รายวิชาสงั คมศกึ ษา ศาสนา และวัฒนธรรม ภาคเรียนที 1 ปี การศกึ ษา 2563 เรอื ง ๑.ลกั ษณะประชาธิปไตยในพระพทุ ธศาสนา ๒.หลกั การทางพระพทุ ธศาสนาดบั วทิ ยาศาสตร์ ๓.การคิดตามนัยแห่งพระพทุ ธศาสนาและการคดิ แบบวทิ ยาศาสตร์ ๔.พระพทุ ธศาสนาเป็ นศาสตรแ์ หง่ การศึกษา ๕.พระพทุ ธศาสนาเน้นความสัมพันธข์ องเหตุปัจจัยและวธิ ีการแกป้ ัญหา จัดทาํ โดย นางสาว ปทติ ตา ศรีวงศษ์ า ชนั มัธยมศกึ ษาปี ที 4 หอ้ ง 3 เสนอ คุณครู เพญ็ ประภา คาํ ภา โรงเรียนเซนตโ์ ยเซฟศรเี พชรบูรณ์
๑.ลกั ษณะประชาธปิ ไตยในพระพุทธศาสนา หลักประชาธิปไตยทวั ไปในพระพุทธศาสนา 1. พระพุทธศาสนามพี ระธรรมวนิ ัยเป็ นธรรมนูญหรอื กฎหมายสงู สดุ พระธรรม คอื คาํ สอนทพี ระพทุ ธเจ้าทรงแสดง พระวินัยคอื คาํ สังอนั เป็ นข้อปฏบิ ตั ิ ทพี ระพทุ ธเจ้าทรงบัญญัติขึนเมอื รวมกัน เรียกวา่ พระธรรมวนิ ัย ซึงมคี วามสาํ คัญ ขนาดทพี ระพุทธเจา้ ทรงมอบใหเ้ ป็ นพระศาสดาแทนพระองค์ ก่อนทีพระองคจ์ ะ ปรนิ ิพพานเพยี งเลก็ น้อย
2. มีการกาํ หนดลักษณะของศาสนาไว้เรยี บรอ้ ย ไม่ปลอ่ ยใหเ้ ป็ นไปตามยถากรรม ลกั ษณะของพระพทุ ธศาสนาคอื สายกลาง ไม่ ซ้ายสุด ไมข่ วาสุด ทางสายกลางนีเป็ นครรลอง อาจปฏบิ ัตคิ อ่ นข้างเคร่งครัดกไ็ ด้ โดยใช้สทิ ธิในการแสวงหาอดิเรกลาภตามทีทรงอนุญาตไว้ ในสมยั ตอ่ มา เรยี กแนว กลางๆ ของพระพทุ ธศาสนาว่า วภิ ัชชวาที คอื ศาสนาทีกลา่ วจาํ แนกแจกแจง ตาม ความเป็ นจรงิ บางอย่างกล่าวยนื ยันโดยสว่ นเดยี วได้ บางอยา่ งกล่าวจาํ แนกแจก แจงเป็ นกรณี ๆ ไป 3. พระพทุ ธศาสนา มีความเสมอภาคภายใตพ้ ระธรรมวนิ ัย บคุ คลทเี ป็ นวรรณะกษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทรมาแต่เดมิ รวมทังคนวรรณะตาํ กวา่ นัน เชน่ พวกจณั ฑาล พวกปุกกุสะคนเกบ็ ขยะ และพวกทาส เมือเขา้ มา อปุ สมบทในพระพทุ ธศาสนาอยา่ งถกู ตอ้ งแลว้ มคี วามเทา่ เทยี มกัน คอื ปฏบิ ตั ติ าม สิกขาบทเทา่ กัน และเคารพกนั ตามลาํ ดับอาวุโส คอื ผอู้ ุปสมบทภายหลังเคารพผู้ อุปสมบทก่อน 4. พระภกิ ษุในพระพทุ ธศาสนา มสี ทิ ธิ เสรภี าพภายใตพ้ ระธรรมวนิ ัย เชน่ ในฐานะภกิ ษเุ จ้าถิน จะมีสทิ ธิไดร้ ับของแจกกอ่ นภกิ ษอุ าคันตุกะ ภิกษุทีจาํ พรรษาอย่ดู ้วยกนั มีสิทธิได้รับของแจกตามลาํ ดับพรรษา มสี ทิ ธิรับกฐิน และไดร้ ับ อานิสงสก์ ฐินในการแสวงหาจีวรตลอด 4 เดอื นฤดหู นาวเทา่ เทยี มกัน นอกจากนัน ยงั มเี สรภี าพทจี ะเดนิ ทางไปไหนมาไหนได้ จะอยู่จาํ พรรษาวดั ใดกไ็ ด้เลอื กปฏิบตั ิ กรรมฐานข้อใด ถอื ธุดงคว์ ัตรข้อใดกไ็ ด้ทังสนิ
5. มกี ารแบ่งอาํ นาจ พระเถระผู้ใหญ่ทาํ หน้าทบี ริหารปกครองหมู่คณะ การบัญญัติพระวนิ ยั พระพทุ ธเจ้าทรงบญั ญัตเิ อง เช่นมภี ิกษุผู้ทาํ ผิดมาสอบสวนแล้วจึงทรงบญั ญัตพิ ระ วินัย ส่วนการตัดสนิ คดีตามพระวนิ ัยทรงบญั ญัติแล้วเป็ นหน้าทีของพระวินัยธรรม ซงึ เทา่ กับศาล 6. พระพุทธศาสนามหี ลกั เสยี งข้างมาก คอื ใชเ้ สยี งข้างมาก เป็ นเกณฑต์ ัดสิน เรียกวา่ วธิ ีเยภยุ ยสิกา การตัดสินโดยใช้ เสยี งขา้ งมาก ฝ่ ายใดไดร้ ับเสียงข้างมากสนับสนุน ฝ่ ายนันเป็ นฝ่ ายชนะคดี หลกั ประชาธิปไตยในการทพี ระพุทธเจา้ ทรงมอบความเป็ นใหญ่แกส่ งฆ์ 1 จาํ นวนสงฆอ์ ยา่ งตาํ ทเี ขา้ ประชมุ การกาํ หนดจาํ นวนสงฆผ์ ูเ้ ข้าประชมุ อยา่ งตาํ ว่า จะทาํ สงั ฆกรรมอย่างใดไดบ้ ้างมี 5 ประเภท คอื 1.1 ภกิ ษุ 4 รูปเขา้ ประชุม เรยี กว่า สงฆจ์ ตุรวรรค สามารถทาํ สงั ฆกรรมไดเ้ กอื บทุก ชนิด เวน้ แต่ การอุปสมบทหรอื การบวชพระ การปวารณาหรือ พิธีกรรมในวันออก พรรษาทที รงอนุญาตใหว้ ่ากลา่ วตกั เตอื นกันและกนั และการสวดอัพภาน หรอื การ เพกิ ถอนอาบัตหิ นักของภิกษุบางรูป 1.2 ภกิ ษุ 5 รูป เข้าประชุม เรยี กว่า สงฆป์ ัญจวรรค สามารถทาํ สังฆกรรมทีสงฆ์ จตุรวรรค ทาํ ไดท้ ังหมด และยงั เพมิ การปวารณา การอุปสมบทในชนบทชายแดน ไดอ้ กี ด้วย
1.3 ภกิ ษุ 10 รูป เขา้ ประชุม เรียกวา่ สงฆท์ สวรรค สามารถทาํ สังฆกรรมทีสงฆ์ ปัญจวรรคทาํ ไดท้ ังหมด และยงั เพมิ การอุปสมบทในมัชฌิชนบท คอื ในภาคกลาง ของอนิ เดยี ไดอ้ กี ด้วย 1.4 ภกิ ษุ 20 รูปเขา้ ประชมุ เรียกวา่ สงฆว์ ีสตวิ รรค สามารถทาํ สังฆกรรมไดท้ กุ ชนิด รวมทงั สวดอัพภาน เพกิ ถอนอาบตั หิ นักด้วย 1.5 ภกิ ษุกว่า 20 รูปเข้าประชมุ เรยี กว่า อตเิ รกวีสตวิ รรค สามารถทาํ สงั ฆกรรมได้ ทกุ ชนิด สาํ หรับประเพณีไทย นิยมนิมนตภ์ กิ ษุเขา้ ประชุมใหเ้ กนิ จาํ นวนอยา่ งตาํ ของการทาํ สังฆกรรมนันๆ เสมอ เพอื ใหถ้ กู ตอ้ งอย่างไม่มโี อกาสผิดพลาดในเรือง จาํ นวนสงฆ์ 2 สถานทปี ระชมุ ของสงฆเ์ พือทาํ สงั ฆกรรม เรยี กวา่ สมี า แปลวา่ เขตแดน สีมา หมายถงึ พนื ดิน ไมใ่ ชอ่ าคาร อาคารจะสร้างเป็ นรูปทรงอย่างไรหรือไม่มอี าคารเลยกไ็ ด้ สมี ามี 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ พทั ธสมี า สีมาทผี ูกแล้ว และอพทั ธสีมา สีมาทไี ม่ตอ้ งผูก พัทธสีมามีหลายชนิด จะกล่าวเฉพาะวสิ ุงคามสีมา แปลวา่ สีมาในหมบู่ ้าน ซึงแยกออก ต่างหากจากอาณาเขตของประเทศ การขอวิสุงคามสมี าตอ้ งขอจากประมขุ ของรัฐ ใน ประเทศไทยขอพระราชทานจากพระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยู่หัว ในประเทศมาเลเซยี ขอ พระราชทานจากพระราชาธิบดแี หง่ มาเลเซยี ในประเทศสหรัฐอเมรกิ า ขอจากผู้วา่ การมล รัฐทวี ัดตังอยู่ ไมใ่ ชข่ อจากประธานาธิบดี เพราะเป็ นประเทศสหรัฐอเมรกิ า เมือขอแล้ว ตอ้ งทาํ พธิ ถี อนสมี าในบรเิ วณนัน ซงึ อาจเคยเป็ นวัด ผูกพัทธสีมามาแลว้ ในสมัยโบราณก็ ได้ แลว้ ทาํ พธิ ีผูกพัทธสมี า สมี าซึงทาํ สังฆกรรมผูกแลว้ นีจะคงอยูต่ ลอดไปจนกวา่ โลกนี แตกสลาย กลายเป็ นธุลคี อสมคิ ยกเวน้ จะทาํ พธิ ีถอนสีมาเสีย
4 สทิ ธิของภกิ ษผุ ูเ้ ขา้ ประชุม ภกิ ษุผู้เขา้ รว่ มประชมุ ทาํ สังฆกรรมทกุ รูปมีสทิ ธแิ สดงความ คิดเหน็ ทงั ในทางเหน็ ด้วยและในทางคัดค้าน ตามปกตเิ มือภิกษุผู้ประกาศ หรอื พระคู่สวด ถามความคิดเหน็ ของทปี ระชุม ถา้ เหน็ ด้วย ใหใ้ ช้วิธนี ิง ถา้ ไมเ่ หน็ ดว้ ยให้คัดค้านขึน จะตอ้ งมีการทาํ ความเข้าใจกันจนกว่าจะยอมเหน็ ดว้ ย ถา้ ภิกษุผู้คัดค้าน ยังคงยนื กรานไม่ เหน็ ด้วย การทาํ สงั ฆกรรมนันๆ เช่น การอุปสมบท หรอื การมอบผ้ากฐนิ ยอ่ มไม่สมบรู ณ์ จงึ เหน็ ไดว้ ่า มตขิ องทปี ระชุมต้องเป็ นเอกฉันทค์ อื เหน็ พร้อมกนั ทกุ รูป 5 มตทิ ปี ระชุม การทาํ สงั ฆกรรมทงั หมด มตขิ องทปี ระชุมต้องเป็ นเอกฉันท์ คอื เป็ นที ยอมรับของภกิ ษุทกุ รูป ทงั นีเพราะในสงั ฆมณฑลนัน ภกิ ษทุ งั หลายตอ้ งอยรู่ ่วมกัน มคี วาม ไว้เนือเชอื ใจกนั กลา่ วคือมีศลี และมคี วามเหน็ เหมอื น ๆ กัน จงึ จะมคี วามสามัคคี สืบต่อ พระพุทธศาสนาได้อย่างถาวร แตใ่ นบางกรณี เมือภกิ ษุมีความเหน็ แตกตา่ งกันเป็ นสอง ฝ่ ายและมจี าํ นวนมากด้วยกนั ต้องหาวธิ ีระงบั โดยวิธีจับฉลาก หรือการลงคะแนนเพือดวู ่า ฝ่ ายไหนได้เสียงขา้ งมาก กต็ ัดสนิ ไปตามเสยี งข้างมากนัน วิธีนเี รยี กว่า เยภุยยสกิ า การถือ เสียงขา้ งมากเป็ นประมาณ ตามหลกั ประชาธิปไตยทัวไป ซงึ แสดงวา่ มตทิ ปี ระชมุ ไม่ได้ใช้ มตเิ อกฉันทเ์ สมอไป
๒.หลกั การทางพระพุทธศาสนากับวิทยาศาสตร์ หลักการของพระพทุ ธศาสนากบั หลกั การของวิทยาศาสตรม์ ีทังสว่ นทสี อดคลอ้ ง และส่วนทแี ตกตา่ งกนั ดงั ต่อไปนี ความสอดคล้องกันของหลักการของ พระพุทธศาสนากบั หลักการวทิ ยาศาสตร์ 1. ในดา้ นความเชือ (Confidence) หลกั การวิทยาศาสตร์ ถอื หลกั ว่า จะเชืออะไรนันจะต้องมีการพสิ จู นใ์ หเ้ หน็ จรงิ ไดเ้ สียกอ่ น วทิ ยาศาสตรเ์ ชือในเหตุผล ไม่เชืออะไรลอย ๆ และต้องมหี ลกั ฐาน มายนื ยนั วิทยาศาสตรไ์ มอ่ าศัยศรัทธาแตอ่ าศัยเหตุผล เชือการทดลองว่าให้ ความจรงิ แก่เราได้ แตไ่ ม่เชือการดลบนั ดาลของสิงศักดิสิทธิ เพราะทกุ อย่าง ดาํ เนนิ อย่างมีกฎเกณฑ์ มีเหตผุ ล และวิทยาศาสตรอ์ าศัยปัญญาและเหตุผล เป็ นตวั ตดั สินความจริง วิทยาศาสตรม์ ีความเชอื ว่า สรรพสิงในจักรวาลลว้ น ดาํ เนนิ ไปอยา่ งมเี หตผุ ล มีความเป็ นระเบียบและมีกฎเกณฑท์ ีแน่นอน
2.ในด้านความรู้ (Wisdom) ทงั หลักการทางวิทยาศาสตรแ์ ละหลักการของพระพุทธศาสนา ยอมรับความรู้ที ไดจ้ ากประสบการณ์ หมายถงึ การทตี า หู จมกู ลิน กาย ไดป้ ระสบกบั ความรู้สึกนึกคิด เชน่ รู้สึกดใี จ รู้สกึ อยากได้ เป็ นตน้ วทิ ยาศาสตรเ์ ริมตน้ จาก ประสบการณค์ ือ จากการทไี ดพ้ บเหน็ สิงต่าง ๆ แล้วเกดิ ความอยากรู้อยากเหน็ กแ็ สวงหาคาํ อธิบาย วทิ ยาศาสตรไ์ ม่เชือหรือยดึ ถอื อะไรลว่ งหน้าอยา่ งตายตวั แต่จะอาศยั การทดสอบด้วยประสบการณส์ บื สาวไปเรือย ๆ จะไม่อา้ งองิ ถงึ สิง ศักดิสทิ ธิใด ๆ ทอี ยูน่ อกเหนือประสบการณแ์ ละการทดลอง วิทยาศาสตร์ แสวงหาความจรงิ สากล (Truth) ได้จากฐานทเี ป็ นความจรงิ เฉพาะองคค์ วามรู้ ในทางวิทยาศาสตรไ์ ด้จากประสบการณ์ ความรู้ใดทีอยู่นอกขอบเขตของ ประสบการณไ์ มถ่ อื ว่าเป็ นความรู้ หลักการพระพทุ ธศาสนาและหลักการทางวิทยาศาสตรม์ สี ว่ นทีตา่ งกนั ในเรืองนี คอื วทิ ยาศาสตรเ์ น้นความสนใจกับปัญหาทเี กดิ ขนึ จากประสบการณด์ ้าน ประสาทสัมผัส (ตา หู จมกู ลิน กาย) สว่ นพระพทุ ธศาสนาเน้นความสนใจกบั ปัญหาทเี กดิ ทางจติ ใจ หลักการทางพระพุทธศาสนามีส่วนคล้ายคลึงกบั หลกั การทางวิทยาศาสตรใ์ นหลายประการ เชน่ ในขณะทีมีนักวิทยาศาสตร์ กลุ่มหนึงมงุ่ แสวงหาความจริงของธรรมชาตทิ ีเรยี กวา่ วทิ ยาศาสตรบ์ รสิ ทุ ธิ (Pure Science) และมีนักวิทยาศาสตรอ์ ีกกลุ่มหนึงมุง่ แสวงหาความรู้ทจี ะ นาํ มากอ่ ให้เกดิ ประโยชนต์ ่อมนุษยท์ เี รียกว่า วทิ ยาศาสตรป์ ระยกุ ต์
๓.การคดิ ตามนัยแหง่ พระพทุ ธศาสนาและการคิดแบบวิทยาศาสตร์ การคดิ ตามนัยแหง่ พระพุทธศาสนาและการคิดแบบวิทยาศาสตรน์ ัน มคี วามสอดคลอ้ งกนั เป็ นอันมากจนมบี างคนกล่าวว่า พระพุทธศาสนาเป็ นวทิ ยาศาสตรท์ างจติ ใจ และโดยเหตุ ทพี ระพทุ ธศาสนาอุบตั ขิ ึนในโลกมนุษยก์ อ่ นวทิ ยาศาสตรก์ วา่ 2 พนั ปี จงึ น่าจะกลา่ วไดว้ ่า หลักเกณฑต์ า่ ง ๆ ทางวทิ ยาศาสตรซ์ ึงเกดิ ขึนภายหลัง ไปสอดคล้องกับหลกั การและ วธิ ีการของพระพทุ ธศาสนามากกว่าทงั พระพุทธศาสนาและวิทยาศาสตรม์ ีจดุ เน้น เหมือนกัน คอื สอนมใิ ห้คนงมงาย ควรนาํ สงิ ต่าง ๆ มาพจิ ารณาดว้ ยเหตุผล มีการ ทดสอบทดลอง ตรวจสอบ จนเกดิ ความแน่ใจและเชือดว้ ยตนเอง ด้วยปัญญาทสี ังสมไว้ ของตนเอง พระพทุ ธเจ้าได้ตรัสเตอื นมิใหค้ นเชืออะไรงา่ ย ๆ (กาลามสตู ร ตกิ นบิ าต อัง คุตรนิกาย) หรอื มศี รัทธาแบบตาบอด 10 ประการ คอื
1. อยา่ เชอื โดยฟังตามกันมา 2. อยา่ เชอื โดยเข้าใจวา่ เป็ นของเก่าสบื ๆ กนั มา 3. อยา่ เชอื เพราะตืนข่าว 4. อยา่ เชอื เพราะตาํ รากลา่ วไว้ 5. อย่าเชอื โดยนึกเดา 6. อย่าเชอื โดยการคาดคะเน 7. อยา่ เชอื โดยพจิ ารณาตามอาการ 8. อยา่ เชอื เพราะชอบใจว่าสอดคลอ้ งกับความเชือเดมิ หรือลทั ธิของตน 9. อย่าเชอื เพราะนับถอื ตวั ผู้พูดว่าควรเชือได้ 10. อยา่ เชอื เพราะผู้บอกเป็ นครู อาจารยข์ องตน (วิทยาศาสตร)์ สรรพสงิ ในจักรวาลอาจแบง่ ออกได้เป็ น 2 องคป์ ระกอบ คือ 1. สสาร 2. พลงั งาน (พระพทุ ธศาสนา)สรรพสิงในจกั รวาลอาจแบง่ ออกไดเ้ ป็ น 2 องคป์ ระกอบ คอื 1. รูป 2. นาม
(วทิ ยาศาสตร)์ 1. สสาร แบง่ เป็ น 3 สถานะ ของแข็ง ของเหลว ก๊าช (พระพุทธศาสนา)1. รูปตา่ ง ๆ แบ่งออกไดเ้ ป็ น “ธาต”ุ หรอื “ธรรมชาต”ิ 4 ประเภท ดนิ นาํ ลม ไฟ วิทยาศาสตรอ์ ธิบาย “ธรรมชาต”ิ โดยมแี นวคดิ วา่ มี 2 องคป์ ระกอบ คอื สสาร กับพลงั งาน และใชแ้ นวคิดนีอธบิ ายสิงต่าง ๆ ได้เป็ นส่วนมาก (กลา่ วแลว้ ใน ตอน 1.1) แนวคดิ ดังกล่าวนีสอดคลอ้ งพอดกี บั “รูป” ในทางพระพุทธศาสนา ซงึ ประกอบด้วย สสารและพลงั งาน แตพ่ ระพทุ ธศาสนายังมอี งคป์ ระกอบตัว ใหมซ่ ึงไม่มีในวิทยาศาสตร์ นันคอื องคป์ ระกอบทเี รยี กว่า “นาม” หรอื “จติ ” หรอื “มโน” หรอื “วญิ ญาณ” ซงึ เป็ นธรรมชาตทิ แี ตกต่างไปจากรูปนาม ประกอบดว้ ย 1. ความรูส้ ึก 2. ความจาํ 3. ความคิดปรุงแตง่ ซึงประกอบดว้ ยการวเิ คราะห์ / สังเคราะห์ 4. การรับรู้ทกุ สิง
๔.พระพุทธศาสนาเน้นความสมั พนั ธข์ องเหตุปัจจัยและวธิ ีการแกป้ ัญหา
หลกั ของเหตุปัจจยั หรือหลกั ความเป็ นเหตเุ ป็ นผล ซึงเป็ นหลักของเหตปุ ัจจัยที อิงอาศัยซงึ กันและกนั ทเี รยี กว่า \"กฎปฏจิ จสมปุ บาท\" ซงึ มีสาระโดยย่อดังนี \"เมืออนั นีมี อันนีจงึ มี เมอื อันนีไมม่ ี อนั นีกไ็ มม่ ี เพราะอันนีเกดิ อันนีจงึ เกดิ เพราะอนั นีดบั อันนีจงึ ดบั \"นีเป็ นหลักความจริงพืนฐาน วา่ สิงหนึงสงิ ใดจะเกดิ ขึนมาลอย ๆ ไม่ได้ หรอื ในชวี ติ ประจาํ วันของเรา \"ปัญหา\"ทเี กดิ ขนึ กบั ตัวเราจะ เป็ นปัญหาลอย ๆ ไม่ได้ จะตอ้ งมีเหตปุ ัจจัยหลายเหตทุ กี อ่ ใหเ้ กดิ ปัญหาขึนมา หากเราตอ้ งการแกไ้ ขปัญหากต็ ้องอาศัยเหตปุ ัจจัยในการแกไ้ ขหลายเหตุปัจจัย ไมใ่ ช่มีเพยี งปัจจัยเดยี วหรือมีเพยี งหนทางเดียวในการแกไ้ ขปัญหา เป็ นต้น คาํ ว่า \"เหตุปัจจัย\" พุทธศาสนาถอื วา่ สิงทที าํ ใหผ้ ลเกดิ ขนึ ไม่ใช่เหตอุ ย่างเดยี ว ตอ้ งมปี ัจจัยตา่ ง ๆ ดว้ ยเมือมปี ัจจยั หลายปัจจยั ผลก็ เกดิ ขนึ ตัวอยา่ งเช่น เราปลูกมะม่วง ต้นมะมว่ งงอกงามขึนมาต้นมะมว่ งถอื ว่า เป็ นผลทเี กดิ ขนึ ดงั นันตน้ มะม่วงจะเกดิ ขึนเป็ นต้นทสี มบูรณไ์ ด้ตอ้ งอาศัยเหตุ ปัจจยั หลายปัจจยั ทกี อ่ ใหเ้ กดิ เป็ นต้นมะม่วงได้ เหตปุ ัจจัยเหลา่ นันไดแ้ ก่ เมลด็ มะม่วง ดิน นาํ ออกซเิ จน แสงแดด อุณหภูมทิ ีพอเหมาะ ป๋ ยุ เป็ นต้น ปัจจยั เหล่านีพรังพร้อมจงึ ก่อใหเ้ กดิ ตน้ มะม่วง ตวั อยา่ งความสัมพันธข์ องเหตปุ ัจจยั เช่น ปัญหาการมผี ลสมั ฤทธิทางการเรยี นตาํ ซงึ เป็ นผลทเี กดิ จากการเรียนของ นักเรยี น มีเหตุปัจจยั หลายเหตปุ ัจจัยทีกอ่ ใหเ้ กดิ การเรียนอ่อน เชน่ ปัจจัยจาก ครูผสู้ อน ปัจจยั จากหลกั สูตรปัจจัยจากกระบวนการเรียนการสอนปัจจยั จาก การวัดผลประเมินผล ปัจจัยจากตัวของนักเรียนเอง เป็ นต้น
ความสัมพนั ธข์ องเหตปุ ัจจัย หรอื หลักปฏจิ จสมุปบาท แสดงใหเ้ หน็ อาการของ สงิ ทงั หลายสัมพันธเ์ นืองอาศัยเป็ นเหตปุ ัจจยั ต่อกนั อยา่ งเป็ นกระแส ในภาวะที เป็ นกระแสนี ขยายความหมายออกไปใหเ้ หน็ แงต่ ่าง ๆ ได้คือ - สงิ ทงั หลายมคี วามสมั พนั ธต์ อ่ เนืองอาศัยเป็ นปัจจยั แกก่ นั - สงิ ทงั หลายมีอยู่โดยความสมั พันธก์ นั - สงิ ทงั หลายมีอยู่ดว้ ยอาศัยปัจจยั - สงิ ทงั หลายไมม่ ีความคงทอี ยู่อย่างเดมิ แมแ้ ตข่ ณะเดยี ว (มี การเปลยี นแปลงอยตู่ ลอดเวลา ไมอ่ ยู่นิง) - สงิ ทงั หลายไมม่ ีอยโู่ ดยตวั ของมันเอง คอื ไมม่ ตี วั ตนที แทจ้ รงิ ของมัน - สงิ ทงั หลายไม่มีมูลการณ์ หรอื ต้นกาํ เนดิ เดมิ สุด แต่มี ความสมั พนั ธแ์ บบวฏั จกั ร หมุนวนจนไม่ทราบวา่ อะไรเป็ นตน้ กาํ เนิดทีแทจ้ ริง กฏปฏจิ จสมปุ บาท คือ กฏแหง่ เหตุผลทวี า่ ถ้าสิงนีมี สงิ นันก็มี ถ้าสิงนีดบั สงิ นันกด้ ับ ปฏจิ จสมุปบาทมอี งคป์ ระกอบ 12 ประการ คือ 1) อวิชชา คอื ความไมร่ ู้จริงของชีวิต ไม่รู้แจง้ ในอรยิ สัจ 4 ไมร่ ูเ้ ทา่ ทนั ตาม สภาพทเี ป็ นจรงิ 2) สงั ขาร คอื ความคดิ ปรุงแต่ง หรอื เจตนาทังทเี ป็ นกศุ ลและอกศุ ล 3) วิญญาณ คอื ความรับรูต้ ่ออารมณต์ า่ งๆ เชน่ เหน็ ได้ยนิ ได้กลิน รู้รส รู้ สมั ผัส 4) นามรูป คอื ความมีอยู่ในรูปธรรมและนามธรรม ได้แก่ กายกับจติ 5) สฬายตนะ คอื ตา หู จมูก ลิน กาย และใจ 6) ผัสสะ คือ การถกู ตอ้ งสมั ผสั หรอื การกระทบ
7) เวทนา คอื ความรู้สึกว่าเป็ นสขุ ทกุ ข์ หรืออเุ บกขา 8) ตัณหา คอื ความทะเยอทะยานอยากหรอื ความตอ้ งการในสิงทอี าํ นวย ความสุขเวทนา และความดนิ รนหลกี หนีในสิงทกี อ่ ทกุ ขเวทนา 9) อปุ าทาน คือ ความยดึ มันถอื มันในตวั ตน 10) ภพ คอื พฤตกิ รรมทแี สดงออกเพอื สนองอุปาทานนันๆ เพอื ใหไ้ ด้มาและ ใหเ้ ป้นไปตามความยดึ มันถอื มัน 11) ชาติ คอื ความเกดิ ความตระหนักในตวั ตน ตระหนักในพฤตกิ รรมของ ตน 12) ชรา มรณะ โสกะ ปรเิ ทวะ ทกุ ขะ โทมนัส อปุ ายาสะ คอื ความแก่ ความ ตาย ความโศกเศร้า ความครําครวญ ความไมส่ บายกาย ความไม่สบายใจ และ ความคับแค้นใจหรอื ความกลัดกล่มุ ใจ องคป์ ระกอบทงั 12 ประเภทนี พระพทุ ธเจ้าเรยี กว่า องคป์ ระกอบแหง่ ชีวติ หรอื กระบวนการของชีวิต ซึงมีความสัมพนั ธเ์ กียวเนืองกนั ทาํ นองปฏกิ ิริยาลูกโซ่ เป็ นเหตปุ ัจจัยต่อกัน โยงใยเป็ นวงเวยี นไมม่ ีต้นไม่มีปลาย ไม่มที ีสนิ สดุ กล่าวคือองคป์ ระกอบของชวี ติ ตามกฏปฏจิ จสมุปบาทดังกล่าวนีเป็ นสายเกดิ เรยี กวา่ สมทุ ยั วาร
๕.พระพุทธศาสนาเป็ นศาสตรแ์ หง่ การศกึ ษา คาํ ว่า “การศึกษา” มาจากคาํ ว่า “สิกขา” โดยทวั ไปหมายถงึ “กระบวนการ เรยี น “ “การฝึ กอบรม” “การคน้ คว้า” “การพฒั นาการ” และ “การรู้แจง้ เห็น จริงในสิงทงั ปวง” จะเหน็ ไดว้ ่า การศกึ ษาในพระพุทธศาสนามหี ลายระดับ ตังแตร่ ะดับตาํ สุดถงึ ระดับสูงสดุ เมือแบง่ ระดบั อยา่ งกว้าง ๆ มี 2 ประการคือ 1. การศึกษาระดับโลกยิ ะ มคี วามมุ่งหมายเพอื ดาํ รงชีวิต ในทางโลก 2. การศึกษาระดบั โลกุตระ มคี วามมงุ่ หมายเพือดาํ รงชวี ติ เหนือกระแสโลก ในการศกึ ษาหรือการพฒั นาตามหลักพระพุทธศาสนา นัน พระพุทธเจา้ สอนใหค้ นไดพ้ ฒั นาอยู่ 4 ด้าน คือ ดา้ นร่างกาย ด้านศีล ดา้ นจิตใจ และด้าน สตปิ ัญญา โดยมจี ดุ มุ่งหมายให้มนุษยเ์ ป็ นทังคนดแี ละคนเกง่ มใิ ชเ่ ป็ นคนดีแต่ โง่ หรอื เป็ นคนเก่งแต่โกง การจะสอนใหม้ นุษยเ์ ป็ นคนดีและคนเก่งนัน จะต้องมี
หลกั ในการศกึ ษาทถี กู ต้องเหมาะสม ซึงในการพฒั นามนุษยน์ ัน พระพุทธศาสนามุ่งสร้างมนุษยใ์ ห้เป็ นคนดกี อ่ น แล้วจงึ ค่อยสร้างความเกง่ ที หลงั นันคอื สอนใหค้ นเรามีคุณธรรม ความดงี ามกอ่ นแลว้ จงึ ใหม้ คี วามรู้ความ เขา้ ใจหรอื สตปิ ัญญาภายหลงั ความสัมพันธข์ องไตรสกิ ขา ความสมั พนั ธแ์ บบต่อเนืองของไตรสกิ ขานี มองเหน็ ได้ง่ายแมใ้ นชวี ติ ประจาํ วนั กล่าวคือ (ศลี -> สมาธิ) เมอื ประพฤตดิ ี มคี วามสัมพนั ธง์ ดงาม ได้ทาํ ประโยชนอ์ ยา่ งน้อยดาํ เนินชวี ิตโดยสุจรติ มันใจในความบริสทุ ธิของ ตน ไม่ ตอ้ งกลัวตอ่ การลงโทษ ไม่สะดงุ้ ระแวงต่อการประทษุ รา้ ยของคู่เวร ไม่ หวาดหวันเสียวใจต่อเสยี งตาํ หนิหรอื ความรู้สึก ไม่ยอมรับของสังคม และไม่มี ความฟุ้งซ่านวุ่นวายใจ เพราะความรู้สกึ เดอื ดร้อนรังเกยี จในความผดิ ของ ตนเอง จติ ใจกเ็ อิบอิม ชนื บานเป็ นสุข ปลอดโปร่ง สงบ และแน่วแน่ มุ่งไปกบั สงิ ทคี ิด คาํ ทพี ดู และการทที าํ (สมาธิ -> ปัญญา) ยงิ จติ ไม่ฟุ้งซา่ น สงบ อยู่กับตัว ไร้สิงขุ่นมวั สดใส มุ่งไปอยา่ งแน่วแน่เทา่ ใด การรับรู้ การคดิ พนิ ิจพจิ ารณามอง เหน็ และ เข้าใจสิงต่างๆกย้ งิ ชัดเจน ตรงตามจรงิ แลน่ คลอ่ ง เป็ นผลดีในทางปัญญามาก ขึนเทา่ นัน อุปมาในเรืองนี เหมือนว่าตังภาชนะนาํ ไว้ด้วยดเี รยี บร้อย ไม่ ไปแกล้งสันหรือเขยา่ มัน ( ศลี ) เมือนาํ ไม่ถกู กวน คน พดั หรอื เขยา่ สงบนิง ผง ฝ่ ุนต่างๆ กน็ อนก้น หายขุ่น นาํ กใ็ ส (สมาธิ) เมือนาํ ใส กม็ องเหน็ สิงตา่ งๆ ได้ ชัดเจน ( ปัญญา )
ในการปฏบิ ัตธิ รรมสงู ขึนไป ทถี งึ ขันจะใหเ้ กดิ ญาณ อันรู้แจง้ เหน็ จริงจนกาํ จดั อาสวกเิ ลสได้ กย็ งิ ตอ้ งการจติ ทสี งบนิง ผ่องใส มสี มาธิแน่วแน่ ยงิ ขึนไปอกี ถงึ ขนาดระงับการรับรู้ทางอายตนะตา่ งๆ ได้หมด เหลอื อารมณ์ หรอื สิงทกี าํ หนดไว้ใช้งาน แตเ่ พยี งอยา่ งเดยี ว เพือทาํ การอยา่ งไดผ้ ล จน สามารถกาํ จดั กวาดลา้ งตะกอนทนี อนกน้ ได้หมดสิน ไมใ่ หม้ ีโอกาสขนุ่ อกี ต่อไป
Search
Read the Text Version
- 1 - 19
Pages: