Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore โครงงานการละเล่นชนเผ่าม้ง

โครงงานการละเล่นชนเผ่าม้ง

Published by pee_sak, 2022-03-10 02:56:13

Description: รายวิชาประวัติศาสตร์ม.5 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564

Search

Read the Text Version

รายงานโครงงานวิชาประวตั ิศาสตร์ เร่ือง การละเล่นของชนเผ่าม้ง รายงานนเี้ ป็ นส่วนหนง่ึ ของการศึกษาวชิ าประวตั ศิ าสตร์ รหสั ส 32103 ช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 5 ภาคเรียนที่ 2 ปี การศึกษา2564 โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 26 จงั หวดั ลาพูน สานกั บริหารงานการศึกษาพเิ ศษ สานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้นั พื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ

รายงานโครงงานวชิ าประวตั ศิ าสตร์ เร่ือง การละเล่นของชนเผ่าม้ง โดย 1. นางสาวกญั ญาภรณ์ อนิ ถาปัน เลขที่ 8 ช้ัน ม.5/2 ช้ัน ม.5/2 2. นางสาวอริศรา โค๊ะก๋า เลขที่ 10 ช้ัน ม.5/2 ช้ัน ม.5/2 3. นายนพดล แซ่มัว่ เลขที่ 27 4. นายวทั ธิกร แซ่ว้าง เลขท่ี 24 เสนอ ครูพรี วุฒิ วงค์ตนั กาศ รายงานนเี้ ป็ นส่วนหน่ึงของการศึกษาวชิ าประวตั ิศาสตร์ รหัส ส 32103 ช้ันมธั ยมศึกษาปี ท่ี 5 ภาคเรียนที่ 2 ปี การศึกษา2564 โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 26 จังหวดั ลาพูน สานกั บริหารงานการศึกษาพเิ ศษ สานกั งานคณะกรรมการการศึกษาข้นั พืน้ ฐาน กระทรวงศึกษาธิการ

กติ ตกิ รรมประกาศ โครงงานน้ีสาเร็จลุลว่ งไดด้ ว้ ยความกรุณาเอาใจใส่ใหค้ าปรึกษาคาแนะนา จาก อาจารยพ์ ีรวุฒิ วงศต์ นั กาศ อาจารยท์ ี่ปรึกษาโครงงาน ซ่ึงให้คาแนะนาอยา่ งมีค่าต่อโครงงานใน คร้ังน้ีพร้อมท้งั คอยใหก้ าลงั ใจและช่วยเหลือดีตลอดมา ผจู้ ดั ทาขอกราบขอบพระคณุ เป็นอยา่ ง สูง ขอกราบขอบพระคุณครู ภมุ ริน ยมหา ท่ีใหค้ วามอนุเคราะห์ในการใชห้ อ้ ง คอมพิวเตอร์ในการจดั ทาโครงงานและใหศ้ ึกษาคน้ ควา้ ขอ้ มูลทางอินเทอร์เน็ต ท่ีเก่ียวของกบั โครงงานในคร้ังน้ี ผจู้ ดั ทาขอกราบพระคณุ ในความกรุณาอยา่ งยงิ่ ขอกราบขอบพระคุณครูมนวภิ า ชนะทิพย์ ท่ีใหค้ วามอนุเคราะหใ์ นการให้ขอ้ มลู และใหศ้ ึกษาคน้ ควา้ ขอ้ มลู ในหอ้ งสมุด และไดใ้ หข้ อ้ แนะนาเกี่ยวกบั หนงั สือที่เก่ียวขอ้ งกบั โครงงานในคร้ังน้ี ผจู้ ดั ทาขอกราบขอบพระคณุ ในความกรุณาเป็นอยา่ งยงิ่ สุดทา้ ยน้ี ขอกราบขอบพระคณุ คุณพ่อ คณุ แม่ และผปู้ กครองทกุ ทา่ น ผูเ้ ป็น กาลงั ใจใหโ้ อกาสทางการศึกษาแก่ผจู้ ดั ทาเสมอมา คุณประโยชนจ์ ากการทาโครงงานเล่มน้ี ผจู้ ดั ทาขอมอบบชู าพระคุณ บิดา มารดา ครู อาจารย์ ตลอดจนผมู้ ีพระคณุ ทุกท่านที่ไดอ้ บรมสัง่ สอนและช้ีแนะแนวทางแก่ผูจ้ ดั ทาเสมอมา ผูจ้ ดั ทาหวงั เป็นอยา่ งยงิ่ วา่ โครงงานฉบบั น้ีจะเป็น ประโยชนต์ ่อครูผสู้ อน ตลอดจนผทู้ ่ีสนใจโดยทวั่ ไป

คานา รายงานโครงงานเล่มน้ีจดั ทาข้ึนเพ่ือเป็นส่วนหน่ึงของวิชา ประวตั ิศาสตร์ รหสั วิชา ส 32103เพื่อไดศ้ ึกษาหาความรู้ในเรื่องของโครงงานภมู ิปัญญาทอ้ งถ่ิน โดยไดศ้ ึกษาผา่ นแหลง่ ความรู้ ต่างๆ อาทิเช่น หนงั สือ หอ้ งสมุด และแหลง่ ความรู้จากเวบ็ ไซตต์ ่างๆ โดยรายงานโครงงานเล่มน้ีมี เน้ือหาเกี่ยวกบั ประวตั ิความเป็นมาของชนเผา่ มง้ การละเล่นในชนเผา่ มง้ ท้งั การละเลน่ ในพิธีกรรม การละเล่นในชีวติ ประจาวนั และการละเลน่ ที่ประยกุ ตแ์ ละจุดประสงค์ อุปกรณ์ วิธีการทา และวธิ ีเลน่ ในการละเล่นตา่ งๆ ผจู้ ดั ทาคาดหวงั เป็นอยา่ งยง่ิ วา่ การจดั ทารายงานโครงงานเลม่ น้ีจะมีขอ้ มูลที่เป็นประโยชน์ ตอ่ ผทู้ ี่สนใจศึกษาการละเล่นของชนเผา่ มง้ เป็นอยา่ งดี หากผจู้ ดั ทาได้ทาผดิ พลาดประการใด กข็ อนอ้ ม รับไวแ้ ละขออภยั มา ณ ท่ีน้ี นางสาวกญั ญาภรณ์ อินถาปัน นางสาวอริศรา โค๊ะก๋า นายวทั ธิกร แซ่วา้ ง นายนพดล แซ่มว่ั

สารบัญ หน้า เรื่อง ก บทคัดย่อ ข กติ ตกิ รรมประกาศ ค คานา ง สารบญั 1 บทที่ 1 บทนา 1-2 3 - ที่มาและความสาคญั - วตั ถุประสงคข์ องโครงงาน 4 บทท่ี 2 เอกสารที่เกยี่ วข้อง 4-6 6-9 - การละเลน่ พ้ืนบา้ นไทย - การละเล่นของแตล่ ะชนเผา่ 10 บทท่ี 3 วิธกี ารดาเนินงาน 10 10-11 - กาหนดหวั ขอ้ ท่ีจะศึกษา 11 - สืบคน้ และรวบรวมขอ้ มลู 11-12 - การประเมินคุณค่าของหลกั ฐาน 12 - นาขอ้ มลู มาวิเคราะห์ สงั เคราะห์ และจดั หมวดหมู่ 13-14 - เรียบเรียงและนาเสนอ - ตารางการดาเนินงาน 15 บทท่ี 4 ผลการศึกษา 15-17 17-23 - ประวตั ิความเป็นมาของชนเผ่ามง้ 23-27 - การละเลน่ ในพิธีกรรม 27-28 - การละเล่นทว่ั ไป - การละเลน่ ท่ีประยกุ ตแ์ ลว้

บทที่ 5 สรุปผลการศึกษาและข้อเสนอแนะ 29 - สรุปผลการศึกษา 29 - ขอ้ เสนอแนะ 29 ภาพผนวก 30-31 บรรณานุกรม 32

บทท่ี 1 บทนา ทม่ี าและความสาคญั ประเทศไทยนอกจากจะมีความหลากหลายทางชีวภาพแลว้ ยงั มีความหลากหลายทาง ประวตั ิศาสตร์ ภาษา และวฒั นธรรมของประชาชนในชาติ ซ่ึงรวมถึงกลมุ่ ชาติพนั ธุ์และชนเผา่ ต่าง ๆ ท่ีมี วิถีชีวิตแตกตา่ งกนั ไป โดยแบ่งได้ เป็นกลมุ่ ชาติพนั ธุภ์ าษาท้งั สิ้นถึง 70 กลุ่ม กระจายอยใู่ นส่วนตา่ ง ๆ ของประเทศ แบ่งออกเป็นสองลกั ษณะ คือ มีความสัมพนั ธเ์ ชิงเช้ือสายหรือตระกูลภาษา ซ่ึงแบ่งเป็น ตระกูลใหญ่ๆ ได5้ ตระกลู ไดแ้ ก่ ตระกลู ไท 24 กลุ่ม , ตระกูลออสโตรเอเชียติก 23 กลุ่ม, ตระกูล ออสโตรเนเซียน 3 กลุ่ม, ตระกลู จีน-ธิเบท 21 กล่มุ และตระกูลมง้ เม่ียน 2 กลุม่ และ ความสัมพนั ธเ์ ชิง สังคมของกล่มุ ชาติพนั ธุภ์ าษา กล่มุ ชาติพนั ธุท์ ้งั กวา่ 70 กลมุ่ จากตระกูล ภาษาตา่ ง ๆ น้นั มีสถานภาพ ทางสงั คมหรือมีบทบาทหนา้ ที่แตกต่างกนั ไป ในระดบั ประเทศ ระดบั ทอ้ งถิ่นภมู ิภาค และระดบั ชุมชน โดยมีภาษาไทยมาตรฐานเป็นภาษาที่ใชเ้ ช่ือมโยงกลุม่ ชาติพนั ธุภ์ าษาต่างๆ และในกลุม่ ชาติพนั ธุท์ ้งั 70 กลุม่ น้ียงั มีวฒั นธรรมท่ีเป็นเอกลกั ษณ์ของแต่ละชนเผา่ ท่ีมีความแตกตา่ งกนั ออกไปท่ีไม่ซ้ากนั และใน วฒั นธรรมท่ีแตกตา่ งกนั น้นั การละเลน่ เป็นอีกวฒั นธรรมหน่ึงท่ีเป็นเอกลกั ษณ์ของแต่ละกลุ่มแตล่ ะชาติ พนั ธ์ การละเลน่ ของไทยในสมยั ก่อนน้นั มีวธิ ีการเล่นที่สนุกสนานและหลากหลาย การละเลน่ ของเดก็ สมยั ก่อนที่นิยมเล่นกนั ในชีวติ ประจาวนั น้นั และสืบทอดมาจากคนรุ่นก่อน ซ่ึงบางประเภทมี บทร้อง และท่าทางประกอบ ส่วนกฎเกณฑต์ ่าง ๆ มกั มีการกาหนดข้ึนเองตามขอ้ ตกลงของกลมุ่ ผเู้ ลน่ ใน แตล่ ะทอ้ งถิ่น บางคร้ังก็เลน่ ตามความสนุกสนานร่าเริง แต่บางคร้ังก็เล่นเพื่อการแขง่ ขนั ซ่ึงทาใหไ้ ดร้ ับ ความบนั เทิงจากการละเล่นไมใ่ ช่นอ้ ย ขณะเดียวกนั ก็ยงั ไดเ้ พมิ่ พูนทกั ษะทางร่างกายและจิตใจ ไปพร้อม กนั ดว้ ย ซ่ึงการละเล่น พ้นื บา้ นของไทยเรากม็ ีใหเ้ ลือกเลน่ มากมายตามแตเ่ วลา โอกาส และสถานที่ เอ้ืออานวย แตใ่ นปัจจุบนั สังคม มีการเปลี่ยนแปลงไปทาใหก้ ารละเล่นพ้ืนบา้ นของไทยน้นั เลือนหายไป จึงเป็นเร่ืองน่าเสียดายท่ีคนรุ่นต่อมาอาจไมท่ ราบถึงการละเลน่ ของไทยท่ีสนุกสนาน เพราะไม่รู้ถึง วิธีการเลน่ และประโยชนข์ องการละเล่นพ้นื บา้ น การละเล่นพ้ืนบา้ นของไทยถือเป็นหน่ึงวฒั นธรรมท่ีเป็นเอกลกั ษณ์เฉพาะของแต่ละ ทอ้ งถ่ิน

ซ่ึงมีส่วนสัมพนั ธ์ใกลช้ ิดกบั การดาเนินชีวติ และสภาพแวดลอ้ มเป็นสาคญั ในอดีตการละเลน่ พ้นื บา้ น ของไทยน้นั ถือเป็นกิจกรรมผ่อนคลายในยามวา่ งหรือเป็นการใชเ้ วลาวา่ งใหเ้ ป็นประโยชน์ หลาย การละเลน่ มีลกั ษณะเป็นกศุ โลบายสร้างเสริมความสามคั คีและการเอ้ือเฟ้ื อซ่ึงกนั และกนั การละเล่น พ้นื บา้ นน้นั มีรากฐานมาจากการเล่นของเด็ก ยามท่ีวา่ งจากการเรียน เพ่อื พฒั นาทกั ษะความรู้ จิตใจ สังคม และอารมณ์เป็นหลกั นอกจากน้นั จะพบวา่ การละเลน่ พ้ืนบา้ นของไทยหลายชนิดที่เป็นกิจกรรม ผอ่ นคลายความเครียดระหวา่ งงาน หรือยามเสร็จสิ้นภารกิจการงาน ปัจจุบนั น้ีเป็นที่น่าเคลือบแคลง อยา่ งยงิ่ วา่ การละเล่นพ้ืนบา้ นของไทยน้นั มีไวเ้ พอื่ แสดงโชวน์ กั ทอ่ งเท่ียวทวั่ ไปเทา่ น้นั การละเลน่ พ้นื บา้ นของไทยท่ีเคยเป็นวฒั นธรรม กลบั ถกู กลืนหายไปดว้ ยนวตั กรรมใหม่ และโลกแห่ง เทคโนโลยกี ารสื่อสาร จนบดั น้ีเด็กยคุ ใหม่แทบจะไม่รู้จกั การละเล่นพ้ืนบา้ นของไทยเสียดว้ ยซ้า ทาใหเ้ ด็กในสมยั น้ีน้นั ลืมการละเลน่ เก่าๆที่คนในสมยั เก่าน้นั เขาเลน่ กนั ทาใหเ้ ร่ืองราวเก่ียวกบั การละเลน่ ท่ีสนุกสนานน้นั ไดห้ ายไป แตก่ ็ยงั มีบางคนน้นั ยงั เล่าเร่ืองราวเก่าๆของตวั เองที่เคยไดเ้ ลน่ มา ใหก้ บั เด็กสมยั น้ีไดฟ้ ังและจดจาบางคร้ังอาจมีเร่ืองราวน้นั ออกตาม โทรทศั น์ หรือจดั พิมพอ์ อกตาม หนงั สือพมิ พ์ มง้ เป็นอีกชนเผา่ หน่ึงท่ีมีวฒั นธรรมที่เป็นเอกลกั ษณ์ของตนเองที่แตกตา่ งออกไปจากชนเผา่ อ่ืนคือ ชนเผา่ มง้ โดยท่ีชนเผา่ มง้ น้ียงั มีอีกหน่ึงเอกลกั ษณ์ท่ีโดดเด่นคือ การละเล่น ซ่ึงแตกต่างจาก การละเล่นของไทยที่นิยมเล่นชนเผา่ มง้ น้ีก็มีการจดั กิจกรรมท่ีสาคญั หลายๆกิจกรรม อีกหน่ึงกิจกรรมท่ี สาคญั น้นั คือ กิจกรรม ปี ใหม่มง้ ซ่ึงเป็นกิจกรรมการแสดงและการละเล่นต่างๆจดั กิจกรรมน้ีเพ่ือใหท้ ุก คนไดม้ าแสดงความสามารถของตนเอง ใหค้ นอ่ืนๆไดเ้ ห็นความสามารตนเอง ช่วงเทศกาลปี ใหมเ่ ป็นช่วงพกั ผอ่ น และเป็นโอกาสในการเลือกค่คู รองเพราะกิจกรรมรวม ผคู้ นจากต่างหมู่บา้ น เทศกาลปี ใหม่ยงั แสดงใหเ้ ห็นความสัมพนั ธท์ างสงั คม ดงั เช่น การกราบไหวผ้ หู้ ลกั ผใู้ หญ่ในเผา่ นอกจากน้ี ยงั แสดงใหเ้ ห็นความผกู พนั วิถีความเชื่อ เช่น การฆ่าสตั วเ์ พ่ือเซ่นไหว้ การ กราบไหวเ้ ทพยดา ผี วิญญาณของบรรพชน การถือฤกษง์ ามยามดีท้งั หญิงและชาย ต่างพากนั สวมชุด ประจาเผา่ กนั ทุกคน ดว้ ยเครื่องแตง่ กายอนั วิจิตรงดงาม ซ่ึงแต่เดิมน้นั จะนิยมสวมใส่เส้ือสีดาแขนยาว ปลายแขนเส้ือจะมีการปักลวดลายอยา่ งสวยงาม ขอบแขนเส้ือจะมีการตกแตง่ ดว้ ยผา้ ที่ต่างสีจากตวั เส้ือ ทุกวนั น้ีแมง้ านปี ใหม่ มง้ คงจดั ตามช่วงเวลาส่งทา้ ยปี ตามจนั ทรคติ หรือจะตกอยรู่ าวเดือน พฤศจิกายนถึงเดือนมกราคม แตค่ วามหลากหลายของผคู้ น ลกั ษณะการแต่งกาย การจดั งานและ หน่วยงานในระดบั ทอ้ งถ่ินมีบทบาทอยา่ งเป็นทางการมากข้นึ ในทางหน่ึงส่งผลต่อการเปล่ียนแปลงที่

สนองการทอ่ งเที่ยวแต่ขณะเดียวกนั อาจเป็นโอกาสอนั ดีใหเ้ กิดการส่ือสารขา้ มวฒั นธรรมผา่ นงานร่ืนเริง และการละเล่นเพือ่ ใหท้ กุ คนไดส้ นุกสนานกบั การเลน่ ปี ใหม่ที่ 1 ปี จะมีเพียงคร้ังเดียวทุกคนเลยใช้ ช่วงเวลาน้ีในการหาความสุขใหก้ บั ตวั เองและใชช้ ่วงเวลาน้ีไดม้ าพบกบั เพือ่ นๆที่ไม่ไดเ้ จอกนั มานาน สนุกสนานกบั เพอื่ นๆในช่วงเวลาน้ี ถึงจะไมน่ านกต็ าม แต่กเ็ ป็นสิ่งที่มอบความสุขใหก้ บั ทกุ ๆคน จากท่ีกล่าวมาขา้ งตน้ น้ีการละเลน่ ในสมยั ก่อนน้นั ไดม้ ีการเปลี่ยนแปลงหรือมีการหาย สาบสูญไปเน่ืองจากคนในสมยั น้ีใชเ้ ทคโนโลยสี ่วนมากเป็นการสื่อสารหรือใชใ้ นการกละเลน่ ต่างๆที่ แตกต่างออกไปจากยคุ สมยั ก่อนที่ไม่มีเทคโนโลยมี าใชใ้ นการส่ือสารหรือใชใ้ นการละเลน่ ตา่ งๆ เหตผุ ลที่ศึกษาเร่ืองน้ีคือ ในกลุ่มของเราน้นั มีชาติพนั ธุ์ มง้ อยจู่ ึงตอ้ งการที่จะศึกษาเกี่ยวกบั การละเล่นของชนเผา่ มง้ วัตถปุ ระสงค์ 1. ศึกษารวบรวมการละเลน่ ของชนเผา่ มง้ 2. ศึกษาวธิ ีการเลน่ อุปกรณ์ในการละเลน่ ของชนเผา่ มง้

บทท่ี 2 เอกสารทีเ่ กย่ี วข้อง ในการจดั ทาโครงงานเรื่อง การละเล่นของชนเผ่ามง้ น้ีผูจ้ ดั ทาโครงงานไดศ้ ึกษาเอกสาร และจากเวบ็ ไซตต์ า่ งๆ ท่ีเกี่ยวขอ้ งดงั ตอ่ ไปน้ี 1.การละเล่นพ้นื บา้ นไทย 2.การละเล่นของแตล่ ะชนเผา่ 1. การละเล่นพืน้ บ้านไทย 1.1.ความหมายของการละเล่นพื้นบ้านไทย เป็นกิจกรรมการเลน่ ของสงั คม เป็นกิจกรรม นนั ทนาการหน่ึงซ่ึงไดร้ ับการยอมรับร่วมกนั ในสังคม โดยมีรากฐานมาจากความเป็นจริง แห่งวิถีชีวิตของชุมชนท่ีมีการประพฤติปฏิบตั ิสืบทอดกนั มาจากอดีตสู่ปัจจุบนั การละเลน่ แสดงออกดว้ ยการเคล่ือนไหวกริยาอาการเป็นหลกั อาจมีดนตรีการขบั ร้องหรือการฟ้อนรา ประกอบการเลน่ มีจุดมุง่ หมายเพื่อความสนุกสนานเพลิดเพลินในโอกาสตา่ ง ๆ การละเล่น บางชนิดไดร้ ับการถ่ายทอดสืบสานต่อกนั มา และปรับปรุงเปล่ียนแปลงเพอ่ื พฒั นารูป แบบอยา่ งต่อเน่ืองจนมีลกั ษณะเฉพาะถิ่นดงั น้ีการละเลน่ พ้ืนบา้ นจึงเป็นผลิตผลอนั เกิดจาก ความคดิ และจินตนาการของมนุษย์ ยอ่ มสะทอ้ นถึงโลกทศั นภ์ มู ิธรรมและจิตวิญยาณของ บรรพชนในทอ้ งถ่ินที่ไดถ้ กู หลอ่ หลอมจนตกผลึกเป็นภมู ิปัญญาอนั ทรงคุณคา่ และได้ กลายเป็นมรดาวฒั นธรรมของทอ้ งถ่ินและของประเทศชาติ 1.2.ประเภทของการละเล่นพืน้ บ้านไทย ลกั ษณะของกิจกรรมบนั เทิงท่ีจดั อยใู่ น การละเล่น ไดแ้ ก่ 1.2.1. การแสดง หมายถึงการละเล่นท่ีรวมท้งั ที่เป็นแบบแผนและการแสดง ทวั่ ไปของชาวบา้ นในรูปแบบการร้องกาบรรเลงการฟ้อนราซ่ึงประกอบดว้ ย ดนตรี เพลงและนาฏศิลป์

1.2.2. มหรสพ หมายถึงการแสดงที่ฝ่ายบา้ นเมืองจะเรียกเก็บค่าแสดงเป็นเงิน ภาษีแผน่ ดินตามพระราชบญั ญตั ิท่ี กาหนดไว้ ต้งั แต่พทุ ธศกั ราช 2404 เป็นตน้ มาประกาศมหรสพวา่ ดว้ ยการละเลน่ หลายประเภทดงั น้ี ละครงิ้วหุ่นหนงั ตา่ งๆสักวาเสภา ลิเก กลองยาว ลาวแพน มอญราและทวายรา พณิ พาทย์ มโหรี กลองแขก คฤหสั ถส์ วดศพ และจาอวด 1.2.3. กีฬาและนนั ทนาการ คือ การละเลน่ เพื่อความสนุกสนานตามเทศกาล และเลน่ ตามฤดูกาล และการละเลน่ เพ่ือการแข่งขนั หรือกิจกรรมที่ทาตาม ความสมคั รใจในยามวา่ ง เพ่ือใหเ้ กิดความสนุกสนาน เพลิดเพลิน และ ผอ่ น คลายความตึงเครียด 1.3.การละเล่นแต่ละชนดิ การละเลน่ กลางแจง้ และการละเลน่ ในร่ม และในแต่ละประเภท กย็ งั แบ่งยอ่ ยอีกเป็นการละเล่นที่มีบทร้องประกอบ กบั ที่ไม่มีบทร้องประกอบการละเล่น กลางแจง้ ท่ีมีบทร้องประกอบไดแ้ ก่ โพงพาง เสือไล่หมู่ อา้ ยเขอ้ า้ ยโขงซ่อนหาหรือโป้งแปะ เอาเถิด มอญซ่อนผา้ รีรีขา้ วสาร ที่มีคาโตต้ อบ เช่น งูกนั หาง แมน่ าคพระโขนง มะลอ็ กกอ๊ ก แกก็ เขยง่ เก็งกอย ที่ไม่มีบทร้องประกอบ ไดแ้ ก่ ลอ้ ต๊อก หยอดหลุม บอ้ หุ้น ลกู ด่ิง ลกู ข่าง ลกู หิน เตยหรือตาลอ่ ง ขา้ วหลามตดั ววั กระทิง ลูกช่วง ห่วงยาง เสือขา้ มหว้ ยเค่ียว เสือขา้ ม หว้ ยหมู่ ตี่จบั แตะหุ่น ตาเขย่ง ยงิ หนงั สะต๊ิก ปลาหมอ ตกกะทะ ตีลูกลอ้ การเล่นวา่ ว กระโดดเชือกเดี่ยว กระโดดเชือกคู่ กระโดดเชือกหมู่ ร่อนรูป หลมุ เมือง ทอดกะทะ หรือ หมนุ นาฬิกา ขีม่ า้ ส่งเมือง กาฟักไข่ ตีโป่ ง ชกั คะเยอ่ โปลิศจบั ขโมย สะบา้ เสือกนั ววั ขี่มา้ กา้ นกลว้ ย กระดานกระดก วิ่งสามขา วง่ิ สวมกระสอบ วิ่งทน ยงิ เป็นกา้ นกลว้ ย การละเล่น ในร่มที่มีบทร้องประกอบ ไดแ้ ก่ ข้ตี กู่ ลางนา ซกั ส้าว โยกเยก แมงมุม จบั ปดู าขยาปูนา จีจ่อ เจี๊ยบ เดก็ เอ๋ยพาย จ้าจ้ี ท่ีไมม่ ีบทร้องประกอบ ไดแ้ ก่ ดีดเมด็ มะขามลงหลมุ อีขดี อีเขียน อี ตกั เสือตกถงั เสือกนั ววั หมากกินอิ่ม สีซอ หมากเกบ็ หมากตะเกียบ ปั่นแปะ หวั กอ้ ย กา ทาย ทายใบสน ตีไก่ เป่ ากบ ตีตบแผละ กดั ปลา นาฬิกาทางมะพร้าว กงจกั ร ต่อบา้ น พบั กระดาษ ฝนรูป จูงนางเจา้ หอ้ ง การเล่นเลียนแบบผใู้ หญ่เช่นเล่นเป็นพ่อเป็นแม่ เลน่ แตง่ งาน เล่นหมอ้ ขา้ วหมอ้ แกง แคะขนมครกเลน่ ขายของ เล่นเขา้ ทรง ทายคาปริศนา นอกจากน้นั ยงั มีทบร้องเล่น เช่น จนั ทร์เอ๋ย จนั ทร์เจา้ ขอขา้ วขอแกงแกง....และบทลอ้ เลียน เช่น ผมจุก คลุกน้าปลา เห็นข้ีหมานงั่ ไหวก้ ระจ๊องหง่อง เป็นตน้ การละเล่นท่ีเลน่ กลางแจง้ หรือในร่มก็

ไดท้ ี่ไมม่ ีบทร้อง ไดแ้ ก่ ลิงชิงหลกั ขายแตงโม เกา้ อ้ีดนตรี แข่งเรือคน ดมดอกไมป้ ิ ดตาตี หมอ้ ปิ ดตาต่อหาง โฮกป๊ี บ เป่ ายิงฉุบ 2.การละเล่นของแต่ละชนเผ่า 1.1.การละเล่นของชนเผ่ากะเหร่ียง การละเล่นราตง เป็นศิลปะการแสดงพ้นื บา้ นของ ชาวเขาเผา่ กะเหร่ียง (โปว)์ ในทอ้ งท่ีบา้ นกองม่องทะ ตาบลไลโ่ ว่ อาเภอสงั ขละบุรี จงั หวดั กาญจนบุรี ซ่ึงเกิดข้ึนดว้ ยความเชื่อมน่ั และความศรัทธา โดยยกหลกั ธรรมคาสอนในองค์ พระสมั มาสัมพทุ ธเจา้ ตลอดจนคติความเชื่อตา่ งๆ เพื่อใชเ้ ป็นการอบรมสง่ั สอนลกู หลาน ชาวกะเหรี่ยง การราตง ผูแ้ สดงจะเป็นหญิงหรือชายกไ็ ด้ โดยทวั่ ไปนิยมใชผ้ แู้ สดงหญิงสาว ท่ียงั ไม่แตง่ งานจานวน 12-16 คน หรืออาจมากกวา่ ท้งั น้ีข้ึนอยกู่ บั สถานท่ีแสดง ซ่ึงอาจเป็น เวทีในร่มหรือสนามหญา้ ต้งั แถวเป็นแถวลึกประมาณ 5-6 แถว ยนื ห่างกนั ประมาณ 1 ช่วง แขน ส่วนการแตง่ กายน้นั แยกตามลกั ษณะของหญิงและชายโดยผหู้ ญิงจะสวมชุดกระโปรง สีขาวยาวกรอมเทา้ หรือท่ีภาษากะเหรี่ยงเรียกวา่ “ไช่ก่กู ๋ี” เป็นเคร่ืองแต่งกายประจาชนเผา่ ของหญิงสาวชาวกะเหรี่ยง มีลกั ษณะเป็นเส้ือกระโปรงยาวกรอมเทา้ สีขาว บางคร้ังจะทอ เป็นลวดลายสีแดงในแนวต้งั บางคร้ังทอยกดอกเป็นตาราง มีพูห่ อ้ ยเป็นระยะ คอแหลม คาด เขม็ ขดั เงินที่เอว สาหรับผชู้ ายก็ใส่ชุดประจาเผา่ เป็นเส้ือสีแดง นุ่งโสร่ง เครื่องดนตรีท่ีใช้ ประกอบการแสดง ไดแ้ ก่ กลองสองหนา้ ระนาด ฆอ้ งวง พิณหรือปี่ ฉ่ิง ตง (ไมไ้ ผย่ าว ประมาณ 30 เซนติเมตร เซาะเป็นร่องใชไ้ มต้ ีใหจ้ งั หวะ) ในดา้ นของท่าราเป็นท่าที่เรียบง่าย เพ่อื ตอ้ งการความพร้อมเพรียง คลา้ ยกบั ฟ้อนพมา่ เอกลกั ษณ์อยทู่ ่ีการย่าเทา้ ดว้ ยจงั หวะท่ี สม่าเสมอตลอดท้งั เพลง อปุ กรณ์ท่ีใชป้ ระกอบการแสดง คือ ผา้ เชด็ หนา้ ท่ีผกู กบั นิ้วกลางขา้ งขวา ท้งั น้ี เพ่ือเสริมใหเ้ ห็นความพร้อมเพรียงในการรามากยง่ิ ข้นึ โดยเฉพาะในทา่ ท่ีตอ้ งเคล่ือนไหว ดว้ ยการใชอ้ ปุ กรณ์ในมือ หรือเม่ือมีการสะบดั ขอ้ มือ ในส่วนของบทเพลงร้องประกอบการ แสดง เน้ือหาในการแสดงโดยส่วนใหญเ่ ก่ียวกบั ชีวติ ความเป็นอยู่ ความเชื่อและความ ศรัทธาเฉพาะกลุ่มชน ราตงจึงมีสัมพนั ธใ์ กลช้ ิดกบั วถิ ีชีวติ ของชาวกะเหร่ียงเป็นอยา่ งมาก แตไ่ ม่นิยมจดั แสดงบ่อยคร้ังนกั จะแสดงในงานท่ีสาคญั ๆ ไดแ้ ก่ งานสงกรานต์ งานศพ ประเพณีทาบุญขา้ วเปลือกใหม่ ซ่ึงประเพณีดงั กลา่ วมีพิธีกรรมทาบุญรับขวญั ขา้ วใหมแ่ ละ

ขอบคุณพระแม่โพสพ ราตงถกู นามาใชเ้ ป็นเคร่ืองถวายสักการะเพือ่ ความเป็นสิริมงคล โดย ราตงท่ีนามาจดั แสดงถวายน้ีมกั มีเรื่องราวที่เก่ียวขอ้ งกบั หลกั ธรรมคาสอนในองคพ์ ระ สัมมาสมั พทุ ธเจา้ ตลอดจนคติความเชื่อต่างๆ เพื่อใชเ้ ป็นการอบรมส่งั สอนลูกหลานชาว กะเหรี่ยง 1.2 การละเล่นชนเผ่าอาข่า การเต้นรา (บ่อฉ่องตเู ออ) จะ เล่นในช่วงที่มีพิธีกรรม หรือ ประเพณีเท่าน้นั โดยท้งั ชาย และหญิงจะแต่งกายดว้ ยชุดประจาเผา่ ที่งดงาม แลว้ มารวมตวั กนั ท่ีลานหมู่บา้ น หรือท่ีๆ มีพ้ืนที่กวา้ งขวางโดยจะมีอุปกรณ์ที่ใชใ้ นการเตน้ ราดงั น้ี กลองที่ ทามาจากไม้ หนงั ววั -กวาง (ถ่อง) ฆอ้ ง (โบวโล) ฉิ่ง (แจและ) และกระบอกไม้ (บอ่ ฉ่อง) สาหรับลกั ษณะการเตน้ กม็ ีหลายแบบดว้ ยกนั ดงั น้ี - เตน้ เป็นวงกลมโดยทกุ คนจะเตน้ เป็นจงั หวะตามเสียงกลอง โดยจะเตน้ จาก ดา้ นซา้ ยไปยงั ดา้ นขวาอยา่ งพร้อม เพรียงกนั -เตน้ แบบราวกระทบไม้ เป็นการเตน้ ท่ีเนน้ ในเนื่องของจงั หวะ โดยผหู้ ญิงจะ มี กระบอกไมไ้ ผส่ าหรับกระทบไมแ้ ลว้ ให้ เกิดเสียงดงั และผชู้ ายกอ็ าจเตน้ เป็น วงกลมลอ้ มรอบผหู้ ญิงกไ็ ด้ 1.3 การละเล่นชนเผ่าลาหู่ การเต้นจะคึ (ปอย เต เว) เป็นการบ่งบอกถึงความหลากหลาย ของการทามาหากิน จะเตน้ ในช่วงที่มีงานประเพณี (กินวอ) เตน้ เพ่ือเฉลิมฉลองในงาน ประเพณี และเป็นการกล่าวขอบคณุ แขกท่ีมาร่วมในงานพิธีกรรม อาจมาจากต่างหมู่บา้ น หรือต่างทอ้ งถิ่น การเตน้ จะคึ จะเป็นการเตน้ เป็นจงั หวะ ตามเสียงกลอง (เจะโข่) ฉิ่งฉาบ (แซ) และฆอ้ ง (โบโลโก่) โดยจะมีทา่ ทางประกอบหลากหลายทา่ อยา่ งพร้อมเพรียงกนั เช่น ทา่ เก่ียวขา้ ว ทา่ ตกั ขา้ ว และ ทา่ ตีขา้ ว เป็นตน้ การเตน้ จะคึจะมีอีกหลากหลายท่า คอื ท่า สวสั ดี ท่าขอบคณุ และยนิ ดีตอ้ นรับ ก็จะมี อยใู่ นตวั ทา่ สวสั ดี และยนิ ดีตอ้ นรับ น้นั จะอยใู่ น จงั หวะเดียวกนั ช่วงปี ใหม่ หรือกินวอ จะมีแขกจากบา้ นอื่นมาเที่ยว และชาวลาหู่จะมีการ เตน้ จะคึ เพ่ือเป็นการตอ้ นรับแขกท่ีมาร่วมในงาน 1.4 การละเล่นชนเผ่าม้ง การละเล่นลูกช่วง ในวาระข้ึนปี ใหม่มง้ จะมีการละเล่นเพอ่ื ฉลองวนั ปี ใหม่โดยเฉพาะ การเลน่ ลกู ช่วง (ntsum pob) หรือท่ีเรียกกนั วา่ “จุเป๊ าะ” ลูกช่วง (pob) มี ลกั ษณะกลมเหมือนลกู บอลทาดว้ ยเศษผา้ มีขนาดเลก็ พอที่จะถือดว้ ยมือขา้ งเดียวได้

การละเลน่ ลกู ช่วง จะแบง่ กลุ่มผเู้ ลน่ ออกเป็น 2 ฝ่าย คือ ฝ่ายหญิงกบั ฝ่ายชายโดยที่ก่อนจะมี การละเล่น ฝ่ายหญิงจะเป็นผทู้ ่ีเอาลกู ช่วงไปใหฝ้ ่ายชาย หรือญาติ ๆ ของฝ่ายหญิงเป็นผทู้ ่ีนา ลกู ช่วงไปใหฝ้ ่ายชาย เม่ือตกลงกนั ไดก้ จ็ ะทาการโยนลกู ช่วงโดยฝ่ายหญิง และฝ่ายชายแต่ ละฝ่ายจะยนื เป็นแถวหนา้ กระดานเรียงหน่ึง หนั หนา้ เขา้ หากนั มีระยะห่างกนั พอสมควร แลว้ โยนลกู ช่วงใหก้ นั ไปมาและสามารถทาการสนทนา กบั ค่ทู ี่โยนได้ จดุ ประสงค์ของการเล่น เพื่อความสนุกสนานเป็นการฉลองปี ใหม่ และเป็น การหาคู่ใหก้ บั หนุ่มสาว เพื่อมิตรภาพที่ดีต่อกนั ส่วนหญิงท่ีแตง่ งานแลว้ จะไม่ มีสิทธ์ิในการเลน่ ลกู ช่วงอีก เพราะถือวา่ ผดิ ตามธรรมเนียมของมง้ ส่วนฝ่าย ชาย สามารถเลน่ ไดแ้ ต่อยทู่ ี่วา่ ฝ่ายหญิงจะทาการยนิ ยอมเล่นกบั ตนหรือไม่ แลว้ แตฝ่ ่ายหญิงสาวคนน้นั การเล่นลกู ช่วง ยงั เป็นการช่วยฝึกทกั ษะความ ชานาญในการควา้ จบั สิ่งของที่พุ่งเขา้ มาปะทะใบหนา้ อนั เป็นการฝึกป้องกนั ตวั จากสิ่งของที่ลอยมาหาใบหนา้ อยา่ งกระทนั หนั ไดด้ ว้ ย ในช่วงระหวา่ ง การ เล่นลูกช่วงหนุ่มสาวท่ีเลน่ ลกู ช่วงจะร้องเพลงโตต้ อบกนั เพิ่มความสนุกสนาน ในการเลน่ การเล่นลกู ข่าง หรือที่เรียกกนั วา่ “เดาตอ้ ลุ”๊ เป็นการละเล่นอีกอยา่ งหน่ึงท่ีนิยม เลน่ กนั ในวนั ข้ึนปี ใหม่ของมง้ เป็นการละเลน่ สาหรับผชู้ ายโดยเฉพาะ การเล่น ลูกขา่ งในโอกาสเช่นน้ีจะแยกเลน่ เป็นวงผใู้ หญ่และวงเดก็ จดุ ประสงค์การเล่น เพ่ือความสนุกสนานสร้างความสัมพนั ธก์ บั เพือ่ นบา้ น ดว้ ยกนั การประดิษฐ์ลูกข่าง สาหรับลกั ษณะของลูกขา่ ง จะทามาจากไม้ กลา่ วคอื จะมี การนาทอ่ นไมข้ นาดเส้นผา่ นศูนยก์ ลางประมาณ 3 - 5 เซ็นติเมตร ตามความ ตอ้ งการ และความเหมาะสมของผเู้ ล่น นามาตดั เป็นท่อนๆยาวประมาณท่อน ละ 5 นิ้ว แลว้ นาไมท้ ี่ตดั เป็นทอ่ นน้นั มาทาการตดั แตง่ ตามตอ้ งการ โดยส่วน หวั จะมีลกั ษณะทู่ ๆ ราบเรียบในขณะที่ส่วนหางหรือส่วนท่ีใช้ หมุนยนื พ้นื น้นั จะทาใหม้ ีลกั ษณะแหลมคลา้ ย ๆ ดินสอ

วิธีการละเล่น เมื่อตอ้ งการเลน่ ก็จะนาไมท้ ่ีผกู เชือกยาวประมาณสองถึงสาม เมตรมามว้ นรอบลกู ข่าง โดยมือขา้ งหน่ึงจะถือลูกข่างที่ถกู เชือกหมนุ พนั รอบ ไว้ และมืออีกขา้ งจะถือไมท้ ี่ผกู เชือกท่ีหมนุ รอบลกู ข่างไว้ แลว้ เอามือท้งั สอง สะบดั ไปขา้ งหนา้ พร้อมดึงไมท้ ่ีผกู เชือกไวอ้ ยา่ งแรง แลว้ ลกู ขา่ งจะตกสู่พ้ืน แลว้ หมนุ ซ่ึงในกติกาในการเล่นจะถูกแบ่งออกเป็นสองฝ่าย โดยที่ฝ่ายหน่ึงจะ เป็นฝ่ายตีลกู ขา่ งที่กาลงั หมุนอยขู่ องอีกฝ่าย โดยฝ่ายท่ีตีน้นั จะตอ้ งพยายามตี ลูกขา่ งใหถ้ กู มากที่สุด ซ่ึงถา้ หากสามารถทาการตีถูกมาก ก็จะสามารถทาการตี ตอ่ ไปได้ แตห่ ากตีไม่ถูกก็จะตอ้ งเปล่ียนมาเป็นฝ่ายหมุนลูกข่างใหอ้ ีกฝ่ายผลดั ไปเป็นฝ่ายตีแทน การเล่นลูกขา่ งน้ี นอกจากะไดร้ ับความสนุกสนานจากการ เลน่ แลว้ ยงั เป็นการฝึก และทดสอบความแม่นยาทางดา้ นสายตาดว้ ย ปัจจุบนั การละเล่นลกู ข่างเร่ิมหายไปตามวถิ ีชีวิตที่เปล่ียนไป อยา่ งไรกต็ าม การเล่น ลูกขา่ งก็ยงั มีใหเ้ ห็นอยบู่ า้ งในช่วงเทศกาลปี ใหม่มง้ หรือเทศกาลตา่ ง ๆ ของ ชนเผา่

บทที่ 3 วธิ ีดาเนินการโครงงาน ในการจาทาโครงงาน เรื่อง การละเล่นของชนเผา่ มง้ น้ี ผูจ้ ดั ทาโครงงานไดศ้ ึกษาเอกสาร และจากเวบ็ ไซตต์ ่างๆ ที่เก่ียวขอ้ งทางผจู้ ดั ทาไดด้ าเนินงานตามข้นั ตอนทางประวตั ิศาสตร์ ดงั น้ี ข้นั ตอนท่1ี กาหนดหวั เรื่องที่จะศึกษา กลุม่ ของเราไดด้ าเนินการ ดงั น้ี - ประชุมหารือกนั เพื่อจะกาหนดหวั เรื่อง แลว้ จึงไดห้ ัวขอ้ เรื่องที่จะศึกษา คือ การละเล่นของชน เผา่ มง้ - เขยี นเคา้ โครงของโครงงานท่ีจะศึกษา แลว้ เสนอครูท่ีปรึกษา - ครูที่ปรึกษาแสดงความคิดเห็นแลว้ อนุมตั ิใหจ้ ดั ทาโครงงาน ข้นั ตอนท2ี่ สืบค้นและรวบรวมข้อมูล กลมุ่ ของเราไดด้ าเนินการ ดงั น้ี - ศึกษาและรวบรวมขอ้ มูลจากหนงั สือ หอ้ งสมุดโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 26 จงั หวดั ลาพนู พบหนงั สือจานวน 3 เลม่ ดงั น้ี 1) การละเลน่ ของเดก็ ไทย 2) สารานุกรมไทยสาหรับเยาวชน 3) หนงั สือประวตั ิศาสตร์ช้นั ม.4-6 - ศึกษาและรวบรวมขอ้ มูลจากเวบ็ ไซต์ ดงั น้ี 1) https://www.siamsporttalk.com/th/entertainment/menus-general/471- thaiskits.html?fbclid=IwAR3xqbVHA1JDgBQbdSH0o6r2gI853GVxzsmiA2KL gV8jGEylqhLwSuCIhq8 2) https://sites.google.com/site/karlalenphunbankhxng4phakh/prapheth-khxng-kar- la-len?fbclid=IwAR0yh9paM0pmLUzq3XzgBx4E7sp6NuBv2YFmXS- lwfHeUVhAwioVPe3b584 3) https://www.tungsong.com/thaiplay/ThaiGames.asp?fbclid=IwAR0hM0zI7gWR Y1dqtTtql6KajOexk2jIEvamigPOK0bOzbhwAyQxP_dxdFY

4) https://mgronline.com/qol/detail/9570000035340?fbclid=IwAR0aaAPyIQ- k7kd9-o5B9VT0oGGf9rpbwy1F4PsCexuwTxts_S6LHI2sMYA 5) http://www.openbase.in.th/node/1429?fbclid=IwAR035LV05VEDV7Tm3_yjqb NHrFOSVQRbAfXf6A_5mmvtSkGO19qi7GHjdoo 6) http://www.openbase.in.th/node/1139?fbclid=IwAR3xqbVHA1JDgBQbdSH0o6 r2gI853GVxzsmiA2KLgV8jGEylqhLwSuCIhq8 7) https://sites.google.com/site/praphenipihimmng/4-kar-la-len-khxng-chn-phea- mng?fbclid=IwAR2k4wySqSwmTeZ2gEPULHksUfn9t- SOelN7AOpan6LYtCPmo16v_a-Glis ข้นั ตอนท่ี3การประเมินคณุ ค่าของหลกั ฐาน กลุ่มของเราไดด้ าเนินการ ดงั น้ี - นาขอ้ มลู ท่ีศึกษาจากหอ้ งสมุดและจากอินเทอร์เน็ตมาพิจารณาวา่ มีความน่าเชื่อถือมากนอ้ ย เพยี งใด - ประเมินและพจิ ารณาขอ้ มลู เหล่าน้นั แลว้ ใชเ้ หตุผลในการประเมินและพจิ ารณา เพอ่ื คน้ พบ ความจริงทางประวตั ิศาสตร์ ข้ันตอนที่4นาข้อมูลมาวิเคราะห์ สังเคราะห์ และจัดหมวดหมู่ กลุม่ ของเราไดด้ าเนินการ ดงั น้ี - นาขอ้ มูลท่ีประเมินมาวิเคราะห์ สงั เคราะห์ สมาชิกในกลุ่มร่วมกนั วิเคราะห์ สังเคราะห์ ขอ้ มลู ท้งั หมด - นาขอ้ มูลมาจดั หมวดหมู่ และหวั ขอ้ ท่ีที่นามาจดั เรียงนาเสนอ คือ เน้ือหาที่อยใู่ นแตล่ ะบทตา่ งๆ 1) ประวตั ิความเป็นมาของมง้ 2) การละเลน่ ในพธิ ีกรรม 2.1การละเล่นลกู ช่วง 2.2การเล่นลูกข่าง 2.3 หนา้ ไม้ 2.4 สามลอ้ 3) การละเลน่ ทวั่ ไป 3.1 การละเล่นหนงั ยาง

3.2 การละเลน่ หมากเก็บ 3.3 การละเล่นเลน่ ลูกแกว้ 4) การละเล่นท่ีประยกุ ตแ์ ลว้ 4.1 การเตน้ ราของมง้ 4.2 การแสดงการรากระดง้ ของมง้ 4.3 การแสดงการราใบพดั ของมง้ ข้นั ตอนท่ี 5 เรียบเรียงและนาเสนอ กล่มุ ของเราไดด้ าเนินการ ดงั น้ี - สรุปและเรียบเรียงประเด็นที่ศึกษา คอื ศึกษาเรื่องการละเลน่ ของชนเผา่ มง้ - ทาลงในอีบ๊คุ เพื่อที่จะนาเสนอ - นาเสนอ ณ โรงหนงั โรงเรียนราชประชานุเคราะห์26 จงั หวดั ลาพูน

ตารางการดาเนนิ งาน กจิ กรรม การดาเนินงาน ระยะเวลา ผรู้ ับผดิ ชอบ 1.กาหนดหวั ข้อเร่ืองทีจ่ ะ สมาชิกในกลุม่ ศึกษา 1.ประชุมหารือกนั เพื่อจะ 10 มกราคม 2565 ถึง กาหนดหวั เร่ือง แลว้ จึงได้ 25 มกราคม 2565 หวั ขอ้ เรื่องที่จะศึกษา คือ การละเล่นของชนเผา่ มง้ 2.เขยี นเคา้ โครงของ โครงงานที่จะศึกษา แลว้ เสนอครูท่ีปรึกษา 3.ครูที่ปรึกษาแสดงความ คดิ เห็นแลว้ อนุมตั ิให้ จดั ทาโครงงาน 2.สืบค้นและรวบรวม 1.ศึกษาและรวบรวม 26 มกราคม 2565 ถึง 3 สมาชิกในกลุ่ม ข้อมูล ขอ้ มลู ในหอ้ งสมดุ ของ กุมภาพนั ธ์ 2565 โรงเรียนราชประชานุ เคราะห์ 26 จงั หวดั ลาพนู 2.ศึกษาและรวบรวม ขอ้ มูลจากอินเทอร์เน็ต 3.การประเมินคุณค่าของ 1.นาขอ้ มูลท่ีศึกษาจาก 4 กมุ ภาพนั ธ์ 2565 ถึง สมาชิกในกลุ่ม หลกั ฐาน หอ้ งสมุดและจาก 12 กุมภาพนั ธ์ 2565 อินเทอร์เน็ตมาพจิ ารณา วา่ มีความน่าเชื่อถือมาก นอ้ ยเพียงใด 2.ประเมินและพิจารณา ขอ้ มลู เหลา่ น้นั แลว้ ใช้ เหตผุ ลในการประเมิน และพิจารณา เพ่ือคน้ พบ

ความจริงทาง ประวตั ิศาสตร์ 4.นาข้อมูลมาวเิ คราะห์ 1.นาขอ้ มูลท่ีประเมินมา 13 กมุ ภาพนั ธ์ 2565ถึง สมาชิกในกลมุ่ สังเคราะห์ และจัด วิเคราะห์ สงั เคราะห์ 20 กมุ ภาพนั ธ์ 2565 หมวดหมู่ สมาชิกในกลุ่มร่วมกนั วิเคราะห์ สังเคราะห์ 5.เรียบเรียงและนาเสนอ ขอ้ มูลท้งั หมด 2.นาขอ้ มูลมาจดั หมวดหมู่ และหวั ขอ้ ท่ีท่ี นามาจดั เรียงนาเสนอ คือ เน้ือหาท่ีอยใู่ นแตล่ ะบท ตา่ งๆ 1.สรุปและเรียบเรียง 25 กุมภาพนั ธ์ 2565 ถึง สมาชิกในกลุ่ม ประเดน็ ท่ีศึกษา คือ ศึกษา 26 กุมภาพนั ธ์ 2565 เร่ืองการละเล่นของชน เผา่ มง้ 2.ทาลงในอีบคุ๊ เพือ่ ที่จะ นาเสนอ 3.นาเสนอ ณ โรงหนงั โรงเรียนราชประชานุ เคราะห2์ 6 จงั หวดั ลาพนู

บทท่ี4 ผลการดาเนินงานโครงงาน จากผลการศึกษาโครงงานทางประวตั ิศาสตร์ เร่ือง การละเลน่ ของมง้ ไดพ้ บขอ้ มลู ดงั น้ี 1.ประวตั ิความเป็นมาของชนเผา่ มง้ มง้ หมายถึง อิสระชน เดิมอาศยั อยใู่ นประเทศจีน ต่อมาชาวจีนเขา้ มาปราบปราม เป็นเหตุ ใหอ้ พยพลงมาถึงตอนใตข้ องจีน และเขตอินโดจีน ในช่วงสงครามโลกคร้ังที่ 2 และตอนเหนือของ ประเทศไทย บริเวณ ประมาณ พ.ศ. 2400 โดยมีสองกลุ่มไดแ้ ก่ มง้ เขยี วและมง้ ขาว ไม่ชอบใหเ้ รียกวา่ แมว้ โดยถือวา่ เป็นการดูถูกเหยยี ดหยาม ประชากรของมง้ ในประเทศไทย มีมากเป็นอนั ดบั 2 รองจาก กะเหร่ียง 1.1ภาษา ภาษามง้ จดั อยใู่ นสาขาเม้ียว-เยา้ จองตระกูลจีน-ธิเบตไมม่ ีภาษาเขยี นแตย่ มื ตวั อกั ษรภาษาโรมนั มาใช้ 1.2ลกั ษณะบา้ นเรือน ชนเผา่ มง้ นิยมสร้างบา้ นอยบู่ นภเู ขาสูง สร้างบา้ นคร่อมพ้นื โดยใชพ้ ้ืนดินเป็น พ้นื บา้ น ฝาบา้ นเป็นไมแ้ ผน่ มงุ ดว้ ยคา มีหอ้ งนอน กบั หอ้ งครัวในบา้ น บา้ นจะมีขนาด ใหญ่ เพราะอยอู่ าศยั ในลกั ษณะครอบครัวขยาย มง้ ถือผอู้ าวโุ สเป็นหัวหนา้ ครอบครัว 1.3การแต่งกาย มง้ เขียว ผชู้ าย สวมเส้ือสีดา หรือน้าเงิน ตวั ส้ัน ตวั ป้าย ปักลวดลาย แขนยาว ขลิบขอบแขนเส้ือดว้ ยสีฟ้า ส่วนกางเกงใชส้ ีเดียวกนั เป้ากางเกงจะกวา้ งและหยอ่ นต่าลง มาถึงหวั เขา่ ปลายขาแคบมีผา้ สีแดงคาดเอวเอาไว้ ชายผา้ ท้งั สองขา้ งปักลวดลาย หอ้ ยลงมา ผหู้ ญิง สวมเส้ือสีดา หรือสีน้าเงินเขม้ มีลวดลายที่หนา้ อก แขนยาวขลิบท่ีปลายแขนดว้ ยสี ฟ้า ปกเส้ือหอ้ ยพบั ไปดา้ นหลงั ปักลวดลาย สวมกระโปรงจีบ รอบตวั ลวดลาย จากการ เขียนดว้ ยข้ผี ้งึ แลว้ นายอ้ มสีน้าเงิน มีผา้ ผนื ยาวปักลวดลาย หอั ยชายปิ ดกระโปรง ผหู้ ญิงท่ี

แตง่ งานแลว้ จะใชผ้ า้ พ้ืนเรียบ ขลิบชายดว้ ยผา้ สี มีผา้ แดงปักลวดลายท่ีชายท้งั สองขา้ ง และปลอ่ ยเป็นพหู่ อ้ ยลงมา คาดดว้ ยเขม็ ขดั เงินทบั พนั แขง้ ดว้ ยผา้ สีน้าเงินหรือดา มวยผม ไวท้ ่ีกลางกระหม่อมมีชอ้ งผมมวย พนั เสริมใหใ้ หญข่ ้นึ แลว้ ใชผ้ า้ โพกทบั มวยผม ประดบั เคร่ืองเงิน และเหรียญเงิน มง้ ขาว ผชู้ าย แต่งกายคลา้ ยกนั มง้ เขียว แตม่ ีการประดบั ลวดลายนอ้ ยกวา่ ท่ีคอ สวมห่วงเงินรอบคอหลายห่วง ผหู้ ญิง ส่วนใหญ่จะแตง่ ตวั คลา้ ยกนั กบั มง้ น้าเงิน เดิมนิยม สวมกระโปรงสีขาวลว้ นไมม่ ีลวดลายใดๆ มีผา้ ผืนยาวที่ปิ ดทบั ดา้ นหนา้ กระโปรงปัก ลวดลาย พร้อมท้งั มีผา้ แถบสีแดงคาดเอว ปล่อยชายเป็ นหางไวด้ า้ นหลงั ปัจจุบนั นุ่งกางเกง ทรงจีนสีน้าเงินเขม้ แทนกระโปรง พนั มวยผม และกนั เชิงผมดา้ นหนา้ ให้ดูมีหนา้ ผากกวา้ ง ข้ึน รูปภาพเกย่ี วกับการแต่งกายของชนเผ่าม้งในวนั ขึน้ ปี ใหม่ม้ง น่อเป๊ โจ๊ะ หรือ กินสามสิบ

1.4วฒั นธรรม และประเพณี ชนเผา่ มง้ มีประเพณีและวฒั นธรรมตลอดท้งั ความเชื่อ เป็นของตนเองสืบมา แต่บรรพบรุ ุษ เช่น ประเพณีฉลองปี ใหม่ เรียกวา่ “ น่อเป๊ โจ่วซ์” แปลวา่ กินสามสิบ โดย ถือเอาวนั สุดทา้ ยคือ 30 ค่า ของเดือน 12 ในทุกปี เป็นวนั ส่งทา้ ยปี เก่า อยใู่ นราวปลายเดือน พฤศจิกายน ถึง ธนั วาคม ชาวมง้ จะประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ ทกุ คนจะสวมเส้ือผา้ ชุดใหม่ ประดบั เคร่ืองเงินสวยงาม เด็ก ๆ จบั กลุ่มกนั เล่นลูกข่าง และร้องราทาเพลง หนุ่มสาวจะ จบั คู่กนั โยนลกู ช่วง พูดคยุ กนั 2.การละเล่นในพธิ ีกรรม 2.1การละเล่นลูกช่วง 2.1.1จุดประสงคข์ องการเลน่ - เพื่อความสนุกสนานเป็นการฉลองปี ใหม่ และเป็นการหาคู่ใหก้ บั หนุ่มสาว - เพ่ือมิตรภาพท่ีดีต่อกนั ส่วนหญิงที่แต่งงานแลว้ จะไม่มีสิทธ์ิในการเล่นลูก ช่วงอีก เพราะถือวา่ ผดิ ตามธรรมเนียมของมง้ ส่วนฝ่ายชาย สามารถเลน่ ไดแ้ ต่ อยทู่ ี่วา่ ฝ่ายหญิงจะทาการยนิ ยอมเลน่ กบั ตนหรือไม่ แลว้ แต่ฝ่ายหญิงสาวคน น้นั การเล่นลกู ช่วง ยงั เป็นการช่วยฝึกทกั ษะความชานาญในการควา้ จบั สิ่งของท่ีพุง่ เขา้ มาปะทะใบหนา้ อนั เป็นการฝึกป้องกนั ตวั จากส่ิงของที่ลอยมา หาใบหนา้ อยา่ งกระทนั หนั ไดด้ ว้ ย ในช่วงระหวา่ ง การเล่นลกู ช่วงหนุ่มสาวท่ี เล่นลกู ช่วงจะร้องเพลงโตต้ อบกนั เพิม่ ความสนุกสนานในการเล่น 2.1.2อุปกรณ์ ลกู ช่วง

1.1.3วิธีการเล่น จะมีการแบง่ สองขา้ ง ผหู้ ญิง1ขา้ ง ผชู้ าย1ขา้ ง แลว้ จะโยนลูกช่วงใหก้ นั ดงั รูปภาพต่อไปน้ี ภาพการเล่นลูกช่วงของชนเผ่าม้ง 2.2การเล่นลกู ข่าง การเล่นลูกข่าง หรือที่เรียกกนั วา่ “เดาตอ้ ล๊”ุ เป็นการละเลน่ อีกอยา่ งหน่ึงที่ นิยมเลน่ กนั ในวนั ข้ึนปี ใหม่ของมง้ เป็น การละเลน่ สาหรับผชู้ ายโดยเฉพาะ การเลน่ ลกู ข่างในโอกาสเช่นน้ีจะแยกเลน่ เป็นวงผใู้ หญ่และวงเดก็

ถาพการเล่นลูกข่างขแงชนเผ่าม้ง 2.2.1จุดประสงคก์ ารเลน่ เพือ่ ความสนุกสนานสร้างความสมั พนั ธก์ บั เพอ่ื นบา้ นดว้ ยกนั 2.2.2อุปกรณ์ ท่อนไมเ้ น้ือแขง็ ตะปู เชือกฟาง ดา้ มไมข้ นาดเทา่ หวั แม่มือ 2.2.3วิธีทาลกู ขา่ ง - นาไมม้ า 1 ทอ่ น เลือกขนาดพอเหมาะยาวขนาด 3-5 นิ้ว - ใชม้ ีดถากใหเ้ ป็นรูปสามเหล่ียม และกลึงใหห้ มดเกล้ียง - ใชต้ ะปทู ี่ไม่มีหวั ตอกลงที่ลกู ข่าง ดา้ นแหลมมีความยาวพอประมาณ 3 นิ้ว 2.2.4วิธีการละเล่น

นาไมท้ ่ีผกู เชือกยาวประมาณสองถึงสามเมตรมามว้ นรอบลกู ขา่ ง โดยมือขา้ งหน่ึงจะถือลกู ขา่ งท่ีถูกเชือกหมุนพนั รอบไว้ และมืออีกขา้ งจะถือไม้ ที่ผกู เชือกที่หมนุ รอบลกู ข่างไว้ แลว้ เอามือท้งั สองสะบดั ไปขา้ งหนา้ พร้อมดึง ไมท้ ่ีผกู เชือกไวอ้ ยา่ งแรง แลว้ ลูกขา่ งจะตกสู่พ้ืนแลว้ หมนุ ซ่ึงในกติกาในการ เลน่ จะถกู แบง่ ออกเป็นสองฝ่ าย โดยท่ีฝ่ายหน่ึงจะเป็นฝ่ายตีลกู ขา่ งท่ีกาลงั หมนุ อยขู่ องอีกฝ่าย โดยฝ่ายท่ีตีน้นั จะตอ้ งพยายามตีลกู ข่างใหถ้ กู มากที่สุด ซ่ึงถา้ หากสามารถทาการตีถกู มาก กจ็ ะสามารถทาการตีต่อไปได้ แต่หากตีไมถ่ กู ก็ จะตอ้ งเปล่ียนมาเป็นฝ่ายหมุนลกู ขา่ งใหอ้ ีกฝ่ายผลดั ไปเป็นฝ่ายตีแทน การเลน่ ลกู ขา่ งน้ี นอกจากจะไดร้ ับความสนุกสนานจากการเล่นแลว้ ยงั เป็นการฝึก และทดสอบความแม่นยาทางดา้ นสายตาดว้ ย ปัจจุบนั การละเล่นลกู ข่างเริ่ม หายไปตามวถิ ีชีวติ ที่เปลี่ยนไป อยา่ งไรกต็ าม การเล่นลูกข่างกย็ งั มีใหเ้ ห็นอยู่ บา้ งในช่วงเทศกาลปี ใหมม่ ง้ หรือเทศกาลตา่ ง ๆ ของชนเผา่ 2.3 หนา้ ไม้ หนา้ ไม้ หรือที่เรียกกนั ว่า “เหน็ง” เป็ นการละเล่นอีกอย่างหน่ึงที่นิยมเล่นกนั ในวนั ข้ึนปี ใหม่ของมง้ เป็น การละเล่นสาหรับผชู้ ายโดยเฉพาะ การยิงหนา้ ไมใ้ นโอกาสน้ี จะแยกเลน่ เป็นวงผใู้ หญ่และวงเด็ก ภาพหน้าไม้

2.3.1จุดประสงคก์ ารเลน่ - เพ่ือความสนุกสนานสร้างความสมั พนั ธก์ บั เพ่ือนบา้ นดว้ ยกนั 2.3.2 อปุ กรณ์ ไมเ้ น้ือแข็ง เถาวลั ย์ ไมไ้ ผ่ 2.3.3 วิธีการทา โดยโครงหลกั จะทาจากไมเ้ น้ือแขง็ ส่วนจะเป็นไมอ้ ะไรน้ัน ข้ึนอยูก่ บั ความสะดวกในการสรรหาของแต่ละพ้ืนที่ สายธนูทาจากเถาวลั ย์ เหนียวนามาขว้นั กนั เป็ นเชือก และใชไ้ มไ้ ผก่ ระบอกใหญ่มาทาเป็ นปี ก ซ่ึง ปี กน้ีจะทาหนา้ ท่ีเป็ นสปริงสร้างให้เกิดแรงดีด ส่งให้ลูกดอกไมไ้ ผท่ ่ีมีหาง เลก็ ๆ พุ่งไปยงั เป้าหมายอยา่ งแม่นยา 2.3.4 วิธีการเลน่ - วางหนา้ ไมล้ งบนดิน - ดึงสายธนูเขา้ มาฆอ้ งไวท้ ่ีฆอ้ ง - ยกหนา้ ไมข้ ้นึ มาแลว้ ใส่ลกู ดอกธนูลงไปบนร่องท่ีทาไวใ้ ส่ลูกธนู แลว้ เลง็ ให้ ตรงเป้าหมายท่ีจะยงิ พอไดท้ ี่ก็ยงิ

รูปภาพการเล่นหน้าไม้ 2.4 สามลอ้ เป็นการละเลน่ อีกอยา่ งหน่ึงที่นิยมเลน่ กนั ในวนั ข้ึนปี ใหมข่ องมง้ เป็น การละเลน่ สาหรับผชู้ ายโดยเฉพาะ การ สามลอ้ ในโอกาสน้ีจะแยกเลน่ เป็นวงผใู้ หญ่และ วงเดก็ ภาพ สามล้อ และ ภาพการเล่น สามล้อ 2.4.1วตั ถุประสงค์ -ความสนุกสนานสร้างความสมั พนั ธก์ บั เพื่อนบา้ นดว้ ยกนั 2.4.2 อุปกรณ์ ทอ่ นไม้ ยางรถ ตะปู เชือก 2.4.3 วิธีการทา สามลอ้ ทาไดจ้ ากการ นาไมม้ าตดั แลว้ ทาเป็นลอ้ แลว้ ตดั ยางรถมา ตอกติดกบั ลอ้ รถ แลว้ ตดั ไมเ้ ลก็ เทา่ ดา้ มไมก้ วาดแขงประมาณ 15-20 อนั เพ่อื

นามาทาเป็นที่นงั่ แลว้ กน้ ามาเป็น เบรก เพอื่ ใชใ้ นการหยดุ รถเวลาแข่งขนั เสร็จ หรือ เวลาลงเขาลงดอยเกินไป จากน้นั นาอปุ กรณ์ท้งั หมดมาประกอบกนั โดนนาลอ้ มาต้งั เป็นรูป สามเหลี่ยมแลว้ แลว้ นาไมท้ ่ีทาเป็นโครงรถมาเสียบรูติดกบั ลอ้ แลว้ ตอกจะปู ใหต้ ิดกบั ลอ้ ทาท้งั สามลอ้ แลว้ ทา เบาะนงั่ โดยการนาไมท้ ่ีตดั น้นั มาตดั ใหไ้ ด้ สัดส่วนท่ีเทา่ กบั ฐานแลว้ กต็ อกตะปูใหม้ นั ติดกนั จากน้นั ทา เบรก ไวท้ ี่หนา้ รถ เพือ่ ใช้ เบรก ตวั รถ จากน้นั ก็ตกแตง่ เลก็ นอ้ ยใหด้ ูสวยงาม หรือ มีสนั และมี ความน่าสนใจมากข้ึน 2.4.4 วิธีการเล่น - ข้ึนรถเตรียมความพร้อม - เวลาจะออกรถตอ้ งมีคนมาดนั ถึงออกรถได้ - แลน่ ไปตามทางที่เขากาหนดไวใ้ ครถึงก่อนคนน้นั กจ็ ะชนะไป 3. การละเลน่ ทว่ั ไป 3.1 การละเลน่ หนงั ยาง เป็นการละเลน่ อีกอยา่ งหน่ึงที่นิยมเล่นกนั ทว่ั ไป เป็นการละเล่นสาหรับผชู้ าย แตผ่ หู้ ญิงกส็ ามารถเลน่ ได้ การละเลน่ แบบน้ีเหมาะสากลบั เด็กๆ ภาพการเลน่ หนงั ยาง 3.1.1 วตั ถปุ ระสงค์

- ความสนุกสนานสร้างความสัมพนั ธ์กบั เพ่อื นๆ 3.1.2 อุปกรณ์ - หนงั ยางรัด 3.1.3 วิธีการทา - นายางลาหน่ึงเสน้ มาแลว้ เอาอีกหน่ึงเส้นสอดเขา้ กบั เสน้ แรกทาต่อไปจนกวา่ จะยามพอตามที่อยากจะได้ สุดทา้ ยก็มดั ตาย 3.1.4 วิธีการเล่น วิธีการเล่นจะแบ่งเป็นสองข้นั ตอน คอื 1) เลน่ แบบโดนหนงั ยางไม่ได้ 2)เล่นแบบโดนหนงั ยางได้ -การเลน่ หนงั ยางจะแบง่ ออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหน่ึงฝ่ายใดตอ้ งเป็นฝ่ายถือหนงั ยางส่วนอีกฝ่ายจฝ่ายกระโดดเลน่ ใหค้ รบทุกคน 3.1.5 กติกาการเลน่

- ใครท่ีเลน่ โดนหนงั ยางหรือแตะโดนหนงั ยางจะไม่ผา่ นตอ้ งใหเ้ พอ่ื นคนที่ ผา่ นน้นั มาเล่นแทนตวั เองถึงจะผา่ น - ใครกระโดดไม่ถึงจะถือวา่ ไมผ่ า่ นตอ้ งใหเ้ พอ่ื นคนท่ีผา่ นน้นั มาเล่นแทน ตวั เองถึงจะผา่ น 3.2 การละเลน่ หมากเก็บ เป็นการละเล่นอีกอยา่ งหน่ึงท่ีนิยมเล่นกนั ทวั่ ไป สามารถเลน่ ไดท้ ้งั หญิงและ ชาย การละเลน่ แบบน้ีเหมาะสากลบั เดก็ ๆ 3.2.1 วตั ถปุ ระสงค์ - ความสนุกสนานสร้างความสมั พนั ธก์ บั เพอ่ื นๆ 3.2.2 อุปกรณ์ - กอ้ นหิน 3.2.3 วธิ ีการเลน่ - เก็บกอ้ นหินมา หา้ กอ้ น - เล่นโดยการโยนกอ้ นหินหน่ึงกอ้ นข้ึนไปแลว้ เกบ็ อีกหน่ึงกอ้ นในส่ีกอ้ นท่ีอยู่ บนพ้นื ทาอยา่ งน้ีไปจนกวา่ กอ้ นหินบนพ้นื จะหมด 3.2.4 กติการเลน่

- ใครเล่นตกถือวา่ แพต้ อ้ งเปลี่ยนคนเล่นวนไปจนกวา่ จะมีใครคนหน่ึง ชนะ เกมถึงจะจบลง - ใครเกบ็ แลว้ โดนกอ้ นหินกอ้ นอ่ืนท่ีตนเองไม่ไดเ้ กบ็ ก็จะแพเ้ หมือนกนั ตอ้ ง เปลี่ยนคนเลน่ วนไปจนกวา่ จะมีใครคนหน่ึง ชนะ เกมจะจบลง 3.3 การละเลน่ เล่นลกู แกว้ 3.3.1 วตั ถุประสงค์ เป็นการละเล่นอีกอยา่ งหน่ึงที่นิยมเลน่ กนั ทวั่ ไป เป็นการละเลน่ สาหรับผชู้ าย โดยเฉพาะ การเลน่ ลูกแกว้ น้ีเหมาะสาหรับเดก็ เลน่ 3.3.2 อปุ กรณ์ - ลกู แกว้ 3.3.3 วธิ ีการเลน่ - การเล่นลูกแกว้ น้ีตอ้ งใชน้ ิ้วมือในการเล่น - การเล่นลกู แกว้ จะตอ้ งมีใครคนหน่ึงเป็นคนต้งั ใหค้ นอื่นยงิ - เรงให้ตรงลูกที่ต้งั ไวแ้ ลว้ ก็ดยงิ ออกไป

3.3.4 กติกาการเล่นลกู แกว้ - ใครท่ียงิ ไปโดนฝ่ายของตวั เองฝ่ายน้นั ตอ้ งหยดุ การเลน่ ไปหน่ึงรอบจนกวา่ คนอื่นจะเล่นวนมาถึงเราในรอบที่สอง - ใครที่ยงิ ไปโดนขาโดนแขนคนอื่นกจ็ ะไดย้ ายท่ีใหมโ่ ดยการยไปวางหรือยงิ ไปอยทู่ ี่ใหม่ แต่บางครังกติกาจะสลบั โดยใครที่ยงิ ไปโดนแขนหรือขาของผู้ เล่นคนอื่นกจ็ ะหยดุ อยกู่ บั ท่ีถึงจะอยไู่ กลห้ รือไกลคนอ่ืนก็ตาม 4. การละเลน่ ท่ีประยกุ ตแ์ ลว้ 4.1 การเต้นราของม้ง การแสดงเตน้ ราในเทศกาลปี ใหมม่ ง้ มง้ มีการแสดงอยมู่ ากมาย เช่น การรา กระโดง้ การราเก็บใบชา การฟ้อนงิ้ว

4.2 การแสดงการรากระด้งของม้ง การแสดงการรากระดง้ ของมง้ จะแสดงในงานเทศกาลปี ใหม่ และวนั สาคญั ตา่ ง ๆเ ท่าน้นั เป็นการสื่อถึงเครื่องมือเครื่องใชข้ องมง้ ซ่ึงอดีตน้นั มง้ นิยมใชก้ ระดง้ ในการ ฟัดขา้ ว หรือใชเ้ ป็นอุปกรณ์ในการทาขนมมง้ ดงั น้นั มง้ จะขาดกระดง้ ไม่ไดเ้ ลย ซ่ึงกระดง้ มี ความสาคญั ต่อมง้ มากเก่ียวกบั ชีวิตประจาวนั 4.3 การแสดงการราใบพดั ของม้ง การแสดงการราใบพดั ของมง้ จะแสดงในงานเทศกาลปี ใหม่ และวนั สาคญั ต่าง ๆ เทา่ น้นั เป็นการสื่อถึงความออ่ นชอ้ ยของหญิงสาวมง้ และเป็นการอวดถึงเส้ือผา้ ท่ี สวมใส่อยู่ ซ่ึงการแสดงชุดน้ีไดร้ ับวฒั นธรรมจากชนเผา่ พ้ืนเมือง

บทท่ี 5 สรุปผลการศึกษา 1. สรุปผล จากการจดั ทาโครงงานเร่ือง การละเลน่ ของชนเผา่ มง้ มง้ เป็นเดิมอาศยั อยู่ในประเทศจีน ชาวจีนปราบปรามจึงตอ้ งอพยพลงมาที่ตอนใตข้ องจีน และเขตอินโด ช่วงสงครามโลกคร้ังท่ี 2 และ ตอนเหนือของประเทศไทย มง้ มีสองกล่มุ ไดแ้ ก่ มง้ เขยี วและมง้ ขาว ภาษามง้ จดั อยใู่ นสาขาเม้ียว-เยา้ จอง ตระกลู จีน-ธิเบต บา้ นเรือนนิยมสร้างบา้ นอยบู่ นภูเขาสูง การแตง่ กายของเขา ผชู้ าย สวมเส้ือสีดา หรือน้า เงิน กางเกงใชส้ ีเดียวกนั เป้ากางเกงกวา้ งและต่าหยอ่ นลงมาถึงหวั เข่า ปลายขาแคบ ผหู้ ญิง สวมเส้ือสีดา หรือสีน้าเงินเขม้ มีลวดลายที่หนา้ อก ปักลวดลาย สวมกระโปรงจีบ รอบตวั ลวดลาย และประเพณี วฒั นธรรมของตนเองสืบมาแตบ่ รรพบุรุษ คือ ประเพณีฉลองปี ใหมซ่ ่ึงในประเพณี กจ็ ะมีการละเล่น ตา่ งๆ การละเล่นของชนเผา่ มง้ เลน่ ในพิธีกรรม ไดแ้ ก่ การละเลน่ ลกู ช่วงเป็นการละเล่นท่ีใหค้ นท่ี ยงั ไม่มีคู่มาเลน่ ดว้ ยกนั ใชเ้ วลาน้นั ทาความรู้จกั กนั การละเลน่ ลกู ขา่ งการละเลน่ ท่ีเนน้ ความสามารถใน การเลน่ เยาะเนน้ ความแรงของลูกข่าง การละเลน่ หนา้ ไมเ้ ป็นการละเล่นท่ีเนน้ ความสามารถเยาะมาก โดยใชท้ กั ษะการวางมือในการเล่น และ การละเล่นสามลอ้ เป็นการละเล่นที่ใชค้ วามสามารถสูงมากใน การเล่นถา้ ไม่อยา่ งอาจถึงแก่ชีวติ การละเลน่ ทวั่ ไป ไดแ้ ก่ การละเลน่ หนงั ยาง การละเลน่ หมากเก็บ และ การละเลน่ เลน่ ลกู แกว้ ส่วนการละเลน่ ที่ประยกุ ตแ์ ลว้ ไดแ้ ก่ การเตน้ ราของมง้ การแสดงการรากระดง้ ของมง้ และการแสดงการราใบพดั ของมง้ 2. ข้อเสนอแนะ จากที่กลุ่มของพวกเราไดศ้ ึกษาการละเลน่ ของชนเผา่ มง้ น้นั พบวา่ การละเล่นของชนเผา่ น้นั มีการเลน่ ในพธิ ีกรรมต่างๆดว้ ย ที่สาคญั คอื พิธีกรรม ปี ใหมม่ ง้ ซ่ึงมีความสาคญั กบั ชนเผา่ มง้ มาก จึงแนะนาใหศ้ ึกษาเร่ือง ดงั น้ี 1.ประเพณีปี ใหม่มง้

ภาพผนวค



บรรณานุกรม สานกั พมิ พ์ แสงแดด. การละเล่นของเดก็ ไทย. พิมพค์ ร้ัง ที่ 4. ม.ป.ท. : แสงแดด. 2552. โครงการสารนุกรมไทยสาหรับเยาวชนชนฯ. สารานุกรมไทยสาหรับเยาวชน. พมิ พค์ ร้ัง ท่ี 4. ม.ป.ท. : บริษทั รุ่งศิลป์ การพิมพ(์ ๑๙๗๗)จากดั . 2530. รศ. ณรงค์ พ่วงพศิ , และรศ. วุฒิชยั มูลศิลป์ ประวตั ิศาสตร์ไทยช้นั ม.4-6. พิมพค์ ร้ัง ที่ 3. บริษทั อกั ษร เจริญทศั น์ อจท. จากดั : จดั ทาข้ึน เพือ่ อานวยความสะดวกแก่การใชง้ านของนกั เรียน. เวบ็ ไชต์ https://www.siamsporttalk.com/th/entertainment/menus-general/471- thaiskits.html?fbclid=IwAR3xqbVHA1JDgBQbdSH0o6r2gI853GVxzsmiA2KLgV8jGEylqhLwSuCI hq8 17 มกราคม 2565 https://sites.google.com/site/karlalenphunbankhxng4phakh/prapheth-khxng-kar-la- len?fbclid=IwAR0yh9paM0pmLUzq3XzgBx4E7sp6NuBv2YFmXS-lwfHeUVhAwioVPe3b584 17 มกราคม 2565 https://www.tungsong.com/thaiplay/ThaiGames.asp?fbclid=IwAR0hM0zI7gWRY1dqtTtql6KajOexk 2jIEvamigPOK0bOzbhwAyQxP_dxdFY 19 มกราคม 2565 https://mgronline.com/qol/detail/9570000035340?fbclid=IwAR0aaAPyIQ-k7kd9- o5B9VT0oGGf9rpbwy1F4PsCexuwTxts_S6LHI2sMYA 23 มกราคม 2565

http://www.openbase.in.th/node/1429?fbclid=IwAR035LV05VEDV7Tm3_yjqbNHrFOSVQRbAfXf 6A_5mmvtSkGO19qi7GHjdoo 23 มกราคม 2565 http://www.openbase.in.th/node/1139?fbclid=IwAR3xqbVHA1JDgBQbdSH0o6r2gI853GVxzsmiA2 KLgV8jGEylqhLwSuCIhq8 30 มกราคม 2565 https://sites.google.com/site/praphenipihimmng/4-kar-la-len-khxng-chn-phea- mng?fbclid=IwAR2k4wySqSwmTeZ2gEPULHksUfn9t-SOelN7AOpan6LYtCPmo16v_a-Glis 3 กมุ ภาพนั ธ์ 2565


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook