Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore วิชาสังคม2

วิชาสังคม2

Published by vivoy5509042560, 2020-07-20 10:57:35

Description: วิชาสังคม2

Search

Read the Text Version

เร่ ื อง - ลกั ษณะประชาธิปไตยในพระพุทธศาสนา - การคิดตามนยั แหง่ พระพุทธศาสนาและการ คิดแบบวิทยาศาสตร์ - หลกั การของพระพุทธศาสนากบั หลกั วิทยาศาสตร์ - พระพุทธศาสนาเป็นศาสตร์แหง่ การศึกษา - พระพุทธศาสนาเนน้ ความสมั พนั ธข์ องเหตุ ปจั จยั และวิธีการแกป้ ัญหา

ลกั ษณะประชาธิปไตยในพระพุทธศาสนา 1. พระพุทธศาสนามีพระธรรมวินยั เป็นธรรมนูญหรือ กฎหมายสูงสุด 2. มีการกาหนดลกั ษณะของศาสนาไวเ้ รียบรอ้ ย ไม่ ปลอ่ ยใหเ้ ป็นไปตามยถากรรม คือทางสายกลาง 3. พระพุทธศาสนา มีความเสมอภาคภายใตพ้ ระธรรม วินยั บุคคลท่ีเป็นวรรณะตา่ งๆ เม่ือเขา้ มาอปุ สมบทใน พระพุทธศาสนาอยา่ งถูกตอ้ งแลว้ มีความเทา่ เทียมกนั 4. พระภิกษุในพระพุทธศาสนา มีสิทธิ เสรีภาพภายใต้ พระธรรมวินัย 5. มีการแบง่ อานาจ พระเถระผูใ้ หญท่ าหนา้ ท่บี ริหาร ปกครอง

6. พระพุทธศาสนามีหลกั เสียงขา้ งมาก คือ ใชเ้ สียงขา้ ง มาก เป็นเกณฑต์ ดั สิน

การคิดตามนัยแหง่ พระพุทธศาสนา และการคิดแบบวิทยาศาสตร์ 1. ขนั้ กาหนดรูท้ ุกข์ การกาหนดรูท้ ุกขห์ รือการกาหนด ปัญหาวา่ คืออะไร 2. ขน้ั สืบสาวสมุทยั ไดแ้ กเ่ หตุของทุกขห์ รือสาเหตขุ อง ปญั หา แลว้ กาจดั ใหห้ มดไป 3. ขน้ั นิโรธ ไดแ้ กค่ วามดบั ทุกข์ 4. ขนั้ เจริญมรรค ไดแ้ ก่ ทางดบั ทุกข์ หรือวิธีแกป้ ญั หา

แนวคิดแบบวิทยาศาสตร์ เรียกอกี อยา่ งหน่ึงวา่ วิธีการทางวิทยาศาสตร์ มีขน้ั ตอนดงั น้ี 1.การกาหนดปญั หาใหถ้ ูกตอ้ ง 2. การตง้ั สมมติฐาน 3. การสงั เกตและการทดลอง 4. การวิเคราะหข์ อ้ มูล 5.การสรุปผล

หลกั การของพระพุทธศาสนากบั หลกั วิทยาศาสตร์ 1. ในดา้ นความเช่ือ (Confidence) หลกั การ วิทยาศาสตร์ ถือหลกั วา่ จะเช่ืออะไรน้นั จะตอ้ งมีการ พิสูจนใ์ หเ้ ห็นจริงไดเ้ สียกอ่ น 2. ในดา้ นความรู้ (Wisdom) ทงั้ หลกั การทาง วิทยาศาสตรแ์ ละหลกั การของพระพุทธศาสนา ยอมรับ ความรูท้ ่ีไดจ้ ากประสบการณ์

ความแตกตา่ งของหลกั การพระพุทธศาสนากบั หลกั การทางวิทยาศาสตร์ 1. มุง่ เขา้ ใจปรากฎการณท์ างธรรมชาติ หลกั การทาง วิทยาศาสตร์มุง่ เขา้ ใจปรากฏการณต์ า่ ง ๆ ท่ีเกิดข้ึน พระพุทธศาสนาเนน้ เป็นพิเศษเก่ยี วกบั วิถีชีวิตของมนุษย์ มากกวา่ กฎเก่ยี วกบั ส่ิงท่ีไรช้ ีวิต 2. ตอ้ งการเรียนรูก้ ฎธรรมชาติ หลกั การทาง วิทยาศาสตรต์ อ้ งการเรียนรูก้ ฎธรรมชาติและหาทาง ควบคุมธรรมชาติ หลกั การพระพุทธศาสนาเป็นการ ทดสอบความรูส้ ึกทุกข์ และสอนมนุษยด์ ารงชีวิตให้ สอดคลอ้ งกลมกลืนกบั ธรรมชาติส่ิงแวดลอ้ ม 3. ยอมรับโลกแหง่ สสาร (Matter) ซ่ึงสรรพส่ิงเหลา่ น้ีมี อยูต่ า่ งหากจากตวั เรา เป็นอิสระจากตวั เรา และเป็นส่ิงท่ี สะทอ้ นข้ึนในจิตสานึกของคนเราเม่ือไดส้ มั ผสั มนั อนั ทา

ใหไ้ ดร้ บั รูถ้ ึงความมีอยูข่ องส่ิงนนั้ ๆ กลา่ วโดยทว่ั ไปแลว้ สสารมีคุณลกั ษณะ 3 ประการคือ 1) เคล่ือนไหว (Moving) อยูเ่ สมอ 2) เปล่ียนแปลง (Changing) อยูเ่ สมอ 3) การเคล่ือนไหวและการเปล่ียนแปลง หรือกฎแหง่ ธรรมชาติ (Laws of Natires) 4. มุง่ ความจริงมาตีแผ่ วิทยาศาสตร์นน้ั แสวงหาความรู้ จากธรรมชาติ คาสอนทางพระพุทธศาสนานั้น เนน้ เร่ือง ศีลธรรม

พระพุทธศาสนาเป็นศาสตร์แหง่ การศึกษา ขนั้ ตอนการศึกษาทง้ั 3 น้ี รวมเรียกวา่ \"ไตรสิกขา\" 1. สีลสิกขา การฝึกศึกษาในดา้ นความประพฤติทางกาย วาจา และอาชีพ ใหม้ ีชีวิตสุจริตและเก้ือกูล (Training in Higher Morality) 2. จิตตสิกขา การฝึกศึกษาดา้ นสมาธิ หรือพฒั นาจิตใจ ใหเ้ จริญไดท้ ่ี (Training in Higher Mentality หรือ Concentration) 3. ปญั ญาสิกขา การฝึกศึกษาในปญั ญาสูงข้ึนไป ใหร้ ูค้ ิด เขา้ ใจมองเห็นตามเป็นจริง (Training in Higher Wisdom)

พระพุทธศาสนาเนน้ ความสมั พนั ธข์ องเหตปุ จั จยั และวิธีการแกป้ ัญหา หลกั ของเหตุปจั จยั หรือหลกั ความเป็นเหตุเป็นผล เรียกวา่ \"กฎปฏิจจสมุปบาท ขยายออกไปใหเ้ ห็นแงต่ า่ ง ๆ ไดค้ ือ - ส่ิงทง้ั หลายมีความสมั พนั ธต์ อ่ เน่ือง เป็นปจั จยั แกก่ นั - ส่ิงทงั้ หลายมีอยูโ่ ดยความสมั พนั ธก์ นั - ส่ิงทง้ั หลายมีอยูด่ ว้ ยอาศยั ปัจจยั - ส่ิงทง้ั หลายไมม่ ีความคงท่ีอยูอ่ ยา่ งเดิมแมแ้ ตข่ ณะเดียว - ส่ิงทง้ั หลายไมม่ ีอยูโ่ ดยตวั ของมนั เอง - ส่ิงทง้ั หลายไมม่ ีมูลการณ์ หรือตน้ กาเนิดเดิมสุด แตม่ ี ความสมั พนั ธแ์ บบวฏั จกั ร หมุนวนจนไมท่ ราบวา่ อะไร เป็นตน้ กาเนิดท่ีแทจ้ ริง

หลกั คาสอนของพระพุทธศาสนาของพระพุทธศาสนาท่ี เนน้ ความสมั พนั ธข์ องเหตุปจั จยั มีมากมาย ในท่ีน้ีจะ กลา่ วถึงหลกั คาสอน 2 เร่ือง คือ ปฏิจจสมุปบาท และ อริยสจั 4 ปฏิจจสมุปบาท คือ การท่สี ่ิงทงั้ หลายอาศยั ซ่ึงกนั และกนั เกิดข้ึน เป็นกฎธรรมชาติ เป็นกฏแหง่ เหตุผลท่ีวา่ ถา้ ส่ิงน้ี มี ส่ิงน้ันก็มี ถา้ ส่ิงน้ีดบั ส่ิงน้นั ก็ดบั ปฏิจจสมุปบาทมี องคป์ ระกอบ 12 ประการ คือ 1) อวิชชา คือ ความไมร่ ูจ้ ริงของชีวิต 2) สงั ขาร คือ ความคิดปรุง 3) วิญญาณ คือความรบั รูต้ อ่ อารมณต์ า่ งๆ 4) นามรูป คือ ความมีอยใู่ นรูปธรรมและนามธรรม ไดแ้ ก่ กายกบั จิต 5) สฬายตนะ คือ ตา หู จมูก ล้ิน กาย และใจ

6) ผสั สะ คือ การถูกตอ้ งสมั ผสั หรือการกระทบ 7) เวทนา คือ ความรูส้ ึกวา่ เป็นสุข ทุกข์ หรืออุเบกขา 8) ตณั หา คือ ความทะเยอทะยานอยาก 9) อปุ าทาน คือ ความยึดมน่ั ถือมน่ั ในตวั ตน 10) ภพ คือ พฤติกรรมท่ีแสดงออกเพ่ือสนองอปุ าทาน 11)ชาติ คือความเกิด ความตระหนักในตวั ตน 12) ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนสั อปุ ายา สะ คือ ความแก่ ความตาย ความโศกเศรา้

อริยสจั หมายถึง หลกั ความจริงอนั ประเสริฐหรือหลกั ความจริงท่ีทาใหผ้ ูเ้ ขา้ ถึงเป็นผูป้ ระเสริฐ มี 4 ประการ คือ

อริยสจั 4 จดั ไดเ้ ป็น 2 คู่ แตล่ ะคูเ่ ป็นเหตุเป็นผลของกนั และกนั ตามแผนภูมิ ดงั น้ี

วิดีโอประกอบการเรี ยนรู ้ https://www.youtube.com/watch?v=NPP295OG-5o https://www.youtube.com/watch?v=bYwLktLDmWo (กด Ctrl+คลิกลิงค)์


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook