Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ชื่นชนก พันธ์พิทย์แพทย์

ชื่นชนก พันธ์พิทย์แพทย์

Published by vivoy5509042560, 2020-07-30 03:57:13

Description: ชื่นชนก พันธ์พิทย์แพทย์

Search

Read the Text Version

หนงั สอื อเิ ลก็ ทรอนิกส์ เรื่อง. ลกั ษณะประชาธิปไตยในพระพทุ ธศาสนา 1.หลกั การทางพระพทุ ธศาสนากบั วทิ ยาศาสตร์ 2.การคดิ ตามนยั แหง่ พระพทุ ธศาสนาและการคิดแบบวิทยาศาสตร์ 3.พระพทุ ธศาสนาเป็นศาสตร์แหง่ การศกึ ษา 4.พระศาสนาเน้นความสมั พนั ธ์ของเหตปุ ัจจยั และวธิ ีการแก้ปัญหา จดั ทาโดย. นางสาว ชื่นชนก. พนั ธ์พุ ทิ ย์แพทย์ ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ 4/3 เลขที่ 3 โรงเรียนเซนต์โยเซฟศรีเพชรบรู ณ์ 1. ลกั ษณะประชาธิปไตยในพระพทุ ธศาสนา

พระพทุ ธศาสนาเป็นศาสนาประชาธิปไตยมาต้งั แตเ่ ร่ิมแรก ก่อนท่ีพระพทุ ธเจา้ จะทรงมอบใหพ้ ระสงฆเ์ ป็นใหญใ่ นกิจการท้งั ปวงเสียอีกลกั ษณะท่ีเป็นประชาธิปไตยในพระพุทธศาสนามีตวั อยา่ งดงั ตอ่ ไปน้ี 1. พระพทุ ธศาสนามพี ระธรรมวินยั เป็นธรรมนูญหรือกฎหมายสูงสุด พระธรรม คือ คาสอนท่พี ระพทุ ธเจา้ ทรงแสดง พระวนิ ยั คือ คาสัง่ อนั เป็นขอ้ ปฏิบตั ิที่พระพุทธเจา้ ทรงบญั ญตั ิข้ึนเม่ือรวมกนั เรียกวา่ พระธรรมวนิ ยั ซ่ึงมีความสาคญั ขนาดท่ีพระพทุ ธเจา้ ทรงมอบใหเ้ ป็นพระศาสดาแทนพระองค์ ก่อนท่ีพระองคจ์ ะปรินิพพานเพยี งเลก็ นอ้ ย 2. มีการกาหนดลกั ษณะของศาสนาไวเ้ รียบร้อย ไม่ปลอ่ ยใหเ้ ป็นไปตามยถากรรม ลกั ษณะของพระพุทธศาสนาคือสายกลาง ไมซ่ า้ ยสุด ไม่ขวาสุด ทางสายกลางน้ีเป็นครรลอง อาจปฏิบตั ิคอ่ นขา้ งเคร่งครัดกไ็ ด้ โดยใชส้ ิทธิในการแสวงหาอดิเรกลาภตามที่ทรงอนุญาตไว้ ในสมยั ตอ่ มา เรียกแนวกลางๆ ของพระพทุ ธศาสนาวา่ วิภชั ชวาที คือศาสนาท่ีกลา่ วจาแนกแจกแจง ตามความเป็นจริงบางอยา่ งกลา่ วยนื ยนั โดยส่วนเดียวได้ บางอยา่ งกลา่ วจาแนกแจกแจงเป็นกรณี ๆ ไป 3. พระพทุ ธศาสนา มีความเสมอภาคภายใตพ้ ระธรรมวนิ ยั บคุ คลท่ีเป็นวรรณะกษตั ริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศทู รมาแต่เดิม รวมท้งั คนวรรณะต่ากวา่ น้นั เช่นพวกจณั ฑาล พวกปุกกสุ ะคนเกบ็ ขยะ และพวกทาส เมื่อเขา้ มาอุปสมบทในพระพทุ ธศาสนาอยา่ งถกู ตอ้ งแลว้ มีความเทา่ เทียมกนั คือปฏิบตั ิตามสิกขาบทเทา่ กนั

และเคารพกนั ตามลาดบั อาวโุ ส คือผอู้ ุปสมบทภายหลงั เคารพผอู้ ุปสมบทก่อน 4. พระภิกษุในพระพทุ ธศาสนา มีสิทธิ เสรีภาพภายใตพ้ ระธรรมวินยั เช่นในฐานะภิกษุเจา้ ถ่ิน จะมีสิทธิไดร้ ับของแจกก่อนภิกษอุ าคนั ตุกะ ภิกษทุ ่ีจาพรรษาอยดู่ ว้ ยกนั มีสิทธิไดร้ ับของแจกตามลาดบั พรรษา มีสิทธิรับกฐิน และไดร้ ับอานิสงส์กฐินในการแสวงหาจีวรตลอด 4 เดือนฤดูหนาวเทา่ เทียมกนั นอกจากน้นั ยงั มีเสรีภาพที่จะเดินทางไปไหนมาไหนได้ จะอยจู่ าพรรษาวดั ใดกไ็ ดเ้ ลือกปฏิบตั ิกรรมฐานขอ้ ใด ถือธุดงคว์ ตั รขอ้ ใดกไ็ ดท้ ้งั สิ้น 5. มีการแบง่ อานาจ พระเถระผใู้ หญท่ าหนา้ ที่บริหารปกครองหมคู่ ณะ การบญั ญตั ิพระวินยั พระพุทธเจา้ ทรงบญั ญตั ิเอง เช่นมีภิกษุผทู้ าผิดมาสอบสวนแลว้ จึงทรงบญั ญตั ิพระวินยั ส่วนการตดั สินคดีตามพระวนิ ยั ทรงบญั ญตั ิแลว้ เป็นหนา้ ท่ีของพระวนิ ยั ธรรมซ่ึง เท่ากบั ศาล 6. พระพทุ ธศาสนามีหลกั เสียงขา้ งมาก คือ ใชเ้ สียงขา้ งมาก เป็นเกณฑต์ ดั สิน เรียกวา่ วิธีเยภยุ ยสิกา การตดั สินโดยใชเ้ สียงขา้ งมาก ฝ่ ายใดไดร้ ับเสียงขา้ งมากสนบั สนุน ฝ่ายน้นั เป็นฝ่ ายชนะคดี

2หลักการพระพทุ ธศาสนากบั หลกั การวทิ ยาศาสต หลกั การพระพทุ ธศาสนากบั หลกั การวทิ ยาศาสตร์ หลกั การของพระพทุ ธศาสนากบั หลกั การของวทิ ยาศาสตร์มีท้งั ส่วนที่สอดคล้ อง และส่วนท่ีแตกต่างกนั ดงั ตอ่ ไปน้ี ความสอดคลอ้ งกนั ของหลกั การของพระพทุ ธศาสนากบั หลกั การวิทยาศาสตร์ 1. ในดา้ นความเช่ือ (Confidence) หลกั การวิทยาศาสตร์ ถือหลกั วา่ จะเช่ืออะไรน้นั จะตอ้ งมีการพิสูจน์ใหเ้ ห็นจริงไดเ้ สียก่อน วิทยาศาสตร์เช่ือในเหตุผล ไมเ่ ชื่ออะไรลอย ๆ และตอ้ งมีหลกั ฐานมายนื ยนั วิทยาศาสตร์ไม่อาศยั ศรัทธาแต่อาศยั เหตุผล เช่ือการทดลองวา่ ให้ความจริงแก่เราได้ แต่ไมเ่ ชื่อการดลบนั ดาลของส่ิงศกั ด์ิสิทธ์ิ เพราะทุกอยา่ งดาเนินอยา่ งมีกฎเกณฑ์ มีเหตุผล

และวิทยาศาสตร์อาศยั ปัญญาและเหตผุ ลเป็นตวั ตดั สินความจริง วิทยาศาสตร์มีความเชื่อวา่ สรรพสิ่งในจกั รวาลลว้ นดาเนินไปอยา่ งมีเหตผุ ล มีความเป็นระเบียบและมีกฎเกณฑท์ ี่แน่นอน หลกั การทางพระพุทธศาสนา มีหลกั ความเชื่อเช่นเดียวกบั หลกั วิทยาศาสตร์ ไมไ่ ดส้ อนใหม้ นุษยเ์ ช่ือและศรัทธาอยา่ งงมงายในอิทธิปาฏิหาริย์ และอาเทศนาปาฏิหาริย์ แต่สอนให้ศรัทธาในอนุสาสนีปาฏิหาริย์ ท่ีจะก่อใหเ้ กิดปัญญาในการแกท้ ุกขแ์ กป้ ัญหาชีวิต ไมส่ อนใหเ้ ชื่อให้ศรัทธาในสิ่งที่อยนู่ อกเหนือประสาทสัมผสั เช่นเดียวกบั วทิ ยา ศาสตร์ สอนใหม้ นุษยน์ าเอาหลกั ศรัทธาโยงไปหาการพสิ ูจน์ดว้ ยประสบการณ์ ดว้ ยปัญญา และดว้ ยการปฏิบตั ิ ดงั หลกั ของความเชื่อใน “กาลามสูตร” คืออยา่ เช่ือ เพียงเพราะใหฟ้ ังตามกนั มา อยา่ เช่ือ เพียงเพราะไดเ้ รียนตามกนั มา 1.อยา่ เชื่อ เพียงเพราะไดถ้ ือปฏิบตั ิสืบต่อกนั มา 2.อยา่ เช่ือ เพียงเพราะเสียงเล่าลือ 3.อยา่ เช่ือ เพียงเพราะอา้ งตารา 4อยา่ เชื่อ เพียงเพราะตรรกะ หรือนึกคิดเอาเอง 5.อยา่ เช่ือ เพียงเพราะอนุมานหรือคาดคะเนเอา 6.อยา่ เช่ือ เพียงเพราะคิดตรองตามแนวเหตุผล 7. .อยา่ เชื่อ เพยี งเพราะตรงกบั ทฤษฎีของตนหรือ6.6ความเห็นของตน 8..อยา่ เชื่อ เพียงเพราะรูปลกั ษณะน่าเช่ือ 9.อยา่ เชื่อ เพยี งเพราะท่านเป็นสมณะหรือเป็นครูอาจารยข์ องเรา

ในหลกั กาลามสูตรน้ี พระพทุ ธเจา้ ยงั ตรัสตอ่ ไปวา่ จะตอ้ งรู้เขา้ ใจดว้ ยวา่ สิ่งเหลา่ น้ีเป็นกุศล หรืออกศุ ล ถา้ รู้วา่ เป็นอกุศล มีโทษ ไม่เป็นประโยชน์ ทาใหเ้ กิดทุกข์ พึงละเสีย ถา้ รู้วา่ เป็นกศุ ล มีคุณ เป็นประโยชน์ เป็นไปเพือ่ ความสุข กใ็ ห้ถือปฏิบตั ิ นนั่ คือศรัทธาหรือความเชื่อที่ก่อใหเ้ กิดปัญญา 2. ในดา้ นความรู้ (Wisdom) ท้งั หลกั การทางวทิ ยาศาสตร์และหลกั การของพระพุทธศาสนา ยอมรับความรู้ที่ไดจ้ ากประสบการณ์ หมายถึง การท่ีตา หู จมูก ลิ้น กาย ไดป้ ระสบกบั ความรู้สึกนึกคิด เช่น รู้สึกดีใจ รู้สึกอยากได้ เป็นตน้ วทิ ยาศาสตร์เริ่มตน้ จากประสบการณ์คือ จากการที่ไดพ้ บเห็นสิ่งต่าง ๆ แลว้ เกิดความอยากรู้อยากเห็นกแ็ สวงหาคาอธิบาย วทิ ยาศาสตร์ไม่เช่ือหรือยดึ ถืออะไรลว่ งหนา้ อยา่ งตายตวั แตจ่ ะอาศยั การทดสอบดว้ ยประสบการณ์สืบสาวไปเรื่อย ๆ จะไมอ่ า้ งอิงถึงสิ่งศกั ด์ิสิทธ์ิใด ๆ ท่ีอยนู่ อกเหนือประสบการณ์และการทดลอง วทิ ยาศาสตร์แสวงหาความจริงสากล (Truth) ไดจ้ ากฐานที่เป็นความจริงเฉพาะองคค์ วามรู้ในทางวิทยาศาสตร์ไดจ้ ากประสบ การณ์ ความรู้ใดท่ีอยนู่ อกขอบเขตของประสบการณ์ไมถ่ ือวา่ เป็นความรู้ทางวทิ ยาศา สตร์พระพุทธเจา้ ก็ทรงเร่ิมคิดจากประสบการณ์คือ ประสบการณ์ที่ไดเ้ ห็นความเจบ็ ความแก่ ความตาย และที่สาคญั ท่ีสุดคือความทุกข์

พระองคม์ ีพระประสงคท์ ี่จะคน้ หาสาเหตุของทุกขใ์ นการคน้ หาน้ี พระองคม์ ิไดเ้ ช่ืออะไรลว่ งหนา้ อยา่ งตายตวั ไม่ทรงเชื่อวา่ มีพระผูเ้ ป็นเจา้ หรือส่ิงศกั ด์ิสิทธ์ิใด ๆ ท่ีจะใหค้ าตอบไดแ้ ต่ไดท้ รงทดลองโดยอาศยั ประสบการณ์ของพระองคเ์ องดงั เ ป็นท่ีทราบกนั ดีอยแู่ ลว้ หลกั การพระพทุ ธศาสนาและหลกั การทางวทิ ยาศาสตร์มีส่วนท่ีต่างกนั ในเรื่อง น้ีคือ วทิ ยาศาสตร์เนน้ ความสนใจกบั ปัญหาท่ีเกิดข้ึนจากประสบการณ์ดา้ นประสาท สมั ผสั (ตา หู จมูก ลิ้น กาย) ส่วนพระพุทธศาสนาเนน้ ความสนใจกบั ปัญหาท่ีเกิดทางจิตใจ หลกั การทางพระพุทธศาสนามีส่วนคลา้ ยคลึงกบั หลกั การทางวิทยาศาสตร์ใน หลายประการ เช่น ในขณะที่มีนกั วิทยาศาสตร์กลุ่มหน่ึงมุง่ แสวงหาความจริงของธรรมชาติท่ีเรียก วา่ วทิ ยาศาสตร์บริสุทธ์ิ (Pure Science) และมีนกั วิทยาศาสตร์อีกกลุ่มหน่ึงมุ่งแสวงหาความรู้ท่ีจะนามาก่อใหเ้ กิดประโ ยชนต์ ่อมนุษยท์ ่ีเรียกวา่ วิทยาศาสตร์ประยกุ ต์ (Applied Science)

3. การคดิ ตามนยั แหง่ พระพทุ ธศาสนากบั กา รคดิ แบบวทิ ยาศาสตร์ การคิดตามนยั แห่งพระพุทธศาสนา การคิดตามนยั แห่งพระพทุ ธศาสนา เป็นการศึกษาถึงวธิ ีการแกป้ ัญหาตามแนวพระพทุ ธศาสนา ท่ีเรียกวา่ วธิ ีการแกป้ ัญหาแบบอริยสัจ มีดงั น้ี คือ 1. ข้นั กาหนดรู้ทกุ ข์ การกาหนดรู้ทุกขห์ รือการกาหนดปัญหาวา่ คืออะไร มีขอบเขตของปัญหาแค่ไหน หนา้ ที่ที่ควรทาในข้นั แรกคือใหเ้ ผชิญหนา้ กบั ปัญหา แลว้ กาหนดรู้สภาพและขอบเขตของปัญหาน้นั ใหไ้ ด้ ขอ้ สาคญั คือ อยา่ หลบปัญหาหรือคิดวา่ ปัญหาจะหมดไปเองโดยที่เราไมต่ อ้ งทาอะไร หนา้ ท่ีในข้นั น้ีเหมือนกบั การที่หมอตรวจอาการของคนไขเ้ พือ่ ใหร้ ู้วา่ เป็นโรคอะไร ที่ส่วนไหนของร่างกาย ลุกลามไปมากนอ้ ยเพยี งใด ในธมั มจกั กปั ปวตั ตนสูตร มีตวั อยา่ งการกาหนดรู้ทุกขต์ ามแนวทางของพุทธพจน์ที่วา่ “เกิดเป็นทกุ ข์ แก่เป็นทกุ ข์ ตายเป็นทกุ ข…์ ปรารถนาส่ิงใดไมไ่ ดส้ ่ิงน้นั เป็นทุกข”์ 2. ข้นั สืบสาวสมทุ ยั ไดแ้ ก่เหตุของทุกขห์ รือสาเหตุของปัญหา แลว้ กาจดั ใหห้ มดไป ข้นั น้ีเหมือนกบั หมอวินิจฉยั สมฏุ ฐานของโรคก่อนลงมือรักษา

ตวั อยา่ งสาเหตุของปัญหาที่พระพุทธเจา้ แสดงไวค้ ือ ตณั หา ไดแ้ ก่ กามตณั หา ภวตณั หา และวภิ วตณั หา 3. ข้นั นิโรธ ไดแ้ ก่ความดบั ทกุ ข์ หรือสภาพที่ไร้ปัญหา ซ่ึงทาใหส้ าเร็จเป็นจริงข้ึนมา ในข้นั น้ีตอ้ งต้งั สมมติฐานวา่ สภาพไร้ปัญหาน้นั คืออะไร เขา้ ถึงไดห้ รือไม่ โดยวิธีใด เหมือกบั การท่ีหมอตอ้ งคาดวา่ โรคน้ีรักษาใหห้ ายขาดไดห้ รือไม่ ใชเ้ วลารักษานานเท่าไร ตวั อยา่ งเช่น นิพพาน คือการดบั ทุกขท์ ้งั ปวงเป็นส่ิงที่เราสามารถบรรลุถึงไดใ้ นชาติน้ีดว้ ยการเจริญสติพฒั นาปัญญาเพื่ อตดั อวชิ ชา และดบั ตณั หา 4. ข้นั เจริญมรรค ไดแ้ ก่ ทางดบั ทกุ ข์ หรือวธิ ีแกป้ ัญหา ซ่ึงเรามีหนา้ ท่ีลงมือทา เหมือนกบั ท่ีหมอลงมือรักษาคนไขด้ ว้ ยวิธีการและข้นั ตอนที่เหมาะควรแก่การรักษาโรคน้นั ข้นั น้ีอาจแบ่งออกเป็น 3 ข้นั ยอ่ ยคือ 4.1 มรรคข้นั ที่ 1 เป็นการแสวงหาและทดลองใชว้ ธิ ีการต่าง ๆ เพ่ือคน้ หาวิธีการที่เหมาะสมท่ีสุด เช่น พระพทุ ธเจา้ ในช่วงท่ีเป็นคฤหสั ถเ์ คยใชช้ ีวติ แบบบารุงบาเรอตน หมกมนุ่ ในโลกียส์ ุข แต่ก็ทรงรู้สึกเบื่อหน่าย จึงออกผนวชแลว้ ไปบาเพญ็ โยคะบรรลสุ มาธิข้นั สูงสุดจากสานกั ของอาฬารดาบสและอุทกดาบ ส แมใ้ นข้นั น้ีพระองคย์ งั รู้สึกวา่ ไมบ่ รรลุความพน้ ทุกขจ์ ึงทดลองฝึกการทรมานตนดว้ ยวธิ ีการต่าง ๆ เช่น การอดอาหาร เป็นตน้ 4.2 มรรคข้นั ท่ี 2 เป็นการวเิ คราะหผ์ ลการสงั เกตและทดลองที่ไดป้ ฏิบตั ิมาแลว้ เลือกเฉพาะวธิ ีการท่ีเหมาะสมที่สุด ดงั กรณีท่ีพระพุทธเจา้ ทรงพจิ ารณาเห็นวา่ กามสุขลั ลิกานุโยค (การบาเรอตนดว้ ยกาม) และอตั ตกิลมถานุโยค (การทรมานตนเอง) ท่ีไดท้ ดลองมาแลว้ ไมใ่ ช่วธิ ีการที่ถูกตอ้ ง เพราะเป็ นเรื่องสุดโต่งเกินไป ท้งั การบาเพญ็ โยคะก็ทาใหไ้ ดเ้ พียงสมาธิ ยงั ไมไ่ ดป้ ัญญาเคร่ืองดบั ทุกข์ ดงั น้นั วธิ ีการแห่งปัญญาจะสามารถช่วยใหพ้ น้ ทุกขไ์ ด้

4.3 มรรคข้นั ที่ 3 เป็นการสรุปผลของการสังเกตและทดลอง เพอื่ ใหไ้ ดค้ วามจริงเกี่ยวกบั เรื่องน้นั ดงั กรณีท่ีพระพุทธเจา้ ไดข้ อ้ สรุปวา่ ทางสายกลางท่ีไม่ตึงเกินไปหรือไม่หยอ่ นเกิน เป็นทางดบั ทุกข์ ทางน้ีเป็ นวถิ ีแห่งปัญญาท่ีเร่ิมตน้ ดว้ ยสัมมาทิฏฐิ (ความเห็นชอบ) สรุปกค็ ือมรรคมีองค์ 8 นน่ั เองแนวคิดแบบวทิ ยาศาสตร์ แนวคิดแบบวทิ ยาศาสตร์ เรียกอีกอยา่ งหน่ึงวา่ วิธีการทางวทิ ยาศาสตร์ มีข้นั ตอนดงั น้ี (พระราชวรมุนี. 2540 : 40-43) 1. การกาหนดปัญหาใหถ้ กู ตอ้ ง ในข้นั น้ีนกั วิทยาศาสตร์กาหนดขอบเขตของปัญหาใหช้ ดั เจนวา่ ปัญหาอยตู่ รงไหน ปัญหาน้นั น่าจะมีสาเหตุมาจากอะไร ตวั อยา่ งเช่น การคน้ พบดาวเนปจูนเมื่อ พ.ศ. 2386-2389 เร่ิมจากการที่นกั ดาราศาสตร์กาหนดปัญหาวา่ ทาไมดาวยเู รนสั ซ่ึงพวกเขาเขา้ ใจวา่ เป็นดาวเคราะห์ดวงที่อยไู่ กลที่สุดจากดวงอาทิตยจ์ ึงมีวถิ ีโคจ รไมเ่ ป็นไปสม่าเสมอตามกฎแรงโนม้ ถว่ งนกั ดาราศาสตร์กลมุ่ หน่ึง สรุปวา่ กฎแรงโนม้ ถว่ งคงใชไ้ ม่ไดก้ บั ส่ิงท่ีอยไู่ กลดวงอาทิตยม์ าก ๆ อยา่ งดาวยเู รนสั แตน่ กั ดาราศาสตร์อีกกลุ่มหน่ึงสนั นิษฐานวา่ สาเหตทุ ี่วิถีโคจรของดาวยเู รนสั น่าจะมาจากการท่ีมีแรงโนม้ ถ่วงจากดาวเคราะหท์ ่ียงั คน้ ไม่พบมากระทาการ นกั ดาราศาสตร์กลุ่มน้ีจึงเร่ิมศึกษาหาตาแหน่งของดาวลึกลบั ดวงน้นั และคน้ พบดาวเนปจูนในเว ลาต่อมา 2. การต้งั สมมติฐาน นกั วทิ ยาศาสตร์ใชข้ อ้ มลู เทา่ ท่ีมีอยใู่ นขณะน้นั เป็นฐานในการต้งั สมมติฐานเพอื่ ใชอ้ ธิบายถึงสาเ หตขุ องปัญหาและเสนอคาตอบหรือทางออกสาหรับปัญหาน้นั ตวั อยา่ งเช่น ในเร่ืองการคนั พบดาวเนปจูนน้นั นกั ดาราศาสตร์กลุ่มหน่ึงต้งั สมมติฐานวา่ สาเหตทุ ่ีวิถีโคจรของดาวยเู รนสั ไมเ่ ป็นไปสม่าเสมอน่าจะเน่ืองมาจากแรงโนม้ ถ่วงท่ีมาจากดาวเ คราะหท์ ี่ยงั คน้ ไม่พบ พวกเขาต้งั สมมติฐานวา่ น่าจะมีดาวเคราะห์อีกดวงหน่ึงซ่ึงมีวิถีโคจรห่างจากดวงอาทิตยม์ ากกวา่ ดาวยเู รนสั และในระหวา่ ง พ.ศ. 2386-2389 นกั ดาราศาสตร์สองคน คือ จอหน์ อาดมั และเลอเวอริเอร์ ตา่ งก็ใชค้ ณิตศาสตร์คานวณหาตาแหน่งของดาวเนปจูน และทานายตาแหน่งของดาวดวงน้ีไวใ้ กลเ้ คียงกนั

การทานายของนกั ดาราศาสตร์ท้งั สองเป็นเพียงการคาดคะเนความจริงซ่ึงอยใู่ นข้นั ต้งั สมมติฐานเ กี่ยวกบั คาตอบของปัญหา 3. การสงั เกตและการทดลอง เป็นข้นั ตอนสาคญั ท่ีสุดของการศึกษาหาความจริงทางวิทยาศาสตร์ การสังเกตเป็นการรวบรวมขอ้ มลู มาเป็นเคร่ืองมือสนบั สนุนทฤษฎีท่ีอธิบายปรากฏการณ์ เช่น นกั ดาราศาสตร์เชื่อวา่ โจฮนั แกลล์ ไดใ้ ชก้ ลอ้ งโทรทรรศน์ส่องทอ้ งฟ้าจนคน้ พบดาวเนปจูนเม่ือ พ.ศ. 2389 นอกจากน้นั การทดลองหลายตอ่ หลายคร้ังช่วยใหค้ น้ พบหลกั การทางวิทยาศาสตร์และสร้างความน่าเช่ือถือใ หก้ บั การคน้ พบน้นั เช่น ในราว พ.ศ. 2150 นายแพทยว์ ิลเลียม ฮาวีย์ ใชว้ ธิ ีการทดลองจนคน้ พบการไหลเวียนของโลหิตไปทว่ั ร่างกาย เขาสงั เกตจงั หวะชีพจรและการเตน้ ของหวั ใจ ผา่ ศพและซากสัตวเ์ พ่อื ตรวจสอบหลายคร้ัง จนกระทง่ั ไดข้ อ้ สรุปวา่ หวั ใจสูบฉีดโลหิตไปทว่ั ร่างกายทางหลอดเลือดแดง และโลหิตไหลกลบั ไปยงั หวั ใจทางหลอดเลือดดา 4. การวเิ คราะห์ขอ้ มูล ขอ้ มลู ท่ีไดจ้ ากการสงั เกตและทดลองมีจานวนมาก นกั วิทยาศาสตร์ตอ้ งพิจารณาแยกแยะขอ้ มูลเหลา่ น้นั พร้อมจดั ระเบียบขอ้ มูลเขา้ เป็นหมวดหมู่แล ะหาความสัมพนั ธ์ระหวา่ งขอ้ มูลตา่ ง ๆ เช่น นกั เคมีชื่อ ดมิตริ เมนเดลิฟ (D. Mendelief) พบวา่ ธาตบุ างธาตมุ ีคุณสมบตั ิทางเคมีคลา้ ยกนั จึงไดจ้ ดั หมวดหมู่ใหก้ บั ธาตเุ หลา่ น้นั โดยคิดตารางธาตุ (periodic table) ซ่ึงแบ่งธาตุท่ีมีคุณสมบตั ิทางเคมีคลา้ ยกนั ไวใ้ นกลุ่มเดียวกนั ในตารางน้ีปรากฏวา่ มีช่องวา่ งเกิดข้ึนเป็นระยะ ช่องวา่ งน้ีแสดงวา่ ตอ้ งเป็ นท่ีสาหรับธาตทุ ่ียงั คน้ ไม่พบ นกั เคมียคุ ตอ่ มาไดค้ น้ พบธาตุใหมจ่ านวนมาก แลว้ นามาเติมใส่ช่องวา่ งในตารางธาตุของเมนเดลิฟ 5. การสรุปผล ในการสรุปผลของการศึกษาคน้ ควา้ นกั วทิ ยาศาสตร์อาจใชภ้ าษาธรรมดาเขียนกฎหรือหลกั การท างวิทยาศาสตร์ออกมา บางคร้ังนกั วิทยาศาสตร์จาเป็ นตอ้ งสรุปผลดว้ ยคณิตศาสตร์ ตวั อยา่ งเช่น อลั เบิร์ต ไอสไตน์

พบความสมั พนั ธ์ระหวา่ งพลงั งานและมวลสารจึงเขียนสรุปผลการคน้ พบทฤษฎีสมั พนั ธ์เป็นสม การวา่ E=MC2 หมายความวา่ พลงั งาน (E = Energy) เท่ากบั มวลสาร (M = Mass) คูณดว้ ยความเร็วของแสงยกกาลงั สอง เปรียบเทียบวิธีการทางวทิ ยาศาสตร์กบั วิธีการแกป้ ัญหาแบบอริยสัจ 4.พระพุทธศาสนาเป็ นศาสตร์แห่งการศึกษา ความหมายของคาว่าการศึกษา คาวา่ “การศกึ ษา”มาจากคาวา่ “สกิ ขา”โดยทว่ั ไปหมายถงึ “กระบวนการเรยี น “ “การฝึกอบรม” “การคน้ ควา้ ” “การพัฒนาการ”และการรแู ้ จง้ เห็นจรงิ ในสงิ่ ทัง้ ปวง”จะเห็ นไดว้ า่ การศกึ ษาในพระพทุ ธศาสนามหี ลายระดับ ตัง้ แตร่ ะดับตา่ สดุ ถงึ ระดับสงู สดุ เมอื่ แบง่ ระดบั อยา่ งกวา้ ง ๆ มี 2 ประการคอื 1.การศกึ ษาระดบั โลกยิ ะ มคี วามมงุ่ หมายเพอื่ ดารงชวี ติ ในทางโลก 2.การศกึ ษาระดบั โลกตุ ระ มคี วามมงุ่ หมายเพอื่ ดารงชวี ติ เหนอื กระแสโลก

ในการศกึ ษาหรอื การพฒั นาตามหลกั พระพทุ ธศาสนา นัน้ พระพทุ ธเจา้ สอนใหค้ นไดพ้ ัฒนาอย4ู่ ดา้ น คอื ดา้ นรา่ งกาย ดา้ นศลี ดา้ นจติ ใจ และดา้ นสตปิ ัญญา โดยมจี ดุ มงุ่ หมายใหม้ นุษยเ์ ป็ นทงั้ คนดแี ละคนเกง่ มใิ ชเ่ ป็ นคนดแี ตโ่ ง่ หรอื เป็ นคนเกง่ แตโ่ กง การจะสอนใหม้ นุษยเ์ ป็ นคนดแี ละคนเกง่ นัน้ จะตอ้ งมหี ลกั ในการศกึ ษาทถ่ี กู ตอ้ งเหมาะสม ซง่ึ ในการพฒั นามนุษยน์ ัน้ พระพทุ ธศาสนามงุ่ สรา้ งมนุษย์ ใหเ้ ป็ นคนดกี อ่ น แลว้ จงึ คอ่ ยสรา้ งความเกง่ ทหี ลัง นั่นคอื สอนใหค้ นเรามคี ณุ ธรรม ความดงี ามกอ่ นแลว้ จงึ ใหม้ คี วามรคู ้ วามเขา้ ใจหรอื สตปิ ัญ ญาภายหลดั งั นัน้ หลกั ในการศกึ ษาของพระพทุ ธศาสนา นัน้ จะมี ลาดบั ขนั้ ตอนการศกึ ษา โดยเรม่ิ จาก สลี สกิ ขา ตอ่ ดว้ ยจติ ตสกิ ขาและขนั้ ตอนสดุ ทา้ ยคอื ปัญญาสกิ ขา ซงึ่ ขนั้ ตอนการศกึ ษาทงั้ 3นี้ รวมเรยี กวา่ \"ไตรสกิ ขา\"ซง่ึ มคี วามหมายดงั นี้ 1.สลี สกิ ขา การฝึกศกึ ษาในดา้ นความประพฤตทิ างกาย วาจา และอาชพี ใหม้ ชี วี ติ สจุ รติ และเกอื้ กลู (Training in Higher Morality) 2.จติ ตสกิ ขา การฝึกศกึ ษาดา้ นสมาธิ หรอื พฒั นาจติ ใจใหเ้ จรญิ ไดท้ ่ี (Training in Higher Mentalityหรอื Concentration) 3.ปัญญาสกิ ขา การฝึกศกึ ษาในปัญญาสงู ขน้ึ ไป ใหร้ คู ้ ดิ เขา้ ใจมองเหน็ ตามเป็ นจรงิ

5. พระพทุ ธศาสนาเนน้ ความสมั พนั ธข์ องเหตปุ ั จจยั และวธิ กี ารแกป้ ญั หา พระพุทธศาสนาเน้นความสัมพนั ธ์ของเหตปุ ัจจยั -หลกั ของเหตุปัจจยั หรือหลกั ความเป็นเหตุเป็นผล ซ่ึงเป็นหลกั ของเหตุปัจจยั ท่ีอิงอาศยั ซ่ึงกนั และกนั ท่ีเรียกวา่ \"กฎปฏิจจสมุปบาท\" ซ่ึงมีสาระโดยยอ่ ดงั น้ี \"เม่ืออนั น้ีมี อนั น้ีจึงมี เม่ืออนั น้ีไมม่ ี อนั น้ีกไ็ ม่มี เพราะอนั น้ีเกิด อนั น้ีจึงเกิด เพราะอนั น้ีดบั อนั น้ีจึงดบั \"น่ีเป็นหลกั ความจริงพ้นื ฐาน วา่ สิ่งหน่ึงสิ่งใดจะเกิดข้ึนมาลอย ๆ ไมไ่ ด้ หรือในชีวิตประจาวนั ของเรา \"ปัญหา\"ท่ีเกิดข้ึนกบั ตวั เราจะเป็นปัญหาลอย ๆ ไม่ได้ จะตอ้ งมีเหตุปัจจยั หลายเหตุที่ก่อใหเ้ กิดปัญหาข้ึนมา

หากเราตอ้ งการแกไ้ ขปัญหาก็ตอ้ งอาศยั เหตุปัจจยั ในการแกไ้ ขหลายเหตุปัจจยั ไม่ใช่มีเพยี งปัจจยั เดียวหรือมีเพียงหนทางเดียวในการแกไ้ ขปั คาวา่ \"เหตุปัจจยั \" พทุ ธศาสนาถือวา่ ส่ิงท่ีทาใหผ้ ลเกิดข้ึนไมใ่ ช่เหตุอยา่ งเดียว ตอ้ งมีปัจจยั ตา่ ง ๆ ดว้ ยเมื่อมีปัจจยั หลายปัจจยั ผลก็เกิดข้ึน ตวั อยา่ งเช่น เราปลูกมะม่วง ตน้ มะม่วงงอกงามข้ึนมาตน้ มะมว่ งถือวา่ เป็นผลท่ีเกิดข้ึน ดงั น้นั ตน้ มะมว่ งจะเกิดข้ึนเป็นตน้ ที่สมบูรณ์ไดต้ อ้ งอาศยั เหตุปัจจยั หลายปัจจยั ท่ีก่อใหเ้ กิดเป็นตน้ มะมว่ งได้ เหตปุ ัจจยั เหล่าน้นั ไดแ้ ก่ เมลด็ มะม่วง ดิน น้า ออกซิเจน แสงแดด อุณหภูมิท่ีพอเหมาะ ป๋ ุย เป็นตน้ ปัจจยั เหล่าน้ีพรั่งพร้อมจึงก่อใหเ้ กิดตน้ มะม่วง ตวั อยา่ งความสัมพนั ธ์ของเหตุปัจจยั เช่น ปัญหาการมีผลสัมฤทธ์ ิทางการเรี ยนต่า ซ่ึงเป็นผลท่ีเกิดจากการเรียนของนกั เรียน มีเหตุปัจจยั หลายเหตุปัจจยั ท่ีก่อใหเ้ กิดการเรียนอ่อน เช่น ปัจจยั จากครูผสู้ อน ปัจจยั จากหลกั สูตรปัจจยั จากกระบวนการเรียนการสอนปัจจยั จากการวดั ผลปร ะเมินผล ปัจจยั จากตวั ของนกั เรียนเอง เป็นตน้ ความสมั พนั ธข์ องเหตปุ ัจจยั หรือหลกั ปฏิจจสมุปบาท แสดงใหเ้ ห็นอาการของสิ่งท้งั หลายสัมพนั ธ์เน่ืองอาศยั เป็นเหตุปัจจยั ต่อกนั อยา่ งเป็นกระแส ในภาวะท่ีเป็นกระแสน้ี ขยายความหมายออกไปใหเ้ ห็นแง่ต่าง ๆ ไดค้ ือ -สิ่งท้งั หลายมีความสัมพนั ธ์ตอ่ เนื่องอาศยั เป็นปัจจยั แก่กนั -สิ่งท้งั หลายมีอยโู่ ดยความสัมพนั ธก์ นั -ส่ิงท้งั หลายมีอยดู่ ว้ ยอาศยั ปัจจยั

-ส่ิงท้งั หลายไมม่ ีความคงที่อยอู่ ยา่ งเดิมแมแ้ ตข่ ณะเดียว (มีการเปล่ียนแปลงอยตู่ ลอดเวลา ไม่อยนู่ ่ิง) -สิ่งท้งั หลายไม่มีอยโู่ ดยตวั ของมนั เอง คือ ไม่มีตวั ตนท่ีแทจ้ ริงของมนั -สิ่งท้งั หลายไมม่ ีมลู การณ์ หรือตน้ กาเนิดเดิมสุด แต่มีความสมั พนั ธแ์ บบวฏั จกั ร หมนุ วนจนไม่ทราบวา่ อะไรเป็นตน้ กาเนิดท่ีแทจ้ ริง หลกั คาสอนของพระพทุ ธศาสนาของพระพทุ ธศาสนาที่เนน้ ความสัมพนั ธข์ อง เหตปุ ัจจยั มีมากมาย ในท่ีน้ีจะกล่าวถึงหลกั คาสอน2เรื่อง คือ ปฏิจจสมปุ บาท และอริยสัจ4 ปฏิจจสมปุ บาทคือ การท่ีส่ิงท้งั หลายอาศยั ซ่ึงกนั และกนั เกิดข้ึน เป็นกฎธรรมชาติท่ีพระพุทธเจา้ ทรงคน้ พบ การท่ีพระพุทธเจา้ ทรงคน้ พบกฎน้ีน่ีเอง พระองคจ์ ึงไดช้ ่ือวา่ พระสัมมาสัมพุทธเจ้ากฏปฏิจจสมุปบาท เรียกอีกอยา่ งหน่ึงวา่ กฏอิทปั ปัจจยตาซ่ึงกค็ ือ กฏแห่งความเป็นเหตุเป็นผลของกนั และกนั นนั่ เอง

กฏปฏิจจสมปุ บาทคอื กฏแหง่ เหตผุ ลทว่ี า่ ถ้าสิ่งนีม้ ี ส่ิงน้ันกม็ ี ถ้าสิ่งนีด้ ับ ส่ิงน้ันก้ดับปฏจิ จสมปุ บาทมอี งคป์ ระกอบ12ประการ คอื 1)อวชิ ชาคอื ความไมร่ จู ้ รงิ ของชวี ติ ไมร่ แู ้ จง้ ในอรยิ สจั 4ไมร่ เู ้ ทา่ ทันตามสภาพทเี่ ป็ นจรงิ 2)สังขารคอื ความคดิ ปรงุ แตง่ หรอื เจตนาทงั้ ทเ่ี ป็ นกศุ ลและอกศุ ล 3)วญิ ญาณคอื ความรับรตู ้ อ่ อารมณต์ า่ งๆ เชน่ เห็น ไดย้ นิ ไดก้ ลน่ิ รรู ้ ส รสู ้ มั ผสั 4)นามรูปคอื ความมอี ยใู่ นรปู ธรรมและนามธรรม ไดแ้ ก่ กายกบั จติ 5)สฬายตนะคอื ตา หู จมกู ลนิ้ กาย และใจ

6)ผสั สะคอื การถกู ตอ้ งสมั ผัส หรอื การกระทบ 7)เวทนาคอื ความรสู ้ กึ วา่ เป็ นสขุ ทกุ ข์ หรอื อเุ บกขา 8)ตณั หาคอื ความทะเยอทะยานอยากหรอื ความตอ้ งการในสงิ่ ทอ่ี า นวยความสขุ เวทนา และความดนิ้ รนหลกี หนใี นสงิ่ ทก่ี อ่ ทกุ ขเวทนา 9)อปุ าทานคอื ความยดึ มัน่ ถอื ม่ันในตัวตน 10)ภาพคอื พฤตกิ รรมทแ่ี สดงออกเพอ่ื สนองอปุ าทานนัน้ ๆ เพอื่ ใหไ้ ดม้ าและใหเ้ ป้นไปตามความยดึ มนั่ ถอื มั่น 11)ชาติคอื ความเกดิ ความตระหนักในตวั ตน ตระหนักในพฤตกิ รรมของตน 12)ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทกุ ขะ โทมนัส อุปายาสะคอื ความแก่ ความตาย ความโศกเศรา้ ความครา่ ครวญ ความไมส่ บายกาย ความไมส่ บายใจ และความคบั แคน้ ใจหรอื ความกลดั กลมุ่ ใจ องคป์ ระกอบทงั้ 12 ประเภทนี้ พระพทุ ธเจา้ เรยี กวา่ องค์ประกอบแห่งชีวิต หรื อกระบวนการของชีวิต ขอบคณุ คะ่


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook