) ผ้าป่านมัสลิน (Muslin) ผลติ จากใยฝา้ ย 100% ทอแน่นเน้ือละเอียดกว่าผ้าสาลู 7) ผา้ แมมเบิรต์ (Mambert) เปน็ ฝ้ายผสมเรยอนเส้นเล็ก ทอเนือ้ แน่นแตบ่ าง เนอื้ น่มุ ลื่นมีน้ำหนัก 8) ผ้าลนิ นิ (Linen) ทำมาจากเสน้ ใยของพชื ชนิดหน่งึ ทีเ่ รยี กวา่ “แฟลกซ์” (Flax) เป็นพืชที่ปลูกกันในแถบยุโรป เช่น เบลเยี่ยม ไอร์แลนด์ รัสเซีย เป็นต้น เส้นใยจากต้นแฟลกซ์นิยม นำมาทำเสน้ ใยผ้าเพราะเป็นเสน้ ใยทท่ี นทานมาก มคี วามเหนียวมากกว่าฝา้ ย

6 9) ผา้ ด้ายดิบ (Calico) เปน็ ผา้ ทท่ี อดว้ ยเสน้ ใย เส้นดา้ ยจากธรรมชาติที่ยงั ไม่ผา่ น กระบวนการฟอก มีส่วนผสมของฝ้าย ลินิน เป็นหลกั ปัจจบุ นั ได้มกี ารพัฒนาใหม้ ีสว่ นผสมของ โพลีเอสเตอร์เข้าไปด้วย สีของผ้าดิบมีท้ังที่เป็นสีขาวและสีครีมธรรมชาติ มีต้ังแต่การทอแบบบางไป จนถงึ การทอแบบหนา 2.3 การทดสอบวา่ เป็นใยธรรมชาติ หรอื ใยสงั เคราะห์ หลายครั้งท่สี ัง่ ผ้ามาแล้วไมแ่ น่ใจเรอ่ื งเส้นใยวา่ เป็นธรรมชาติหรือใยสงั เคราะห์ ใหท้ ดสอบกอ่ น โดยการดึงเสน้ ใยออกมาท้ังเสน้ ยืนและเส้นพงุ่ แลว้ เผาไฟดู - ไหมหรือขนสัตว์แทจ้ ะมกี ลิ่นเหมือนผมไหมไ้ ฟ - ฝ้ายหรอื เซลลโู ลสอน่ื ๆ จะไหมอ้ ย่างรวดเร็วจนกลายเปน็ ขีเ้ ถ้าขาว ๆ - ใยสังเคราะห์เมื่อเผาแล้วจะกลายเปน็ ปมดำ ๆ คลา้ ยพลาสตกิ ไหมไ้ ฟ ผ้าในรูปคือผ้าแมมเบิร์ตที่มีเน้ือค่อนข้างบาง เวลาจะพิมพ์ลายต้องให้หมาดท่ีสุดเพื่อป้องกันการซึม รอบๆ ลายใบไม้สีธรรมชาติสามารถยอ้ มติดเส้นใยไหมไดด้ ีท่ีสดุ ตามลักษณะของโครงสรา้ งโปรตีนทเ่ี ป็นพอลิ เมอร์ธรรมชาติ (Natural polymer ) รองลงมาคือ เสน้ ใยจากฝ้าย วัตถุดิบท่ีใช้ย้อมสีด้วยภูมิปัญญาของมนุษย์ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ได้มีการเรียนรู้ท่ีจะใช้ ประโยชน์จากสีซ่ึงสกัดจากวัตถุดิบธรรมชาติมากขึ้นในปัจจุบัน เช่น การใช้ย้อมเน้ือเยื่อพืชและสัตว์ การใช้ประโยชน์ทางอาหาร ยาและเครื่องสำอาง การใช้ประโยชนท์ างการเกษตรกรรม รวมท้งั นำมา ย้อมเส้นใยและผืนผ้าเพือ่ ใชเ้ ป็นเครอื่ งนุ่งห่มและใช้สอยในชวี ติ ประจำวัน สยี ้อมธรรมชาตนิ ั้นสามารถ จำแนกตามแหล่งทม่ี าได้ ดังนี้ 1) สีย้อมธรรมชาติจากแร่ธาตุ (Mineral dyes) สีธรรมชาติประเภทนี้เป็นสีท่ีเกิดจาก สารประกอบของโลหะ เช่น เหล็ก โครเมียม ตะก่ัว แมงกานีส ทองแดง โคบอลต์ และนิกเกิล ซึ่งใน อดีตเป็นกลุ่มสีท่ีมีความสำคัญมาก แต่ในปัจจุบันไม่ปรากฏแหล่งผลิตและการใช้สีกลุ่มดังกล่าว สำหรับประเทศไทยในปจั จุบนั ยังมกี ารใชส้ ีธรรมชาติจากแร่ธาตุในการย้อมสีสง่ิ ทอ คอื สีจากโคลนและ ดนิ แดง ทมี่ ีสารประกอบพวกอลูมิโนซิลเิ กต และสารประกอบโลหะอยู่ 2) สีย้อมธรรมชาติจากสัตว์ (Animal dyes) คือ สารสีที่ได้จากสารที่ขับออกจากตัวสัตว์ สำหรับประเทศไทยมีการใช้สีจากแมลง คือ คร่ัง โดยตัวคร่ังจะดูดกินน้ำเลี้ยงของต้นไม้แล้วขับสารสี แดงท่ีเรียกวา่ ยางคร่ัง ซึ่งมีกรดแลคคาอกิ (laccaic acid) ออกมาหุ้มรอบตัวเป็นรงั สารสีแดงท่ีถูกขับ ออกมาจากตัวครั่งดังกล่าวมานี้ถูกนำมาใช้ประโยชน์ ทั้งในการย้อมสิ่งทอ ผสมในอาหาร และใช้ใน อุตสาหกรรมหลายประเภทสำหรับเส้นใยท่ีย้อมด้วยครั่ง คือ ไหม ขนสัตว์ และฝูาย สารละลายกรด แลคคาอิกให้หลายเฉดสี ไดแ้ ก่ สสี ้มแดง หรือแดงอมม่วง โดยข้นึ กบั คา่ ความเป็นกรดดา่ ง (pH)

7 3) สีย้อมธรรมชาติจากพืช (Vegetable dyes) สีย้อมท่ีได้จากพืชจัดเป็นกลุ่มสารสีหลัก ของสีย้อมธรรมชาตโิ ดยเป็นสียอ้ มที่ได้จากทุกส่วนของพืชทั้ง ราก เปลือก ลำต้น เน้ือไม้ ใบ ดอก ผล และเมล็ด ในการย้อมผ้าและเส้นใยจากสธี รรมชาติ ในปัจจุบันแหล่งวัตถุดิบสีธรรมชาติยังสามารถหา ไดจ้ ากตน้ ไม้ ใบไม้ ท่ีให้สีสันสวยงามและหลากหลายตามทต่ี ้องการ สามารถสร้างเฉดสีให้หลากหลาย ดว้ ยการใช้สารช่วยติดสี (Mordant) โดยกลุ่มของสารประกอบทางเคมีท่ีให้สีในส่วนต่างๆ ของพืชแต่ ละชนิดแสดงตวั อย่างดังตาราง ตารางที่ 1 แสดงเฉดสีชนดิ ของพืช ชนดิ ของพืช เฉดสี กลุม่ สารประกอบเคมี เมล็ดคำแสด แดง บราซลิ ลิน (Brazilin) แครอท เหลือง คาโรทินอยด์ (Carotenoids) ดอกคำฝอย เหลอื งปนน้ำตาล คาร์เทมีน (Carthamin) ใบหม่อน เหลือง ฟลาโวนอยด์ (Flavonoids) แก่นต้นยอ แดง อะลิซาริน (Alizarin) ใบเทียนกงิ่ เหลอื งและส้ม ลอโซน (lowson) ดอกอัญชัญ เขียว, นำ้ เงนิ แอนโทไซยานนิ (Anthocyanin) รากตน้ เขท็ แดงเขม้ แอนทราควิโนน (Anhtraquinonne) สำหรับงานพิมพ์ลายใบไม้เป็นเรื่องท่ีสำคัญท่ีจะทำให้เราได้ลายที่สวยงาม สีสม่ำเสมอ ต่างประเทศ มคี ำแนะนำให้มอื ใหมห่ ัดฝกึ กับผา้ ไหมหรือขนสตั ว์ เพราะเส้นใยจากสัตว์เปน็ โปรตนี ท่มี ี ประจุบวกและลบในโครงสร้างอยู่แล้ว ทำให้สามารถติดสีได้ดีแม้เพียงใช้สารส้มเป็นสารช่วยติดสีแต่ ด้วยราคาท่ีแพงทำให้เราเลือกเส้นใยจากพืชมาทำงาน Ecoprinting ตั้งแต่เริ่มต้น ดังนั้นคนที่ทำงาน พิมพ์ลายใบไม้ควรเข้าใจเรื่องเส้นใยธรรมชาติ เช่น ฝ้าย เรยอน (ซีกวง) วา่ มีโครงสร้างอย่างไร เส้นใย ธรรมชาติจากพืชทุกประเภท เป็นเซลลูโลสไม่มีประจุ เราจึงใสส่ ารช่วยติดสีต่าง ๆ เช่น สารส้ม สนิม เหล็ก เข้าไปในเส้นใย สารต่าง ๆ เหล่าน้ีมีองค์ประกอบท่ีเป็นประจุบวก จึงติดสธี รรมชาติท่โี ครงสรา้ ง เป็นประจุลบได้ แทนนิน เป็นสารท่ีมีรสฝาดในพืชและช่วยในการติดสีได้ดีข้ึน แต่แทนนินจะทำปฏิกิรยิ าได้ดี กบั สนิมเหล็ก กลายเป็นสารท่ีมสี ีเทาจนดำ ตามปริมาณของแทนนินที่มีในพืชและสนิมเหลก็ ที่ใช้ เมื่อ เราใช้สนิมเหล็กในการแช่ใบไม้ สนิมเหล็กส่วนหนง่ึ จะไปทำให้เม็ดสกี ารเปลี่ยนจากโครงสรา้ งทล่ี ะลาย นำ้ ไม่ได้เป็นโครงสร้างท่ีละลายน้ำได้ และส่วนทเ่ี หลือจะไปจับกับแทนนินกลายเปน็ สเี ทาจนถึงดำ เมื่อ

8 ไปรวมตัวกับสีเดิมของพืช เช่น เหลือง ก็จะกลายเป็นเหลือเขียว เขียวเทาดำ และถ้าใช้สนิมเหล็ก ปริมาณมาก ก็จะทำให้สนมิ เหลก็ เกาะติดกบั เสน้ ใยพชื ทำให้ไมส่ ามารถออกจากพชื ได้ จึงไม่เกดิ สี ปัจจุบันมีการส่งเสริมให้ใช้วัสดุจากธรรมชาติกันมากขึน้ เพราะผลิตภัณฑ์ที่ได้จากธรรมชาติ จะส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยมาก และกรรมวิธีผลิตที่แตกต่างกัน ทำให้ผลิตภัณฑ์ที่ได้มีความ สวยงามและหลากหลาย ตวั อยา่ งสีย้อมผ้าและเส้นใยธรรมชาติจากพืช แสดงตัวอย่างดงั ตาราง ตารางท่ี 2 สยี ้อมผา้ และเส้นใยธรรมชาติจากพชื (Vegetable dyes) ท่ี ช่อื สามัญ ชอื่ พฤกษศาสตร์ ส่วนทีใ่ ห้สี สี 1 กรรณกิ าร์ Nyctanthes arbor-tristis Linn. หลอดดอก เหลืองทอง 2 ก่อ Quercus spp. เปลอื ก เหลอื ง, เขียว 3 แกแล Maclura cochinchinensis Corner. แกน่ เหลือง 4 โกงหางใบใหญ่ Rhizophora mucronata Poir. เปลอื ก นำ้ ตาล 5 โกงกางใบเล็ก Rhizophora apiculata Bl. เปลอื ก น้ำตาล 6 ขนุน Artocarpusheterophyllus Lamk. แกน่ , ราก น้ำตาลแกมเหลอื ง 7 คราม ndigofera tinctoria Linn. ต้น นำ้ เงิน 8 คำฝอย Carthamus tinctorius Linn ดอก แดง 9 คำแสด Bixa orellana Linn. เนอื้ ห้มุ เมลด็ แสด 10 ตะขบไทย Flacaurtia cataphracta Roxb. ใบ เขยี วขม้ี า้ 11 ทองกวาว Butea monosperma O.Ktze. ดอก เหลอื ง 12 ประดู่ Pterocarpus macrocarpus Kurz แก่น แดงคลำ้ 13 ฝาง Caesalpinia sappan Linn แก่น แดง 14 เพกา Oroxylum indicum Vent เปลือก กากี 15 มะเกลือ Diospyros mollis Griff. ผล ดำ 16 มะขามไทย Tamarindus indica Linn. ใบ เหลือง 17 มงั คุด Garcinia mangostana Linn. เปลอื กผล น้ำตาลอ่อน 18 ยอบา้ น Morinda citrifolia Linn. ราก, เปลอื ก, เหลอื งแดง ใบ, เนือ้ ไม้ 19 ยคู าลปิ ตสั Eucalyptus camaldulensis Behnh แกน่ , ราก นำ้ ตาลแดง, เหลือง 20 สมอไทย Terminalia chebula Retz. เปลอื ก, ผล ดำ 21 สกั Tecton grandis Linn.f ใบอ่อน, แกน่ แดง, กากี

9 ตารางท่ี 2 สียอ้ มผ้าและเสน้ ใยธรรมชาตจิ ากพชื (Vegetable dyes) (ต่อ) ท่ี ชอ่ื สามัญ ช่อื พฤกษศาสตร์ สว่ นทใ่ี หส้ ี สี 22 สะเดา Azadirachta indica Juss. var. เปลือก แดง siamensis Valeaton 23 หอ้ ม Strobilanthes flaccidifolia Nees ใบ น้ำเงนิ แก่ 24 หูกวาง Terminalia catappa Linn. ใบแก่ เขียวขีม้ ้า 25 อินทนิลนำ้ Lagerstroemia speciosa (L.) Pers. เปลอื ก นำ้ ตาลแก่ หมายเหตุ* ในการย้อมสธี รรมชาติแต่ละครั้งอาจมคี วามแตกต่างไปจากสที ย่ี กเปน็ ตวั อย่างได้เนือ่ งจาก การเลอื กใช้สารชว่ ยติดสี(Mordant) อืน่ ๆ และปรมิ าณของวตั ถดุ ิบและสารชว่ ยติดสีท่ีใช้ โดย รายละเอยี ดของสารชว่ ยติดสที ี่จะใหส้ ีทีแ่ ตกต่างกัน 2.4 การเลอื กใช้สารชว่ ยติดสใี นการยอ้ มผา้ มี 3 วิธี คือ 1) การย้อมสารช่วยติดสีก่อนการย้อมสี (Pre-mordanting) วิธีนี้นิยมใช้กนั ท่วั ไป ซ่ึงต้อง นำเส้นใยธรรมชาติที่ผ่านการทำความสะอาดเอาสิ่งสกปรกหรือปนเป้ือนแล้ว ไปชุบสารช่วยติดสีใน การยอ้ มก่อนนำไปย้อมสธี รรมชาติโดยทำให้สารช่วยติดสีร้อนหรอื เดือดประมาณ 30 นาที กอ่ นแชท่ ิ้ง ไว้ในสารละลายของสารชว่ ยติดสีอีก 15 นาทีจากนน้ั นำเสน้ ใยไปลา้ ง ผงึ่ ใหห้ มาดก่อนการย้อมสี 2) การยอ้ มสารช่วยติดสีพรอ้ มกับการย้อมสี (Simultaneous mordanting) ซึง่ เป็นการ ใสส่ ารชว่ ยติดสใี นการยอ้ มผา้ ลงในนำ้ สียอ้ ม โดยใช้อุณหภมู ิเดยี วกบั การย้อมสี ท้งั นีก้ ารเติมสารช่วยติด สจี ะสามารถทำได้ท้ังการเติมในน้ำย้อมก่อนการย้อมหรอื เติมเม่ือการย้อมผ่านไประยะหน่ึง หลังการ ย้อมอาจแช่เส้นใยในน้ำย้อมจนเย็นตัวลงแล้วจึงนำไปล้างให้สะอาด การย้อมโดยวิธีนี้ผู้ย้อมสามารถ เห็นการเปล่ียนแปลงของสีโดยทันทีเนื่องจากสารช่วยติดสีในส่วนของโลหะจะจับกับ อิเลกตรอนท่ี เคลอื่ นทีข่ องสีได้อย่างรวดเร็ว 3) การย้อมสารช่วยติดสีหลังการย้อมสี (Post-mordanting) ซึ่งเป็นการนำเส้นใย ธรรมชาติลงไปย้อมสีก่อนแล้วจึงนำไปชุบน้ำสารช่วยติดสีซ่ึงสารช่วยติดสีบางชนิดสามารถใช้วิธีน้ีได้ เช่น สารส้ม จุนสี ใช้เวลาประมาณ 15 นาที การย้อมวิธีนี้ ความเข้มของสีจะข้ึนกับปริมาณของสาร ช่วยติดสี นอกจากน้ีแล้วยังสามารถใช้วิธีนี้ในการเปลี่ยนเฉดสีของเส้นใยได้ เช่น การใช้น้ำปูนใสเป็น สารชว่ ยติดสีจะทำให้เส้นใยท่ีย้อมด้วยครั่ง (ตัวติดสี คือ มะขามเปียก) หรือฝาง (ตัวติดสี คอื สารส้ม) ซ่ึงได้สีส้มอมชมพูเปล่ียนเป็นชมพูบานเย็นได้ปริมาณของสารช่วยติดสีที่ใช้ในการย้อมสีธรรมชาติมี ความสำคัญมาก แม้ว่าทำให้ได้สีที่เข้มข้ึน ก็ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยต่อผู้ผลิต ผู้บริโภคและ

10 สิ่งแวดล้อม นอกจากน้ีแล้วการควบคุมอุณหภูมิและเวลาก็มีความสำคัญเช่นกัน เพราะจะมีผลต่อ ความเข้มของสีทย่ี ้อมได้รวมถึงคณุ ภาพของเส้นใยทีใ่ ชย้ ้อม ด้วยโดยสรุปคือ ถ้าเป็นพืชที่ให้โทนสีน้ำตาล เหลือง สารช่วยติดสีท่ีเหมาะสม คือ สารส้ม โทนสีเทา สารช่วยติดสีท่ีเหมาะสม คือ สนิมเหลก็ หรือใช้ในรูปสารเคมี คือ เฟอรัสซลั เฟต โทนสเี ขยี ว เข้มหรือเขียวอ่อน สารช่วยตดิ สที เี่ หมาะสม คอื จุนสี เป็นต้น 2.5 ขอ้ ดีของการย้อมสธี รรมชาติ 1) ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของผู้ย้อมและผู้บริโภคเพราะทำมาจากพืชและวัตถุดิบ ธรรมชาติ และนำ้ สี ทเี่ หลอื อยู่กไ็ มเ่ ป็นอันตรายต่อสิง่ แวดล้อม 2) วัตถุดิบท่ีใช้ในการย้อมสีสามารถหาได้ในบริเวณบ้าน หมู่บ้าน และในปุา โดยไม่ต้องเสีย เงินซือ้ ทำให้ไม่ขาดดุลการคา้ ในการสัง่ ซอ้ื จากต่างประเทศ 3) สีธรรมชาตสิ ามารถเรยี นรู้และพฒั นาไดด้ ้วยตนเอง เป็นภมู ปิ ญั ญาของบรรพบุรษุ ไทยทำให้ ชาวบ้านมองเหน็ คณุ คา่ ของต้นไม้ และรจู้ กั การใช้ประโยชน์เชงิ อนุรกั ษ์ 4) สีธรรมชาติทำให้เกิดสีใหม่ สีแก่ สีเข้ม สีอ่อน ได้หลากหลายตามการใช้ตัวติดสี ได้แก่ สารส้ม ดา่ ง นำ้ สนิม หรอื แมแ้ ต่ใบไมก้ ็ใหส้ แี กอ่ อ่ นต่างกันไป 5) ในด้านความสัมพนั ธ์ระหว่างชาวบ้านทีย่ ้อมสีกับต้นไม้ จะมองเหน็ คุณค่าของต้นไม้มากขึ้น เหน็ คุณประโยชน์และไม่ทำลายแตจ่ ะใชท้ รพั ยากรธรรมชาติอยา่ งอนุรักษ์และย่ังยนื รู้คณุ ค่าและปลูก ทดแทนมากข้ึน 2.6 ขอ้ จำกดั ของการย้อมสธี รรมชาติ 1) ปัญหาดา้ นการผลติ คือ ไมส่ ามารถผลิตไดใ้ นปริมาณมากและไม่สามารถผลิตสีตามท่ีตลาด ต้องการได้ รวมทั้งการท่ีไม่สามารถย้อมซ้ำเพ่ือให้ได้เฉดสีที่เหมือนเดิม เน่ืองจากวัตถุดิบท่ีมาจาก ธรรมชาติน้ันควบคุมยาก ข้ึนกับปัจจัยธรรมชาติ เช่น สภาพดินฟ้าอากาศ ปริมาณน้ำ ต้นไม้ชนิด เดยี วกันในแต่ละฤดจู ะใหส้ ีทแี่ ตกตา่ งกนั รวมทงั้ อายุของตน้ ไม้ด้วย 2) คุณภาพของสีท่ีได้ สีซดี จางเร็วและมีความคงทนต่อแสงน้อย ต้องพัฒนาคุณภาพให้สูงกว่า น้ี โดยอาศยั องคค์ วามรทู้ างวทิ ยาศาสตร์ 3) บางครัง้ ผู้ซ้ือไม่ยอมรับสีธรรมชาติจำเป็นต้องมีมาตรฐานให้ผู้ซื้อยอมรับได้เช่น มาตรฐาน ผลติ ภัณฑ์ชมุ ชน (มผช.) 4) ต้นทุนในการจัดหา/ซือ้ พืชบางชนิดท่ีใช้ในการย้อมสธี รรมชาติในบางพ้ืนทห่ี รอื บางฤดูกาล มีราคาสงู ส่งผลใหต้ ้นทนุ การผลิตสงู ไปด้วย 5) ในการย้อมสีธรรมชาติต้องใช้วัตถุดิบเป็นปริมาณมากในการสกัดน้ำสีย้อม ถ้าไม่มีวิธีการ และจิตสำนึกในการใชท้ รัพยากรธรรมชาติอย่างถกู ต้องยัง่ ยนื จะทำให้ต้นไมท้ ี่ใหส้ ถี ูกทำลาย

11 2.7 สตู รสารช่วยติดสี ในการทำ Eco print สารชว่ ยตดิ สี 1) สารส้ม (Alum) มี 3 ชนิด ได้แก่ Aluminium sulfate, Potassium aluminium sulfate, Ammonium aluminium sulfate เวลาเราซ้ือ ก็ ยาก ที่ จะ บ อ ก ว่าได้ชนิ ดไห น ม า แตโ่ ดยรวม ๆ แล้สามารถใช้ไดเ้ หมอื นกนั และปริมาณไมต่ า่ งกัน สารส้มจะให้โทนสีท่ีสว่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหลืองส้มทั้ง 3 ชนิดมีช่ือที่เหมือนกัน คือ Aluminiumซึ่ ง จ ะ เป็ น ตั ว ท่ี แ ท ร ก เข้ า ไป ใน เน้ื อ ผ้ า แ ล ะ ท ำ ใ ห้ ผ้ า มี แ ข น ที่ จ ะ จั บ กั บ สี จ า ก พื ช ได้ (เปรียบเทียบเพ่ือให้เห็นภาพง่ายค่ะ)ถ้าไมม่ ีสารช่วยติดสีในการย้อมผ้า เวลานำไปลา้ งน้ำสีจะหลุดออก เพราะผา้ ไม่มีแขนทจ่ี ะจบั กบั สี นี่คือหลกั การทำงานของสารช่วยติดสี สารส้มอย่างเดียวเหมาะแก่การย้อมผ้าหรือเส้นใย แต่ไม่เหมาะท่ีจะใช้เด่ียว ๆ ในกรณีที่ พมิ พ์ลายใบไมเ้ พราะลายจะไม่คม ยกเว้นใบสักท่ีอาจได้ลายคม เพราะสีของใบสักจะแรงกว่าพืชอื่น ๆ ดังนนั้ สตู รท่ีแจกให้จึงใช้สารหลายตวั ในการเตรยี มสารช่วยตดิ สีพมิ พล์ ายใบไม้ 1) สนมิ เหล็ก ซึง่ สนมิ เหลก็ จะทำหน้าที่เป็นสารชว่ ยตดิ สเี พราะมแี ขนทจี่ ะจับกบั สไี ด้ และยงั ทำหน้าที่เป็นตวั ปรับเปลี่ยนสี (Modifier) สนมิ เหล็กทีน่ ิยมใช้มี 2 แบบ คอื - แบบทีเ่ ปน็ ผงสเี ขียว ๆ เรยี กวา่ Ferrous sulfate มี 2 แขน - แบบทใี่ ชเ้ หล็กหรือตะปูที่เปน็ สนมิ ไปแช่น้ำ แลว้ เติมน้ำสม้ สายชูใหเ้ กดิ เป็นสนิมเร็ว ๆ เรียกว่าออกไซด์ของเหล็ก (Ferric oxide) มี 3 แขนแต่เหล็กท่ีมี 2 หรือ 3 แขนสามารถเปล่ียนไปมา ได้ด้วยสภาพแวดล้อมบางอย่าง ดังน้ันเวลาท่ีเราใช้สนิมเหล็กที่เตรียมเองจึงมีเหล็ก 2 ชนิดปนกัน ข้อเสียของน้ำสนิมท่ีเตรียมเอง คือ เราไม่ทราบค่าความเข้มข้น อาจมีโลหะตัวอื่นที่เป็นอันตราย ปนเปื้อน หรืออาจเป็นบาดทะยักได้ ถ้าเรามีแผล และท่ีสนิมท่ีเราเก็บมาแช่มีเชื้อบาดทะยักติดมา หลายคนอาจจะบอกว่าแตน่ ้ำสนมิ ท่ีเตรียมเองตดิ สีดีลายคม เพราะในการเติมน้ำส้มสายชูลงไปเจอกับ สนมิ เหล็ก เราได้สารช่วยติดสที ี่มชี ่ือว่า เหลก็ อะซิเตทมา ทำใหต้ ิดสีดแี ละลายคม แตท่ ำไมใช้ ๆ ไป ถึง ไม่ได้ผลเหมือนเดิม เพราะเวลาเราเอาน้ำสนิมออกมาใช้ในครั้งแรก ๆ แล้วเราเติมแต่น้ำ ไม่ได้เติม นำ้ สม้ สายชไู ปอีกจึงไม่มเี หล็กอะซเิ ตทเกิดขนึ้ อีก พมิ พ์ลายก็ได้สดี ำเลอะ ๆ ถา้ เราเข้าใจเรือ่ งหน้าท่ีของ สนมิ เราจะทำสีไดต้ ามทเ่ี ราตอ้ งการ สตู รสารช่วยตดิ สี สูตรที่ 1 สูตรด่ังเดิมสามารถแชผ่ ้าไดป้ ระมาณ 800 กรมั 1. แคลเซียมไฮดรอกไซด์ (ปนู ขาว) = 62 กรัม 2. สารสม้ = 131 กรมั 3. นำ้ ส้มสายชู 5% = 1 ลติ ร

12 วิธีเตรยี ม เทสารส้มที่ชงั่ ไว้ลงในน้ำส้มสายชู คนให้ละลายแลว้ เทปนู ขาวลงไปผสมให้ เขา้ กนั นำผ้าท่ีทำความสะอาดแล้วมาแช่อยา่ งน้อย 2 ชั่วโมง หรือเตรียมตอนเย็นแลว้ แช่ทิ้งไวข้ ้ามคืน จริง ๆ แล้วสารส้มก็มีหลากหลายชนิด มีใครท่ีเคยต้มสารส้มแล้วได้กลิ่นแอมโมเนีย ถ้าเคยได้กล่ินนั่น แสดงว่าเราซื้อสารส้มที่มีชื่อว่า แอมโมเนียมอะลัม (Ammonium Alum) การคำนวณก็ต้องแตกต่าง ไปจากน้ีอกี เม่ือทดลองสูตรแลว้ ต้องสังเกตสที ่ีได้ดว้ ยนะคะ เพราะปูนขาวมีหลายแบบหลายเกรด ช่ือ Calcium Hydroxide เหมอื นกัน คุณภาพต่างกนั ค่ะ สตู รสารช่วยตดิ สี สตู รท่ี 2 สตู รดั่งเดมิ เพ่มิ เตมิ ความสดใส สามารถแช่ผ้าได้ประมาณ 800 กรมั 1. แคลเซียมไฮดรอกไซด์ (ปนู ขาว) = 50 กรัม 2. สารส้ม = 131 กรัม 3. น้ำสม้ สายชู 5% 1 ลิตร = 1,000 มล. แนวคิดของวิธีเตรียมแบบที่ 2 เป็นการปรับวิธีเตรียมใหม่ ในกรณีที่ต้องการความสดใส สารละลายของสารช่วยติดสีจะต้องมีความเป็นกรด เนื่องจากน้ำส้มสายชูเหลือ และลายพิมพ์ใบไม้ สว่ นใหญไ่ ดเ้ ป็นสีเหลือง สตู รสารชว่ ยติดสี สูตรที่ 3 สูตรนำ้ ใสใจจริง 1. Baking Soda = 70 กรมั 2. น้ำส้มสายชู ๕% = 1,000 มล. 3. สารส้ม = 86 กรมั วธิ เี ตรยี ม นำสารส้มเติมในน้ำส้มสายชู คนให้ละลายประมาณ 80 % แล้วค่อยๆ เติม Baking Soda เพราะจะทำให้เกดิ ฟองล้นออกจากภาชนะ เมอ่ื ละลายสารเรียบร้อยแล้ว ให้นำผ้ามาแช่อยา่ งน้อย 2-3 ชวั่ โมง เวลาเอามาวางใบไม้ ผา้ จะต้องบิดให้หมาดจรงิ ๆ จะได้สีใบไมท้ ส่ี ดใส และไม่เลอะ 2.8 เทคนคิ การทำ Blanket (การห่มผา้ ) ผ้าห่ม หรือ Blanket เป็นเทคนิคการนำผ้าอีกผืนมาปิดทับบนใบไม้ ซ่ึงจะเป็นผ้าท่ีชุบน้ำสี จากธรรมชาติท่ีเราต้มไวโ้ ดยไม่ใสส่ ารช่วยติดสีใด ๆ สีทีเ่ ราชบุ มาจะถูกดูดซับไปท่ีผ้าผนื หลัก (ผ้าท่ีวาง ใบไม้) กลายเป็นสีพ้ืนของผ้า ส่วนตำแหน่งท่ีวางใบไม้ไว้ สีจะซึมผ่านไม่ได้ ก็จะกลายเป็นสีของใบไม้ เรยี กวา่ Dye Blanket หรืออกี วิธีหน่ึง คือ นำผ้าผืนหลักชุบน้ำสีธรรมชาติ วางใบไม้ แล้วห่มด้วยผ้าชุบน้ำสนิมโดยไม่ ชุบน้ำสี จะได้ลายพมิ พ์ท่ีมีเงารอบ ๆ ใบเน่ืองจากแทนนินในใบออกมาสัมผสั กับน้ำสนิมที่บรเิ วณขอบ ใบเรยี กว่า Iron Blanket

13 2.9 ข้อมลู ทางพฤกษศาสตร์ ภาพที่ 2.1 แสดงรปู ลักษณ์ลักษณะใบราชพฤกษ์ ชอ่ื วิทยาศาสตร์ Cassia fistula L. ชือ่ วงศ์ CAESALPINIACEAE ชือ่ สามญั Golden shower, Indian laburnum, Puddingpine tree ชื่ออน่ื ๆ กะเหร่ยี ง-แม่ฮ่องสอน ปโู ย, เปอโซ, ปอื ย,ู แมะหล่าหยู่ ภาคเหนอื ลมแล้ง ภาคกลาง, ภาคเหนอื คนู กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี กเุ พยะ ภาคกลาง ชัยพฤกษ์, ราชพฤกษ์ ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ไมต้ ้น สงู ประมาณ 5 - 15 เมตร เปลอื กต้นเรยี บ เกล้ยี ง สีเทาอ่อน หรอื สเี ทาอมน้ำตาล สเี ทาอม ขาว หรือสีนวล ใบ เป็นใบประกอบแบบขนนก ออกเรยี งสลบั ลักษณะใบย่อยรูปไข่ ปลายใบแหลม ขอบใบเรยี บ โคนใบมน แผน่ ใบเรยี บสเี ขยี วเปน็ มนั มีใบย่อยประมาณ 4 - 12 คู่ ดอก ออกดอกเป็นชอ่ แบบช่อกระจะ ลกั ษณะช่อห้อยระย้าออกตามกิง่ หรือออกตามซอกใบ ออกดอกแบบสมมาตรด้านข้าง มกี ลีบดอก 5 กลีบ ปลายมน สเี หลอื งสด โดยกลีบดอกบนสดุ จะเรียง อยู่รอบในสุด ดอกมกี ลน่ิ หอมอ่อนๆ ผล เปน็ ฝกั กลมทรงกระบอกยาว 30 - 60 เซนติเมตร ผิวเรียบ และมีเปลือกแขง็ ภายในมผี นงั แบนสนี ้ำตาล กนั้ เปน็ หอ้ งและมีเมลด็ ห้องละ 1 เมล็ด ผลอ่อนจะมีสีเขยี ว เมอื่ แก่จะเปน็ สนี ้ำตาลเขม้ หรือดำ

14 เมล็ด มเี นือ้ หมุ้ นิ่มๆ สีนำ้ ตาลไหม้ หรือสดี ำ ลักษณะกลมมนและแบน มรี สหวาน ประโยชน์ทางยา ใบ รสเมา โขลกพอกหรือคั้นเอาน้ำทารกั ษาโรคกลาก เกล้ือน แกไ้ ขร้ ูมาตกิ เปลอื ก ต้นรสฝาดเมา เปน็ ยาช่วยเรง่ การคลอด รักษาอาการทอ้ งรว่ ง กระพ้ี รสเมา แกร้ ำมะนาด ดอก รสเปรย้ี วขม รกั ษาโรคกระเพาะอาหาร เปน็ ยาถ่าย ตม้ ดื่มแก้ไข้ แกแ้ ผลเรอ้ื รัง เน้ือ ในฝกั รสหวานเอยี น ถ่ายเสมหะ และแกพ้ รรดกึ เปน็ ยาระบาย ช่วยบรรเทาอาการแน่นหน้าอก ฟอกหรอื ชำระน้ำดี แกล้ มเข้าข้อ และขดั ข้อ เปลอื ก ฝักรสเฝอ่ื นเมา ทำใหแ้ ท้งลกู ขบั รกทค่ี า้ ง และทำให้อาเจียน เมลด็ ช่วยกระตนุ้ ใหอ้ าเจยี น เปน็ ยาถ่าย เปลือกราก รสฝาด ต้มดื่มแก้ไข้มาลาเรีย และระบายพิษไข้ใช้ร่วมกับเนื้อในฝักเป็นยาแก้ไข้ มาลาเรยี และเปน็ ยาระบาย ราก รสเมา เป็นยาบำรุง รักษาโรคเกี่ยวกบั หัวใจ โรคเกยี่ วกบั ถุงนำ้ ดี เป็นยาถา่ ยอยา่ งแรง รักษาอาการไข้ ระบายพิษไข้ ถ่ายส่ิงโสโครกออกจากรา่ งกาย ฆ่าเชื้อคุดทะราด แก้กลากเกล้ือน แก้ อาการเซ่ืองซึมหนงั ศรี ษะ (โชตอิ นันต์ และคณะ, 2551) ภาพท่ี 2.2 แสดงรูปลกั ษณ์ลกั ษณะใบสัก ชื่อไทย สกั (Teak) ช่ือวิทยาศาสตร์ Tectona grandis L. f. วงศ์ LAMIACEAE

15 ลักษณะพฤกษศาสตร์ ลกั ษณะทั่วไป ไมต้ น้ ขนาดใหญ่ สงู 20 – 30 เมตร ผลดั ใบ เรอื นยอดเป็นทรงพมุ่ กลมค่อนขา้ งทบึ ลำต้นเปลา ตรง เปลือกนอกสเี ทา หรอื สีนำ้ ตาลออ่ นแกมเทา หนา เรียบหรอื แตกเป็นร่องเลก็ ๆ ตามความยาวของ ลำต้นเปลือกในสีเขียวออ่ น เนือ้ ไม้มีสีนำ้ ตาลทองถึงสนี ้ำตาลแก่ โคนต้นเปน็ พูพอนต่ำๆ กิง่ อ่อนเป็นรูป เหลี่ยม ลกั ษณะใบ ใบเดี่ยว เรยี งตรงขา้ มสลับต้งั ฉาก ใบรูปรกี วา้ ง หรือรูปไข่กลบั กว้างประมาณ 12 – 35 เซนติเมตร และยาวประมาณ 15 – 60 เซนติเมตร โคนใบสอบ ขอบใบเรียบ ปลายใบแหลมเป็นต่ิงส้ัน พื้นใบด้านบนและดา้ นลา่ งสาก ทอ้ งใบเป็นสเี ขียวและมีขนปกคลุม ลักษณะดอก ชอ่ แยกแขนงขนาดใหญ่ ออกท่ซี อกใบและปลายยอด ดอกยอ่ ยสีขาวนวล มีขนาดเลก็ กลีบดอก 6 กลีบ โคนกลีบดอกเชื่อมติดกันเปน็ หลอด มขี นทั้งดา้ นนอกและด้านใน เกสรเพศผู้ 5 – 6 อัน ยน่ื ยาวพ้นออกจากดอก ส่วนเกสรเพศเมียยาวเท่ากับเกสรเพศผู้ ดอกบานวันเดียวแล้วรว่ ง ลกั ษณะผล ผลแหง้ เป็นกระเปาะ รูปทรงกลมแปน้ มีขนาดเส้นผ่านศนู ยก์ ลางประมาณ 1 – 2 เซนตเิ มตร มี ช้ันของกลีบเลี้ยงสีเขยี ว ลกั ษณะพองลมและบางห้มุ อยู่ ในผลหนึ่งผลจะมเี มล็ดรปู ทรงไข่ อยู่ประมาณ 1 – 4 เมล็ด กวา้ งประมาณ 0.4 เซนติเมตร ยาวประมาณ 0.6 เซนตเิ มตร ระยะการออกดอกติดผล ออกดอกและตดิ ผลในชว่ งเดือนมิถุนายน – เดอื นตลุ าคม เขตการกระจายพันธ์ุ มถี ิ่นกำเนิดจำกดั อยู่เฉพาะแถบเอเชียตอนใต้พบข้ึนอยตู่ ามธรรมชาติในแถบประเทศอินเดยี พมา่ ไทย (เฉพาะภาคเหนือ) ลาว (เฉพาะที่อยู่ตดิ กบั ไทย) และบางจุดของอินโดนเี ซยี การใชป้ ระโยชน์ เนอื้ ไม:้ ทนทาน สวยงาม เหมาะกับการก่อสร้างบา้ นเรือน ต่อเรอื รถ แกะสลัก เคร่อื งมอื กสกิ รรม แมลงไม่ชอบกัดแทะ

16 ชื่อไทย ภาพที่ 2.3 แสดงรูปลกั ษณ์ลกั ษณะใบชงโค ชอ่ื ท้องถ่นิ ชงโค ชื่อสามัญ กะเฮอ สะเปซี เส้ียวดอกแดง เสี้ยวหวาน ช่ือวิทยาศาสตร์ Orchid tree/ Purple bauhinia ชอื่ วงศ์ Bauhinia purpurea L. FABACEAE ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ลักษณะทั่วไป ไมต้ ้นผลัดใบ เปลอื กชน้ั นอกสีน้ำตาลอ่อน ผวิ ขรขุ ระ เปลือกไม่หลุดออก ลกั ษณะใบ ใบเดีย่ วเรียงสลับ รูปร่างค่อนขา้ งกลม กว้าง 5-10 เซนติเมตร ยาว 5-15 เซนตเิ มตร โคนใบ เว้า ปลายใบเว้าลกึ เข้าประมาณครงึ่ หนง่ึ ของแผน่ ใบ กา้ นใบยาว 3-5 เซนติเมตร ผวิ ใบเรียบล่ืน มีไข นวล ปกคลุม ใบสเี ขยี วออ่ น เสน้ ใบนูนเดน่ ออกท่โี คนใบ 5-9 เส้น ขอบใบเรยี บ ลกั ษณะดอก ออกบรเิ วณซอกใบและปลายก่ิง ลักษณะเป็นช่อ มีดอกย่อย 6-10 ดอก ดอกตมู รูปขอบขนาน ปลายแหลมมีสนั กลบี เล้ยี ง 5 กลบี สีเขียวอ่อน ผวิ มีขนนมุ่ สีขาวปกคลุม กลีบเลย้ี งแยกออกเปน็ สองปาก กลีบดอก 5 กลีบ กลบี แยกกัน กลีบดอกกว้าง 1.6 เซนติเมตร ยาว 5 เซนตเิ มตร ดอกมีสีขาว ถึงสมี ่วงเขม้ ส่วนใหญ่ท่ีพบจะเป็นสแี ดง ดอกบานเสน้ ผา่ ศูนย์กลาง 6-10 เซนติเมตร เกสรเพศผู้ 10 อัน เปน็ เกสรทสี่ มบูรณ์ 3 อัน

17 ลักษณะผล เป็นฝกั แบน กว้าง 1.5-2.5 เซนติเมตร ยาว 10-25 เซนติเมตร ผวิ แข็งขรุขระ เมอ่ื แก่แหง้ แตกเปน็ 2 ซกี ระยะการออกดอกติดผล การตดิ ดอก กนั ยายน -พฤศจิกายน เขตการกระจายพนั ธ์ุ ปากสี ถาน อินเดีย สกิ ขมิ ประเทศศรลี ังกา พม่า เอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใต้ ประเทศจีน พบ ตามปา่ เบญจพรรณท่วั ทุกภาคของไทย โตช้า เจรญิ เติบโตได้ดใี นดนิ ทีร่ ะบายนำ้ ดี ความชื้นสงู แสงแดดจัด ปลูกริมทะเลได้ การใชป้ ระโยชน์ ใบ มรี สเฝื่อน ต้มกนิ รกั ษาอาการไอ ดอก มีรสเฝ่ือน เปน็ ยาระบายดับพิษไข้ ราก มีรสเฝ่ือน ต้มกนิ เป็นยาระบาย และระบายพิษไข้

18 บทท่ี 3 การดำเนนิ การและการศกึ ษา 3.1 เคร่ืองมอื และอปุ กรณ์ ขนาด 40x60 เซนติเมตร 3.1.1 ผา้ ฝ้าย 3.1.2 พลาสติกถงุ ร้อน ขนาด 40x60 เซนตเิ มตร 3.1.3 ไม้กลม/สายยาง 3.1.4 เชอื กปอ ยาว 50 เซนตเิ มตร 3.1.5 หม้อนง่ึ 3.1.6 เตาแกส๊ ยาว 200 เซนติเมตร 3.1.7 กะละมงั แช่ผา้ จำนวน 1 ชุด 3.2 วตั ถุดิบทใ่ี ช้ จำนวน 1 ชุด จำนวน 3 ใบ 3.2.1 นำ้ ปรมิ าณ 1000 มิลลลิ ติ ร 3.2.2 นำ้ ส้มสายชู ปรมิ าณ 1000 มลิ ลลิ ติ ร 3.2.3 สารส้ม ปริมาณ 90 กรัม 3.2.4 เบกก้ิงโซดา ปรมิ าณ 80 กรัม 3.2.5 นำ้ สนมิ ปริมาณ 1000 มลิ ลลิ ติ ร 3.2.6 ใบชงโค ปรมิ าณ 1000 กรมั 3.2.7 ใบราชพฤกษ์ ปรมิ าณ 1000 กรมั 3.2.8 ใบสัก ปริมาณ 1000 กรมั 3.2.9 ข้เี ถา้ ปรมิ าณ 1000 กรมั 3.2.10 ตน้ แก่นฝงั ปรมิ าณ 1000 กรมั 3.3 ขนั้ ตอนการปฏบิ ัติ แบ่งออกเปน็ 6 ขน้ั ตอน ดงั น้ี - ขนั้ ตอนท่ี 1 ขัน้ เตรียมผา้ ฝ้าย - ขน้ั ตอนที่ 2 ขั้นจดั เตรียมไม่ หรือสายยางเพือ่ นำมาม้วนผา้ - ขนั้ ตอนท่ี 3 จดั เตรยี มนำ้ : เพ่อื แชผ่ ้า - ขน้ั ตอนท่ี 4 ข้นั เตรยี มใบไม้ : ก่อนนำไปวางบนผืนผา้ - ข้นั ตอนที่ 5 ขนั้ ตอนการจดั เตรียมผา้ ในการน่งึ - ขั้นตอนที่ 6 ข้ันตอนการลา้ งผ้า ตาก และเกบ็ ข้นั ตอนท่ี 1 ขั้นเตรยี มผ้าฝ้าย 1) ตดั ผา้ ออกเป็นผืน ขนาด 30x40 เซนติเมตร

19 2) นำผ้าไปซักดว้ ยน้ำเปลา่ บีบใหม้ ัดแลว้ นำผา้ ไปตาก 3) นำผา้ ไปต้มดว้ ยนำ้ 1000 ml / ผา้ 1 ผนื ต้มดว้ ยนำ้ ทม่ี ี ส่วนผสมของสบเู่ หลว 100 ml. เติมสบู่เหลวเพ่อื ละลายแป้งในผา้ ตม้ ทิ้งไว้ 30 นาที ขน้ั ตอนท่ี 2 ข้ันจัดเตรียมไม่ หรือสายยางเพื่อนำมาม้วนผา้ 1) นำสายยางที่ไม่ใช้ แล้ว นำมาตัดออกเป็นท่อน ความยาว 50 เชนทิเมตร จำนวน 10 ท่อน เท่ากับผา้ ทจี่ ดั เตรยี ม 2) เตรียมเชือกปอหรือเชอื กฟางในการมดั ขน้ั ตอนท่ี 3 จดั เตรยี มนำ้ : เพอ่ื แชผ่ ้า 1) เตรียมน้ำส้มสายชู ปริมาณ 1000 ml. ต่อผ้า 4 เมตร 2) สารส้ม ปริมาณ 90 กรมั 3) เบกก้ิงโซดา ปรมิ าณ 80 กรมั 4) เตรียมน้ำข้เี ฒ่าท่ีกรองมาแล้ว 1000 ml. นำไปผสมกบั น้ำส้มสายชู ที่เตรยี มในขอ้ ท่ี 1) 5) นำต้นแก่นฝั่ง มาต้มด้วยน้ำ 1000 มิลลิลิตร ใส่เกลือ ปริมาณ 10 กรัม ต้มทิ้งไว้ 30 นาที แลว้ นำมากรอง ขั้นตอนที่ 4 ขนั้ เตรียมใบไม้ : กอ่ นนำไปวางบนผืนผา้ 1) นำใบราชพฤกษ์ ใบสัก และใบชงโค ล้างทำความสะอาดแล้วนำไปแช่ในน้ำสนิมที่ จัดเตรยี มไว้เปน็ เวลา 30 นาที ขน้ั ตอนท่ี 5 ข้นั ตอนการจดั เตรยี มผา้ ในการนง่ึ 1) นำผา้ ทแี่ ชน่ ำ้ ส้มสาชู บิดใหห้ มัด แลว้ นำไปตาก 2) นำถุงพลาสติกท่ีเตรียมไว้ มาวางบโต๊ะพร้อมนำผ้ามาวาง จากนั้นนำใบไม้มาวางเรียง ตามความชอบจนเตม็ ผนื ผา้ 3) จากน้ันนำผ้ามาวางประกบ แล้วนำสายยางมาวางอีกมุมเพ่ือการม้วน ม้วนเร่ือย ๆ จน สิ้นสุดขอบของผา้ แลว้ ทำการมดั ใหแ้ น่ 4) จากนั้นนำไปวางในหมอ้ น่ึง ทำการนงึ่ ทิง้ ไว้ 60 นาที ข้ันตอนท่ี 6 ขน้ั ตอนการล้างผา้ ตาก และเกบ็ 1) หลงั จากนีง่ เสรจ็ นำออกจากหม้อนึ่ง ทงิ้ ไว้ให้เย็นกอ่ นทำการแกะเชือกออก 2) หลังจากที่แกะเสร็จ เก็บเศษใบไม้ที่ผ่านการน่ึง ล้างผา้ ด้วยนำ้ สะอาด และแช่ด้วงยาปรับ ผ้าน่มุ 10 นาที 3) นำผา้ ไปตากใหแ้ หง้ นำไปจัดทำผลิตภณั ฑ์ต่าง ๆ ตามความสนใจ ขั้นสรุปและบนั ทึกผล

20 บทท่ี 4 ผลการศึกษา ตารางท่ี 4.1 ศึกษาสีท่ไี ด้จากการนำใบราชพฤกษ์ ใบสัก และใบชงโคท่ีแชไ่ ว้ในสารจบั สีทงั้ 3 ชนดิ ใบพืช นำ้ เกลอื สารชว่ ยตดิ สี แคลเซียมไฮดรอกไซด์ นำ้ สนิม Ca(OH) 2 (นำ้ ปนู ใส) ใบราชพฤกษ์ ใหส้ ีม่วงอ่อน ใหส้ ีม่วงเข้มแตไ่ มส่ ม่ำเสมอ สังเกตเหน็ สนี ้ำตาลออ่ น ๆ เห็น เส้นกลางใบของพชื เป็นสมี ว่ งเข้มกวา่ ลายเส้นไม่ชัดเจน แผ่นใบ ใบสัก ให้สนี ้ำตาลอ่อน ใหส้ ีน้ำตาลปนแดง สังเกตเห็นลายเสน้ สีน้ำตาลอ่อน ๆ สีไม่ ของใบได้ชดั เจน และเสน้ กลางใบ สม่ำเสมอกนั สงั เกตเห็นได้ชัดเจนเปน็ สีมว่ งเข้ม ใบชงโค สเี หลืองออ่ นปน ให้สีเหลืองและสังเกตเห็นลายเส้นของ ให้สีเหลืองอ่อนมาก ๆ น้ำตาล ใบชดั เจน จนบางมุมมองเห็นไม่ ชดั เจน จากตารางผลการทดลองพบว่า สที ีไ่ ดจ้ ากใบราชพฤกษ์ เมื่อใช้สารจับสีที่เป็นน้ำสนิม ให้สีม่วงเขม้ แต่ไม่สม่ำเสมอ สังเกตเห็นเส้นกลางใบของพืชเป็น สีม่วงเขม้ ชัดเจนกวา่ แผน่ ใบที่ใช้ น้ำเกลือ และน้ำปนู ใส ตามลำดับ สีที่ได้จากใบสกั เม่ือใช้สารจับสีท่ีเป็นน้ำสนิม ให้สีน้ำตาลปนแดง สังเกตเห็นลายเส้นของแผ่นใบได้ชัดเจน และเสน้ กลางใบเป็นสีมว่ งเขม้ ชดั เจนกวา่ ที่ใช้น้ำเกลือ และนำ้ ปูนใส ตามลำดบั สีทไ่ี ด้จากใบชงโค เมอื่ ใช้สารจับสที ่ีเป็นน้ำสนมิ ใหส้ ีเหลืองและสังเกตเหน็ ลายเสน้ ของใบชัดเจนกวา่ ท่ีใชน้ ้ำเกลือ และนำ้ ปูนใส ตามลำดบั

21 ภาพที่ 4.1 ผลการทดสอบความพึงพอใจ จากใบราชพฤกษ์ ใบสักและใบชงโค โดยใชส้ ารชว่ ยติดสี 3 ประเภท

22 บทท่ี 5 สรปุ และอภปิ รายผลการทดลอง 5.1 สรปุ ผลการทดลอง จากการทดลองการยอ้ มผ้าด้วยโครงงานมิตรส่งิ แวดล้อมด้วยรูปแบบ Ecoprint จากใบไม้ 3 ชนิด โดย ใช้สารช่วยสีติด 3 ประเภท พบว่า สีที่ได้จากใบราชพฤกษ์ ใช้น้ำสนิมเป็นสารช่วยสีติด อยู่ในระดับ ความพึงพอใจ มากท่ีสุด คิดเป็นร้อยละ 83.33 รองลงมาใช้ น้ำเกลือเป็นสารช่วยสีติด อยู่ในระดับ ความพึงพอใจ คิดเป็นร้อยละ 16.66 สีที่ได้จากใบสักใช้นำ้ สนิมเป็นสารช่วยสีติด อยู่ในระดับความพึง พอใจ มากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 96.67 รองลงมาใช้น้ำเกลือเป็นสารช่วยสีติด อยู่ในระดับความ พึงพอใจ คิดเป็นร้อยละ 6.66 สีท่ีได้จากใบชงโค ใช้น้ำสนิมเป็นสารช่วยติดสี อยู่ในระดับความพึง พอใจ มากท่ีสุด คิดเป็นร้อยละ 70.00 รองลงมา ใช่น้ำเกลือ เป็นสารช่วยสีติด อยู่ในระดับความพึง พอใจ คดิ เปน็ รอ้ ยละ 20.00 5.2 อภิปรายผลการทดลอง จากการทดลองการย้อมผ้าด้วยโครงงานมิตรสิ่งแวดล้อมด้วยรูปแบบ Ecoprint จากใบไม้ 3 ชนิด โดยใช้ สารช่วยสีตดิ 3 ประเภท พบว่า สีที่ได้จากใบราชพฤกษ์ ใชน้ ้ำเกลือเป็นสารชว่ ยสีตดิ อยู่ในระดับความ พงึ พอใจ มากท่ีสุด เน่อื งจากได้สีให้สีมว่ งอ่อน รองลงมาใช้น้ำสนิมเปน็ สารช่วยสตี ิด อยู่ในระดบั ความ พงึ พอใจ เนื่องจากใหส้ มี ่วงเขม้ แต่ไม่สมำ่ เสมอ สังเกตเห็นเสน้ กลางใบของพืชเป็นสีมว่ งเข้มกว่าแผ่นใบ สีที่ได้จากใบสักใช้น้ำสนิมเป็นสารช่วยสตี ิด อยู่ในระดับความพึงพอใจ มากที่สุด เนื่องจากให้สีน้ำตาล ปนแดง สังเกตเห็นลายเส้นของใบได้ชัดเจนและเส้นกลางใบสังเกตเห็นได้ชัดเจนเป็นสีม่วงเข้ม รองลงมาใช้น้ำปูนใสเป็นสารช่วยสีติด อยู่ในระดับความพึงพอใจ เนื่องจากให้สีน้ำตาลอ่อน ๆ ไม่สม่ำเสมอกัน สีท่ีได้จากใบชงโค ใช้น้ำเป็นสารช่วยสีติด อยู่ในระดับความพึงพอใจ มากท่ีสุด เน่ืองจากให้สีเหลืองและสังเกตเห็นลายเส้นของใบชัดเจน รองลงมา ใช่น้ำปูนใส เป็นสารช่วยสีติด อยู่ในระดับความพึงพอใจ เนื่องจากให้สีเหลืองอ่อนมาก ๆ จนบางมุมมองเห็นไม่ชัดเจนผู้จัดทำ โครงงานจะได้มีการศึกษาเพิ่มเติมในสารช่วยสตี ิดชนิดอ่นื ๆ ใหไ้ ดส้ ที ห่ี ลากหลาย 5.3 ขอ้ เสนอแนะ 1. ศกึ ษาสารชว่ ยจับสชี นิดอ่ืน ท่ีทำให้ได้สีย้อมสีสันสวยงามและหลักหลาย 2. นำสตู รทใี่ ช้ในการย้อมผ้าไปประยุกต์ใชใ้ นชีวิตประจำวันเพ่ือสร้างรายได้

23 บรรณานุกรม โชตอิ นันต์ และคณะ. สมุนไพรไทย สำหรับงานสาธารณสุขมลู ฐาน. หนา้ 114. 2551. https://pharmacy.su.ac.th สมาคมพฒั นาคุณภาพสิ่งแวดล้อม. ฐานขอ้ มูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์. https://adeq.or.th

24 ภาคผนวก ภาคผนวก ก ภาพกจิ กรรม ภาคผนวก ข ผลงานนักเรยี น ภาคผนวก ค แบบทดสอบความพงึ พอใจ

25 ภาคผนวก (ก) ภาพกจิ กรรม ภาพแสดงการปฏิบตั ิโครงงาน มิตรสิ่งแวดลอ้ มดว้ ยรปู แบบ Ecoprint 1. วสั ดุ อปุ กรณ์ และวัตถุดิบ เบกกง้ิ โซดา เชอื่ ก เกลือ น้ำส้มสาชู เตาแกส๊ ถงุ มอื หม้อนงึ่ และใบไมต้ า่ ง ๆ ใบราชพฤกษ์ ใบสกั ผ้าฝา้ ย ใบชงโค

26 2. ข้นั ตอนการทำโครงงาน มิตรสิ่งแวดล้อมดว้ ยรูปแบบ Ecoprint โรงเรยี นราชประชานุเคราะห์ 22 ขน้ั การเตรยี มผา้ ฝ้ายแชน่ ้ำส้มสายชแู ละผงฟู ข้ันการเตรียมผ้าฝา้ ยกอ่ นการจัดวางใบไม้ ขน้ั การจัดวางใบไม้ท่แี ชน่ ้ำสนิม น้ำเกลอื และนำ้ ปนู ใส จัดวางตามความชอบ ขนั้ การนึ่งผ้าหลงั จากจัดวางใบไมแ้ ล้ว ขัน้ การซกั ผ้าหลงั จากผา่ นกระบวนการนง่ึ

27 ภาคผนวก (ข) ผลงานนักเรยี น ผลติ ภัณฑ์ท่ไี ด้จาก โครงงาน มติ รสิ่งแวดลอ้ มด้วยรูปแบบ Ecoprint โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 22

28 ภาคผนวก (ก) แบบทดสอบความพึงพอใจ แบบทดสอบความพงึ พอใจ จากใบราชพฤกษ์ ใบสกั และใบชงโค โดยใช้สารช่วยติดสี 3 ประเภท สจี ากใบไม้ นำ้ เกลือ สารช่วยติดสี นำ้ ปูนใส ระดับความพึงพอใจ น้ำสนิม ระดบั ความพงึ พอใจ 1. ใบราชพฤกษ์ 12 3 ระดบั ความพงึ พอใจ 123 2. ใบสัก 123 3. ใบชงโค ข้อเสนอแนะ ............................................................................................................................. .......................... .................................................................................................................................. ..................... .............................................................................................................. ......................................... .................................................................................................................................. ..................... .............................................................................................................. ......................................... เกณฑก์ ารประเมนิ ระดบั ความพงึ พอใจ จากใบราชพฤกษ์ ใบสักและใบชงโค โดยใช้สารชว่ ยติดสี 3 ประเภท ระดบั คะแนน ระดบั ความพงึ พอใจ 1 ตดิ สี พอเห็นได้ 2 ตดิ สี เห็นได้ชดั เจนปานกลาง 3 ตดิ สี เห็นไดช้ ัดเจนมากทสี่ ดุ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook