Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore โครงงานการผ้าทอของกะเหรี่ยง

โครงงานการผ้าทอของกะเหรี่ยง

Published by pee_sak, 2022-03-11 01:52:49

Description: รายวิชาประวัติศษสตร์ ม.5 ภาคเรียนที่2 ปีการศึกษา 2564

Search

Read the Text Version

หึ

รายงานโครงงานวชิ าประวตั ิศาสตร์ เรื่อง ผา้ ทอของกะเหร่ียง โดย เลขที่11ช้นั ม.5/3 1.นางสาวเพญ็ พชิ ชา ด้ีปัญญา เลขที่ 16ช้นั ม.5/3 2.นายกสิน คา้ งคีรี เลขที่ 17ช้นั ม.5/3 3.นายทศพล แซ่โซง้ เลขท่ี 18ช้นั ม.5/3 4.นายทกั ษด์ นยั คา้ งคีรี เลขท่ี 28ช้นั ม.5/3 5.นายศรัณย์ แซ่สง คุณครูที่ปรึกษาโครงงาน 1.ครูพีรวฒุ ิ วงคต์ นั กาศ 2.ครูองั คณา ปันทวงั เสนอ ครูพีรวฒุ ิ วงคต์ นั กาศ รายงานน้ีเป็นส่วนหน่ึงของการศึกษาวชิ าประวตั ิศาสตร์รหสั ส 32104 ช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี 5 ภาคเรียนท่ี 2 ปี การศึกษา2564 โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 26 จงั หวดั ลาพนู สานกั บริหารงานการศึกษาพเิ ศษ สานกั งานคณะกรรมการการศึกษาข้นั พ้นื ฐาน กระทรวงศึกษาธิการ

บทคดั ย่อ เนื่องจากในสมยั ก่อนยงั ไมม่ ีเส้ือผา้ ปกปิ ดร่างกายหรือเคร่ืองนุ่งห่มที่เป็นที่ตอ้ งการของคน ในสมยั ก่อนจึงมีการคิดคน้ เส้ือผา้ หรือผา้ ทอกะเหรี่ยงข้นึ มาใช้ เพื่อใหต้ อบสนองความตอ้ งการของคน ในสมยั ก่อน และยงั มีข้นั ตอนตา่ งๆในการทอผา้ กะเหร่ียง และลวดลายของผา้ ทอกะเหร่ียง ดงั น้นั กลุม่ ขา้ พเจา้ จึงสนใจท่ีจะศึกษาผา้ ทอกะเหรี่ยงและเพอ่ื ศึกษาข้นั ตอนในการทอผา้ ทอ กะเหร่ียงวา่ มีข้นั ตอนในการทออยา่ งไรและมีลวดลายอะไรบา้ ง ดงั น้นั กลุ่มขา้ พเจา้ จึงจนสนใจที่จะ ศึกษาข้นั ตอนในการทอผา้ ทอกะเหรี่ยงและลวดลายของผา้ ทอกะเหร่ียง

กติ ติกรรมประกาศ โครงงานน้ีสาเร็จลุล่วงไดด้ ว้ ยความกรุณาจาก คุณครู พีรวุฒิ วงศต์ นั กาศ ครูท่ีปรึกษา โครงงานท่ีไดใ้ หค้ าเสนอแนะและ แนวคดิ ตลอดจนแกไ้ ขขอ้ บกพร่องต่างๆ มาโดยตลอด จนโครงงาน เล่มน้ีสมบูรณ์ ผศู้ ึกษาขอกราบขอบพระคณุ เป็นอยา่ งสูง ขอกราบขอบพระคุณ นา้ และยาย ท่ีอยทู่ างบา้ นที่ไดใ้ หค้ าปรึกษาในเรื่องต่างๆและเป็น กาลงั สาคญั ในการทาโครงงานน้ี ขอบพระคุณเจา้ หนา้ ท่ีหอ้ งสมุด ท่ีอนุญาตให้ยมื หนงั สือ หรือ เอกสารตา่ งๆท่ีเก่ียวขอ้ งกบั การทาโครงงานน้ี ขอบคณุ เพ่ือนๆ ที่ช่วยใหค้ าแนะนา และช่วยการทาโครงงานน้ีจนสาเร็จลุลว่ งไปไดด้ ว้ ยดี

คานา รายงานเลม่ น้ีจดั ทาข้นึ เพือ่ เป็นส่วนหน่ึงของวิชา ประวตั ิศาสตร์ เพ่ือใหไ้ ดศ้ ึกษาหาความรู้ ในเร่ืองราวของผา้ ทอกะเหร่ียง โดยไดศ้ ึกษาผา่ นแหล่งความรู้ตา่ งๆ อาทิเช่น ตารา หนงั สือ หอ้ งสมดุ และแหล่งความรู้จากเวบ็ ไซตต์ ่างๆ โดยรายงานเลม่ น้ีตอ้ งมีเน้ือหาเกี่ยวกบั ความหมายของผา้ ทอ กะเหรี่ยง และ ลวดลายของผา้ ทอกะเหรี่ยง ผจู้ ดั ทาคาดหวงั เป็นอยา่ งยง่ิ วา่ การจดั ทาเอกสารฉบบั น้ีจะมีขอ้ มูลท่ีเป็นประโยชนต์ อ่ ผทู้ ี่ สนใจศึกษาผา้ ทอกะเหรี่ยงเป็นอยา่ งยงิ่ นางสาว เพญ็ พชิ ชา ด้ีปัญญา นาย ทกั ษด์ นยั คา้ งคีรี นาย กสิน คา้ งคีรี นาย ทศพล แซ่ซง้ นาย ศรันย์ แซ่สง

สารบญั หน้า ก เร่ือง ข บทคดั ยอ่ ค กิตติกรรมประกาศ ง คานา 1 สารบญั 1 บทท่ี 1 บทนา 3 4 ท่ีมาและความสาคญั 4 วตั ถปุ ระสงคข์ องโครงงาน 4 บทท่ี 2 เอกสารที่เก่ียวขอ้ ง 7 เร่ืองท่ี 1 ผา้ และสิ่งทอ เร่ืองท่ี 2 ลกั ษณะผา้ ไทย 10 เรื่องที่ 3 . ผา้ ทอของแตล่ ะภาค 10 10 บทที่ 3 วิธีดาเนินการโครงงาน 10 1.กาหนดหวั ขอ้ ท่ีจะศึกษา 10 2.สืบคน้ และรวบรวมขอ้ มูล 11 3. การประเมินคุณค่าของหลกั ฐาน 12 4. นาขอ้ มูลมาวเิ คราะห์ สังเคราะห์ และจดั หมวดหมู่ 14 5. เรียบเรียงและนาเสนอ 14 6.ตารางการดาเนินงาน 16 22 บทที่ 4 ผลการดาเนินงานโครงงาน 25 1.การเตรียมเส้นดา้ ย 29 2. การยอ้ มสีธรรมชาติ 33 3.อปุ กรณ์ในการทอผา้ กะเหร่ียง 33 4.ข้นั ตอนการทอผา้ กะเหร่ียง 33 5.ลวดลายของผา้ ทอ 34 บทท่ี 5 สรุป อภิปรายผล และขอ้ เสนอแนะ สรุป ขอ้ เสนอแนะ บรรณานุกรม

ภาคผนวก 35 1. รูปการ ปฏิบตั ิงาน 35 2. เคา้ โครง โครงงาน 36

บทที่ 1 บทนา ที่มาและความสาคัญ ในการดารงชีวิตของมนุษยท์ กุ วนั น้ี มนุษยต์ อ้ งการปัจจยั 4 มนุษยต์ อ้ งการอาหารท่ีมี ประโยชนแ์ ละเพยี งพอกบั ความตอ้ งการของร่างกาย มีเคร่ืองนุ่งห่มที่ห่อหุม้ และป้องกนั ร่างกายตาม ความเหมาะสม มีท่ีอยอู่ าศยั ที่ในสภาพท่ีดี บรรยากาศ และสภาพแวดลอ้ มดี มียารักษาโรคพร้อมท่ีใชไ้ ด้ ตามความตอ้ งการ เคร่ืองนุ่งห่ม เป็นส่ิงที่มนุษยส์ วมใส่เพ่อื ปกป้องร่างกายจากสภาวะอากาศ สภาพแวดลอ้ ม ความปลอดภยั ความสะดวกสบาย ความสุภาพ และเพ่ือสะทอ้ นถึง สงั คม ศาสนา วฒั นธรรม ซ่ึงเคร่ืองนุ่งห่มคือปัจจยั หน่ึงท่ีมนุษยต์ อ้ งมี สาหรับผา้ ที่คนไทยเราใชเ้ ป็นเคร่ืองนุ่งห่มน้นั จะคน้ คิดประดิษฐ์ไดส้ าเร็จต้งั แตเ่ ม่ือไรน้นั ไม่มีหลกั ฐานแน่นอนเด่นชดั ทราบแตว่ า่ คนไทยเรารู้จกั นาเอาฝ้าย ปอ และไหม มาทอเป็นผา้ ไดน้ านแลว้ ปัจจุบนั เจริญข้ึน ถึงข้นั คน้ คิดประดิษฐใ์ ยสงั เคราะห์ ทางวทิ ยาศาสตร์ข้นึ มา ทอเป็นผา้ ดงั ที่พบอยมู่ ากมาย หลกั ฐานทางโบราณคดี และประวตั ิศาสตร์ศิลปะ ท่ีพบ แสดงใหเ้ ห็นวา่ บนแผ่นดินไทยมีร่องรอยการใชผ้ า้ และทอผา้ ได้ ต้งั แต่สมยั ก่อนประวตั ิศาสตร์ คือ เมื่อราว 5000 ปี มาแลว้ และสืบทอดต่อมาตลอด ท้งั สมยั ทวารวดี ศรีวิชยั และลพบรุ ี ในจดหมาย เหตจุ ีน ที่บนั ทึกเกี่ยวกบั ดินแดนของไทยไวต้ ้งั แต่สมยั ราชวงศส์ ุย เมื่อพุทธศตวรรษที่ 10-11 และไดม้ ี การลอกต่อๆ มา ปรากฏขอ้ ความเกี่ยวกบั ผา้ บนั ทึกอยใู่ นภาพเขยี น \"คนไทย\" จากส่วนหน่ึงของแผน่ ภาพ บนั ทึกเรื่องชาติ ที่ถวายเครื่องราชบรรณาการจีน รัชกาลพระเจา้ เฉียนหลงแห่งราชวงศช์ ิง ซ่ึงตรง กบั รัชกาลสมเด็จพระเจา้ เอกทศั น์ หรือสมเด็จพระท่ีนงั่ สุริยามรินทร์ บนั ทึกเป็นขอ้ ความภาษาจีน และ ภาษาแมนจู แปลไดค้ วามวา่ \"สยาม\" ต้งั อยบู่ นบริเวณทิศตะวนั ตกเฉียงใตข้ องแจน้ เฉิน ในสมยั ราชวงศ์ สุย และราชวงศถ์ งั เรียกประเทศน้ีวา่ \"ซ่ือถูก่ ววั๋ \" แปลวา่ ประเทศท่ีมีดินสีแดง แมว้ า่ เราจะไมม่ ีหลกั ฐานท่ีแน่ชดั มาใชอ้ ธิบายเรื่องจุดกาเนิดของการทอ ผา้ ในประเทศไทย กต็ าม แต่กอ็ าจจะกลา่ วไดว้ า่ การทอผา้ เป็นงานศิลปหัตถกรรม ท่ีเก่าแก่ที่สุดอยา่ งหน่ึงท่ีมนุษยใ์ นสมยั โบราณท่ีอาศยั อยใู่ นดินแดน น้ี รู้จกั ทาข้นึ ต้งั แตส่ มยั ก่อนประวตั ิศาสตร์ ภาพเขยี นสีบนผนงั ถ้า เช่น ท่ี เขาปลาร้า จงั หวดั อุทยั ธานี อายปุ ระมาณ 2500 ปี มาแลว้ มีรูปมนุษยโ์ บราณกบั สตั วเ์ ล้ียง เช่น ควายและ สุนขั แสดงวา่ มนุษยย์ คุ น้นั รู้จกั เล้ียงสัตวแ์ ลว้ ลกั ษณะการแตง่ กายของมนุษยย์ คุ น้นั ดูคลา้ ยกบั จะเปลือย

ท่อนบน ส่วนท่อนล่างสันนิษฐานวา่ จะใชห้ นงั สัตว์ หรือผา้ หยาบๆ ร้อยเชือกผกู ไวร้ อบๆ สะโพก บน ศีรษะประดบั ดว้ ยขนนก จากภาชนะเครื่องป้ันดินเผาโบราณท่ีพบบริเวณถ้าผี จงั หวดั แมฮ่ ่องสอน อายุ ประมาณ 7000-8000ปี มาแลว้ พบวา่ มีการตกแตง่ ดว้ ยรอยเชือก และรอยตาขา่ ยทาบ ทาใหเ้ รา สันนิษฐานวา่ มนุษยน์ ่าจะรู้จกั ทาเชือกและตาข่ายก่อน โดยนาพชื ท่ีมีใยมาฟั่นใหเ้ ป็นเชือก แลว้ นาเชือก มาผกู หรือถกั เป็นตาข่าย จากการถกั ก็พฒั นาข้นึ มา เป็นการทอ ดว้ ยเทคนิคงา่ ยๆ แบบการจกั สาน คือ นาเชือกมาผกู กบั ไมห้ รือยดึ ไวใ้ หด้ า้ ยเสน้ ยนื แลว้ นาเชือกอีกเสน้ หน่ึงมาพงุ่ ขดั กบั ดา้ ยเสน้ ยนื เกิดเป็น ผนื ผา้ หยาบๆ ข้นึ เหมือนการขดั กระดาษ หรือการจกั สาน เกิดเป็นผา้ กระสอบแบบหยาบๆ เราพบ หลกั ฐานท่ีสาคญั ทางโบราณคดีที่บริเวณบา้ นเชียง จงั หวดั อดุ รธานี เช่น พบกาไล สาริด ซ่ึงมีสนิม และ มีเศษผา้ ติดอยกู่ บั คราบสนิมน้นั นกั วทิ ยาศาสตร์อธิบายว่า สนิมเป็นตวั กดั กร่อนโลหะ ซ่ึงเป็นอนินทรีย วตั ถุ แต่กลบั เป็นตวั อนุรักษผ์ า้ ซ่ึงเป็นอินทรียวตั ถไุ วไ้ มใ่ ห้เสื่อมสลายไปตามกาลเวลา ท่ีแหล่งบา้ นเชียง น้ี เรายงั พบแวดินเผา ซ่ึงเป็นอุปกรณ์การป่ันดา้ ยแบบง่ายๆ และพบลกู กลิ้งแกะลาย สาหรับใชท้ า ลวดลายบนผา้ เป็นจานวนมาก จึงทาใหพ้ อจะสันนิษฐานไดว้ า่ มนุษยอ์ าศยั อยใู่ นบริเวณบา้ นเชียง เม่ือ 2000-4000ปี มาแลว้ รู้จกั การป่ันดา้ ย ทอผา้ ยอ้ มสี และพมิ พล์ วดลายลงบนผา้ อีกดว้ ย ในประเทศไทยมีประวตั ิการทอผา้ ใชก้ นั ในหมู่บา้ น และในเมืองโดยทว่ั ไปมาต้งั แต่ โบราณกาล แต่การทอผา้ ดว้ ยมือตามแบบด้งั เดิมน้นั นอกจากน้ี ยงั มีชนกลุ่มชาติพนั ธุ์ตา่ งๆ ที่ไมใ่ ช่กลมุ่ ท่ีพดู ภาษาตระกูลไท อาศยั อยใู่ นแถบภาคเหนือบริเวณลา้ นนาไทย เช่น ล้ือ ลวั ะ กะเหรี่ยง ไทยใหญ่ มอญ และไทยภูเขาเผา่ ต่างๆ เช่น แมว้ มูเซอ อีกอ้ เยา้ ลีซอ เป็นตน้ ชนกลมุ่ นอ้ ย เหลา่ น้ี ตา่ งกม็ ี วฒั นธรรมการทอผา้ ซ่ึงส่วนใหญ่ เป็นผา้ ฝ้าย และตกแต่งเป็นลวดลายสญั ลกั ษณ์ที่แสดงเอกลกั ษณ์ เผา่ พนั ธุ์ของกลุ่มชนของ ตนเอง ท้งั สิ้น ผา้ ทอกะเหร่ียง จดั เป็นงานช่างฝีมือประเภทผา้ และผลิตภณั ฑจ์ ากผา้ ที่นิยมทากนั มานาน แลว้ ในชุมชนชาวเขาเผา่ กะเหร่ียงแทบทกุ บา้ นถือเป็นศิลปะพ้ืนบา้ นชนิดหน่ึง โดยจะทอดว้ ยเคร่ืองทอ ผา้ แบบกี่เอวจะมีลกั ษณะ พเิ ศษสามารถเคลื่อนยา้ ยไปทอในท่ีต่าง ๆ ไดอ้ ยา่ งงา่ ยดาย การทอผา้ ของชน เผา่ ชาวกะเหร่ียง เป็นการทอแบบวถิ ีด้งั เดิม เรียกวา่ ทอแบบกเ่ี อว หรือ การทอแบบห้างหลงั โดยใช้ อุปกรณ์เครื่องทอขนาดเลก็ เรียกวา่ กี่เอว ลกั ษณะการทอผา้ แบบก่ีเอวน้ีผทู้ อจะตอ้ งนงั่ กบั พ้นื เหยยี ดขา ขนานตรงไปขา้ งหนา้ ท้งั สองขา้ ง มีสายคาด ซ่ึงสายคาดอาจทาดว้ ยแผน่ หนงั หรือผา้ ที่ทบกนั หลายๆ ช้นั หรือเชือกที่ฝ้ันเป็นเกลียวใหแ้ ขง็ แรง ที่ผกู ติดดว้ ยดา้ ยเสน้ ยนื คาดรัดโอบไปดา้ นหลงั ของเอว อีกดา้ น หน่ึงจะผกู มดั กบั เสาเรือน หรือโคนตน้ ไมห้ รือหลกั ท่ีมีความแขง็ แรงกไ็ ด้ การทอดว้ ยก่ีเอวจะใชก้ ารขยบั

เคลื่อนตวั ของผทู้ อบงั คบั เส้นดา้ ยยนื ใหต้ ึงหรือหยอ่ นไดต้ ามตอ้ งการทาให้ผทู้ อสามารถเลือกสถานที่ทอ ไดต้ ามความพอใจ โยกยา้ ยไดส้ ะดวก ผา้ ที่ทอดว้ ยกี่เอวจะมีขนาดผา้ หนา้ แคบๆ ดว้ ยฝีมืออนั ล้าเลิศ ผสานกบั เทคนิคและภมู ิปัญญาที่สัง่ สมและถกู ถ่ายทอดส่งั สอนมาจาก บรรพบุรุษสืบต่อกนั มาหลายชวั่ อายคุ น ท้งั เทคนิคการมดั หม่ี จก ขดิ และยกดอก ผา้ ทอของชนเผา่ กระเหรี่ยงจึงมีความงดงาม โดดเด่นดว้ ยสีสนั ตระการตา และผคู้ นทวั่ ไปยงั คงพบเห็นรูปแบบอนั เป็น เอกลกั ษณ์ของเครื่องแต่งกายของชนเผา่ กะเหรี่ยง ดว้ ยเส้ือหลากสีสัน ก่ีทอผา้ ในยคุ ก่อนทาจากไมส้ กั เพราะเป็นไมเ้ น้ืออ่อน ผา่ ตดั แต่งเป็นรูปทรงงา่ ย ส่วน ลวดลายผา้ ท่ีทอน้นั กม็ ีเพยี งไมก่ ี่ลาย เช่น ลายเมลด็ ฟักทอง ลายดอกพริก ลายแมง มมุ และลายหวั เต่า ซ่ึง ลว้ นไดร้ ับแรงบนั ดาลใจจากธรรมชาติและสิ่งแวดลอ้ มท้งั สิ้น นอกจากน้ียงั นิยมใชล้ ูกเดือย ปักตกแต่ง บนผนื ผา้ อยา่ งสวยงาม สาหรับวตั ถุดิบหลกั ท่ีนามาใชใ้ นการทอผา้ คือ ฝ้าย ท้งั น้ีเพราะดูดความช้ืนได้ งา่ ยผสู้ วมใส่จะรู้สึกเยน็ สบายเหมาะกบั อากาศเมืองร้อน อีกท้งั ยงั ปลูกไดท้ วั่ ไป นบั เป็นเอกลกั ษณ์ใน วิธีการทอผา้ ของชาวกะเหร่ียง ใชว้ สั ดุธรรมชาติและความสวยงามในลวดลายด้งั เดิมในปัจจุบนั จากการศึกษาไดเ้ ห็นถึงศิลปะการทอผา้ ที่มีความน่าสนใจ การใชว้ สั ดุใกลต้ วั มาออกแบบ วิธีในการทอและความคิดสร้างสรรคใ์ นการออกแบบลวดลายกลุ่มของขา้ พเจา้ จึงตอ้ งการจดั ทา โครงงานน้ีข้ึนเพอ่ื ศึกษาวธิ ีการทอผา้ ของกะเหร่ียง และเพื่อศึกษาลวดลาย สียอ้ มธรรมชาติ ของผา้ ทอ กะเหร่ียง วตั ถุประสงค์ของโครงงาน 1. เพื่อศึกษาเก่ียวกบั วิธีการทอผา้ ของกะเหร่ียง 2. เพอ่ื ศึกษาเก่ียวกบั ลวดลายและสียอ้ มธรรมชาติของผา้ ทอกะเหรี่ยง

บทที่ 2 เอกสารทเี่ กยี่ วข้อง จากการศึกษาคน้ ควา้ ขอ้ มลู ที่มีความเกี่ยวขอ้ งกบั วธิ ีการทอผา้ ของกะเหรี่ยง พบวา่ มี เอกสารท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั โครงงาน ดงั น้ี 1. ผา้ และส่ิงทอ 2. ลกั ษณะผา้ ไทย 3. ผา้ ทอของแต่ละภาค โดยมีรายละเอียดดงั น้ี 1. ผ้าและสิ่งทอ ผา้ เป็นวสั ดุสาหรับทาเครื่องนุ่งห่ม จึงนบั วา่ เป็นปัจจยั พ้ืนฐาน ท่ีจาเป็นอยา่ งหน่ึง ในการ ดารงชีวิตของมนุษยค์ วบคู่ไปกบั อาหาร และที่อย่อู าศยั “ผ้า” มีมานานแล้วต้ังแต่ก่อนคริสต์ศักราช จากการสารวจพบผ้าลินินในถ้าที่จอร์เจีย เม่ือกว่า 34,000 ปี ก่อนคริสต์ศักราช สาหรับใน ไทย เราพบว่าผา้ คืออะไร จากหลักฐานทางโบราณคดีแสดงว่าเคยมีการใช้ผ้าและทอผ้าได้ ต้ังแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ หรื อเม่ือราว 2,000-4,000 ปี มาแล้ว โดยได้พบเศษผา้ ติดอยู่กับ คราบสนิมของกาไลทองสาริ ด และอุปกรณ์ปั่นด้ายดินเผาแบบง่ายๆ รวมท้ังลูกกลิ้ง แกะ ลายสาหรับใช้ทาลวดลายบนผ้า เป็ นจานวนมากอยู่ท่ีบริ เวณแหล่งวฒั นธรรมบ้านเชียง อาเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี นับเป็ นหลักฐานเก่าแก่ที่สุดเก่ียวกับการใช้ผา้ และการทอ ผา้ ของไทย ในอดีต การทอผา้ ใชเ้ องในครัวเรือนเคยมีความสาคญั มากในสังคมไทย ชุมชนนอ้ ยใหญ่ ในหมู่บา้ น และแมแ้ ตใ่ นเมือง ตา่ งกม็ ีธรรมเนียมการทอผา้ ไวใ้ ชส้ อยเอง และสาหรับมอบใหผ้ อู้ ่ืน เป็น ของขวญั ในโอกาสตา่ งๆ เช่น สงกรานต์ หรือในการไหวผ้ ใู้ หญ่ ในงานแตง่ งาน และยงั มีประเพณีการ ทอผา้ ถวายวดั ถวายพระ ในงานทาบุญประจาปี อีก เช่น ในประเพณีทอดผา้ กฐิน และทอดผา้ ป่ า เป็น 2.ลกั ษณะผ้าไทย 2.1 ผา้ กาสา เป็นผา้ ดิบเน้ือหยาบ ไม่ไดย้ อ้ มฝาด มีสีหมน่ ไม่ขาวทีเดียว คาวา่ กาสา (Kassar) เป็นคา มลายู แปลวา่ หยาบ 2.2 ผา้ กรองทอง เป็นผา้ ที่ถกั ดว้ ยแล่งเงิน หรือแล่งทอง ถกั ใหเ้ ป็นลวดลายต่อกนั เป็นผนื ส่วนมาก

นามาทาเป็นผา้ สไบ ใชห้ ่มทบั ลงบนผา้ แถบ และผา้ สไบอีกทีหน่ึง มกั ใชแ้ ต่เฉพาะเจา้ นาย ผหู้ ญิงช้นั สูง มีขนาดกวา้ งยาวเท่ากบั ผา้ สใบ ชายผา้ ดา้ นกวา้ งปล่อยเป็นชายครุย เมื่อตอ้ งการ ใหผ้ า้ กรองทองมีความงดงามเพ่มิ มากข้นึ นิยมนาปี กแมลงทบั มาตดั เป็นชิ้นเลก็ ๆ เหมือนรูป ใบไม้ และปักลงไปบนผา้ กรองทอง ในตาแหน่งท่ีคิดว่า จะสมมตุ ิเป็นลายใบไม้ 2.3 ผา้ เก้ียว ผา้ คาดเอว มีท้งั ผา้ ลายพิมพ์ ผา้ ไหม ฯลฯ 2.4 ผา้ ขาวมา้ เดิมเรียก ผา้ กามา้ เป็นผา้ ประจาตวั ของผชู้ าย ใชเ้ ป็นท้งั ผา้ นุ่ง ผา้ เชด็ ตวั ผา้ เคียน พุง และผา้ พาดไหล่ เป็นผา้ ฝ้ายผนื ยาวทอเป็นลายตาตาราง 2.5 ผา้ เขยี นทอง ผา้ พิมพล์ ายอยา่ งดี เนน้ ลวดลาย เพม่ิ ความสวยงาม ดว้ ยการเขยี นเส้นทองตาม ขอบลาย ผา้ น้ีเกิดข้นึ คร้ังแรก สมยั รัชกาลท่ี 1 และใชไ้ ดเ้ ฉพาะพระมหากษตั ริยล์ งมาถึงช้นั พระองคเ์ จา้ โดยกาเนิดเทา่ น้นั 2.6 ผา้ ตาโถง ผา้ ลายตาสี่เหล่ียม หรือลายตาทแยงใชเ้ ป็นผา้ นุ่งของผชู้ ายคลา้ ยผา้ โสร่ง 2.7 ผา้ ตามะกล่า ผา้ ตาเลด็ งา ผา้ ตาสมกุ ผา้ ฝ้าย สีคล้ามีลายเลก็ ๆ ใชเ้ ป็นผา้ นุ่ง 2.8 ผา้ บวั ปอก ผา้ ฝ้ายเน้ือหยาบ ชาวบา้ นใช้ โดยเฉพาะผหู้ ญิงใชเ้ ป็นผา้ นุ่ง 2.8 ผา้ ปักไหม เป็นผา้ ที่ใชก้ นั ในบรรดาเจา้ นายช้นั สูง มีท้งั ผา้ นุ่ง ผา้ ห่ม ซ่ึงใชห้ ่มทบั สไบ ผา้ ปู ลาด และผา้ ห่อเครื่องทรง ส่วนมากใชผ้ า้ ไหมพ้ืนเน้ือดี ปักลวดลายดว้ ยไหมสีตา่ งๆ ท้งั ผืน การปักไหมน้ี ถา้ ใชไ้ หมสีทองมากก็เรียกวา่ ผา้ ปักไหมทอง 2.9 ผา้ ปมู (มดั หมี่) ผา้ ปูม หรือปัจจุบนั ทราบกนั ในช่ือมดั หม่ี ในประเทศไทยมีผลิตมาก ท้งั ผา้ ไหม และผา้ ฝ้าย โดยเฉพาะในภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือส่วนล่างแทบทกุ จงั หวดั ผา้ ปมู น้ีเดิมเป็น

ผา้ ส่วยของหลวงมาจากเมืองเขมร ที่ใชพ้ ระราชทานเป็นเคร่ืองยศขนุ นางเดิมไทยเรามีโรง ไหมของหลวงทอผา้ สมปักปมู และสมปักเชิงกรวยพระราชทาน ทอดว้ ยไหมเพลาะ กลางผืน ผา้ เป็นลายสีตา่ งๆ ใชต้ ามยศตามเหลา่ มีสมปักปูมเป็นชนิดสูงสุด สมปักริ้วเป็นชนิดต่าสุด 2.10 ผา้ เปลือกไม้ เป็นผา้ ท่ีทอจากใย ท่ีทาจากเปลือกไม้ ซ่ึงมีมาต้งั แต่สมยั ก่อนประวตั ิศาสตร์ และ เขา้ ใจวา่ คงจะทอใชเ้ รื่อยมาจนคร้ังรัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ส่วนมากพวกนกั พรต ใชน้ ุ่งห่มคลา้ ยกบั ผา้ คากรอง 2.11 ผา้ พิมพ์ ในสมยั อยธุ ยา เรามีช่างผลิตหรือเขียนลายบนผา้ อยแู่ ถววดั ขุนพรหม และน่าจะมี การสงั่ ทาจากอินเดียดว้ ย ในสมยั รัตนโกสินทร์มีหลกั ฐานวา่ ส่งั ทาผา้ พมิ พ์ หรือผา้ ลายจาก อินเดีย ตามแบบลายไทยท่ีสัง่ ไป เช่น ลายพุม่ ขา้ วบิณฑพ์ รหมกา้ นแยง่ เทพนมกา้ นแย่ง และ กินรีราเป็นตน้ เรียกวา่ ลายอยา่ ง ต่อมาทางอินเดียคดิ ทาผา้ พมิ พเ์ อง โดยเขียนข้ึนตามลายไทย เพ่ือส่งมาขายในอยธุ ยา แตล่ ายท่ีอินเดียเขยี นข้นึ น้นั เป็นลายแปลงของอินเดียผสมลายไทย เรียกลายนอกอยา่ ง 2.12 ผา้ ยก ไทยเราผลิตผา้ ยกไดด้ ี ท้งั ยกไหม และยกดิ้น ปรากฎท้งั ในภาคเหนือ เช่น เชียงใหม่ ลาพูน และในภาคใต้ เช่น ที่นครศรีธรรมราช และที่พมุ เรียง อาเภอไชยา จงั หวดั สุ ราษฎร์ธานี คาวา่ ยก มาจากการเรียกกระบวนทอ เวลาทอเส้นดา้ ยหรือไหม ท่ีเชิดข้ึน เรียกวา่ เสน้ ยก เส้นดา้ ยหรือไหม ที่จมลงเรียกวา่ เสน้ ขม่ แลว้ พงุ่ กระสวยไปในระหวา่ งกลาง ถา้ จะให้ เป็นลาย เลือกยกเส้นขม่ ข้ึนบางเสน้ ก็เกิดลายยกข้ึน เรียกว่า ผา้ ยก 2.13 ผา้ ลาย ถา้ หมายถึง ผา้ ท่ีมีลวดลายแลว้ กล่าววา่ เดิมมีกระบวนการทาอยู่ 4 วิธี คอื ลายปัก ลายปูมลายยก และลายพมิ พ์ 2.14 ผา้ สมปัก ผา้ นุ่งพระราชทานใหข้ นุ นางตามตาแหน่ง ใชเ้ ป็นเคร่ืองแบบมาก่อน สมยั พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั รัชกาลที่ 5 จะใชเ้ ฉพาะในเวลาเขา้ เฝ้า หรือในพระ ราชพิธี เป็นผา้ ทอดว้ ยไหมเพลาะ กลางผนื ผา้ เป็นสีและลายต่างๆ สมปักมีหลายชนิด

ไดแ้ ก่ \"สมปัก ปูม\" ถือวา่ เป็นชนิดดีท่ีสุด \"สมปัก ลอ่ งจวน\" เป็นสมปักที่ทอเป็นรอยยาว เป็น สมปักชนิดทอ้ งพ้นื มีเชิงลาย นอกจากน้ีมี \"สมปัก ลาย\" และ \"สมปัก ริ้ว\" ซ่ึงเป็นผา้ สามญั ท่ี พวกเจา้ กรมปลดั กรมนุ่งเทา่ น้นั มิใช่เป็นของพวกขนุ นางช้นั ผใู้ หญ่ 2.15 ผา้ สมรดหรือสารด เป็นผา้ คาดทบั เส้ือครุยในงานพระราชพิธีของขนุ นางช้นั สูง หรือเรียกวา่ ผา้ แฝง ทาดว้ ยไหมทองถกั โปร่งๆ บางๆ คลา้ ยผา้ กรองทอง แต่โปร่งและบางกวา่ มาก บางทีหมายถึง ผา้ คาดเอว ที่ทาดว้ ยผา้ ตาดทองปักด้ินปักปี กแมลงทบั เป็นลวดลายดอกไมเ้ ครือเถา เดิมก่อน รัชกาลที่ 5 ไม่มีการแต่งกายไวท้ กุ ขด์ ว้ ยสีดา ในงานพระเมรุใหญ่ๆ เจา้ นาย และขนุ นาง จึงนุ่ง สมปักลายสีตา่ งๆ คาดทบั เส้ือครุย พวกที่ไม่มีหนา้ ที่แห่เสด็จจะทาผา้ คาดยอ่ คอื คาดแต่สมรด เป็นทีวา่ ไดค้ าดเส้ือครุย เรียกวา่ ผา้ แฝง แต่ผมู้ ีหนา้ ที่แห่เสดจ็ ตอ้ งคาดเส้ือครุยจริง เวลาเขา้ ริ้ว ขบวน ก็เอามาสวม แตถ่ า้ อยู่นอกขบวน จะถอดเส้ือครุยออก แลว้ คาดสมรด เส้ือครุยมี วิธีการใชอ้ ยู่ 3 วิธี คอื เวลาอยใู่ นหนา้ ท่ี จะสวมเส้ือครุยท้งั สองแขน ถา้ อยนู่ อกหนา้ ที่ เอา ออกมามว้ นคาดพุง แตถ่ า้ สวมแขนเดียวอีกแขนหน่ึงพาดเฉียงบา่ แสดงวา่ อยใู่ นหนา้ ที่เขา้ กรม 2.16 ผา้ สุกุลพสั ตร์ เป็นผา้ ขาวเน้ือละเอียดชนิดดี มีในสมยั สุโขทยั 2.17 ผา้ ไหม ผา้ อยา่ งดีทอดว้ ยไหม มีท้งั แบบเรียบ ยกดอก และเป็นลวดลาย 3. ผ้าทอของแต่ละภาค 3.1 การทอผา้ ในภาคเหนือแถบลา้ นนาไทย นอกจากน้ี ยงั มีชนกล่มุ ชาติพนั ธุต์ ่างๆ ที่ไม่ใช่กล่มุ ที่พูดภาษาตระกูลไท อาศยั อยใู่ นแถบภาคเหนือบริเวณลา้ นนาไทย เช่น ล้ือ ลวั ะ กะเหร่ียง ไทยใหญ่ มอญ และไทย ภูเขาเผา่ ตา่ งๆ เช่น แมว้ มเู ซอ อีกอ้ เยา้ ลีซอ เป็นตน้ ชนกลมุ่ นอ้ ย เหลา่ น้ี ต่างก็มีวฒั นธรรม การทอผา้ ซ่ึงส่วนใหญ่ เป็นผา้ ฝ้าย และตกแตง่ เป็นลวดลายสญั ลกั ษณ์ท่ีแสดงเอกลกั ษณ์ เผา่ พนั ธุ์ของกลุ่มชนของ ตนเอง ท้งั สิ้น การทอผา้ ไหมยกดอก และการทอซ่ินไหม ต่อตีน จก ยกดิ้นเงินดิ้นทองน้นั รู้จกั กนั ในหมเู่ จา้ นายช้นั สูงในภาคเหนือ ซ่ึงไดฝ้ ึกอบรมใหห้ ญิง ชาวบา้ นตามหมูบ่ า้ นหลายแห่ง เช่น ในจงั หวดั เชียงใหม่ และลาพนู รู้จกั ทอ จนทากนั เป็น อตุ สาหกรรมในหมบู่ า้ นหลายแห่ง

3.2 การทอผา้ ในภาคกลาง ในภาคกลางตอนบน ไดแ้ ก่ จงั หวดั พษิ ณุโลก พจิ ิตร อตุ รดิตถ์ และ สุโขทยั และภาคกลางตอนล่าง ไดแ้ ก่ จงั หวดั อทุ ยั ธานี ชยั นาท สุพรรณบุรี สระบุรี ลพบรุ ี นครปฐม ราชบุรี เพชรบุรี ฯลฯ มีกล่มุ ชนชาวไทยยวนและชาว ไทยลาว อพยพไปต้งั ถิ่นฐานอยู่ ในช่วงต่างๆ ของประวตั ิศาสตร์ไทย พวกไทยลาวน้นั มีหลายเผา่ เช่น พวน โซ่ง ผไู้ ท คร่ัง ฯลฯ ซ่ึงอพยพยา้ ยถ่ินเขา้ มา เพราะสงคราม หรือสาเหตุอื่นๆ คนไทยพวกน้ียงั รักษา วฒั นธรรม และเอกลกั ษณ์เฉพาะถ่ินไวไ้ ด้ โดยเฉพาะวฒั นธรรมการทอผา้ ของผหู้ ญิงท่ีใช้ เทคนิคการทาตีนจก และขติ เพอ่ื ตกแตง่ เป็น ลวดลายบนผา้ ที่ใชน้ ุ่งในเทศกาลต่างๆ หรือ ใช้ ทาที่นอน หมอน ผา้ ห่ม ผา้ เช็ดหนา้ ผา้ ขาวมา้ ฯลฯ แมว้ า่ ในปัจจุบนั สภาพเศรษฐกิจและ สังคม เปล่ียนไปมาก คนไทยเหลา่ น้ีกย็ งั ยดึ อาชีพทอผา้ เป็นอาชีพรองต่อจากการทานาซ่ึง เป็นอาชีพหลกั และเช่นเดียวกนั กบั ผา้ ในภาคเหนือ ลวดลายที่ ตกแต่งบนผืนผา้ ท่ีทอโดย กลุ่มชนตา่ งเผา่ กนั ใน ภาคกลางน้ี ก็มีลกั ษณะและสีสันแตกตา่ งกนั จนผทู้ ี่ศึกษา สามารถจะ ระบุแหลง่ ที่ผลิตผา้ ไดจ้ ากลวดลายและสี 3.3 การทอผา้ ในภาคอีสาน ในภาคอีสานมีชุมชนต้งั ถ่ินฐานโดยอาศยั บริเวณที่มีความอุดมสมบูรณ์จาก ลา หว้ ย หนองบึง หรือแมน่ ้า กลุ่มคนไทยเช้ือสายลาวเป็นชนกลุม่ ใหญข่ องภาคอีสาน กระจาย กนั อยตู่ ามจงั หวดั ตา่ งๆ และมีวฒั นธรรมการทอผา้ อนั เป็นประเพณีของผหู้ ญิง ที่สืบทอด กนั มาชา้ นานเกือบทกุ ชุมชน แตล่ ะกลมุ่ แตล่ ะเผา่ ก็จะมีลกั ษณะและลวดลายการทอผา้ ท่ี แปลกเป็น ของตวั เองอยา่ งชดั เจน โดยเฉพาะผา้ มดั หมี่ ผา้ ขิต และผา้ ไหมหางกระรอก กลมุ่ คนไทยเช้ือสายลาว ในอีสานอาจแบง่ คร่าวๆ ไดด้ งั น้ี ก. กลุม่ จงั หวดั เลย นครราชสีมา ชยั ภมู ิ ซ่ึงส่วนใหญเ่ ป็นลาวหลวงพระบาง ข. กลุ่มจงั หวดั หนองคาย อดุ รธานี ขอนแก่น ซ่ึงส่วนใหญ่เป็นลาวเวียงจนั ทน์ ค. กลมุ่ จงั หวดั นครพนม สกลนคร กาฬสินธุ์ ซ่ึงส่วนใหญ่เป็นกล่มุ ผไู้ ท ง. กลมุ่ จงั หวดั อุบลราชธานี ยโสธร ร้อยเอด็ มกุ ดาหาร มหาสารคาม ซ่ึงส่วน ใหญเ่ ป็น ลาวจาปาศกั ด์ิ นอกจากกลุม่ คนไทยเช้ือสายลาวแลว้ ในภาคอีสานยงั มีชนกลุม่ อื่นๆ เช่น ขา่ กระโซ้ กะเลิง ส่วย และเขมรสูง โดยเฉพาะคนไทยเช้ือสายเขมรน้นั กระจายกนั อยใู่ น บริเวณจงั หวดั ศรีสะเกษ สุรินทร์ และบรุ ีรัมย์ และมีประเพณีการทอผา้ ท่ีสวยงามสืบทอดกนั

มาชา้ นาน โดยเฉพาะในจงั หวดั สุรินทร์มีหมู่บา้ นที่มีชื่อเสียงหลายหม่บู า้ นทอผา้ ชนิดต่างๆ เช่น ผา้ ปมู แบบเขมร ผา้ หม่ีโฮล ผา้ อมั ปรม ผา้ ลายสาคู เป็นตน้ 3.4 การทอผา้ ในภาคใต้ ภาคใตม้ ีแหลง่ ทอผา้ ที่มีช่ือเสียงหลายแห่ง โดยเฉพาะแหล่งทอผา้ ยกด้ินเงินดิ้น ทอง ซ่ึงสันนิษฐานวา่ ไดร้ ับอิทธิพลจากชาวมสุ ลิม ชาวอาหรับ ท่ีมาคา้ ขายต้งั แตส่ มยั โบราณ และต่อมาผา้ ยกเงินยกทอง ไดก้ ลายเป็นท่ีนิยมในหมชู่ นช้นั สูงของอาณาจกั รไทย ในภาคกลาง บรรดาพวกเจา้ เมือง และขา้ ราชการหวั เมืองภาคใต้ จึงต่างสนบั สนุนให้ ลกู หลาน และชาวบา้ นทอกนั อยา่ งเป็นล่าเป็นสนั โดยเฉพาะท่ีเมืองนครศรีธรรมราช เมือง สงขลา และที่ตาบลพุมเรียง อาเภอไชยา จงั หวดั สุราษฎร์ธานี ลว้ นเคยเป็นแหลง่ ทอผา้ ยก ท่ี มีช่ือเสียงมากในอดีต เป็นที่กลา่ วขวญั ถึง และนิยมกนั มากในหมู่ขนุ นาง สมยั อยธุ ยา ธนบุรี และรัตนโกสินทร์ ปัจจุบนั ผา้ ยกเมืองนคร มีผบู้ ริจาคใหแ้ ก่พพิ ิธภณั ฑสถานแห่งชาติ นครศรีธรรมราช และจดั แสดงใหป้ ระชาชนชมอยใู่ นหอ้ งผา้ ของพพิ ธิ ภณั ฑจ์ านวนมาก แต่ ช่างทอท่ีมีชื่อเสียงเสียชีวิตไปแลว้ เป็นส่วนใหญ่ และมีผสู้ ืบทอดความรู้ไวน้ อ้ ยมาก จึงไม่มี การทอกนั เป็นล่าเป็นสันเหมือน สมยั โบราณ นอกจากผา้ ยกดิ้นเงินดิ้นทองแลว้ กม็ ีการทอ ผา้ พ้นื บา้ นพ้นื เมืองใชก้ นั หลายแห่งในภาคใต้ เช่น ทอผา้ ขาวมา้ ผา้ ฝ้ายยกดอก ผา้ หางกระรอก ผา้ โสร่ง ผา้ ตาเลด็ งา เป็นตน้ ปัจจุบนั น้ีกไ็ ดม้ ีการฟ้ื นฟสู ่งเสริม และทอผา้ สาหรับใชส้ อยในชีวิตประจาวนั อยหู่ ลายแห่ง เช่น ท่ีเกาะยอ จงั หวดั สงขลา และที่ตาบล พมุ เรียง จงั หวดั สุราษฎร์ธานี เป็นตน้

บทท่ี 3 วธิ ีดาเนินการโครงงาน ในการจดั ทาโครงงานประวตั ิศาสตร์เร่ือง ศึกษาวธิ ีการทอผา้ ของกะเหร่ียง ทางผจู้ ดั ทาได้ ดาเนินงานตามข้นั ตอนทางประวตั ิศาสตร์ ดงั น้ี ข้นั ตอนท่ี 1 กาหนดหัวข้อที่จะศึกษา โดยทางกลมุ่ เราไดด้ าเนินการ ดงั น้ี - ไดป้ ระชุมหาลือกนั เพ่อื หาขอ้ คดิ เห็นขอสมาชิกในกลมุ่ จึงไดป้ ระเด็นท่ีจะศึกษา คือ ศึกษาวิธีการทอผา้ ของกะเหร่ียง - เขยี นเคา้ โครงโครงงานเพ่ือเสนอใหค้ รูท่ีปรึกษา - ครูท่ีปรึกษาใหแ้ กไ้ ขโครงงานและอนุมตั ิให้ดาเนินการ ข้นั ตอนท่ี 2 สืบค้นและรวบรวมข้อมูล โดยทางกลุม่ เราไดด้ าเนินการ ดงั น้ี - รวบรวมขอ้ มูลโดยการศึกษาจากหอ้ งสมดุ ของโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 26 จงั หวดั ลาพนู จากหนงั สือ3เล่ม - สารานุกรมไทยสาหรับเยาวชนเลม่ ที่15 - สารานุกรมไทยสาหรับเยาวชนเลม่ ท่ี17 - สารานุกรมไทยสาหรับเยาวชนเล่มที่21 - รวบรวมขอ้ มูลโดยการศึกษาจากอินเทอร์เน็ตพบเวบ็ ไซตท์ ี่เกี่ยวขอ้ ง4เวบ็ ไซต์ http://www.openbase.in.th/node/702 http://www.maesamlab.go.th/index.php?_mod=b3RvcA&no=Nw http://nammorndesign.com/?page_id=136 https://sites.google.com/site/phathxkaheriyng123/xupkrn-kar-thx-pha- kaheriyng ข้ันตอนท่ี 3 การประเมนิ คณุ ค่าของหลกั ฐาน โดยทางกลุม่ เราไดด้ าเนินการ ดงั น้ี - นาขอ้ มูลจากการที่รวบรวมจากหนงั สือ และเวบ็ ไซตม์ าประเมินคณุ คา่ วา่ มีความ น่าเช่ือถือมากนอ้ ยเพียงใด - ประเมินและพิจารณาในรายละเอียดขอ้ มูลในทกุ ๆดา้ น ซ่ึงตอ้ งใชเ้ หตุผลเป็นแนวทาง ในการตีความและประเมินคุณคา่ เพ่ือนาไปสู่การคน้ พบขอ้ เทจ็ จริงทางประวตั ิศาสตร์ ข้นั ตอนท่ี 4 นาข้อมูลมาวเิ คราะห์ สังเคราะห์ และจดั หมวดหมู่ โดยทางกลุ่มเราไดร้ ่วมกนั สรุป วเิ คราะห์ เรียบเรียงขอ้ มลู ไดด้ งั น้ี 1.การเตรียมเสน้ ดา้ ย 2.การยอ้ มสีธรรมชาติ

2.1การยอ้ มสีตา่ งๆ 2.2ขอ้ หา้ มในการยอ้ ม 3.อุปกรณ์ในการทอ 4.ข้นั ตอนการทอผา้ กะเหร่ียง 4.1การเตรียมเคร่ืองทอผา้ 4.2ข้นั ตอนการทอ 5.ลวดลายของผา้ ทอ การทอธรรมดา การทอสลบั สี การทอจกหรือแกะดอก ข้นั ตอนที่ 5 เรียบเรียงและนาเสนอ โดยทางกลุ่มเราไดด้ าเนินการ ดงั น้ี - จดั ทาโครงงานนาเสนอ E-BOOK - นาเสนอโครงงาน

ตารางการดาเนินงาน กจิ กรรม การดาเนนิ การ ระยะเวลา ผ้รู ับผิดชอบ 17 มกราคม 2565ถึง สมาชิกทกุ คน 1.กาหนดหวั ข้อเร่ือง - ไดป้ ระชุมหาลือหาขอ้ คิดเห็น 28มกราคม 2565 สมาชิกทุกคน ท่ีจะศึกษา ขอสมาชิกในกลุ่ม จึงได้ 31 มกราคม2565 ถึง 4 กมุ ภาพนั ธ์ 2565 สมาชิกทกุ คน ประเด็นที่จะศึกษา คือ ศึกษา 7 กมุ ภาพนั ธ์ 2564 ถึง วิธีการทอผา้ ของกะเหรี่ยง 11 กุมภาพนั ธ์ 2565 - เขยี นเคา้ โครงโครงงานเพ่อื เสนอใหค้ รูท่ีปรึกษา - ครูที่ปรึกษาใหแ้ กไ้ ขโครงงาน และอนุมตั ิใหด้ าเนินการ 2.สืบค้นและรวบรวม - รวบรวมขอ้ มลู โดยการศึกษา ข้อมูล จากหอ้ งสมุดของโรงเรียนราช ประชานุเคราะห์ 26 จงั หวดั ลาพูน - รวบรวมขอ้ มูลโดยการศึกษา จากหอ้ งคอมพิวเตอร์ -ปรึกษาผทู้ ี่สามารถใหข้ อ้ มลู เกี่ยวกบั เร่ืองที่จะศึกษา 3.ประเมนิ คุณค่าของ - นาขอ้ มลู จากการท่ีรวบรวม หลกั ฐาน จากหนงั สือ และเวบ็ ไซตม์ า ประเมินคุณค่าวา่ มีความ น่าเช่ือถือมากนอ้ ยเพยี งใด - ประเมินและพจิ ารณาใน รายละเอียดขอ้ มลู ในทุกๆดา้ น ซ่ึงตอ้ งใชเ้ หตุผลเป็นแนวทาง ในการตีความและประเมิน คณุ ค่าเพอ่ื นาไปสู่การคน้ พบ ขอ้ เทจ็ จริงทางประวตั ิศาสตร์

4.นาข้อมูลมา 1.การเตรียมเสน้ ดา้ ย 14 กุมภาพนั ธ์ 2564 สมาชิกทุกคน วิเคราะห์ สังเคราะห์ และจัดหมวดหมู่ 2.การยอ้ มสีธรรมชาติ ถึง 18 กุมภาพนั ธ์ 2.1การยอ้ มสีต่างๆ 2565 2.2ขอ้ หา้ มในการ ยอ้ ม 3.อปุ กรณ์ในการทอ 4.ข้นั ตอนการทอผา้ กะเหร่ียง 4.1การเตรียม เคร่ืองทอผา้ 4.2ข้นั ตอนการทอ 5.ลวดลายของผา้ ทอ 5.1 การทอธรรมดา 5.2การทอสลบั สี 5.3การทอจกหรือ แกะดอก 5.เรียบเรียงและ - จดั ทาโครงงานนาเสนอ 21 กมุ ภาพนั ธ์ 2564ถึง สมาชิกทุกคน นาเสนอ - นาเสนอโครงงาน 26 กุมภาพนั ธ์ 2565

บทท่ี 4 ผลการดาเนนิ งานโครงงาน ผลการศึกษาโครงงานประวตั ิศาสตร์เร่ือง การศึกษาวิธีการทอผา้ ของกะเหร่ียง ไดพ้ บ ขอ้ มลู ดงั ต่อไปน้ี 1.การเตรียมเส้นด้าย 1.1 การอีดฝ้าย เป็นการนาเอาเมลด็ ฝ้ายออก การอีดฝ้าย 1.2การตีฝ้าย นาดอกฝ้ายท่ีนาเมลด็ ออกแลว้ มาตีใหเ้ ป็นปยุ การตีฝ้าย

1.3การป้ันแทง่ ฝ้าย นาฝ้ายที่แยกเมลด็ แลว้ มาตีใหฟ้ ู แลว้ ป้ันเป็นกอ้ นกลมยาว คลา้ ย หลอดกาแฟ การป้ันแท่งฝ้าย 1.4 การถอดแท่งฝ้ายจากไมแ้ บบ การถอดแท่งฝ้าย 1.5 การปั่นดา้ ย จากน้นั นาไปป่ันเป็นเสน้ ดา้ ยสาหรับทอ การป่ันด้าย

2.การย้อมสีธรรมชาติ มนุษยใ์ นสมยั โบราณรู้จกั นาสีธรรมชาติมาใชใ้ นการยอ้ มฝ้าย แตง่ สีอาหาร สีธรรมชาติส่วน ใหญ่ลว้ นไดม้ าจากส่วนต่าง ๆของพชื เช่น เปลือก ใบ ผล ราก ในการยอ้ มสี แมว้ า่ สีธรรมชาติจะมี คุณสมบตั ิดอ้ ยกวา่ สีสังเคราะหใ์ นหลาย ๆ อยา่ ง แต่กไ็ ม่เป็นอนั ตรายต่อผบู้ ริโภค ไมม่ ีผลกระทบต่อ สิ่งแวดลอ้ มและยงั มีคณุ ค่าต่อจิตใจของผทู้ ่ียอ้ ม กะเหรี่ยงจะมี ความชานาญในการยอ้ มสีเส้นดา้ ยดว้ ยวสั ดุจากธรรมชาติ โดยจะกะดา้ ยให้ เพยี งพอในการข้ึนเครื่องทอแตล่ ะคร้ัง เพอื่ ใหไ้ ดส้ ีที่เหมือนกนั การยอ้ มสีธรรมชาติมีวิธีแตกตา่ งกนั ไป โดยข้นึ อยกู่ บั วสั ดุท้่ีนามาใช้ แตท่ ้งั น้ีถา้ อยากใหส้ ีติดดีตอ้ งนาดา้ ยมาผา่ นกระบวนการละลายไขมนั โดย ตม้ น้าเดือดประมาณคร่ึงชวั่ โมง แลว้ ซกั ดว้ ยน้าเยน็ จนฝ้ายเป็นสีขาว ปัจจุบนั ชาวบา้ นใชว้ ิธีซกั ดว้ ย ผงซกั ฟอกแลว้ ลา้ งออก จากน้นั จึงนาไปยอ้ มสีขณะดา้ ยกาลงั เปี ยก การต้มเพื่อละลายไขมัน การซักด้วยนา้ เยน็

2.1การยอ้ มสีตา่ งๆดว้ ยวสั ดุจากธรรมชาติ 2.1.1การยอ้ มดว้ ยขมิน้ ภาษากะเหร่ียงวา่ “เส่ยอ” ส่วนที่นามาใช้ เอาเฉพาะหวั ที่แก่จดั เทา่ น้นั เม่ือยอ้ มแลว้ จะใหส้ ีเหลือง วสั ดุที่ใช้ มีดงั น้ี (1) ขมิ้น 1/2 กิโลกรัม (2) ดา้ ย 2 ไจ (3) ปูนกินกบั หมาก หรือปูนขาว 1 ชอ้ นชา (4) น้า 1-2 ลิตร วธิ ีการ นาขมิ้นมาตาหรือบดใหล้ ะเอียด ผสมกบั น้าและปูน แลว้ นาดา้ ย ลงแช่ พร้อมท้งั นวดจนเปี ยก จากน้นั ต้งั ไฟปานกลางใหเ้ ดือดประมาณ 20 นาที หลงั จากตม้ เสร็จแลว้ ยกดา้ ยข้ึนตากแดดจนแหง้ ถา้ ตอ้ งการใหส้ ีมีความ เขม้ และป้องกนั สีตก ใหใ้ ส่ปนู ลงไปในน้ายอ้ มคร้ังที่ 2 อีกเลก็ นอ้ ย

2.1.2การยอ้ มดว้ ยคราม หรือ นอข่อ ส่วนที่นามาใช้ คอื ใบแก่ เม่ือยอ้ มแลว้ ให้ สีน้าเงินเขม้ หรือสีกรมท่า วสั ดุที่ใชย้ อ้ ม มีดงั น้ี (1) คราม 2 ขีด (2) ดา้ ย 2 ไจ (3) ปนู 1 ไจ (4) น้า 1-2 ลิตร (5) ขา้ วสุก 1 กามือ (6) ข้ีเถา้ ไมข้ ้เี หลก็ วิธีการ ข้นั ตอนท่ี 1 การทาน้าคราม นาใบคราม จากตน้ ที่มีอายปุ ระมาณ 3 เดือน (สังเกตจากเร่ิมออกดอก) มาแช่น้าจนใบเป่ื อย ใส่ปนู ขาว และข้เี ถา้ ไม้ ข้ีเหลก็ แช่ต่ออีก 2-3 คืน จากน้นั กวนน้าครามจนข้นึ ฟองทิ้งไวจ้ นตกตะกอน เทน้าใสทิง้ นาส่วนท่ีตกตะกอนมากรองดว้ ยผา้ จะไดค้ ราม เป็นกอ้ นเกบ็ ไว้ ยอ้ มผา้ ตอ่ ไปได้

การแช่ใบคราม ข้นั ตอนที่ 2 นาดา้ ยและครามมานวดรวมกนั จนผสมน้า พร้อมท้งั ใส่ปูนขาวลง ไป แลว้ นามาตม้ กบั ไฟออ่ น ๆ ประมาณ 30 นาที นาดา้ ยข้ึนมาผ่งึ ลมใหแ้ หง้ แลว้ ยอ้ มซ้าหากสียงั ไมเ่ ขม้ พอ ข้นั ตอนท่ี 3 นาดา้ ยและขา้ วสุกมา นวดพร้อมกบั ไฟออ่ น ๆ ประมาณ 30 นาที นาดา้ ยข้นึ มาผ่งึ ลมใหแ้ หง้ สนิท แลว้ นามาใชท้ อเป็นผา้ ต่าง ๆ ได้ การนวดไฟอ่อนๆ

2.1.3การยอ้ มดว้ ยสะหยา่ ใหส้ ีดาสนิทใชส้ ่วนที่เป็นใบ และยอดของพืช (ไม่ เก็บในช่วงที่พชื กาลงั ออกดอก) วสั ดุที่ใชย้ อ้ ม มีดงั น้ี (1) สะหยา่ 1 กิโลกรัม (2) ดา้ ย 2 ไจ (3) ปนู 1 ชอ้ น (4) น้า 1-2 กามือ (5) ขา้ วสุก 1-2 กามือ (6) ข้เี ถา้ ไมข้ ้ีเหลก็ วิธีการ ทาเช่นเดียวกบั การยอ้ มดว้ ยตน้ คราม หมายเหตุ \"สะหยา่ \" เป็นพืชชนิดหน่ึงที่ใหส้ ีดาสนิท แตกต่างจากมะเกลือ ซ่ึง ใหส้ ีเทา นอกจากน้นั สะหยา่ ยงั มี 2 ชนิด คือชนิดที่ใหส้ ีดา และชนิดท่ีใหส้ ีแดง โดยสงั เกตุความแตกตา่ งไดจ้ ากสีของใบสะหยา่ ถา้ ใหส้ ีดาใบจะเป็นสีดา ชนิด ท่ีใหส้ ีแดง ใบจะเป็นสีแดง การแช่สะหย่า

2.2ขอ้ หา้ มในการยอ้ ม 2.2.1 หา้ มยอ้ มผา้ ในวนั ข้นึ 15 ค่า หรือ แรม 15 ค่า 2.2.2 หา้ มยอ้ มผา้ ในวนั ที่มีคนตายในหมู่บา้ น 2.2.3 หา้ มยอ้ มผา้ ในขณะที่เริ่มต้งั ครรภจ์ นกว่าจะคลอดบุตร 3.อปุ กรณ์ในการทอผ้ากะเหรี่ยง 3.1.แผน่ คาดหลงั (อยา่ กงุ ไผย)่ แต่เดิมทามาจากหนงั สตั ว์ 3.2.ไมพ้ นั ผา้ (เค่อไถ่ย) คอื ไมร้ ้ังผา้ สาหรับร้ังและพนั ผา้ ท่ีทอแลว้

3.3.ไมก้ ระทบ (เน่ยบะ) คอื ไมก้ ระทบผา้ ทาจากไมม้ ะเกลือ ยาวประมาณ 70 เซนติเมตร 3.4.ไมแ้ ยกดา้ ย(กงคู๊) ไมแ้ ยกดา้ ยทาจากไมไ้ ผยาวประมาณ 60 เซนติเมตร 3.5.ไมไ้ บ่หรือวา้ บงั เพอื่ แบง่ เสน้ ดา้ ยยนื

3.6.ทะคู่เถิง คอื ไมไผเ่ จาะรูท้งั 2 ขา้ งสาหรับยดื เครื่องทอ 3.7 เส่ยถึง คอื ไมใ้ ส่ดา้ ย ทาจากไมก้ ลมประมาณ 1 นิ้ว 3.8ลุงทุย้ คือ ไม้ สาหรับมว้ นไดพ้ ุ่งใชส้ าหรับสอดดา้ ยพ่งุ

3.9คองญ่ายฆ่อง คือไมส้ าหรับยนั เทา้ สาหรับควบคมุ ใหด้ า้ ยยนื ตึง หรือยอ่ นในระหวา่ ง ทอ 4.ข้นั ตอนการทอผ้ากะเหร่ียง อปุ กรณ์ในการทอผ้า 4.1เตรียมเคร่ืองทอผา้ ก่อนท่ีจะทอผา้ จะตอ้ งมีการเตรียมเคร่ืองทอผา้ และวสั ดุอุปกรณ์

4.2 การกรอดา้ ยขวาง ดา้ ยขวางเป็นดา้ ยที่สอดเขา้ ไประหวา่ งดา้ ยยนื ทาให้ เกิดลวดลายตา่ งๆเรียกวา่ ลุงทุย้ ใชด้ า้ ยพนั กบั ไม้ ขนาดยาวประมาณ 1 ฟตุ เสน้ ผา่ ศนู ยก์ ลางประมาณ 1 เซนติเมตร 4.3ข้นั ตอนการข้ึนเครื่องทอ 4.3.1. เร่ิมตน้ คลอ้ งดา้ ยลงท่ีหลกั ที่ 1 สาวเสน้ ดา้ ยผา่ น หลกั ท่ี 2,3,4,5,6,7 นาไปคลอ้ งที่หลกั ท่ี 8 และสาวมาคลอ้ งท่ีหลกั ที่ 1

4.3.2. ดึงดา้ ยท้งั หมดใหต้ ึงเสมอกนั นามาพนั รอบหลกั ท่ี 2 4.3.3. ดึงดา้ ยให้ตึงเสมอกนั พาดผา่ นดา้ นหนา้ ของไม้ หลกั ท่ี 3 ถึงไมห้ ลกั ท่ี 4 เป็นจุดแยกดา้ ย โดยใชด้ า้ ยสีขาวอีกกลุ่ม หน่ึงเป็นเสน้ ดา้ ยตะกอสอดเขา้ ไประหวา่ งเส้นดา้ ยเป็น 2 ส่วน เท่าๆกนั ส่วนท่ีไมไ่ ดค้ ลอ้ งกบั ตะกอแยกเส้นดา้ ยผา่ นหลงั หลกั ที่ 4 และส่วนที่คลอ้ งตะกอ ดึงเส้นดา้ ยผา่ นดา้ นหนา้ หลกั ที่ 4

4.3.4. รวบดา้ ยท้งั สองส่วนเขา้ ดว้ ยกนั ใหต้ ึง พาดผา่ นหลกั ที่ 5,6 พนั ออ้ มหลกั ท่ี 4.3.5. ดึงดา้ ยท้งั หมดใหต้ ึงพร้อมออ้ มหลกั ที่ 8 และสาวใหต้ ึง ดึง กลบั มาเร่ิมตน้ ที่หลกั ท่ี 1 ใหม่

4.3.6. สอดไมท้ ้งั หมดออกจากเครื่องทอ และนาไมไ้ บ่ 1 อนั สอด เขา้ ไปแทนไมใ้ ส่ตะกอท่ี 1 นาไมไ้ บ่ 2 อนั เขา้ สอดเปลี่ยนไมใ้ ส่ ตะกอที่ 2 และไมใ้ ส่ตะกอท่ี 3 ซ่ึงตอ้ งใชช้ ่วยแยกดา้ ยเวลาทอแกะ ดอก ส่วนไมไ้ บท่ ี่ 2 ใส่กระบอกไมไ้ ผแ่ ทน 1 อนั 5.ลวดลายของผ้าทอ 5.1การทอธรรมดา เป็นการทอลายขดั มีโครงสร้างหลกั โดยการสอดดา้ ยขวางเขา้ ไประหวา่ งดา้ ยยนื สลบั ข้นึ 1 ลง 1 หรือข้ึน 2 ลง 2 ตามจานวนเสน้ ดา้ ยท่ีเรียงไวข้ ณะข้ึนเคร่ืองทอ ผา้ ที่ไดจ้ ะมีสีเดียวตลอดท้งั ผืน ผา้ เรียบสม่าเสมอ เป็นวิธีการทอข้นั พ้นื ฐานใชส้ าหรับทอเยบ็ ชุดเดก็ หญิง เส้ือผหู้ ญิงที่แตง่ งานแลว้ ยา่ มกะเหร่ียง การทอ ธรรมดาแบบดา้ ยยนื และดา้ ยพงุ่ จะมีจานวนเท่ากนั ท้งั ผืน

5.2การทอสลบั สี เป็นการทอแบบธรรมดา คือ ใชเ้ ส้นดา้ ยยนื และเส้นดา้ ยพ่งุ ตามปกติ แต่แทรกดา้ ยสีตา่ งๆ สลบั กนั เขา้ ไป ขณะเรียงเสน้ ดา้ ยยนื ส่วนการทอลายมดั หม่ีจะใชด้ า้ ยที่ยอ้ มติดสีบางส่วนเป็นดา้ ยยนื ก่อนข้นึ เคร่ืองทอ ใชว้ ิธีการทอเหมือนการทอผา้ พ้นื ลายมดั หมี่เป็นลายที่ทอเป็นตวั ซิ่น 5.3การทอจกหรือแกะดอก เป็นวิธีการทอลวดลายที่มีเทคนิคการทอ ยากท่ีสุด ซ่ึงมีเส้นพุง่ พเิ ศษท่ีสร้างลาดลายควบคกู่ นั ไปขณะท่ี ทอ ดว้ ยการใชน้ ิ้วลว้ งเขา้ ไปในดา้ ยยนื แลว้ เอาดา้ ยสีต่างๆ แทรกเขา้ ไปขณะที่ทอสลบั กบั การสอดดา้ ย พ่งุ เมื่อทอเป็นผืนแลว้ ดา้ ยท่ีแทรกเขา้ ไปน้นั จะปรากฏเป็นลวดลายนูนบนผนื ผา้ ท้งั ผืนไม่เหมือนกนั การทอลายน้ีจะเห็นไดจ้ ากตีนซิ่น แต่ละลวดลายมีวธิ ีการแกะดอกแตกต่างกนั ออกไป 5.3.1 ลายอ่องก้ึยหรือลายจก คือ ลวดลายที่เกิดจากการสอดดา้ ยสลบั สี เขา้ ไปบางส่วนของเน้ือผา้ ตามลวดลายและสีในตาแหน่งที่ตอ้ งการ ซ่ึงลายจกของชาว กะเหรี่ยงท่ีพบมีท้งั ลายด้งั เดิม และลายที่ดดั แปลง ข้นึ มาใหม่ มีดงั น้ี

5.3.2 ก่ายกอง เป็นลายโบราณด้งั เดิมที่บรรพบุรุษชาวกะเหร่ียงคิด สร้างสรรคข์ ้ึน และไดม้ ีการสืบทอดต่อเน่ืองกนั มาในกลุ่มกะเหรี่ยงโปว คาเรียกขานช่ือ ของลายก่ายกองน้ี เป็นไปตามลกั ษณะการทอที่มีการสลบั สีโคง้ ไปโคง้ มา หญิงสาวชาว กะเหร่ียงโปวนิยมใชเ้ ส้ือลายลกั ษณะเช่นน้ีเป็นเส้ือตวั แรกของหญิงสาวเมื่อตอ้ งเขา้ พิธี แต่งงาน 5.3.3 ลายใหม่ คือ ลายท่ีเกิดจากการคิดลายข้ึนมาใหมห่ รือมีการ ประยกุ ตด์ ดั แปลงจากโครงสร้างของลายเก่าใหเ้ ป็นลายใหม่ หรือลายที่เกิดจากการทอผิด ไปจากลวดลายเดิมแลว้ เกิดเป็นลายใหม่

บทที่ 5 สรุปและข้อเสนอแนะ สรุปผลการศึกษา จากการทาโครงงานประวตั ิศาสตร์เร่ือง การศึกษาวิธีการทอผา้ ของกะเหร่ียงผา้ ทอ กระเหร่ียงเป็นเครื่องนุ่งห่มชนิดหน่ึงที่ทามาจากวสั ดุธรรมชาติของชาวกระเหร่ียง มีมาต้งั แต่โบราณกาล ผา้ ทอกระเหรี่ยงมีวธิ ีการทอหลายข้นั ตอน ท้งั การเตรียมเสน้ ดา้ ย เริ่มต้งั แต่การอีดฝ้าย ตีฝ้าย ป้ันแท่งฝ้าย ถอดแทง่ ฝ้าย ป่ันดา้ ย การยอ้ มสีธรรมชาติตา่ งๆดว้ ยวสั ดุจากธรรมชาติ เช่น ขมิน้ ใหเ้ ป็นสี เหลือง ตน้ ครามไหเ้ ป็นสีน้าเงินเขม้ สะหยา่ ใหส้ ีเป็นสีดาสนิท อุปกรณ์ในการทอผา้ กะเหร่ียง เช่น แผน่ คาดหลงั (อยา่ กุงไผย)่ ไมพ้ นั ผา้ (เคอ่ ไถย่ ) ไมก้ ระทบ (เน่ยบะ) ไมแ้ ยกดา้ ย(กงคู๊) ไมไ้ บ่หรือวา้ บงั ทะคู่ เถิง เส่ยถึง ลุงทุย้ คองญา่ ยฆ่อง ข้นั ตอนการทอผา้ กะเหร่ียง ไดแ้ ก่ เตรียมเคร่ืองทอผา้ การกรอดา้ ย ขวาง และข้นั ตอนการข้นึ เครื่องทอ ลวดลายของผา้ ทอไดแ้ ก่ การทอธรรมดา เป็นการทอธรรมดาแบบ ดา้ ยยนื และดา้ ยพงุ่ จะมีจานวนเทา่ กนั ท้งั ผนื การทอสลบั สี เป็นการทอเหมือนการทอผา้ พ้นื ลายมดั หม่ี เป็นลายที่ทอเป็นตวั ซ่ิน การทอจกหรือแกะดอก เป็นลวดลายมีวิธีการแกะดอกแตกต่างกนั ออกไป เช่น ลายอ่องก้ึยหรือลายจก ก่ายกอง และลายใหม่ ข้อเสนอแนะ จากการศึกษาโครงงานเรื่อง การศึกษาวิธีการทอผา้ ของกะเหร่ียง พบวา่ มีเครื่องดนตรี พ้ืนบา้ นของชาวกระเหรี่ยงหรือเรียกวา่ เตหน่า จึงน่าจะศึกษาเรื่องดงั น้ี 1.ศึกษาเครื่องดนตรีเตหน่าของชาวกระเหร่ียง

บรรณานุกรม http://www.openbase.in.th/node/702 http://www.maesamlab.go.th/index.php?_mod=b3RvcA&no=Nw http://nammorndesign.com/?page_id=136 https://sites.google.com/site/phathxkaheriyng123/xupkrn-kar-thx-pha- kaheriyng

ภาคผนวก

เคา้ โครงโครงงาน


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook